X
    Categories: overgraYทดลองอ่านเสด็จอา

เสด็จอา บทที่ 2 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 2

 

ข้าย่างเท้าออกจากประตูตะวันออกของอุทยานหลวงภายใต้แสงสายัณห์ ยังไม่ทันเดินออกมาได้ถึงสองก้าวก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกจากทางเบื้องหลัง “เสด็จอาจวิ้น เสด็จอาจวิ้น…”

ข้าหยุดเดินแล้วหันกลับไปก็เห็นหลานคนหนึ่งของข้า ไต้อ๋องฉีถานกำลังเร่งก้าวมาหา เมื่อหยุดยืนตรงหน้าของข้าก็เอ่ยขึ้นอย่างยินดี “เสด็จอาจวิ้น ได้เจอท่านในวังช่างดียิ่ง หลานคนนี้กำลังมีเรื่องร้อนใจรอให้เสด็จอาจวิ้นช่วยเหลืออยู่พอดี”

ถ้าในยามปกติข้าคงแกล้งฉีถานเสียก่อน ให้เขาเรียกข้าเสด็จอาสักหลายๆ ครั้ง ถึงจะถามเขาว่ามีเรื่องอันใด แต่วันนี้ไม่มีอารมณ์ดีเช่นนั้น จึงพูดออกไปอย่างตรงประเด็น “ขาดเงินไปซื้ออะไรอีกเล่า”

ฉีถานฉีกยิ้ม ถูมือพลางกล่าว “เสด็จอาจวิ้นเอ็นดูหลานมาตลอด หลานยังไม่ทันได้เอ่ยปากก็รู้ว่าต้องการอะไรแล้ว” ก่อนขยับประชิดตัวข้า ยื่นนิ้วหัวแม่มือออกมาประกอบ “หกพันตำลึง”

ข้าถอนหายใจ “ฉีถาน เจ้าเอาไฟไปเผาวังอ๋องของข้าเสียตอนนี้เลยดีกว่า”

ช่วงนี้เจ้าเด็กไต้อ๋องหลงใหลในภาพอักษรวัตถุโบราณ ซื้อสะสมไว้นับไม่ถ้วน เสียทรัพย์สินไปมหาศาล แต่เขากลับมีความรู้เรื่องวัตถุโบราณแค่งูๆ ปลาๆ ก็มีแต่คนความรู้เท่าหางอึ่งเท่านั้นถึงกระตือรือร้นกล้าได้กล้าเสีย กล้าซื้อกล้าทุ่มเงินได้ถึงขั้นนี้

เมื่อเงินที่มีอยู่ในมือของตนเองจ่ายไปพอสมควรแล้วก็ระรานเงินของเสด็จอาอย่างข้า อาศัยที่ข้าเอ็นดูเขามาตั้งแต่เล็ก หน้าทนตื๊อขอยืมเงินหลายครั้ง แต่ละครั้งมากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่คาดหวังว่าเขาจะใช้คืน

ไต้อ๋องถูมือพลางพูดว่า “เสด็จอาจวิ้น หกพันตำลึงจริงๆ แค่หกพันตำลึง เสด็จอาทราบหรือไม่ว่าวันนี้ข้าไปเจอสิ่งใดมา จอกสุราที่โจวเหวินหวาง* เคยใช้ คนขายบอกขายให้แค่แปดพันตำลึงเท่านั้น มีตั้งหลายคนคิดแย่งซื้อกับข้า ถ้าช้ากว่านี้ไม่แน่อาจถูกคนอื่นแย่งไปก่อนแล้ว”

ข้าพูดว่า “ข้าจำได้ว่าเมื่อหลายวันก่อนเจ้าเพิ่งได้ไม้แคะหูที่ซางโจ้วหวาง** เคยใช้มา คล้ายจะเป็นของปลอม ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่มีโชคกับของราชวงศ์ซางหรอก แล้วกันไปเถิด”

ข้าหมุนตัวเดินต่อไปข้างหน้า ฉีถานก็ติดสอยห้อยตามข้าอยู่ด้านหลัง “เสด็จอาจวิ้น เสด็จอา เสด็จอาคนดี ท่านอาจวิ้น ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ข้าเคยพลาดท่าไปครั้งหนึ่งแล้วจะไม่รู้จักพัฒนาได้อย่างไร ครั้งนี้เป็นของแท้แน่นอน อีกทั้งไม่กี่วันก็จะเป็นวันพระราชสมภพของเสด็จพี่แล้ว ข้าคิดจะถวายสิ่งนี้ให้เสด็จพี่เป็นของขวัญ ท่านก็คิดเสียว่าเป็นการส่งเสริมความตั้งใจของข้า หรือให้ข้าเขียนไว้ในรายการของขวัญว่าจอกสุรานี้เป็นของข้ากับท่าน เสด็จอาก็มีส่วนร่วมด้วย เช่นนี้ดีหรือไม่”

เรื่องนี้ยังต้องให้เจ้าพูดหรือ ของราคาแปดพันตำลึง ข้าออกเงินหกพันตำลึง ตามหลักแล้วยามเขียนรายการของขวัญชื่อของเจ้าต้องเขียนอยู่ท้ายชื่อข้าไกลๆ นู่นเลย

ข้าชี้แนะฉีถานอย่างจริงใจ “ถ้าเจ้าเปลี่ยนนิสัยเสียนี้ของเจ้าได้ นับแต่นี้ไม่สะสมภาพอักษรหรือวัตถุโบราณสะเปะสะปะ ฝ่าบาทจะต้องปลาบปลื้มพระทัยยิ่งกว่าได้รับกระถางที่โจวเหวินหวางใช้บวงสรวงฟ้าดินสิบกระถางรวมกันแน่นอน”

ฉีถานกลับดื้อดึงไม่ยอมเข้าใจ ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ใช้มือจับชายแขนเสื้อของข้าพูดว่า “เสด็จอาจวิ้น ถือว่าข้าขอร้องท่าน ถ้าเช่นนั้นห้าพันตำลึง ห้าพันตำลึงได้หรือไม่”

ข้าถอนหายใจอีกครั้ง “ตอนนี้ข้ากลับไปทูลขอฝ่าบาท ให้พระองค์พระราชทานวังเหอหนานเป็นของเจ้าเสียเลยดีกว่า ได้ยินมาว่าที่นั่นมีซากวัตถุโบราณจากสุสานราชวงศ์ซางไม่น้อย ข้าจะเตรียมข้ารับใช้วัยฉกรรจ์สิบยี่สิบคนพร้อมจอบพลั่วเหล็กหนึ่งคันรถให้เจ้า เจ้าไปเฝ้าขุดทุกวันต้องขุดเจอสิ่งล้ำค่าแน่นอน ยังดีกว่าที่เจ้าทำอยู่ทุกวันนี้”

ฉีถานทำแค่จับชายแขนเสื้อข้า ยิ้มเห็นฟันพูดว่า “เสด็จอาจวิ้น สี่พันตำลึง ขอแค่สี่พันตำลึง”

เมื่อเช้าเพิ่งเป็นเต่า ยามบ่ายถูกเห็นเป็นแพะอ้วน ข้ารู้สึกท้อแท้ในชะตากรรมของตนเองยิ่ง ปากที่ประหนึ่งทาด้วยน้ำผึ้งของฉีถานเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าเสด็จอาจวิ้นต้องให้ข้ายืมเงินแน่นอน ในบรรดาคนทั้งหมดตั้งแต่เล็กจนโตมีแค่เสด็จอาจวิ้นที่เอ็นดูข้าที่สุด”

ข้าถอนหายใจอีกครั้ง หมดปัญญากับเขาจริงๆ ฉีถานกล้าทำเช่นนี้เป็นเพราะข้าตามใจเขามาตั้งแต่เล็กโดยแท้

คิดถึงเมื่อครั้งที่พวกฉีถาน ฉีเฝ่ย ฉีหลี่ รวมทั้งฉีเจ่อ บรรดาโอรสและอ๋องน้อยทั้งหลายยังเยาว์วัย ข้าล้วนเคยพาไปเที่ยวเล่น

ในบรรดาโอรส ฉีถาน ฉีเฝ่ย อ๋องน้อยฉีหลี่ ฉีเจิ้ง และฉีเฉียนชอบมาที่วังไหวอ๋องที่สุด ฉีถานเฉลียวฉลาดปากหวาน แม้จะเติบโตมาจากมารดาคนเดียวกันกับฮ่องเต้ แต่เหมือนไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆ เมื่อวัยเด็กฉีเจ่อไม่พูดไม่จา มักอมพะนำเรื่องไว้ในใจ ต้องการอะไรไม่ต้องการอะไรล้วนไม่พูด ฉีถานต้องการอะไรไม่ต้องการอะไรจะตะโกนออกมาให้ดังที่สุด ของที่ต้องการจะต้องได้มา ความเชี่ยวชาญนี้ทำให้เขาได้ของดีจากวังไหวอ๋องไปไม่น้อย และเพราะเหตุนี้จึงดูเหมือนข้าเอ็นดูฉีถานมากที่สุด

ได้ยินมาว่าครั้งนั้นไทเฮาเคยกังวลว่าข้าจะเปลี่ยนไปสนับสนุนฉีถาน คุกคามบัลลังก์ของฮ่องเต้ฉีเจ่อ ต่อมาได้ทราบความ ข้ายังรู้สึกว่าค่อนข้างน่าขัน

อย่าเพิ่งเอ่ยถึงข้าที่ไม่มีความสามารถครอบงำการแต่งตั้งถอดถอนรัชทายาทเลย แค่ดูจากอุปนิสัยของฉีถาน ชั่วชีวิตนี้เขาอย่าได้เป็นฮ่องเต้จะดีที่สุด ถ้าตอนนี้บนบัลลังก์ฮ่องเต้เป็นเขาที่นั่งอยู่ เกรงว่าท้องพระคลังของราชสำนักคงว่างเปล่า อาณาจักรใกล้ล่มสลายเต็มที

ฉีถานจับชายแขนเสื้อของข้า ยังคงยิ้มหวานมองข้า คาดว่าถ้าข้าไม่ตอบรับให้เงิน วันนี้ชายแขนเสื้อของข้าคงหมดหวังจะถูกปล่อยจากมือของเขาเป็นแน่

ข้าเตรียมจะพยักหน้าอย่างจนใจ คิดถึงเงินก้อนใหญ่ที่จะถูกจ่ายไปจากบัญชีแล้วใจก็ปวดตุบๆ

เวลานี้เองหางตาข้าเหลือบเห็นเงาร่างสีน้ำเงินเข้มปรากฏกายขึ้นที่อีกด้านของทางเดิน ใจพลันกระตุกโดยไม่รู้สาเหตุ

หรือว่าสวรรค์จะสงสารข้า จึงมอบโอกาสให้ข้าเช่นนี้

ข้าแสร้งจดจ่อพูดกับฉีถาน “ย่อมได้ แต่จอกสุรานั้นปลอมหรือแท้ข้าไม่ค่อยวางใจ ถ้าเป็นของปลอม ข้าให้เงินไปมิเท่ากับให้ท้ายเจ้าหรอกหรือ ข้าคิดว่าข้าไปกับเจ้าด้วย ตรวจสอบว่าเป็นของจริงแล้วค่อยว่ากัน”

ฉีถานเอ่ยขึ้น “เสด็จอาจวิ้น ท่านเองก็คล้ายจะไม่เชี่ยวชาญเรื่องวัตถุโบราณไปมากกว่าข้า ข้าดูว่าของแท้ ท่านเองก็ต้องเห็นว่าเป็นของแท้ด้วยแน่ ไยต้องรบกวนให้ท่านไปเสียเวลาเปล่าๆ”

ข้าส่ายศีรษะ “ไม่ได้ๆ ต้องตรวจสอบดูก่อน” ข้าพูดให้ช้าลงอีกหน่อย ลากเสียงยาวขึ้นอีกนิด เงาร่างสีน้ำเงินเข้มก็เดินมาใกล้พอดี ข้าเงยหน้าขึ้น ทำเป็นเพิ่งเห็นอีกฝ่าย “บังเอิญแล้ว กำลังพูดถึงการตรวจสอบว่าไม่ง่าย ผู้เชี่ยวชาญก็มาพอดี”

หลิ่วถงอี่อมยิ้มคำนับข้ากับฉีถานพร้อมพูดว่า “ดูเหมือนข้าน้อยจะรบกวนการสนทนาของทั้งสองท่านแล้ว”

ในที่สุดฉีถานก็ปล่อยชายแขนเสื้อของข้า พยักหน้ารับการคำนับ “เสนาบดีหลิ่วกำลังจะกลับจวนหรือ”

หลิ่วถงอี่ตอบอย่างเคารพนบนอบ “ถูกต้องแล้ว”

ก่อนที่เขาจะจากไป ข้าก็รวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้นมาว่า “เสนาบดีหลิ่วโปรดรั้งอยู่ก่อน”

หลิ่วถงอี่ชะงักเท้า สีหน้าแสดงความสงสัย ฉีถานก็มองข้าอย่างแปลกใจเช่นกัน

ในราชสำนักข้ากับหลิ่วถงอี่คบค้าสมาคมกันน้อยครั้ง เมื่อพบหน้าอย่างมากก็แค่ทักทายกันสองสามประโยค คนทั้งหลายรู้ว่าข้ากับเขาไม่มีทั้งความสนิทสนมทั้งบุญคุณความแค้น แต่ข้าเป็นอ๋องชั่ว เขาเป็นเสนาบดีที่ดี เท่ากับหนึ่งดำหนึ่งขาว ในสายตาคนนอกตามเหตุตามผลแล้วข้ากับเขาควรอยู่ร่วมกันไม่ได้

ดังนั้นการที่ข้าเอ่ยปากรั้งตัวหลิ่วถงอี่ไว้ ไม่เพียงเขาที่แสดงความสงสัย ขนาดหลานของข้าเองก็ยังแปลกใจ

ข้าแสร้งพูดอย่างไม่ตื่นเต้น “ข้ามีบางเรื่องต้องรบกวนให้เสนาบดีหลิ่วช่วยเหลือ” ฉีถานมองข้าด้วยสีหน้าแปลกใจ ข้ายิ้มเล็กน้อยก่อนพูดกับเขา “เสนาบดีหลิ่วเป็นอัจฉริยะอันดับต้นๆ ของราชสำนัก กล่าวกันว่าเชี่ยวชาญการวินิจฉัยภาพอักษรและวัตถุโบราณยิ่ง นี่มิใช่ผู้เชี่ยวชาญที่สวรรค์ส่งมาให้หรอกหรือ”

ฉีถานแสดงสีหน้าหลากหลาย “เสด็จอาจวิ้น ท่าน…”

ข้าหันไปประสานมือคารวะหลิ่วถงอี่ “เสนาบดีหลิ่ว ไต้อ๋องหลานข้าต้องการใช้เงินซื้อจอกสุราในราคาสูง เขากล่าวว่าเป็นของที่โจวเหวินหวางใช้มาก่อน ข้าเกรงว่าเขาจะซื้อได้ของปลอม หากเวลานี้เสนาบดีหลิ่วว่างอยู่ มิทราบว่าจะสามารถเชิญท่านร่วมไปวินิจฉัยพร้อมข้ากับไต้อ๋องได้หรือไม่ อย่างน้อยพวกเราก็ไม่ต้องถึงกับใช้เงินหลายพันตำลึงซื้อของปลอมกลับมาให้ผู้คนหัวเราะเยาะเอา”

ข้ามองหลิ่วถงอี่อยู่ในราชสำนักมาหลายปี มีโอกาสประสานสายตากับเขาเช่นนี้แทบจะนับครั้งได้ ท่ามกลางสายลมวสันตฤดู หัวใจของข้าหวั่นไหว

หลิ่วถงอี่ประพฤติตนเคร่งครัดมาโดยตลอด เกรงว่าคงไม่ยินดีจะแปดเปื้อนน้ำขุ่นเช่นข้า เก้าในสิบส่วนคงหาข้ออ้างบอกปัดแล้วขอตัวลา

ภายใต้แสงยามเย็น ใบหน้าของเขาคล้ายภาพวาดหมึกดำ เรียบง่ายสง่างาม ใจของข้าคล้ายจะสงบลงเช่นกัน ชายา วิกฤตครอบครัว เต่า ล้วนจากข้าไปชั่วครู่ จากไปไกลแสนไกล

เขาเผยรอยยิ้มเบาบาง พูดกับข้าว่า “เป็นเกียรติที่ไหวอ๋องเชื้อเชิญ ข้าน้อยคงไม่ปฏิเสธ แล้วแต่ท่านจะบัญชา”

ทันใดนั้นดอกไม้พลันเบ่งบานในสายลมแห่งวสันตฤดู ใจของข้าหวั่นไหวยิ่งกว่าเดิม

 

หลิ่วถงอี่ยังสวมชุดขุนนาง ต้องกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

ข้ากับฉีถานล้วนสวมชุดธรรมดา ข้าจึงพูดกับฉีถานที่หน้าประตูวังหลวงว่า “ถ้าเจ้าร้อนใจกลัวของจะถูกแย่งก็ไปสถานที่นั้นก่อนเพื่อจองที่ ข้าจะร่วมทางกับเสนาบดีหลิ่วไปเปลี่ยนชุด เจ้าจะต้องรอเสนาบดีหลิ่วกับข้าก่อนถึงซื้อ”

ฉีถานแสดงสีหน้าซาบซึ้งกล่าวว่า “ดีเลยเสด็จอา เช่นนั้นหลานขอล่วงหน้าไปก่อน เสด็จอาอย่าลืมนำตั๋วเงินมาด้วยเด็ดขาด”

ฉีถานกระโดดขึ้นหลังม้า จากไปไวปานสายลม

ข้าหันไปยิ้มกับหลิ่วถงอี่ “หลานข้าคนนี้ใจร้อนไปสักหน่อย ไม่ว่ากระทำการใดล้วนหุนหันพลันแล่น”

หลิ่วถงอี่กล่าวว่า “ไต้อ๋องทรงเด็ดขาดฉับไว รอให้อายุเท่ากับไหวอ๋องแล้ว ต้องถี่ถ้วนรอบคอบดังเช่นไหวอ๋องแน่นอน”

นี่กำลังชื่นชมหรือตำหนิข้ากัน คาดว่าหลิ่วถงอี่ยังคงเข้าใจข้าผิดอยู่บ้าง แต่คำพูดนี้ออกมาจากปากของเขา ถึงแม้จะเป็นการตำหนิข้าก็ยังชอบฟัง เขากล้าตำหนิข้าต่อหน้า แสดงถึงอุปนิสัยเถรตรงของเขา

ข้ายิ้มให้หลิ่วถงอี่อีกครั้ง “เสนาบดีหลิ่วกล่าวชมเกินไปแล้ว ข้าอายุปูนนี้แล้วกระทำการใดยังคงตกๆ หล่นๆ ดังนั้นหลานๆ ล้วนเห็นข้าเป็นคนรุ่นเดียวกัน อยู่ต่อหน้าพวกเขาก็วางมาดเป็นเสด็จอาไม่ได้เลย”

จากประตูวังตรงนี้ก็ต้องเดินอีกระยะหนึ่งกว่าจะถึงเกี้ยวของหลิ่วถงอี่ ข้าจงใจก้าวช้าลง ค่อยๆ คุย ค่อยๆ เดิน

โชคดีที่หลิ่วถงอี่กับข้ามิใช่คนระมัดระวังคำพูดเกินไป ข้ากล่าวเช่นนี้ เขาก็ตอบว่า “เดิมทีไหวอ๋องกับไต้อ๋องก็มีอายุต่างกันไม่กี่ปี ในสายตาของพวกเขา ไหวอ๋องคงค่อนข้างแตกต่างจากบรรดาโซ่วอ๋องท่านอื่นๆ”

บรรดาลูกพี่ลูกน้องของข้าอย่างโซ่วอ๋อง เสียงอ๋อง คนที่อายุมากที่สุดก็ห้าสิบกว่าปีแล้ว ถ้าบิดาของข้ายังมีชีวิตอยู่ก็คงอายุประมาณนี้ คิดไปแล้วข้ากับพวกเขาก็ไม่คล้ายคนรุ่นเดียวกัน ดังนั้นข้าจึงพูดว่า “ประโยคเหล่านี้ของเสนาบดีหลิ่วทำให้ข้าพลันรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเหมือนหนุ่มน้อย”

หลิ่วถงอี่ยิ้มเล็กน้อย “ท่านอ๋องตรัสชมเกินไปแล้ว”

ข้านั่งรถม้าไปที่จวนเสนาบดีพร้อมกับเกี้ยวของหลิ่วถงอี่ ก่อนขึ้นเกี้ยวหลิ่วถงอี่ถามข้าว่า “ท่านอ๋องไม่กลับไปเอาตั๋วเงินหรือ”

ข้าพูดว่า “ข้าไม่เชื่อว่าจอกสุราที่ฉีถานกล่าวถึงนั้นจะเป็นของที่โจวเหวินหวางเคยใช้ เก้าในสิบส่วนต้องเป็นของปลอมแน่นอน เสนาบดีหลิ่วกับข้าลองไปดู หากตรวจสอบแล้วของนั่นเป็นของแท้ค่อยว่ากันก็ยังไม่สาย”

หลิ่วถงอี่รับคำ “ขอรับ ผู้ขายวัตถุโบราณคงไม่กังวลว่าท่านอ๋องทั้งสองท่านจะไม่จ่ายเงินค่าจอกสุราหรอกกระมัง”

“เป็นเช่นนั้น อีกทั้งพวกเรายังมีเสนาบดีหลิ่วค้ำประกันให้อีกด้วย”

หลิ่วถงอี่เลิกคิ้วน้อยๆ “ที่แท้ท่านอ๋องลากข้าน้อยมาด้วยก็เพื่อการนี้เอง”

ข้าถอนหายใจกล่าวว่า “โอ้ ไม่ได้การ ถูกเสนาบดีหลิ่วจับได้เสียแล้ว”

หลิ่วถงอี่ยิ้มเล็กน้อย ก้มตัวเข้าไปในเกี้ยว ข้าก็ยิ้มตามแล้วก้าวขึ้นรถม้า

รถม้าของข้าหยุดลงที่จวนเสนาบดีหลิ่ว ทำให้ภายในจวนเสนาบดีหลิ่วแตกตื่นกันไม่มากก็น้อย ข้าลงจากรถม้า เห็นผู้ดูแลคนหนึ่งและข้ารับใช้สามสี่คนหน้าเปลี่ยนสี แต่เสนาบดีหลิ่วปกครองจวนได้ดี คนที่แอบมองข้าเพียงกล้าซ่อนตัวอยู่ตามซอกหลืบ เมื่อข้านั่งอยู่ที่โถงหลัก สายตาของสาวใช้และข้ารับใช้ที่ยกน้ำยกน้ำชาเข้ามาแม้จะแอบมองประเมินข้า แต่ท่าทางล้วนเคารพนบนอบ

หลิ่วถงอี่ยังไม่แต่งภรรยา แต่ในจวนประดับตกแต่งงามสง่า ไม่น้อยไปกว่าวังของข้าที่มีภรรยาเลยแม้แต่น้อย

เมื่อพูดถึงภรรยา ข้าก็นึกถึงชายา ศีรษะพลันเริ่มปวดตุบๆ ขึ้นมาอีกแล้ว

โชคดีที่เวลานี้หลิ่วถงอี่เปลี่ยนชุดออกมาแล้ว เขาสวมผ้าแพรสีหยก ปลดเปลื้องหมวกขุนนางออก บนศีรษะมัดด้วยผ้าผูกผมสีเดียวกัน ความเคร่งขรึมน้อยลงหลายส่วน เพิ่มความสุภาพสง่างาม นี่เป็นอีกครั้งที่ข้าสามารถลืมเลือนชายาได้ชั่วขณะ

เขายืนกลางห้องโถงพูดกับข้าว่า “ท่านอ๋อง ไปกันเวลานี้เลยหรือไม่”

ข้าประคับประคองสติก่อนตอบว่า “ดี ไปกันเถิด”

 

* โจวเหวินหวาง คือฮ่องเต้ผู้สถาปนาก่อตั้งราชวงศ์โจวซึ่งเป็นราชวงศ์ต่อจากราชวงศ์ซาง

** ซางโจ้วหวาง คือฮ่องเต้องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ซาง

ฉีถานบอกว่าพ่อค้าขายจอกสุรานั้นอยู่บนเรือใหญ่กลางแม่น้ำชานเมืองหลวง เมื่อข้ากับหลิ่วถงอี่เร่งไปถึงฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว เรือสำราญจุดไฟสว่างไสว

ฉีถานนั่งอยู่กลางโถงในเรือสำราญ มือถือจอกสุรามองนางระบำในชุดพื้นเมืองฝั่งตะวันตกร่ายรำ

ในห้องโถงนอกจากเขาแล้วยังมีอีกหลายคน บางคนข้าคุ้นหน้า เกือบทั้งหมดเป็นลูกหลานชนชั้นสูงของเมืองหลวง ฉีถานที่ทำท่าทางลึกลับเหมือนปลอมตัวมาตรวจราชการลุกขึ้นแล้ววิ่งมาทางนี้ ดึงชายแขนเสื้อข้าพร้อมพูดเสียงเบาหวิว “เสด็จอา ในที่สุดท่านก็มา อ้อ เสนาบดีหลิ่วท่านก็มาด้วย เสด็จอา คนที่นี่ไม่ทราบว่าท่านกับข้าคือใคร อย่าได้เปิดเผยตัวตนเชียวล่ะ”

ข้ารับคำ ในใจพลางคิดว่าเจ้าเด็กนี่ตะลอนทั่วเมืองหลวงทั้งวัน จะมีสักกี่คนที่ไม่รู้จักใบหน้าของเจ้า ล้วนแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้จักเจ้าเท่านั้น

ฉีถานนำข้าและหลิ่วถงอี่ไปนั่ง คนอื่นที่อยู่ที่โต๊ะแม้ไม่ได้แสดงท่าที แต่สายตากลับเหลือบมองมาทางนี้ตลอด

ไหวอ๋อง เสนาบดีหลิ่ว ยังมีไต้อ๋องสามคนเที่ยวเรือสำราญด้วยกัน เรื่องประหลาดนี้พรุ่งนี้ต้องรู้กันทั่วราชสำนักแน่นอน

ข้าพูดกับฉีถาน “จอกสุราที่เจ้าต้องการจะซื้ออยู่ที่ใด คงไม่ใช่ที่เจ้าถืออยู่กระมัง”

ฉีถานพูดยิ้มๆ “จะเป็นของที่อยู่ในมือของข้าได้อย่างไร นี่มิใช่เพื่อรอเสด็จ…รอท่านอากับคุณชายถงจึงยังไม่ให้เถ้าแก่สวี่นำออกมา” ก่อนหันไปพูดกับคนผู้หนึ่งที่นั่งด้านข้าง “เถ้าแก่สวี่ คนที่ข้ารอได้มาถึงแล้ว ท่านไปนำของออกมาได้”

เถ้าแก่ผู้นั้นอายุประมาณสี่สิบห้าสิบปี หน้าผากแคบคางอูม ค่อนข้างอ้วน สวมเสื้อผ้ากลางเก่ากลางใหม่ ลักษณะท่าทางแลดูซื่อตรง เขารับคำครั้งหนึ่ง ก้มตัวโค้งมาทางนี้แล้วหมุนตัวเข้าไปในประตูด้านข้าง ครู่เดียวก็เดินถือกล่องไม้ใบหนึ่งออกมา

เถ้าแก่สวี่นำกล่องไม้วางไว้บนโต๊ะตรงหน้าพวกข้า ค่อยๆ เปิดฝากล่องช้าๆ และระมัดระวัง ด้านในกลับมีกล่องเล็กอีกใบ เปิดออกอีกครั้ง ยังมีอีกกล่อง เปิดออกอีก ยังมีอีกกล่อง จนกระทั่งเปิดถึงกล่องที่ห้าถึงเผยให้เห็นผ้าแพรสีแดงเข้ม

ของเล่นนี่มีลูกเล่นการห่อเยอะเสียจริง

เถ้าแก่สวี่ประคองของที่มีผ้าแพรแดงห่อไว้ออกมาไว้ตรงหน้าฉีถาน คล้ายประคองไข่แดงดิบอันบอบบาง

ฉีถานถูมือรับมาแล้วค่อยๆ เปิดผ้าออก

จอกสุราขึ้นรอยด่างสนิมใบหนึ่งวางนอนอยู่บนผ้าแพรแดง บอกเล่าเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงของมัน

เห็นมันขึ้นสนิมเช่นนั้น ไม่แน่อาจจะเป็นของที่โจวเหวินหวางเคยใช้จริงๆ

คล้ายฉีถานกลัวว่ารอยนิ้วจะทำมันสกปรก จึงยกมันพลิกดูไปมาผ่านผ้าในมือ ข้ารับมาดูต่อ ฉีถานชี้บอกอยู่ด้านข้าง “ท่านอา ท่านดูรูปร่างภายนอกของจอกสุรานี้ แล้วดูลายนี้ จะต้องเป็นของโบราณราชวงศ์ซางแน่นอน ลองดูรอยสนิมนี่อีก สนิมเขียวชั้นหนาถึงเพียงนี้ ถ้าไม่มีอายุร้อยปีพันปีคงสะสมได้ไม่มากเท่านี้แน่”

แววตาของเขาเป็นประกาย คล้ายจะมองทะลุมือทะลุชุดข้าลึกเข้าไปถึงชั้นที่มีตั๋วเงินอยู่แล้วล้วงมันออกมา

ข้ายื่นจอกสุราส่งให้หลิ่วถงอี่เงียบๆ

หลิ่วถงอี่รับมาไว้ในมือ มองๆ ดูแล้วเอ่ยปาก “เถ้าแก่สวี่ ตามความเห็นข้าจอกนี้คล้ายมิใช่ของราชวงศ์ซาง”

ข้าคาดไว้ก่อนแล้ว จึงยิ้มออกมา

เถ้าแก่สวี่ทำหน้าตกใจ “คุณชายท่านนี้ ท่านอย่าได้พูดจาสะเปะสะปะ ข้าน้อยค้าขายสุจริตจริงใจ จะกล้านำของปลอมออกมาหลอกลวงทุกท่านได้อย่างไร”

ฉีถานก็แสดงสีหน้าเต็มไปด้วยความแปลกใจ “หลิ่ว…คุณชายถง ท่านลองมองให้ละเอียด ของชิ้นนี้แค่มองก็รู้ว่าเป็นวัตถุโบราณที่มีความเป็นมาหลายปี ถ้ามิใช่ของราชวงศ์ซาง แล้วจะเป็นของปีใดกัน”

หลิ่วถงอี่วางจอกสุราไว้บนโต๊ะ ก่อนพูดอย่างเรียบง่าย “ตามความเห็นของข้า เป็นของเมื่อปีที่แล้ว”

 

สีท้องฟ้ามืดสนิท ข้ากลับจวนอ๋องท่ามกลางแสงดาว

ฉีถานเซื่องซึมยิ่ง จอกสุรานั้นหลิ่วถงอี่วินิจฉัยว่าเป็นของปลอม ทั้งยังเป็นของปลอมชั้นเลวอีกด้วย หลิ่วถงอี่บอกว่าการทำของปลอมเช่นนี้ง่ายดายยิ่ง ก่อนอื่นทำแบบขึ้นมาตามวัตถุโบราณที่ต้องการปลอมแปลง แล้วหลอมทองแดงหนึ่งหม้อ เทลงแบบตามต้องการกี่ชิ้นก็ย่อมได้ จากนั้นก็โยนลงแช่ในน้ำมันสกปรก ฝังไว้ในดินเลนสองสามวัน ก่อนตากแดดอีกสองสามวัน ทำเช่นนี้สลับกันหลายๆ ครั้ง สุดท้ายเมื่อผ่านการฝังดินและแช่น้ำ หลังจากเจ็ดแปดเดือนผ่านไป ก็จะเกิดรอยด่างสนิมซึ่งเป็นร่องรอยของวัตถุโบราณแล้ว

คนในราชสำนักต่างทราบดี นอกจากสามเนื้อร้ายแล้ว ในราชสำนักยังมีอีกสองคม คมที่หนึ่งคือสายตาของเสนาบดีหลิ่ว คมที่สองคือปากของใต้เท้าอวิ๋น

สายตาของเสนาบดีหลิ่ววินิจฉัยเช่นนี้ ฉีถานรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก บรรดาคนอื่นที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่พลันเรียกคนของทางการให้นำตัวเถ้าแก่สวี่ไปยังจวนว่าการ ทั้งยังยึดสินค้าของเขาไปด้วย

หลิ่วถงอี่ไปดูด้วยความสนใจ ในลังสินค้าใหญ่หลายใบของเถ้าแก่สวี่ นอกจากกล่องไม้ที่เป็นของจริงแล้ว นอกนั้นล้วนเป็นของปลอมลอกเลียนแบบทั้งสิ้น

ของปลอมถูกเหล่าขุนนางมือปราบโยนทิ้งไว้เต็มเรือ เงิน ทอง เหล็ก ทองแดง หยก หิน แก้ว วิบวับสว่างภายใต้แสงเทียนแลดูน่าชม เสียดายที่สีหน้าฉีถานไม่น่าชมตามไปด้วย

ข้ากล่าวว่าเด็กหนุ่มต้องพบเจอคลื่นมรสุมบ้าง พลาดพลั้งกันบ้างถึงยิ่งแข็งแกร่ง

หลิ่วถงอี่ยืนอยู่ด้านข้างทำทีประหนึ่งคนนอก หยิบสิ่งของชิ้นหนึ่งขึ้นมาเล่น

ข้าเขยิบเข้าไปดู ที่แท้เป็นหินหยกก้อนมน ในเนื้อสีขาวมีลายสีแดงเข้ม แวววาวน่ารัก ข้าเดาว่านี่คงจะเป็นวัตถุดิบของสินค้าปลอมที่เถ้าแก่สวี่ทิ้งไว้ ถ้าย้อมสีอีกสักเล็กน้อยก็สามารถย้อมเป็นหินเลือดนกก้อนหนึ่ง แกะสลักปลอมเป็นตราประทับขึ้นชื่อของราชวงศ์ก่อนได้

หลิ่วถงอี่มองมัน แล้ววางมันกลับไป อีกครู่ของปลอมเหล่านี้คงถูกบรรดามือปราบนำกลับจวนว่าการเพื่อใช้เป็นหลักฐานตอนตัดสินคดี

ฉีถานถูกจอกสุราทำร้ายสาหัส หลังออกจากเรือสำราญก็บอกว่ามีธุระ คงจะไปหาที่ดื่มสุราแล้ว

ข้านั่งรถม้าคันเดียวกับจวนหลิ่วถงอี่เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตมาก รถม้าคันนั้นไปส่งข้ากลับวังอ๋องก่อน ที่หน้าประตูวังอ๋อง ข้าลงจากรถ กล่าวขอบคุณหลิ่วถงอี่ “วันนี้รบกวนเสนาบดีหลิ่วยิ่งแล้ว”

หลิ่วถงอี่ลงมายืนข้างรถ แย้มยิ้มเล็กน้อย “ท่านอ๋องเกรงใจมากไปแล้ว” ในสายลมยามดึก รอยจีบชุดยาวสีหยกของเขาไหวน้อยๆ คล้ายคลื่นน้ำทะเลสาบ

ข้าหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นไปตรงหน้าเขา “ของเล็กน้อยนี้ หวังว่าเสนาบดีหลิ่วจะยินดีรับไว้”

หลิ่วถงอี่มองของสิ่งนั้นพลางเผยสีหน้าประหลาดใจ

“ที่ข้าทำคงเรียกว่าขโมยดอกไม้ถวายพระ* หวังว่าเสนาบดีหลิ่วจะเมตตา อย่าได้แจ้งศาลสถิตยุติธรรมมาจับ ข้าคิดว่าหินก้อนเล็กเท่านี้ไม่อยู่ในกองของปลอมเหล่านั้นคงมิเป็นไร”

ปลายหางตาของหลิ่วถงอี่โค้งลงเล็กน้อย “ท่านอ๋องไม่เพียงให้ข้าทำเป็นคนหูหนวกตาบอด ทั้งยังให้ข้ารับสินบนอีกด้วย”

ข้าพูดอย่างเหงาหงอย “เสนาบดีหลิ่วไม่รับหรือ”

ปลายหางตาของหลิ่วถงอี่โค้งมากขึ้นอีกนิด หยิบหินเล็กก้อนนั้นไปจากมือของข้า แล้วยกชายแขนเสื้อขึ้น “ขอบคุณท่านอ๋อง ข้าน้อยขอลา”

ข้ามองเขาก้าวขึ้นรถม้า รถม้าจากไปไกลในสีของราตรี หนึ่งคืนนี้แทบเท่ากับสิบปีที่ผ่านมาของข้า

ที่แท้ท่าทีเคร่งขรึมคร่ำครึในยามปกติของหลิ่วถงอี่มิใช่ความจริงทั้งหมด

ข้ามองไม่ผิดจริงๆ

ถ้าเป็นบัณฑิตเคร่งตำราจริง จะขึ้นเป็นเสนาบดีตั้งแต่อายุยังน้อยได้อย่างไร

ข้าย่างก้าวผ่านลมเย็นอันอ่อนโยนยามราตรีเข้าไปในวัง เพิ่งเข้าประตูไปก็รู้สึกไม่ถูกต้อง

ข้างประตูมีคนตบเท้าพูดกับข้าว่า “โอ้ไหวอ๋อง ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว”

เมื่อเห็นคนผู้นี้ ข้าก็ต้องชะงักไป

ไม่ถึงเพียงนั้นกระมัง ดึกดื่นปานนี้แล้วจะเป็นไปได้อย่างไร…ข้าซอยเท้าเดินเข้าสู่ห้องโถงหลัก ตลอดทางค่อยๆ แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ข้าคิดไว้นั้นเป็นไปได้จริงๆ

ข้าจัดแจงเสื้อผ้าก้าวเข้าสู่โถงหลัก กำลังจะคุกเข่า คนด้านหน้าก็เอ่ยเสียงที่คุ้นเคย “ในที่สุดเสด็จอาก็กลับมาแล้ว ไม่ต้องมากพิธี พบเราที่บ้านของท่านเองไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดกฎเกณฑ์”

ข้าโค้งกาย “ถวายพระพรฝ่าบาท มิทราบว่าฝ่าบาทจะเสด็จมาจึงไม่ทันได้ต้อนรับ ขอฝ่าบาทโปรดอภัย”

ฮ่องเต้หลานของข้าที่ประทับอยู่บนเก้าอี้ตรงกลางโถงหลักเอ่ยอย่างรำคาญ “เสด็จอา ท่านยืดลิ้นของท่านให้ตึงแล้วพูดกับเราดีๆ สิ”

ข้าได้แต่ยืดตัวตรง แย้มยิ้มพูดว่า “ฝ่าบาท กลางดึกเช่นนี้ เสด็จมาได้อย่างไร”

ประโยคนี้นับว่าสามารถทำให้ฝ่าบาทพอใจได้เล็กน้อย ทรงพิงพนักเก้าอี้ รับถ้วยน้ำชาที่ขันทีถวาย “วันนี้ยามหัวค่ำเราได้ยินมาว่าวิกฤตในครอบครัวของเสด็จอาค่อนข้างรุนแรง ชายาท่านแขวนคอตายแต่ไม่สำเร็จ ผู้ต้องสงสัยอีกคนเอาศีรษะโขกกำแพงกัดลิ้น เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ เสด็จแม่มีพระพลานามัยไม่แข็งแรงไร้กำลังพอจะมาข้องเกี่ยว พอออกจากวังแล้วเสด็จอาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เราจึงได้แต่มาดูที่วังของเสด็จอาด้วยตนเอง ดูแลเรื่องภายในวังแทนเสด็จอา มิรู้ว่าเสด็จอาจะรังเกียจว่าเรายุ่มย่ามเกินไปหรือไม่”

ที่แท้ระหว่างเวลาที่ข้าเข้าวังจนกลับมา ในวังอ๋องวุ่นวายจนถึงขั้นนี้แล้วหรือ

ข้าพลันทูลว่า “เรื่องในครอบครัวกระหม่อมต้องรบกวนถึงฝ่าบาท กระหม่อมมิกล้า ฝ่าบาททรงเห็นใจกระหม่อม กระหม่อมซาบซึ้งในพระกรุณาหาที่สุดมิได้”

ฉีเจ่อหลุบตา ใช้ฝาถ้วยปัดใบชาที่ลอยอยู่บนผิวน้ำชา “ทั้งมิกล้า ทั้งซาบซึ้งในพระกรุณา เสด็จอาหักโหมร่างกายเช่นนี้ต้องดูแลสุขภาพร่างกายด้วย เราได้ยินมาว่าหัวค่ำวันนี้เสด็จอากับเสนาบดีหลิ่วไปเที่ยวเรือสำราญด้วยกัน ฟังบทเพลงบรรเลงบนแม่น้ำ มิรู้ว่ายามนี้ยังเพลิดเพลินอยู่หรือไม่”

ข้ายืนอยู่กับหลิ่วถงอี่ตรงหน้าประตูวังอ๋อง คิดว่าคงมีคนด้านในสังเกตเห็นอยู่ไม่น้อย

ข้าทูลว่า “เอ่อ พ่ะย่ะค่ะ บ่ายวันนี้ไต้อ๋องต้องการซื้อวัตถุโบราณ กระหม่อมเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง จึงเชิญเสนาบดีหลิ่วไปช่วยตรวจสอบให้”

ฉีเจ่อพูดว่า “อืม เมื่อครู่ฉีถานยังมาโอดครวญกับข้า เขาบอกว่าเหตุใดเสด็จอาต้องรบกวนเสนาบดีหลิ่ว ทำให้วันนี้เขาต้องติดค้างบุญคุณหลิ่วถงอี่ พานถูกทำให้ขายหน้าด้วย”

ในห้องโถงมีคนมากมาย เมื่อครู่ข้ารีบเข้ามา ทันแค่กวาดสายตามองสองครา ไม่ได้มองชัดเจนว่าในกลุ่มคนเหล่านี้มีใครบ้าง

ข้ากล่าวว่า “ที่จริงไต้อ๋องกลับไปก่อนกระหม่อมก้าวหนึ่ง เขาบอกว่าจะไปดื่มสุรา กระหม่อมจึงได้แต่กลับมาพร้อมกับรถม้าของเสนาบดีหลิ่ว ไม่คาดคิดว่าเขาจะมาถึงเรือนของกระหม่อมก่อน ทั้งยังทูลฟ้องกับฝ่าบาท หากวันหน้าเขาไม่มีเงินแล้วมาเอากับอาอย่างกระหม่อม กระหม่อมจะไม่ให้ยืมแน่” ข้ามองซ้ายขวา “เจ้าเด็กไต้อ๋องไปไหนเสียแล้ว กระหม่อมขอคิดบัญชีกับเขาก่อน” กวาดสายตามองไปก็เห็นแต่องครักษ์และขันที ไม่เห็นฉีถาน

ฉีเจ่อช้อนตามอง เผยให้เห็นรอยยิ้ม “ฉีถานรู้ว่าเราอยู่ที่วังไหวอ๋อง เกรงว่าเราจะรอท่านนาน ถึงตั้งใจเร่งมาบอกกล่าวกับเราก่อน แต่บอกไปบอกมากลายเป็นบ่นโดยไม่เจตนา พอเขาพูดออกมาตัวเองก็เสียใจภายหลัง กลัวเสด็จอาจะกลับมาสั่งสอนเขา จึงกลับไปก่อนแล้ว ก็ตอนที่เสด็จอาพูดคุยกับเสนาบดีหลิ่วที่ประตูหน้า เขาก็ไปทางประตูหลัง เสด็จอาอย่าโทษเขาเลย”

ข้าแย้มยิ้มตาม “ฝ่าบาทตรัสช่วยเช่นนี้ แม้เมื่อครู่กระหม่อมอยากจะคิดบัญชีกับเขาอย่างไร ถึงตอนนี้ก็คงไม่อยากแล้ว”

ฉีเจ่อพูดว่า “เสด็จอา ขณะนี้เวลานี้ เราก็ไม่รู้ว่าควรชมท่านว่าใจกว้างระงับอารมณ์ได้ดีหรือไม่ ฉีถานไม่ทราบเรื่องราว ระหว่างทางเขาได้ข่าวว่าเรามาที่วังอ๋องก็คิดว่าอาจมีเรื่องเร่งด่วน จึงเร่งร้อนมาบอกกล่าวแทนท่าน ส่วนทางด้านเสด็จอาช่วยเหลือหลานเรียบร้อยแล้ว อาศัยรถของเสนาบดีหลิ่วค่อยๆ กลับมา ลงจากรถแล้วยังไม่ลืมสนทนากันอีกสักครู่”

ไม่เพียงสนทนากัน ยังมอบสิ่งของให้กันด้วย ไม่รู้ว่าคนเล่าได้แปลงหินน้อยก้อนที่ข้ามอบให้หลิ่วถงอี่เป็นสิ่งของล้ำค่าอันใดแล้ว

ค่ำวันนี้ข้าได้ใกล้ชิดกับหลิ่วถงอี่เพียงเล็กน้อยก็ดีใจจนลืมตัว พอดีกับที่ฉีเจ่อมายังวังอ๋อง ช่างบังเอิญนัก

แม้ข้าจะมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ แต่กระทำการตรงไปตรงมาไร้ข้อปิดบัง ข้ามองฉีเจ่อพร้อมกล่าวอย่างเปิดเผย “เนื่องจากคนที่กระหม่อมรบกวนคือเสนาบดีหลิ่ว จึงต้องยกย่องสักเล็กน้อย กระหม่อมไม่ค่อยสนิทสนมกับเขาจึงคิดสนทนากันมากขึ้นเพื่อให้คุ้นเคยกัน”

ฉีเจ่อเหลือบตามองข้า วางถ้วยชาในมือกลับไปไว้ในถาดที่ขันทีทูนยกอยู่

ข้ารีบพูดต่อ “กระหม่อมไม่ทราบว่าฝ่าบาทเสด็จมาวังอ๋อง มิเช่นนั้นจะต้องกลับมาเร็วยิ่งกว่าม้านำสาส์นสงครามเสียอีก”

ฉีเจ่อโบกมือปัด “พอเถอะ ยิ่งพูดต่อไปหัวข้อสนทนาคงไปไกลเกินสิบหมื่นแปดพันลี้** แล้ว เสด็จอา หมอหลวงได้ตรวจดูชายาแล้ว นางไม่เป็นอะไรและฟื้นคืนสติแล้ว เราถามนางหลายประโยค นางก็พูดบ้าง”

ดูจากท่าทีของฉีเจ่อแล้วข้าก็มองออก สิ่งที่ชายาพูดและกระทำจะต้องไม่น้อยไปกว่าเมื่อเช้าแน่

ฉีเจ่อพูดว่า “เสด็จอา ท่านคิดจะทำเช่นไรต่อไป เราจัดการเรื่องครอบครัวเช่นนี้เป็นครั้งแรก ท้ายที่สุดก็ยังต้องฟังความเห็นจากเสด็จอา”

ข้าเอ่ยอย่างลังเล “กระทบถึงฝ่าบาทแล้ว…ตามหลักสมควรให้สำนักราชวังมาจัดการ แต่…กระหม่อมยังคิด…”

ฉีเจ่อเลิกคิ้ว “ยังคิดให้จบลงภายในวังอ๋อง?”

ข้าถอนหายใจ “หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น…หน้าตาของกระหม่อม…ก็คงเหลืออยู่ไม่มาก หากเรื่องถึงสำนักราชวัง คงไม่หลงเหลือสักส่วนแล้ว”

ฉีเจ่อนั่งพิงเบาะผ้าต่วนสีเหลืองลายมังกรที่ขันทีเตรียมเพิ่มบนเก้าอี้ “เสด็จอาคิดจะจัดการชายากับเหอจ้งเช่นไร”

“ชายาตั้งครรภ์จริงๆ แต่นอกจากคำพูดของนางแล้ว ก็ไร้หลักฐานพิสูจน์ว่าเกี่ยวข้องกับเหอจ้งคนทำบัญชี กระหม่อมรู้สึกว่ายังต้องหาหลักฐาน อีกทั้งกระหม่อมรู้สึกว่ามารดาผิด แต่บุตรบริสุทธิ์…” ข้าตอบ

ฉีเจ่อพูดว่า “อืม มีเหตุผล เวลานี้ไม่อาจตัดสินว่าในครรภ์ของชายาเป็นลูกของใคร เช่นนั้นจัดแจงให้ชายาพักในสถานที่เงียบสงบ รอให้นางคลอดลูกแล้วค่อยพิสูจน์ว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเสด็จอาหรือไม่ค่อยว่ากัน”

ข้าปวดศีรษะ ยิ่งพานทำให้กระดูกสันหลังหนักอึ้ง ไม่อาจไม่ทูลว่า “เรื่องนี้มิต้องพิสูจน์แล้ว…กระหม่อมแน่ใจ…เด็กในครรภ์ของชายามิใช่ลูกของกระหม่อม…”

เดิมทีในห้องโถงก็เงียบอยู่แล้ว หลังจากข้าพูดประโยคนี้ก็คล้ายจะยิ่งสงัด

สีหน้าของฉีเจ่อค่อนข้างยากหยั่งถึง ครู่หนึ่งก็เอ่ยปาก “ในเมื่อเสด็จอามั่นใจ เห็นแก่ที่เป็นสามีภรรยากันมาหลายปี ท่านขอร้องแทนนางเรายอมอภัยได้ แต่เราไม่เข้าใจ เหอจ้งเป็นเพียงบัณฑิตที่รับไว้ในวังอ๋อง ถ้ามิใช่เกิดขึ้นจริง เหตุใดชายาถึงบอกว่าเป็นเขา แล้วเหตุใดเสด็จอาถึงยืนยันจะสืบสวนอีก ไม่เชื่อคำพูดของชายาเช่นนั้นหรือ” ทรงมองข้าจากบนลงล่างรอบหนึ่ง “หรือไม่ก็จับเหอจ้งไปขังไว้ที่สำนักราชวังก่อน”

ข้าถอนหายใจอีกครั้ง “กระหม่อมรู้สึกว่าคำพูดของชายาน่าสงสัยอยู่หลายประการ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น กระหม่อมไม่อยากตัดสินรวบรัด หากชายชู้เป็นอีกคนกลับไม่ได้รับโทษ กระหม่อมคงทนไม่ได้แน่นอน”

ฉีเจ่อยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ย่อมทนไม่ได้ เสด็จอาพูดได้มีเหตุผล” สายตาเฉียบคมคล้ายจะมองทะลุใบหน้าของข้า

ครู่หนึ่งฉีเจ่อพลันลุกขึ้นยืน “เสด็จอา ท่านตามเราไปที่ห้องรับรองด้านใน คนอื่นไม่ต้องตามมา เราต้องการสนทนากับไหวอ๋องตามลำพัง”

 

* ขโมยดอกไม้ถวายพระ เป็นสำนวนจีน หมายถึงการใช้ของของคนอื่นไปประจบเอาใจอีกคนหนึ่ง

** สิบหมื่นแปดพันลี้ เป็นสำนวน แปลว่าห่างไกลหรือแตกต่างกันมาก

ห้องรับรองที่ฉีเจ่อกล่าวถึงคือห้องขนาดเล็กที่ถูกคั่นด้วยโถงรองซึ่งอยู่ด้านหลังโถงหลัก เดิมทีไว้ใช้รับรองแขกที่บางครารู้สึกเหนื่อยล้าก็สามารถพักผ่อนที่นี่ได้ ปกติแล้วข้าก็ชอบอยู่ที่ห้องนี้เช่นกัน

ก้าวข้ามประตูกั้นมา ฉีเจ่อก็มองไปรอบด้าน “ของประดับห้องนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสักเท่าใด”

ข้ายืนเยื้องไปด้านหลังยิ้มแย้มรับคำ “เพราะกระหม่อมเป็นคนเกียจคร้าน”

ฉีเจ่อเอียงศีรษะเหลือบมองข้าครั้งหนึ่ง “ที่นี่มีเพียงท่านกับเรา มิต้องแทนตัวว่ากระหม่อมแล้ว ปิดประตูห้องเถิด”

ข้ารีบทำตาม ปิดประตูห้องทันที

ฉีเจ่อเอามือไพล่หลังมองข้า “เหอจ้งผู้นั้น เราได้เจอแล้วเมื่อตอนบ่าย อ่อนแอนุ่มนิ่ม มิน่าเสด็จอาถึงทะนุถนอม”

แผ่นหลังของข้าขนลุกชัน รีบตอบคำทันที “ฝ่าบาท เหอจ้งผู้นั้นมิใช่…”

ฉีเจ่อพูดว่า “พอเถิด ไม่ต้องปิดบัง ความชมชอบของท่านคิดว่าเราไม่รู้หรือ”

ข้าแก้ต่างอย่างจริงจัง “กระหม่อม…แม้…ค่อนข้าง…มีความชอบบางอย่าง แต่ก็เคร่งครัดระมัดระวัง ไม่นำคนกลับมาที่วังอ๋องเด็ดขาด ข้าเห็นเขาตกอับน่าสงสาร แต่มีความรู้ความสามารถ จึงคิดทำบุญทำกุศล ถึงให้เขามาอยู่วังอ๋อง หางานให้ทำประทังชีวิต ข้าไม่ได้ปกป้องเขา เพียงแค่พอคาดเดาได้ว่าอาจเป็นเพราะชายาเข้าใจเขาผิดถึง…”

ฉีเจ่อขมวดคิ้ว “ในวังอ๋อง หากชายาไม่พอใจเขา จะจัดการเขาอย่างไรก็ย่อมได้ เหตุใดต้องทำให้ตัวเองตั้งครรภ์เพื่อใส่ร้ายเขา”

ข้าถอนหายใจอย่างอ่อนใจ “เกรงว่าชายาไม่ได้ต้องการเล่นงานแค่เขา ยิ่งต้องการเล่นงานข้าด้วย บางครั้งการกระทำกับความคิดของสตรีก็ไม่อาจใช้หลักการทั่วไปคาดคะเน”

ฉีเจ่อหรี่ตา หัวเราะครั้งหนึ่ง “ไม่ว่าพูดเช่นไรเสด็จอาก็มีเหตุผลทั้งสิ้น ฉีหลี่เคยกล่าวว่าเพียงท่านเอ่ยปาก เหตุผลทั้งหมดก็อยู่ข้างท่านทั้งสิ้น”

ข้าก้มศีรษะ “กระหม่อมไม่กล้า กระหม่อมพูดตามความจริงเสมอ”

ฉีเจ่อเดินช้าๆ สองก้าว ก่อนหันกลับมาหยุดตรงหน้าข้า “พูดตามความจริงเช่นนั้นหรือ คำพูดของท่านทำให้เราไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จเสมอ เฉกเช่นที่ท่านพูดว่าท่านชมชอบบุรุษ เมื่อครั้งที่เสด็จแม่เป็นแม่สื่อ เราเป็นเจ้าภาพให้ท่านแต่งกับชายา ท่านกลับยอมแต่ง ตามที่เราได้ยินมา ท่านมักเสเพลมีที่นี่คนหนึ่ง ที่นั่นคนหนึ่ง ที่เราเคยได้ยินชื่อก็มีไม่น้อย ทั้งสกุลจาง สกุลหลี่ คล้ายอวิ๋นอวี้ก็รวมอยู่ในนั้นด้วย”

ได้ยินชื่อสุดท้ายนั้น ข้าพลันเงยหน้าพูด “ไม่…”

ฉีเจ่อพูดแทรกคำข้า “แต่หัวใจของเสด็จอาคล้ายจะไม่เคยมีผู้ใด ขนาดอวิ๋นอวี้ยังรั้งท่านไม่อยู่ หรือเสด็จอาจะหมายตาหลิ่วถงอี่ไว้อีกคน”

แผ่นหลังของข้าเย็นเฉียบ จึงปรับน้ำเสียงให้ราบเรียบเสีย พูดขึ้นอย่างช้าๆ “ฝ่าบาท แม้กระหม่อมจะมีความชมชอบเช่นนั้น แต่ก็เป็นที่หอโคมเขียวทั้งสิ้น มิได้เห็นผู้ใดก็คิดไม่ซื่อต่อผู้นั้น ทำให้ความสัมพันธ์คลุมเครือ ใต้เท้าอวิ๋นกับเสนาบดีหลิ่วล้วนเป็นขุนนางที่ดีของฝ่าบาท เสาหลักของราชสำนักจะมาแปดเปื้อนเพราะคนอย่างกระหม่อมได้อย่างไร ไม่ว่าอย่างไรชื่อเสียงของกระหม่อมก็กระฉ่อนแล้ว น้ำเน่าไม่กลัวแปดเปื้อน แต่หากทำลายชื่อเสียงของขุนนางที่ดี แม้จะตายเป็นเศษซากก็คงไม่อาจลบล้างความผิดได้แล้ว”

ในห้องเงียบสงัดไปชั่วครู่ ฉีเจ่อก็เอ่ยปากอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้น “เราแค่พูดข่าวลือเหล่านั้นเพื่อล้อท่านเล่น ท่านจำต้องดูถูกตนเองถึงเพียงนี้ด้วยหรือ ไหวอ๋องเป็นเสาหลักของราชสำนักเรา เป็นคนที่เราให้ความสำคัญ ท่านดูถูกตัวเองจนไม่เหลือค่าแล้วเราควรทำเช่นไรดีเล่า”

ข้าพูดว่า “กระหม่อมใช้ชีวิตไปวันๆ มิได้กระทำประโยชน์ต่อฝ่าบาทต่อราชสำนัก ฝ่าบาทตรัสชมเกินไปแล้ว”

เงียบงันไปอีกครู่หนึ่ง ฉีเจ่อก็พูดว่า “เฉิงจวิ้น เราอยากถามท่านมาตลอดว่าที่อยู่ในใจของท่านคือสิ่งใด”

ข้าพูดชัดๆ ทีละคำ “ที่อยู่ในใจของกระหม่อมคือความซื่อสัตย์ต่อฝ่าบาทกับราชสำนัก”

ฉีเจ่อจ้องข้าครั้งแล้วครั้งเล่า มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “เช่นนั้นเราถึงพูดว่าไม่รู้ควรเชื่อประโยคใดของท่านดี ก่อนหน้าท่านพูดว่าใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่กระทำประโยชน์อันใดต่อเรากับราชสำนัก ต่อมากลับพูดว่าในใจมีเพียงความซื่อสัตย์ต่อเรากับราชสำนัก”

ข้าพลันยิ้มน้อยๆ “แม้จะใช้ชีวิตไปวันๆ ไร้ประโยชน์ แต่ความซื่อสัตย์เต็มหัวใจ ซื่อสัตย์ใช่ว่าต้องมีคุณประโยชน์”

ฉีเจ่อสะบัดชายแขนเสื้อ “เอาเถิด ถือว่ามีเหตุผลยิ่ง เช่นนั้นเรื่องของชายาเราก็จะขอเกี่ยวข้องเพียงเท่านี้ เสด็จอาจัดการต่ออย่างเหมาะสมเถิด เหอจ้งผู้นั้นก็เช่นกัน ครอบครัวของท่าน ท่านก็พิจารณาดูแลเอง”

ข้าเปิดประตูห้อง รอจนฉีเจ่อผ่านประตูไปแล้วถึงตามไป รู้สึกกายใจค่อนข้างอ่อนล้า

‘สามขวบเห็นถึงโต เจ็ดขวบเห็นถึงชรา’* คำพูดนี้บอกไว้ไม่ถูกต้องเลยแม้แต่น้อย

ย้อนนึกถึงฉีเจ่อเมื่อยังเล็กทั้งเงียบเรียบร้อยยิ่ง ใครจะคิดว่าเวลานี้จะร้ายกาจเช่นนี้

คนจะเปลี่ยนแปลงเป็นเช่นไรในอนาคต ก่อนจะเปลี่ยนไปใครก็ไม่อาจคาดเดา

 

ในที่สุดฝ่าบาทก็ยกขบวนเสด็จกลับวังแล้ว ข้าส่งเสด็จถึงประตู เมื่อกลับเข้าด้านในวังก็รู้สึกเท้าล่องลอย

ข้ายืนอยู่ข้างนอกประตูห้องที่คุมขังชายาไว้ อยากจะเข้าไป แต่ก็กลัวว่านางเห็นข้าแล้วจะยิ่งคลุ้มคลั่งจนยากจะจัดการ ดังนั้นจึงเดินจากไป อ้อมไปยังห้องเล็กหลังวังที่ขังเหอจ้งไว้ เพิ่งเดินถึงข้างระเบียงทางเดินก็คิดได้ว่านางกำนัลในวังหลายคนเป็นคนของชายาและค่อนข้างซื่อสัตย์ต่อนาง เป็นไปได้ที่พรุ่งนี้อาจมีคนหนึ่งคนใดไปบอกกับนางว่าเมื่อวานท่านอ๋องไม่ได้ไปเยี่ยมชายาแต่ไปยังห้องของเหอจ้ง ไม่แน่อาจไร้หนทางจัดการยิ่งกว่าเดิม

ข้าจึงหมุนตัวกลับไป พลันคิดได้อีก หรือจะไม่ต้องไปเยี่ยมใครเลยสักคนดี

แต่แปดเก้าในสิบส่วนเป็นไปได้ว่าเหอจ้งจะถูกชายาใส่ร้าย ได้ข่าวมาว่าหลังจากเขาเข้าวังมาก็ทุ่มเทชีวิตทำงาน ไม่ได้เงินสักเท่าไร มาวันนี้ทั้งโขกกำแพงทั้งกัดลิ้นจนน่าเวทนาถึงเพียงนี้ ไม่ไปเยี่ยมเลยก็จะดูไร้เมตตาจนเกินไป

จะเยี่ยมเหอจ้งก็ต้องเยี่ยมชายาก่อน

ข้าเดินถึงประตูห้องชายา คิดขึ้นได้อีกแล้วว่าถ้าพรุ่งนี้นางกำนัลบอกกับชายาว่าเมื่อวานท่านอ๋องเยี่ยมท่านแล้วก็รีบไปเยี่ยมเหอจ้งทันที ก็คล้ายจะอันตรายอยู่เหมือนกัน

ข้าลังเลตัดสินใจไม่ได้อยู่หน้าประตูห้องชายา หัวหน้าพ่อบ้านเฉาที่อยู่ข้างกายข้าพูดขึ้นว่า “ในใจท่านอ๋องนึกถึงชายามาโดยตลอด บ่าวดูออก ท่านอ๋องกับชายาขัดเคืองกันมาจนถึงขั้นนี้ ในใจของบ่าวรู้สึก…” พลางใช้ชายแขนเสื้อเช็ดน้ำตา

“ใช่แล้ว มีคนกล่าวไว้ ได้เป็นสามีภรรยาคือวาสนาที่ร่วมสร้างกันมาแต่ชาติก่อน เพียงแต่วาสนาของข้ากับชายาเมื่อชาติก่อนคงไม่ได้สร้างกันดีพอ” ข้าตอบก่อนยกมือขึ้นพูดกับหัวหน้าพ่อบ้านเฉาว่า “เปิดประตู”

ข้าเดินเข้าไปในห้อง ชายานอนอยู่บนเตียงหันหน้าเข้าด้านใน หน้าเตียงมีนางกำนัลเฝ้าอยู่สี่คน ป้องกันไม่ให้นางคิดสั้นอีก

เหล่านางกำนัลทำความเคารพข้าแล้วก็ถอยจากไปอย่างรู้ความ หัวหน้าพ่อบ้านเฉายังปิดประตูให้ข้าอย่างเอาอกเอาใจอีกด้วย

ข้ามองชายา ได้แต่ถอนใจไม่รู้จะพูดอะไรดี ไม่พูดก็คงไม่ดี ข้าใคร่ครวญอยู่ค่อนวันจึงพูดว่า “วันนี้ชายาคงได้ระบายโทสะบ้างแล้วกระมัง”

ชายาแค่นหัวเราะครั้งหนึ่งแล้วลุกขึ้นนั่งบนเตียง “ท่านอ๋องไม่ถามข้าหรือว่าลูกเป็นของใคร”

ข้าไม่พูดจา นางก็แค่นหัวเราะพูดต่อ “ปกติแล้วท่านอ๋องวางท่าเหลือเกิน มาวันนี้เกิดเรื่องขึ้น ข้าถึงพบว่าท่านเป็นลูกเต่าอ่อนปวกเปียก ถึงข้าตายก็จะไม่บอกว่าพ่อของเด็กคือใคร”

ข้าพูดว่า “ประโยคนี้ของเจ้าเท่ากับบอกข้าว่าเจ้าใส่ร้ายเหอจ้ง”

สีหน้าชายาแปรเปลี่ยน ก่อนจะเชิดหน้าพูดต่อ “ตอนนี้มีแต่ท่านกับข้า มิใช่โถงใหญ่ของสำนักราชวัง แม้ข้าจะบอกท่านแล้ว แต่ก็จะยังลากเหอจ้งให้ตายไปกับข้าด้วย”

ข้าพูดว่า “ข้ารู้แจ้งอยู่แก่ใจก็พอ”

ชายากล่าวว่า “ท่านอ๋องยังบอกว่าไม่เคยมีสัมพันธ์เกินเลยกับเหอจ้งอีก ดูท่านร้อนใจสิ”

ข้าพูดว่า “เจ้าคิดเช่นนี้ ข้าเองก็จนปัญญา เพียงแต่เหตุใดเจ้าจำต้องกระทำกับตัวเองเช่นนี้ด้วย”

ชายาเบือนหน้าหนี ไม่เอ่ยวาจา

ข้าหันหลังกลับ “เรื่องนี้ฝ่าบาทพระราชทานอนุญาตให้ข้าตัดสินใจแล้ว ปล่อยเจ้ามาถึงขั้นนี้ ข้าเองก็มีส่วนผิด ข้าจะหาทางออกที่ดีให้กับเจ้า”

เมื่อข้าเปิดประตูก็ได้ยินชายาพูดอยู่เบื้องหลัง “ที่จริงก่อนข้าจะแต่งเข้าวังอ๋องข้าก็เกลียดท่านแล้ว จนกระทั่งถึงวันนี้ ที่ข้าทำเช่นนี้เพียงเจ็บใจในชะตาชีวิตของข้า เหตุใดข้าต้องมีชะตาชีวิตเช่นนี้ด้วย”

ข้าเปิดประตู พูดในท้ายที่สุด “ดังนั้นเจ้าจึงทำชีวิตของตัวเองให้น่าเวทนากว่าเดิมเช่นนั้นหรือ”

สภาพของชายาเช่นนี้ ข้าหมดปัญญาจะพูดอะไรกับนางอีกจริงๆ จึงเดินก้าวออกจากประตูห้องไป

 

เมื่อออกมาแล้วข้าก็ไปยังห้องที่คุมขังเหอจ้งไว้

เหอจ้งนอนอยู่บนเตียงเช่นกัน บ่าวหลายคนเฝ้าอยู่ในห้อง เมื่อเห็นข้าเข้ามาก็คำนับแล้วถอยออกไป หัวหน้าพ่อบ้านเฉาปิดประตูให้ข้าอีกครั้ง

ข้าไม่รู้ว่าเหอจ้งตื่นหรือสลบอยู่ เดินไปถึงข้างเตียงพูดว่า “ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า เป็นชายาใส่ร้ายเจ้า เจ้าถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ขออภัยอย่างยิ่ง”

ศีรษะของเหอจ้งที่ถูกพันไว้ด้วยผ้าขาวหลายทบขยับเล็กน้อย น้ำตาสองสายไหลจากหางตาของเขาช้าๆ

ข้าพูดต่อว่า “แม้ตอนนี้ข้าจะยังไม่มีหลักฐาน แต่พรุ่งนี้จะต้องมีคำตอบให้เจ้าแน่นอน”

เมื่อข้าออกมาจากห้อง หัวหน้าพ่อบ้านเฉาก็ถามขึ้นว่า “ท่านอ๋อง เรื่องนี้จะสืบสวนอย่างไรกันดีขอรับ”

ข้าพูดว่า “นำตัวนางกำนัลของชายาไปแยกขังไว้คนละห้อง บอกกับพวกนาง ถ้าบอกตัวชายชู้ของชายาออกมา ข้าจะฆ่าแค่ชายผู้นั้น ไม่ฆ่าชายา ถ้าไม่บอก พรุ่งนี้ข้าจะให้ชายาเดินทางไปยมโลก”

หัวหน้าพ่อบ้านเฉาไปจัดการทันที ก่อนไปยังไม่ลืมกล่าวว่า ‘ท่านอ๋องปราดเปรื่องยิ่ง’

 

วันต่อมาเรื่องนี้ก็น้ำลดหินโผล่** ชายชู้ของชายาคือองครักษ์ผู้หนึ่งในวังอ๋อง คนผู้นี้เป็นคนคุ้มกันในจวนขุนนางหลี่ เมื่อข้าแต่งงาน ขุนนางหลี่ก็มอบเขาให้กับข้า ข้าเดาว่าเขาคือสายสืบที่ไทเฮาวางตัวไว้ในวัง จึงรับตัวไว้ ให้เขาเป็นองครักษ์ฝ่ายใน

เมื่อไปจับตัวคนผู้นั้น เขาก็หนีไปแล้ว หลังจากชายาตั้งครรภ์เคยขอให้เขาพาตัวเองหนีไปด้วยกัน คนผู้นั้นกลับมอบยาให้ชายาแท้ง จึงกล่าวได้ว่าแท้จริงแล้วชายาถูกเขาทำให้สะเทือนอารมณ์ แต่ไม่คิดโทษคนรัก ดังนั้นจึงโทษชะตาชีวิตของตนเอง ชะตาชีวิตทำให้นางกับคนรักของนางมีฐานะแตกต่างกัน ไม่อาจมีจุดจบที่ดี และแล้วก็พานแค้นคนที่บังคับนางแต่งงานจนทำให้ชีวิตนางเป็นเยี่ยงนี้รวมทั้งข้า

ความจริงนี้ทำให้ข้าค่อนข้างเจ็บปวด เดิมทีข้าเคยคาดเดา หรือชายาจะเปลี่ยนใจมารักข้าอยู่นานแล้ว ผู้ชายเช่นข้าควรจะทำให้นางฝากหัวใจไว้ได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่นางเป็นคุณหนูในห้องหอ ไม่กล้าเอ่ยปาก ข้าก็คร้านจะไปสังเกต สุดท้ายนางรักจนเกิดเป็นความแค้น เมื่อวานเห็นท่าทีที่นางแค้นเคืองข้าและใส่ร้ายเหอจ้ง กล่าวตรงๆ ก็คือรู้สึกหึงหวง ถ้าไม่ได้มีรักลึกซึ้ง จะมีแค้นรุนแรงเช่นนี้ได้อย่างไร

ใครจะคิดว่าความจริงเป็นเช่นนี้ นอกจากข้าจะตกตะลึงแล้วก็อดเศร้าสลดไม่ได้

แต่เหตุใดต้องใส่ร้ายเหอจ้งด้วย

หลังจากชายาได้ข่าวว่าองครักษ์หนีไปแล้วก็คลุ้มคลั่งอีกครั้ง แต่แตกต่างจากเมื่อวาน นางทั้งร้องไห้ทั้งโวยวาย ชี้หน้าข้าแล้วพูดว่า “ทั้งหมดเป็นเพราะท่าน เดิมทีข้าคิดว่าหลังจากเข้าวังอ๋องข้าจะตัดขาดจากเขา เคยคิดจะยอมท่าน แต่ท่านกลับชมชอบบุรุษ ในเมื่อท่านชอบบุรุษไยต้องมาแต่งงานกับข้า ข้าแค้นท่าน ข้าต้องการให้ท่านอยู่ไม่สู้ตาย ข้าต้องการให้ท่านทุกข์ทรมานไม่ว่าชอบใครก็ตาม”

อ้อมค้อมเสียนานก็ยังเป็นความผิดของข้าอยู่ดี

ถึงเวลานี้แล้วข้าก็คร้านจะถือสาชายาอีก จึงพูดตามใจนาง “เอาเถิด ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า เจ้าคบชู้กับองครักษ์ ใส่ความผู้อื่น ลอบตั้งครรภ์กับชายชั่ว ทำลายชื่อเสียงของวังอ๋องและของข้า ถึงแม้ชื่อเสียงของข้าเจ้าไม่จำเป็นต้องทำลายแล้วก็ตาม…เจ้าต้องการให้ข้าลงโทษเจ้าอย่างไรดี”

ชายากัดริมฝีปาก พลันร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล

ข้าถอนหายใจพูดว่า “เช่นนั้นข้าจะหาสำนักชีให้เจ้าไปสวดมนต์กินเจ ทำจิตใจให้สงบ ปลดเปลื้องปมในใจ แล้วคลอดลูกอย่างปลอดภัย” ข้าพูดอย่างมีเมตตา “ไม่ว่าอย่างไร เด็กก็ไม่มีความผิด”

เวลานี้ข้ารู้สึกว่าแม้จะกลายเป็นเต่า แต่ก็เป็นเต่าที่มีวงแหวนประกายแสงบนศีรษะ

 

ช่วงบ่าย อวิ๋นอวี้มาที่วังไหวอ๋องทั้งที่ยังไม่เปลี่ยนชุดขุนนาง เขานั่งอยู่ในศาลาในสวน ยิ้มแย้มพูดว่า “ท่านอ๋องเป็นเทพเต่า จิตใจกว้างขวางยิ่งนัก”

ข้าแทบประคองสีหน้าไว้ไม่ได้ “ใต้เท้าอวิ๋น ข้าประสบวิกฤตครอบครัว จิตใจบอบช้ำสาหัส โปรดเห็นใจสักเล็กน้อย”

อวิ๋นอวี้พูดว่า “ไม่เป็นกระไรหรอก อาการสาหัสของท่านอ๋อง ค่อยหาหนุ่มน้อยหน้ามนสองคนมาปลอบประโลมแล้วกัน ค่อนคืนนี้ก็คงหาย” ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ใช่แล้ว ได้ข่าวมาว่าเมื่อคืนฝ่าบาทเสด็จมาที่วังไหวอ๋อง”

“ใช่ ตอนนั้นข้ากับไต้อ๋องและเสนาบดีหลิ่วไปดูของโบราณด้วยกัน มิทันได้รับเสด็จ ตอนนี้ยังรู้สึกละอายนัก พูดถึงเรื่องนี้ ข้าก็คิดขึ้นได้ว่ามีเรื่องต้องพูดคุยกับใต้เท้าอวิ๋น เมื่อวานฝ่าบาท…ตรัสถามข้าบางอย่าง เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของข้า…กับท่าน”

อวิ๋นอวี้เลิกคิ้ว “อ้อ” วางแขนไว้บนที่เท้าแขน แววตาเปล่งประกายขึ้นเล็กน้อย สีหน้ากลับไม่แปรเปลี่ยน พูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเมื่อครู่ “ฝ่าบาทตรัสว่าระหว่างข้ากับท่านไหวอ๋องเป็นอย่างไร”

ข้าพูดว่า “ฝ่าบาททรงสงสัยว่า…ข้ากับใต้เท้าอวิ๋นมีความสัมพันธ์กันเช่นนั้น ความชมชอบของข้าเป็นที่รู้กันทั่ว ฝ่าบาทตรัสเช่นนี้แสดงว่ามีคนเคยตั้งข้อสังเกต เวลานี้กำลังอยู่ในช่วง…ใต้เท้าอวิ๋นจะหลบเลี่ยงสักหน่อยดีหรือไม่ ข้าเกรงว่าจะกระทบกระเทือนชื่อเสียงของท่าน”

อวิ๋นอวี้ไม่พูดจา จ้องมองข้า สักครู่ก็พูดยิ้มๆ “ข้ารู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องหลบเลี่ยง ชื่อเสียงของข้าคือขุนนางชั้นเลวบุตรชายของขุนนางชั่วช้า ไม่ได้น้อยหน้าไหวอ๋องเลยแม้แต่น้อย ข้าก็นิสัยเช่นนี้ ไม่ว่าเมื่อไรจะเป็นอย่างไรก็ปล่อยให้เป็นเช่นนั้น นอกจากท่านอ๋องกลัวว่าถูกข้าทำให้เดือดร้อน คิดหลบเลี่ยงข้า เช่นนั้นข้าก็จะไม่มาแล้ว”

ข้ามองตอบสายตาของเขา ได้แต่พูดยิ้มๆ “ใต้เท้าอวิ๋นมักพูดจนผู้คนไม่อาจโต้ตอบ ข้าไหนเลยจะกล้าไม่ให้ท่านมา ในเมื่อท่านไม่ถือสา เช่นนั้นก็ทำตัวเช่นเดิม”

อวิ๋นอวี้ไม่ได้ตอบกลับหลายประโยคอย่างหาได้ยากยิ่ง เพียงยืนขึ้น มองดอกโบตั๋นหลายดอกนอกศาลา ก่อนเอียงหน้าเล็กน้อยเหลือบมองมาทางข้า “ฝ่าบาทก็ตรัสไว้ไม่ผิด ข้ากับท่านอ๋อง เมื่อพูดถึงเรื่องที่ไม่ชัดเจนก็พอมีอยู่บ้าง”

คำพูดนี้ของเขาถึงกับทำให้มือข้าที่ถือถ้วยชาอยู่สั่น “ใต้เท้าอวิ๋น ข้าขออภัยท่านเป็นหมื่นครั้งแล้ว วันนี้ขออภัยอีกครั้ง ครั้งนั้นเป็นข้าดื่มสุรามากไปจึงจำคนผิด หวังว่าใต้เท้าอวิ๋นจะใจกว้างให้อภัย”

กล่าวถึงเมื่อครั้งนั้น ช่างเป็นความผิดเล็กน้อยครั้งหนึ่งในช่วงเวลาหลายปีที่ข้าเชยชมบุปผา ข้าจำได้ว่าครั้งนั้นฉีหลี่เป็นเจ้าภาพ บอกว่ามีของดีจะให้ทุกคนได้ชม วันนั้นฉีถานมายังวังไหวอ๋องเพื่อยืมเงินข้า คนส่งเทียบเชิญตามมาถึงวังไหวอ๋องมอบเทียบเชิญให้แต่ฉีถาน กลับไม่เชิญข้า

ข้าจึงพูดล้อเล่นกับฉีถานว่าไม่รู้ฉีหลี่ได้ของหายากอะไรมาถึงหวงไม่ยอมให้อาคนนี้ได้เห็น และอาศัยความมีอายุมากกว่าไปพร้อมกับฉีถาน เมื่อถึงวังของฉีหลี่ พระโอรสองค์อื่น อวิ๋นอวี้ หวังซวน เหล่าหลานๆ ของข้าและคนหนุ่มที่เคยเล่นด้วยกันต่างอยู่กันทั้งสิ้น ข้าพูดกับฉีหลี่ว่า ‘มีของดีอะไรไม่กล้าให้อาเห็น’ ฉีหลี่มองข้าโดยไม่พูดอะไรพร้อมปรบมือ

ครู่หนึ่งนางระบำผมสีทองตาสีเขียวร่างอรชรอ้อนแอ้นสวมอาภรณ์เปิดเปลือยก็มาถึงด้านหน้าที่นั่ง แล้วเริ่มยักย้ายส่ายเอวเต้นระบำ ท่าระบำแตกต่างจากระบำของแคว้นของข้า ส่ายอกเปลือยขา กระโปรงผ่า โปรยเสน่ห์ยั่วเย้า หลานของข้าและเหล่าเด็กหนุ่มที่เหลือมองจนตาค้าง สีหน้ามัวเมาลุ่มหลง

ข้าอดสะท้อนใจไม่ได้ เด็กเหล่านี้ถูกอบรมเข้มงวดตั้งแต่เด็ก มิค่อยได้เปิดหูเปิดตา

ฉีหลี่มองข้าที่เฉยชาพูดว่า ‘เสด็จอา ท่านคงทราบแล้วว่าเหตุใดหลานถึงไม่เชิญท่าน’

ยังดีที่ฉีเฝ่ยรู้จักกตัญญูต่อผู้ใหญ่ จึงใช้คนให้พาข้ารับใช้หน้าตาหมดจดมาเทสุราให้ข้า เสียดายที่ส่วนมากอายุยังน้อย ข้ามิใคร่ชอบพวกที่ยังไม่โตเต็มที่ ในบรรดาข้ารับใช้มีเพียงคนเดียวซึ่งอายุมากหน่อยที่พอถูกใจข้าบ้าง ข้าดึงมือเขามานั่งสักครู่ นางระบำส่ายเสียจนข้ามึนศีรษะ ข้าจึงย้ายไปดื่มสุราที่ศาลาเงียบสงบในสวน เพียงให้ข้ารับใช้ที่ถูกใจผู้นั้นอยู่ด้านข้าง หลังเที่ยงอากาศอบอุ่น ดื่มสุราไปไม่กี่จอกรู้สึกเพลียเล็กน้อย จึงหลับพักผ่อนในศาลาชั่วครู่

ขณะกำลังนอนหลับมึนๆ งงๆ อยู่นั้น ได้ยินคนตะโกนข้างหูว่า ‘ท่านไหวอ๋อง ท่านไหวอ๋อง’ เสียงเข้ามาในหู จั๊กจี้จนใจคันยุบยิบ ข้านึกว่าเป็นเด็กหนุ่มที่อยู่รับใช้ผู้นั้น จึงยกมือขึ้นโอบข้างกาย คว้าชายแขนเสื้อได้ก็ดึงเข้าหาตัวมากอดหอม

ไม่ไกลออกไปมีเสียงร้อง ‘ไอ้หยา แย่แล้ว เสด็จอากอดผิดคนแล้ว’

ข้าลืมตาขึ้น ถึงรู้ว่าเข้าใจผิดใหญ่โตมาก คนที่ถูกข้าดึงมากอดแนบอกนั้นคืออวิ๋นอวี้

ถึงจะหน้าหนาอย่างข้า ขณะนั้นหน้าก็ร้อนขึ้นมาได้ ยังดีที่อวิ๋นอวี้ตั้งรับสถานการณ์ได้ ยืนขึ้นลูบผมแล้วพูดยิ้มๆ ‘ไหวอ๋องหลับจนมึนงงแล้ว คิดว่าข้าน้อยเป็นคนงามผู้ใดหรือ’

ข้าลุกขึ้นยืน รีบกล่าวขอโทษ ‘ขออภัย ขออภัย’

อวิ๋นอวี้อมยิ้ม ‘มิเป็นไร มิเป็นไร เมื่อครู่เป็นข้าน้อยเดินเข้าไปใกล้เกินไป’

ฉีหลี่ยืนอยู่ข้างศาลาใช้พัดเคาะฝ่ามือพร้อมพูดว่า ‘ครั้งหน้าเสด็จอาจะดึงใคร อย่าลืมลืมตาก่อนแล้วค่อยดึง’

เรื่องนี้ถูกฉีหลี่ปากแตรเห็นเข้า คิดว่าต่อไปคนที่รู้แล้วนำไปพูดล้อเล่นกันเองคงมีไม่น้อย ย้อนนึกถึงตอนนั้น ขนาดสายตาของฉีเจ่อที่มองข้ายังแปลกๆ อาจเพราะเขาเองก็ทราบเรื่องนี้เมื่อวานถึงพูดจาเช่นนั้น

อวิ๋นอวี้พูดขึ้นช้าๆ “เอ่ยถึงเรื่องนั้น ข้าควรจะกล่าวขอบคุณท่านอ๋องที่รักเอ็นดู” ข้ากระแอมครั้งหนึ่ง ยกถ้วยขึ้นจิบชา

อวิ๋นอวี้ยืนมองดอกไม้ พูดต่อว่า “ท่านอ๋องส่งชายาไปปฏิบัติธรรมที่สำนักชี แล้วเหอจ้งผู้นั้นเป็นเช่นไรแล้ว”

ข้าพูดว่า “เขาถูกใส่ร้าย ควรชดเชยให้มาก ข้าฝากให้ฉีหลี่หาสถานที่อย่างสำนักบัณฑิต รอจนเขาพักฟื้นหายจากอาการบาดเจ็บแล้วก็จะส่งตัวเขาไป อาศัยช่วงเวลานี้กระทำเรื่องเพิ่มชื่อเสียงอันดีงามให้ไหวอ๋องบ้าง คงมีประโยชน์อย่างยิ่ง”

อวิ๋นอวี้หมุนกายกลับมา “การกระทำของท่านอ๋องคล้ายนั่งอยู่บนเก้าอี้สูงสุดตัวนั้นยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”

มือข้าชะงัก วางถ้วยลง

อวิ๋นอวี้พูดว่า “ท่านอ๋องไม่ต้องกังวล รอบๆ นี้ไร้ผู้คน”

ข้าพูดว่า “ใต้เท้าอวิ๋น คำพูดบางอย่างไม่ควรพูดก็ไม่ต้องพูด”

อวิ๋นอวี้ยิ้ม “รับบัญชาท่านอ๋อง เพียงแต่ท่านอ๋องไม่รู้สึกว่าเรื่องของชายามีเงื่อนงำบ้างหรือ นางกระทำเรื่องนี้ให้ใหญ่โตเหมือนตั้งใจทำลายชื่อเสียงของท่านอ๋อง ขนาดชีวิตยังกล้าสละได้ ไม่แน่ว่าอาจได้รับการชี้แนะจากที่ใด ส่วนเหอจ้ง…”

“ข้ารู้แล้ว อย่างไรก็ตามควรนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว”

อวิ๋นอวี้จึงกล่าวว่า “ฟ้ามืดแล้ว ข้าน้อยขอลา” เมื่อเดินถึงข้างกายข้า เขาก็หยุดฝีเท้าลง พูดด้วยเสียงที่เบาลง “คืนมะรืนที่หอเยวี่ยหวา ท่านอ๋องอย่าได้พะวงชื่อเสียงจนไม่มา บิดากับใต้เท้าหวังฝากข้ามาบอกท่านเป็นพิเศษ ยังมีหลิ่วถงอี่ ท่านอ๋องอยู่ห่างไว้สักหน่อยจะดีกว่า ข้าทราบว่าท่านอ๋องเข้าใกล้เขาต้องมีแผนการอยู่ แต่ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ตึงมือยิ่ง เกรงว่าจะเป็นอุปสรรคต่อท่านอ๋อง”

ข้าพูดว่า “อืม ข้าเข้าใจดี จะระมัดระวังยิ่งขึ้น”

อวิ๋นอวี้จากไปช้าๆ ข้ามองแผ่นหลังเขาเดินไปไกล หายไปที่มุมของทางเดินแคบ

อวิ๋นอวี้นะอวิ๋นอวี้ ประสบความสำเร็จแต่ยังเยาว์วัย ตำแหน่งสูงส่ง เฉกเช่นดอกโบตั๋นที่เบ่งบานไร้ผู้เทียบเทียม ในวัยขนาดเขานี้สิ่งที่เขาครอบครองถือว่าหาได้ยากยิ่งในแผ่นดินแล้ว

เหตุใดถึงคิดไม่ตก ต้องร่วมกับบิดาวางแผนกบฏด้วย

 

* สามขวบเห็นถึงโต เจ็ดขวบเห็นถึงชรา เป็นสำนวน หมายถึงพฤติกรรมในตอนเด็กส่อแววว่าโตขึ้นมาจะเป็นคนเช่นไร

** น้ำลดหินโผล่ เป็นสำนวน หมายถึงความผิดความชั่วร้ายที่ปกปิดไว้ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

Editor Jamsai: