X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดหญิงเซียนเครื่องหอม

ทดลองอ่าน ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม บทที่ 7

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่เจ็ด

 

“เวลาในการขอฝนได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ถ้าเลยเวลาจะถือว่าทำผิดต่อฟ้า” ขณะที่มู่หวั่นชิวกำลังครุ่นคิดอยู่ ก็ได้ยินใต้เท้าสวีพูดต่อไปว่า “ขอเชิญแม่นางร่วมไปส่งเด็กคู่นี้กับข้าก่อน เรื่องอื่นไว้กลับมาแล้วค่อยปรึกษากัน”

นางหลุดปากพูดว่าสามารถขอฝนได้ นับว่านางเอาตัวเองไปแขวนไว้บนเส้นลวดแล้วแท้ๆ เพราะดวงตาดำไร้พิษภัยคู่นี้เหมือนหม่าจู้เอ๋อร์ ในจิตใจของนางจึงต้องการรักษาชีวิตนี้ไว้ พอได้สติกลับคืนมา มู่หวั่นชิวก็รู้สึกเสียใจ คิดอยู่ว่าจะเอาตัวรอดอย่างไรดี

กลับคิดไม่ถึง พอใต้เท้าสวีได้ยินว่านางมีเงินมหาศาล เขาก็เหมือนแมลงวันที่จับจ้องนางไม่ยอมปล่อย

ในเมื่อนางเอาตัวรอดไม่ได้ เช่นนั้นเด็กสองคนนี้ก็จะตายไม่ได้!

เมื่อความคิดแล่นผ่านในหัว มู่หวั่นชิวจึงคำนับใต้เท้าสวีอย่างนอบน้อม แล้วพูดว่า “ขอใต้เท้าให้เวลาข้าน้อยสามวัน ข้าน้อยต้องขอฝนครั้งใหญ่ให้ชาวเมืองผิงเฉิงได้อย่างแน่นอน”

มู่หวั่นชิวพยายามย้อนความจำในชาติก่อน เสียงพูดจึงไม่รีบไม่ร้อน

“สามวันให้หลัง หากแม่นางขอฝนไม่ได้…” ใต้เท้าสวีน้ำเสียงเย็นชาขึ้นทันใด “จะทำอย่างไร!”

“เรื่องนี้…” มู่หวั่นชิวเสียงหายไปเล็กน้อย “ข้าน้อยต้องขอฝนได้แน่นอน!”

เผชิญหน้าในทางคับแคบ…ผู้หาญกล้าย่อมมีชัย ในตอนนี้หากนางแสดงความลังเลออกมาแม้เพียงเล็กน้อย ทุกอย่างก็ยากจะแก้ได้

ใต้เท้าสวีมีสีหน้าแดงก่ำ

“เด็กบ้านี่มาจากที่ใดกัน อายุน้อย แต่กลับกล้าพูดจาเหลวไหล!” เห็นทั้งสองคนไม่ยอมอ่อนข้อให้กันเช่นนี้ กุนซือปากแหลมหน้าคล้ายวานร ก็พลันพูดแทรกขึ้นมา “เจ้าบอกว่าสามารถขอฝนได้ แล้วเจ้าเอาอะไรมาเป็นหลักประกัน สามวันให้หลัง หากเจ้าหนีไปแล้วจะทำอย่างไร” จากนั้นก็หันไปทางฝูงชน พลางพูดปลุกปั่น “ทุกคนล้วนรู้ว่าใต้เท้าสวีไปอธิษฐานในวัดเจ้ามังกรแล้ว วันนี้ยามซวีจะต้องส่งมอบเด็กไปให้ หากไม่ส่งไปตามเวลา จะทำให้เจ้ามังกรพิโรธ หากฝนไม่ตกไปสามปี แล้วเด็กสาวผู้นี้เกิดหนีไป คนที่รับทุกข์รับเคราะห์ก็คือพวกเรา!”

คำพูดลอยๆ เพียงประโยคเดียว กุนซือผู้นี้ก็ผลักความรับผิดชอบในการขอฝนไม่ได้มาให้มู่หวั่นชิวแล้ว

ใต้เท้าสวีดวงตาเปล่งประกาย “ในเมื่อแม่นางบอกว่าสามารถขอฝนได้จริง มีสิ่งใดมาแสดงหรือไม่ ลองเอาออกมาให้ชาวเมืองทุกคนดูสักนิดเถอะ เพื่อความสบายใจ!”

“เรื่องนี้…” มู่หวั่นชิวขมวดคิ้ว นางมีวิชาอาคมอะไรเสียที่ไหนเล่า

ที่มั่นใจขนาดนั้น เพราะนางจำได้อย่างชัดเจนว่าในชาติก่อน อีกสามวันให้หลังจะมีฝนตกครั้งใหญ่ เป็นเพราะเกิดภัยแล้งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบร้อยปี ดังนั้นวัน เวลา สถานที่ และระยะเวลาของฝนในครั้งนั้นจึงถูกทางการบันทึกรายงานต่อราชสำนักไว้อย่างชัดเจน ทั้งยังนำไปบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์

ดังนั้นแม้ว่าชาติก่อนจะไม่เคยมาที่เมืองผิงเฉิง เรื่องเหล่านี้นางก็ยังรู้ได้ แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ถึงตายนางก็มิอาจพูดออกไปได้

“นั่นสิ แม่นางน้อย ในเมื่อเจ้ามีวิชาอาคม ก็แสดงออกมาให้พวกเราดูสักหน่อยสิ”

“แสดงออกมาเถอะ ถ้าเจ้าขอฝนไม่ได้จะทำอย่างไรเล่า”

“หากเจ้าขอฝนไม่ได้ ทำให้เจ้ามังกรเคืองขุ่น มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยนะ”

“แสดงออกมา”

“แสดงออกมาเถอะ”

เห็นมู่หวั่นชิวยังคงไม่พูดไม่จา ฝูงชนก็ค่อยๆ ลุกฮือขึ้นมา

อย่างไรเสียนางก็เป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งที่เอาชนะเซียนพนันทิพย์กุมารได้ ก็เพียงเพราะล่วงรู้อนาคตเท่านั้น จะนำมาใช้เป็นหลักประกันว่าจะขอฝนได้

คนทำนายอาศัยฟ้าหากิน ฝนฟ้าไม่ตก สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็มีเพียงกระหายตายและหิวตายเท่านั้น ในตอนนี้ใครจะกล้าเอาความเป็นความตายมาฝากไว้กับเด็กสาวที่ไม่รู้ที่มาชัดแจ้ง!

สีหน้าของมู่หวั่นชิวค่อยๆ ซีดขาว

เห็นนางลังเลใจ ใต้เท้าสวีก็ปั้นหน้าดุดัน แล้วตะโกนขึ้นมา “ทหาร!”

นายทหารชุดดำสองคนรีบเดินเข้ามา

“นำตัวนางกลับไปจวนว่าการเจ้าเมือง แล้วเฝ้าเอาไว้ให้ดี” จากนั้นจึงหันไปพูดกับทุกคน “อย่าทำให้ผิดแผน ทุกคนจงขอฝนต่อไป”

“ลูกของข้า!” ฟังคำพูดนี้แล้ว หญิงชาวบ้านก็ร้องเสียงเศร้าสลด ก่อนจะหมดสติไป

ฝูงชนพลันเกิดความวุ่นวาย

ใต้เท้าสวีโบกมือ ทหารสองคนก็รีบเข้ามาลากตัวหญิงผู้นั้นออกไป

“ท่านแม่! ท่านแม่!” เด็กน้อยน่ารักทั้งสองคนพอเห็นมารดาถูกคนลากตัวออกไป ทั้งคู่ก็พากันร้องเรียก

เสียงร้องเรียกน่าเวทนา มู่หวั่นชิวฟังแล้วรู้สึกปวดใจ นางจึงขยับตัวในทันใด หลบทหารที่เดินเข้ามาหาราวกับเสือหิวที่กระโจนเข้าใส่ ก่อนจะหมุนตัวหลบได้อย่างงดงาม แขนเสื้อยาวพลิ้วไหว

ฝูงชนมองเหม่อ ลมหอมพัดปะทะเข้ามา จึงพากันสูดอย่างเต็มที่ จากนั้นขุนนางที่ล้อมตัวมู่หวั่นชิวเอาไว้ต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ไม่นานก็ทรุดตัวลงแล้วอาเจียนออกมา

เด็กน้อยน่ารักสองคนนั้นก็อาเจียนไม่หยุดเช่นกัน

กลิ่นเหม็นคาวกระจายไปทั่ว ทุกคนพากันปิดจมูกเดินถอยหลัง กระทั่งเปิดเป็นที่โล่งตรงกลาง เป็นจุดที่เหล่าขุนนางอาเจียนของในกระเพาะออกมา

“ใต้เท้าสวีมีคำสั่งว่า คนทั้งเมืองต้องถือศีลกินอาหารเจห้าวัน ถึงจะช่วยขอฝนได้ แล้วเหตุใดใต้เท้าทุกท่านจึงไม่ทำตาม!” เห็นเหล่าขุนนางที่อยู่กลางวงล้อมอาเจียนเอาของเหม็นคาวเช่นกุ้งปูปลาออกมา ไม่รู้ว่าใครในกลุ่มคนที่เป็นผู้ตะโกนอย่างไม่พอใจขึ้นมาก่อน

“มิน่าเล่าส่งเด็กออกไปถึงแปดคนแล้ว สวรรค์ก็ยังไม่บันดาลฝนมาให้ ที่แท้เป็นเพราะใต้เท้าทุกท่านไม่ได้ขอฝนด้วยใจจริงนี่เอง!”

“จริงด้วย! หมิ่นสวรรค์เช่นนี้ มิน่าล่ะจึงได้พบกับภัยแล้งครั้งใหญ่ในรอบร้อยปี!”

“พวกเราส่งเด็กไปอย่างยากลำบาก แต่ใต้เท้าทุกท่านกลับทำเป็นเรื่องเด็กเล่น จิตใจของพวกใต้เท้าอยู่ที่ใดกัน!”

“ลูกชายของข้าเพิ่งจะส่งไปครั้งก่อน ถูกเอาไปเลี้ยงเต่าอย่างไร้ค่าแล้ว!”

เสียงโอดครวญทางนั้นทางนี้ดังขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ครอบครัวที่ส่งเด็กออกไปในครั้งก่อนๆ ก็เริ่มร้องไห้ระงม พากันด่าอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

มุมปากของมู่หวั่นชิวมีรอยยิ้มปรากฏ นางแค่ยืนอยู่เงียบๆ โดยไม่พูดไม่จา

เดิมทีนางแค่คิดจะใช้กลิ่นหอมป้องกันตัวที่เพิ่งซื้อมานี้ทำให้เด็กสองคนนั้นอาเจียนออกมาต่อหน้าทุกคน ทำให้พวกเขาตัวเปื้อนก่อน จะได้ทำให้กำหนดการขอฝนของใต้เท้าสวีต้องวุ่นวายมากขึ้นเท่านั้น กลับคิดไม่ถึงว่าใต้เท้าทุกคนจะล้วนทำบาป ทำให้นางได้ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงเช่นนี้

ความโกรธเกรี้ยวราวน้ำหลากทำนบ ทั้งยังทะลักมาเป็นระลอก

เหงื่อเม็ดโตไหลลงมาตามหน้าผากของใต้เท้าสวี หลักฐานแน่นหนาล้วนอยู่ตรงหน้า จนเขามิอาจโต้แย้งได้

“บังอาจ! ปีศาจจากที่ใดกล้ามาใช้วิชาอาคมต่อหน้าทุกคน หมิ่นเกียรติขุนนางราชสำนัก!” เหลือบเห็นมู่หวั่นชิวยิ้มมุมปาก กุนซือปากแหลมหน้าคล้ายวานรผู้นั้นก็ตะโกนเสียงดังขึ้นทันใด เขาคิดจะโยนความผิดทั้งหมดนี้ว่าเป็นเพราะมู่หวั่นชิวใช้วิชาอาคมให้ได้

ใต้เท้าสวีตกตะลึง จากนั้นดวงตาก็เปล่งประกาย ตะโกนขึ้นว่า “ทหาร จับนางไว้!”

“ใต้เท้าหมิ่นสวรรค์ แล้วยังคิดจะฆ่าคนปิดปากอีกหรือ!” เห็นเหล่าทหารกรูเข้ามาราวเสือหิวกระโจนเข้าใส่ มู่หวั่นชิวตกใจจึงตะโกนขึ้นมาเสียงดัง

“นางขอฝนได้ อย่าให้ใต้เท้าสวีฆ่านางเด็ดขาด!”

ท่ามกลางฝูงชนไม่รู้ว่าเป็นใครที่ตะโกนขึ้นมา เสียงดังพึ่บพั่บ เพียงชั่วครู่ตรงหน้าของมู่หวั่นชิวก็ถูกล้อมไว้ด้วยกำแพงมนุษย์แล้ว ซึ่งประจันหน้ากับทหารชุดดำ

ในกลุ่มของฝูงชนมีจำนวนมากที่เป็นหนี้บุญคุณ ได้รับเงินร้อยตำลึงจากมู่หวั่นชิวในร้านป๋ออี้เมื่อคืนนี้ ทั้งที่รู้ว่าใต้เท้าสวีเพียงต้องการจับตัวนาง ไม่ได้คิดสังหาร แต่พวกเขาก็ยังปกป้องนางไว้อย่างแน่นหนา

คนในกลุ่มนี้ยังมีคนกระซิบคุยกับมู่หวั่นชิวถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ด้วย

เมื่อคิดว่าคนกลุ่มนี้แก้ต่างแทนนางหลายครั้ง ทำให้มู่หวั่นชิวที่ผ่านชีวิตมาสองชาติ มีหัวใจไม่ต่างจากบ่อน้ำแห้ง กลับรู้สึกชุ่มชื้นขึ้นมา บนโลกนี้คนที่รู้บุญคุณคนยังคงมีอยู่ ไม่ได้เหมือนทุกคนในชาติที่แล้ว

บนท้องถนนแห่งนี้ กลุ่มของมู่หวั่นชิวกับใต้เท้าสวียังคงยืนคุมเชิงกันอยู่

ทั้งที่เป็นเด็กสาวผอมดำคนหนึ่ง เหตุใดนางจึงมีความมั่นใจถึงเพียงนี้ ทั้งยังสงบนิ่งเช่นนี้ เผยความสูงศักดิ์จนมิอาจเอื้อมถึง ดูแล้วเหมือนว่านางจะสามารถเรียกฝนได้จริงๆ

มองดูเด็กสาวตรงหน้าที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็มีความสง่างามเป็นธรรมชาติ ซึ่งไม่เข้ากับอายุที่น้อยนิดของนางเลย สีหน้าของใต้เท้าสวีพลันเปลี่ยนจากดำเป็นแดง แล้วก็เปลี่ยนเป็นขาวซีด ท่ามกลางสายตาของทุกคน แม้เขาจะเป็นผู้ที่มีแผนการลึกล้ำ ผ่านประสบการณ์มามากมายเพียงใด ก็ยังไม่วายรู้สึกลนลาน

ไม่รู้ว่าละครฉากนี้ควรจะปิดฉากอย่างไร

“ใต้เท้า จดหมายของท่านขอรับ” ขณะที่ไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใครอยู่นั้น ทหารคนหนึ่งก็รีบวิ่งมา ก่อนยื่นเทียบสีทองอันหนึ่งให้

“คุณชายหลี!” หลังจากรับเทียบมาแล้ว ใต้เท้าสวีก็สะดุ้งตัวโยน รีบหันหน้าไปทันที “เขามาที่เมืองผิงเฉิงแล้วหรือ!”

มู่หวั่นชิวก็มองไปตามสายตาของเขาเช่นกัน

ไม่รู้ว่าเมื่อใด บนทางด้านหน้าที่อยู่ไม่ไกลจากนี้ มีรถม้าสีน้ำเงินคันหนึ่งจอดอยู่ มือใหญ่เรียวยาวผิวขาวข้างหนึ่งกำลังจับม่านรถ ยังไม่ทันจะได้เห็นหน้าคนผู้นั้นชัดเจน มู่หวั่นชิวก็เห็นเพียงเสื้อสีขาวแวบผ่าน ม่านรถม้าก็ปิดพรึบลงมา

เด็กหนุ่มชุดฟ้าหน้ารถก็ลงแส้ม้าทันที “ไป!”

รถม้าค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้า

มู่หวั่นชิวขมวดคิ้ว เขาเป็นใครกัน ใต้เท้าสวีดูเหมือนจะกลัวเขามาก

ขณะที่นางกำลังคิดอยู่ก็ได้ยินเสียงใต้เท้าสวีกระแอมขึ้น “ในเมื่อมีคุณชายหลีเป็นประกันแล้ว ข้าก็จะเชื่อเจ้าสักครั้ง สามวันให้หลังข้าจะรอดูว่าเจ้าจะขอฝนอย่างไร” แล้วเงยหน้าขึ้นสั่งการทหาร “ทหาร…เชิญตัวแม่นางไป๋กลับจวนว่าการเจ้าเมือง ปรนนิบัติดูแลนางอย่างดี!”

‘ปรนนิบัติดูแลอย่างดี’ คำนี้เน้นหนักมาก ใต้เท้าสวีเกรงว่าทุกคนจะเข้าใจจุดประสงค์ของเขาผิด จนเกิดเรื่องอื่นขึ้นมาอีก

เห็นทุกคนยังคงปกป้องมู่หวั่นชิวไม่ยอมถอยห่าง ใต้เท้าสวีจึงพูดขึ้นว่า “วันนี้ในเมื่อมีคนไม่ได้กินเจ คงขอฝนไม่ได้แล้ว พ่อแม่พี่น้องทุกท่านก็สลายตัวกันเถอะ สามวันให้หลังค่อยตามแม่นางไป๋มาขอฝน” เมื่อประสานเข้ากับแววตาโกรธเกรี้ยวของทุกคน เขาก็ตัวสั่น “ขุนนางทุกท่านไร้คุณธรรม เห็นการขอฝนเป็นเรื่องเด็กเล่น เรื่องในวันนี้ข้าจะจัดการให้พ่อแม่พี่น้องทุกคนอย่างแน่นอน ขอให้พ่อแม่พี่น้องทุกคนเชื่อข้าสักครั้ง”

หลังจากเข้าไปอยู่ในจวนว่าการเจ้าเมืองแล้ว แม้จะรู้ว่าใต้เท้าสวีเพียงอยากให้นางขอฝนเท่านั้น เพื่อที่ว่าสามวันให้หลังจะได้บอกกับชาวเมืองผิงเฉิงได้ แต่มู่หวั่นชิวที่มีฐานะเป็นบุตรสาวขุนนางต้องโทษ ก็ยังรู้สึกหวั่นใจอยู่ดี นางรู้สึกเสียใจกับความใจร้อนของตนเองในวันนี้เป็นอย่างมาก

มู่หวั่นชิวรู้สึกหวาดกลัวอยู่ทั้งคืน กระทั่งฟ้าใกล้สางจึงค่อยสะลึมสะลือจนนอนหลับไป พอตื่นขึ้นมา ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นสูงแล้ว เมื่อล้างหน้าล้างตา นางก็มานั่งอยู่หน้าคันฉ่อง มู่หวั่นชิวเหม่อมองพลางลูบมือไปบนเงาสะท้อนที่ดูนุ่มเนียนราวกับดอกไม้ในคันฉ่อง

มารดาของนางเป็นสาวงามในเมืองอันคัง ใบหน้านี้ก็ได้รับถ่ายทอดมาจากมารดา งดงามกระทั่งทำให้ดอกบัวในเดือนเจ็ดหมดสีสันไป ชาติก่อนนางถึงได้ถูกขายเข้าไปในหอคณิกา พอแม่เล้าได้เห็นนางก็ดีใจเหมือนคนบ้า ปากก็พร่ำพูดว่าจะปรับให้นางดูสง่างาม แต่พอขึ้นเตียงแล้วจะกลายเป็นสิ่งชั้นเลิศในโลกมนุษย์ที่มีความงามร้อนแรง และด้วยเหตุนี้นางจึงได้เหน็ดเหนื่อยกว่าหญิงคนอื่นในหอชุนเซียงเป็นเท่าตัว ถูกแต่งแต้มจนกลายเป็นนางโลมอันดับหนึ่งในเมืองต้าเยี่ย ภาพวาดใบหน้าแผ่นใหญ่ถูกติดไว้เป็นตัวเรียกแขกตรงประตูหอชุนเซียง ดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้แห่แหนกันมา…

เขาในชาติก่อนก็ถูกใบหน้างดงามของนางนี้ดึงดูดใจไว้มิใช่หรือ เขาจึงได้เลือกนาง

แล้วเขาเคยรักนางบ้างหรือไม่…

หรือจะเคยรัก และถูกความงามของนางทำให้ตกใจ จึงเชื่อมั่นฝังลึกไปในกระดูกดำว่านางเป็นหญิงมักมากมาแต่กำเนิด!

‘หญิงในหอคณิกา คู่ควรกับคำว่าบริสุทธิ์หรือ’

‘ลูกสาวอัครเสนาบดีเลว นางโลมในหอคณิกา คู่ควรแล้วหรือ!’

คำดูหมิ่นของเขาดังขึ้นที่ข้างหูอีกครั้ง มู่หวั่นชิวหลับตาลงทันที น้ำตาไหลรินออกมา นางยื่นมือไปหยิบมีดบนโต๊ะขึ้นมา คิดจะกรีดไปที่ใบหน้าของตนเอง

หากนางทำลายโฉมหน้านี้แล้ว ในชาตินี้ก็จะไม่มีชะตาชีวิตแบบนั้นอีกใช่หรือไม่…

ผิวแก้มนุ่มเนียนรับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงความเย็นเยือกจากคมมีด มือของมู่หวั่นชิวสั่นขึ้นมาเล็กน้อย ใบหน้านี้ติดตามนางมาแล้วถึงสองชาติ ทำให้นางลงมือไม่ลงจริงๆ

เสียงฝีเท้าเดินเร็วดังลอยมา มู่หวั่นชิวตกใจ รีบวางมีดลงแล้วเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็ว

ได้ยินเสียงเคาะประตู กำลังจะอ้าปากพูด มู่หวั่นชิวก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงหมุนตัวไปหยิบสีในห่อผ้าออกมาทาหน้า เพียงพริบตาใบหน้าขาวนวลก็เปลี่ยนเป็นดำเมี่ยม เสร็จแล้วจึงกลับมานั่ง ก่อนตะโกนไปทางประตู “เข้ามา!”

เป็นชุ่ยหงสาวใช้ที่ได้รับคำสั่งให้มาปรนนิบัตินาง อีกฝ่ายยกอาหารเช้าเข้ามา “แม่นางไป๋เชิญกินอาหารเจ้าค่ะ”

แม้ว่าจะถูกกักบริเวณ แต่เรือนด้านหลังของจวนว่าการเจ้าเมืองนี้ มู่หวั่นชิวก็ยังคงเดินไปมาได้อย่างอิสระ หลังจากกินอาหารจนอิ่มแล้ว นางก็เดินไปตามระเบียงทางเดินยาว จนมาถึงสวนดอกไม้ด้านหลัง จึงพบว่าที่นั่นมีสระบัวอยู่แห่งหนึ่ง

สิ่งที่ทำให้มู่หวั่นชิวประหลาดใจก็คือ แม้แต่น้ำในคูเมืองก็ล้วนแห้งเหือด ทว่าสระที่นี่กลับมีน้ำเขียวใส ดอกบัวใต้แสงตะวันก็ดูงดงามอย่างมาก

แล้วน้ำในสระนี้มาจากที่ใด

“คุณหนูรีบหน่อยเจ้าค่ะ เช้าวันนี้ดอกบัวหลายดอกคงจะบานหมดแล้ว”

มู่หวั่นชิวกำลังมองหาต้นน้ำไปทั่ว เสียงดังกังวานนี้ก็ดังลอยมา

“คงเป็นบุตรสาวของใต้เท้าสวี ข้าหลบไปก่อนจะดีกว่า” ได้ยินเสียงแล้ว มู่หวั่นชิวก็แอบพูดกับตัวเอง ทว่าเพียงหมุนตัวกลับมาก็เจอเข้ากับกลุ่มสาวใช้ที่แต่งตัวงดงาม เดินล้อมหน้าล้อมหลังคุณหนูหน้าตางดงามผู้หนึ่ง ขณะที่กำลังเดินเข้ามาพอดี

เมื่อถูกขวางไว้ตรงกลางสระบัวเช่นนี้ ต่อให้มู่หวั่นชิวนึกอยากจะหลบก็ไม่มีทางไหนให้ถอยแล้ว เมื่อคิดสักครู่ นางจึงรีบเอี้ยวตัวไปยืนหลบที่ด้านข้างเพื่อเปิดทางให้

“บังอาจ! เห็นคุณหนูใหญ่ของข้าแล้วยังไม่คำนับอีก!” สาวใช้ตาดีคนหนึ่งพอมองเห็นมู่หวั่นชิวแล้ว ก็ตะคอกเสียงเข้มทันที

มู่หวั่นชิวขมวดคิ้วเล็กน้อย ริมฝีปากขยับ แต่เมื่อนึกได้ว่านางมิใช่บุตรสาวของอัครเสนาบดีแล้ว จึงไม่อาจเย่อหยิ่งได้อีกต่อไป ทำได้เพียงอดทนไว้ แล้วโค้งคำนับก้มหน้าก้มตาพูดว่า “คารวะคุณหนูใหญ่”

“เจ้าคือ…” คุณหนูใหญ่สวีหรูมองสำรวจนางอยู่นาน

“ข้าน้อยแซ่ไป๋ ชื่อชิว คุณหนูใหญ่เรียกข้าว่าอาชิวก็พอ”

“ไป๋…ชิว” คุณหนูใหญ่ทวนชื่อนี้ ทันใดนั้นก็เลิกคิ้วขึ้น แล้วคว้าตัวนางไว้ “เจ้าก็คือแม่นางไป๋ที่บอกว่าขอฝนได้นั่นหรือ เป็นคนที่เอาชนะเซียนพนันทิพย์กุมารมาใช่หรือไม่!”

“ใช่แล้ว” มู่หวั่นชิวพยักหน้า

สวีหรูมองนางอย่างชื่นชม ทันใดนั้นสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป “เจ้าบอกมาเถอะ เจ้ากับคุณชายหลีเป็นอะไรกัน ทำไมเขาต้องปกป้องเจ้าด้วย”

“คุณชายหลี?” มู่หวั่นชิวตกใจ นางไม่รู้จักคนผู้นี้เลยนี่นา

“คุณหนูอย่าไปใส่ใจเลยเจ้าค่ะ” สาวใช้ชุดเขียวคนหนึ่งเข้ามาประคองตัวสวีหรูไว้ “นางจะรู้จักคุณชายหลีได้อย่างไรกัน” เหลือบมองมู่หวั่นชิวที่สวมเพียงชุดเรียบง่ายแล้วพูดต่อ “บ่าวได้ยินว่าเมื่อคืนนี้ตอนที่นางไปบ่อนก็สวมเสื้อราวกับเป็นขอทาน นี่คงเพราะชนะได้เงินมาจึงได้สวมเสื้อที่ดีแบบนี้”

“ใช่เจ้าค่ะ บ่าวก็ได้ยินมาเช่นกัน”

พวกสาวใช้ทำเหมือนมู่หวั่นชิวเป็นอากาศ ทั้งเจ็ดคนพูดวิจารณ์ตัวนางขึ้นมา มู่หวั่นชิวฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มเศร้า หากเป็นชาติก่อน นางคงจะเอาแส้หนังมาฟาดพวกนางไปแล้ว

ทว่าในชาตินี้ นางราวกับยืนอยู่นอกกรอบ มองดูโลกอันกว้างใหญ่ เหมือนคนที่ทุกคนประชดประชันกล่าวถึงอยู่นั้นมิใช่นาง

นางขยับไปที่ระเบียงทางเดินทีละนิด นึกอยากจะแอบหนีไป

พอเดินผ่านข้างกายสวีหรู นางก็ถูกอีกฝ่ายฉุดตัวเอาไว้

“เจ้า…” สวีหรูกำลังจะเอ่ยปาก

สาวใช้คนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นอย่างยินดี “คุณหนู นายท่านกับคุณชายหลีมาแล้วเจ้าค่ะ!”

สวีหรูปล่อยมือจากมู่หวั่นชิวทันที แล้วรีบจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ทำท่าทางสง่างาม “เขาอยู่ที่ใดแล้ว”

“อยู่ที่ประตูวงเดือนเจ้าค่ะ คุณชายหลีกำลังมองมาทางนี้” สาวใช้พูด

“คุณชายหลีมองข้าอยู่?” ปลายตาเหลือบไปทางประตูวงเดือน น้ำเสียงของสวีหรูปกปิดความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ พลางดึงตัวสาวใช้ในชุดเขียวมาสอบถาม “เฝ่ยชุ่ยรีบดูที แป้งชาดบนหน้าข้ายังอยู่ดีหรือไม่” แล้วก้มมองชุดกระโปรงยาวสีแดงขลิบทองของตนเอง “ถ้ารู้ว่าเขาจะมา ข้าใส่ชุดสีเหลืองขนเป็ดจะดีกว่า ได้ยินว่าคุณชายหลีชอบใส่ชุดสีขาว นิสัยของเขาชอบความเรียบง่าย”

“เฝ่ยชุ่ยรีบไปเถอะ ข้าจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า” สวีหรูดึงตัวสาวใช้ชุดเขียวจะรีบเดินไป

“คุณหนู” เฝ่ยชุ่ยแอบกระตุกมือของผู้เป็นนาย “เขามองมาทางนี้อีกแล้วเจ้าค่ะ”

ได้ยินคำพูดนี้แล้ว สวีหรูรีบทำท่าทางสง่างามทันที นางใช้พัดบังครึ่งหน้าเอาไว้ ปากก็ถามเฝ่ยชุ่ยเสียงเบา “เจ้าว่า ถ้าข้ากลับไปเปลี่ยนชุด เขาจะคิดว่าข้าไม่อยากพบหน้าเขา แล้วหมางเมินข้าหรือไม่ หรือว่า…” นางพูดอย่างลังเลอีกว่า “หรือข้าจะไปทั้งแบบนี้ดี”

เหลือบเห็นคุณชายหลีมองมาอีกครั้ง จึงรีบเปลี่ยนคำพูดในทันใด “ไม่ได้ พวกเรารีบกลับไปเปลี่ยนชุดดีกว่า ข้าจะปักปิ่นระย้าที่เพิ่งซื้อมาใหม่อันนั้น”

“ไม่ต้องหรอก หากเขาชอบคุณหนูจริง ก็คงไม่สนใจว่าคุณหนูจะสวมชุดอะไรอยู่” มู่หวั่นชิวพูดเสียงเรียบ พลางก้าวเท้าไปทางสระน้ำ

นางไม่อยากเจอใต้เท้าสวีกับคุณชายหลีอะไรนั่น

“เจ้า” สวีหรูเพิ่งจะนึกถึงนางขึ้นมา “แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร”

รู้ได้อย่างไร

มู่หวั่นชิวใบหน้ามีรอยยิ้มประหลาด ปากก็พึมพำว่า “หากเจ้ามีชีวิตมาสองชาติ ก็คงรู้ได้เช่นกัน”

“เจ้าว่าอะไรนะ!” เนื่องจากได้ยินไม่ชัดเจน สวีหรูจึงฉุดตัวนางเอาไว้ “เจ้ากับเขา…”

สวีหรูพูดได้เพียงครึ่งหนึ่ง เมื่อประจันกับใบหน้าดำๆ ของมู่หวั่นชิว เสียงนั้นก็ชะงักไป พลางแอบคิดว่า ดูรูปหน้าของนาง แม้จะสวย แต่ผิวดำเช่นนี้ อีกทั้งคุณชายหลียังรูปงามเหนือใคร แบบนั้นย่อมไม่มีทางชอบนางโดยเด็ดขาด…

เมื่อคิดตกแล้ว สวีหรูจึงมีน้ำเสียงอ่อนลงมาก “พวกเจ้ารู้จักกันได้อย่างไร”

“พวกเรา?”

ชาติก่อนนางไม่เคยมายังเมืองผิงเฉิง ชาตินี้ก็เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก จะรู้จักกับคุณชายหลี คุณชายจางอะไรนั่นได้อย่างไร ได้ฟังคำพูดนี้แล้ว มู่หวั่นชิวจึงหันไปมองคุณชายหลีที่สวีหรูพูดถึง ซึ่งกำลังเดินเลาะริมสระมาพร้อมกับใต้เท้าสวี เมื่อประสานสายตากับเขาที่มองมาพอดี มู่หวั่นชิวก็สะดุ้ง

เสื้อชุดขาวปลิวพลิ้ว เขาโบกพัดพับในมือด้วยท่าทางสงบนิ่ง ดูสบายอารมณ์ยิ่งนัก ราวกับเป็นปุยเมฆที่กำลังลอยอยู่บนฟ้าคราม เขาก็คือคุณชายชุดขาวที่นางเดินผ่านข้างกายที่บ่อนในคืนวันนั้น

เลื่อนสายตากลับมาแล้ว มู่หวั่นชิวก็ขมวดคิ้วแน่น คิดทบทวนความทรงจำในชาติก่อนอย่างละเอียดอีกรอบแล้วส่ายหน้า แอบคิดว่า รูปงามเกินใครเช่นนี้ ไม่ว่าใครที่ได้เห็น ก็คงไม่มีทางลืมได้ลง หากชาติก่อนข้าเคยเห็นจริง จะต้องจดจำเขาได้อย่างแน่นอน

แต่ว่านางคงไม่เคยเห็นเขามาก่อน แล้วเขาเป็นใครกันแน่ เหตุใดแม้แต่ใต้เท้าสวีที่เป็นเจ้าเมืองสูงศักดิ์ยังต้องเคารพนบนอบเขา

“ยังว่าเจ้าไม่รู้จักเขาอีก!” เห็นมู่หวั่นชิวมีท่าทางเหม่อลอย สวีหรูก็ชักสีหน้าทันที

“ข้า…”

“แม่นางไป๋” กำลังพูดอยู่ องครักษ์ของใต้เท้าสวีก็รีบเดินเข้ามา “ใต้เท้าสวีกับคุณชายหลีเรียนเชิญขอรับ”

“คุณชายหลีอยากพบนางหรือ!” สวีหรูพลันชี้นิ้วไปที่ปลายจมูกตัวเอง เสียงสูงเป็นพิเศษ “เขาไม่ได้เรียกข้าหรือ!”

“คุณหนู พวกเขากำลังมองอยู่นะเจ้าคะ” เฝ่ยชุ่ยพูดเตือนสติ

สวีหรูรีบปิดปาก ดวงตาที่มองไปทางมู่หวั่นชิวฉายความดุร้าย

“ที่ใต้เท้าเชิญข้า ก็คงจะปรึกษาเรื่องการขอฝน คุณหนูใหญ่จะไปด้วยกันหรือไม่” ยังต้องถูกกักบริเวณอยู่ในเขตของเขา มู่หวั่นชิวจึงไม่นึกอยากหมางใจกับคุณหนูใหญ่ผู้นี้ ยิ่งเห็นสวีหรูเป็นเช่นนี้ นางจึงพูดออกไปอย่างอ่อนโยน

คิดได้ว่าหญิงสาวตรงหน้านี้ เป็นเพราะคุยอวดว่าสามารถขอฝนได้ จึงถูกบิดากักบริเวณอยู่ภายในจวน สวีหรูดวงตาเปล่งประกาย แล้วก็สลดลงไปอย่างรวดเร็ว “เขาไม่ได้เชิญข้า ข้าไม่ไปหรอก!”

น้ำเสียงของสวีหรูแฝงความเอาแต่ใจไว้หลายส่วน ก่อนที่ในดวงตาจะเต็มไปด้วยความเศร้าในพริบตา

มู่หวั่นชิวส่ายหน้า แล้วก้าวเท้าเดินไปที่ระเบียงทางเดิน

“นี่” สวีหรูเรียกรั้งอยู่ด้านหลังนาง “เจ้าจงจำไว้ อีกครู่เขาพูดอะไรกับเจ้าบ้าง เจ้าต้องมาบอกกับข้าตามจริง!”

มู่หวั่นชิวไม่ได้หันหน้ามา แต่ฝีเท้ากลับชะงักไปเล็กน้อย แล้วก็ก้าวเท้าเดินหน้าต่อไป

ยังไม่ทันได้เดินเข้าไปใกล้พวกเขา นางก็รับรู้ได้ถึงแววตาดุดันที่จับจ้องมา มู่หวั่นชิวหัวใจเต้นรัว สายตาแอบชำเลืองไปข้างหน้า พบว่าใต้เท้าสวีกำลังมองนางอย่างเย็นชา มุมปากแฝงรอยยิ้มเยาะหยัน

“ข้าทำให้ขุนนางทุกท้องถิ่นเสียหน้าต่อหน้าธารกำนัล เขาคงไม่พอใจกระมัง” มู่หวั่นชิวพูดทอดถอนใจเสียงเบา

ตัวก็มาอยู่ในจวนว่าการเจ้าเมืองแล้ว ยังถูกขุนนางผู้ใหญ่มองเยี่ยงศัตรูเช่นนี้อีก นี่มิใช่เรื่องดีอะไรนัก

เพียงความคิดแวบผ่านในหัว มู่หวั่นชิวก็เดินเข้าไปใกล้คนทั้งสองอย่างไม่รีบไม่ร้อน นางคำนับใต้เท้าสวีก่อน แล้วค่อยย่อตัวคำนับคุณชายชุดขาวผู้นั้นโดยไม่รอให้แนะนำ

“คุณชายหลีมาแล้วหรือ” ในน้ำเสียงของมู่หวั่นชิวแสดงความสนิทสนมเอาไว้ ราวกับทั้งสองเป็นสหายเก่ามานานหลายปี

บางครั้งไม่จำเป็นต้องพูดอะไร ขอเพียงข้าทำให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าข้ากับคนที่เขานับถือสนิทกันมาก เขาก็จะมองข้าไปอีกทางหนึ่ง ถึงแม้ว่าในสายตาจะเต็มไปด้วยความเป็นศัตรูก็ตาม

แค่เพียงได้พบกันครั้งเดียว…พวกเขาสนิทกันขนาดนั้นเลยหรือ

ในแววตาฉายความสงสัย คุณชายชุดขาวกำลังคิดจะเอ่ยปากพูด ทว่าหางตากลับเหลือบเห็นใต้เท้าสวีมีแววตาเคืองขุ่นและประหลาดใจ เขาจึงฉีกยิ้มออกมา

เข้าใจยืมบารมี ช่างเป็นหญิงสาวที่ฉลาดเสียจริง!

“พวกเราพบกันอีกแล้ว” เขายิ้มพยักหน้า คำพูดสองแง่ไม่ขยายความ

เห็นเขาไม่ได้พูดหักหน้าเช่นนี้ มู่หวั่นชิวจึงวางใจลง ก่อนหันไปทางใต้เท้าสวี ย่อตัวคำนับช้าๆ “ไม่รู้ว่าใต้เท้าเรียกข้าน้อยมาด้วยเรื่องอันใด”

แม้การแต่งกายจะเรียบง่าย แต่ทุกกิริยาของมู่หวั่นชิวกลับเผยความสง่างามและการวางตัวที่ดี โดยเฉพาะการย่อตัวคำนับเมื่อครู่นี้ นางแสดงมารยาทออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ใต้เท้าสวีจึงแอบตกใจ นี่มิใช่คนที่ครอบครัวชาวบ้านยากจนจะสามารถอบรมออกมาได้อย่างแน่นอน!

ใต้เท้าสวีไม่รู้ว่ากิริยาของนางนี้ได้มาจากการฝึกอบรมภายใต้แส้หนังของแม่เล้าหอชุนเซียงในชาติก่อนเพื่อนำไปใช้ปรนนิบัติแขกร่ำรวยทรงอำนาจเหล่านั้นโดยเฉพาะ และคิดว่าแม้แต่บุตรสาวของตนเองก็ยังแสดงมารยาทได้ไม่สมบูรณ์แบบเท่านี้ ยิ่งเห็นท่าทางคุณชายหลีที่ดูสนิทสนมกับนาง เพียงพริบตาใต้เท้าสวีก็เกิดความรู้สึกนับถือยำเกรงหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านี้ขึ้นมา น้ำเสียงจึงอ่อนลงโดยไม่รู้ตัว

“อ้อ ก็เรื่องการขอฝน ไม่รู้ว่าแม่นางไป๋…”

“ได้ยินว่าแม่นางไป๋จะเป็นเด็กบูชายัญขอฝน เพื่อขอฝนให้ชาวเมืองผิงเฉิงหรือ” ไม่รอให้ใต้เท้าสวีพูดจบ คุณชายชุดขาวก็พูดขัดขึ้นมา เขาจ้องตรงไปที่มู่หวั่นชิว แล้วพูดต่อ “ใบหน้าของเจ้าใสบริสุทธิ์ งดงามราวเทพธิดาจุติลงมา อาจจะลองเป็นเด็กบูชายัญได้จริง”

“คุณชายหลีเข้าใจผิดแล้ว…” มู่หวั่นชิวย่อตัวเล็กน้อย “ข้าจะขึ้นแท่นพิธีเพื่อทำพิธีขอฝนด้วยตัวเองต่างหาก”

“ขึ้นแท่นพิธีเพื่อขอฝน?” คุณชายชุดขาวมองมู่หวั่นชิวด้วยสายตาลึกล้ำ ราวกับต้องการมองให้ทะลุหัวใจของนาง

มู่หวั่นชิวเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วยืดตัวตรง

“ขึ้นแท่นพิธีขอฝน? ความหมายของแม่นางไป๋คือ…” ใต้เท้าสวีเองก็ตกใจเช่นกัน “ข้ายังต้องสร้างแท่นพิธีขอฝนอีกหรือ”

“ข้าน้อยกำลังจะบอกใต้เท้าอยู่พอดี” มู่หวั่นชิวพยักหน้า “ขอใต้เท้าช่วยสร้างแท่นพิธีขอฝนหันไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ริมแม่น้ำเจ้ามังกร นอกเมืองผิงเฉิงได้หรือไม่ สามวันให้หลังข้าจะขึ้นแท่นพิธีขอฝนด้วยตัวเอง”

“ได้ ข้าจะส่งคนไปสร้างเดี๋ยวนี้!” ใต้เท้าสวีพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถามอีกว่า “แม่นางไป๋ยังต้องการอะไรอีกหรือไม่” ในน้ำเสียงฉายความตื่นเต้นอยู่บ้าง

แบบนี้ย่อมดีกว่า ให้คนที่เมืองผิงเฉิงเห็นนางขึ้นแท่นพิธีขอฝนด้วยตาตัวเอง หากสุดท้ายแล้วฝนยังไม่ตกอีก เช่นนั้นความรับผิดชอบทั้งหมดก็จะตกเป็นของนาง คงไม่มีใครคิดถึงเรื่องที่ขุนนางในจวนว่าการเจ้าเมืองไม่ได้กินเจอีก!

มู่หวั่นชิวนิ่งเงียบไปชั่วครู่ แล้วพูดเสียงเบาขึ้นมา “อืม”

คุณชายชุดขาวหันมาประสานมือคำนับใต้เท้าสวี “ใต้เท้ามีงาน ข้าต้องขอตัวก่อน”

“คุณชายหลีค่อยๆ เดินนะขอรับ” เห็นเขาจะเดินจากไป ใต้เท้าสวีจึงเดินตามไป คอยพยักหน้าพูดดีตามด้านหลัง แล้วก็หันหน้าไปพูดกับมู่หวั่นชิว “แม่นางไป๋รอสักครู่ อีกครู่ข้าจะมาคุยรายละเอียดกับเจ้า”

มองดูแผ่นหลังของคุณชายชุดขาวค่อยๆ เดินจากไป มู่หวั่นชิวก็ขมวดคิ้วแน่น ทำไมเขาต้องให้ข้าไปเป็นเด็กบูชายัญขอฝนด้วย เขาไม่รู้ว่านี่คือหนทางแห่งความตายหรอกหรือ

“เขาพูดอะไรกับเจ้าบ้าง” ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่สวีหรูมายืนอยู่ด้านหลังมู่หวั่นชิวด้วยความโมโห “เจ้าพูดอะไรบ้าง เหตุใดเขาจึงหมุนตัวเดินจากไปเลย”

“เขาอยากให้ข้าเป็นเด็กบูชายัญขอฝน” มู่หวั่นชิวไม่ได้ขยับเปลือกตา อีกทั้งน้ำเสียงก็ราบเรียบ

“เด็กบูชายัญขอฝน…” สวีหรูชะงักเสียงพูดไปทันที บิดาของนางเคยพูดไว้ การเป็นเด็กบูชายัญมีแต่ไปไม่มีกลับ!

เมื่อหมุนตัวกลับมา สวีหรูก็เบิกตาโต อ้าปากค้าง มองดูแผ่นหลังของมู่หวั่นชิวค่อยๆ เดินจากไปไกล ลืมไปเสียสนิทว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้ตอบคำถามของนาง

 

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

Editor Jamsai: