X
    Categories: JamsaiPrincess Syndromeทดลองอ่านเรื่องเด่นวันนี้

ทดลองอ่าน Princess Syndrome ตอนที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 7

อาการที่หนึ่ง

ไอคิวและอีคิวต่ำ

 

การได้พบคุณเป็นอุบัติเหตุที่แสนงดงาม…ซะที่ไหนกัน!

เด็กผู้หญิงทุกคนมักจะจินตนาการว่าตัวเองเป็นซินเดอเรลล่า แล้วเมื่อกาลเวลาผันเปลี่ยนไป ซินเดอเรลล่าเหล่านี้ก็มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘สาวโพสต์อิต’

เด็กผู้หญิงพวกนี้แม้จะมีชาติตระกูลธรรมดา หน้าตาเรียบๆ และรูปร่างงั้นๆ แต่พวกเธอก็จิตใจงดงาม ทรหดอดทน ถึงจะไม่ค่อยเฉลียวฉลาด แล้วก็ออกจะเซ่อซ่าหน่อยๆ ก็เถอะ

พวกเธอแต่งตัวเรียบง่าย ตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยไปช็อปในร้านแบรนด์เนม แยกไม่ออกว่าอันไหนเกสส์ อันไหนกุชชี่ แต่ช่างน่าอัศจรรย์ที่พวกเธอมักได้พบกับพระเอกแสนเพอร์เฟ็กต์ที่เปล่งประกายเจิดจ้า แบรนด์เนมทั้งตัวในเวลาอันรวดเร็ว จากนั้นก็แสดงความโดดเด่นของการเป็นโพสต์อิตออกมาอย่างราบรื่น ติดกับตัวพระเอกแน่นหนึบไม่ยอมปล่อย จนท้ายที่สุดก็เอาชนะแฟนสาวหรือคู่หมั้นที่รูปร่างหน้าตาและฐานะดีกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่า กลายเป็นที่ชื่นชอบโปรดปรานของเจ้าชาย แล้วนับแต่นั้นก็ได้ก้าวสู่วงสังคมไฮโซ แปรเปลี่ยนเป็นหญิงสูงศักดิ์ที่ใครๆ พากันอิจฉาริษยาตาร้อน

ดูสิ ช่างเป็นเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจมากขนาดไหน!

แน่นอนว่าระหว่างทางจะต้องมีหยาดน้ำตาและการเสียสละบ้างไม่มากก็น้อย แต่ฉันเชื่อว่าทันทีที่ซินเดอเรลล่าสวมชุดแต่งงานที่สวยหรู ในก้นบึ้งของหัวใจจะต้องยกสองมือขึ้นเท้าเอว แหงนหน้าขึ้นฟ้าพร้อมหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง วะฮ่าๆๆ ในที่สุดข้าก็เปลี่ยนจากอีกามาเป็นหงส์แล้ว!

ถามว่าทำไมฉันถึงได้เข้าใจความคิดของซินเดอเรลล่าเหล่านั้นได้ทะลุปรุโปร่งอย่างนี้น่ะเหรอ

ไม่รู้เหมือนกันว่าโชคดีหรือโชคร้าย แม่บังเกิดเกล้าของฉัน…คุณนายจูเลียก็เป็นหนึ่งในสมาชิกชมรมอีกากลายเป็นหงส์ด้วยเช่นกัน

แม่เป็นตัวอย่างที่ดีของบรรดาหญิงสาวที่ใฝ่ฝันถึงตระกูลอันร่ำรวยมั่งคั่ง ตั้งแต่เล็กจนโตแม่มักจะคอยพูดที่ข้างหูฉันอยู่เสมอโดยยกตัวเองเป็นตัวอย่างว่าการแต่งงานเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผู้หญิง มีหน้าที่การงานที่ดีสู้แต่งงานอยู่กินอย่างมีความสุขไม่ได้ แต่งงานอยู่กินอย่างมีความสุขสู้แต่งงานกับคนรวยไม่ได้

“แต่ว่าแม่เป็นเมียน้อย” ฉันมักจะจิ้มฟองอากาศสีชมพูของผู้หญิงคนนี้อย่างไม่แยแส

“แล้วยังไง ยังมีคนที่แย่งกันเป็นชู้เป็นกิ๊กอีกตั้งเยอะแยะ” คุณนายจูเลียนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งของฉัน แล้วหยิบตะไบมาตะไบเล็บจนได้รูปสวยอย่างแคล่วคล่อง พูดน้ำเสียงกระหยิ่มยิ้มย่องโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา “ตอนนั้นไม่รู้มีดาราสาวกับพวกคุณหนูมาจีบพ่อลูกตั้งเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่”

สำหรับคนที่เป็นลูกสาวแล้ว เมื่อได้ยินประโยคนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะดีใจที่พ่อตัวเองหล่อเหลาเสน่ห์เหลือล้นดี หรือว่าควรร้องไห้เห็นอกเห็นใจแม่ดี

“ใช่ๆๆ ก็เลยทำให้แม่ลำบากใจ ต้องยอมอยู่กับพ่อหนูอย่างไม่มีตัวตนแบบนี้”

คุณนายจูเลียยื่นเล็บที่ทาน้ำยาทาเล็บสีแดงมาบีบจมูกอันโด่งสวยของฉันอย่างสนิทสนม “รู้ว่าแม่ลำบากใจก็ดีแล้ว”

ฉันจับดั้งจมูกที่ถูกบีบจนเจ็บและรีบถอยหนี “อย่าบีบจมูกหนูแรงสิ เพิ่งทำมานะ” ฉันส่องกระจกดูซ้ายทีขวาที ดีนะที่จมูกไม่เบี้ยว แค่แดงนิดหน่อย จึงรีบเอาแป้งพัฟมาตบหนึ่งที

“ไปเสริมจมูกตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่เห็นรู้เลย” คุณนายจูเลียตาเป็นประกาย เสียงสูงขึ้นสามสี่คีย์ “นอกจากจมูกแล้วยังทำตรงไหนอีก”

แย่แล้ว หลุดปากจนได้

“ก่อนกลับไต้หวัน แวะไปเกาหลีมาแป๊บนึงก็เลยถือโอกาส…” ฉันเบือนหน้าหนี กระแอมหนึ่งทีและพูดเสียงงึมงำ “แค่เสริมให้มันโด่งเอง” แล้วก็แถมกรีดตาสองชั้นอีกนิด

“ดูเป็นธรรมชาติดีนี่” เธอหรี่ตาหนึ่งข้าง แล้วจับใบหน้าฉันหันซ้ายหันขวาพลางเพ่งพินิจ “ใช้กระดูกอ่อนหรือซิลิโคนล่ะ แล้วทำคลินิกไหน เสียเงินไปเท่าไหร่”

“มีทั้งสองอย่างนั่นแหละ” ฉันพูดเสียงเบาราวกับยุง “ส่วนอย่างอื่น…ลืมไปหมดแล้ว”

“ลืมแล้ว?” เธอทำเสียงจิ๊จ๊ะ รู้สึกว่ามีลับลมคมใน “ไม่หรอกมั้ง หลินซิงเฉิน บอกแม่มาซะดีๆ ลูกเป็นเด็ก อายุยังไม่ถึงสิบแปดดี แถมไม่รู้ภาษาเกาหลี แล้วไปศัลยกรรมที่เกาหลีได้ยังไง”

“หนูพาล่ามไปด้วย”

“ค่าทำแพงมากนะ”

“หนูมีเงินเก็บในธนาคาร”

“หลิน-ซิง-เฉิน?”

ฉันปิดไม่อยู่แล้ว ก็เลยบอกความจริงทั้งหมด “ ‘ผู้หญิงคนนั้น’ เป็นคนพาหนูไป” ฉันถอนหายใจ แอบรู้สึกว่าตัวเองเปิดศึกระหว่างผู้หญิงสองคนอีกแล้ว

“จู่ๆ ลูกก็วิ่งโร่ไปศัลยกรรม ลูกไม่พอใจใบหน้าที่แม่ให้มาอย่างนั้นเหรอ”

เอาแล้วไง พอเอ่ยถึงผู้หญิงคนนั้นทีไร อาการหลงผิดคิดว่าตัวเองถูกกลั่นแกล้งของคุณนายจูเลียก็กำเริบขึ้นมาทุกที

“เรื่องใหญ่แบบนี้ไม่ปรึกษากับแม่ก่อน? วิ่งไปหาผู้หญิงคนนั้นทำไม ผู้หญิงคนนั้นนินทาอะไรแม่อีกหรือเปล่า”

“จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนี้ด้วยเหรอคะ” ฉันเหลือบมองแวบหนึ่งแล้วเบนสายตาไปทางอื่นทันที ก่อนพูดเชิงตัดพ้อเล็กน้อยว่า “ตอนนั้นแม่คลอดหนูก็ไม่เห็นจะปรึกษาหนูก่อนเลย”

“หน็อย! ยัยเด็กไม่มีหัวจิตหัวใจ แม่รู้อยู่แล้วเชียวว่าลูกไม่ชอบแม่” คุณนายจูเลียชี้ที่จมูกฉันด้วยตาแดงก่ำ “ฮือๆๆ…ทำไมชีวิตฉันถึงเป็นแบบนี้ ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพื่อคลอดลูกออกมา ลูกคิดว่าแม่ชอบเป็นเมียน้อยคนอื่นงั้นเหรอ ลูกคิดว่าแม่ชอบเห็นสีหน้า ‘ผู้หญิงคนนั้น’ หรือไง”

เฮ้อ ลูกคนนี้ผิดไปแล้ว ถูกแม่บีบจมูกก็ควรที่จะอดทน ด้วยเหตุที่ปากไวไปชั่วขณะทำให้หูของฉันไม่เป็นอันสงบไปหลายสิบนาที

ผู้หญิงคนนั้นหมายถึงภรรยาในทะเบียนสมรสของพ่อ ถ้าเป็นสมัยโบราณจะเรียกว่า ‘คุณนายใหญ่’ ซึ่งฉันเรียกว่า ‘แม่ใหญ่’ ส่วนแม่ที่ให้กำเนิดฉันเป็นผู้หญิงนอกทะเบียนสมรสของพ่อ สมัยโบราณเรียกว่า ‘อนุภรรยา’ ส่วนสมัยนี้เรียกว่า ‘เมียน้อย’

เรื่องราวระหว่างแม่กับพ่อนี้ หากเป็นนิยายรักก็คงจะเป็นแนวประธานบริษัทกับเลขานุการ

แน่นอนว่าประธานบริษัทก็คือพ่อผู้ร่ำรวยเงินทองและมากด้วยเสน่ห์ของฉัน ส่วนเลขานุการสาวสวยที่ยากจนและมุ่งแสวงหาความก้าวหน้าก็คือแม่ฉัน

พล็อตเรื่องนั้นแสนธรรมดาเช่นเดียวกับนิยายรักทั่วไป ประธานบริษัทกับเลขาฯ ทำงานด้วยกันทุกวัน ทำงานไปทำงานมาก็สบตากันโดยบังเอิญ ส่งสายตาให้กัน ทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ แล้วก็เปลี่ยนจากโต๊ะทำงานไปเป็นบนเตียงโดยไม่ทันระวัง กลิ้งไปกลิ้งมา…ขอตัดฉากคาวโลกีย์ความยาวสามสี่แสนตัวอักษรออก…จากนั้นคู่หมั้นสาวที่มาพร้อมกับเงินและอิทธิพลมหาศาลก็ปรากฏตัวขึ้น…ขอตัดฉากตบตี สาดกาแฟ เจรจาต่อรอง เซ็นเช็คที่มีความยาวสามสี่แสนตัวอักษรออกอีกครั้ง…เรื่องนี้เป็นดราม่าแสนเศร้า ประธานบริษัทจีบเลขานุการสาว บวกกับมีคู่หมั้นสาวคอยก่อกวนวุ่นวาย ทะเลาะเบาะแว้งด่าทอกันตลอดจนมาถึงตอนจบ คนรักกันท้ายสุดก็ได้ครองเรือนกัน โอ๊ะ! ไม่ใช่สิ คนรวยท้ายสุดก็ได้ครองเรือนกันต่างหาก ประธานบริษัทหรือก็คือพ่อของฉันได้แต่งงาน ส่วนคู่ครองก็เป็นคุณหนูที่มีชาติตระกูล ฐานะเท่าเทียมกัน

มีคำกล่าวอยู่ประโยคหนึ่งว่า ‘ผู้หญิงอ่านนิยายรักก็เหมือนกับการที่ผู้ชายดูหนังโป๊ ต่างก็เป็นการผ่อนคลายทั้งคู่’ นิยายรักก็เหมือนกับหนังโป๊ คือเป็นนิทานสำหรับผู้ใหญ่ ในเมื่อเป็นนิทาน หากเชื่อเป็นจริงเป็นจัง คุณก็จะพ่ายแพ้

ในชีวิตจริง พ่อฉันไม่เผด็จการพอ ด้านแม่ใหญ่ก็แสนจะเก่งกาจเฉลียวฉลาดเหลือเกิน เรื่องที่จะเขียนชื่อใครบนช่องสำหรับกรอกชื่อคู่สมรสในทะเบียนบ้านนั้นทำเอาผู้หญิงสองคนต้องต่อสู้เชือดเฉือนกันเป็นสิบกว่าปี สร้างความขบขันให้กับคนนอกไม่น้อย แต่จนแล้วจนรอดพ่อผู้ไม่มีความรับผิดชอบก็ลาจากโลกไปโดยที่ยังคงจัดการแก้ปัญหาไม่ได้

ผ่านไปสิบกว่าปี เมียหลวงกับเมียน้อยก็จำต้องยุติการรบ รักษาความปรองดองกันเฉพาะภายนอก แล้วคุณนายใหญ่ก็รับเลี้ยงฉัน เพื่อที่ฉันจะได้ไม่ต้องตกอยู่ในสภาพ ‘ลูกนอกสมรส’ จากนั้นมาฉันก็เรียกคุณนายใหญ่ว่า ‘แม่ใหญ่’

ท่ามกลางการต่อสู้แย่งชิงผลประโยชน์มากมายมหาศาลของบริษัท ระหว่างเมียหลวงที่ไม่มีลูกกับเมียน้อยที่มีลูกสาวเพียงคนเดียว ใครมีฐานะสูงต่ำกว่ากันเป็นเรื่องที่พูดยากมากจริงๆ

“ลูกเดินใกล้ผู้หญิงคนนั้นมากขนาดนั้น ไปเที่ยวและทำศัลยกรรมที่เกาหลีด้วยกันอย่างมีความสุข นึกไม่ถึงเลยว่าจะปิดบังแม่…” คุณนายจูเลียน้ำตาคลอ แสดงเก่งจริงๆ “ในสายตาลูกยังมีแม่บังเกิดเกล้าคนนี้อยู่มั้ย ฮือๆๆ…พ่อของลูกด่วนสิ้นบุญไปก่อน ชีวิตนี้แม่ต้องฝากผีฝากไข้กับลูกแล้ว…”

อย่ามาพูดแบบนี้หน่อยเลย

“พ่อทิ้งบ้านและที่ดินไว้ให้ไม่ใช่เหรอ แม่ยังต้องฝากผีฝากไข้หนูอีกเหรอคะ” ฉันเหลือบมองทางหางตา “อย่าบอกนะว่าแม่ขายไปหมดแล้ว”

“บ้านเก่าซอมซ่อแถบชานเมืองห่างไกลแค่ไม่กี่หลังจะได้ราคาสักเท่าไหร่กัน ถึงแม่อยากขายก็คงไม่มีใครอยากซื้อหรอก!” แม่ถอนหายใจ ดูท่าทางซึมเศร้า “ซิงเฉิน แม่จะบอกให้ฟังนะ การที่แม่อยู่กับพ่อของลูก แม่ไม่ได้หวังบ้านและที่ดินพวกนั้นเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้หญิงเราคือหน้าตาและชื่อเสียง…”

“ก็จริง ยังไงสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้หญิงเราก็คือหน้าตาและชื่อเสียง” ฉันครุ่นคิดแล้วพยักหน้าเห็นด้วย “แม่น่ะอย่าว่าแต่บ้านไม่กี่หลังเลย อย่างน้อยๆ สมบัติหนึ่งในสามของ ‘กลุ่มบริษัทดอลลี่’ ก็เป็นของแม่ แม่ใช้สามสี่ชาติก็ไม่หมด”

กลุ่มบริษัทดอลลี่เป็นกิจการของครอบครัวฉันที่ตกทอดกันมาสามรุ่น อย่าเพิ่งคิดว่าชื่อออกฝรั่งนี้ตั้งได้ทันสมัยนะ พอเขียนเป็นภาษาจีนมันก็คือคำว่า ‘ลี่’ ที่หมายถึงกำไรเยอะแยะ เงินทองมากมาย

กิจการภายใต้กลุ่มบริษัทดอลลี่นั้นไม่ได้สลับซับซ้อน ทำเฉพาะรองเท้าอย่างเดียว เช่น รองเท้าผู้ชาย รองเท้าผู้หญิง รองเท้าหนัง รองเท้ากีฬา รองเท้าปีนเขา รองเท้าจ๊อกกิ้ง รองเท้าผ้า รองเท้าแตะ รองเท้าบูตกันน้ำ รองเท้ายาง รองเท้าสำหรับทารก รองเท้าบูตสำหรับขี่ม้า รองเท้าสำหรับเดินลุยหิมะ…พูดง่ายๆ คืออะไรก็ตามที่ห่อหุ้มฝ่าเท้าได้ล้วนเป็นสินค้าที่โรงงานของครอบครัวฉันผลิตหรือไม่ก็จ้างบริษัทอื่นผลิตให้

ทำรองเท้าแล้ววิเศษตรงไหนน่ะเหรอ ก็ไม่ได้วิเศษอะไรหรอก นิตยสารการเงินกล่าวว่ามันมีมูลค่าทางการตลาดแค่ไม่กี่หมื่นล้านเท่านั้นเอง

“ตอนนั้นพ่อของลูกบอกว่าจะหย่ากับผู้หญิงคนนั้นแล้วมาแต่งงานกับแม่ แต่สุดท้าย ดูสิ ถ่วงมาสิบกว่าปี จนแม่ต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้…”

“คนก็ตายไปแล้ว มาพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าลูกแล้วมันได้ประโยชน์อะไร”

สิ้นเสียงแม่ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าแบรนด์ชาแนล เกล้ามวยผมดูสะอาดเรียบร้อย ใส่รองเท้าส้นสูงสีทองเดินเข้ามาเสียงดังกึกๆ แม่ใหญ่ปรากฏตัวแล้ว

แม่ใหญ่มีชื่อเดิมว่าเฉินหมิงลี่ แม้จะอายุสี่สิบปลายๆ แล้ว แต่ก็ดูแลรักษาหุ่นเป็นอย่างดี แต่งหน้าสวยสดงดงาม ภาพลักษณ์ดูเก่งฉลาด ทั้งยังสุขุมหลักแหลม เป็นหญิงเก่งดูแลกลุ่มบริษัทดอลลี่ เรียกได้ว่าสมแล้วที่ได้ฉายา ‘เจ้าแม่ธุรกิจรองเท้า’

ฉันนับถือแม่ใหญ่ ส่วนเรื่องอื่นไม่ต้องพูด เพราะอย่างไรก็ตามนายทุนที่ทำให้ฉันมีเงินใช้สอยไม่ขาดมือก็คือเธอ แล้วฉันก็รู้ด้วยว่าสำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง การโลดแล่นในวงธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ผู้หญิงเฉลียวฉลาดแบบนี้ เมื่อแต่งงานไปแล้ว ไม่ว่าสามีจะดีหรือเลวก็ต้องใช้ชีวิตร่วมกันไปตลอดชีวิต หากได้พบเจอผู้ชายที่รักเธอเพียงผู้เดียวจะเปี่ยมสุขมากขนาดไหน แต่เธอกลับต้องมาเจอพ่อจอมเจ้าชู้ของฉัน แล้วยังมีเมียน้อยที่โง่เขลาซึ่งก็คือแม่ของฉัน ทั้งสามคนต่างก็พัวพันยุ่งเหยิง ทำให้ชีวิตของแต่ละคนเละเทะกลายเป็นก้อนโคลน ช่างโชคร้ายเสียจริง

“ฉันก็แค่กำลังทอดถอนใจที่วัยสาวมันมีจำกัด อยากให้ซิงเฉินใช้ชีวิตให้เต็มที่”

“พูดไร้สาระให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ เธอไม่มีอย่างอื่นทำแล้วหรือยังไง” แม่ใหญ่พูดเหยียด

“ก็ไม่มีอะไรทำนะคะ ทุกวันถ้าไม่ไปเดินเที่ยวช็อปปิ้งก็ไปทำสปา ไม่งั้นก็หาคนมาดื่มชายามบ่ายเป็นเพื่อน พอว่างจนหงุดหงิดก็เลยต้องมาคุยเล่นกับลูกสาว…” คุณนายจูเลียกลอกสองตาไปมาเหมือนคิดบางอย่างขึ้นมาได้ “ช่วงนี้คุณพี่งานยุ่งมากเลยเหรอคะ วันก่อนฉันเห็นคุณพี่คุยกับคนพวกนั้นตั้งนานสองนาน”

“ไม่ใช่เรื่องของเธอ”

“คนพวกนั้นต่างอยู่ในวงการอาหาร คุณพี่คิดจะเปิดร้านอาหารอย่างนั้นเหรอคะ”

“ก็แค่บังเอิญเจอกัน คุยกันสามสี่ประโยคเท่านั้น เธอคิดมากไปแล้ว”

ผู้หญิงสองคนคุยเรื่องงานกัน ฉันก็เลยหยิบตะไบตรงโต๊ะเครื่องแป้งมาแต่งเล็บตัวเองอย่างเซ็งๆ พลางครุ่นคิดว่าจะแต่งเล็บแนวเรียบๆ สไตล์ฝรั่งเศส หรือว่าจะติดคริสตัล เพิ่มขนนกให้มันเด้งสะดุดตากันไปเลยดี

“นั่นสินะ กลุ่มบริษัทดอลลี่เองก็ไม่มีเงินสำรองให้คุณพี่เอาไปลงทุนแล้ว แต่ว่า…” คุณนายจูเลียดึงมือของแม่ใหญ่มากุมแน่น “คุณพี่คะ ถ้าจะเปิดร้านอาหารจริงๆ ล่ะก็ น้องคนนี้ก็ยินดีจะช่วยนะคะ เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง แต่ถ้าเรื่องกิน ฉันก็พอมีความรู้อยู่บ้าง”

“เธอน่ะเหรอ” แม่ใหญ่ออกแรงดึงมือออกและพูดเสียงเย็นชา “ฉันมอบให้ซิงเฉินซะยังจะดีกว่า”

“มอบให้ซิงเฉิน? ได้ยังไงกันล่ะคะ! ซิงเฉินยังเด็กอยู่เลย” คุณนายจูเลียงงงันครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ให้ฉันช่วยแบ่งเบาภาระดีกว่านะคะ”

แม่ใหญ่พูดอย่างดูถูกดูแคลนว่า “ความหมายฉันคือไอคิวเธอยังสู้เด็กไม่ได้เลย”

“เธอ…!”

การโต้เถียงกันอย่างเผ็ดร้อนได้ปะทุขึ้น แต่ทันใดนั้นพลันมีเสียงเคาะประตู ฉันรีบตะโกนบอกว่า “เข้ามาได้”

“คุณซิงเฉินคะ ชุดราตรีดิออร์ที่คุณสั่งมาส่งแล้วค่ะ” เป็นป้าแม่บ้านถือกล่องของขวัญสีเงินใบใหญ่อยู่

ฉันเชิดคางขึ้นและตอบอย่างเชิดหยิ่งว่า “อืม วางไว้นั่นแหละ”

แม้เนื้อแท้แล้วฉันจะเป็นพวกไม่เอาไหน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอก ฉันก็ต้องวางมาดคุณหนูสักนิด

ป้าแม่บ้านขานตอบ จากนั้นเดินถอยออกไปอย่างนอบน้อม

“ชุดราตรีดิออร์ชุดนี้สวยจริงๆ เลย สีชุดขับผิวของซิงเฉินมาก รีบไปเปลี่ยนมาให้แม่ดูหน่อยเร็ว” คุณนายจูเลียมักจะชมฉันไปพร้อมกับชมตัวเองด้วย “สมกับที่เป็นลูกสาวแม่ ได้ความสวยจากแม่มาเต็มๆ เลย”

แม่ใหญ่ควักเช็คหนึ่งใบออกมาจากกระเป๋าแบรนด์เนม แล้วโบกไม้โบกมืออย่างหงุดหงิด พูดเชิงไล่ว่า “นี่ก็ดึกแล้ว แทนที่เธอจะพูดเพ้อเจ้ออยู่ที่นี่ต่อไป สู้เอาเงินแล้วกลับไปดีกว่า”

“พูดอย่างกับว่าฉันมาเพื่อเงินอย่างนั้นแหละ”

“ไม่เอาก็ไม่เป็นไร” แม่ใหญ่ทำท่าเก็บเช็ค

“ไหนๆ คุณพี่จะให้ คนเป็นน้องก็ควรรับเอาไว้” คุณนายจูเลียรับเช็คมาอย่างเคืองๆ แต่ก่อนจะกลับก็ไม่ลืมหยิบกระเป๋ารุ่นมอเตอร์ไซเคิล แบ็กของแบรนด์บาเลนเซียก้าที่ฉันเพิ่งซื้อมาติดมือไปด้วย

“ใบนี้สีดำ ลูกถือแล้วดูแก่จะตาย!” แม่ยัดเยียดกระเป๋าสำหรับงานราตรีสีฉูดฉาดที่มีโลโก้สีทองตัวใหญ่ให้กับฉัน “แลกกับใบนี้ของแม่ ไม่ต้องขอบคุณแม่หรอกนะ”

เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า เอากระเป๋าเฟนดิราคาไม่ถึงสองหมื่นมาแลกกับกระเป๋าหนังแกะบาเลนเซียก้าราคาแปดหมื่นของฉันเนี่ยนะ

ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วชั่งใจระหว่าง ‘ความกตัญญู’ กับ ‘กระเป๋าแบรนด์เนม’ หลังจากผ่านไปสามสี่วินาที ความเป็นมนุษย์ที่ยังไม่สูญสิ้นไปก็บีบให้ฉันพูดออกมาว่า “ถ้าแม่ชอบก็เอาไปเถอะค่ะ”

“ฮิๆ วันนี้โชคดีจริงๆ” มือหนึ่งหนีบเช็คที่เขียนตัวเลขเจ็ดหลัก อีกมือหนึ่งหิ้วกระเป๋าแบรนด์เนม แล้วคุณนายจูเลียก็เดินบิดบั้นท้ายจากไปอย่างมีความสุข

“ฮึ พอเห็นเงินก็ตาโต เป็นแบบนี้ตั้งแต่สาวยันแก่ ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไปอย่างนี้ตลอดชีวิตแน่นอน” แววตาของแม่ใหญ่เปี่ยมด้วยความดูถูก

แม้ปกติฉันเองก็ไม่ชอบผู้หญิงที่ละโมบอย่างคุณนายจูเลีย แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็เป็นแม่แท้ๆ ที่อุ้มท้องฉันมาเกือบสิบเดือน ระหว่างแม่กับลูก เราจะไม่ชอบหรือเบื่อหน่ายกันได้ แต่ไม่อาจทนเห็นคนอื่นมาวิจารณ์ได้

ฉันเค้นคำพูดออกมาเบาๆ “ก็ยังดีกว่าบางคน…ที่คอยทำแต่เรื่องไม่ดีตลอดเวลา”

เฉินหมิงลี่ส่งเสียงหัวเราะเย็นชา “ฮึ ถ้าไม่ได้ฉัน เธอเองก็เป็นแค่ลูกนอกสมรสที่เกิดจากการนอกใจ ถ้าไม่อยากประกาศให้คนทั้งโลกรู้ก็ดูแลปากแม่เธอให้มันดีๆ”

ฉันเงยหน้าเหลือบมองสีหน้าที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของแม่ใหญ่ แล้วทำเสียงฮึดฮัดนิดหน่อย จากนั้นก็ถือชุดราตรีเข้าไปในห้องแต่งตัวโดยไม่พูดอะไรอีก

การมีชีวิตอยู่ในซอกหลืบนี่ไม่ง่ายเลย ยิ่งพูดมากเท่าไรก็ยิ่งผิดมากเท่านั้น ดีที่ฉันรู้จักมองดูสีหน้าคนมาตั้งแต่เด็กแล้ว รู้ดีว่าเวลาไหนควรจะปิดปากเงียบ

เฮ้อ! ช่างมันเถอะ ไม่พูดแล้ว เรื่องเศร้าหมองพวกนี้ไม่ควรบอกให้คนนอกรู้

แต่ถ้าคุณคิดว่านี่เป็นเรื่องราวของซินเดอเรลล่าที่เปลี่ยนจากอีกามาเป็นหงส์…เช่นนั้นก็ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้เข้าใจผิด

โยนความลับที่ไม่มีใครรู้พวกนี้ทิ้งไปซะ ฉัน หลินซิงเฉิน คุณหนูผู้ดีมีตระกูลในสายตาคนนอก ผู้มีหุ่นเหมือนนางแบบ (ผลจากการไดเอ็ตอย่างเคร่งครัด) หน้าตาสะสวยดั่งดอกไม้ (แม้จะผ่านมีดหมอนิดหน่อยก็ตาม) มีเงินทองให้ใช้ไม่หมดไม่สิ้น (ถ้าฉันได้แต่งเข้าตระกูลที่ร่ำรวยนะ) ก็คือคำเรียกผู้ชนะในเกมชีวิตนั่นเอง

ภายใต้ร่มเงาของตระกูลที่ร่ำรวย แน่นอนว่าชีวิตคุณหนูของฉันเลิศหรูมาก ขณะที่เด็กผู้หญิงหลายคนกำลังเล่นตุ๊กตาบาร์บี้กันอยู่ ของขวัญวันเกิดของฉันกลับเป็นกระเป๋าชาแนล เครื่องเพชรคาร์เทียร์ เวลาออกไปข้างนอกก็มีคนขับรถติดตามดูแล พอเข้ามาในบ้านก็มีพ่อบ้านคอยรับใช้ ไม่เคยรู้เลยว่างานบ้านคืออะไร

หลังจากเรียนจบชั้นประถมก็ถูกส่งไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น ถึงผลการเรียนจะพอถูไถ แต่แค่ขีดๆ เขียนๆ ไม่กี่รูป ทุกคนก็พากันยกยอปอปั้น ตอนอายุสิบสี่ปีเคยจัดนิทรรศการภาพวาดแบบไม่ได้ใส่ใจนัก นับแต่นั้นผู้คนก็ชื่นชมฉันว่าเป็น ‘จิตรกรสาวสวยผู้เพียบพร้อม’

นอกจากเรื่องไม่เป็นเรื่องในบ้านพวกนั้นแล้ว ชีวิตเช่นนี้ยังมีอะไรที่น่าเสียใจอีก แต่ถ้าตามมาตรฐานของคุณแม่ทั้งสองท่าน หากมีอีกอย่างก็จะเพอร์เฟ็กต์ นั่นก็คือมีผู้ชายที่คู่ควรกับชาติตระกูล ฐานะ รูปร่างหน้าตา และความสามารถของฉัน สรุปก็คือผู้ชายที่ ‘สูง หล่อ รวย’

ผู้หญิงสองคนนั้นมีความคิดเห็นไม่ลงรอยกันตลอด แต่พอเรื่องช่วยเลือกสามีให้ฉันกลับใจตรงกันซะอย่างนั้น

หลังจากคุณแม่ทั้งสองครุ่นคิดอย่างหนัก ในที่สุดก็หาผู้โชคร้ายให้ฉันได้สำเร็จ…เอ่อ จับเต่าสีทองได้สำเร็จ คนคนนั้นก็คือ ‘เจิ้งฉู่เย่า’

เจิ้งฉู่เย่าคือใคร

เขาคือคุณชายแห่งกลุ่มบริษัทรื่อเย่า กิจการของตระกูลเขาครอบคลุมห้างสรรพสินค้า ธนาคาร บริการการท่องเที่ยว การศึกษา ธุรกิจการเงิน เทคโนโลยี แล้วเมื่อไม่กี่ปีมานี้ยังลงทุนก้อนใหญ่ด้านซื้อขายที่ดินด้วย

ก่อนเดินทางไปเรียนที่ญี่ปุ่น ฉันกับเจิ้งฉู่เย่าเคยเจอกันมาก่อน แต่แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น โดยเจอกันในการพบปะทางธุรกิจของสองตระกูล การพบกันแต่ละครั้งไม่ค่อยแฮปปี้สักเท่าไร สีหน้าที่เขามองฉันถ้าไม่ใช่เย็นชามากก็เย็นชามากๆๆ ส่วนฉันก็มักจะตอบกลับด้วยใบหน้าเหมือนปวดหนักอยากเข้าห้องน้ำ

ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้บุพเพอลวนของเราถูกเบื้องบนลิขิตไว้แล้วล่ะ แถมยังหยั่งรากลึกอีกต่างหาก

การพบกันครั้งแรกของฉันกับเจ้าหมอนั่นเป็นความทรงจำที่เหมือนกับฝันร้าย ซึ่งฉันจำฝังใจไม่มีลืม!

ปีนั้น ในวันนั้น…

ภายในห้องจัดเลี้ยงที่หรูหราโอ่อ่า โคมไฟคริสตัลแขวนห้อยระย้าอยู่บนเพดาน แสงไฟสีขาวสว่างจ้าจนเหมือนกับจะลุกไหม้ขึ้นมา เสียงจ้อกแจ้กจอแจของผู้คนกับเสียงชนกระทบของจานและแก้วสอดประสานกันกลายเป็นบทเพลงซิมโฟนีหมายเลขห้า

ตอนนี้มาคิดๆ ดู สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นลางร้าย แต่ฉันกลับเมินเฉยไปซะอย่างนั้น

เด็กหญิงอายุหกขวบวิ่งไปมาบนพื้นหินอ่อนเย็นเฉียบ ฉันยกกระโปรงฟูฟ่องสีชมพูพลางวิ่งโดยที่เท้าข้างหนึ่งสวมรองเท้า ส่วนอีกข้างหนึ่งเปลือยเปล่า ตามหารองเท้าอีกข้างที่ไม่รู้ว่าหายไปได้ยังไงจนทั่ว

ขายาวๆ ของพวกผู้ใหญ่เดินขวักไขว่อยู่ตรงหน้า บ้างสวมกางเกง บ้างก็สวมกระโปรง เหมือนกับต้นไม้ใหญ่ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในป่าอันชั่วร้าย คอยกีดขวางทางฉันไม่หยุดหย่อน

ยิ่งหาก็ยิ่งลนลาน ยิ่งลนลานก็ยิ่งหาไม่เจอ กลัวว่าจะโดนแม่ใหญ่ดุ แล้วฉันก็เริ่มเบ้ปาก น้ำตาเอ่อคลอเบ้า เตรียมร้องไห้โฮเต็มที่

แต่แล้วจู่ๆ ช่องเล็กๆ ก็แหวกออกท่ามกลางผู้คน เงาร่างตัวน้อยเงาหนึ่งมุดลอดออกมา

เจ้าชายปรากฏตัวแล้ว!

เขาสวมชุดสูทสีขาว ผูกหูกระต่ายสีแดงที่คอเสื้อ ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ดูหล่อเหลามาก เพียงแต่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูท่าทางค่อนข้างหงุดหงิด

ปากอมชมพูของเขาเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้วว่า ‘มานี่’

ฉันเข้าไปใกล้อย่างขลาดกลัว ‘อะไรเหรอ’

‘นี่ของเธอหรือเปล่า’ มือขาวป้อมถือรองเท้าหนังสีชมพูที่สวยงามข้างหนึ่งไว้

‘อ๊ะ รองเท้าฉันเอง’ ฉันซาบซึ้งจนโผเข้ากอดเขา

เจ้าชายตัวน้อยตกใจตัวแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถอยหลังหนึ่งก้าว ‘เอ้านี่ รองเท้าเธอ รีบสวมซะสิ’

ฉันนิ่งอึ้งชั่วขณะ

อ้าว ไม่เหมือนนิทานเรื่องซินเดอเรลล่าที่แม่นมอ่านให้ฟังทุกคืนหรอกเหรอ เจ้าชายถือรองเท้าแก้วมาตรงหน้าซินเดอเรลล่าและพูดว่า ในที่สุดฉันก็หาเธอจนเจอ รีบสวมรองเท้าแก้วแล้วมาเป็นเจ้าหญิงของฉันเถอะ!

หัวใจดวงน้อยของฉันอดจะผิดหวังเล็กๆ ไม่ได้ แต่ฉันก็ยังคงยกเท้าข้างที่ไม่ได้สวมรองเท้าขึ้นมาอย่างเขินอาย รอคอยให้เจ้าชายสวมรองเท้าให้ฉัน

เจ้าชายเอียงคองงงวย

‘เร็วสิ ช่วยสวมรองเท้าให้ฉัน’ ฉันกระดิกเท้า มัวรีรออะไรอยู่ล่ะ ฉันยกเท้าจนเมื่อยแล้วนะ

‘ไม่’ เจ้าชายปฏิเสธเสียงเฉียบขาด พร้อมกับจ้องตาเขียวปั้ด

‘ว่าไงนะ’ ฉันงุนงง เจ้าหมอนี่ไม่ทำตามบทนี่นา! ‘สวมให้ฉัน’

‘ไม่’

‘สวมให้ฉัน’

‘ไม่’

‘สวมให้ฉัน’

หลังจากเถียงไปเถียงมาหลายรอบ เจ้าชายน้อยก็หมดความอดทน คิ้วพันกันดูดุร้ายน่ากลัว โยนรองเท้าใส่ฉัน ‘สวมเองสิ’ พูดจบก็หันหลังเดินจากไป

ฉันงุนงงอีกครั้ง

รองเท้าถูกโยนใส่ตัวฉันเบาๆ มันไม่เจ็บ แต่กระทบหัวใจดวงน้อยของฉันจนแตกสลาย

นิทานเรื่องซินเดอเรลล่านั้นหลอกลวง ในชีวิตจริงเจ้าชายที่เก็บรองเท้าแก้วได้ที่แท้ก็ไม่ได้มีหน้าที่ช่วยสวมรองเท้าให้คุณ

‘นี่! หยุดนะ!’ ฉันกรีดร้องเสียงดัง เขาตกใจจนฝีเท้าหยุดชะงักแล้วหันกลับมา

‘สวมรองเท้าให้ฉัน’ ฉันบอกเขา

‘ไม่’ ความเดือดดาลกำลังก่อตัวขึ้นในแววตาสดใสของเจ้าชาย ‘เธอเป็นตัวอะไร กล้าดียังไงมาสั่งฉันให้สวมรองเท้าให้’

เธอเป็นตัวอะไร…ประโยคนี้ทิ่มแทงจิตใจอันบอบบางของฉันดังฉึก แล้วใบหน้าที่โหดร้ายก็ปรากฏขึ้นในหัวสมองทีละหน้าๆ หมุนวนไปเหมือนแถบตัวอักษรที่วิ่งอยู่ด้านล่างจอทีวี พร้อมกับเสียงเย็นชา

‘เธอเป็นตัวอะไรกล้าเข้ามาในบ้านสกุลหลิน’

‘เธอเป็นตัวอะไรกล้ามาใส่ชุดนี้’

‘เธอเป็นตัวอะไรกล้ามานั่งกินข้าวร่วมโต๊ะเดียวกันกับฉัน’

‘เธอเป็นตัวอะไร เธอก็เป็นแค่…ลูกนอกสมรส’

‘ฉันไม่ใช่ตัวอะไรทั้งนั้นแหละ!’ ฉันตวาดเสียงดัง แล้วเขวี้ยงรองเท้าใส่หน้าเขาเต็มแรง แต่ฉันควบคุมแรงและระดับความสูงได้ไม่ดี รองเท้าหนังสีชมพูบินลอยข้ามศีรษะของเจ้าชายไป หมุนคว้างอยู่กลางอากาศสามสี่ตลบ แล้วพุ่งไปที่หอคอยแชมเปญที่จัดเรียงเป็นชั้นๆ อยู่ด้านหลังเขา

แม้จะควบคุมระดับความสูงได้ไม่ดี แต่องศานั้นช่างแสนจะเหมาะเหม็ง หากมันโยกไปซ้ายหรือขวาเล็กน้อยอาจจะไม่เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นก็ได้ แต่ฉันเชื่อว่ามันจะต้องมีพลังลึกลับบางอย่างแน่นอนที่ทำให้รองเท้าหนังสีชมพูชนโดนหอคอยแชมเปญอย่างแม่นยำ แก้วที่อยู่บนยอดสุดสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นพังทลายลงมาเสียงดัง ทั้งแชมเปญ ทั้งเศษแก้ว แตกกระจายเต็มพื้นไปหมด

สำหรับเด็กตัวน้อยสองคน ตึกแฝดพังถล่มเป็นแบบนี้นี่เอง

พี่ชายคนหนึ่งที่อยู่ใกล้สถานที่เกิดเหตุที่สุดได้สติขึ้นมาฉับพลัน เขารีบวิ่งเข้ามาหาพวกเราและถามหาตัวการ ‘พวกเธอสองคน! ใครเป็นคนเขวี้ยงรองเท้า!’

ฉันตัวสั่นเทา แล้วเงยหน้าขึ้นอย่างขลาดกลัว เห็นชายหนุ่มถูกสาดเปียกไปทั้งตัว แชมเปญสีอำพันไหลลงมาตามใบหน้าที่หล่อเหลาดังเทพบุตรของเขา…น่าเสียดาย ตอนนั้นฉันยังเด็ก ใสซื่อไร้เดียงสามาก ก็เลยไม่รู้จักชื่นชมทัศนียภาพภายใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวเปียกชุ่มที่มีเสน่ห์ยิ่งกว่าใบหน้าซะอีก

‘ว่าไง ตกลงใครเขวี้ยง’ น้ำเสียงของพี่ชายเฉียบขาดกว่าเดิม

ฉันมองสีหน้าของแม่ใหญ่อยู่นาน ลูกนอกสมรสที่เป็นเหมือนกาฝากอย่างฉันเกิดเข่าอ่อน จึงรีบชี้ไปที่เจ้าชายน้อยอย่างฉับไวและพูดเสียงสะอึกสะอื้น ‘เขา…เขาแย่งรองเท้าของหนูไป…หนูให้เขาช่วยสวม แต่เขาไม่ยอมช่วยหนูก็เลยพานโมโหเขวี้ยงรองเท้า…’

ฉันหยุดพูด รู้สึกเหมือนว่าตัวเองพูดบางอย่างผิดไป แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไรดี ก็เลยได้แต่ทำสิ่งที่เด็กทุกคนชอบทำเวลาที่ทำผิด นั่นก็คือ…ร้องไห้โฮ

‘ผมไม่ได้แย่งรองเท้าของเธอนะฮะ!’ เจ้าชายหน้าดำหน้าแดง แล้วออกแรงเตะชั้นวางดอกไม้ที่อยู่ด้านข้าง

โครม! เสียงดังสนั่น ทำเอาทุกคนที่มุงดูตกอกตกใจ

เป็นเด็กที่อารมณ์ฉุนเฉียวง่ายจริงๆ เอาเข้าไป ทีนี้แม้แต่ชั้นวางดอกไม้ก็ล้มลงด้วย ช่อดอกไม้กระจายเกลื่อนกลาดเต็มพื้น

เมื่อหวนคิดขึ้นมา ตอนนั้นฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะโยนความผิดให้กับเจ้าชายน้อย ฉันแค่อยากจะอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเจ้าชายเอารองเท้าฉันไปถือ ฉันให้เขาช่วยสวม แต่เขาไม่ยอมช่วย ฉันก็เลยพานโมโหแล้วเขวี้ยงรองเท้า…

แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าชายน้อยเข้าใจสิ่งที่ฉันจะสื่อผิดไป เลยทำให้อาการอับอายจนพานโกรธของเขาดูเหมือนเป็นการกลบเกลื่อนที่ยิ่งซ่อนเร้นกลับยิ่งแจ่มชัด

บวกกับพี่ชายคนนั้นไม่ได้ฟังการเว้นวรรคคำพูดของฉันให้ดี ผลจึงกลับกลายเป็นว่า…ฉันให้เขาช่วยสวม แต่เขาไม่ยอมช่วยฉัน แล้วยังพานโมโหเขวี้ยงรองเท้า

แค่เว้นวรรคผิดนิดเดียว ทำให้เด็กขี้โมโหคนนั้นต้องกลายเป็นคนรับเคราะห์แทนฉัน

พี่ชายปลอบโยนฉันอย่างอ่อนโยนอยู่พักหนึ่ง จากนั้นคุกเข่าลงข้างหนึ่งตรงหน้า ยกเท้าฉันขึ้นมาและสวมเข้าไปในรองเท้าหนังสีชมพู ทั้งยังผูกเชือกรองเท้าให้ด้วย

เด็กน้อยอย่างฉันคิดว่าถึงเจ้าชายคนนี้จะรูปร่างสูงใหญ่เหมือนยักษ์ แต่อย่างไรเขาก็เหมือนในนิทาน ช่วยสวมรองเท้าให้กับซินเดอเรลล่า ฉันหยุดร้องไห้แล้วยิ้มขอบคุณ

‘เด็กน้อยสวยจริงๆ’ พี่ชายเช็ดน้ำตาบนใบหน้าให้ ‘หนูชื่ออะไรจ๊ะ’

‘หลินซิงเฉินค่ะ’ พอพี่ชายชมว่าสวย ฉันก็พูดเสริมอย่างตื่นเต้นดีใจว่า ‘หม่ามี้เรียกหนูว่าเสี่ยวซิงซิง พี่ชายเรียกหนูว่าเสี่ยวซิงเอ๋อร์ก็ได้ค่ะ’

เจ้าชายฉุนเฉียวง่ายเลิกคิ้ว มีสีหน้าเชิงดูแคลน ‘เสี่ยวซิงซิง?’

ฉันถลึงตาใส่เขา แล้วตอนนี้เองพี่ชายก็โอบอุ้มฉันขึ้นมา อีกมือหนึ่งก็จูงเด็กขี้ฉุนเฉียวคนนั้น ‘ที่แท้ก็เป็นคุณหนูแห่งกลุ่มบริษัทดอลลี่นั่นเอง เดี๋ยวพาหนูไปหาหม่ามี้ดีไหมจ๊ะ’

ฉันเกาะบ่าที่แข็งแรงกำยำของพี่ชาย แล้วซุกศีรษะอยู่กับอกเขาพลางตอบรับอย่างน่ารักน่าเอ็นดู

‘อาชื่อว่าเจิ้งเมิ่งซีนะจ๊ะ’ มุมปากของพี่ชายฉีกยิ้มหล่อ ‘เป็นอาของเจ้าหนูนั่น หนูไม่ต้องเรียกอาว่าพี่ชายหรอก เรียกอาเหมือนเขาแล้วกันนะ’

ฉันซุกไซ้อยู่ในอ้อมอกชายหนุ่ม หลังจากแต๊ะอั๋งจนพอใจแล้วถึงค่อยเรียกเสียงอ่อนเสียงหวานว่า ‘อาเมิ่งซี’

‘อืม เด็กดีจังเลย’

‘เขารังแกหนูค่ะ’ ฉันเบ้ปาก

‘เดี๋ยวอารังแกเขาคืนให้นะจ๊ะ’

‘ค่ะ’

ชายหนุ่มยิ้มแย้มสดใสเจิดจ้า จนฉันอยากจะร้องไห้เห็นอกเห็นใจแทนเจ้าหมอนั่นเลย

ก่อนที่แม่ใหญ่จะจูงลากฉันเดินจากไป ฉันได้หันกลับไปมองพวกเขาสองคนแวบหนึ่ง ฉันเห็นอาเมิ่งซีหิ้วคอเสื้อเจ้าเด็กขี้ฉุนเฉียวและตีก้นเขาอย่างแรงพลางพูดสั่งสอน ‘เจิ้งฉู่เย่า! เจ้าตัวแสบ ดูสิว่าทำอะไรลงไป อาจะให้พ่อเธอลงโทษไม่ให้เธอเล่นวิดีโอเกมหนึ่งเดือน…’

เด็กขี้ฉุนเฉียวที่ชื่อเจิ้งฉู่เย่านั่นกัดริมฝีปาก จ้องมองฉันอย่างโกรธแค้น แววตาอาฆาตแค้นเหมือนกับอยากจะแทงทะลุฉันให้ได้

ฉันละอายใจอยู่สามสี่วินาที แต่พอคิดอีกทีก็รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากตัวเด็กขี้ฉุนเฉียวคนนั้นเอง ถ้าช่วยสวมรองเท้าให้ฉันดีๆ ตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้ว ฉันก็เลยแลบลิ้นทำหน้าทะเล้นให้เขา

เมื่อเด็กหญิงน่ารักใช้เล่ห์กลขึ้นมาก็กลายร่างเป็นปีศาจตัวน้อยได้เหมือนกัน ไม่พอใจเหรอ งั้นก็มากัดฉันสิ!

นี่ก็คือเหตุการณ์ตอนที่ฉันกับเจิ้งฉู่เย่าเจอกันครั้งแรก

ต่อมาฉันก็ถูกแม่ใหญ่บังคับให้ไป ‘เรียนต่อ’ ต่างประเทศ แต่ละวันๆ ได้อยู่ท่ามกลางหนุ่มหล่อกับหนุ่มเท่มีสไตล์มากมาย ก็เลยลืมเจ้าเด็กขี้ฉุนเฉียวที่ดุร้ายน่ากลัวคนนั้นไปตั้งนานแล้ว

คนสองคนที่ไม่ได้อยู่บนรากฐานของความรักกลับต้องถูกผูกมัดไว้ด้วยกันเพราะผลประโยชน์ของวงศ์ตระกูล คิดๆ ดูแล้วก็ช่างน่าเศร้าเสียจริง ฉันเหมือนหญิงสาวสมัยโบราณที่ต้องแต่งงานกับเจิ้งฉู่เย่าจากการชักนำของแม่สื่อเลย

ไม่ได้เจอกันสามสี่ปี ไม่รู้ว่าเด็กขี้ฉุนเฉียวในตอนนั้นจะวิวัฒนาการเป็นปีศาจร้ายแบบไหนแล้ว

“พอได้ยินว่าเธอกลับมาจากญี่ปุ่น คุณปู่สกุลเจิ้งก็รอให้เธอเจอกับฉู่เย่าแทบไม่ไหว ได้ปลูกต้นรักด้วยกัน ถ้าราบรื่นดี ปลายปีนี้ก็จะให้พวกเธอหมั้นกันไว้ก่อน…” เสียงของแม่ใหญ่ลอยผ่านบานประตูบางๆ ของห้องแต่งตัวเข้ามา น้ำเสียงค่อนข้างแหลมสูง

ฉันเปิดประตูทันที แล้วพูดอย่างมีน้ำโห “ปลูกต้นรัก? หนูบอกคุณแล้วว่าหนูมีแค่ความรู้สึกเดียวให้เขา…”

แววตาแม่ใหญ่ดูงุนงง “ความรู้สึกอะไร”

“ความรู้สึกอาลัย! วันที่เขาตาย หนูจะไปเซ่นไหว้เขา!”

“ถ้าเขาตาย ต่อให้ต้องแต่งงานกับศพ เธอก็ต้องแต่ง!”

“คุณ…!” ฉันจ้องผู้หญิงตรงหน้าด้วยความเคียดแค้น

ทั้งๆ ที่ถูกฉันจ้องเหมือนจะแล่เนื้อออกเป็นชิ้นๆ แต่แม่ใหญ่ก็ไม่โกรธ เธอกลับยิ้มเสียด้วยซ้ำ “อยากจะเป็นคุณหนูตระกูลดัง การจ่ายค่าตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว ไม่อย่างนั้นเธอกับแม่เธอยังจะอยู่ดูหน้าฉันไปนานแค่ไหนล่ะ”

“…”

ผู้หญิงคนนี้ยิ่งยิ้มยิ่งดูอ่อนโยน แต่ไม่รู้ว่าภายในจิตใจเลี้ยงอสรพิษไว้กี่ตัว “เห็นแก่ที่เธอเป็น ‘ลูกสาวของสามีที่จากไปแล้วของฉัน’ ฉันขอแนะนำด้วยความหวังดีว่าคุณชายเล็กแห่งสกุลเจิ้งเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว เธอก็รู้ว่าฉันไม่ค่อยมีความอดทน แบรนด์ใหม่กำลังจะออกวางตลาดเร็วๆ นี้ เราต้องการเงินทุนก้อนใหญ่กับการบุกเบิกช่องทางใหม่ ตอนนี้สถานการณ์ของกลุ่มบริษัทดอลลี่ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว บริษัทที่รับจ้างผลิตสินค้าให้เราถูกดึงออเดอร์ไปไม่น้อย”

“ก็แค่ขาดเงินไม่ใช่เหรอ” ฉันทำเสียงฮึดฮัดเย็นชา “สู้ขายฉันไปเลยดีกว่า”

“ขายเธอก็ไม่ได้ราคานั้นหรอก” แม่ใหญ่ลูบผมฉันแล้วพูดเสียงเรียบว่า “พลาดคนนี้ไป ฉันไม่อาจรับประกันคนต่อไปได้ หรือแม้กระทั่งคนต่อๆ ไปว่าจะเข้าท่าแบบนี้หรือเปล่า ซิงเฉิน เธอเป็นเด็กฉลาด พูดออกจะชัดเจนแบบนี้ ฉันเชื่อว่าเธอเข้าใจ”

อ๋อ ฉันเข้าใจ ฉันต้องเข้าใจอยู่แล้ว

แม่ใหญ่กำลังข่มขู่ฉัน การเกี่ยวดองกันครั้งนี้นับได้ว่ามีการรับประกันคุณภาพในทุกด้าน หากไม่สำเร็จ การคัดเลือกครั้งต่อไปก็คงจะเหลือเพียงคุณสมบัติ ‘รวย’ เท่านั้น

พูดอีกอย่างคือในแง่ผลประโยชน์ทางธุรกิจ ในแง่ความสุขในชีวิตและความสุขบนเตียงของตนเอง ฉันจำเป็นต้องลงเอยกับเจิ้งฉู่เย่า หาไม่แล้ว…

ฉันจินตนาการถึงอนาคตข้างหน้า วัยสาวของฉันต้องหมดไปกับการดูตัว ต้องดูตัวกับผู้ชายที่ทั้งรวยทั้งอ้วน ทั้งรวยทั้งหัวล้าน ทั้งรวยทั้งเตี้ย ทั้งรวยทั้งแก่หง่อม…คนแล้วคนเล่า ในใจฉันก็รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา

“เชี่ยเอ๊ย…” ฉันบ่นพึมพำ

“เธอพูดว่าอะไรนะ” แม่ใหญ่ได้ยินไม่ชัด

“เชี่ย” ฉันทวนซ้ำอีกครั้ง ขณะที่สีหน้าเธอดูตกตะลึงพรึงเพริด ฉันก็ค่อยๆ อธิบายว่า “ที่จริงเป็นการแผลงเสียงมาจากชื่อสัตว์ชนิดหนึ่งค่ะ”

เมื่อเทียบกับแม่แท้ๆ ที่อยากพูดอะไรก็พูดแล้ว แม่ใหญ่เป็นผู้หญิงที่พูดจาไพเราะ การด่าคนโดยไม่มีคำหยาบนี้ แม่ใหญ่ถูกฉันเอาเปรียบได้อย่างง่ายดาย

“ฮึ นังเด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน” เห็นไหม พลังการโจมตีของเธอมีเพียงแค่นี้เอง

ฉันอ้าปากหาวอย่างเกียจคร้าน เดินส่ายก้นไปมา เปลี่ยนท่วงท่าที่ตัวเองคิดว่าสง่างาม แล้วทรุดตัวลงนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง

“ฉันหาช่างแต่งหน้ามาช่วยจัดการดูแลลุคให้เธอ แต่งเนื้อแต่งตัวให้สวยๆ ไม่ได้เจอกันหลายปี คืนนี้ทำให้เขาประทับใจหน่อย” แม่ใหญ่ดูนาฬิกาข้อมือฝังเพชร แล้วตระหนักได้ว่าไม่มีเวลาอบรมสั่งสอนฉันแล้ว เธอดีดนิ้วเสียงดังฟังชัด จากนั้นผู้เชี่ยวชาญในชุดดำสามสี่คนก็เดินเรียงแถวเข้าประตูมา

“จับเธอแต่งตัวให้ดูภูมิฐาน สง่าผ่าเผย แล้วก็ต้องสวยหรูด้วย ที่สำคัญคือต้องดูเหมือนเจ้าหญิง” แม่ใหญ่ออกคำสั่ง

เหมือนเจ้าหญิง?

เหมือนสาวนั่งดริ๊งก์ล่ะยังพอไหว

ค่ำคืนหนึ่งกลางฤดูร้อน บนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมระดับห้าดาวแห่งหนึ่งกำลังจัดงานปาร์ตี้ริมสระที่หรูหรา

ลมเย็นสบายในคืนฤดูร้อนพัดโชยมา ดนตรีเล่นคลอเบาๆ บริเวณรอบสระว่ายน้ำประดับประดาไปด้วยกุหลาบจำนวนเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าดอกที่ขนส่งทางอากาศจากฝรั่งเศสมายังไต้หวัน ดอกไม้สดส่งกลิ่นหอมอบอวล ในงานเปี่ยมด้วยบรรยากาศหรูหราชวนหลงใหล

เหล่าบริกรชายหญิงในชุดทักซิโดหางยาวสีดำเดินขวักไขว่อยู่ท่ามกลางแขกเหรื่อที่แต่งตัวเลิศหรู พร้อมกับยื่นแชมเปญราคาแพงลิ่วให้แก้วแล้วแก้วเล่า

บนเคาน์เตอร์บาร์กระจกนั้นมีอาหารนานาชนิดที่เชฟระดับมิชลินสตาร์บรรจงปรุงอย่างพิถีพิถันวางเต็มไปหมด มากมายหลายหลากจนลานตา ดูดีทั้งหน้าตา กลิ่น และรสชาติ สร้างความพึงพอใจให้กับแขกผู้มีเกียรติที่ช่างเลือก

ตามรายงานข่าวของนิตยสารก๊อสซิป วันนี้เป็นวันดูตัวระหว่างคุณหนูแห่งกลุ่มบริษัทดอลลี่และคุณชายเล็กแห่งกลุ่มบริษัทรื่อเย่า สองกลุ่มบริษัทใหญ่จะแต่งงานเป็นทองแผ่นเดียวกัน ทำให้หลายต่อหลายคนต่างคิดคำนวณผลประโยชน์เบื้องหลังการแต่งงานครั้งนี้

ทันใดนั้นเอง เสียงดนตรีก็หยุดลง แสงไฟบนเวทีถูกหรี่ลงจนมืดสลัว เหลือเพียงไฟโปรเจ็กเตอร์สองดวงบริเวณทางเข้า ทุกคนต่างกลั้นหายใจและเฝ้ารอ

แล้วราชินีของปาร์ตี้ในค่ำคืนนี้ก็เดินเยื้องย่างออกมาท่ามกลางสปอตไลต์ที่เปล่งแสงวูบวาบ

ชุดราตรีสั้นคอกว้างของดิออร์ เนื้อผ้าชีฟองกึ่งโปร่งแสงสีชมพูนู้ดช่วยเพิ่มกลิ่นอายความเซ็กซี่ ใบหน้าเรียวเล็กงดงามแต่งแต้มสีสันสดสวย ผมยาวประบ่าดัดเป็นลอนสวย ติดด้วยกิ๊บติดผมที่สั่งทำจากสวารอฟสกี้ เพชรเม็ดเล็กๆ เลี่ยมฝังบนกิ๊บติดผมรูปทรงมงกุฎ ดูแล้วสวยเลอค่ามาก

การปรากฏตัวของฉันดึงดูดสายตาของแขกเหรื่อทั้งงานทันที

บรรดาสายตาเหล่านี้ที่มองมาที่ฉันมีทั้งชื่นชม อิจฉาและริษยา บ้างก็เป็นไฮโซ บ้างก็เป็นโลโซ ซึ่งฉันก็ยิ้มทักทายให้กับทุกคนอย่างสง่างาม

บริกรรูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่งเดินถือถาดเครื่องดื่มเฉียดผ่านฉันไป ดูท่าว่าบริกรของโรงแรมระดับห้าดาวแห่งนี้จะต้องผ่านการคัดสรรมาเป็นอย่างดี ทุกคนล้วนเป็นคนหนุ่มคนสาวรูปร่างหน้าตาดีทั้งสิ้น

ฉันสุ่มเลือกมาหนึ่งคนแล้วหยิบไวน์จากในถาดของเขาหนึ่งแก้ว จากนั้นเอียงศีรษะส่งวิงก์โปรยเสน่ห์ให้เขา เด็กหนุ่มที่น่าสงสารคนนั้นราวกับต้องมนตร์ เขาตัวแข็งทื่อเป็นหินทันทีและมองฉันอย่างนิ่งงัน

ฉันจิบไวน์หนึ่งคำ รอยลิปสติกบางๆ ประทับอยู่บนขอบปากแก้ว ฉันคืนแก้วไวน์ให้เขาพร้อมกับพูดเสียงเมามายว่า “แต๊งกิ้ว~” ชวนเคลิบเคลิ้มเสียเหลือเกิน

ใบหน้าของเด็กหนุ่มค่อยๆ กลายเป็นสีม่วงอมแดง เปล่งประกายแข่งกันกับไวน์ในแก้ว

ว้าว หลินซิงเฉิน ถ้าเกิดวันไหนได้ย้อนเวลากลับไปสมัยโบราณก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่าจะไม่มีข้าวกิน ด้วยหน้าตาที่สะสวยและลักษณะท่าทางที่มีเสน่ห์ชวนหลงใหลนี้ก็สามารถเป็นเบอร์ต้นๆ ในหอนางโลมได้

เบอร์ต้นๆ อย่างฉันแน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องเป็นฝ่ายเริ่มเข้าหาแขกเหรื่อธรรมดาเหล่านั้น ต่อให้ยืนพิงผนังอยู่เฉยๆ ก็มีฝูงแมลงวันฝูงมดมาเกาะตามตัวฉัน ไล่ยังไงก็ไม่ไป

“นั่นคริสตัลใช่มั้ย”

คริสตัลคือชื่อภาษาอังกฤษของฉัน

“ไฮ คริสตัล! คุณจำผมได้มั้ย ผมอัลเลนไง…” หนุ่มหื่น A ที่ทั้งรวยทั้งเตี้ยเอ่ย

ขอบใจนะที่จำได้ว่าฉันชื่อคริสตัล แต่ฉันรู้จักแต่เฮเลน ไม่รู้จักอัลเลน

“คริสตัล วันนี้คุณสวยที่สุดเลย แม้แต่ดาราสาวเกาหลีที่ชื่อจวนจีฮุนอะไรนั่นก็ยังสู้ไม่ได้ ถ้าเดินบนถนนจงเซี่ยวฝั่งตะวันออกจะต้องมีคนเหลียวมองร้อยเปอร์เซ็นต์แน่นอน” หนุ่มหื่น B ที่ทั้งรวยทั้งอ้วนพูด

ขอบใจ อย่าว่าแต่ถนนจงเซี่ยวฝั่งตะวันออกเลย ต่อให้ฉันเดินบนถนนชองป์เซลิเซ่ในปารีส ร้อยทั้งร้อยก็ต้องเหลียวมองฉันเช่นกัน

“คริสตัล หลังจากที่ได้รู้จักเธอ พี่ก็มองไม่เห็นผู้หญิงคนอื่นอีกเลย” หนุ่มหื่น C ที่ทั้งรวยทั้งหัวล้านพูด

มุมปากฉันกระตุก คิดในใจว่าผู้หญิงเดินเกลื่อนกลาดเต็มถนน ถ้าอย่างนั้นตาคุณก็มีปัญหาแล้วล่ะ

“ซิงเฉิน” แม่เล้าวัยกลางคนแต่ยังคงสง่างาม…แม่ใหญ่ของฉันเอง คุณนายเฉินหมิงลี่เดินมาหาฉันอย่างสง่าผ่าเผย

ไม่ใช่ว่าฉันชอบวิพากษ์วิจารณ์นะ เห็นได้ชัดว่าในด้านการทำงานแม่ใหญ่เป็นหญิงแกร่ง แต่บางครั้งรสนิยมการแต่งตัวของเธอทำเอาฉันไม่กล้าสรรเสริญเยินยอจริงๆ วันนี้เธอสวมชุดกี่เพ้าสีเหลืองทองที่สั่งตัดเป็นพิเศษกับรองเท้าส้นสูงสีทอง ทั้งเนื้อทั้งตัวดูเหมือนกับมัสตาร์ดสีเหลืองอ๋อยไม่มีผิด!

ฉันแอบเอามือปิดหน้า ต้องพยายามข่มใจสุดฤทธิ์ถึงจะไม่พูดคำพูดนี้ออกมา

“เธอมาสายนะ” แม่ใหญ่กล่าว แล้วแสร้งทำหน้าตาใจดีมีเมตตาพลางลูบปอยผมข้างใบหน้าฉัน

ฉันดึงมือเธอออกอย่างเบามือแล้วยิ้มบางๆ “หนูเป็นคนพิเศษของงานนี่คะ”

แม่ใหญ่ควงแขนฉัน คนนอกคงมองว่าแม่ลูกรักใคร่กันดี แต่ความจริงแล้วเธอกลัวว่าฉันจะวิ่งหนีไป จึงตั้งใจจะควบคุมตัวฉันไปพบคุณปู่สกุลเจิ้งที่ห้องวีไอพี

ปกติสีหน้าของคุณปู่เจิ้งจะเคร่งขรึม แต่พอเห็นฉัน ท่านก็ยิ้มตาหยีและพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจ้าเด็กคนนี้มีบุญวาสนาจริงๆ ว่าที่ภรรยาสวยอย่างกับนางแบบแน่ะ”

ขอบคุณค่ะ ทั้งกรีดตาสองชั้นและเสริมจมูกโด่ง คุ้มแล้วจริงๆ ที่ทนเจ็บมาสามสี่ครั้ง

ผู้คนที่ฉันรู้จักบ้างไม่รู้จักบ้างพากันห้อมล้อมฉันกับแม่ใหญ่และทักทายอย่างสุภาพ

“เหมาะกันเหมือนกิ่งทองใบหยกเลย!”

“สวรรค์ส่งมาให้เป็นคู่กันจริงๆ”

กิ่งทองใบหยก สวรรค์ส่งมาให้คู่กัน บ้าบอน่ะสิ

“ซิงเฉินชอบทานอะไรบ้าง ทานได้เต็มที่เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”

“หนูไม่ค่อยเลือกทานเท่าไหร่ แต่ว่าขอบคุณค่ะ หนูอิ่มแล้ว…” เพื่อที่จะยัดตัวเองลงในชุดราตรีสั้นของดิออร์ตัวนี้ ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ฉันยังไม่ได้กินอะไรเลย

“ได้ยินว่าคริสตัลเรียนหนังสืออยู่ที่โตเกียวตลอด ไปเที่ยวที่ไหนมาบ้างจ๊ะ มีที่เที่ยวแบบเป็นส่วนตัวพอจะแนะนำบ้างมั้ย” คุณป้าที่สวมชุดราตรีแบรนด์อิซเซ่ มิยาเกะคนหนึ่งจูงมือฉันอย่างกระตือรือร้น “พี่อยู่ที่ยุโรปมานาน บอกตามตรงว่าไม่ค่อยคุ้นเคยประเทศญี่ปุ่นสักเท่าไหร่ วันหลังถ้าไปเที่ยวญี่ปุ่นคงต้องให้เธอเป็นไกด์ให้แล้ว” ขณะที่พูด คางสามชั้นอันอวบอิ่มของหล่อนก็กระเพื่อมไม่หยุด การที่สามารถสวมชุดราตรีอัดพลีตสุดคลาสสิกของอิซเซ่ มิยาเกะออกมาดูตลกได้ คุณป้าคนนี้ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ

“หนูไม่ค่อยชอบออกไปเที่ยวเล่นน่ะค่ะ…” ฉันมีท่าทีลำบากใจเล็กน้อย “หนูชอบอ่านหนังสือ วาดรูป ปีนป่ายอยู่ที่บ้าน แล้วก็ดูพวกโชว์ต่างๆ บ้างเป็นครั้งคราว”

“ซิงเฉินของเราเป็นพวกรักสงบ เธอมีอารมณ์ศิลปินมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ” แม่ใหญ่พูดพลางยิ้มฝืนๆ

ฉันป้องปากหัวเราะเบาๆ นานๆ ทีจะรู้สึกเขินอาย

ฟ้าดินรู้ดีว่าฉันอ่านหนังสืออะไร วาดรูปอะไร ปีนป่ายอะไร แล้วก็ดูโชว์ประเภทไหน

ฉันอ่านหนังสือการ์ตูน วาดการ์ตูน ปีนป่ายนอนก่ายหมอน และดูแต่แฟชั่นโชว์

ถ้าถามต่อว่าฉันชอบอ่านการ์ตูนอะไรบ้าง

มิยูกิ อาเบะ, ยูกะ นิตตะ, ยู ฮิกูริ, อายาโนะ ยามาเนะ, ชิโฮะ สุงิอุระ, ฮิโระทากะ คิซารากิ, ริฮิโตะ ทาคาราอิ และอาซามิ โทโจ…ผลงานของนักเขียนการ์ตูนแนวบอยส์เลิฟเหล่านี้ฉันสามารถจำได้หมด ให้พูดตอนนี้ก็พูดได้ไม่หมด จะว่าไปตอนที่อาจารย์อาซามิ โทโจลาโลกไป ฉันยังร้องไห้อย่างกับแม่ตายแน่ะ

การแสดงถามตอบที่ปากไม่ตรงกับใจระหว่างคุณหนูตระกูลดังและแขกเหรื่อเสร็จสิ้นลง ถ้าขืนพูดต่อไปฉันกลัวว่าจมูกจะงอกยาวขึ้น จึงรีบหาข้ออ้างปลีกตัวออกมา

“หนูไปหาเจิ้งฉู่เย่านะคะ ลองดูซิว่าจะปลูกต้นรักด้วยกันได้มั้ย” ไปหาเจ้าเด็กขี้ฉุนเฉียวเป็นเพียงข้ออ้าง ฉันแค่อยากปลูกต้นรักกับอาหารต่างหาก

“ไปเถอะจ้ะ หนุ่มสาวคุยกันเยอะๆ ก็ดีเหมือนกัน” แม่ใหญ่พยักหน้า ตบที่หลังมือฉันเบาๆ แล้วกระซิบข้างหูฉันว่า “ยินดีด้วยนะ ซิงเฉิน คุณปู่เจิ้งพออกพอใจเธอมากทีเดียว เรื่องแต่งงานนับว่าสำเร็จแล้ว” ดูเหมือนว่าแววตารักใคร่เอ็นดูของเธอจะไม่ได้มองฉัน หากแต่กำลังมองต้นไม้เงินต้นไม้ทองที่ทอประกายสีทองวิบวับ

ส่วนใหญ่แล้วการแต่งงานเกี่ยวดองกันของตระกูลเศรษฐีทรงอิทธิพลนั้นผู้ใหญ่เป็นผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจ ส่วนความรู้สึกนึกคิดของพวกเด็กๆ ล้วนเป็นเพียงก้อนเมฆที่ล่องลอยในอากาศ…เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกเศร้าซึมไปพักหนึ่ง

ฉันถือไวน์หนึ่งแก้ว คีบผลไม้สามสี่ชิ้นวางลงในจานกระเบื้องสีขาว แล้วนั่งลงในกระโจมข้างสระว่ายน้ำ เตรียมที่จะรับประทานอาหารมื้อแรกของวันนี้อย่างมีความสุข

ข่าวก๊อสซิปแพร่กระจายไปเร็วกว่าที่ฉันจินตนาการไว้ ไม่ทันไรเรื่องที่กลุ่มบริษัทรื่อเย่ายืนยันสถานะหลานสะใภ้อย่างชัดเจนก็ทำเอาหนุ่มที่มาจีบฉันก่อนหน้านี้ตกใจหนีเตลิดไป บรรดาสาวๆ ส่วนใหญ่ต่างก็ทั้งอิจฉาและริษยาฉัน พวกเธอขอแอบกระซิบกระซาบกันอยู่ไกลๆ ดีกว่าที่จะมาร่วม ‘แสดงความยินดี’ กับฉัน แล้วเพียงพริบตาเดียวก็หายกันไปเกลี้ยง

ฉันละเลียดทานผลไม้จนหมด ทว่ายังคงหิวอยู่นิดหน่อย แต่เพื่อรูปร่าง ฉันจึงทานอีกไม่ได้แล้ว รูปร่างของคุณหนูตระกูลดังเป็นที่สนใจของคนทั่วไปพอๆ กับเรื่องราวของวงศ์ตระกูล ใครจะรู้เล่าว่าสปอตไลต์ที่เมื่อครู่เป็นมิตรกับคุณอาจกลับกลายเป็นคำวิจารณ์ที่แสบสันในอินเตอร์เน็ตเมื่อไรก็ได้

ฉันค่อยๆ สวมหูฟังไร้สายและเอาเส้นผมบังปิดไว้ จากนั้นจิบไวน์ไปพลางดูภาพยนตร์ที่ดาวน์โหลดมาจากอินเตอร์เน็ตไปพลาง

อันที่จริงนักแสดงตลกบนหน้าจอกำลังพูดอะไรฉันเองก็ไม่ค่อยตั้งใจฟังสักเท่าไร เพียงแต่ความรู้สึกแบบนี้ช่างดีเหลือเกิน ไม่มีใครรบกวน ฟังเสียงเอฟเฟ็กต์หัวเราะกับบทสนทนาที่ผ่านการออกแบบอย่างบรรจงในหูฟังแล้วจินตนาการว่าบางทีชีวิตตัวเองอาจไม่เป็นที่น่าขันอีกต่อไป

“อยากทานอะไรอีกหน่อยมั้ย”

เงามืดทอดยาวตรงหน้าฉัน ทำให้บดบังแสงไปจากสายตา ฉันพอจะได้ยินว่าอีกฝ่ายพูดว่าอะไร แต่เสียงในภาพยนตร์ดังเกินไป ฉันก็เลยได้ยินไม่ชัด ได้แต่เงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างงงๆ

เขาโน้มตัวมาข้างหน้าแล้วถามอีกครั้ง “อาถามว่าอยากทานอะไรอีกหน่อยมั้ย”

ฉันก็ยังได้ยินไม่ค่อยชัดอยู่ดี จึงฉีกยิ้มเล็กน้อยและเอ่ยเรียก “อาเมิ่งซี”

ผมดำขลับปรกที่หน้าผากเขา ถึงแม้จะสวมแว่นตาไร้กรอบ แต่ก็ไม่อาจปิดซ่อนความลุ่มลึกในดวงตาได้ ใบหน้าเขาประดับด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนเจือเย็นชาเล็กน้อย ซึ่งเป็นสีหน้าที่ฉันคุ้นเคยดี

ไม่ได้เจอกันสามสี่ปี อาเมิ่งซีดู…ร้ายกาจกว่าเดิม

ฉันรู้สึกว่าผมตรงข้างหูซ้ายถูกเลิกขึ้น อาเมิ่งซีเลิกผมที่ข้างแก้มฉันขึ้นแล้วเอียงศีรษะมอง พอเห็นหูฟังเขาก็แสดงสีหน้า ‘อย่างนี้นี่เอง’

พอถูกเขายั่วเย้า แก้มซ้ายก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ฉันรีบถอดหูฟังออกและพูดว่า “ขอโทษค่ะ”

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ คุณอาจได้กลิ่นตงิดๆ แล้วว่ามีพระเอกอยู่สองคน

โอ้ ไม่ใช่นะ คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีพระเอกสองคน ขณะที่ฉันเติบโตเป็นหญิงสาวที่สวยงามสง่า ในสายตาฉันก็มีแต่อาเมิ่งซีเป็นพระเอกคนเดียวมาตลอด

ฉันไม่มีวันลืมตอนที่ตัวเองรวบรวมความกล้าทั้งหมดและสารภาพรักกับเขาพร้อมกับตัวสั่นงันงก ผู้ชายคนนั้นฟังจบก็พูดว่า ‘ซิงเฉินจ๊ะ’ เขาเรียกอย่างรักใคร่เอ็นดู ‘อากำลังจะแต่งงาน หนูเป็นเด็กถือช่อดอกไม้ให้อาได้มั้ย’ เมื่อพูดจบเขายังลูบศีรษะฉันพร้อมกับยิ้มตาหยี

เด็กถือช่อดอกไม้?

คุณฟังดูสิ เด็กถือช่อดอกไม้อย่างนั้นเหรอ! ไม่ใช่เพื่อนเจ้าสาวเสียด้วยซ้ำ!

ภาพยนตร์นับไม่ถ้วนบอกเราว่าระหว่างเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าสาวมักจะมีเรื่องลับลมคมในที่ดูคลุมเครืออยู่นิดๆ แต่เขากลับเห็นฉันเป็นเด็กถือช่อดอกไม้!

เรื่องไม่สนใจคำสารภาพรักของฉันน่ะช่างเถอะ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาถึงกับเห็นฉันเป็นเด็กที่ยังไม่โตอีกด้วย ทำร้ายจิตใจกันเกินไปแล้ว!

เด็กถือช่อดอกไม้มองดูชายหนุ่มที่รักจูงมือผู้หญิงอีกคนเดินไปอีกด้านหนึ่งของพรมแดงตาปริบๆ ความรู้สึกปวดใจแบบนั้นเหมือนกับเวลาที่คุณถูกใจกระเป๋าใบหนึ่งแล้วเฝ้าใฝ่ฝันจนถึงขั้นกินอาหารไม่รู้รส พอเห็นกระเป๋าใบนี้ก็รู้สึกว่ามันกลายร่างเป็นคน อยากจะนอนกอดเหลือเกิน แต่กระเป๋าใบนั้นกลับพูดว่า ‘ขอโทษนะ ฉันถูกจองแล้ว’

แล้วผู้หญิงที่คว้าไปก่อนคนนั้นยังสะพายอวดอย่างเย่อหยิ่งราวกับพูดว่า ‘นี่ของฉัน แน่จริงก็มาแย่งไปสิ!’

ฉันแน่จริงอยู่แล้ว

ฉันเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรีมาก ตอนนั้นจึงตะโกนตีโพยตีพายใส่เจ้าสาวว่า ‘คุณมีสิทธิ์อะไรมาแย่งอาเมิ่งซีของหนูไป! หนูรวยกว่าคุณ สาวกว่าคุณ สวยกว่าคุณ ดีกว่าคุณเป็นพันเท่าหมื่นเท่า! คุณมีสิทธิ์อะไร! มีสิทธิ์อะไร!’

นอกจากนั้นยังกรีดร้องเสียงแหลม นอนเกลือกกลิ้ง ทุบอกกระทืบเท้า…เป็นต้น เพื่อแสดงว่าฉันไม่พอใจการแต่งงานนี้อย่างแรง

คำอธิบายเพิ่มเติม : ตอนนั้นฉันเพิ่งสิบขวบ

คิดๆ ดูแล้วฉายา ‘คุณหนูจอมแก่น’ ของฉันคงได้มาจากตอนนั้นล่ะมั้ง

จุดจบของการที่ฉันเจตนาก่อกวนในงานแต่งงานของอาเมิ่งซีก็คือถูกผู้ใหญ่จับหวดก้นแรงๆ สามสี่ที ทั้งน้ำมูกทั้งน้ำตาไหลออกมาพร้อมกัน ปิดฉากรักแรกและรักข้างเดียวในชีวิตของฉันลง

เวลานี้ผู้ชายคนนั้นที่ฉันเคยเฝ้าใฝ่ฝันพูดว่า “กินเยอะๆ หน่อย เธอผอมไปแล้ว” พูดเสียใกล้ชิดสนิทสนมแบบนี้ ฉันได้ยินแล้วก็เศร้าใจจริงๆ

เขาจ้องมองฉันแล้วโน้มตัวมาหาอย่างช้าๆ

ฉันขานตอบคำหนึ่ง แล้วถอยห่างออกมาเล็กน้อยอย่างแนบเนียน “ไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไหร่ค่ะ”

เขายิ้มเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร แล้วลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ ฉัน คีบผลไม้หนึ่งชิ้นใส่ในจาน ฉันไม่รู้ว่าควรจะปฏิเสธอย่างไรดี จึงจำต้องใช้ส้อมจิ้ม ค่อยๆ ละเลียดทาน พอเห็นฉันทานผลไม้เสร็จเขาก็หยิบเค้กหนึ่งชิ้นวางลงในจานฉันอีก

เขาตัก ฉันกิน เขาตักของว่างใส่ในจานหนึ่งชิ้น ฉันก็ทานหนึ่งชิ้น เป็นอยู่แบบนี้จนกระทั่งพุงกางจนยัดอะไรไม่ลงอีก แล้วเพื่อที่จะห้ามเขา ฉันจึงจำต้องหาเรื่องคุยเรื่อยเปื่อย “อาเมิ่งซีคะ เมื่อไหร่อาจะหย่าคะ”

เขาตะลึงงันเล็กน้อย แล้วหัวเราะดังลั่นทันที เขายื่นมือมาเกาหน้าผากฉัน แล้วสักพักก็ขยี้ผมหน้าม้าฉัน เหมือนกับเวลาที่เขาสั่งสอนเจ้าพูเดิ้ลจอมซนที่เขาเลี้ยง จากนั้นก็เกาหัวมัน

นิสัยขยี้ผมฉันตามใจชอบของอาเมิ่งซีต้องปรับปรุงเสียใหม่ เพราะว่าฉันไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว

“น่ารักจริงๆ เลย” เขาชม ทว่าไม่ได้ตอบคำถามก่อนหน้านี้ของฉัน

“อาเมิ่งซีคะ” ฉันอดเรียกเขาไม่ได้

“หืม?”

“ต่อไปหนูจะไม่เรียกอาว่าอาแล้วค่ะ” เสียงดังแกร๊ง ฉันโยนส้อมเงินลงในจานกระเบื้องสีขาว แล้วประกาศอย่างเย่อหยิ่งว่า “หนูจะเรียกชื่อของอาแทน เมิ่งซี เจิ้งเมิ่งซี”

“ทำไมล่ะ” ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเชิดขึ้นเล็กน้อยและอมยิ้มที่มุมปาก ไม่ได้มีท่าทีโกรธเคือง

“เราไม่ใช่ญาติกัน อีกอย่างอาก็ไม่ใช่อาของหนูจริงๆ”

“งั้นเหรอ ไม่แน่ว่า…” เขามองฉันทีหนึ่ง ริมฝีปากประดับรอยยิ้มที่ดูเหี้ยมโหด “ต่อไปเราอาจกลายเป็นคนในครอบครัวเดียวกันก็ได้ อย่าเพิ่งรีบเปลี่ยนคำเรียกจะดีกว่านะ”

ฉันตะลึงงันไปเลย พอนึกถึงเรื่องหมั้นหมายระหว่างฉันกับเจิ้งฉู่เย่า ในใจก็มีเสียงของอะไรบางอย่างแตกละเอียดขึ้นเบาๆ

มีคนกล่าวไว้ว่าระยะทางที่ห่างไกลที่สุดในโลกนี้คือฉันอยู่ตรงหน้าเธอ แต่เธอไม่รู้ว่าฉันรักเธอ

คำกล่าวนี้อาจจะยังไม่เศร้าพอ สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดหนีไม่พ้นเรื่องที่ฉันรักเธอ เธอเองก็รู้ว่าฉันรักเธอ แต่สิ่งที่เธอตอบแทนกลับไม่ใช่ความรักแบบที่ฉันต้องการ

ฉันพอจะเข้าใจแล้ว ไม่ว่าฉันจะชอบผู้ชายคนนี้อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาให้ฉันได้…มีเพียง ‘ความรักแบบคนในครอบครัว’

แต่ถึงแม้จะเป็นความรักแบบคนในครอบครัว ขอเพียงเขายินดีให้ ฉันก็ยังคงต้องการ…

นังแพศยา ฉันด่าตัวเอง หลินซิงเฉิน เธอนี่แพศยาจริงๆ

ทันใดนั้นสันหลังก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมา ความรู้สึกกดดันบีบคั้นเข้ามา พอหันไปมองก็เจอกับพระเอกอีกคนของเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าเจิ้งฉู่เย่ามายืนอยู่ข้างหลังฉันตั้งแต่เมื่อไร

เขากอดอกและก้มลงมองพวกเรา ดวงตาทั้งสองดำขลับและดุร้าย คิ้วเลิกสูงอย่างโอหังอวดดี เวลาที่ไม่ยิ้มเขาดูเผด็จการเล็กน้อย ต่างหูเพชรหนึ่งอันติดอยู่ที่กระดูกอ่อนบนหูข้างซ้ายของเขา ส่องประกายแวววาวจนลายตาไปหมด มันช่วยเพิ่มกลิ่นอายความชอบดูถูกเหยียดหยามคนอื่นลงไปในความเป็นผู้ดีที่มีติดตัวเขามาตั้งแต่เกิด

เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีเรียบ ไม่มีลวดลาย ส่วนบริเวณคอเสื้อออกแบบโดยใช้วัสดุที่แตกต่างออกไป เมื่อสวมใส่คู่กับกางเกงขายาวสีขาวยิ่งช่วยให้รูปร่างดูสูงเพรียวขึ้น หากสามารถเพิ่มสีหน้ายิ้มแย้มที่ดูสดใสเข้าไปได้เขาก็จะดูเหมือนกับนายแบบสุดหล่อในโฆษณาเสื้อผ้าและเครื่องประดับของแบรนด์โดลเช่ แอนด์ กาบบาน่าได้เลย

แต่สีหน้าของเจิ้งฉู่เย่าในตอนนี้ค่อนข้างเหมือนกับนายแบบที่ถูกแจ้งเปลี่ยนตัวแบบกะทันหัน นั่นคือมีท่าทางเหมือนอยากจะฆ่าคน

ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าในระหว่างการเจริญเติบโตของคนเรานั้นจะเกิดการรวมตัวกันใหม่ของยีนหรือไม่ก็ยีนกลายพันธุ์อะไรพวกนี้ได้หรือเปล่า…ไม่อย่างนั้นทำไมหนุ่มน้อยน่ารักในตอนนั้นถึงโตขึ้นมาเป็นคนดุร้ายแบบนี้ได้

อย่างไรก็ตามฉันก็ไม่ใช่คนที่จะถูกข่มได้ง่ายๆ

เจิ้งฉู่เย่าตีหน้าขรึมแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ขอโทษนะครับ ขอรบกวนสักครู่” เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้พูดสองประโยคนี้กับฉัน แต่พูดกับอาเมิ่งซีต่างหาก

อาเมิ่งซียักไหล่ แววตาบ่งบอกว่ากำลังครุ่นคิด และแสดงท่าทีไม่แยแส ไม่สนใจ

“ไม่เป็นไร นายคงมาหาซิงเฉินใช่มั้ย” อาเมิ่งซีสีหน้าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แล้วหันมาทางฉัน

ดวงตาลุ่มลึกของเขามองฉันแค่แวบเดียวเท่านั้น ทำเอาฉันเจ็บระบมไปทั้งตัวเหมือนถูกผึ้งต่อย

“ฉันเหนื่อยแล้ว ขอตัวก่อนนะ” ฉันลุกขึ้นยืน อยากจะเดินจากไปด้วยท่าทีที่หยิ่งผยองที่สุด

เดินหนึ่งก้าว ไม่ขยับ

เดินสองก้าว ก็ยังอยู่ที่เดิม

เดินสามก้าว แต่กลับถอยหลังสองก้าว

“ปล่อยนะ! เจิ้งฉู่เย่า นายทำอะไรของนาย!” ฉันเห็นตรงข้อมือเป็นปื้นแดงอย่างรวดเร็ว อดขมวดคิ้วไม่ได้ “นายทำฉันเจ็บแล้วนะ!”

เจิ้งฉู่เย่าจับข้อมือฉันไว้ แรงเขาเยอะมากอย่างกับจะบีบกระดูกข้อมือฉันให้หักไปเลย

“นี่ เจิ้งฉู่เย่า นายจะพาฉันไปไหน”

เขานิ่งเงียบไม่ตอบแล้วจูงฉันเดินตรงไป ไม่รู้ว่าจะลากฉันไปที่ไหนกัน ฉันทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่เดินตุปัดตุเป๋ตามเจิ้งฉู่เย่าไป แต่เนื่องจากฉันสวมรองเท้าส้นสูง ก็เลยเกือบล้มอยู่หลายครั้ง ฉันตกใจร้องเสียงดัง แต่เขากลับทำเป็นหูทวนลม ไม่คิดที่จะดูแลเอาใจใส่ผู้หญิงเลยสักนิด

เราเดินไปจนถึงมุมลับตาคนแถวๆ ริมสระว่ายน้ำ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ ฉันก็เหวี่ยงกระเป๋าแบรนด์เนมในมือ ขณะที่เตรียมจะฟาดไปที่ศีรษะด้านหลังของเขา จู่ๆ เขาก็หยุดเดินขึ้นมาเสียดื้อๆ แล้วสะบัดมือฉันทิ้งด้วยความเอือมระอา

“ฉันมีเรื่องจะบอกเธอ”

“ไม่อยากฟัง!” ฉันทำเสียงฮึดฮัดเย็นชา

“เรามาคุยกันหน่อย” คิ้วเขาขมวดอย่างดุร้ายน่ากลัวและพูดเสียงเยือกเย็น

“คุยเรื่องอะไร” ฉันกอดอก

“เรื่องหมั้น ยกเลิกเถอะ” เจิ้งฉู่เย่าพูดเสียงเย็นชา “เพราะฉันไม่ได้รักเธอเลย”

ฉันเหลือบมองเขาแล้วยิ้มเยาะ

ก็อย่างที่บอก ฉันคนนี้ไม่เพียงแพศยา แถมยังบ้าด้วย

ฉันคิดว่าไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็น่าจะรักฉันกันทั้งนั้น

อาเมิ่งซีไม่รักฉัน ไม่สิ ไม่ใช่ว่าไม่รัก แต่รักไม่ได้ต่างหาก เขาแก่กว่าฉันสิบหกปี เขากับฉันมีศักดิ์เป็นอาหลานกัน อีกอย่างเขาก็แต่งงานแล้วด้วย

เจิ้งฉู่เย่าบอกว่าไม่รักฉัน ถ้าเขาไม่รักฉันก็คงไม่ให้คนส่งของขวัญวันเกิดราคาแพงมาให้ฉันทุกปีหรอก เขาก็แค่ไม่พอใจที่ถูกพ่อแม่จับคลุมถุงชน อธิบายได้สั้นๆ ว่าปากไม่ตรงกับใจ

“ก็ไม่เห็นจะเป็นไรนี่” มุมปากฉันยกขึ้น “ฉันจะทำให้นายรักฉันเอง”

พอพูดจบฉันก็ควงแขนเขา เริ่มเอาตัวเข้าไปแนบชิด ใช้หน้าอกถูไถแขนเขา…ฉันรู้ว่าสำหรับผู้ชายแล้วการทำแบบนี้มันยั่วยวนอย่างร้ายกาจขนาดไหน

“คืนนี้อยากจะ…” ฉันยั่วยวนเขาอย่างไร้ยางอาย แล้วเป่าลมใส่หูเขา

ข้าวสารกรอกหม้อแล้ว หุงให้สุกเลยแล้วกัน

เจิ้งฉู่เย่าตัวแข็งทื่อทันที แผงอกกระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อย ส่วนการหายใจก็ดูเหมือนจะติดขัดอยู่บ้าง เขาถลึงตาใส่ฉัน จากนั้นออกแรงผลักฉันออกไปและเบือนหน้าหนี แต่ฉันกลับเห็นว่าใบหูของเขาแดงระเรื่อ

อ่ะฮ้า ปากไม่ตรงกับใจจริงๆ ด้วย

“หลินซิงเฉิน เธอไม่รู้สึกเหรอว่าการที่เธอทำแบบนี้มันไร้ความหมาย แถมยังไร้สาระมาก”

“จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ” ฉันเม้มปากยิ้มหวาน สองมือดึงคอเสื้อเขาเบาๆ “เจิ้งฉู่เย่า นายกำลังจะเป็นคู่หมั้นของฉันอยู่แล้ว ขนาดฉันยังไม่อายเลย แล้วนายจะอายอะไร”

พอฉันยั่วยวนเข้าหน่อย มาดของเจิ้งฉู่เย่าก็หายไปกว่าครึ่ง ฉันก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เขาก็ถอยหลังหนึ่งก้าว ทำเหมือนฉันเป็นขุนนางที่บีบบังคับสาวชาวบ้านยังไงยังงั้น

“พอได้แล้ว หลินซิงเฉิน” เขาเหลือบมองฉันทีหนึ่ง แล้วจู่ๆ แววตาก็ดูลุ่มลึกขึ้น “เธอไม่ได้รักฉันหรอก”

เขาดูออกแล้วงั้นเหรอ

ฉันงงงัน หูทั้งสองข้างร้อนผ่าวเล็กน้อย แต่เพื่อที่จะปกปิดอาการกระวนกระวาย ฉันจึงหัวเราะคิกคักออกมา “เรื่องนี้นายไม่ต้องสนใจหรอก”

“หลินซิงเฉิน ตัดใจเสียเถอะ” เขาดึงมือฉันออก น้ำเสียงฟังดูแข็งกร้าว “ฉันไม่มีทางหมั้นกับเธอ นั่นเป็นแค่ความปรารถนาของพวกผู้ใหญ่แต่เพียงฝ่ายเดียว”

“ไม่หมั้นกับฉัน? แล้วนายจะหมั้นกับใคร” ฉันถามเขาด้วยท่าทางดุดัน “ก่อนหน้านี้นายบอกว่ายังไงก็ได้ไม่ใช่เหรอ การแต่งงานเกี่ยวดองกันของตระกูลเศรษฐีก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นไม่ว่ากับใครมันก็ไม่ต่างกันหรอก หรือว่า…นายมีคนที่ชอบอยู่แล้ว?”

เจิ้งฉู่เย่าตัวแข็งทื่ออีกครั้ง

ฉันเดาถูกด้วย ร่างกายเขาซื่อสัตย์มากกว่าลมปากเขาเสียอีก

“นายมีคนที่ชอบแล้วใช่มั้ย ถึงบอกว่ายังไงก็ได้ไม่ได้อีกแล้ว จะปล่อยให้ฉันบงการตามใจชอบไม่ได้อีกแล้วใช่มั้ย”

ดูเหมือนจะถูกฉันต้อนจนมุมเสียแล้ว เจิ้งฉู่เย่ากัดฟันด้วยความแค้นเคืองแล้วพูดว่า “ใช่! ฉันมีคนที่ชอบแล้ว!”

“ใคร” ฉันไม่สนใจและถามว่า “คุณหนูตระกูลไหน พามาให้ฉันดูหน่อยสิ จะเป็นศัตรูหัวใจของฉันหลินซิงเฉิน คุณสมบัติจะแย่เกินไปไม่ได้…หืม นายไม่บอก? งั้นฉันขอเดา”

ฉันพูดพลางยื่นนิ้วมือออกไปพันเนกไทเส้นเล็กของเจิ้งฉู่เย่าอย่างซุกซน แล้วค่อยๆ ดึงเขาเข้ามาหาฉัน เนื่องจากชุดราตรีสั้นของดิออร์ที่ฉันใส่อยู่ตัวนี้เป็นแบบคอกว้าง ดังนั้น…

เพล้ง! เสียงแก้วแตกดังสนั่น ทำเอาเราทั้งคู่ต่างก็เงยหน้าขึ้น

ไม่ไกลนักมีหญิงสาวที่แต่งตัวเป็นบริกรคนหนึ่งนั่งยองบนพื้นพลางเก็บกวาดเศษแก้วอย่างลุกลี้ลุกลน

“ยางยาง? อวี๋ยางยาง?” เจิ้งฉู่เย่าแสดงสีหน้าประหลาดใจ แล้ววินาทีต่อมาเขาก็ผลักฉันออกด้วยความกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

หยางหย่าง? อวี๋หยางหย่าง*?

ฉันขมวดคิ้ว นี่มันชื่อแปลกพิสดารอะไรกันเนี่ย

“ขอโทษนะ ฉู่เย่า ฉันไม่รู้ว่านายอยู่ที่นี่ ฉันไม่เห็นอะไรทั้งนั้น…”

โกหก! เห็นหมดแล้วชัดๆ!

ฉันทำเสียงจิ๊จ๊ะ หญิงสาวรีบก้มหน้าก้มตาทันทีและพูดจาตะกุกตะกัก “ขอ…ขอโทษค่ะ”

เจิ้งฉู่เย่าส่งสายตาดุร้ายมาให้ฉัน จากนั้นเดินไปอยู่ข้างๆ หญิงสาวคนนั้น กุมมือเธอและพูดเสียงนุ่มนวลว่า “ไม่ต้องเก็บแล้ว ระวังจะบาดมือเอา”

ที่แท้เจิ้งฉู่เย่าก็รู้จักดูแลเอาใจใส่ผู้หญิงด้วย

หญิงสาวคนนั้นดูอายุราวๆ สิบเจ็ดสิบแปดปี หน้าตาธรรมดา ผมยาวปานกลาง ไม่ย้อม ไม่ดัด มัดรวบเป็นหางม้า พอจะเรียกได้ว่าสะสวย เธอชนะก็ตรงที่ดวงตากลมโตใสแป๋ว ส่วนหุ่นน่ะเหรอ…ทั้งผอมทั้งแบน ห่างจากฉันหลายขุมเลย

ฉันคงจะตาไม่มีแววเอง มองซ้ายมองขวา มองบนมองล่าง ก็ยังคงดูไม่ออกว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นหยกงามตามธรรมชาติ แต่เจิ้งฉู่เย่ากลับเห็นเป็นเหมือนของล้ำค่า

ฉันมองเจิ้งฉู่เย่าที แล้วก็มองหญิงสาวที่ชื่อ ‘อวี๋หยางหย่าง’ ที ฉันสังเกตเห็นได้อย่างฉับไวถึงบรรยากาศที่ไม่ปกติระหว่างพวกเขา

อืม เป็นกิ๊กกัน

มือของเจิ้งฉู่เย่าเพิ่งจะแตะโดนปลายนิ้วของเธอ เธอก็รีบหดตัวลีบทันที แล้วพูดเสียงเบาว่า “ฉันไม่เป็นไร…”

ปากบอกว่าไม่เป็นไร แต่มือเล็กบอบบางยังคงอยู่ในฝ่ามือของเจิ้งฉู่เย่า

ฉันทำเสียงจิ๊จ๊ะอีกครั้ง อวี๋หยางหย่างถึงได้รู้ตัวและพยายามดึงมือกลับ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอไม่ได้ออกแรง หรือว่าเจิ้งฉู่เย่ากุมแน่นเกินไป เธอลองอยู่สามสี่ครั้งก็ยังดึงออกมาไม่ได้สักที ทำเอาฉันอยากจะตะโกนบอกเจิ้งฉู่เย่าว่าปล่อยหญิงสาวคนนั้นซะ!

อวี๋หยางหย่างเงยหน้ามองไปทางเจิ้งฉู่เย่าด้วยความเขินอายเจือลำบากใจ แล้วพูดเสียงค่อยว่า “อย่าทำแบบนี้เลย ปล่อยฉันเถอะ” ดวงตากลมโตใสแวววาวและท่าทางอึกอักของเธอนั้นมีคำพูดที่ซ่อนอยู่ข้างในก็คือ อย่าปล่อยฉันนะ!

สวรรค์! ถ้าฉันเป็นผู้ชายแล้วได้ยินคำพูดนี้ ฉันคงจะตัวอ่อนปวกเปียกไปเลย

แต่น่าเสียดายที่ฉันเป็นผู้หญิง ฉันขอมอบหนึ่งคำให้เธอ…เสแสร้ง

เจิ้งฉู่เย่าเป็นผู้ชาย เขาจึงตัวอ่อนปวกเปียกอย่างไม่เอาไหน เขาเหม่อมองอวี๋หยางหย่าง ทั้งคู่มองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร กระแสไฟฟ้าที่แล่นอยู่ในดวงตาใสแป๋วคงจะมีสักสามสี่ล้านโวลต์ ช็อตจนฉันตัวสั่นหงึกๆ ได้เลยล่ะ

เห็นได้ชัดว่าเป็ดแมนดารินป่าคู่นี้อยู่ในโลกที่มีกันแค่สองคน ไม่สนใจว่าที่คู่หมั้นอย่างฉันคนนี้เลย

“เขา…เป็นแฟนนายเหรอ” อวี๋หยางหย่างถาม เธอเหลือบมองฉันทีหนึ่งแล้วพูดปากไม่ตรงกับใจว่า “สวยจังเลย”

“ไม่ใช่”

พอได้ยินเจิ้งฉู่เย่าปฏิเสธ ฉันก็เดือดดาลขึ้นมาทันที รีบเดินจ้ำไปหยุดอยู่ตรงหน้าทั้งสองคน จากนั้นผลักหญิงสาวที่ชื่อ ‘อวี๋หยางหย่าง’ หรือ ‘อวี๋ยางยาง’ หนึ่งที

“ฉันไม่ใช่แฟนของฉู่เย่า” ฉันยิ้มแฉ่ง “แต่ฉันเป็นคู่หมั้นเขา”

หญิงสาวคนนั้นนิ่งงัน สำนวน ‘ฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ’ นี้ใช้บรรยายสีหน้าของเธอในเวลานี้ได้เลย

ฉันฉวยโอกาสตีเหล็กตอนร้อน มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาคมกริบ “ดูเหมือนเธอจะรู้จักคู่หมั้นของฉัน? ไม่ทราบว่าพวกเธอรู้จักกันได้ยังไงเหรอ”

อวี๋หยางหย่างเหมือนสัตว์ตัวน้อยที่ตื่นตกใจ เธอถอยหลังหนึ่งก้าว พูดจาติดอ่าง “ฉัน…ทำ…ทำงาน…อยู่ที่โรง…โรงแรมนี้ค่ะ”

ผู้หญิงคนนี้พูดจาดีๆ หน่อยได้ไหม ไม่ต้องพูดซ้ำคำได้หรือเปล่า โอ๊ะ เป็นเพราะฉันดุเกินไปหรือเปล่านะ

“หลินซิงเฉิน!” เจิ้งฉู่เย่ามองฉันด้วยสายตาดุร้าย แล้วปกป้องอวี๋หยางหย่างโดยให้เธอไปอยู่ข้างหลังเขา

ช่างรักกันเสียจริง!

ว่าแต่ทำยังไงดีล่ะ ฉันอยู่ในแวดวงไฮโซมาหลายปี นอกจากฉายา ‘คุณหนูจอมแก่น’ แล้ว ฉันยังมีอีกฉายาที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ ‘นักล่าเมียน้อย’ ไม่ว่าจะเป็นพวกที่รักกันดูดดื่มเอย รักเดียวใจเดียวเอย อยู่เคียงคู่กันเอย…แต่เมื่อเจอกับฉัน พูดได้แค่ว่า ‘มีบุญ แต่ไร้ซึ่งวาสนาที่จะอยู่ด้วยกัน’

“ที่แท้ก็เป็น ‘นักเรียนพาร์ตไทม์’ ของบ้านฉู่เย่านี่เอง” ฉันพูดเน้นคำว่านักเรียนพาร์ตไทม์ ไม่เก็บซ่อนความรู้สึกดูถูกเหยียดหยามที่อัดแน่นอยู่ในใจเลยแม้แต่น้อย “คุณนักเรียนพาร์ตไทม์ ไม่ทราบว่าตอนนี้ใช่เวลาทำงานของคุณหรือเปล่า”

อวี๋หยางหย่างเม้มปาก ไม่ตอบอะไร ท่าทางหยิ่งยโสกว่าฉันอีก

“ฉันถาม เธอก็ต้องตอบมา!” ฉันถามซ้ำอีกครั้งด้วยความหงุดหงิด “คุณนักเรียนพาร์ตไทม์ ตอนนี้ใช่เวลาทำงานของคุณหรือเปล่า”

“อืม” เธอพยักหน้า

“เวลาทำงานไม่ตั้งใจทำงาน แอบฟังพวกเราคุยกัน แถมยังแตะเนื้อต้องตัวคู่หมั้นฉันอีก ทำแบบนี้มันใช่เหรอ”

“ฉัน…ฉัน…ไม่ได้เจตนาค่ะ”

ยังมีหน้าพูดว่าไม่ได้เจตนา เห็นๆ อยู่ว่ามือเธอยังดึงเสื้อเชิ้ตของเจิ้งฉู่เย่าไว้แน่น จับเสียจนตรงข้างเอวเป็นรอยยับย่น

“หลินซิงเฉิน เธอต้องการจะพูดอะไรกันแน่” เจิ้งฉู่เย่าส่งสายตาเตือนให้ฉันเงียบปาก

ถ้าฉันกลัวเขา ก็ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าหลินซิงเฉิน!

“คุณนักเรียนพาร์ตไทม์ ไม่ทราบว่าคุณได้ Hourly wage เท่าไหร่” ฉันถามต่อ

“หา?” เธองงงันและกะพริบตาปริบๆ

แม้แต่คำศัพท์ภาษาอังกฤษง่ายๆ อย่าง ‘Hourly wage’ ก็ไม่เข้าใจเหรอนี่ คนละระดับกับฉันจริงๆ ด้วย

“Hourly wage ค่าจ้างรายชั่วโมงน่ะ” ฉันหรี่ตาหนึ่งข้าง แล้วอวดความรู้ภาษาอังกฤษอย่างภาคภูมิใจ “How much are you an hour?”

หางตาฉันเหลือบเห็นเจิ้งฉู่เย่ากุมหน้าผากพลางขมวดคิ้ว เขากระซิบแก้ให้ฉันใหม่ว่า “How much do you earn per hour?”

ความหมายก็คล้ายๆ กันนั่นแหละ ฉันทำเสียงจิ๊จ๊ะก่อนพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “สรุปคือฉันถามเธอว่าทำงานหนึ่งชั่วโมงได้ค่าจ้างเท่าไหร่”

“หนึ่งร้อยห้าสิบเหรียญค่ะ…”

“เหรียญไต้หวัน?”

“อืม…”

“เหอะๆ งั้นเธอรู้มั้ยว่าเสื้อเชิ้ตตัวที่มือเธอจับอยู่นี้ราคาเท่าไหร่”

หญิงสาวส่ายหัวอย่างงุนงง

“แค่เสื้อเชิ้ตแบรนด์โดลเช่ แอนด์ กาบบาน่าจากอิตาลีที่ฉู่เย่าใส่อยู่นี้ อย่างต่ำๆ ก็สองพันดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไต้หวันก็หกหมื่นเหรียญขึ้นไป” ฉันปัดมือปลาหมึกของอวี๋หยางหย่างที่จับเสื้อของเจิ้งฉู่เย่าไว้แน่นออก “อย่าจับแน่นแบบนั้น เพราะถ้าเสื้อเสียทรง อย่างน้อยๆ เธอก็ต้องทำงานสามเดือนและไม่กินไม่ดื่มอะไรเลยถึงจะชดใช้ไหว”

“…” แผ่นหลังของหญิงสาวเหยียดตรงแน่ว แต่ก็ยังคงดูออกว่าตัวเธอกำลังสั่นเทิ้ม

“ส่วนชุดราตรีสั้นของดิออร์ที่ฉันใส่อยู่นี้เป็นแบบที่ราคาต่ำที่สุด ไม่แพง แค่หนึ่งแสนเจ็ดหมื่นเหรียญไต้หวันเท่านั้นเอง” ฉันเลิกชายกระโปรงขึ้นแล้วเดินเข้าไปใกล้ สายตาอันคมกริบมองทะลุผ่านไปยังหญิงสาวที่ซ่อนอยู่ข้างหลังเจิ้งฉู่เย่า “ดูเราสองคน แล้วลองดูตัวเธอสิ รู้หรือยังว่าเรากับเธอต่างกันตรงไหน นักเรียนพาร์ตไทม์ที่ทำงานได้เงินแค่ชั่วโมงละหนึ่งร้อยห้าสิบเหรียญไต้หวัน ไม่ไปส่องกระจกดูเสียบ้าง เธอจนกรอบแบบนี้ยังคิดจะยั่วยวนคู่หมั้นฉันอีก!”

“คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ ฉันไม่ได้…” อวี๋หยางหย่างสั่นเทิ้มไปทั้งตัว แล้วก้าวถอยหลังไม่หยุด “ฉันไม่ได้ชอบเจิ้งฉู่เย่า เขาดีขนาดนั้น ฉันรู้ดีว่าตัวเองไม่คู่ควร…”

“รู้ก็ดีแล้ว” ฉันพยักหน้าอย่างพออกพอใจ แล้วเผยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ

เชอะ ไม่ทันไรศัตรูหัวใจรายนี้ก็ยอมแพ้แล้ว ช่างไม่ท้าทายเอาเสียเลยจริงๆ

ความดีอกดีใจจากการชนะทำให้ฉันไม่ได้ระแวดระวังตัว ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าขณะที่ฉันกำลังพูดจาดูถูกอวี๋หยางหย่างอยู่นั้น สีหน้าของเจิ้งฉู่เย่าก็บึ้งตึงขึ้นเรื่อยๆ

ผู้คนที่มามุงดูค่อยๆ เยอะขึ้น พวกเขาดูเรื่องสนุกพลางกระซิบกระซาบกัน

แล้วก็เหมือนกับพระเอกในละครและนิยายรักทุกเรื่อง เจิ้งฉู่เย่าไม่อาจฝืนธรรมเนียมและเดินก้าวมาข้างหน้าอย่างกล้าหาญ เขาตวาดเสียงดัง “พอได้แล้ว! หลินซิงเฉิน พอแค่นี้แหละ!” พอพูดจบเขาก็จูงมืออวี๋หยางหย่างเดินจากไป ต้องการที่จะจบเรื่องตลกร้ายนี้ลง

“อย่าเพิ่งไป ฉันยังพูดไม่จบ เจิ้งฉู่…” ฉันเดินตามไป แต่ยังไม่ทันเรียกชื่อของเจิ้งฉู่เย่าจบ เท้าก็ลื่นไถล พุ่งล้มไปข้างหน้าทั้งตัว แล้วก็เห็นว่าใบหน้าอันสวยงามของฉันกำลังจะจูบพื้นแล้ว

ก่อนที่ความรู้สึกเจ็บจะมาเยือน ความคิดแรกที่แวบขึ้นมาในสมองฉันคือ…ฉันเพิ่งไปทำจมูกมา!

ฉันอยากจะกอดอวี๋หยางหย่างที่อยู่ใกล้ฉันที่สุดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แต่ดันเหยียบโดนชายกระโปรงชุดราตรีของใครก็ไม่รู้เข้าไปอีก เลยทำให้ฉันกระโจนใส่อวี๋หยางหย่างตามความเร่ง

อวี๋หยางหย่างตัวผอมบางไหนเลยจะแบกรับการพุ่งกระโจนอย่างแรงของฉันได้ เธอรับน้ำหนักตัวของฉันไว้แล้วส่งเสียงร้องตกใจ จากนั้นล้มใส่เจิ้งฉู่เย่าที่อยู่หน้าสุด เจิ้งฉู่เย่าตกใจหมุนตัวมา เดิมทีเขาจะรับตัวอวี๋หยางหย่างไว้ แต่เพราะระยะกระชั้นชิดเกินไปจนเขาต้องถอยหลังทีละก้าวๆ และแล้วก็เกิดก้าวพลาด…

ราวกับฉากในภาพยนตร์ที่เล่นไปอย่างรวดเร็ว เราสามคนตกลงไปในน้ำอย่างสวยงามภายใต้สายตาของผู้คนที่จ้องมอง

ฮือๆๆ ฉันว่ายน้ำไม่เป็น!

ช่วงเวลาสามสี่วินาทีที่ตกลงไปในสระว่ายน้ำ ตรงหน้าฉันเหมือนมีแถบตัวอักษรที่วิ่งอยู่ด้านล่างจอทีวีปรากฏแวบขึ้นมา

‘ความฝันที่จะเกี่ยวดองกับตระกูลเศรษฐีมีอันแตกสลาย! คู่หมั้นสาวเจรจากับเมียน้อยไม่เป็นผล ทั้งสามจึงจบชีวิตด้วยกัน!’

นักข่าวสัมภาษณ์พยานผู้เห็นเหตุการณ์ : ไม่ทราบว่าทั้งสามคนมีปากเสียงกันหรือเปล่าคะ

พยาน : มีค่ะๆ ผู้หญิงสองคนแย่งผู้ชายคนเดียวกัน ตบหน้าฉาด จิกทึ้งผม ตบตีกันดุเดือดมากค่ะ!

นักข่าว : ไม่ทราบว่าเหตุการณ์ตกน้ำเกิดขึ้นได้อย่างไรคะ

พยาน : คู่หมั้นสาวเป็นคนผลักทั้งสองคนตกน้ำค่ะ นี่เป็นการฆาตกรรม คดีฆาตกรรม…

ฉัน : ปั้นน้ำเป็นตัวทั้งนั้น!

นักข่าว : เชื่อมต่อสัญญาณจากสถานที่เกิดเหตุ เราจะมาสัมภาษณ์พระเอกของเหตุการณ์ตกน้ำครั้งนี้กันค่ะ…คุณเจิ้งฉู่เย่า นายน้อยแห่งกลุ่มบริษัทรื่อเย่า ไม่ทราบว่าคุณคิดอย่างไรกับเหตุการณ์นี้คะ

เจิ้งฉู่เย่า : ผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นตายซะได้ก็ดี…

แล้วภาพก็ตัดมาที่ศพผู้หญิงนอนตัวเปียกโชกอยู่บนพื้น เธอถูกเบลอหน้าโดยการใส่เอฟเฟ็กต์โมเสก ชุดราตรีสีชมพูนู้ดของดิออร์ที่สวมใส่อยู่ดูคุ้นตาทีเดียว…

ก็ได้ ฉันยอมรับว่าฉันมีอาการหลงผิดคิดว่าตัวเองจะถูกปองร้ายกลั่นแกล้ง

ฉันโบกไม้โบกมือขณะที่หมุนติ้วไปมาอยู่ในน้ำสามสี่ตลบ แม้ว่าน้ำในสระว่ายน้ำจะไม่ลึก แต่พอชุดราตรีเปียกชุ่มน้ำก็แนบติดกับลำตัว แล้วรัดสองขาฉันแน่นเหมือนกับเทปกาว ฉันกระเสือกกระสนดิ้นรนอยู่ตลอด แต่ก็ไม่สามารถเหยียดตัวตรงได้

ฉันได้แต่มองดูเจ้าชายขี่ม้าขาวอุ้มหญิงสาวอันเป็นที่รักของเขาขึ้นมาอย่างตาละห้อย แล้วเดินจากไปแบบเท่ๆ

นั่นมัน…การอุ้มเจ้าหญิงที่ฉันใฝ่ฝันมาตลอดนี่นา! ฮือๆๆ แล้วฉันล่ะ

ฉันพยายามสุดกำลัง เหยียดแขนโบกไปมา “เจิ้งฉู่เย่า ช่วยด้วย…” พออ้าปาก น้ำในสระว่ายน้ำก็เข้าจมูกเข้าปากฉัน รสชาติของคลอรีนชวนพะอืดพะอมสุดๆ!

เจิ้งฉู่เย่าหันกลับมามองฉันแวบหนึ่ง ริมฝีปากสวยได้รูปขยับขมุบขมิบเหมือนกับกำลังพูดว่า…สมน้ำหน้า

ฮือๆๆ ฉันจะจมน้ำตายอยู่แล้ว อา…ดูเหมือนว่าฉันจะเห็นศพผู้หญิงในชุดราตรีสีชมพูนู้ดของดิออร์นอนราบอยู่ที่ริมสระว่ายน้ำอีกแล้ว

สายตาค่อยๆ พร่ามัว ที่น่าแปลกคือสติกลับชัดเจนเหลือเกิน ท่ามกลางเสียงสายน้ำซู่ๆ ทันใดนั้นเองฉันก็ได้ยินเสียงดัง ‘ตูม’ มีคนกระโดดลงมาในน้ำแล้วว่ายมาอยู่ที่ข้างหลังฉัน

ฉันรู้สึกว่าแขนแข็งแกร่งมีพลังข้างหนึ่งสอดเข้ามาใต้รักแร้ฉัน พอถูกกอดฉันก็ตกใจจนกรีดร้องในใจ…คนลามก!

แขนข้างนั้นพาดตรงเนินอกที่กระเพื่อมขึ้นลงของฉันพอดี แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครกล้าแต๊ะอั๋งฉันอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งแบบนี้มาก่อนเลย!

สัญชาตญาณการเอาตัวรอดถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ฉันทั้งกรีดร้องและดิ้นรนสุดชีวิต เตะแรงถีบแรง แต่ไม่รู้ว่าฉันถีบโดนอะไรเข้า ผู้ชายคนนั้นถึงได้ร้องครวญครางเสียงอู้อี้แล้วเกร็งท่อนแขนทันที แผ่นหลังฉันจึงชนเข้ากับแผงอกอันแข็งแกร่ง

“ขอโทษนะ” เสียงหอบเล็กน้อยดังขึ้นที่ข้างหูฉัน น้ำเสียงฟังดูลนลานพอควร

ยังจะมาขอโทษอีกเหรอ!

“คุณ…คุณ…” พออ้าปาก น้ำในสระว่ายน้ำก็เข้าจมูกเข้าปากฉันอีก ฉันไอสำลักอย่างทรมานสามสี่ทีพลางตำหนิอยู่ในใจว่า อย่าคิดว่าขอโทษแล้ว ฉันจะเลิกแล้วกันไปนะ!

“ขอโทษนะ” แต่เขาก็พูดซ้ำอีกครั้ง

ขณะเดียวกันความรู้สึกเจ็บอย่างรุนแรงก็แล่นมาจากต้นคอ

ผู้ชายคนนั้นทุบฉันจนสลบ มันเกิดขึ้นรวดเร็วฉับไวมาก

ในที่สุดฉันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงต้องพูดขอโทษสองครั้ง

บอกฉันทีสิ! มีคนเขาช่วยสาวสวยกันแบบนี้ด้วยเหรอ!

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

sangdow Marcom: