X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดหญิงเซียนเครื่องหอม

ทดลองอ่าน ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม เล่ม 7 ตอนที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 7

ตอนที่ 2

 “พี่หลีกลับมาแล้วจริงหรือ” มู่หวั่นชิวที่กำลังสั่งการให้ล้างเครื่องมือในห้องปรุงเครื่องหอม เมื่อได้ยินคำพูดของโม่เสวี่ยแล้วก็ดีใจ

“บ่าวเพิ่งออกจากหออีผิ่นเทียนซย่าก็เห็นคุณชายหลีขี่ม้าผ่านไปเจ้าค่ะ” โม่เสวี่ยพยักหน้า

ร้านเหยาจี้พ่ายแพ้ เกรงว่าซุนมือไวคนเดียวจะรับมือไม่ไหว มู่หวั่นชิวที่เป็นหญิงบอบบางไม่รู้วรยุทธ์ ย่อมเดินทางไม่สะดวก หลีจวินจึงตัดสินใจเป็นตัวแทนนางไปที่ซั่วหยางอีกครั้งในเดือนสี่เพื่อรับซื้อร้านเหยาจี้ให้กับโรงธูปไป่เยี่ย

คำนวณดูแล้วหลีจวินจากไปแค่เพียงเดือนกว่า แต่มู่หวั่นชิวรู้สึกราวกับว่าเวลาได้ผ่านไปหลายปี นางคิดถึงเขาอีกแล้ว เมื่อเห็นโม่เสวี่ยพยักหน้า นางจึงวางงานในมือลงแล้ววิ่งออกไป

ได้รับจดหมายว่าเขาออกเดินทางแล้ว มู่หวั่นชิวคิดว่าอย่างน้อยต้องรออีกเจ็ดแปดวันกว่าที่เขาจะกลับมาถึงต้าเยี่ยได้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะกลับมาเร็วเพียงนี้ เขาคงเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนอีกแน่นอน

“คุณหนูจะไปที่ใดเจ้าคะ” โม่เสวี่ยก้าวเท้าตามไป “ท่านไม่ต้องร้อนใจไป อีกครู่คุณชายหลีต้องมาแน่นอน” น้ำเสียงมั่นใจอย่างมาก

ทุกครั้งที่หลีจวินไปต่างเมืองกลับมา ต้องมารายงานตัวที่คฤหาสน์ตระกูลไป๋ก่อนเป็นอันดับแรก นี่เป็นกฎประจำตัวของหลีจวินไปแล้ว

“ข้าจะไปดูสักหน่อย” มู่หวั่นชิวไม่ได้หันหน้ากลับมา

ทั้งที่รู้ว่าหลังจากหลีจวินพบบิดามารดาแล้วก็จะมาหานางทันที แต่เพราะนางทนรอไม่ไหว นางอยากจะพบเขาตอนนี้เลย

 

กลับถึงคฤหาสน์ตระกูลหลี หลังจากหลีจวินคารวะบิดามารดาแล้วก็รีบมาที่คฤหาสน์ตระกูลไป๋

ออกจากบ้านไปบ่อยครั้งก่อนหน้านี้ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ภายหลังแค่ไม่เห็นหน้ามู่หวั่นชิวเพียงวันเดียวเขาก็คิดถึงนางแล้ว โดยเฉพาะจากบ้านไปครั้งนี้พบว่าสายตาของมู่หวั่นชิวตอนที่มาส่งเขาเหมือนว่ามีความอาวรณ์อยู่ หลีจวินถึงขั้นไม่อยากไปเมืองซั่วหยางเลยทีเดียว ยังไม่ทันจากไปหัวใจก็พุ่งกลับมาเสียแล้ว

เมื่อรับซื้อร้านเหยาจี้ จัดการงานทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไม่สนใจการรั้งตัวของซุนมือไว เร่งออกเดินทางทั้งวันทั้งคืนกลับมา ถึงกับทิ้งรถม้าแล้วขี่ม้า นอนกลางดินกินกลางทรายมาตลอดทาง ไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องใหญ่ที่ร้านหลีจี้ แต่เพราะเขาอยากจะเจอหน้ามู่หวั่นชิวให้เร็วขึ้น

ก้าวขึ้นบันไดหินหน้าประตู หัวใจหลีจวินไม่เคยเต้นผิดจังหวะเช่นนี้มาก่อน เขาสูดหายใจลึกแล้วยกมือขึ้นเพื่อจะเคาะประตูในเวลาเดียวกับที่มู่หวั่นชิวก็เปิดประตูออกมาอย่างรวดเร็ว ขาข้างหนึ่งอยู่ในประตูข้างหนึ่งอยู่นอกประตู นางมองหน้าเขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น อ้าปากกว้างพลางพูดอะไรไม่ออก

“อาชิว…” หลีจวินเรียกอย่างตื่นเต้นยินดี

ภาพตรงหน้าพลันปรากฏม่านน้ำ มีชั่วขณะหนึ่งที่มู่หวั่นชิวอยากกระโจนเข้าไปหาเขา นางต้องจับประตูไว้แน่นถึงสะกดความหุนหันในใจตนเองลงได้ สายตาค่อยๆ สงบนิ่งลง “พี่หลีกลับมาแล้วหรือ” เห็นใบหน้าเหนื่อยล้าของหลีจวิน น้ำเสียงของนางก็แฝงความสงสาร “พี่หลีผอมลงอีกแล้ว”

หลีจวินมองนางเงียบๆ ใจสั่นเบาๆ เป็นระลอก เขารู้สึกว่ามีเพียงดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดจึงจะสามารถคลายความคิดถึงของเขาที่มีมาตลอดทางได้ แต่ประสานกับสายตาสงบนิ่งของมู่หวั่นชิวแล้วมือที่ยื่นออกไปก็ชักกลับมา ก่อนจะหันหน้ามองไปทางด้านหลังของตนเอง “อาชิวรีบร้อนออกไปเช่นนี้จะไปที่ใดหรือ”

“ข้า…”

แน่นอนว่าไปพบเขาที่ร้านหลีจี้อย่างไรเล่า

คำว่าไปพบเขาเกือบจะหลุดออกจากปาก มู่หวั่นชิวก็กลืนคำพูดลงท้องไป นางพูดอึกอัก “หออีผิ่นเทียนซย่าเพิ่งจะนำเข้าเนื้อกวางสดมาชุดหนึ่ง ข้ากำลังจะไปดู” นางพูดพลางขยับเปิดทางประตู “พี่หลีเข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”

ได้ยินว่านางมีธุระจะออกไป หลีจวินก็ลังเลใจ อยากบอกนางว่าสายอีกนิดจะมาใหม่ แต่ว่าเขาคิดถึงนางเหลือเกิน เพิ่งได้พบหน้ากันทำให้เขาก็ไม่อยากจากไปโดยไม่ได้พูดกันสักคำ เห็นนางหลีกทางให้จึงก้าวยาวๆ เดินเข้าไป

ทั้งที่อยากจะพบเขา แต่กลับพูดว่ามีเรื่องอื่น เห็นท่าทางปากไม่ตรงกับใจของคุณหนูของตนเองแล้ว โม่เสวี่ยก็ลอบถอนใจ หันไปปิดประตูแล้วเดินตามคนทั้งสองเข้าห้องไปห่างๆ

ชงชาต้าหงเผาชั้นเลิศและยกเข้ามากาหนึ่งแล้วโม่เสวี่ยก็หมุนตัวเดินออกไป ปิดประตูลงอย่างเงียบๆ แล้วเฝ้าอยู่หน้าประตู ทั้งที่รู้ว่าทิ้งชายหญิงสองคนอยู่ในห้องตามลำพังเช่นนี้จะทำให้คุณหนูเสียชื่อเสียง แต่โม่เสวี่ยก็ยังหวังจากใจจริงว่าคนคู่นี้จะตกล่องปล่องชิ้นกันได้

ก่อนหน้านี้ยามที่หลีจวินมาเยี่ยมเยือน ต้องให้มู่หวั่นชิวสั่งโม่เสวี่ยจึงจะออกมา ไม่เช่นนั้นนางก็จะเฝ้าอยู่ด้านหลังมู่หวั่นชิว แต่หลังๆ มานี้ทุกครั้งที่หลีจวินมา โม่เสวี่ยก็จะหาทางสร้างโอกาสให้คนทั้งสองอยู่ตามลำพังทั้งมีและไม่มีเจตนา

ทว่าถึงนางจะพยายามสร้างโอกาสมากมายเช่นนี้แล้ว ทั้งสองคนก็ยังจุดไฟไม่ติดเสียที ทำให้คนรู้สึกร้อนใจจริงๆ

มู่หวั่นชิวกลับไม่รู้ถึงความคิดนี้ของโม่เสวี่ย เห็นนางวางน้ำชาแล้วเดินออกไปก็คิดเพียงว่านางมีเรื่องด่วนออกไปจัดการ จึงเข้ามาเทน้ำชาให้หลีจวินเองพลางมองหน้าเขาด้วยรอยยิ้ม “รับร้านเหยาจี้มาแล้วหรือ คนตระกูลเหยาเป็นอย่างไรบ้าง ตลาดเมืองซั่วหยางวุ่นวายมากหรือไม่ จันทน์หอมลดราคาแล้วหรือ”

แม้ว่าซุนมือไวจะใช้พิราบสื่อสารส่งข่าวให้นางรู้คร่าวๆ แล้ว แต่นางยังอยากฟังหลีจวินพูดอีกรอบ ยิ่งละเอียดเท่าไรยิ่งดี ทว่าถามอยู่นานก็ไม่ได้ยินเสียงตอบ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าหลีจวินกำลังมองนางด้วยรอยยิ้ม สายตาจ้องตรงมาราวกับไม่ได้ฟังคำพูดของนางเลยสักนิด มู่หวั่นชิวจึงยกมือขึ้นโบกไปมาตรงหน้าเขา “พี่หลี…”

แค่เพียงนั่งเงียบๆ มองนางเป็นพันรอบก็ยังไม่พอ

ได้ยินนางเรียกตนเองเช่นนี้ หลีจวินก็ดึงสติคืนมาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “อาชิวถามรวดเดียวมากเพียงนี้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงใดดี” ในน้ำเสียงแฝงการหยอกเย้าอย่างเห็นได้ชัด

มู่หวั่นชิวหน้าแดงพลางถลึงตาใส่เขา “เช่นนั้นท่านก็ค่อยๆ ตอบไปทีละคำถาม!” แม้น้ำเสียงฟังดูเง้างอด แต่ดวงตางดงามของนางกลับมีแต่ความโกรธ ทั้งยังไร้ซึ่งความน่ายำเกรง ในสายตาของหลีจวินแล้วนางที่เป็นเช่นนี้กลับดูเหมือนขวยเขิน น่ารัก ทำให้หัวใจเขาเต้นรัวแรง รู้สึกชาไปทั้งตัว ทั้งคันและกระหายจนนึกอยากจะล้อเล่นอีกสักหลายประโยค ถูกนางถลึงตาใส่อีกสองสามครั้งก็ยังรู้สึกสบายใจ แต่กลัวนางจะงอนจนไม่สนใจเขาไปหลายวันจึงกระแอมแล้วพูดอย่างจริงจัง

“เดิมคิดว่าพอตระกูลเหยาล่มแล้ว ตลาดวัตถุดิบเครื่องหอมเมืองซั่วหยางจะต้องวุ่นวายใหญ่โต ทุกคนต้องฉวยโอกาสมาแบ่งแปลงวัตถุดิบและตลาดของตระกูลเหยาเป็นแน่ ใครจะรู้ว่าล้วนถูกการล่มสลายอย่างกะทันหันของตระกูลเหยาทำให้ตกใจ กลัวว่าจะถูกข้าจัดการจนไม่มีใครกล้าลงมือเลยสักคน ทำได้เพียงมองดูโรงธูปไป่เยี่ยรับซื้อบ้านและทรัพย์สินของตระกูลเหยาไปในราคาต่ำ”

“รับซื้อในราคาต่ำ?” จดหมายจากพิราบสื่อสารเล่าไม่ค่อยละเอียดนัก ส่วนจดหมายรายละเอียดของซุนมือไวก็ยังไม่ได้ส่งมา เรื่องเหล่านี้มู่หวั่นชิวจึงไม่รู้เลย

“อืม” หลีจวินพยักหน้า “เพื่อรวบรวมเงิน เหยาซื่อซิงจึงใช้แปลงวัตถุดิบแปลงเดียวกันทางชานเมืองด้านใต้ไปใช้กู้เงินจากร้านแลกเงินหงต๋าและร้านแลกเงินไท่เหอมาสามล้านตำลึง พอตระกูลเหยาล่ม ร้านหงต๋ากับร้านไท่เหอก็โวยวายขึ้นมาก่อน แจ้งเรื่องไปที่ทางการ แม้แต่ใต้เท้าเฉียนเจ้าเมืองซั่วหยางก็วุ่นวายไปด้วย ใต้เท้าหม่าแห่งเมืองจือโจวมานั่งคุมที่เมืองซั่วหยางด้วยตนเอง สั่งให้สมาคมกิจการเครื่องหอมเมืองซั่วหยางคำนวณทรัพย์สินตระกูลเหยาแล้วเปิดขายเพื่อชดใช้หนี้ มีข้านั่งอยู่ที่นั่น หัวหน้าสมาคมอินจึงเสนอราคาต่ำขึ้นมา ทว่าร้านเครื่องหอมในซั่วหยางกลับไม่มีใครกล้าเสนอราคาสูง สุดท้ายโรงธูปไป่เยี่ยจึงได้รับซื้อไว้ในราคาต่ำ”

คิดถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นแล้วหลีจวินก็อารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขามองมู่หวั่นชิวด้วยรอยยิ้ม

“แต่จันทน์หอมที่ตระกูลเหยาตุนเอาไว้เหล่านั้น หลังจากราคาลดลงจากสามร้อยตำลึง แค่เรียกราคาที่สิบตำลึงก็ไม่มีใครรับซื้อ สุดท้ายหัวหน้าสมาคมอินกับใต้เท้าหม่าถึงได้คิดหาวิธีประนีประนอมกับพวกคนที่ร้านเหยาจี้ค้างหนี้ตอนรับซื้อจันทน์หอมมา ไม่ว่าตอนนั้นจะขายให้ตระกูลเหยาในราคาเท่าใด ล้วนต้องขนจันทน์หอมของตนเองกลับไปตามจำนวนที่บันทึกไว้ในใบค้างหนี้ มิเช่นนั้นก็เท่ากับยอมสูญเงินเปล่า” เขาส่ายหน้า “น่าเสียดาย ทั้งที่คนเหล่านี้คิดว่าจะได้เงินก้อนใหญ่ สุดท้ายแล้วก็เอาสินค้ามากองไว้ที่ตระกูลเหยาเสียหลายเดือนแทน แค่ดีใจอย่างเสียเปล่าไม่พอ ยังต้องขนกลับไปถมตนเองอีกครั้ง ตอนนี้คนทั้งเมืองซั่วหยางพากันด่าว่าเหยาซื่อซิงมิใช่คน โดยเฉพาะร้านหงต๋าและร้านไท่เหอ ไม่เพียงไม่ได้ดอกเบี้ย เวลาไม่ถึงสามเดือนก็ต้องสูญเงินไปเกือบหนึ่งล้านตำลึง ด้วยความโกรธแค้นจึงร่วมมือกันจ้างวานพวกนอกกฎหมายฆ่าล้างตระกูลเหยา”

หลีจวินเดิมทีไม่ใช่คนที่พูดอะไรมาก แต่ในเมื่อเขาอยากจะอยู่ใกล้กับมู่หวั่นชิวทุกวัน ทันทีที่มีโอกาสแล้วมีหรือจะยอมพลาด ห่างไปนานกว่าจะกลับมาพบกันอีกครั้ง เขาเสียดายที่ไม่อาจนั่งพูดคุยกับนางที่นี่ได้ทั้งวันทั้งคืน กระทั่งลืมความเหน็ดเหนื่อยตลอดการเดินทางไปจนสิ้น ยิ่งเล่าเรื่องให้ละเอียดเท่าไรก็ยิ่งดี

มู่หวั่นชิวฟังจนตื่นเต้นตกใจ พูดอย่างทอดถอนใจว่า “คิดไม่ถึงจริงๆ เหยาซื่อซิงจะกระอักเลือดจนตาย” กับเหยาซื่อซิง มู่หวั่นชิวมีความทรงจำที่เกี่ยวกับเขาลึกซึ้งมาก วันเวลาที่นางอยู่ในเมืองซั่วหยาง เหยาซื่อซิงดูสูงส่งเกินเอื้อม มีตัวตนอยู่ราวกับเทพ ลองถามดูได้ว่าร้านวัตถุดิบเครื่องหอมในเมืองซั่วหยาง ใครบ้างที่เคยทำการโดยไม่มองสีหน้าเขา

ในปีนั้นหลีจวินแค่ซื้อวัตถุดิบเครื่องหอมไม่กี่ตันจากร้านจางจี้และหานจี้ เพียงครึ่งปีร้านวัตถุดิบเครื่องหอมเล็กๆ สองร้านนั้นก็ถูกปล่อยขายตามกันไป

ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่เหยาซื่อซิงวางอำนาจอย่างมาก!

“เขาล้มป่วยมาตั้งแต่เดือนสามแล้ว” หลีจวินพูดอย่างทอดถอนใจ “ข้าก็ไม่คิดว่าเขาจะจากไปเร็วเช่นนี้ นี่เป็นสิ่งที่เขาหาเรื่องใส่ตนเอง” เขาไม่ได้คิดจะบีบคั้นอย่างโหดร้ายเช่นนี้ ครั้งก่อนที่ไปยังเมืองซั่วหยางแล้วแอบสร้างสถานการณ์เอาจันทน์หอมที่เขาซื้อจากเมืองผู่หยางไปขายให้ตระกูลเหยานั้น แม้เหมือนเป็นแผนเพื่อทำร้ายตระกูลเหยา แต่เขาก็ทำไปเพื่อทดสอบตระกูลเหยาเท่านั้น

หากเหยาซื่อซิงยอมปล่อยมือ ไม่ตุนจันทน์หอมหนึ่งหมื่นหนึ่งพันชั่งของเขากับโรงธูปไป่เยี่ยเอาไว้ ตอนนั้นก็คงดูเป็นการเหลือทางรอดให้ตระกูลหลี แต่ก็เป็นทางรอดให้ตัวเขาเองเช่นกัน

“เหยาจิ่นเป็นอย่างไรบ้าง” คุยกันมาตั้งนาน พูดมาครึ่งค่อนทาง หลีจวินกลับไม่พูดถึงเหยาจิ่นเลย มู่หวั่นชิวจึงอดใจไม่ไหว ถามขึ้นอย่างสงสัย

“นางเป็นบ้าไปแล้ว วันๆ ก็เอาเข็มกับด้ายแทงโน่นนี่ไปทั่ว ไม่กล้าอยู่ไกลคนแม้ชั่วขณะ อาชิว…” หลีจวินพูดพลางเรียกนางอย่างเคร่งเครียด

มู่หวั่นชิวเงยหน้าขึ้นอย่างสงสัย ไม่ได้พูดอะไร

“ข้า…” เสียงพูดหลีจวินลังเลอยู่บ้าง “ข้าซื้อบ้านหลังหนึ่งที่เมืองก่วงอัน เพื่อหลบเลี่ยงการตามไล่ฆ่าของพวกนอกกฎหมาย ข้าจึงให้พวกนางสองแม่ลูกไปพักอยู่ที่นั่น” หลังจากนั้นจะเป็นหรือตายก็อยู่ที่วาสนาของพวกนางแล้ว

พูดจบเขาก็มองมู่หวั่นชิวอย่างตื่นเต้น

ตอนที่อยู่เมืองซั่วหยาง ตระกูลเหยาสองพี่น้องก็เคยเกือบจะบีบมู่หวั่นชิวไปสู่ทางตาย แต่ภายหลังรุ่งเรืองขึ้น นางก็ไม่ได้คิดตั้งใจจะไปแก้แค้นเหยาจิ่นอีก เพียงแค่ยิ้มแล้วปล่อยผ่านไป มู่หวั่นชิวเป็นคนใจกว้าง เรื่องที่บีบให้ท่านพ่อไล่เหยาจิ่นไปนั้นเป็นเพราะเหยาจิ่นบีบจนนางร้อนใจก่อน หลีจวินจึงกังวลใจว่ามู่หวั่นชิวจะไม่พอใจในเรื่องนี้

เขาทำเช่นนี้เพราะคิดว่าอย่างไรเสียเหยาจิ่นก็เคยติดตามเขามาระยะหนึ่ง ด้วยไม่อยากให้นางระหกระเหินจนถูกใครหยามศักดิ์ศรี มู่หวั่นชิวถอนใจเอื่อยอยู่ภายใน แอบคิดว่าพูดกันว่าเขาลงมือโหดร้าย แต่จะมีใครรู้บ้างว่าส่วนลึกในใจเขานั้นขี้สงสารเป็นที่สุด ถ้าตระกูลเหยาไม่บีบตระกูลหลีจนไปสู่ทางตายก่อน ตระกูลเหยาก็คงไม่ต้องบ้านแตกสาแหรกขาดเช่นนี้

ที่เหยาจิ่นมีสภาพเช่นวันนี้ก็เป็นเพราะนางหาเรื่องใส่ตัวเช่นกัน

“อาชิว…” เห็นนางนิ่งเงียบไม่พูดจา หลีจวินจึงเรียกนางเสียงเบา “ข้าเพียงแค่…ข้ากับนาง…” คิดจะอธิบายว่าเขาไม่เคยชอบเหยาจิ่นเลย ที่จัดหาบ้านให้นางอยู่เช่นนี้ก็เพราะสงสารนาง และไม่ได้คิดจะเลี้ยงภรรยาเก็บเลยสักนิด อย่างไรเสียเหยาจิ่นก็เคยแต่งงานกับเขา นับว่าเป็นสตรีของเขา เขาเป็นบุรุษ จะปล่อยให้นางระหกระเหินให้คนรังแกตามใจชอบไม่ได้

คำพูดมาถึงริมฝีปาก หลีจวินจึงพบว่ามู่หวั่นชิวยังไม่แต่งงานกับเขา แม้แต่ชอบก็ยังไม่เคยพูด เขาจึงรู้สึกว่าไม่เหมาะที่จะพูดชี้แจงกับนางเช่นนี้ แต่หากไม่ชี้แจงเขาก็กลัวว่านางจะเข้าใจผิด ทำลายความชอบที่มีต่อเขาซึ่งเกิดได้ยากแสนยากนี้ไป เพียงชั่วครู่หลีจวินกลับเรียบเรียงคำพูดไม่ถูก

นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ‘กังวลจนวุ่นวาย’

“ข้าเข้าใจความหมายของพี่…” มู่หวั่นชิวหลุดหัวเราะออกมา “หวังว่าต่อไปนางจะเรียนรู้จากบทเรียน ไม่เอาแต่ใจอีก ถ้าเรียนรู้ที่จะใจกว้างก็นับเป็นวาสนาของนาง” เสียงนั้นแม้จะราบเรียบ แต่กลับมีความยินดีที่ปิดเอาไว้ไม่มิด

ไม่รู้เพราะเหตุใดเมื่อเห็นท่าทางอึดอัดของหลีจวินที่เหมือนเด็กไม่รู้จักโต มู่หวั่นชิวก็รู้สึกเบิกบานใจเป็นพิเศษ มีชั่วขณะหนึ่ง นางนึกอยากจะโผเข้าไปประคองใบหน้าเขาไว้แล้วจูบสักสองสามที

ท่าทางนี้…ช่างน่ารักเหลือเกิน

ฟังออกว่ามู่หวั่นชิวเบิกบานใจจริง หลีจวินก็มีท่าทางเบาใจ เขาค่อยสงบใจลงได้ เห็นมู่หวั่นชิวดวงตาเปล่งประกายจึงเข้าใจในทันทีว่าตนเป็นฝ่ายคิดมากไปเอง เมื่อถูกนางหัวเราะเยาะ เขาก็ถลึงตาจ้องนาง

อาชิวชักจะรังแกข้าเก่งขึ้นทุกทีแล้ว

เห็นเขาจะชักสีหน้า มู่หวั่นชิวจึงรีบทำหน้าเป็นปกติ ก่อนจะเทน้ำชาให้เขาเต็มแก้วอย่างเอาใจ ปากก็พูดว่า “พี่หลีดื่มน้ำชา”

ยกน้ำชาขึ้นดื่มหนึ่งอึกแล้วหลีจวินก็กระแอม ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไป “ท่านลุงซุนรับอาจารย์แปรรูปวัตถุดิบมาสามสิบกว่าคน ครั้งนี้ติดตามข้ามาต้าเยี่ยหมดแล้ว คิดว่าอีกสิบกว่าวันก็คงมาถึง อาชิวมีงานให้วุ่นวายอีกแล้ว”

“ข้ากำลังรออยู่เลย…” มู่หวั่นชิวพูดอย่างยินดี “ส่งมอบธูปไหว้พระแล้ว ช่วงนี้ข้าก็ไม่มีอะไรทำอยู่พอดี”

“แม้ว่าโรงธูปไป่เยี่ยจะรับกิจการของร้านเหยาจี้มา แต่หากจะยึดครองตลาดของตระกูลเหยายังต้องพึ่งฝีมือของอาชิว…” หลีจวินมองหน้ามู่หวั่นชิวอย่างจริงจัง “ร้านเหยาจี้ล่มแล้ว อาจารย์ที่มีชื่อก็ออกไปกว่าครึ่ง ล้วนถูกร้านวัตถุดิบเครื่องหอมอื่นใช้เงินจำนวนมากดึงตัวไป อาชิวจะประมาทไม่ได้จริงๆ”

“อืม…” มู่หวั่นชิวพยักหน้า เงยหน้าถามว่า “เมื่อใดร้านหลีจี้ถึงจะฟื้นคืนกำลังผลิตขนาดใหญ่ได้อีกเล่า” นางพูดอย่างซุกซน “มีลูกค้าใหญ่อย่างตระกูลหลีข้าก็ไม่กลัวแล้ว”

“ใกล้แล้ว” หลีจวินพูดว่า “ข้าเพิ่งจะได้รับรายงานลับมา หลายวันก่อนครอบครัวของฉางหมิ่นที่เขาทูเจวี๋ยถูกทหารชายแดนกำจัดไปอย่างลับๆ แล้ว” แล้วพูดเน้นเป็นพิเศษ “รวมทั้งหน่วยกล้าตายแปดพันคนของเขาด้วย ไม่มีเหลือรอดแม้แต่คนเดียว”

“จริงหรือ!” มู่หวั่นชิวตัวสั่น

“อืม ทั้งตำบลที่ฉางหมิ่นอยู่ถูกกวาดล้างจนสิ้น ได้ยินว่าแม้แต่เด็กอายุสามขวบก็ยังไม่เว้น” หลีจวินพยักหน้า “นี่แสดงให้เห็นว่าฝ่าบาทตัดสินพระทัยจะกำจัดอิงอ๋องแล้ว คิดว่าไม่เกินสามเดือนอันคังต้องมีข่าวดีส่งมาแน่นอน” นึกอะไรขึ้นได้ เขาจึงหัวเราะแล้วพูดว่า “อาชิวคงไม่รู้ว่าเงินทุนที่ตระกูลเหยาใช้สู้กับตระกูลหลีครั้งนี้ นอกจากตระกูลหลิ่วออกเงินสามล้านตำลึงแล้ว ยังมีหนึ่งล้านตำลึงมาจากฉางหมิ่น ซึ่งเป็นเงินที่อิงอ๋องแอบลงมืออย่างลับๆ สูญเงินไปสามล้านตำลึงเช่นนี้ เชื่อว่าระยะนี้หลิ่วอู่เต๋อคงจะอยู่นิ่งไปก่อน ไม่กล้าหาเรื่องตระกูลของพวกเราง่ายๆ อีกแน่”

หลีจวินพูดไปก็ขมวดคิ้วขึ้นมา แอบพูดในใจว่าครั้งนี้ตระกูลหวงผู่ได้เรียนรู้แล้วจึงไม่ออกเงินแม้แต่น้อย สามารถมองหมากตานี้ออก เดินริมแม่น้ำรองเท้ากลับไม่เปียก* หวงผู่อวี้ผู้นี้นับเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขาคนหนึ่ง จะมองข้ามไม่ได้เป็นอันขาด

หลีจวินไม่รู้ว่าที่หวงผู่อวี้ไม่ได้ลงมือเพราะมู่หวั่นชิวแอบส่งสัญญาณให้ ทำให้ในใจเขายิ่งระวังหวงผู่อวี้ขึ้นอีกเป็นหนึ่งร้อยยี่สิบส่วน

“มิน่าเล่าร้านเครื่องหอมที่ตระกูลหลิ่วรวบรวมเงินสร้างขึ้นที่ชานเมืองตะวันออกเพิ่งสร้างฐานเสร็จก็หยุดเสียแล้ว…” มู่หวั่นชิวเข้าใจทันที “ที่แท้เพราะสูญเงินนี่เอง”

ร้านไป๋จี้ถูกมู่หวั่นชิวแย่งชิงมา ด้วยความจนใจหลิ่วอู่เต๋อจึงเลือกสถานที่แห่งหนึ่งที่ชานเมืองตะวันออก คิดจะสร้างร้านเครื่องหอมขนาดใหญ่ของตนเองขึ้นมา มิเช่นนั้นด้วยพื้นที่เล็กแคบของร้านอี้เหอ ต่อให้หลิ่วเฟิ่งมีชื่อเสียงเพียงใดหรือกู่ฉินมีฝีมือสูงส่งเพียงใดก็มิอาจสู้ตระกูลหลีได้

“ร้านเครื่องหอมของตระกูลหลิ่วก็มีเพียงร้านอี้เหอเท่านั้น…” หลีจวินพูดอย่างทอดถอนใจ

มู่หวั่นชิวส่ายหน้า “รอให้อิงอ๋องล้ม ข้าจะทำให้นางไม่เหลืออะไรเลย!” ในน้ำเสียงแฝงความเหี้ยมโหดที่น้อยนักจะมีให้เห็น

ในชาตินี้นางจะปล่อยหลิ่วเฟิ่งกับกู่ฉินไปง่ายๆ ไม่ได้!

“อาชิวดูเหมือนจะเกลียดหลิ่วเฟิ่งมากนะ” หลีจวินมองมู่หวั่นชิวอย่างสงสัย หากเขาไม่ทราบมาก่อนว่ามู่หวั่นชิวไม่ชอบหร่วนอวี้ เขาคงสงสัยว่าเป็นเพราะหร่วนอวี้นางจึงได้อิจฉาหลิ่วเฟิ่ง

คิดจนหัวแทบแตกหลีจวินก็ยังไม่เข้าใจว่ามู่หวั่นชิวมีเหตุผลอะไรจึงเกลียดหลิ่วเฟิ่งเช่นนี้

มู่หวั่นชิวเปิดเผยความคิดโดยไม่รู้ตัว นางสะดุ้ง ก่อนจะพูดจาคลุมเครือ “พี่หลีไม่เห็นหรือว่านางก็เกลียดข้า ในงานเลี้ยงของคนชนชั้นสูงก็พยายามกีดกันข้าทุกอย่าง” นางถอนใจอย่างแรง “พวกเราเป็นศัตรูเก่ากัน”

ทันทีที่มู่หวั่นชิวเกิดใหม่ หลิ่วเฟิ่งก็ถูกกำหนดให้เป็นศัตรูเช่นนี้แล้ว

เห็นหลีจวินขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิดขึ้นมาจริงๆ มู่หวั่นชิวจึงรีบเปลี่ยนประเด็นพูดไป “สามารถเอาชนะตระกูลเหยาได้เป็นเพราะโชคดีที่มีแผนดีของพี่หลี แต่พี่หลีกลับให้โรงธูปไป่เยี่ยได้ประโยชน์ใหญ่ไปเสียอย่างนั้น” นางมองหลีจวินด้วยรอยยิ้ม “พี่หลีไม่ต้องการกิจการของร้านเหยาจี้จริงหรือ” แล้วพูดอีกว่า “พี่หลีไม่ร่วมรับซื้อร้านเหยาจี้ ใจข้าก็รู้สึกไม่สู้ดีเลย”

นางเป็นหนี้เขาเกือบสองล้านตำลึง ตอนนี้เพื่อรับซื้อร้านเหยาจี้ยังต้องยืมเงินเขาอีกสามแสน มู่หวั่นชิวรู้สึกกระวนกระวายใจจริงๆ

“ถ้าตระกูลหลีเข้าสมาคมกิจการเครื่องหอมเมืองซั่วหยาง วันหน้าต้องกลายเป็นคู่ต่อสู้ของโรงธูปไป่เยี่ยแน่นอน…” หลีจวินส่ายหน้า “ก่อนหน้านี้เพราะถูกร้านเหยาจี้กดดัน ข้าจึงต้องวางแผนเปิดร้านวัตถุดิบเครื่องหอมเอง ตอนนี้มีโรงธูปไป่เยี่ยของอาชิวส่งสินค้าให้ ข้าก็ไม่กลัวแล้ว รอได้โอกาสเหมาะแล้วค่อยถอนร้านออกจากตลาดวัตถุดิบเครื่องหอมของเมืองซั่วหยาง”

หลีจวินพูดไว้ไม่ผิด หากตระกูลหลีกับโรงธูปไป่เยี่ยอยู่ทำกิจการวัตถุดิบเครื่องหอมและทำกิจการเครื่องหอมในเมืองซั่วหยางพร้อมกันจริงๆ ช้าหรือเร็วก็ต้องมีสักวันที่กลายเป็นศัตรูกันแน่ ได้ฟังคำพูดนี้แล้วมู่หวั่นชิวก็รู้ว่าเขาทำทุกอย่างเพื่อให้นางสบายใจ จึงรู้สึกอบอุ่นหัวใจในทันที

แต่ว่า…นางขมวดคิ้วขึ้นทันใด

ในเมื่อตระกูลหลียอมถอนตัวออกจากตลาดวัตถุดิบเครื่องหอมเองแล้ว นางก็ควรจะถอยก้าวหนึ่งด้วยดีหรือไม่ ถอนตัวออกจากตลาดเครื่องหอมเมืองต้าเยี่ยเสีย?

หากเป็นเช่นนี้พวกเขาก็ไม่ต้องหมางใจกันอีก กลายเป็นสหายกันไปตลอดกาล คิดว่าจะต้องขายร้านไป๋จี้ที่เพิ่งได้มานั้นไป มู่หวั่นชิวก็เกิดความเสียดายขึ้นมา ไม่ใช่เพื่อเงิน แต่เพราะเป็นความรักในการปรุงเครื่องหอมมากกว่า นางหวังว่าตนจะมีร้านเครื่องหอมเป็นของตนเอง มีสถานที่ที่นางจะแสดงความสามารถได้อย่างสะดวก

เห็นนางเปลี่ยนสีหน้าไปหลายอย่างในเวลาเพียงชั่วครู่ หลีจวินก็เข้าใจความคิดของนางได้ในทันที เขาจึงพูดหยอกล้อว่า “ข้ายังมีหุ้นสองส่วนครึ่งของโรงธูปไป่เยี่ยอยู่ ยกตลาดวัตถุดิบเครื่องหอมเมืองซั่วหยางให้โรงธูปไป่เยี่ยทั้งหมด ข้าก็ไม่เสียหายอันใดสักหน่อย แค่นั่งรออาชิวแบ่งผลกำไรให้ข้าก็พอ” เขาเปลี่ยนประเด็นพูดไป “ถ้าอาชิวไม่สบายใจ เช่นนั้นก็แบ่งหุ้นลมให้ข้าอีกสองส่วนสิ”

น้ำเสียงหยอกเย้าแฝงความรักอย่างเต็มเปี่ยมสลายความไม่สบายใจที่อยู่ในใจมู่หวั่นชิวไปได้ในพริบตา นางแอบคิดในใจว่าเมืองต้าเยี่ยมีร้านเครื่องหอมมากมายอย่างนั้น พี่หลีไม่สนใจหรอกถ้าจะมีของข้าเพิ่มอีกสักร้าน เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อห้ามไม่ให้ข้าขายร้านไป๋จี้ออกไป ในใจรู้สึกตื้นตัน

มู่หวั่นชิวน้ำตาแทบจะไหลลงมา นางกะพริบตาอย่างแรง ถลึงตามองหลีจวินอย่างเง้างอด “ฝันไปเถอะ! หุ้นสองส่วนครึ่งนั้นข้ายังคิดจะเอากลับมาด้วยซ้ำ!” เห็นหลีจวินหน้าตาอ่อนล้า แม้จะไม่อยากให้เขาจากไป แต่นางยังคงลุกขึ้น “พี่หลีรีบกลับไปเถอะ”

“ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้จะเอาจริงๆ เสียหน่อย เจ้าปวดใจก็มาไล่กันเสียอย่างนั้น” หลีจวินยืนขึ้นอย่างไม่ยินดี เดินไปได้สองก้าว เขาก็หมุนตัวกลับมาทันใด “อาชิว…”

มู่หวั่นชิวเดินตามหลังไปส่งเขา ไม่ทันระวังว่าเขาจะหมุนตัวกลับมาแล้วหยุดยืนกะทันหัน นางจึงถลาเข้าสู่อ้อมอกหนาและกว้างของเขาโดยไม่ทันตั้งตัว มู่หวั่นชิวสั่นไปทั้งตัว แม้จะรู้ว่าเขาจงใจทำ แต่นางก็ยังยื่นสองแขนไปกอดเขาไว้แน่น

ที่จริงเพียงแค่กอดนางสักนิดก็พอแล้ว แต่เมื่อมีร่างหอมนิ่มอยู่ในอ้อมอกเช่นนี้ หลีจวินจึงอยากได้มากกว่านั้น “อาชิว…” เขาพูดพึมพำ “ข้าอยากจูบเจ้า”

ได้ยินเสียงพึมพำดังขึ้นเหนือหัวแล้ว ใบหน้ามู่หวั่นชิวพลันร้อนผ่าว นางคิดอยากสลัดตัวให้หลุดจากเขาแล้วหนีไป แต่นึกถึงความปรารถนาอยากได้ลูกสักคนของตนเองแล้ว มู่หวั่นชิวก็ตัดสินใจหลับตาลง สองมือเกาะไหล่เขาแล้วเขย่งปลายเท้าขึ้น ทาบริมฝีปากลงที่ริมฝีปากของเขา

รับรู้ถึงปลายลิ้นเล็กของนางสอดเข้ามาในปาก ในสมองของหลีจวินก็เกิดเสียงดังครืน ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาจึงโน้มตัวลง ดูดดื่มริมฝีปากนางหนักหน่วงขึ้น มือหนึ่งประคองเอวของนาง อีกมือหนึ่งไม่อยู่นิ่งเลื่อนไปสัมผัสหน้าอกอันอวบอิ่มของนาง เดิมทาบลงไปเพียงแค่หยั่งเชิงดู เห็นมู่หวั่นชิวไม่ได้ขัดขืนหรือหลบหลีก หลีจวินจึงใจกล้าบีบคลึงอกอิ่มนั้น…

เดิมคิดว่าเช่นนี้ก็สามารถคลายความปรารถนาได้ แต่ใครจะรู้ว่ายามที่ถูกร่างอ่อนระทวยของมู่หวั่นชิวแนบติดเช่นนี้ ร่างของหลีจวินราวกับระเบิดจนยากจะทนทานไหว มือใหญ่จึงเลื่อนเข้าไปใต้เนื้อผ้า เพียงแตะผิวเนื้อที่ละเอียดนุ่มเนียนนั้น หลีจวินก็สั่นไปทั้งตัว เสียงเข้มครางออกมาเบาๆ อย่างควบคุมไม่อยู่ หายใจหอบแรงขึ้นมา…

เม็ดเหงื่อไหลลงมาตามหน้าผากของหลีจวิน เขาพยายามดึงตัวมู่หวั่นชิวมาแนบแผ่นอก อยากจะบดร่างนางเข้ามาในร่างตนเอง มือก็เลื่อนไปกระชากกระดุมคอเสื้อของนางลงมา แล้วก้มลงจุมพิตยอดทรวงอก มู่หวั่นชิวตัวสั่นพลางส่งเสียงครางออกมา หลีจวินหยุดการกระทำลงทันใด “อาชิว ข้าอยากได้ตัวเจ้าในตอนนี้เลย…”

สองแก้มแดงเรื่อ มู่หวั่นชิวไม่พูดอะไร เพียงแค่หลับตาแล้วกอดเขาไว้แน่น สองขาไม่รู้ว่าปีนไปอยู่บนเอวของเขาตั้งแต่เมื่อใด ผิวกายของทั้งสองห่างกันเพียงเนื้อผ้ากั้น ตรงท้องน้อยที่อ่อนนุ่มของนางคล้ายสัมผัสเข้ากับแรงปรารถนาที่คับแน่นของเขาอย่างไม่ตั้งใจ

หลีจวินอุ้มนางเดินไปที่เตียงโดยไม่พูดพล่ามอะไรอีก จนกระทั่งไปถึงข้างเตียงแล้วเขาก็ชะงักไปทันใด ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ อยู่หลายครั้งกว่าจะสงบใจลงได้ เขาค่อยๆ ปล่อยตัวนางลงพื้น แล้วจัดเสื้อผ้าให้นางอย่างช้าๆ

หากว่าห้ามใจไม่อยู่จนรวบรัดครอบครองตัวนางเช่นนี้ หลังจากร่วมรักกันแล้วนางจะต้องเสียใจมากแน่นอน

เขาอยากเก็บช่วงเวลาที่งดงามที่สุดไว้ในคืนวันแต่งงานของพวกเขา!

เห็นไฟปรารถนาในดวงตาของหลีจวินค่อยๆ จางหายไป มู่หวั่นชิวก็รู้สึกเศร้าใจ…

ชาติก่อนนางเรียนรู้เคล็ดลับมามากมายถึงเพียงนั้น เหตุใดเมื่อเจอเขาแล้วกลับใช้ไม่ได้ผลเลยเล่า

ว่ากันว่าบุรุษล้วนบ้าตัณหากันทุกคนมิใช่หรือ

เหตุใดนางคิดจะใช้ตัณหาหลอกล่อขอลูกเขาสักคนจึงยากเย็นเช่นนี้

 

“อะไรนะ! คนแปดพันคนในเรือนฉางหมิ่นเป็นหน่วยกล้าตายของอิงอ๋องหรือ” ฟังรายงานจากหร่วนซีแล้ว สีหน้าของหร่วนอวี้ก็ซีดขาวทันใด “และถูกลอบฆ่าไปหมดแล้ว?”

“ขอรับ” หร่วนซีพยักหน้า “ซ่งเสียงถูกคนแอบส่งตัวกลับมาที่เมืองอันคัง ฝ่าบาททรงสอบสวนจนรู้ความจริงว่าเรื่องจวนหม่าหนิงมิใช่ฝีมือของชาวทูเจวี๋ย แต่ฉางหมิ่นเป็นคนทำ ที่จริงเขาก็ถูกส่งตัวกลับอันคังอย่างลับๆ แล้ว”

“เป็นไปได้อย่างไร” หร่วนอวี้ส่ายหน้า สีหน้าซีดขาว “เรื่องสำคัญเช่นนี้ อิงอ๋องกลับไม่บอกข้าเชียวหรือ” เสียงพูดชะงักไป เขานึกถึงเรื่องที่อิงอ๋องเคยมีคำสั่งฆ่าซ่งเสียงมาให้เขา แอบคิดในใจว่า ที่แท้อิงอ๋องก็ทรงไม่ไว้ใจข้ามาโดยตลอด เขาเกิดความรู้สึกผิดหวังขึ้นมารางๆ

“ข้าน้อยได้ยินมาว่าอิงอ๋องทรงส่งยอดฝีมือหลายสายไปลอบฆ่าฉางหมิ่นระหว่างทางไปอันคังอย่างลับๆ” กำลังพูดอยู่หร่วนซีก็ส่ายหน้า “แต่น่าเสียดาย ต่อให้ฆ่าฉางหมิ่น หรือทำลายพยานบุคคลจนหมด เชื่อว่าฝ่าบาทก็คงไม่ให้ความสำคัญกับอิงอ๋องอีกแล้วกระมัง” เขามองหน้าหร่วนอวี้อย่างกังวล “อิงอ๋องหมดอำนาจ ใต้เท้าคิดวางแผนล่วงหน้าเถอะขอรับ”

วางแผนหรือ

สีหน้าหร่วนอวี้ยังคงซีดขาว เวลาผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงส่ายหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง “นับจากท่านอ๋องแก้แค้นให้ท่านพ่อข้า ชีวิตของข้าก็เป็นของเขาแล้ว บุรุษมีชีวิตอยู่ใต้ฟ้า ตายเป็นตายสิ จะผิดสัจจะได้อย่างไร”

“แต่ว่า…” หร่วนซีร้อนใจจนใบหน้าแดงก่ำ

หร่วนอวี้โบกมือ ไม่ได้ให้เขาพูดต่อ “ซีเอ๋อร์รีบลงมือเถอะ พาคนในค่ายลับของตระกูลหร่วนออกไปจากที่เลวร้ายแห่งนี้ ไม่ว่าต้าเยี่ยจะเกิดอะไรขึ้นก็อย่ากลับมาอีก!” น้ำเสียงของเขาหนักแน่น ไร้ซึ่งความลังเล

“ใต้เท้า…” หร่วนซีทรุดตัวลงคุกเข่า “ข้าน้อยยินดีติดตามร่วมเป็นร่วมตายกับใต้เท้า แม้ตายก็ไม่ไป!”

“เจ้าไปเถอะ” หร่วนอวี้ดึงตัวเขาขึ้นมา “หาสถานที่ที่มีเขาเขียวน้ำใส ซื้อไร่นาสักหน่อย ภายหน้าถ้าข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะได้มีที่ให้อยู่ด้วย” น้ำเสียงแฝงด้วยความเศร้าสลดของการพลัดพราก

ทันใดนั้นหร่วนอวี้ก็รู้สึกถึงความอ่อนล้าอย่างมาก เขาอยากพามู่หวั่นชิวไปหาสถานที่ที่มีเขาเขียวน้ำใส ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกอีก

ชาตินี้หากมีนางเคียงข้าง ชื่อเสียงลาภยศเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้

แต่ว่านางจะยอมหรือ

ภาพตรงหน้าพลันปรากฏดวงตาเย็นชาคู่นั้น หร่วนอวี้รู้สึกเจ็บปวดใจ นางเหมือนดวงดาวที่ลอยอยู่บนฟากฟ้า ไม่ว่าเขาจะพยายามเพียงใดก็ไม่อาจเอื้อมไปได้ถึง

“ใต้เท้าทำเพื่ออิงอ๋องสุดแรงกายแรงใจมาหลายปี อย่างน้อยก็ได้ทดแทนบุญคุณไปแล้ว” หร่วนซีเกลี้ยกล่อมอย่างไม่ยอมแพ้ “ใต้เท้าไปกับข้าน้อยเถอะขอรับ…” เห็นหร่วนอวี้ไม่พูดจา เขาจึงพูดต่อไปว่า “ใต้เท้าจงรักภักดีต่ออิงอ๋อง แต่ท่านอ๋องกลับสงสัยเคลือบแคลงในตัวท่าน หากท่านอยู่ที่นี่ ทุกการเคลื่อนไหวก็จะถูกใต้เท้าจั่วคอยควบคุม สู้จากไปไม่ดีกว่าหรือ”

เมื่อคิดถึงจั่วเฟิงขึ้นมาก็เห็นว่าอีกฝ่ายนับวันมีแต่จะยิ่งไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ทั้งยิ่งกำเริบเสิบสาน หร่วนอวี้นึกแล้วก็แอบถอนใจ “ใครว่าไม่ใช่เล่า ถ้าไม่มีอิงอ๋องคอยบงการ เขาจะกล้าทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร”

แต่ว่าเขาส่ายหน้า

นางยังอยู่ที่นี่ จะให้เขาจากไปได้อย่างไร

คิดถึงเรื่องคำสั่งลับที่เพิ่งได้รับมา ไม่ว่าอย่างไรก็จะให้เขาสังหารมู่หวั่นชิวให้ได้

หร่วนอวี้พลันขนลุกซู่ด้วยความกลัว เพราะเรื่องธูปไหว้พระของแคว้นซีอวี้ อิงอ๋องจึงเกลียดแค้นนางยิ่งนัก ไม่ว่างานใหญ่จะสำเร็จหรือไม่ เขาก็ต้องสังหารนางให้จงได้!

ในเวลานี้ในใจอิงอ๋องคงมั่นใจแล้วว่าถ้าไม่มีมู่หวั่นชิวสักคนงานใหญ่ของเขาคงสำเร็จไปนานแล้ว!

ไม่เพียงแค่อิงอ๋องเท่านั้น หร่วนอวี้ก็คิดว่าหากไม่มีมู่หวั่นชิวคอยช่วยปรุงเครื่องหอมชั้นเลิศให้ตระกูลหลีครั้งแล้วครั้งเล่า งานใหญ่ของเขาคงสำเร็จไปแล้วเช่นกัน แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้เขาก็ยังทำร้ายนางไม่ลง ไม่อยากเห็นนางต้องเป็นทุกข์ และไม่อยากเห็นนางต้องตายไปอย่างไร้ความผิด

“ใต้เท้าไปพร้อมกับข้าน้อยเถิดขอรับ” เห็นหร่วนอวี้ขมวดคิ้วไม่พูดจา หร่วนซีก็พูดกล่อมต่อไปอย่างทุกข์ใจ

“เจ้ารีบไปเถอะ” หร่วนอวี้ส่ายหน้า “อิงอ๋องคงจะรู้เรื่องค่ายลับตระกูลหร่วนแล้ว ถ้าช้าไปเกรงว่าจะไม่ทันการ” เสียงนั้นเบาลง แต่หนักแน่นอย่างมาก

อิงอ๋องไม่เชื่อใจเขาเช่นนี้ เขายังจะถวายชีวิตให้อีกหรือ!

ได้ฟังคำพูดนี้แล้วหร่วนซีก็ปวดใจ น้ำตาแทบจะไหลลงมา สุดท้ายเขาก็พยักหน้าอย่างเด็ดขาด “ข้าน้อยจะไปทำตามเดี๋ยวนี้ รอให้จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วจะรีบกลับมาหาท่านทันที” พูดจบ ไม่รอให้หร่วนอวี้มีอาการตอบสนองใดๆ เขาก็ประกบมือขึ้น “อิงอ๋องไม่ควรค่าจะให้ใต้เท้าถวายชีวิตให้เลยสักนิด ใต้เท้าต้องรักษาตัวให้ดีนะขอรับ!”

ส่งหร่วนซีไปแล้ว หร่วนอวี้ก็หยิบจดหมายลับบนโต๊ะขึ้นมาอีกครั้ง

อ่านไปได้ครึ่งหนึ่ง เขาก็คว่ำจดหมายลงบนโต๊ะ แอบคิดในใจว่าถ้าอิงอ๋องหมดอำนาจ จวนผู้บัญชาการของข้าเกรงว่าคงเป็นที่แรกที่จะถูกกวาดล้าง ความคิดนี้แล่นผ่าน หร่วนอวี้ก็รีบลุกขึ้นทันที

เดินออกจากห้องหนังสือก็พบว่าระเบียงทางเดินนั้นเงียบสงบ องครักษ์เห็นเขาเดินออกมาจึงโค้งคำนับ “ใต้เท้า…”

หร่วนอวี้โบกมือให้พวกเขาถอยออกไป แล้วเดินไปทางเรือนด้านหลังเพียงคนเดียว

ด้วยรู้ว่าหลีจวินเป็นคู่ต่อสู้ที่เจ้าเล่ห์เพียงใด หน่วยเงาของตระกูลหลีก็คอยทำงานอย่างลับๆ อยู่ในทุกที่ หร่วนอวี้จึงไม่เคยเก็บจดหมายลับที่ติดต่อกับอิงอ๋องหรือของสำคัญมากๆ อย่างอื่นไว้ในห้องหนังสือเลย เขาสร้างห้องลับขึ้นมาที่ลานด้านหลังก็เพื่อใช้เก็บสิ่งของเหล่านี้โดยเฉพาะ

ความล่มสลายใกล้จะมาถึงแล้ว เขาต้องฉวยโอกาสที่ตนเองยังสามารถไปมาได้อย่างอิสระทำลายของเหล่านี้ทิ้งเสีย

โปรดติดตามตอนต่อไป……

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

Jamsai Editor: