X
    Categories: ทดลองอ่านนิทานรักนักษัตรปีมะเส็งมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นิทานรักนักษัตรปีมะเส็ง บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทที่ 2

 หลังจากนั้นหลินไต้อวี้ไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าตอนที่นางกินซาลาเปาลูกที่แปด ร่างกายที่ใช้การอะไรไม่ได้นี้จะเกิดไม่ยอมรับของอร่อยขึ้นมาอย่างกะทันหัน แล้วอาเจียนอาหารรสเลิศออกมาจนหมด ทำให้นางป่วยหนัก

ลำพังแค่ป่วยยังพอว่าแต่นี่กลับป่วยตั้งแต่วันเกิดของท่านยายยาวไปจนถึงปีใหม่ ช่างเป็นเรื่องที่น่าอนาถจนทนดูไม่ไหว แต่ที่น่าชังมากยิ่งกว่าคือเจ้าจย่าเป่าอวี้บ้านั่นดันมาเยี่ยมนางทุกวันพร้อมเอาอาหารชั้นเลิศมาด้วย ให้นางดมได้ แต่กินไม่ได้

สวรรค์! ความเศร้าที่สุดในชีวิตของมนุษย์เป็นเช่นนี้นี่เอง!

มีของอร่อยมาอยู่ตรงหน้าแต่นางกลับไร้วาสนา ใต้หล้านี้จะยังมีเรื่องอะไรที่น่าแค้นใจไปมากกว่านี้อีกหรือไม่

“วันนี้ผินผินยังกินอะไรไม่ได้อีกหรือ”

ได้ยินเสียงใสกังวานของจย่าเป่าอวี้ดังมา หลินไต้อวี้ลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรงแล้วรู้สึกเหมือนร่างกายที่เป็นโพรงดำมืดพลันมีแสงแดดส่องสว่างมาจากทิศตะวันออก จย่าเป่าอวี้ช่างงดงามปานประหนึ่งเซียนตกสวรรค์ งามสง่าไร้ที่เปรียบ เพราะในมือของเขามีสิ่งที่ช่วยเสริมเสน่ห์ให้อย่างยอดเยี่ยม

นางปรือตาจ้องกล่องมีหูหิ้วขนาดเล็กในมือของจย่าเป่าอวี้ แม้จะยังไม่ได้เปิดฝาแต่ก็ได้กลิ่นหอมของนมลอยมาทำให้หลินไต้อวี้เผลอน้ำลายสอ

“คุณชายรองเป่า ตอนนี้คุณหนูไม่เหมาะที่จะกินอะไรตามใจ ต้องให้เป็นอาหารใสๆ จืดๆ จะดีกว่า” เสวี่ยเยี่ยนที่อยู่ข้างๆ ช่วยพูดแทนหลินไต้อวี้ที่ป่วยจนคุยไม่ไหว

น้ำตาของหลินไต้อวี้ไหลรินลงมาสองสายอย่างเงียบงัน นางช่างน่าสงสารเหลือเกิน จริงๆ นะ ใต้หล้านี้ไม่มีผู้ใดน่าสงสารไปกว่านางอีกแล้ว เพราะนางต้องมาป่วยเช่นนี้…นางอยากจะบอกพวกเซียนเหลือเกินว่าไม่ต้องแข่งวิ่งผลัดอะไรกันหรอก มาแข่งป่วยกันดีกว่า รับรองว่านางต้องชนะเลิศแน่

“ผินผิน วันนี้เป็นวันที่หนึ่ง พี่หยวนชุนเลยตั้งใจให้คนนำซูเล่าเคี่ยวน้ำตาล จากในวังมาให้ ตอนแรกข้าว่าจะเอามาลองกินกับเจ้า” จย่าเป่าอวี้พูดด้วยสีหน้าเสียดาย “นี่เป็นของดีที่คนทั่วไปหากินไม่ได้ ถ้าหากพี่สาวไม่ได้อยู่ในวังคงไม่มีทางได้มา”

ซูเล่าเคี่ยวน้ำตาลของพระราชทาน…หลินไต้อวี้ได้ยินแล้วก็จ้องตาเขม็ง

ได้ยินว่าซูเล่าพระราชทานมีความเข้มข้น สดใหม่ นุ่มเนียนละเอียด เข้าปากแล้วก็ละลาย หวานแต่ไม่เลี่ยน พอเข้าไปในคอจะได้กลิ่นหอมนมและน้ำตาล…หลินไต้อวี้นึกวาดภาพในสมองแล้ว รู้สึกเหมือนตนเองกำลังจะสำลักน้ำลายตาย

วันที่หนึ่ง…วันที่หนึ่งแล้ว เหตุใดนางถึงยังป่วยอยู่อีก คงไม่ใช่ว่าในอาหารที่ส่งมาที่ห้องนางมียาพิษผสมหรอกนะ หาไม่จะมีผู้ใดที่ป่วยยาวเหมือนนาง ได้แต่นอนติดอยู่กับเตียงเช่นนี้!

นางอยากกิน! ไม่สนแล้ว ต่อให้กินแล้วต้องป่วยอีกรอบ นางก็จะกิน!

ไหนๆ ก็ป่วยมาตลอด นางขอกินก่อนแล้วค่อยป่วยต่อดีกว่า อย่างน้อยจะได้ป่วยแบบสบายอารมณ์เพราะมีรสอร่อยติดลิ้นอยู่ในช่วงที่กำลังเจ็บ!

จังหวะที่หลินไต้อวี้กำลังจะบอกให้จย่าเป่าอวี้ทิ้งซูเล่าไว้ นางกลับเห็นเขาหันไปพูดกับพวกสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังว่า “ในเมื่อผินผินไม่มีวาสนาได้ชิม พวกเจ้าก็เอาไปกินกันที่ศาลาเถอะ”

นี่! เจ้าปีศาจดอกท้อ เจ้าชอบข้าไม่ใช่หรือ!

หลินไต้อวี้ด่ากราดอย่างไร้เสียง ก่อนจะรู้สึกว่าตนกำลังผรุสวาทอย่างไร้เหตุผล เมื่อนึกได้ว่าจย่าเป่าอวี้เป็นพวกเจ้าชู้มากรักอยู่แล้ว มีคนใดในสกุลจย่าที่ไม่ชอบเขาบ้าง หากไม่ใช่เพราะจย่าเป่าอวี้อายุยังน้อย ไม่แน่ว่าเขาอาจเจริญรอยตามพวกพี่เจิน พี่หรง หรือพี่รองเหลียนที่เที่ยวเด็ดบุปผาเล่นใบหญ้า ในคฤหาสน์สกุลจย่าก็ได้

เอ๋? ไม่สิ เขาน่าจะยุ่งกับพวกนั้นเรียบร้อยแล้วต่างหาก เพราะเวลานี้จย่าเป่าอวี้อายุสิบสองปี หนังสือที่นางอ่านบอกว่าคนที่เขามีอะไรๆ ด้วยเป็นสาวใช้ส่วนตัวที่เป็นฝ่ายเข้าหาจย่าเป่าอวี้เอง…สาวใช้ประจำตัวที่เขากวาดเรียบเสียจนเหนื่อยหอบพวกนั้นอายุน่าจะมากกว่าเขาสองสามปี แต่ละคนล้วนเป็นพวกจันทร์หลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนาง เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมทั้งสิ้น

แม้หน้าตาและผิวพรรณของหลินไต้อวี้จะไม่ด้อย แต่จุดอ่อนอยู่ที่สีหน้าอมโรค รูปร่างผอมบางจนเหลือแต่กระดูก จะไปสู้รูปร่างอวบอัดเย้ายวนของผู้อื่นได้อย่างไร

ระหว่างที่นางกำลังนึกปลงในความน่าสงสารของตน หลินไต้อวี้พลันได้ยินเสียง

“ผู้ใดอนุญาตให้คนรับใช้อย่างพวกเจ้ามาส่งเสียงเอะอะ ไม่มีระเบียบกันเช่นนี้”

น้ำเสียงมีอายุแต่ฟังดูภูมิฐานทำให้บรรดาสาวใช้ที่กำลังเล่นหูเล่นตาหน้าถอดสีกันทันทีพลางก้มลงศีรษะคารวะอย่างนอบน้อม “คารวะนายหญิงผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”

เรือนผมขาวโพลนของฮูหยินผู้เฒ่าจย่ารวบขึ้นแล้วปักปิ่นอย่างง่ายๆ แต่ถ้าใครที่สายตาดีหน่อยดูจะรู้ว่านั่นคือปิ่นหยกมันแพะที่มีค่าควรเมืองเล่มหนึ่ง นางสวมชุดกระโปรงสีดำอีกาที่ดูเรียบสนิท แต่ตรงสาบเสื้อ ชายแขนเสื้อ และชายกระโปรงล้วนปักด้ายทองเป็นลายกระเรียนมงคลสมปรารถนา เส้นไหมทองนั้นเป็นเส้นไหมที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ได้เฉพาะในวัง

สำหรับหลินไต้อวี้ นางรู้สึกสบายตากับความหรูหราที่แฝงอยู่ในความเรียบง่ายของฮูหยินผู้เฒ่าจย่า เพราะเมื่อเทียบกับความอวดเบ่งของหวังซีเฟิ่งที่ชอบวางโต ฮูหยินผู้เฒ่าจย่าวางตัวสำรวมได้อย่างพอเหมาะพอดี แต่คนที่ทำให้หลินไต้อวี้นึกสงสัยคือสตรีที่ประคองฮูหยินผู้เฒ่าจย่าเข้ามาในห้อง

สตรีนางนั้นดูมีอายุราวยี่สิบปี สวมชุดหรูซานฉวินสีแดงดอกท้อ ศีรษะคลุมด้วยหมวกของเสื้อคลุมประดับขนจิ้งจอก เสียบปิ่นดอกไม้ไหวทอง แม้จะดูสูงส่งน่าเกรงขามแต่กลับไม่ฉูดฉาด ให้ความรู้สึกบริสุทธิ์และทรงเกียรติอย่างไม่อาจล่วงละเมิด เป็นความเหมาะเจาะพอดีอย่างยิ่ง

“ทั้งหมดออกไป” สตรีนางนั้นพูดเสียงเบา

สาวใช้ทั้งหมดจึงทยอยก้มหน้าเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

จย่าเป่าอวี้ที่ไม่มีใครคอยรับใช้แล้วต้องเดินเข้าไปคารวะ “ท่านย่า พี่เข่อชิง”

หลินไต้อวี้หัวใจกระตุกนิดหนึ่งเมื่อรู้แล้วว่าคนผู้นี้คือภรรยาของจย่าหรง ถ้านับกันตามศักดิ์ นางถือได้ว่าเป็นหลานสะใภ้ของจย่าเป่าอวี้ ตระกูลย่อมถือเรื่องลำดับรุ่นมากกว่าอายุ ผู้ที่ใช้ชื่อที่มีอักษรหยก จึงต้องเป็นคนที่เป็นรุ่นเดียวกับจย่าเป่าอวี้ และคนที่มีอักษรต้นหญ้าคือคนรุ่นถัดจากเขาลงไป

จวนหนิงกั๋วกงมีจย่าเจินเป็นผู้ดูแล แม้เขาจะอยู่ในลำดับญาติรุ่นเดียวกับจย่าเป่าอวี้แต่กลับอายุมากกว่าเกือบสามสิบปี ดังนั้นจย่าหรงที่เป็นลูกชายของจย่าเจินจึงโตกว่าจย่าเป่าอวี้เล็กน้อยและแต่งงานกับฉินเข่อชิงนานแล้ว

“เหลวไหล ผู้ใดให้เจ้าเรียกส่งเดช ไม่รู้จักกฎระเบียบเช่นนี้” ฮูหยินผู้เฒ่าจย่าตำหนิอย่างทั้งฉิวทั้งขัน แต่สายตาคมปลาบที่มองมาที่จย่าเป่าอวี้กลับเต็มไปด้วยความรักใคร่ทะนุถนอม ราวกับว่าต่อให้ต้องควักหัวใจของตนเองออกมา นางก็ไม่จะลังเลแม้แต่น้อย

“จริงด้วย ท่านอารองเป่าเรียกเช่นนี้มิทำให้ข้าต้องอายุสั้นหรือ” ฉินเข่อชิงหัวเราะเบาๆ แล้วประคองฮูหยินผู้เฒ่าจย่าให้นั่งลงบนตั่งนุ่ม

“ข้าไม่สนใจเรื่องลำดับรุ่นหรอก ทุกคนล้วนแต่เป็นพี่น้องกัน ถ้าไม่ใช่เพราะท่านย่าไม่ยอม ข้าจะเรียกท่านเป็นพี่สาว” เขาพูดพลางนั่งลงที่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าจย่า คำพูดนี้ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าจย่าหัวเราะหน้าบาน ทั้งหัวเราะและด่าไปด้วย

หารู้ไม่ว่าบทสนทนานี้ทำให้หลินไต้อวี้ที่กำลังป่วยอยู่ต้องพยายามสะกดตนเองไม่ให้อาเจียนออกมา

ดูเอาเถอะ คนอื่นเขาปากหวานนำหน้าไปไกลตั้งเท่าไร นางจะเอาอะไรไปสู้เขา ถึงหลินไต้อวี้อยากจะเป็นที่โปรดปรานแต่ใช่ว่าแค่พูดว่าอยากแล้วจะทำได้ หาไม่ ลองให้จย่าหวน น้องชายของจย่าเป่าอวี้ที่เกิดจากอนุภรรยามาลองพูดแบบเดียวกันดูสิ ถ้าเขาไม่ถูกไล่ออกจากคฤหาสน์สกุลจย่าเดี๋ยวนั้น นางจะกระโดดบ่อน้ำเองเลย

สองย่าหลานพูดคุยกันต่ออีกพักหนึ่ง ถ้าหากไม่ใช่เพราะจย่าเป่าอวี้หยิบยกเรื่องของหลินไต้อวี้ขึ้นมา นางคิดว่าท่านยายคงลืมไปแล้วมาทำอะไรที่นี่ จะว่าไปเรือนปี้ซาแห่งนี้เดิมเป็นเรือนน้อยในสวนตะวันออกของท่านยาย การที่ท่านยายจะเดินเล่นมาถึงที่นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องน่าแปลก และการจะทำเหมือนนางไม่มีตัวตนก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเช่นกัน

“เหตุใดพักฟื้นมาตั้งหลายเดือนแล้วยังหน้าตาซีดเซียวอยู่อีก” ฮูหยินผู้เฒ่าจย่าถอนใจ

หลินไต้อวี้หลุบขนตายาวเฟื้อยลงเพราะไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะตอบอย่างไร ช่วยไม่ได้ เทียบกับจย่าเป่าอวี้แล้ว ปากของนางเหมาะจะใช้กินอาหารมากกว่าพูดคุย

“ไม่ใช่อะไรหรอกขอรับ ตอนนั้นข้าสั่งให้พ่อครัวนึ่งซาลาเปาอายุยืนให้ผินผินหนึ่งหม้อ แต่ใครจะรู้ว่านางกลับไร้วาสนาได้ลิ้มรส พอกินเสร็จก็ล้มป่วย เวลานี้กลัวแต่ผินผินจะเป็นเหมือนท่านอาหญิงที่สุขภาพอ่อนแอ ถ้าไม่ถือโอกาสนี้กำจัดต้นตอของโรค ทิ้งไว้นานๆ แล้วจะไม่ดี” จย่าเป่าอวี้ประคองกล่องอาหารในมือ “ดูสิขอรับ นี่เป็นซูเล่าที่พี่สาวใช้ให้คนนำมา ตอนแรกข้าตั้งใจว่าจะเอามาลองกินกับผินผิน แต่เวลานี้นางคงกินซูเล่าไม่ได้แล้ว”

ฮูหยินผู้เฒ่าจย่าฟังแล้วนัยน์ตาคมปลาบพลันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลงราวกับสุขภาพอ่อนแอของหลินไต้อวี้ทำให้นางมองเห็นเงาของบุตรสาวผู้อาภัพจึงเอ่ยกับหลินไต้อวี้ว่า “อีกเดี๋ยวให้บิดาเจ้าเขียนจดหมายไปเชิญหมอหลวงจากในวังมาด้วย”

“ขอรับท่านย่า เพราะเกิดผินผินมารักษาตัวที่บ้านเราแล้วอาการหนักขึ้น พวกเราคงจะสู้หน้าอาเขยไม่ได้อย่างแน่นอน”

หลินไต้อวี้หันไปมองจย่าเป่าอวี้อย่างระแวงเพราะไม่อยากเชื่อว่าเขาจะมองออกว่าภายในคฤหาสน์มีการอาฆาตมาดร้ายกันอยู่ ทว่าคำพูดประโยคนี้ของเขากลับช่วยชีวิตของนางไว้ เพราะมันทำให้นางได้กินอาหารอร่อยและสามารถสู้ต่อไปได้ นับแต่นี้นางจะดีต่อเขามากขึ้นอีกนิดและจะไม่มองค้อนเขาอีกแล้ว

“ไต้อวี้ อีกเดี๋ยวข้าจะส่งสาวใช้สักสองสามคนมาดูแลเจ้า จะให้เด็กที่ยังไม่โตอย่างเสวี่ยเยี่ยนมาคอยดูแลได้อย่างไร” ฮูหยินผู้เฒ่าจย่าพูดพลางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน

“ขอบคุณท่านยายเจ้าค่ะ” หลินไต้อวี้พูดเสียงแหบ ช่วงที่ป่วยเสียงของนางจะแหบลงเล็กน้อยทำให้ฟังดูน่าสงสารมาก

“ขอบคุณอะไร ครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น” ฮูหยินผู้เฒ่าจย่าลูบหน้านางเบาๆ “รีบบำรุงรักษาร่างกายให้ดีๆ นะ”

หลินไต้อวี้ผงกศีรษะ อดรู้สึกนับถือความสามารถของจย่าเป่าอวี้ไม่ได้ เพราะแค่เขาพูดสองสามคำก็ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าจย่าหันมาดีต่อนางได้แล้ว และนี่เป็นครั้งแรกที่นางได้รับความเมตตาจากฮูหยินผู้เฒ่าจย่านับตั้งแต่ที่เข้ามาในคฤหาสน์จนถึงวันนี้

ทว่าสิ่งที่ทำให้หลินไต้อวี้ปวดใจยังคงเป็นสิ่งที่อยู่ในมือของจย่าเป่าอวี้ ซูเล่าเคี่ยวน้ำตาลที่กำลังห่างจากนางออกไปมากขึ้นทุกขณะ…ฮือๆ ใจคอจะไม่เหลือให้นางกินสักคำเลยหรือ

“ท่านย่า ท่านออกไปเดินเล่นที่สวนกับท่านอารองเป่าก่อนดีหรือไม่ ข้าจะอยู่คุยเป็นเพื่อนท่านอาหญิงน้อยที่นี่เอง” ฉินเข่อชิงประคองฮูหยินผู้เฒ่าจย่าเดินไปที่ประตูด้วยรอยยิ้มน่ารักพลางเอ่ย

ฮูหยินผู้เฒ่าจย่ารับคำแล้วให้จย่าเป่าอวี้ประคองนางเดินออกไป

หลินไต้อวี้เลิกคิ้วอย่างฉงนเพราะคิดไม่ถึงว่าคนที่เพิ่งได้พบกันครั้งแรกจะมีเรื่องอะไรมาคุยกับนางได้ แต่ในระหว่างที่กำลังขบคิด นางกลับเห็นฉินเข่อชิงเดินเข้ามาหาและกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “สุขภาพร่างกายของท่านอาไม่ค่อยดี ต้องบำรุงให้มาก หาไม่ต่อไปอาจเหลือต้นตอของโรค”

อ๋อ จะคุยเรื่องนี้ ช่างไม่รู้จักคิดสร้างสรรค์บ้างเลยจริงๆ “ขอบคุณ แต่ท่านยายไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว เจ้าเรียกชื่อข้าเลยก็ได้” นางรู้สึกปวดศีรษะกับเรื่องกฎระเบียบภายในบ้านมาก เพราะบางครั้งเวลาเจอใครก็ไม่รู้ว่าควรจะเรียกเขาว่าอย่างไร ทำให้หลินไต้อวี้นึกอยากเลียนแบบจย่าเป่าอวี้ที่เรียกทุกคนเป็นพี่สาวน้องสาวให้หมด

แต่เสียดายที่หน้านางยังบาง กับคนที่ไม่สนิทหรือไม่ได้เป็นอะไรกัน นางเรียกเป็นพี่เป็นน้องไม่ออกจริงๆ

ฉินเข่อชิงยิ้ม ท่วงทีกิริยาจับตาทำให้คนมองรู้สึกอ่อนยวบได้อย่างแท้จริง หญิงสาวไม่ได้งามหยาดเยิ้มน่าหลงใหล แต่ท่าทางไม่ถือตัวกับความมีเมตตาทำให้ใครต่อใครอยากคุยกับนางให้นานขึ้น

เสียดายที่หลินไต้อวี้กำลังป่วยใกล้ตาย ไม่มีแรงจะคุยด้วยอีก หากจะมาพูดซ้ำเหมือนผู้อื่นล่ะก็ นางฟังจนท่องได้หมดแล้ว และบางทียังท่องเป็นกลอนในใจได้ด้วย

“ไต้อวี้ หากเจ้าอยากจะอยู่ในคฤหาสน์สกุลจย่าดีๆ ต้องรู้จักระวังตัว”

“เอ๋?”

“แม้ท่านอารองเป่าจะเป็นที่รักและได้รับความโปรดปรานจากท่านย่า แต่นั่นก็ทำให้เขาตกเป็นที่ริษยาของผู้อื่น ดังนั้นการซ่อนประกายไว้ย่อมดีกว่า”

หลินไต้อวี้จ้องหน้าฉินเข่อชิงที่ยังคงยิ้มแย้มเหมือนเดิมด้วยอาการตาค้าง เพราะคำพูดประโยคนี้เหมือนกำลังทำให้นางเข้าใจถึงสภาวะการต่อสู้แย่งชิงกันในคฤหาสน์สกุลจย่า รวมไปถึงสถานภาพและบทบาทของนาง ทว่าฉินเข่อชิงเป็นคนของจวนหนิงกั๋วกง เหตุใดนางจึงรู้เรื่องพวกนี้ดีถึงเพียงนี้

“ยังมีอีก เวลาไปรับอาหารจงอย่าบอกว่าไปรับให้ใคร การมอบเศษเงินเพื่อจ้างคนไปนำมาให้ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง ส่วนเรื่องยาให้ทำเป็นยาลูกกลอนไว้กินจะเหมาะกว่า” ฉินเข่อชิงพูดพลางหันไปมองเสวี่ยเยี่ยนที่ยืนอยู่ข้างเตียงแวบหนึ่ง “เจ้ายังมีสาวใช้ผู้นี้ที่พอจะใช้งานได้ การจะออกจากคฤหาสน์สกุลจย่าไปทำยาลูกกลอนเพื่อรักษาโรคไม่ใช่เรื่องยาก ร้านขายยาซุ่นซิงทางตะวันตกของเมืองเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว เพราะเป็นยาลูกกลอนของแท้”

หลินไต้อวี้ฟังแล้วแทบจะขนลุกขึ้นมาด้วยความรู้สึกหนาวเยือก

สวรรค์! อย่าบอกนางนะว่าคฤหาสน์ทุกหลัง เรือนพักทุกแห่งล้วนใช้วิธีนี้เหมือนกันหมด ฉินเข่อชิงถึงได้มาชี้แนะวิธีเอาตัวรอดให้แก่นาง

นางรู้ว่าในอาหารและยาจะต้องมีอะไรอยู่แน่ๆ แต่หลินไต้อวี้ที่อยู่ใต้ชายคาบ้านผู้อื่นจำเป็นต้องยอมก้มหัว ยิ่งการที่นางสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานเพียงนี้ย่อมแสดงว่ายาพิษไม่ได้แรงแต่ต้องการให้นางค่อยๆ ตายเพราะพิษไปอย่างช้าๆ เพราะทางที่ดีที่สุดคือทำให้นางป่วยตาย

ปัญหาคือถ้านางตายแล้วจะมีประโยชน์อะไร เรื่องนี้หลินไต้อวี้คิดอย่างไรก็คิดไม่ตก นางเคยสงสัยว่าอาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างนางกับจย่าเป่าอวี้ ทว่าแต่ไหนแต่ไรมานางกับเขาก็ไม่เคยใกล้ชิดกันมากขนาดต้องกำจัดนางทิ้ง เช่นนั้นมันไร้เหตุผลจนเกินไป

สรุปคือดูจากสถานการณ์ในเวลานี้หลินไต้อวี้คงไม่ได้กินซาลาเปามากไปจนท้องไส้พัง แต่เพราะจย่าเป่าอวี้ปฏิบัติต่อนางพิเศษกว่าผู้ใดจึงทำให้มีคนปองร้าย

ยุ่งล่ะสิ เช่นนี้นางจะเข้าใกล้จย่าเป่าอวี้ดี หรือจะอยู่ให้ห่างจากเขาดี เพราะถ้าดึงเขามาเป็นพวกเดียวกันได้ นางย่อมได้ท่านยายมาเป็นที่พึ่ง แต่ถ้าหากไม่ผลักเขาออกไปเกรงว่านางคงถูกพิษตายอยู่ในคฤหาสน์สกุลจย่าจริงๆ

ถูกพิษตายเป็นเรื่องเล็ก แต่ต่อจากนี้ไปต้องอดกินของอร่อยต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่!

ความคิดที่จะตัดหนทางไปสู่ของอร่อยของนางช่างไร้มนุษยธรรมและน่ารังเกียจยิ่ง แล้วนางจะนั่งรอความตายอยู่เฉยๆ ได้หรือ

“หากเป็นไปได้ ต่อไปเวลากินอาหารก็ให้ไปกินกับพี่ๆ น้องๆ ในบ้านจะดีกว่า” ฉินเข่อชิงหยุดพูดแล้วลุกขึ้นอย่างแช่มช้อย ปิ่นที่เสียบอยู่บนมวยผมส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง

“พี่เข่อชิง ข้าเข้าใจสิ่งที่ท่านบอกแล้ว ต่อไปข้าจะอยู่ให้ห่างจากจย่าเป่าอวี้” คงต้องทำเช่นนี้ไปก่อนเพื่อรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง จากนั้นค่อยรีบเผ่นกลับหยางโจว!

แดนมนุษย์ทุกที่ล้วนมีแต่ของอร่อย แม้การจากคฤหาสน์สกุลจย่าไปจะเป็นเรื่องน่าเสียดาย แต่ถ้าออกจากคฤหาสน์สกุลจย่าไปแล้วสุขภาพดีขึ้น อยากกินอะไรที่อื่นมีหรือจะเป็นเรื่องยาก

ก่อนจากไปฉินเข่อชิงยังเอ่ยรำพึงเสียงเบา “เด็กผู้นั้นชะตาอาภัพ”

หลินไต้อวี้นิ่งงันอยู่นาน จย่าเป่าอวี้น่ะหรืออาภัพ อ๋อ คงหมายถึงจุดจบของเขาล่ะสิ ก็อาภัพจริงๆ นั่นล่ะ ปัญหาคือฉินเข่อชิงก็มองเห็นได้เหมือนนางหรือ หาไม่ เหตุใดนางจึงรู้เรื่องนี้ ไม่ถูกสิ ที่นี่เป็นโลกในนิทานโบราณ ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ของจริงที่มนุษย์ทั่วไปจะสามารถทะลุมิติเข้ามาได้

แล้วที่ฉินเข่อชิงบอกว่าอาภัพ…มันหมายถึงเรื่องอะไร หรือนางมีความสามารถทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้า?

หลินไต้อวี้มุ่นหัวคิ้วคิดอยู่นานแต่กลับคิดไม่ออก นางจึงนอนลงด้วยความรู้สึกมึนๆ งงๆ แต่ก่อนหลับนางก็ยังคงรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้กินซูเล่าเคี่ยวน้ำตาลอีกครั้ง

ฮือๆ นั่นมันของพระราชทานเชียวนะ!

ในใจของจย่าเป่าอวี้เต็มไปด้วยคำถาม

เขาคิดมาสามปีแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบ

เขาเดินถือกล่องอาหารเข้าไปในเรือนปี้ซาแล้วได้ยินเสียงซอยเท้าทำให้ต้องช้อนสายตาขึ้นมองเล็กน้อย เรียกเสียงร้องเบาๆ จากพวกสาวใช้ที่วิ่งมาหา แต่ละคนเขินจัดจนต้องก้มหน้า ไม่กล้าสบตาเขา ภาพพวกนี้เขาเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต กลายเป็นความคุ้นชินแล้วจึงทำเป็นมองไม่เห็นและเดินจากไป

ลองมาคิดดู ต่อให้เป็นสาวใช้รุ่นใหญ่ข้างกายท่านย่าที่มีความนิ่งพอตัว แค่เขาจงใจทิ้งสายตาให้หน่อย มีคนใดบ้างจะไม่เหม่อลอยจนแข้งขาอ่อน

แต่นี่ผินผินกลับไม่แยแส…

เมื่อก่อนเขาสงสัยว่านางอาจจะสายตาไม่ดี มองไม่เห็นใบหน้าหล่อเหลาเหนือใครของเขา ถึงได้ไม่มีท่าทีเช่นเดียวกับสตรีในวัยเดียวกัน แต่มีอยู่วันหนึ่งที่เขาเห็นกับตาว่านางชี้นกที่บินอยู่บนท้องฟ้าแล้วบอกได้อย่างแม่นยำว่ามันคือนกลวี่ซิ่วเหยี่ยน และนั่นทำให้เขายิ่งไม่เข้าใจมากขึ้น

เพราะถ้าสายตานางดีถึงเพียงนั้น เหตุใดเวลาที่เห็นเขากลับไม่มีท่าทีอะไรเลย

กระทั่งลูกผู้พี่อย่างเซวียเป่าไชที่เข้ามาในคฤหาสน์สกุลจย่าไล่เลี่ยกับผินผิน เป็นคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ มีกิริยามารยาทเรียบร้อย แต่แค่เขาตั้งใจจ้องนางให้มากหน่อย เซวียเป่าไชยังเขินจนหน้าแดงก่ำและไม่กล้ามองหน้าเขา จวบจนทั้งสองคนไปมาหาสู่กันได้สองปี นางถึงค่อยๆ กล้ามองตอบและคุยเล่นด้วย

ด้วยเหตุนี้ผินผินจึงกลายเป็นสตรีประหลาด เพราะตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันนางก็ไม่สนใจเขาเลย แม้แต่มองก็ยังไม่ยอมมองให้นานหน่อยด้วยซ้ำ

ทว่าจู่ๆ ในงานเลี้ยงวันเกิดท่านย่าเมื่อปีที่แล้วนางกลับเปลี่ยนไป ดวงตาที่แอบซ่อนความขวยเขินตื่นกลัวมีประกายสดใส พิลาสพิไลหยาดเยิ้มจนทำให้เขาใจสั่น

ขนาดนึกย้อนดูอีกทีตอนนี้จย่าเป่าอวี้ก็ยังคงรู้สึกหัวใจเต้นแรงไม่หาย ช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน

แม้จะบอกว่าผินผินเป็นหญิงงามรุ่นเยาว์ที่มีเสน่ห์น่าสงสารราวกับซีซือยามเจ็บไข้ ในขณะที่เซวียเป่าไชที่เป็นสตรีทรงเสน่ห์ยั่วยวน แต่จย่าเป่าอวี้กลับไม่เคยรู้สึกใจสั่นเพราะเซวียเป่าไชเหมือนอย่างผินผิน

อาการใจสั่นอย่างไร้เหตุผลนี้ทำให้เขาอยากจะหาเวลาไปเยี่ยมผินผินเป็นประจำ แต่ระยะหลังดูเหมือนรอบตัวผินผินจะมีผู้คนอยู่ด้วยเยอะขึ้น เพราะพี่น้องชุนทั้งสามคล้ายจะเป็นเงาของนางไปแล้ว กระทั่งพี่สะใภ้หลี่หวันกับหลานชายของเขา หลันเอ๋อร์ก็ยังไปร่วมด้วย เวลาเห็นพวกนางจับกลุ่มกันกินนั่นกินนี่ จย่าเป่าอวี้ก็อยากเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยมาก แต่เขากลับเข้ากลุ่มไม่ได้

ช่วยไม่ได้ เมื่อเขาไม่ค่อยสนิทกับพวกพี่น้องกลุ่มนี้ ทำให้ตอนนี้ต่อให้อยากจะเข้าไปสนิทด้วยก็ไม่รู้ว่าควรคุยเรื่องอะไร นอกจากนี้พวกนางก็ไม่มีท่าทีว่าจะทอดสะพานให้ ไม่เหมือนพวกฉิงเหวินที่ชอบเครื่องหอมแป้งขาด และไม่เหมือนเซ่อเยวี่ยกับเสี่ยวหงที่ทำเชือกถักสานตะกร้าให้ เรื่องที่พวกผินผินคุยกันมักเป็นเรื่องบทกวี แม้แต่หลานชายของเขา หลันเอ๋อร์ยังสามารถต่อกลอนได้ ในขณะที่เขาฟังแล้วรู้สึกปวดศีรษะมาก

นั่นเป็นการละเล่นที่ไม่เห็นจะสนุกสักนิด ไม่ว่าจย่าเป่าอวี้จะเข้าไปเล่นด้วยกี่ครั้งก็ยังเหมือนเดิม ทำให้เขาไม่ค่อยอยากไปอีก ต่อมาเขารู้จากสาวใช้ที่ท่านย่าส่งให้ไปอยู่ข้างกายผินผินว่าสุขภาพของนางดีขึ้นมาก ทำให้เขารู้สึกวางใจขึ้นและไม่จำเป็นต้องวิ่งไปหาทุกๆ สองวันสามวัน…

ปัญหาคือถึงสมองจะคิดเช่นนี้ แต่ร่างกายกลับฝืนจะไปอีกทาง ทำให้เขายังคงวิ่งมาทุกสองวันสามวัน

ทว่าพวกผินผินยังคงเป็นเหมือนเดิม

ไม่สิ ไม่รู้ว่ามีจย่าหวนเพิ่มเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร น้องชายของเขาที่เกิดจากอนุภรรยาของท่านพ่อ เป็นน้องชายที่เขาไม่สนิทแต่ก็ไม่ได้คิดว่าเป็นศัตรู

เรื่องที่น่ารังเกียจยิ่งกว่าคือตอนที่เขาก้าวเข้าไปในเรือนพัก เสียงหัวเราะจะหยุดชะงักลงทันควัน คล้ายว่าเขาเป็นบุคคลที่ไม่เป็นที่ต้อนรับทำให้จย่าเป่าอวี้เผลอเบ้ปากและหมุนตัวเดินจากไป

ที่นี่มีอะไรดี พวกนางดีแต่จับกลุ่มสุมหัวกัน ในขณะที่เขายุ่งมากเพราะต้องไปร่วมงานเลี้ยงของเป่ยจิ้งอ๋องและหนานอันจวิ้นอ๋อง แค่นี้เขาก็ยุ่งจนเท้าไม่แตะพื้นแล้ว ไม่มีเวลามาทำท่างดงาม มีความสุขเหมือนไม่สนใจโลกอย่างพวกนั้นหรอก

ถึงกระนั้นจย่าเป่าอวี้ยังคงรู้สึกขุ่นใจ เขาไม่พอใจเอามากๆ

เหตุใดพวกนางถึงจับกลุ่มเล่นสนุกกับจย่าหวน แต่กลับไล่เขาออกมาด้วยความเงียบ เขาอยากไปเยี่ยมผินผิน แต่พอคิดได้ว่าตอนตนทำท่าสะบัดแขนเสื้อจะจากไปแล้วไม่มีใครรั้งเขาไว้เลยสักคน จย่าเป่าอวี้ก็พลันรู้สึกอัดอั้นและต้องบังคับตนเองไม่ให้ไปหานาง…

พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปกว่าครึ่งปี วันนี้พวกเขาได้รับจดหมายจากทางหยางโจวบอกว่าบิดาของผินผินล้มป่วยและอยากพบนาง

ทันทีที่ข่าวนี้มาถึง จย่าเป่าอวี้ก็ถึงกับลนลาน

หากผินผินไปแล้วไม่กลับมาอีก โรคใจของเขาจะรักษาได้อย่างไร

ตอนงานวันเกิดท่านย่า เขาตั้งใจไปนั่งข้างกายนาง แต่ผินผินกลับวุ่นอยู่กับการกิน ไม่ยอมเจียดเวลามาคุยกับเขา ทำให้จย่าเป่าอวี้ต้องคอยให้งานเลี้ยงเลิกและทุกคนย้ายไปดูละครที่สวนทิศใต้ก่อน ทว่านางกลับเหมือนอ่านความคิดของเขาได้จึงชิงขอตัวกลับไปพักผ่อนที่ห้อง ทำให้จย่าเป่าอวี้ต้องหาข้ออ้างออกมาแต่ไม่พาสาวใช้สักครึ่งคนไปด้วยเพื่อตรงไปยังเรือนปี้ซา

ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อเขามาถึง…

“พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่น่ะ” จย่าเป่าอวี้ได้ยินเสียงน้ำเสียงแข็งกร้าวและเย็นชาของตนเอง แต่เขาห้ามตนเองไม่ได้ ซ้ำยังนึกอยากจะเหวี่ยงกล่องอาหารที่อยู่ในมือออกไปใจจะขาด

ดูเอาเถอะ นี่มันอะไรกัน! รอบตัวไม่มีสาวใช้สักครึ่งคน มีแต่บุรุษสตรีอยู่ด้วยกันตามลำพังในที่รโหฐาน ผินผินกำลังมอบถุงผ้าปักใบหนึ่งให้แก่น้องชายไร้ประโยชน์ที่เกิดจากอนุภรรยาของพ่อเขา!

นี่มันเรื่องอะไรกัน! สัญญารักมั่นอย่างนั้นหรือ ต่อให้อยากทำสัญญารักก็น่าจะมาหาเขาสิ เหตุใดถึงกระโดดข้ามเขาไปหาเจ้าน้องชายไร้การศึกษา ขโมยเงินไปชนไก่ไล่สุนัขได้

ก่อนหน้านี้เขาเพียงดูหมิ่นจย่าหวนและแอบรังเกียจอีกฝ่ายอยู่ในใจ แต่ภาพที่เห็นเวลานี้ทำให้จย่าเป่าอวี้นึกอยากจะพุ่งเข้าไปซัดจย่าหวนเป็นครั้งแรก

“มีธุระอะไรหรือ” หลินไต้อวี้ลอบทำเสียงจิ๊จ๊ะเบาๆ อย่างนึกรำคาญที่เจ้าคนกวนประสาทผู้นี้โผล่พรวดพราดมา แต่ตอนที่นางได้กลิ่นหอมของขาหมูตุ๋น นางก็ตัดสินใจยกโทษให้เขา

ต้องบอกให้รู้ก่อนว่านางเป็นคนที่มีจิตใจกว้างขวางมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพวกเด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม แต่แน่นอนว่าก่อนหน้านั้นเขาต้องยกอาหารที่นำมาให้นางก่อนนะ

“ผินผิน เจ้าคิดจะลอบทำสัญญารักกับจย่าหวนหรือ” จย่าเป่าอวี้กำหมัดแน่น สายตาที่มองไปทางจย่าหวนแลดูเยียบเย็นเปี่ยมไอสังหาร

“หา?” หลินไต้อวี้ตะลึง นางมองจย่าหวนผู้มีใบหน้าหมดจดแต่กลับมักชอบวางตัวเป็นอันธพาลทำให้ความงามต้องเสียหายแล้ว คิดไม่ถึงว่าสองแก้มของเขาจะเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

อย่าเหลวไหลสิ นางไม่ได้ชอบเด็กนะ ต่อให้เขามีเค้าว่าจะโตขึ้นมาเป็นหนุ่มรูปงามอย่างไรก็ไม่เข้าตานางอยู่ดี!

เหตุใดคนสกุลจย่าถึงได้โตเร็วกันนักนะ เพิ่งจะอายุไม่เท่าไรแต่กลับเลียนแบบผู้ใหญ่กันเสียแล้ว…ขอร้องล่ะ หลินไต้อวี้แค่วานให้จย่าหวนช่วยอาศัยชื่อมารดาของเขาไปรับอาหารหรือของสดมาให้เท่านั้น เหตุไฉนไปๆ มาๆ เขาจึงเกิดใจเต้นขึ้นมาได้ล่ะ อย่าง่ายกันเช่นนี้สิ!

นางไม่อยากกระชากกล้าอ่อนให้ตาย แล้วทางที่ดีก็อย่ามายัดเยียดบทนี้ให้นางเล่นด้วย หาไม่นางจะชักสีหน้าให้ชมแน่ๆ

“ยังจะแกล้งทำงุนงงอีก เจ้ามิใช่มอบถุงผ้าปักให้เขา…” จย่าเป่าอวี้ด่าแต่น้ำเสียงใสกังวานกลับแหบพร่า ใบหน้างามราวเซียนตกสวรรค์เปลี่ยนเป็นซีดขาว มือกุมหน้าอกแน่นเพราะเจ็บหัวใจจนพูดไม่ออก

“ข้าก็ให้ทุกคนนั่นล่ะ” หลังจากเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด หลินไต้อวี้ก็เอ่ยเสียงเย็น “พวกพี่สาวน้องสาวล้วนได้กันทุกคน”

แค่ให้ถุงผ้าปักเท่านั้น อย่าทำเหมือนนางหลับนอนกับจย่าหวนไปแล้วสิ ทำเอาขวัญกระเจิงหมด

“เจ้าให้พวกพี่สาวน้องสาวได้ แต่ให้เขาไม่ได้!”

“เขาเป็นน้องข้า เหตุใดให้ไม่ได้” ความจริงนางอยากจะพูดให้เยอะกว่านี้ว่า ‘กงการอะไรของท่าน’ แต่เพราะนางยังกินมื้อเย็นไม่อิ่มและอยากลิ้มลองของที่อยู่ในกล่องอาหารของจย่าเป่าอวี้จึงต้องสะกดตนเองเอาไว้ เพราะนางได้กลิ่นขนมฝูหรง เมื่อครู่นางเพิ่งได้กินไปแค่ชิ้นเดียว รสหวานที่แค่เข้าปากก็ละลายนั้น นางยากที่จะลืมจริงๆ

ไหนเลยจย่าเป่าอวี้จะรู้ว่าหลินไต้อวี้กำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ เขาปรายตาไปมองใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นซีดเผือดอย่างฉับพลันของจย่าหวนแล้วหัวเราะเสียงเย็น ในใจนึกขำอีกฝ่ายที่ช่างไม่รู้จักประมาณตน เป็นแค่ลูกอนุที่ไม่รู้จักเล่าเรียนหนังสือแต่กลับหมายปองปทุมงามอย่างผินผิน

“จย่าหวน ท่านย่าพาชายาหนานอันจวิ้นอ๋องและบรรดานายหญิงตราตั้ง ไปชมละครที่สวนแล้ว หากเจ้าไม่รีบตามจ้าวอี๋เหนียง ไปแล้วเกิดเรื่องน่าอับอายขึ้น ไม่รู้ว่ามีผู้ใดบ้างที่ต้องขายหน้า” น้ำเสียงของจย่าเป่าอวี้เต็มไปด้วยกระแสถากถาง แต่กลับไม่ได้มองหน้าอีกฝ่าย “อย่าได้เรียกชื่อละครผิดหรือแต่งเรื่องขึ้นมาเอง คนที่ต้องอับอายจะไม่ได้มีแค่นางผู้เดียว”

เรื่องน่าชวนหัวเมื่อปีที่แล้วเขาไม่ได้เก็บมาใส่ใจ แต่ท่านย่ากลับถือสาเป็นอย่างมากเพราะรู้สึกอับอายขายหน้า หากเกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นอีกครั้ง เขารับรองได้เลยว่าจ้าวอี๋เหนียงอย่าได้คิดจะได้เข้าร่วมงานเลี้ยงของสกุลจย่าอีกเลย

จย่าหวนได้ยินแล้วก็รีบจากไปอย่างไม่มีทางเลือก

จย่าเป่าอวี้หิ้วกล่องอาหารเดินมาตรงหน้าหลินไต้อวี้ เอ่ยถามเสียงต่ำ “หากเขาได้ แล้วของข้าเล่า”

หลินไต้อวี้กำลังจะด่าเขาว่าไม่มีน้ำใจต่อพี่น้อง แต่กลับถูกเขาเอ่ยถามแทน “อะไร”

“ถุงผ้าปัก” จย่าเป่าอวี้ยื่นมือออกไปอย่างถืออภิสิทธิ์เต็มที่

ถ้าหากนางมอบถุงผ้าปักให้ทุกคน ย่อมต้องมีส่วนของเขาด้วยสิ

ท่าทีโอหังวางอำนาจของจย่าเป่าอวี้ทำให้หลินไต้อวี้ต้องเลิกคิ้ว นางตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ไม่มี”

“อะไรนะ”

“ไม่มีส่วนของท่าน” นางยิ้มอย่างชั่วร้ายและไม่ลืมฟันซ้ำอีกดาบหนึ่ง “เหตุใดข้าจึงต้องให้ท่าน”

จย่าเป่าอวี้จ้องหน้านางอย่างไม่อยากเชื่อ เพราะเขาไม่กล้าเชื่อว่านางจะทำเช่นนี้กับเขา

“เพราะเหตุใด” เขาถามเสียงสั่น

“จำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยหรือ” นางย้อนถามอย่างเสแสร้งแต่น่ารัก

“ข้าทำไม่ดีต่อเจ้าอย่างนั้นหรือ นับตั้งแต่ที่เจ้ามาที่นี่จนถึงวันนี้ข้าคอยถามไถ่ทุกข์สุขของเจ้าไม่เคยขาด เวลามีอะไรแปลกๆ เล่นสนุกก็นำมาให้เจ้าทั้งหมด ขอแค่เจ้าปรารถนา เพียงเจ้าเอ่ยปาก ข้าล้วนทำให้ได้ทุกอย่าง แต่เจ้ากลับมอบถุงผ้าปักให้เจ้าคนไร้ประโยชน์อย่างจย่าหวน ไม่ยอมให้อะไรข้า!” จย่าเป่าอวี้โกรธจัดแต่กลับไม่กล้าทำร้ายนาง

หลินไต้อวี้เปราะบางอย่างน่าประคองเอาไว้ที่กลางฝ่ามือเช่นนี้ เขาจะให้ทำตัวป่าเถื่อนกับนางได้อย่างไร แต่กับจย่าหวน จย่าเป่าอวี้ไม่มีความจำเป็นต้องเกรงใจ มีวิธีใดที่สามารถเล่นงานอีกฝ่ายให้ตายได้ เขาพร้อมทำทั้งนั้น

“คุณชายรองเป่า ข้าเคยขอให้ท่านทำดีต่อข้าหรือไม่ หรือเคยบอกว่าอยากอยู่กับท่านหรือไม่ อ๋อ เคยสิ เรื่องซาลาเปาอายุยืน ข้าได้รับเสียจนหนำใจเลย” ต้องนอนยาวกว่าครึ่งปีจนนางคิดว่าต่อไปนี้ตนคงไม่กล้ากินซาลาเปาอายุยืนอีกแล้ว “เป็นจริงที่ท่านบอกว่าเพียงข้าเอ่ยปาก ท่านล้วนทำให้ได้ทุกอย่าง แต่ก็แน่ล่ะ ในเมื่อท่านคือคุณชายรองเป่าผู้มีสถานะไม่เหมือนผู้อื่นเพราะท่านย่าของท่านคอยปกป้องและโปรดปราน ไม่ว่าท่านปรารถนาสิ่งใด มีหรือที่จะไม่ได้ แต่นั่นล้วนไม่ใช่สิ่งที่ท่านได้มาจากกำลังความสามารถตนเอง เพราะสิ่งที่ทำให้ท่านได้ทุกอย่างคือชื่อเสียงของสกุลจย่า รวมไปถึงความรักใคร่เอ็นดูจากท่านย่าและมารดา ส่วนตัวท่านเองเป็นแค่เด็กไร้ค่า ไม่มีการศึกษา รักสนุก สันหลังยาว”

เฮ้อ พรุ่งนี้นางจะไปจากคฤหาสน์สกุลจย่าแล้ว พูดเสียให้หมดในวันนี้เลยแล้วกัน ถึงจะเสียดายอาหารในกล่องอยู่บ้าง แต่คอยให้ดึกหน่อยนางค่อยให้เสวี่ยเยี่ยนไปถามว่ามีของเหลือบ้างหรือไม่ก็ได้

อันที่จริงนางควรออกเดินทางกลับหยางโจวไปตั้งแต่ตอนได้รับจดหมายจากทางบ้าน แต่หลินไต้อวี้อ้างว่าต้องบำรุงร่างกายให้ดีจึงอยู่ต่ออีกระยะหนึ่งเพื่อให้ถึงงานวันเกิดของท่านยาย จะได้กินอาหารรสเลิศจากงานเลี้ยงสักงาน หาไม่นางจะเสียเวลาพูดคุยอยู่กับเขาที่นี่ไปด้วยเหตุใด

สีหน้าของจย่าเป่าอวี้เดี๋ยวดำเดี๋ยวขาว เขาอ้าปากแต่กลับพูดไม่ออก

เขาโตจนป่านนี้ยังไม่เคยมีใครต่อว่าเขาเลยแม้แต่น้อย มีผู้ใดบ้างที่ไม่คอยตามประจบเอาใจเขา ต่อให้เขาทำผิด คนในบ้านก็ไม่เคยพูดจารุนแรงสักประโยค แต่หลินไต้อวี้กลับพูดใส่หน้าเขาจนแทบทนฟังไม่ได้ ที่น่าโมโหมากยิ่งไปกว่านั้นคือเขาเถียงไม่ได้ด้วย!

“ข้าไม่ใช่คนไร้การศึกษา และยิ่งไม่ใช่พวกรักสนุกสันหลังยาว!” เนิ่นนานกว่าที่จย่าเป่าอวี้จะเค้นเสียงโต้อ่อนอ่อยออกมาได้ “ต่อให้สอบผ่านแล้วจะอย่างไร ได้เป็นขุนนางในราชสำนักแล้วจะอย่างไร สกุลจย่ารุ่งเรืองมากอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาข้าไปเพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลาย อีกหรอก แล้วต่อให้ข้าออกนอกบ้านมากกว่านี้ก็ยังไม่ถือว่าเป็นการออกไปสำมะเลเทเมา เพราะข้าไปเชื่อมสัมพันธไมตรีตามจวนจวิ้นอ๋องต่างๆ แล้วเจ้าจะเอาคนอย่างจย่าหวนมาเปรียบกับข้าได้อย่างไร! เขาต่างหากที่เป็นเจ้าโง่ไร้การศึกษา รักสนุก สันหลังยาว ตีไก่ไล่สุนัขตัวจริง!”

หลินไต้อวี้เอนตัวพิงราวจังด้วยท่าทางเกียจคร้านพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “คุณชายรองเป่าผู้เก่งกล้าสามารถ ทุกข์สุขของสกุลจย่าล้วนขึ้นอยู่กับท่านผู้เดียว ขนาดหลันเอ๋อร์สอบได้ตำแหน่งซิ่วไฉ ตอนอายุแปดขวบ คนในบ้านยังไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ ที่แท้เป็นเพราะการออกนอกบ้านของคุณชายรองเป่ามีความสำคัญมากยิ่งกว่านี่เอง”

จย่าเป่าอวี้มีสีหน้าปั้นยาก “เรื่องที่หลันเอ๋อร์สอบได้ตำแหน่งซิ่วไฉ ข้ารู้สึกดีใจไปกับเขาด้วย แต่คนที่เรากำลังพูดถึงตอนนี้คือจย่าหวนนะ ไม่ใช่หลันเอ๋อร์!”

“ก็จริง แต่ข้ารู้มาว่าจย่าหวนไม่ใช่พวกสันหลังยาว หากเป็นเพราะท่านยายไม่อนุญาตให้เขาไปเรียนหนังสือ แล้วนั่นก็เพราะผลการเรียนของเขาที่สำนักศึกษาหลวงดีกว่าคุณชายรองเป่ามาก ดังนั้นจึงไม่อาจปล่อยให้เขาข่มรัศมีของท่าน ทำให้เด็กผู้หนึ่งต้องถูกกักไว้ในบ้าน กระดิกไปที่ใดไม่ได้เพราะต้องถูกผูกมัดด้วยสถานภาพของลูกอนุภรรยา แล้วท่านจะให้เขาทำอย่างไร” นางบอกเล่าถึงความอยุติธรรมในช่วงระยะเวลาหลายปีนี้ออกมาจนหมด

“เพราะเป็นบุตรที่เกิดจากอนุภรรยา กระทั่งตำแหน่งก็ไม่มี แต่สำหรับข้าท่านคือพี่ชายต่างแซ่ของข้าและเขาเป็นน้องชายต่างแซ่ของข้า ไม่มีอะไรแตกต่าง หรือถ้าจะฝืนบอกว่าต่างกันให้ได้ อย่างมากก็แค่ฐานะของพวกท่านสองคนในใจของท่านยายเท่านั้นที่แตกต่าง”

คิดๆ ดูแล้วนางเองก็ใจร้ายเหมือนกัน เพราะคิดว่ากำลังจะได้ไปจากที่นี่ นางถึงเลือกที่จะพูดถากถางเขาในเวลานี้ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่อเขาเอาตัวมาประเคนให้ด่าถึงประตูเองแล้วจะโทษใคร ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่นางพูดออกไปล้วนเป็นเรื่องจริงทุกประโยค ไม่ได้ใส่น้ำมันเติมน้ำส้ม เลยแม้แต่น้อย

อำนาจชี้เป็นชี้ตายในบ้านหลังนี้ล้วนอยู่ในกำมือของท่านยาย นอกจากจย่าเป่าอวี้แล้ว หากผู้อื่นคิดจะเผยอหน้าขึ้นมา…เกรงว่าคงเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าปีนขึ้นฟ้า

“ขอเพียงข้าตั้งใจ เขาก็อย่าคิดว่าจะสู้ข้าได้” เสียงโต้ของเขายิ่งอ่อนลงกว่าเดิม “เขาเป็นแค่ลูกอนุ เกิดจากบ่าวไพร่!”

ที่เขาดูหมิ่นจย่าหวนเป็นเพราะมารดาและท่านย่าต่างมองไม่เห็นหัวของจย่าหวน นานวันเข้าจย่าเป่าอวี้จึงพลอยไม่ชอบหน้าจย่าหวนตามทุกคนไปด้วยและไม่เคยมองจย่าหวนว่าเป็นน้องชาย…แต่จะเป็นไปได้อย่างไรที่ท่านย่าจะไม่ให้จย่าหวนไปเรียนหนังสือ เห็นอยู่ว่าเขารักสนุกจนไม่ยอมเรียนเองต่างหาก!

“เป็นบ่าวไพร่แล้วไม่ใช่มนุษย์หรือ เสียแรงที่ท่านให้ความรักใคร่เอ็นดูพวกสาวใช้ของตนเองเหมือนของล้ำค่า เหตุใดสาวใช้ของท่านเป็นมนุษย์ ส่วนสาวใช้ของบิดาท่านมิใช่มนุษย์ และน้องชายของท่านก็มิใช่มนุษย์หรือ หากสักวันสาวใช้ของท่านเปลี่ยนเป็นสาวใช้ห้องข้าง แล้วให้กำเนิดบุตรชายแก่ท่าน ท่านจะไม่รักลูกที่เกิดจากอนุภรรยาเช่นนั้นหรือ”

ถ้าไม่ใช่เพราะต้องเก็บแรงเอาไว้ออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ นางก็อยากจะกระโดดเข้าไปทุบเขาหนักๆ สักยกหนึ่งจริงๆ

เขาได้รับความรักใคร่ตามใจจนเสียคนแล้ว คนที่สมควรโดนตีโดนด่าเช่นนี้ไม่มีทางเข้าตานางหรอก!

จย่าเป่าอวี้นิ่งงัน เขาไม่เคยขบคิดถึงปัญหานี้มาก่อน แต่…

“ข้าไม่มีวันมีสาวใช้ห้องข้าง ไม่มีวันรับสาวใช้ห้องข้าง และไม่มีทางมีลูกกับอนุภรรยา!” เขาตะโกนออกมาอย่างไม่ต้องหยุดคิด เพราะเขาไม่ได้อยากมีสาวใช้ห้องข้างหรืออี๋เหนียงเหมือนบิดา สิ่งที่เขาต้องการคือการมีภรรยาแค่ผู้เดียว

และภรรยาคนที่เขาต้องการคือ…

“ผู้ใดจะรู้ แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับข้า” หลินไต้อวี้ยักไหล่อย่างไม่แยแส “คุณชายรองเป่า ข้าเหนื่อยแล้ว เชิญท่านไปชมละครเป็นเพื่อนท่านยายที่สวนเถิด”

อย่าอยู่ที่นี่ต่อเป็นอันขาด เพราะนางกลัวเหลือเกินว่าจะมีสาวใช้มาพบว่าเขาอยู่ที่เรือนพักของนางแล้วทำให้วันที่นางจะได้กลับบ้านต้องทอดห่างออกไปอย่างไร้จุดสิ้นสุด

“เจ้าบอกมาซิว่าต้องทำอย่างไร เจ้าจึงจะดีต่อข้าบ้าง”

น้ำเสียงไม่ยี่หระของหลินไต้อวี้ทำให้จย่าเป่าอวี้โกรธจัด เขาคว้ามือของนางมาถามอย่างต้องการคำตอบ

“ปล่อยข้า” หลินไต้อวี้พูดเสียงเรียบ

“เจ้าก็บอกสิว่าเพราะเหตุใด! ทั้งที่ข้าดีต่อเจ้าถึงเพียงนี้แต่กลับสู้จย่าหวนไม่ได้?!” ความกราดเกรี้ยวนี้ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็กล้ำกลืนมันลงไปไม่ได้ มันไม่ใช่แค่เพราะจย่าหวนเป็นลูกอนุ แต่ที่สำคัญมากยิ่งไปกว่าคือจย่าหวนได้มีพื้นที่ในหัวใจของนางทั้งที่ที่ตรงนั้นสมควรเป็นของเขา!

“เพราะจย่าหวนเป็นคนน่าสงสาร เพราะจย่าหวนน่าเห็นใจ สิ่งที่เขาทำเป็นแค่การปกปิดความน้อยเนื้อต่ำใจและป้องกันตัวเอง ในสายตาข้าเขายังพอช่วยได้ ในขณะที่ท่าน…” หลินไต้อวี้กระตุกมือออกจากอุ้งมือของเขาด้วยเรี่ยวแรงที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด และแรงของนางมากพอที่จะทำให้จย่าเป่าอวี้เซล้มลงบนพื้น หลินไต้อวี้ลุกขึ้นอย่างแช่มช้าพลางปรายตามองเขา “ท่านมันจองหองจนไม่เหลือทางแก้ไขอีกแล้ว ข้านึกชังท่านตั้งแต่แรกเห็น…ไสหัวไป!”

จย่าเป่าอวี้มองรอยยิ้มของนางที่สลายหายไปอย่างตะลึงลาน ในดวงตานิ่งสงบร้อนรนด้วยเพลิงโทสะ ใบหน้าสวยหวานประดุจบุปผาแลดูเยือกเย็นอย่างไม่อาจล่วงเกิน แสงจากเปลวเทียนส่องสะท้อนให้เห็นถึงความงามสง่าผิดตา

เขาสมควรโมโห สมควรไม่พอใจ และสมควรหมุนตัวเดินจากไป แต่ชั่วขณะนั้นเขากลับขยับตัวไม่ได้ เพราะความงามประดุจเทพเซียนของหลินไต้อวี้ทำให้หัวใจรู้สึกหวาดหวั่น

“ไสหัวไปให้ห่างจากข้า อย่าทำให้ข้าต้องเหนื่อยอีก” หลินไต้อวี้กล่าวเสียงเย็นชา

นางเจออันตรายจากทั้งที่แจ้งและที่ลับในคฤหาสน์สกุลจย่ามามากพอแล้ว ถ้าฉินเข่อชิงไม่มีน้ำใจเตือนนาง เกรงว่าหลินไต้อวี้คงไม่ได้ย่างเท้าออกจากประตูคฤหาสน์สกุลจย่าอีก เวลานี้นางมอบตะปูอ่อน ให้เขาไปหลายดอกแล้ว ที่นางรักษามารยาทและระยะห่างกับเขาเป็นเพราะต้องการให้ตนเองได้อยู่อย่างสงบมากขึ้นสักเล็กน้อย ไหนเลยจะรู้ว่าเขากลับเป็นฝ่ายวิ่งมาข่มขู่นางเสียเอง

เห็นได้ชัดเลยว่าจย่าเป่าอวี้เป็นลูกเศรษฐีที่ถูกตามใจจนเสียคน ช่างน่ารังเกียจนัก

เพียงแต่จนถึงวันนี้หลินไต้อวี้ก็ยังคิดไม่ตกว่าเพราะเหตุใดฉินเข่อชิงถึงเข้าใจว่าจย่าเป่าอวี้เป็นคนอาภัพ ทั้งที่เขาเป็นพวกบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ถ้าคนอย่างเขาอาภัพ บนโลกคงไม่มีคนวาสนาดีอีก

“หมายความว่าอย่างไร” จย่าเป่าอวี้ได้สติ เขาถามเสียงงึมงำ

ขนตายาวของหลินไต้อวี้หลุบต่ำ นางคิดหนักว่าควรสั่งสอนเขาหนักๆ ดีหรือไม่

แต่แล้วจู่ๆ กลับมีเสียงฝีเท้าที่วิ่งมาอย่างเสียขวัญดังมาจากด้านนอก ทำให้นางนึกในใจว่าแย่แล้ว มีแม่นางที่แต่งกายเป็นสาวใช้วิ่งเข้ามาตามคาดจริงๆ

คนผู้นี้เป็นใคร…สาวใช้ในบ้านมีจำนวนมากเกินไปทำให้นางจำไม่ได้จริงๆ ว่าคนใดเป็นคนใดแล้ว

 

(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 ก.ค. 62)

 

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

Jamsai Editor: