บทที่เก้า
มู่หวั่นชิวเดินตามทางหินเล็กๆ มาจนถึงลานด้านหลัง ผ่านประตูวงเดือน ปรากฏศาลารับลมแปดเหลี่ยมอยู่ด้านหน้า ภายใต้แสงจันทร์ส่องสว่าง คุณชายชุดขาวกำลังนั่งขัดสมาธิดีดพิณอยู่บนเก้าอี้ยาว
ท่ามกลางค่ำคืนเงียบสงบ เขานั่งอย่างสบายอารมณ์อยู่ตรงนั้น ราวกับเทพเซียนที่ล่องลอยลงมาจากสวรรค์ นุ่มนวลราวกับแสงจันทร์ในยามค่ำคืน ทั้งเลือนรางไม่ชัดเจน นั่นก็คือคุณชายหลีที่เดิมพันกับนางบนแท่นพิธีขอฝนเมื่อเช้านี้
มู่หวั่นชิวยืนพิงประตูวงเดือน ก่อนยิ้มออกมาอย่างสบายใจ
มานั่งดีดพิณอยู่ที่นี่ ก็หมายความว่าเขาตอบรับการเดิมพันของนางเมื่อเช้าแล้ว!
เสียงพิณหยุดลงทันใด เขาเงยหน้าขึ้นมองนาง
เดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงตรงหน้าคุณชายหลี มู่หวั่นชิวย่อคำนับเล็กน้อย แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ยาวตรงข้ามกับเขา ยื่นมือไปหยิบกาสุรา ก่อนจะเทสุราใส่จอกให้เขาอย่างงดงาม “คุณชายหลีเชิญดื่ม”
มองนางแวบหนึ่ง คุณชายหลีก็ยกจอกสุราขึ้นดื่มจนหมด
“ใคร่ขอถามว่าคุณชายชื่ออะไร” มู่หวั่นชิวเทสุราให้เขาอีกหนึ่งจอก
บอกว่านางชื่นชมเขามากมิใช่หรือ…เหตุใดแม้แต่ชื่อของเขาก็ยังไม่รู้จักเล่า
มุมปากพลันปรากฏรอยยิ้มนึกสนุก เขามองนางเงียบๆ
“หลีจวิน…” ในตอนที่มู่หวั่นชิวรู้สึกว่าตัวเองเสียมารยาท เขากลับเอ่ยปากตอบ
“หลี…จวิน” มู่หวั่นชิวพึมพำ นางเงยหน้าขึ้นทันใด “คุณชายใหญ่ตระกูลหลี…ผู้นำสี่ยอดตระกูลแห่งแคว้นต้าโจวน่ะหรือ!”
คุณชายหลีเลิกคิ้ว หญิงสาวผู้นี้แม้อายุจะยังดูน้อยอยู่ แต่ความรู้กลับมีไม่น้อยเลย
“ถูกต้อง!” เขาพยักหน้า แล้วหันมามองนางอยู่บ่อยครั้ง
“เป็นท่านนี่เอง” มู่หวั่นชิวพูดพึมพำ ท่าทางเหม่อลอย
หลีจวิน หนุ่มน้อยรูปงาม มีความสามารถ เขามีพรสวรรค์เหนือใคร ทั้งยังเป็นผู้นำสี่ยอดตระกูลแห่งแคว้นต้าโจว ซึ่งเป็นถึงผู้นำในกิจการปรุงเครื่องหอม …บุตรชายคนโตของตระกูลหลีแห่งต้าเยี่ย ที่แค่เพียงกระทืบเท้าก็ทำให้ต้าโจวสะเทือนได้
น่าเสียดาย สวรรค์กลับอิจฉาคนมีฝีมือ คนผู้นี้ถึงได้อายุสั้นนัก หนึ่งปีให้หลังเขาก็ตายอยู่ที่ตำบลจื่อถง และด้วยเหตุนี้ แม้ชาติก่อนนางจะเคยได้ยินเรื่องของเขา แต่กลับไม่มีวาสนาได้พบ คิดถึงชาติก่อนตอนที่คอยรวบรวมข่าวของสี่ยอดตระกูลแล้ว มู่หวั่นชิวก็แอบถอนหายใจ
ถูกชื่อเสียงทำให้เคลิบเคลิ้ม นางเองก็หาได้แตกต่างจากคนทั่วไป
หลีจวินเห็นหญิงสาวมีท่าทางเหม่อลอยแบบนี้เมื่อได้รู้ฐานะของเขามาจนชินแล้ว จึงเพียงยิ้มบางๆ แล้วยกจอกสุราขึ้นดื่มจนหมดจอก
เมื่อดึงสติคืนมา ทันทีที่สบสายตาของเขาที่จู่ๆ ก็เย็นชาลง มู่หวั่นชิวก็ฉุกคิดได้ นางลืมไปได้อย่างไร เขามีพรสวรรค์เหนือใคร ย่อมเป็นคนที่ฉลาดมาก เล่ห์เหลี่ยมเล็กๆ ที่นางใช้เมื่อเช้าคงหลอกเขาไม่ได้ หลังจากได้รู้ฐานะของเขาแล้ว มู่หวั่นชิวก็รู้สึกเสียใจที่พูดเดิมพันกับเขาเมื่อเช้าว่านางชื่นชมเขา ทั้งยังชวนเขาไปท่องเที่ยวบนเขาเฟิ่งหวง
ยิ่งนางอยากปกปิดก็ยิ่งเห็นได้อย่างเด่นชัด
คนเย่อหยิ่งเช่นเขา ไม่ชอบที่สุดก็คือการถูกหลอกใช้!
แม้สีหน้ายังนับว่าสงบนิ่งอยู่ แต่หัวใจของมู่หวั่นชิวกลับบีบรัดแน่น นางรู้สึกว่าเสื้อของตัวเองเปียกจนแนบติดหลังแล้ว
มาอยู่ในจวนว่าการเจ้าเมือง นางก็เป็นเนื้อปลาบนเขียงของใต้เท้าสวี หากขอฝนไม่ได้นางก็มีแต่ตายสถานเดียว แต่ต่อให้ผ่านคืนนี้ไป แม้นางจะขอฝนได้ก็ยังต้องถูกคนฆ่าอยู่ดี นางเป็นเด็กกำพร้าตัวคนเดียว อยู่ที่เมืองผิงเฉิงก็ไร้ญาติขาดมิตร จะหลบพ้นความเลวร้ายของใต้เท้าสวีที่ชาวเมืองเห็นเป็น ‘สวรรค์’ ไปได้อย่างไร
มีเพียงคนเบื้องหน้านี้เท่านั้นที่จะช่วยนางได้!
คนเช่นเขาคงไม่ค่อยมีความเห็นอกเห็นใจเท่าใดนักกระมัง นางเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่ชั่วยาม หากไม่อาจได้รับความเห็นชอบ ซึ่งเขาคิดว่านางไม่ควรค่าพอที่จะยื่นมือเข้าช่วยแล้ว นางคงมีเพียงตายสถานเดียวเท่านั้น
ความนึกคิดหมุนวน มู่หวั่นชิวพยายามย้อนคิดถึงข่าวเกี่ยวกับเขาที่เก็บรวบรวมมาได้ในชาติก่อน สายตาก็เลื่อนไปกระทบบนพิณ นางเกิดความคิดขึ้นมาทันใด
มู่หวั่นชิวสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามสะกดใจเอาไว้ ก่อนจะเทสุราลงไปในจอกสองจอกอย่างงดงาม ผายมือเป็นการเชื้อเชิญเขาแล้ว ก็ยกจอกสุราขึ้นดื่มจนหมด เมื่อวางจอกสุราลง นางก็เลือนถาดวางจอกสุราตรงหน้าออก แล้วยื่นมือไปยกพิณมา ลองเสียงอยู่ครู่หนึ่งก็กดนิ้วลงไป ชั่วครู่เสียงพิณเสนาะหูราวลำธารกลางหุบเขาก็ลอยมาเหมือนอยู่ห่างไปไกลแสนไกล
นางชอบฝึกวรยุทธ์มาแต่เด็ก เรื่องดีดพิณ เดินหมาก เขียนอักษร วาดภาพ เดิมทีนางนั้นทำไม่เป็นเลยสักอย่าง แต่ด้วยชาติก่อนต้องเข้าไปอยู่ในหอคณิกา แม่เล้าหอชุนเซียงตั้งใจจะฝึกให้นางเป็นนางคณิกาชื่อดังของเมืองต้าเยี่ย ภายใต้การลงโทษอันป่าเถื่อนและแส้หนัง นางถูกบีบให้ต้องเรียนพิณจนมีฝีมือโดดเด่น ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชนแล้วหนึ่งชาติ เสียงพิณของมู่หวั่นชิวก็เอาชนะความหรูหราและผลประโยชน์ที่ตัวนางเคยเฝ้าตามหามาตลอดโดยไม่รู้ตัว นิ้วเรียวดีดไปบนเส้นบาง ล้วนดูเป็นธรรมชาติ งดงามยิ่ง
ทุกสิ่งเกิดขึ้นที่ใจ มู่หวั่นชิวเดิมคิดจะดีดเพลงที่ผ่อนคลาย ทว่าเมื่อหวนคิดถึงทุกเรื่องในชาติก่อนแล้ว เสียงพิณที่เพราะเสนาะหูจึงแฝงไว้ด้วยความเศร้าสลดอีกหลายส่วน ทำให้มีความลึกซึ้งเพิ่มขึ้นมาอย่างมาก
วิชาพิณเหนือชั้นบรรเลงขึ้นมาอย่างไม่เสแสร้งนี้ ราวกับผ่านประสบการณ์ชีวิตมาแล้วหลายชาติ จะเป็นบทเพลงที่หญิงสาวอายุแค่สิบกว่าปีบรรเลงออกมาได้อย่างไร
จอกสุราหยุดอยู่ตรงริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว จากนั้นสีหน้าของหลีจวินพลันเคร่งเครียดมากยิ่งขึ้น
ไม่รู้ว่าเสียงพิณหยุดลงตั้งแต่เมื่อใด
ภายในลานนั้นเงียบสนิท
“แปะๆๆๆ…” เสียงปรบมือทำลายความสงบเงียบ ใต้เท้าสวีเดินออกมาจากหลังประตูวงเดือน “ได้ฟังดนตรี เสียงนั้นเหมือนยังหลงเหลือ สามวันยังไม่จางหาย!” เขาพูดความในใจ “คิดไม่ถึงว่าแม่นางไป๋อายุยังน้อย แต่วิชาพิณกลับสูงส่งถึงเพียงนี้”
หลีจวินขมวดคิ้ว แล้วดื่มสุราในจอกจนหมด
มู่หวั่นชิวรีบลุกขึ้น ก่อนจะย่อคำนับ “ใต้เท้าสวีชมเกินไปแล้ว”
มองสำรวจมู่หวั่นชิวอยู่นาน ในดวงตาใต้เท้าสวีพลันฉายแววละโมบ เขาหัวเราะเสียงดัง แล้วนั่งขัดสมาธิลงบนเก้าอี้ยาวตัวเตี้ยที่มู่หวั่นชิวนั่งเมื่อครู่ จากนั้นรับจอกสุราที่หลีจวินเทให้จากกาสุราที่อยู่ในมือ ก่อนจะดื่มจนหมด “สุราดี จันทร์กระจ่าง ช่างหาได้ยากยิ่งนัก” เขาหยุดพูดในทันใด แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้ามืดดำ พูดพึมพำว่า “อากาศปลอดโปร่งเช่นนี้ มีทีท่าว่าฝนจะตกเสียที่ไหนกัน” จากนั้นหันหน้าไปมองมู่หวั่นชิวด้วยสายตากรุ้มกริ่ม “แม่นางไป๋เคยคิดบ้างหรือไม่ หากขอฝนไม่สำเร็จ เจ้าจะทำเยี่ยงไร”
หลีจวินวางจอกสุราในมือลงเช่นกัน ก่อนจะมองไปยังมู่หวั่นชิว
“ยังไม่ถึงยามจื่อ*เลย เหตุใดใต้เท้าสวีจึงพูดอย่างมั่นใจว่าคืนนี้จะไม่มีฝนเล่า” มู่หวั่นชิวย่อคำนับใต้เท้าสวีอย่างไม่สะทกสะท้าน “ข้าน้อยยังต้องเข้าสมาธิอีก ต้องขอตัวก่อน”
วางจอกสุราลงแล้ว ใต้เท้าสวีก็ชักสีหน้าในทันที
หลีจวินมองดูแผ่นหลังบางของมู่หวั่นชิวแล้ว มุมปากของเขาก็ยิ้ม ปรากฏเส้นโค้งแห่งความยินดีออกมา
จู่ๆ ก็ถูกเสียงร้องระลอกหนึ่งทำให้ตกใจตื่น มู่หวั่นชิวจึงรีบลุกขึ้นนั่ง สายฟ้าแลบวาบยาวพาดผ่านฟ้า ภายในห้องพลันมีแสงสีขาวน่าสะพรึงวาดผ่าน ราวกับผ้าต่วนถูกกรีดจนขาด ก่อนที่เสียงฟ้าผ่ากระแทกหูจะดังตามมา มู่หวั่นชิวเอาผ้าห่มคลุมหัวในทันที
ภายในห้องเงียบเสียงลง ผ่านไปเนิ่นนาน นางจึงค่อยๆ พลิกเปิดมุมผ้าห่ม เบิกตากลมโตมองออกไปด้านนอก ด้วยกลัวฟ้าร้องมาตั้งแต่เด็ก คืนนี้มู่หวั่นชิวจึงรีบเข้านอน หวังว่าจะสามารถหลบพ้นค่ำคืนโดดเดี่ยวที่มีแสงฟ้าแลบเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่านี้ไปได้ กลับคิดไม่ถึงว่านางยังคงถูกทำให้ตกใจตื่นอยู่ดี
“แม่นางไป๋ตื่นหรือยังเจ้าคะ” ชุ่ยหงเคาะประตูอยู่ด้านนอก “นายท่านเชิญท่านไปที่โถงประชุมด้านหน้าเจ้าค่ะ”
ได้ยินเสียงคนแล้ว มู่หวั่นชิวก็สบายใจลงไม่น้อย นางถอนหายใจยาว ก่อนจะพลิกเปิดผ้าห่มลุกขึ้นนั่ง ริมฝีปากขยับ สะกดความต้องการอยากให้ชุ่ยหงเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนนาง เพียงแค่มองดูประตูอย่างเงียบๆ เท่านั้น
“แม่นางไป๋…” ไม่ได้ยินเสียง ชุ่ยหงจึงเรียกอีกครั้ง “ท่านตื่นหรือยังเจ้าคะ”
“เป็นยามใดแล้ว”
“ยามอิ๋น*เจ้าค่ะ” ได้ยินเสียงของมู่หวั่นชิวแล้ว ชุ่ยหงก็ถือเสื้อผ้าชุดหนึ่งผลักประตูเข้ามา “บ่าวเข้าไปแล้วนะเจ้าคะ”
“จุดไฟที…” เข้ามาแล้ว ยังจะขออนุญาตอะไรอีก มู่หวั่นชิวพูดสั่งท่ามกลางความมืด น้ำเสียงสงบนิ่งเป็นพิเศษ
“แม่นางไป๋เป็นเทพเซียนจริงๆ ขอให้ฝนตกได้ตามที่บอก…” ชุ่ยหงหยิบกลักจุดไฟมาจุดเทียนยาวบนโต๊ะ ก่อนเดินมาถึงหน้าเตียง “ชาวเมืองผิงเฉิงกำลังฉลองอยู่ท่ามกลางสายฝนเจ้าค่ะ” แล้วยื่นมือไปเปิดม่าน “แม่นางรีบลุกขึ้นเถอะเจ้าค่ะ นายท่านคงจะรอแย่แล้ว”
“นายท่าน?”
มู่หวั่นชิวเพิ่งนึกถึงคำของชุ่ยหงขึ้นมาได้ว่านายท่านเรียนเชิญ จึงขมวดคิ้ว ดึกดื่นป่านนี้แล้ว ใต้เท้าสวีจะเรียกนางไปด้วยเรื่องอันใด
“ไปบอกใต้เท้าสวีว่า คืนนี้ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะไปพบแต่เช้า…”
“พรุ่งนี้?” ชุ่ยหงตกใจ
นี่เป็นการเรียกพบของใต้เท้าสวี แล้วใต้เท้าสวีเป็นใคร…
เขาเป็นสวรรค์ของชาวเมืองผิงเฉิงเชียวนะ!
หากเป็นคนอื่นคงรีบวิ่งไปแล้ว แต่หญิงสาวผู้นี้กลับเล่นแง่ หลังจากเหม่ออยู่ครู่หนึ่ง ชุ่ยหงจึงค่อยยิ้มออกมา แล้วถือเสื้อผ้าที่เอาเข้ามาเมื่อครู่นี้ส่งให้ “แม่นางไป๋รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะเจ้าค่ะ หากช้ากว่านี้ นายท่านคงจะโมโห…” เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จึงพูดต่อไปว่า “คุณชายหลีก็รออยู่ในโถงเช่นกันเจ้าค่ะ”
“คุณชายหลี?” มู่หวั่นชิวนั่งตัวตรงขึ้นทันใด “เขาก็อยู่ด้วยหรือ!”
หรือจะเรียกข้าไปหาเพราะเรื่องการเดิมพัน? ขณะที่กำลังคิดหนักอยู่นั้น นางก็เห็นชุ่ยหงหลบตา มู่หวั่นชิวจึงนั่งพิงเตียง แล้วพูดเสียงเรียบว่า “เขาสูงศักดิ์เย่อหยิ่งออกปานนั้น จะมาได้อย่างไร”
ชุ่ยหงตัวสั่น สายฟ้าสายหนึ่งวาบผ่านหน้าต่าง นางเผลอร้องตกใจ เสื้อผ้าในมือก็ร่วงหล่นลงพื้น ทำให้ชุ่ยหงรีบก้มหน้าลงเก็บเสื้อผ้าอย่างลนลาน “บ่าวกลัวฟ้าร้องแต่เด็กเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ” มู่หวั่นชิวมองนางเก็บชุดสีชมพูขึ้นมาอย่างเงียบๆ แล้วสะบัดฝุ่นบนเสื้อออกอย่างลนลาน
น่าประหลาดยิ่งนักที่พบว่า ฟ้าแลบเมื่อครู่นี้ตนเองกลับไม่ได้กลัวแม้แต่น้อย…
“ฟ้าแลบฟ้าร้องที่แม่นางไป๋ขอมาช่างน่ากลัวเสียจริง” หลังจากสงบอารมณ์ลงได้บ้างแล้ว ชุ่ยหงจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “สายมากแล้ว แม่นางไป๋รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะเจ้าค่ะ”
ค่ำคืนนี้มู่หวั่นชิวที่มีเงินติดตัวมหาศาลขอฝนได้อย่างอัศจรรย์ ทำลายความฝันอันสวยงามของใต้เท้าสวีไปหมดสิ้น เสียงโห่ร้องราวหม้อแตกท่ามกลางสายฝนที่นอกจวนว่าการเจ้าเมืองทำให้นางไม่ต่างจากเป็นเทพเจ้า ย่อมไม่อาจสังหารนางได้ ใต้เท้าจึงร้อนใจ รีบเรียกตัวกุนซือโหวซานมายามค่ำคืน กุนซือโหวซานจึงคิดอุบายหอศาลาใกล้สายชล ได้ยลแสงจันทร์ก่อน* ให้ใต้เท้าสวีฉวยโอกาสคืนนี้หลอกล่อมู่หวั่นชิวไปที่เรือนด้านหลัง เอานางมาเป็นอนุให้ได้ แต่หากนางไม่ยอมไป จะทำอย่างไรดีเล่า
เห็นมู่หวั่นชิวนั่งนิ่งไม่ขยับ ชุ่ยหงก็มีเหงื่อผุดที่หน้าผาก
“กลัวฟ้าแลบฟ้าร้อง ก็จุดเทียนให้หมดเสียสิ” ทำเป็นไม่เห็นความตื่นตระหนกของชุ่ยหง มู่หวั่นชิวยังคงพูดเสียงเรียบ
ชุ่ยหงรับคำอย่างไม่รู้ตัว เมื่อวางเสื้อผ้าลง ก็หันไปจุดเทียน
“พอแล้ว เจ้าออกไปเถอะ” จุดเทียนยาวหลายเล่มพร้อมกัน ทำให้ห้องเล็กๆ นี้สว่างขึ้นอย่างมาก พอชุ่ยหงหันหน้ามา ก็ได้ยินมู่หวั่นชิวสั่งเช่นนี้แล้ว
“เอ่อ คือ…” ชุ่ยหงสองมือประสานกัน “นายท่าน นายท่าน…”
ทำงานที่ใต้เท้าสวีมอบหมายมาไม่สำเร็จ หากนางกลับไปเช่นนี้ ใต้เท้าสวีคงจะถลกหนังของนางอย่างแน่นอน!
“ไปบอกนายท่านของเจ้า ถ้าหากอยากให้ฝนตกติดต่อกันสามวัน ตอนนี้ข้าจำเป็นต้องกินเจเข้าสมาธิ”
“คือว่า…” ตะลึงไปครู่หนึ่ง ชุ่ยหงจึงมีสีหน้าอ่อนลง “เจ้าค่ะ บ่าวจะไปเรียนนายท่านเดี๋ยวนี้”
ได้ยินเสียงโห่ร้องด้านนอกที่เริ่มดังขึ้นทุกที มู่หวั่นชิวก็ขมวดคิ้ว เอ่ยถามชุ่ยหงที่เดินไปจนเกือบถึงประตูแล้ว “ด้านนอกเกิดอะไรขึ้น”
“ชาวเมืองกำลังโห่ร้องอย่างมีความสุขเจ้าค่ะ!” ชุ่ยหงหันหน้ามา “ล้วนมาชุมนุมกันที่หน้าจวนว่าการเจ้าเมือง ตะโกนว่าอยากจะพบท่านที่เป็น ‘ดวงดาวช่วยชีวิต’ น่ะเจ้าค่ะ”
“อ้อ…” มู่หวั่นชิวรับคำ กำลังจะล้มตัวลงนอน ก็ดีดตัวขึ้นนั่งอีกครั้ง นางจำได้แล้ว ชาติก่อนเพราะฝนครั้งนี้ได้มาอย่างไม่ง่ายนัก ชาวเมืองที่อาศัยฟ้าหากินจึงไม่สนใจว่าดึกดื่นค่อนคืน หรือมีฟ้าแลบฟ้าร้องเพียงใด ต่างพากันโห่ร้องท่ามกลางสายฝน ภายหลังจวนว่าการเจ้าเมืองก็มีรายงานออกมาว่า ในคืนนั้นมีคนถูกฟ้าผ่าตายไปเป็นจำนวนมาก
“เจ้าไปเรียนใต้เท้าสวี…” เมื่อนิ่งคิดสักครู่ มู่หวั่นชิวก็เรียกรั้งชุ่ยหงที่กำลังเดินออกจากประตูไป “ให้ชาวเมืองกลับไปเถอะ คืนนี้สายฟ้าแรง สวรรค์ต้องการลงโทษคนเลว ระวังพวกเขาจะได้รับผลร้ายโดยไม่ทันรู้ตัว”
นึกได้ว่าชาติก่อนในรายงานของจวนว่าการเจ้าเมืองบอกว่าชาวเมืองที่ฟ้าผ่าตายล้วนเป็นคนเลว มู่หวั่นชิวจึงพูดด้วยสีหน้าสงบนิ่ง มีเพียงการทำให้ผู้คนหวาดกลัวเช่นนี้ จึงจะช่วยชาวเมืองผู้บริสุทธิ์ที่ตื่นเต้นดีใจจนบ้าคลั่งเหล่านั้นได้
เมื่อหันหน้ามา ชุ่ยหงก็มองหน้ามู่หวั่นชิวอย่างตกตะลึง พริบตาหนึ่ง นางรู้สึกว่า มู่หวั่นชิวก็คือเทพธิดาที่ลงมาในโลกมนุษย์เพื่อช่วยชีวิตผู้คน นางจึงไม่กล้าล่วงเกินหรือหลอกลวงอะไรอีก
ผ่านไปนาน ชุ่ยหงจึงตอบเสียงสั่นว่า “เจ้า เจ้าค่ะ…บ่าวจะไปเรียนนายท่านเดี๋ยวนี้”
“คารวะท่านกุนซือ…”
“คารวะท่านกุนซือ…”
เห็นกุนซือโหวซานก้าวเท้าเข้ามา ทหารหน้าโถงประชุมต่างก็พากันคำนับทักทายเขา
“ใต้เท้าตื่นแล้วหรือ” โหวซานเดินไปพลางถามไปพลาง
“ตื่นนานแล้วขอรับ กำลังรอท่านอยู่ในโถง” สวี่เจี่ยบ่าวคนสนิทของใต้เท้าสวีออกมารับ “ท่านรีบเข้าไปเถอะขอรับ”
“ตื่น?” ขาหนึ่งอยู่ในประตู ขาหนึ่งอยู่นอกประตู โหวซานชะงักอยู่ตรงนั้น “ตื่นนานแล้วหรือ” เขาถามย้ำเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง
แม่นางน้อยเมื่อคืนนี้นอกจากผิวหน้าจะดำไปสักหน่อยแล้ว แต่หน้าตาของนางก็งดงามดีนี่ เหตุใดใต้เท้าสวีที่เพิ่งได้ครอบครอง จึงยอมทิ้งนางมาแต่เช้าเพียงนี้เล่า
“ขอรับ…” สวี่เจี่ยพยักหน้า “ใต้เท้าตื่นมาแต่เช้าก็บอกให้บ่าวตามตัวท่านทันที แต่ว่า…บ่าวเพิ่งจะออกมา ท่านก็มาถึงแล้ว” สวี่เจี่ยพูดจบ ก็หมุนตัวเดินนำโหวซานเข้าไปข้างใน
“ใต้เท้าอารมณ์ดีหรือไม่” โหวซานดึงตัวสวี่เจี่ยมาด้านข้าง
“ใต้เท้าหน้าเครียดแต่เช้าเลยขอรับ…” สวี่เจี่ยพูดเสียงเบา “ท่านระวังสักนิดนะขอรับ”
หรือว่า…จะไม่ได้ครอบครอง
โหวซานตะลึงไป นึกถึงร่างผอมบางของมู่หวั่นชิวแล้ว เขาก็ส่ายหน้าอย่างสงสัย ปากก็บ่นว่า “ทำไมแค่เด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ใต้เท้าก็ยังจัดการไม่ได้”
สวี่เจี่ยปิดปากอย่างรู้ความ วางมือลงแล้วหลบไปอยู่ด้านหลังโหวซาน
ใต้เท้าสวีกำลังนั่งหน้าเครียดดื่มน้ำชาอยู่ในโถง สาวใช้แต่ละคนยืนนิ่งกลั้นลมหายใจราวตุ๊กตาไม้ เห็นโหวซานรีบเข้ามาคารวะแล้ว แต่ใต้เท้าสวีกลับปั้นหน้าเครียดไม่ได้พูดอะไรเช่นเดิม
“ใต้เท้า…” โหวซานไม่กล้านั่งลงเหมือนที่ผ่านมา กลับโค้งตัวเดินเข้าไปเรียกเขา นึกอยากจะพูดอะไรออกมา แต่ก็ปิดปากลงไปอีก ก่อนจะยกมือขึ้นไล่ทุกคนออกไปหมดแล้ว จึงค่อยหันหน้ากลับมา “แล้วแม่นางน้อย…”
“นางบอกว่าจะเข้าสมาธิ” ใต้เท้าสวีพูดเสียงเครียด
“เข้า…” ทั้งที่ขอฝนได้แล้ว นางยังจะเข้าสมาธิอะไรอีก เห็นได้ชัดว่ากำลังบ่ายเบี่ยง โหวซานเพียงเอ่ยปาก จึงนึกได้ว่าคนตรงหน้าเป็นเสมือนบิดามารดาที่ให้เสื้อผ้าอาหารแก่เขา จึงรีบเปลี่ยนคำพูดว่า “เช่นนั้น…ใต้เท้าก็รอให้นางเข้าสมาธิเสร็จเสียก่อนแล้วค่อย…” เขาพูดอย่างเจ้าเล่ห์อีกว่า “ขอเพียงนางยังอยู่ในจวนของใต้เท้า นางก็ถือเป็นเนื้อบนเขียงของท่าน ท่านจะบีบจะคลึงอย่างไรก็ได้”
“ที่ข้ากังวลคือคุณชายหลี…” ในแววตาใต้เท้าสวีฉายแววป่าเถื่อน “ที่ผ่านมาข้าเชิญเขาไปหลายครั้งก็ไม่มา แต่ครั้งนี้กลับมาพักที่นี่ด้วยตัวเอง…”
ยังพูดไม่ทันจบ ใต้เท้าสวีก็หยุดพูดไป
คิดถึงท่าทางสนิทสนมของหลีจวินและมู่หวั่นชิวที่หน้าแท่นพิธีขอฝนแล้ว โหวซานขยับปากแต่ยังคงไม่ได้พูดอะไร เขายืดตัวตรง ขมวดคิ้วครุ่นคิด
“ใต้เท้า…” นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ตาของโหวซานก็เป็นประกายขึ้นทันใด “ท่านจำสารลับฉบับนั้นที่เราได้รับเมื่อวันก่อนได้หรือไม่”
“สารลับ?” ใต้เท้าสวีตะลึงไป “ฉบับไหนหรือ” ในจวนว่าการเจ้าเมืองมีสารลับสิบกว่าฉบับเข้ามาทุกวัน เขาจะจำได้อย่างไรเล่า
“ใต้เท้าหร่วน ผู้บัญชาการกองรถศึกอย่างไรเล่าขอรับ” โหวซานพูดเสียงเบาท่าทางมีลับลมคมใน
“ใต้เท้าหร่วน?” เบิกตาโตจนปูดโปนออกมา ใต้เท้าสวียังนิ่งคิดอยู่นาน ทว่าเขาก็ยังคงส่ายหน้า
“ฉบับที่เขียนว่าจะจับตัวบุตรสาวของอัครเสนาบดีมู่น่ะขอรับ” โหวซานพูดเตือนสติอีกประโยค
“บุตรสาวอัครเสนาบดีมู่…” ใต้เท้าสวีพึมพำอย่างไม่เข้าใจ แต่เหมือนจะคิดอะไรขึ้นได้ เขาจึงถามว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับแม่นางไป๋หรือ”
“ข้าน้อยได้ยินมาว่า แม่นางไป๋เข้าเมืองมาในช่วงเวลานั้นพอดี” โหวซานมองมาด้วยแววตาสุกใสราวกับวานร “ข้าน้อยยังได้ยินอีกว่า ก่อนที่นางจะเข้าไปในร้านป๋ออี้ ก็เป็นแค่หญิงเร่ร่อนคนหนึ่ง…” ปากแนบไปข้างหูของใต้เท้าสวี แล้วพูดออกมาทีละคำ “สถานการณ์เหมือนที่เขียนไว้ในสารลับเลยขอรับ”
“ความหมายของกุนซือก็คือ…”
ใต้เท้าสวีดวงตาเปล่งประกาย แต่ก็สลดลงทันที เขาส่ายหน้าราวกับกลองป๋องแป๋ง “ไม่ได้ๆ” แล้วพูดต่อไปว่า “ข้าไม่มีภาพวาดของนาง แต่ข้างกายใต้เท้าหร่วนจะต้องมีคนที่รู้จักนางเป็นแน่ ถ้าจับคนส่งเดชเช่นนี้ หากเกิดผิดตัว แล้วใต้เท้าหร่วนเอาผิดขึ้นมาเล่า” ใต้เท้าสวีหรี่ตาเป็นเส้นตรง
เขาได้ยินมาว่า ใต้เท้าหร่วนเป็นคนเถรตรง ทั้งยังมีความยุติธรรมมาก ไม่ยอมให้ทำเรื่องกลับผิดเป็นชอบเช่นนี้แน่ ที่สำคัญก็คือ หากมอบมู่หวั่นชิวให้กับใต้เท้าหร่วนแล้ว แม้ว่าเรื่องจับผิดตัวจะไม่ถูกเอาโทษ แต่เงินล้านตำลึงบนตัวนางเล่า เขาก็ต้องอดได้ไปด้วย!
แต่ว่าเรื่องเหล่านี้ยากจะบอกแก่โหวซานได้
“ข้าน้อยไม่ได้หมายความเช่นนั้น” โหวซานโน้มตัว แนบไปที่ข้างหูของใต้เท้าสวี “ใต้เท้าเพียงแค่จับตัวแม่นางไป๋อย่างลับๆ ยังไม่ต้องป่าวประกาศให้ภายนอกรับรู้…”
จับตัวอย่างลับๆ?
ก็แค่หญิงเร่ร่อนคนหนึ่ง ในเมื่อจะจับตัวอย่างลับๆ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลอะไรให้มากอยู่แล้ว เหตุใดยังต้องทำอะไรให้มากความด้วย ใต้เท้าสวีมองโหวซานอย่างสงสัยแวบหนึ่ง แต่เขายังคงไม่พูดอะไร
“จับคนมิใช่เรื่องยาก ชาวเมืองผิงเฉิงมาพวกเราก็ไม่กลัว…” เห็นเขาไม่เข้าใจ โหวซานจึงพูดอธิบาย “ใต้เท้าสวีกังวลแค่ว่าหลังจากที่จับตัวนางแล้ว ท่านจะให้คำตอบแก่คุณชายหลีไม่ได้กระมัง!”
“เยี่ยมๆ” คำพูดสร้างความกระจ่างในทันที ใต้เท้าสวีตบต้นขาดังเพียะ “หลังจากฝนหยุดแล้ว ข้าจะจับตัวนางอย่างลับๆ มีสารลับจากใต้เท้าหร่วน คุณชายหลีจะทำอะไรข้าได้!”
“ใต้เท้ายังต้องป้องกันตระกูลเจิงด้วยนะขอรับ อย่าให้เขาปล้นคุกได้…” เห็นใต้เท้าสวีดีใจ โหวซานจึงพูดเตือนด้วยหน้าตาเจ้าเล่ห์ “ได้ยินว่านายท่านตระกูลเจิงกับอัครเสนาบดีมู่เป็นสหายที่รู้ใจกัน”
“ใช่ๆ” ใต้เท้าสวีพยักหน้าหงึกๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด “คุณชายรองตระกูลเจิงออกจากบ้านแล้ว นายท่านเจิงก็หูตาฝ้าฟาง ไม่มีอะไรน่ากลัว…” เขาเงยหน้าขึ้นเพื่อจะสั่งโหวซาน “เจ้าไป…”
ขณะที่กำลังพูดอยู่ สวี่เจี่ยก็เคาะประตูเข้ามา “เรียนใต้เท้า คุณชายหลีมาแล้วขอรับ”
สองคนที่กำลังปรึกษาความลับกันอยู่ต่างพากันตกใจ หลังจากมองหน้ากันแล้ว โหวซานฉวยโอกาสพูดขึ้นมาว่า “ใต้เท้าใช้โอกาสนี้สอบถามความคิดของคุณชายหลีได้พอดี”
“ได้” ใต้เท้าสวีลุกขึ้นทันที “รีบเชิญ…”
เหลือบเห็นใต้เท้าสวีกะพริบดวงตาปูดโปนทั้งสองข้าง ริมฝีปากขยับทำท่าอยากจะพูด แต่ก็หยุดไว้ หลีจวินจึงดื่มน้ำชาอย่างสบายอารมณ์ รอให้เขาพูดต่อ
“แค่ก…แค่ก…” ใต้เท้าสวีกระแอมสองที “คุณชายหลี…”
เห็นเขาหยุดพูดอีก หลีจวินจึงวางถ้วยชาลงแล้วมองหน้าเขา
“คุณชายหลีกับแม่นางไป๋รู้จักกันมาก่อนหรือ”
“แม่นางไป๋เป็นลูกหลานตระกูลไป๋แห่งเมืองต้าเยี่ย” หลีจวินไม่ได้บอกว่ารู้จัก เขาเลือกอธิบายเพียงผ่านๆ “ใต้เท้าสวีถามเช่นนี้…”
“อ้อ อ้อ…” ใต้เท้าสวีที่กำลังขมวดคิ้วครุ่นคิดพลันดึงสติคืนมา “ข้าได้รับสารลับมาฉบับหนึ่ง”
“สารลับ?” หลีจวินเลิกคิ้วเล็กน้อย “สารลับอะไรหรือ”
ใต้เท้าสวีโบกมือไล่คนที่อยู่ด้านข้างออกไป “คุณชายหลีมิใช่คนนอก ข้าก็จะไม่ปิดบังท่าน” เขาเล่าเรื่องที่ปรึกษากับโหวซานเมื่อครู่นี้ให้ฟังหนึ่งรอบ แล้วพูดว่า “มีทหารเฝ้าประตูเป็นพยาน ตอนที่นางมาถึงเมืองผิงเฉิง ก็เป็นเพียงหญิงเร่ร่อนคนหนึ่ง”
หรือว่านางจะเป็นคนที่เจิงฝานซิวต้องการตามหาจริงๆ?
คิดถึงวันที่ได้พบหน้ากันครั้งแรก ท่าทางมู่หวั่นชิวในชุดเก่าขาด หลีจวินก็หัวใจกระตุก หากเป็นเช่นนี้จริง ก็เข้าทำนองย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกยังหาไม่พบ บทจะมาง่ายดายไม่เปลืองแรง*!
“คุณชายหลี…” เห็นเขาไม่พูดอยู่นาน ใต้เท้าสวีจึงเรียกเสียงเบา
“นางเป็นลูกหลานตระกูลไป๋แห่งต้าเยี่ยนี่นา” หลีจวินจ้องใต้เท้าสวีอย่างเรียบเฉย สีหน้าดูผ่อนคลายและสบายอารมณ์เหมือนที่ผ่านมา ดูไม่ออกถึงความเสแสร้งและตื่นตกใจแม้แต่น้อย
ในเวลานี้ ใต้เท้าสวีอยากจะหาที่มุดตัวลงไปซ่อนนัก
เขาลืมไปได้อย่างไร หลีจวินกับหญิงสาวผู้นี้รู้จักกันมาก่อน ย่อมต้องรู้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวนาง!
“แต่ตอนที่นางมาถึงเมืองผิงเฉิง นางเป็นคนเร่ร่อนที่สวมชุดเก่าขาดจริงๆ…” ใต้เท้าสวีพูดโต้ตอบด้วยสีหน้าแดงก่ำ “เวลาก็ตรงกับสารลับของใต้เท้าหร่วนพอดี”
โหวซานยื่นหน้ามาพูดเสริมว่า “เด็กเร่ร่อนคนหนึ่งจะมีท่าทางสูงส่งเช่นนี้ได้อย่างไร มีเพียงจวนอัครเสนาบดีเท่านั้นที่จะอบรมออกมาได้!” เขายื่นสารลับให้หลีจวินอย่างนอบน้อม “นางหนีตายอยู่ข้างนอกตามลำพัง และถูกทางการไล่ล่ามาเดือนกว่า หากจะกลายเป็นหญิงเร่ร่อนสวมชุดเก่าขาดนั้นย่อมเป็นเรื่องธรรมดา”
คำพูดของโหวซานพูดได้อย่างไร้ช่องโหว่ หลีจวินโต้กลับไม่ได้จริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น จากสิ่งที่ใต้เท้าสวีพูดมา เขาก็สงสัยเช่นกันว่านางก็คือบุตรสาวอัครเสนาบดีที่เขาต้องการตามหา
มองโหวซานแวบหนึ่งแล้ว หลีจวินก็รับสารลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะเปิดออกช้าๆ ก้มหน้าลงอ่าน
ผ่านไปนาน เขาก็หัวเราะขึ้นมา “ในสารนี้เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ลูกสาวอัครเสนาบดีนิสัยเอาแต่ใจชอบวรยุทธ์ เรื่องดีดพิณ เดินหมาก เขียนอักษร หรือวาดภาพนั้น ล้วนทำไม่เป็น…” เขาโยนสารลับไปบนโต๊ะ “เมื่อวานใต้เท้าสวีก็ได้ยินเสียงพิณของแม่นางไป๋แล้วมิใช่หรือ เห็นได้ชัดว่านางได้รับการถ่ายทอดมาจากผู้มีวิชา หากไม่ใช้เวลาแปดปีหรือสิบปีคงดีดออกมาเช่นนั้นไม่ได้ ถ้านางเป็นลูกสาวขุนนางต้องโทษจริง แม่นางไป๋จะกล้าเข้าออกบ่อนอย่างเปิดเผยแบบนี้ได้อย่างไร…” เขาพูดอีกว่า “อย่าว่าแต่คุณหนูตระกูลใหญ่เลย ต่อให้เป็นองค์หญิงองค์ปัจจุบัน ก็ต้องแต่งตัวอำพรางฐานะ ข้าคิดว่าใต้เท้าสวีคิดมากเกินไปแล้ว”
“เอ่อ คือ…” ใต้เท้าสวียังไม่ได้อ่านสารนั้นอย่างละเอียดจริงๆ จึงถลึงตาใส่โหวซาน แล้วยื่นมือไปหยิบสารนั้นมาอ่าน
ผ่านไปพักใหญ่จึงพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ใช่ก็ดีแล้ว ไม่ใช่ก็ดี…” เขาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “เป็นข้าที่คิดมากไปเอง โชคดีที่ได้คุณชายหลีช่วยเตือนสติ” จากนั้นจึงหันไปสั่งว่า “ทหาร ไปเชิญแม่นางไป๋มา”
เห็นหลีจวินนั่งอยู่ข้างกายใต้เท้าสวี มู่หวั่นชิวก็สบายใจขึ้นไม่น้อย นางย่อคำนับทั้งสองด้วยรอยยิ้ม “คารวะใต้เท้าสวี คารวะคุณชายหลี…”
“แม่นางไป๋ เชิญนั่ง” ใต้เท้าสวีหน้าตาเจ้าเล่ห์ “ทหาร ยกน้ำชามาให้แม่นางไป๋”
ยกน้ำชาขึ้นจิบแล้ว มู่หวั่นชิวจึงวางถ้วยชาลง “ไม่รู้ว่าใต้เท้าเรียกตัวข้าน้อยมาด้วยเรื่องอะไรหรือ”
“ฝนนี้จะตกนานเท่าใด” ใต้เท้าสวีมองดูท้องฟ้านอกหน้าต่างที่เปลี่ยนจากสายฝนเม็ดโตเป็นเม็ดเล็กลงแล้ว
“สามวัน” มู่หวั่นชิวพูดสวนออกมา
พูดหนักแน่นเช่นนี้ แสดงว่านางมั่นใจเต็มเปี่ยม!
ทุกคนหันมองนางอย่างไม่ค่อยเชื่อถือ แม้แต่หลีจวินเองก็ยังมองมาอย่างตกใจ
ภายในห้องเงียบเสียงลง ราวกับสายฝนเบาบางที่อยู่นอกหน้าต่าง
“ใต้เท้า…” มู่หวั่นชิวยืดตัวตรง “ในเมื่อฝนตกตามที่กำหนดไว้แล้ว ใต้เท้าเองก็ถือว่าทำเพื่อชาวเมืองสำเร็จ ขอใต้เท้าปล่อยข้าน้อยกลับไปด้วย”
แม้จะรู้ว่าใต้เท้าสวีไม่มีทางปล่อยนางไป แต่นางควรจะลองดู…มิใช่หรือ
“กลับไป?” กลัวอะไรก็มาอย่างนั้นจริงๆ ใต้เท้าสวีหัวใจกระตุก เขาหันหน้าไปทางหลีจวิน อีกฝ่ายยังคงนั่งสบายอารมณ์อยู่ตรงนั้น ห้านิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ ฟังเสนาะหู
“ไม่ต้องรีบร้อนหรอก แม่นางไป๋จะไปที่ใดหรือ” ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ใต้เท้าสวีจึงกะพริบดวงตาปูดโปน พูดเสียงดังสดใส “รอให้ฝนหยุดตกแล้ว ข้าจะให้คนไปส่งแม่นางไป๋เอง” เขาเกิดความคิดในขณะที่ร้อนใจขึ้นอย่างฉับพลันว่า…หากจะฆ่าคนชิงทรัพย์ ลงมือระหว่างที่นางกลับไปย่อมดีกว่า
ทั้งสามารถหลบเลี่ยงคุณชายหลีได้พอดี
“ใต้เท้ามีงานมากมาย ข้าน้อยจะกล้ารบกวนได้อย่างไร” มู่หวั่นชิวปฏิเสธทางอ้อม
“ไม่รบกวน…ไม่รบกวนเลยสักนิด” คิดแผนการได้แล้ว ใต้เท้าสวีจึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ “แม่นางไป๋ขอฝนเพื่อชาวเมือง นับว่ามีความชอบ อย่างไรก็ต้องพักสักหลายวันหน่อย ให้ข้าได้แสดงความขอบคุณก่อนเถอะ”
น้ำเสียงจริงใจอย่างมากนั้นตีความหมายว่าไม่อาจปฏิเสธได้ มู่หวั่นชิวยิ้มเศร้า นางไม่ตอบตกลงได้หรือ
เห็นมู่หวั่นชิวตอบรับคำอย่างง่ายดาย และบนใบหน้าก็ไม่เห็นความไม่สบายใจแม้แต่น้อย ใต้เท้าสวีจึงค่อยถอนหายใจยาว แล้วหันหน้าไปทางหลีจวิน กำลังจะเอ่ยปากพูด สวี่เจี่ยก็เคาะประตูเข้ามาเสียก่อน “เมื่อวานตำบลข้างเคียงมีคนถูกฟ้าผ่าตายสามคน พอชาวเมืองผิงเฉิงได้ยินข่าว ต่างก็ส่งสุราและเนื้อมาขอบคุณแม่นางไป๋ที่เตือนสติเมื่อวานขอรับ”
“เตือนสติ?” หลีจวินมองไปทางมู่หวั่นชิวด้วยความสงสัย
เล่าเรื่องเมื่อคืนที่มู่หวั่นชิวเตือนสติทุกคนให้กลับบ้านจะได้ไม่ถูกฟ้าผ่าให้หลีจวินฟังอย่างคร่าวๆ แล้ว ใต้เท้าสวีก็มองไปทางมู่หวั่นชิว “พอดีเลย แม่นางไป๋ตามข้าไปพบชาวเมืองกัน” จากนั้นจึงหันไปทางหลีจวิน “คุณชายหลีจะไปด้วยกันหรือไม่”
เลื่อนสายตาครุ่นคิดไปจากตัวมู่หวั่นชิวแล้ว หลีจวินก็พับพัดในมือ “ไม่ล่ะ เชิญใต้เท้าสวีกับแม่นางไป๋เถอะ”
* ยามจื่อ คือช่วงเวลา 23.00 น. ถึง 01.00 น.
* ยามอิ๋น คือช่วงเวลา 03.00 น. ถึง 05.00 น.
* ‘หอศาลาใกล้สายชล ได้ยลแสงจันทร์ก่อน’ หมายถึงเมื่อมีตำแหน่งที่ตั้งที่ดีกว่าหรือได้อยู่ใกล้ชิดกว่า ก็จะมีโอกาสดีกว่าคนอื่น
* ‘ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกยังหาไม่พบ บทจะมาง่ายดายไม่เปลืองแรง’ เปรียบถึงสิ่งของที่รีบร้อนต้องการ บางครั้งทุ่มเทหาอย่างไรก็หาไม่ได้ แต่กลับได้มาอย่างง่ายดายโดยไม่คาดฝัน
Comments
comments