บทที่ 3.1
วันถัดมา ข้าเข้าวังเพื่อกราบทูลผลการลงโทษชายาต่อฝ่าบาทและไทเฮา
เดิมทีข้าจะไปเข้าเฝ้าฉีเจ่อก่อน แต่ขันทีน้อยบอกข้าว่าฝ่าบาทกำลังว่าราชการที่ห้องทรงพระอักษร ข้าจึงหมุนกายไปเข้าเฝ้าไทเฮาแทน
ไทเฮารับฟังการลงโทษชายาของข้าจบแล้วก็ไม่ได้เอ่ยอันใด ครู่หนึ่งถึงหลุบตาลงแล้วกล่าวว่า “เฮ้อ ครั้งนั้นข้าจับคู่ให้เจ้าเป็นเพราะรู้สึกว่าขุนนางหลี่เป็นคนซื่อตรง บุตรีย่อมได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างเอาใจใส่ เป็นคุณหนูที่ประพฤติตนดีงาม เวลานั้นหวังฉินกับอวิ๋นถังล้วนขอร้องข้า ต้องการยกบุตรีให้แต่งกับเจ้า ข้าพิจารณาหญิงสาวทั้งสามคนแล้ว บุตรีของหวังฉินก็เป็นคุณหนูที่สง่างาม แต่หน้าตามิสู้บุตรีของขุนนางหลี่ ไหวอ๋องรูปลักษณ์เช่นนี้ หญิงงามเท่านั้นจึงคู่ควร บุตรีของอวิ๋นถังงดงาม แต่ได้ยินมาว่าอุปนิสัยมิใคร่ดีนัก อวิ๋นน้อยปากคอร้ายกาจเช่นนั้นอยู่ที่จวนยังกลัวพี่สาว อีกทั้งอวิ๋นถังเป็นพระอาจารย์ของฝ่าบาท นับได้ว่าเป็นคนรุ่นเดียวกับเจ้า ถ้าลูกสาวของเขาแต่งกับเจ้า มิใช่ข้ามรุ่นวุ่นวายหรอกหรือ ดังนั้นเลือกไปเลือกมาจึงเลือกสกุลหลี่ ใครจะคิดว่าจะเป็นเช่นนี้ คงเป็นความผิดของข้าเอง”
ข้าซึ่งนั่งบนเก้าอี้ลำดับถัดมาเอ่ยขึ้นว่า “จะเป็นความผิดของไทเฮาได้อย่างไร ชายาเป็นเช่นนี้ ล้วนเป็นความผิดของกระหม่อม”
ไทเฮาลืมตาแล้วเอ่ยว่า “เหลวไหล จะเป็นความผิดของไหวอ๋องได้อย่างไร ชายามิใช่ผูกสัมพันธ์กับองครักษ์ตั้งแต่อยู่ที่จวนเดิมหรอกหรือ ขุนนางหลี่เป็นขุนนางซื่อสัตย์ของราชสำนัก เหตุใดพออยู่ที่จวนถึงเลอะเลือนและละเลยจนบุตรีเป็นเช่นนี้ไปได้”
ข้าตอบว่า “ใต้เท้าหลี่ยุ่งกับงานราชสำนัก ละเลยเรื่องในครอบครัวก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ อีกทั้งเมื่อครั้งชายาอยู่ที่จวนเดิมก็ถูกเลี้ยงในห้องหอ หากพูดมิค่อยสุภาพสักหน่อยก็คือ ‘สตรีใดไม่ใฝ่หารัก’ ตอนนั้นนางยังอายุน้อย ไม่รู้เรื่องราว เคยอ่านโคลงกลอนเกี่ยวกับวีรบุรุษหญิงงามไม่กี่บท เมื่อพบเจอชายหนุ่มก็แอบมอบใจให้ นี่เป็นเรื่องปกติ แน่นอนว่าไม่เคยกระทำเกินเลยจริงๆ รอจนแต่งงานแล้วก็จะลืมเรื่องนี้ไป แต่หลังจากนางแต่งงานแล้ว…” ข้าก้มศีรษะถอนหายใจ “กระหม่อมละเลยนาง นางถึง…ดังนั้นกระหม่อมจึงไม่ใคร่คิดโทษนางนัก”
ไทเฮาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดที่หางตา “ไหวอ๋อง ได้ฟังเจ้าพูดเช่นนี้แล้วข้าพลันรู้สึกปวดใจ คงเป็นชายาที่ไร้วาสนา เจ้าจิตใจกว้างขวาง มากน้ำใจจึงเข้าอกเข้าใจเช่นนี้ กับสตรีที่จริงแล้ว…ไยจึง…เช่นนี้ดีหรือไม่ ข้าจะเป็นแม่สื่อให้เจ้าอีกสักครั้ง จะต้องเลือกคนที่ดีให้เจ้าแน่นอน สกุลของข้ามีลูกพี่ลูกน้องคนเล็ก เวลานี้อายุสิบเจ็ดปี แต่ยังไม่ได้หมั้นหมายผู้ใด เด็กคนนั้นแทบจะโตมาในการดูแลของข้า ทั้งว่าง่ายทั้งเฉลียวฉลาด เพียงแต่ค่อนข้างขี้อาย ราศีปีเกิดก็ถูกชะตากับเจ้า วันพรุ่งนี้ข้าให้คนถือรูปวาดไปยังวังไหวอ๋องดีหรือไม่ ให้เจ้าลองดูก่อน”
ข้าลอบถอนหายใจ ความระแวดระวังที่ไทเฮามีต่อข้าไม่เคยคลายเลยแม้แต่น้อยนิด ข้าแต่งงานกับชายาหลายปีมานี้ ทุกเดือนจะมีสองถึงสามครั้งที่ชายาถูกไทเฮารับเข้าวังไปสนทนาด้วย มาวันนี้ชายาเพิ่งเข้าไปอยู่ที่สำนักชี นางก็จะมอบลูกพี่ลูกน้องของตนเองมาให้ข้าอีกแล้ว
ข้าเงียบงันครู่หนึ่งถึงทูลว่า “ลูกพี่ลูกน้องของไทเฮายอมแต่งให้กับกระหม่อม ถือเป็นบุญวาสนาของกระหม่อมแล้ว เพียงแต่ความชมชอบที่ยากจะเอ่ยปากเหล่านั้นของกระหม่อม ไทเฮาก็ทรงทราบ…คุณหนูเรือนใดแต่งกับกระหม่อมมิใช่เหนี่ยวรั้ง…”
ไทเฮายังยืนยันไม่เปลี่ยนแปลง “ข้ารู้สึกว่าความชมชอบของไหวอ๋องเป็นเพียงความรักสนุกเสเพลเมื่อยังเยาว์เท่านั้น ไหวอ๋องวางใจเถิด น้องสาวของข้าคนนี้ทั้งรู้จักอยู่ในกรอบทั้งอ่อนหวาน ไม่อิจฉาริษยาแน่นอน จะเสเพลข้างนอกอย่างไรก็ได้ แต่ในเรือนต้องมีสตรีคอยกำกับ ช่วยดูแล เรื่องบางเรื่องต้องเป็นสตรีทำถึงจะดี ไหวอ๋องเป็นบุตรคนเดียว อายุเท่านี้สมควรคำนึงถึงทายาทได้แล้ว”
ไทเฮาดีดลูกคิดรางแก้วนี้ได้ดียิ่งนัก ให้ลูกพี่ลูกน้องแต่งงานกับข้า ไม่เพียงสามารถจับตามองข้าได้ทั้งวันทั้งคืน ยังคลอดบุตรให้ข้าด้วย ในกาลหน้าสกุลเดิมของนางก็มีส่วนในทรัพย์สินของวังไหวอ๋องแล้ว
“เช่นนั้นก็รบกวนไทเฮาที่ทรงห่วงใย ต้องให้พระองค์หนักพระทัยอีกแล้ว”
สิ่งที่ไทเฮาถนัดมากที่สุดคือการอดทน หากข้าปฏิเสธไปอีก นางจะปั่นป่วนอย่างไม่ลดละจนข้าไม่เป็นอันสงบสุขเลยทีเดียว จึงตอบรับไปก่อนค่อยว่ากัน
เมื่อข้ากล่าวเช่นนี้นางก็อารมณ์แจ่มใสแล้ว ก่อนพูดถึงลูกพี่ลูกน้องกับข้าอีกเป็นชุด ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม* ข้าถึงปลีกตัวทูลลาออกมาได้
เมื่อข้ากลับไปยังห้องทรงพระอักษรอีกครั้ง ฉีเจ่อก็จบงานว่าราชการแล้ว ขันทีน้อยนำข้าเข้าไป ฉีเจ่อพอเห็นข้าก็พูดขึ้นประโยคแรกว่า “เสด็จอารวดเร็วปานสายฟ้า แค่เมื่อวานช่วงบ่ายก็จัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว”
ข้ายิ้มแหย “นับเป็นการจัดการเรียบร้อยอันใด แค่หาวิธีการที่ไม่เอิกเกริกเท่านั้น อย่างน้อยก็ต้องคำนึงถึงชื่อเสียง ไทเฮาทรงเป็นห่วงกระหม่อมยิ่งนัก เมื่อครู่จะทรงเป็นแม่สื่อให้กระหม่อมอีกแล้ว จะทรงหมั้นหมายน้าคนหนึ่งของฝ่าบาทให้กระหม่อม”
สีหน้าฉีเจ่อชะงักงันไป ก่อนถามว่า “ท่านตอบรับแล้ว?”
“กระหม่อมปฏิเสธแล้ว บอกว่าข้อเสียของกระหม่อมแก้ไขไม่ได้แล้ว จะเป็นการเหนี่ยวรั้งผู้อื่นไว้เสียเปล่า แต่ความหวังดีของไทเฮายากปฏิเสธ กระหม่อมจึง…” ข้าเอ่ย
ฉีเจ่อเอียงศีรษะมองข้า ยกยิ้มมุมปาก “ที่แท้ท่านก็มาฟ้องเราเรื่องเสด็จแม่นี่เอง ใช่หรือไม่ อยากจะให้เราช่วยท่านปฏิเสธสินะ” มุมปากปรากฏรอยยิ้มมีเลศนัย “ชายาไปอยู่สำนักชีแล้ว ท่านคงหายใจทั่วท้องเสียมากกว่า”
ข้าเงียบงันไร้วาจา
ฉีเจ่ออ้อมไปนั่งที่เก้าอี้หลังโต๊ะทรงพระอักษร หยิบพู่กันจากกล่องขึ้นมาควงเล่น “เราไปทูลเสด็จแม่ให้ได้ แต่ท่านจะตอบแทนเราอย่างไร”
ข้าโค้งกายตอบ “ฝ่าบาททรงเมตตากระหม่อมแล้ว พระคุณยิ่งใหญ่ กระหม่อมซาบซึ้งในพระกรุณายิ่ง”
ฉีเจ่อใช้พู่กันแตะที่ปลายคางเบาๆ “แค่ประโยคนี้น่ะหรือ ท่านช่างตระหนี่ไปแล้ว”
“แต่กระหม่อมไม่อาจทูลเชิญเลี้ยงฝ่าบาท ช่วงนี้ฉีถานก็ยืมเงินของกระหม่อมจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว ทั้งไม่มีของดีอะไรมาถวายฝ่าบาทได้” ข้าตอบอย่างหนักใจ
ฉีเจ่อควงพู่กันพร้อมพูดว่า “เมื่อวันก่อนที่วังของท่าน เห็นเมล็ดท้อแกะสลักลายงานเลี้ยงแปดเซียนวางอยู่ที่ห้องโถง ช่างงดงามน่าสนใจยิ่ง”
สวรรค์ ฮ่องเต้หลานของข้าผู้นี้ช่างมีสายตาเฉียบคมยิ่งนัก วันนั้นในห้องโถงด้านหน้าถูกขันทีล้อมไว้วงนอกวงในหลายชั้น เขากลับเล็งเห็นของเล็กจิ๋วเช่นนั้นได้
ข้าจึงบอกไปว่า “ฝ่าบาททรงมีสายพระเนตรดียิ่ง กระหม่อมหาของน่าสนใจเช่นนั้นเองมิได้หรอก เป็นผู้อื่นมอบให้”
ฉีเจ่อพูดว่า “ทำไมหรือ เสด็จอาหวงไว้ไม่อยากให้ คงมิใช่เป็นคนในดวงใจของเสด็จอามอบให้กระมัง”
ข้าได้ยิน ‘เสด็จอา’ คำนี้แล้วรู้สึกท่าจะไม่ดี จึงรีบทูลว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร วันนี้กลับไปจะห่อให้เรียบร้อยแล้วใช้คนส่งเข้าวังทูลถวายฝ่าบาท”
ฉีเจ่อถึงยิ้มอย่างพอใจ
ผ่านไปสักครู่หนึ่งข้าก็ทูลลา เมื่อหมุนกายไปแล้วก็ได้ยินฉีเจ่อพูดอยู่เบื้องหลังของข้า “เฉิงจวิ้น”
ข้าหันหน้ากลับไป ฉีเจ่อนั่งบนเก้าอี้มองข้า “ท่านวางใจ มีเราอยู่ จะไม่ยอมให้มีชายาคนใหม่ผ่านเข้าประตูวังท่านแน่นอน”
ข้าก้มคำนับอีกครั้ง “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
เมื่อผ่านออกจากห้องทรงพระอักษร ข้าค่อยๆ เดินไปตามทางเดินอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ด้วยเหตุใด เมื่อครู่เสียงเรียก ‘เฉิงจวิ้น’ คำนั้นถึงทำให้ใจข้าเกิดความรู้สึกแตกต่าง ข้าจำได้ว่าครั้งแรกที่ฉีเจ่อเรียกข้าว่าเฉิงจวิ้นเป็นวันที่เขาว่าราชการด้วยตนเองเป็นครั้งแรก และเป็นวันที่เขามีอายุครบสิบห้าปี ข้าถือแผ่นหยกสมปรารถนาเข้าวังเพื่อแสดงความยินดี งานเลี้ยงวันนั้นเป็นแบบพิธีการ เมื่อต้องถวายคำนับเต็มพิธีการ หลังจากคุกเข่าก็ได้ยินฉีเจ่อพูดว่า ‘เฉิงจวิ้นรีบลุกขึ้น’
ในตำหนักใหญ่มีเหล่าขุนนางมากมาย พอประโยคนี้ถูกเอ่ยขึ้นมา ในท้องพระโรงพลันเงียบสงัดทันใด
ข้าเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ชะงักงันไป
เงียบไปครู่หนึ่ง ไทเฮาที่ประทับอยู่ด้านข้างพลันยืนขึ้นตรัสว่า “ฝ่าบาททรงเรียกไหวอ๋องเช่นนี้ได้อย่างไร เขาเป็นเสด็จอาของฝ่าบาท ไหนเลยจะสามารถเรียกชื่อผู้ใหญ่ตรงๆ เช่นนี้ได้”
ฉีเจ่อเม้มปากไม่พูดจา ใช้สายตาทอประกายคู่นั้นจ้องมองข้า
ข้ารีบเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไทเฮาตรัสหนักเกินไปแล้ว ฝ่าบาททรงเรียกกระหม่อมเช่นนี้ แสดงถึงความสนิทชิดเชื้อที่ทรงมีต่อกระหม่อมอย่างหนึ่ง กระหม่อมเป็นอาของฝ่าบาทก็จริง แต่ก็เป็นขุนนางของฝ่าบาทด้วย ฝ่าบาททรงยอมเรียกชื่อของกระหม่อม กระหม่อมควรขอบพระทัยในพระกรุณาถึงจะถูก”
ข้าโขกศีรษะอีกครั้ง “กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาท” เมื่อยืนขึ้น เห็นฉีเจ่อยังคงมองข้าอยู่ แต่มุมปากกลับอมยิ้มแล้ว
หลังจากนั้นเป็นต้นมาฉีเจ่อก็เรียกข้าสลับมั่วไปหมด เสด็จอา ไหวอ๋อง เฉิงจวิ้น ตามแต่ใจจะเรียก ข้าไม่ค่อยยึดติดกับชื่อเรียกนัก อย่างไรฉีเจ่อก็เป็นฮ่องเต้ ต้องตามใจของเขาอยู่แล้ว
นับแต่วันนั้นฉีเจ่อก็เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน เมื่อก่อนเขาเป็นเด็กเงียบไม่พูดจา ทั้งยังค่อนข้างอ่อนแอ หลังจากว่าราชการกลับเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน คล้ายเป็นคนใหม่
ฉีเจ่อถูกแต่งตั้งเป็นรัชทายาทตั้งแต่เกิด การอบรมแตกต่างจากบรรดาโอรสองค์อื่น ไม่ค่อยออกจากประตูวังหลวง เช่นนี้ทำให้แต่เดิมข้าห่างเหินกับเขามากที่สุดในบรรดาองค์ชาย
จนกระทั่งปีนั้น ข้าจำได้ว่าเขาอายุประมาณเก้าหรือสิบขวบเห็นจะได้ ตอนนั้นอดีตฮ่องเต้ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ มารดาของข้าก็เช่นกัน วันนั้นเป็นวันคล้ายวันเกิดของนางพอดี เพิ่งผ่านปีใหม่มาไม่นาน พวกของฉีถาน ฉีเฝ่ยล้วนตามมารดามาเล่นที่วังไหวอ๋อง นอกจากบรรดาองค์ชายฉีหลี่ ฉีเสียน ยังมีลูกหลานขุนนางอย่างอวิ๋นอวี้ หวังซวนก็ติดตามใต้เท้าทั้งหลายมาเช่นกัน ไม่คาดคิดว่าไทเฮาจะมา ทั้งยังพารัชทายาทฉีเจ่อมาด้วย มารดาของข้าผู้เป็นเจ้าของวันเกิดแค่ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติเหล่านี้ก็ไม่มีเวลาแล้ว
เด็กน้อยล้วนไม่ชอบกินอาหารงานเลี้ยง ต่างมุดไปเล่นในสวนด้านหลัง หิมะตกบางเบา เด็กกลุ่มใหญ่วิ่งไปวิ่งมาบนพื้นหิมะ ปั้นกลิ้งก้อนหิมะ ข้ารับใช้ต่างยืนตัวสั่นงันงก
มีเพียงฉีเจ่อผู้เดียวที่คลุมผ้าขนสัตว์นั่งอยู่ในระเบียงทางเดินมองผู้อื่นเล่นกัน เพราะว่าเขาคือรัชทายาท เป็นฮ่องเต้ในอนาคต เด็กๆ ล้วนฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่ ไม่กล้าเล่นกับเขา หากตอนที่เล่นกันชนถูกข่วนถูกฮ่องเต้ในอนาคตไป ต่อมาเขาขึ้นครองราชย์ไม่แน่ว่าอาจยังจดจำได้
ฉีเจ่อจึงได้แต่นั่งอยู่ตรงนั้น เตาอุ่นมือ เบาะรองนั่ง หมองอิง แม้กระทั่งถ้วยชาล้วนนำมาจากในวังทั้งสิ้น ขันทีกลุ่มใหญ่คอยรับใช้อยู่ด้านข้าง เขานั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับแม้แต่น้อยราวกับตุ๊กตาคนไม่ปาน
ข้าเองก็ยืนที่ระเบียงทางเดินเช่นกัน เฝ้าระวังไม่ให้เด็กๆ หกล้ม หรือหากเกิดอะไรขึ้นจะได้เข้าช่วยเหลือได้ทัน เห็นขันทีอาวุโสยื่นถ้วยชาให้รัชทายาทน้อย ถ้วยชารองไว้ด้วยผ้าขนสัตว์ผืนเล็ก รัชทายาทน้อยวางเตาอุ่นมือไว้บนตัก ยกมือเล็กๆ ขึ้นไปรับถ้วยด้วยท่าทีจริงจัง จิบทีละคำๆ เห็นแล้วข้าอดหัวเราะไม่ได้
ฉีเจ่อคงจะรู้สึกได้ว่าข้ามองอยู่ จึงหันมาใช้ดวงตาดำวาวๆ มองข้า ก่อนรีบหลุบตาลง หันหน้าไปทางอื่น
ข้าแอบพูดในใจ ฮองเฮาโอบอุ้มเลี้ยงดูโอรสเสียยิ่งกว่าธิดา เมื่อเทียบกับบรรดาหลานคนอื่นที่วิ่งพล่านไปทั่วเหมือนกระต่ายป่าแล้ว ช่างน่ากังวลใจเสียจริง
ข้าคิดเช่นนี้ ทางด้านฉีเจ่อก็เอียงศีรษะมามองข้าอีก ข้าหันไปมองเขา เขาก็รีบหันศีรษะกลับไป
เด็กคนนี้คงจะค่อนข้างกลัวคนแปลกหน้า ขัดเขิน ข้ากำลังจะล้อเขาเล่นสักสองประโยค ฉีถาน ฉีหลี่ กับเด็กๆ ที่อยู่ในสวนก็ตะโกนเซ็งแซ่ขึ้นมา ‘ท่านอาจวิ้น ท่านอาจวิ้น’
ข้ารีบเดินไปหา ฉีถานชี้ไปยังกิ่งเหมยที่มีดอก พูดว่า ‘ท่านอาจวิ้น ข้าจะเอาดอกไม้’ ข้ายกมือขึ้นจะเด็ด ฉีถานดึงชายชุดของข้า ‘ข้าจะเด็ดเอง’ ข้าก็เลยอุ้มเขาขึ้นมา ให้เขาเด็ดกิ่งเหมยเอง ฉีถานถึงพื้นแล้ว ฉีเฝ่ย ฉีหลี่กับคนอื่นก็ตะโกนอยู่ระดับหน้าตักของข้าว่าจะเอาเหมือนกัน ข้าอุ้มขึ้นทีละคนๆ ต้นเหมยจึงโกร๋นไปแถบหนึ่ง
ในบรรดาโอรส ฉีเฝ่ยช่างคิดมาตั้งแต่เด็ก เขาถือกิ่งเหมยขึ้นมาพูดว่า ‘ข้ามอบกิ่งนี้ให้ท่านพี่รัชทายาท’ แล้ววิ่งต้วมเตี้ยมไปยังระเบียงทางเดิน ก่อนยัดเยียดดอกไม้ให้ฉีเจ่อ เด็กคนอื่นก็วิ่งจากสวนไปยังระเบียงทางเดิน พูดจาจอแจ ข้าลืมไปแล้วว่าเด็กคนไหนชนขันทีข้างกายของฉีเจ่อ ร่างของขันทีผู้นั้นส่ายเอียง กาน้ำชาที่ถืออยู่จึงหล่นไปบนตัวของฉีเจ่อ
พลันโกลาหลกันยกใหญ่ โชคยังดีที่น้ำชาไม่นับว่าร้อนมาก เสื้อคลุมของฉีเจ่อก็หนา เพียงแต่ชื้นไปครึ่งหนึ่ง เหล่าขันทีตกใจกลัวจนมือไม้สั่น ข้าจึงได้แต่ไปอุ้มฉีเจ่อขึ้นมา ด้านหนึ่งมีคนดุว่าเด็กคนที่ก่อเรื่อง ฉีเจ่อกลับเอ่ยปาก ‘เราไม่เป็นไร ไม่ต้องด่า ไม่ต้องลงโทษเขา’ น้ำเสียงใจเย็นอย่างยิ่ง ข้าอดแปลกใจไม่ได้ เด็กสมัยนี้สุขุมกันเสียจริง
เสื้อผ้าของฉีเจ่อเปียกชื้น ตอนนี้ก็ไม่มีชุดเปลี่ยน ข้ากับมารดาก็ไม่กล้านำชุดเก่าของข้าตอนเด็กมาให้รัชทายาทสวมใส่ สุดท้ายจึงให้เขาถอดเสื้อคลุมด้านนอกชั่วคราว แล้วคลุมผ้าห่มนั่งบนเตียง รอคนเข้าวังไปนำเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน เขานั่งบนเตียง ไม่ขยับตัวเหมือนเดิม ข้าถามเขาว่าจะกินขนมหรือไม่ เขาหลุบตาไม่พูดจา ข้าถามเขาอีกว่าจะกินขนมเปี๊ยะไส้เมล็ดท้อหรือขนมห้าธัญพืช เขาหันไปมองสองจานนั้น ยังไม่พูดจา ข้าจึงได้แต่ยกสองจานมาวางไว้ตรงหน้าเขา เขาหันไปมองจานขนมเปี๊ยะไส้เมล็ดท้อ จนกระทั่งข้าหยิบขนมเปี๊ยะขึ้นมาชิ้นหนึ่งยื่นไปตรงหน้าเขา เขาถึงยื่นมือออกจากผ้าห่มมารับขนมเปี๊ยะไปกัดทีละคำเล็กๆ
ขันทีอาวุโสยิ้มบอกกับข้า ‘เมื่อเสด็จไปยังสถานที่แปลกใหม่องค์รัชทายาทไม่โปรดเอื้อนเอ่ย’
ข้ารู้สึกกังวลหนักขึ้นไปอีก
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา บางครั้งที่พวกของฉีถานมาเล่นที่วังไหวอ๋อง ฉีเจ่อก็จะตามมาด้วย อาจเป็นเพราะคุ้นเคยกันแล้วจึงไม่ได้ยกขบวนข้ารับใช้มามากขนาดนั้นอีก จำนวนไม่แตกต่างจากโอรสคนอื่นๆ และไม่นิ่งเงียบเหมือนวันนั้นแล้ว มาครั้งสองครั้งก็ปล่อยตัวตามสบายมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ยังพูดน้อยคำ เมื่อเจอข้าในวังหลวงก็ทักทายข้า เรียกข้าว่าท่านอาจวิ้นอย่างขัดเขิน
เมื่อครั้งบิดาของข้ายกทัพจับศึก มักชอบนำของเล่นแปลกหายากกลับมาบ้าน บรรดาองค์ชายที่ชอบมาเล่นที่วังไหวอ๋องส่วนใหญ่ก็มีเป้าหมายอยู่ที่ของเหล่านี้ โดยเฉพาะฉีถาน ถูกใจสิ่งใดก็ไม่เคยเกรงใจ อ้อนทุกวิถีทางให้ได้มาไว้ในกำมือ ฉีเจ่อกลับแตกต่างออกไป ไม่เคยเอ่ยปากขออะไร เพียงมองเท่านั้น ถูกใจสิ่งใดก็จะจ้องไม่วางตา คล้ายกับมองเฉยๆ รอจนข้าอดรนทนไม่ไหวต้องยื่นสิ่งนั้นไปตรงหน้าเขาเอง พร้อมถาม ‘ของสิ่งนี้องค์รัชทายาททรงโปรดหรือไม่’ เขาถึงเอ่ยปากพูดอย่างจริงจัง ‘อืม ก็ดี’ ก่อนจะยกมือมาหยิบไป เหมือนกับข้าขอร้องให้เขารับไปอย่างไรอย่างนั้น
ดังนั้นตอนนั้นข้าจึงคิดอยู่ในใจ แม้เด็กคนนี้จะเงียบไปสักหน่อย แต่เมื่อมองจากจุดนี้ก็ช่างมีคุณสมบัติของคนที่จะเป็นฮ่องเต้จริงๆ
ข้าเดินไปพลางย้อนนึกถึงเรื่องเก่า เกิดเป็นความรู้สึกบางอย่าง พริบตาเดียวหลานๆ ของข้าก็โตกันหมดแล้ว ยังไม่ทันรู้ตัวก็ใช้ชีวิตมาจนถึงวันนี้ เมื่อหันกลับไปมองถึงรู้ว่าผ่านมาหลายปีแล้ว
ข้ายืนอยู่ข้างกำแพงวัง มองเมฆลอยที่ขอบฟ้า อดพูดออกมาอย่างสะท้อนใจไม่ได้ “กาลเวลาช่างเร่งเร้า ผู้คนแก่ชรา”
มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง “ท่านไหวอ๋อง”
ถ้าก่อนหน้านี้ข้ายังรู้สึกว่าตนเองคล้ายต้นไหว** ชราที่มองต้นไม้เล็กๆ รอบข้างพากันเจริญเติบโตเขียวชอุ่ม ครั้นเสียงนั้นดังขึ้น ชั่วพริบตาข้าก็รู้สึกว่าตนเองเป็นดั่งก้านหยางหลิวท่ามกลางสายลมเดือนสี่ที่ใบยังเขียวสดน่ามอง
ข้าหมุนกายกลับไปมองเขา ใช้น้ำเสียงนุ่มปานก้านอ่อนต้นหยางหลิว “เสนาบดีหลิ่ว”
* ชั่วยาม เป็นหน่วยการนับเวลาของจีน โดย 1 ชั่วยามเท่ากับ 2 ชั่วโมง
** ต้นไหว หรือ Locust Tree เป็นไม้ยืนต้นชนิดหนึ่ง มีดอกสีเหลือง เนื้อไม้นำมาใช้ในงานก่อสร้าง ดอกใช้ทำเป็นสีย้อม ผลและรากมีสรรพคุณทำยา
ข้ารอหลิ่วถงอี่เดินเข้ามาหา เดินเคียงไปกับเขา หลิ่วถงอี่พูดว่า “เมื่อครู่คล้ายได้ยินไหวอ๋องตัดพ้อกาลเวลา หรือว่าท่านมองแสงอัสดงแล้วเกิดอารมณ์สะเทือนใจ”
ข้าฝืนยิ้ม “มิใช่ เพราะบังเอิญนึกถึงเรื่องเก่า จึงเกิดสะเทือนใจเล็กน้อย”
หลิ่วถงอี่ตอบรับคำหนึ่ง ข้าลอบมองใบหน้างามสง่าของเขาอย่างไม่ผิดสังเกต เมื่อครู่ที่เขาพูดประโยคนั้น หากเป็นพวกอวิ๋นอวี้หรือฉีถานฉีหลี่กล่าวจะต้องเป็นคำพูดหยอกล้อเป็นแน่
แต่คนอย่างหลิ่วถงอี่จะมาพูดหยอกล้อข้าอย่างนั้นหรือ
เขากล่าวเช่นนี้คงกำลังพรรณนาห้วงอารมณ์ดั่งโคลงกลอนบางประการเป็นแน่ เพียงแต่ข้าฟังเป็นสิ่งธรรมดาสามัญ จึงเข้าใจเป็นสิ่งธรรมดาไป แต่การตอบของข้าไม่อาจธรรมดาสามัญได้ จะต้องมีท่วงทำนองของโคลงกลอนสักเล็กน้อย
ข้าจึงมองไปยังแสงอาทิตย์ยามเย็นที่ยังค่อนข้างแสบตา พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เสนาบดีหลิ่ว ท่านชอบมองแสงอัสดงหรือไม่ ทุกครั้งที่ข้ามองแสงอัสดง ข้าจะนึกถึงกลอน คำกลอนเหล่านั้นล่องลอยอยู่ในใจของข้า คล้ายเมฆแดงลอยบนท้องฟ้า”
หลิ่วถงอี่ยกชายแขนเสื้อมาถึงข้างริมฝีปากก่อนกระแอมครั้งหนึ่ง ข้ารอแล้วรออีกไม่ได้ยินเขาตอบกลับมาก็รีบถามขึ้นว่า “เสนาบดีหลิ่ว ท่านไม่สบายหรือ ให้ข้าส่งท่านกลับจวนดีหรือไม่”
หลิ่วถงอี่เผยรอยยิ้มเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “อ้อ มิเป็นไร เมื่อสักครู่ข้าน้อยรู้สึกระคายคอเท่านั้น”
อาจจะเป็นเพราะว่าแสงยามเย็นทำให้ข้าสะท้อนใจยิ่ง ข้าถึงเอ่ยถามหลิ่วถงอี่ประโยคหนึ่ง เป็นคำพูดที่ข้านึกว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่กล้าถามเขา
ข้าถามว่า “เสนาบดีหลิ่ว ท่านคิดว่าข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
พอคำพูดนี้หลุดออกไป ข้าก็รู้สึกเสียใจภายหลังแล้ว เขาจะพูดว่าข้าเป็นอย่างไรเช่นนั้นหรือ คำพูดแท้จริงย่อมต้องไม่พูดออกมาต่อหน้าข้าแน่
ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น หลิ่วถงอี่จ้องมองข้า ยังดีที่สีหน้าไม่ผิดปกติอะไร พูดว่า “ไยท่านอ๋องเอ่ยถามเช่นนี้”
ข้ารีบพูดว่า “อ้อ ไม่มีกระไร อาจเป็นเพราะช่วงนี้เกิดเรื่องค่อนข้างมาก จิตใจสับสนอย่างไม่รู้ตัว หากท่านไม่ต้องการพูด ก็ทำเสียว่าเมื่อครู่ข้าไม่เคยถามแล้วกัน”
หลิ่วถงอี่พูดว่า “ท่านอ๋องปล่อยวางจิตใจให้สบายเถิด ปล่อยบางเรื่องผ่านไปก็จะดีขึ้นเอง”
ประโยคเดียวนี้ของเขาสามารถเลี่ยงคำถามเมื่อครู่ของข้าไปอย่างนุ่มนวล หลังจากได้ฟังแล้ว ในใจของข้าเกิดเป็นรสชาติผิดแผกขึ้น เขาเลี่ยงคำพูดไปเพราะว่าคำถามนี้ไม่อาจตอบโดยง่าย แต่แทนที่จะใช้คำพูดสวยหรูมาตอบอย่างขอไปที เขากลับไม่ตอบ ข้ารู้สึกพอใจแล้ว เขาพูดปลอบเพราะเกรงใจเท่านั้น แต่แค่ได้รับหนึ่งประโยคปลอบใจของเขานี้ข้าก็ยังดีใจ
ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดข้าถึงถูกใจหลิ่วถงอี่ ตามสถานการณ์ของราชสำนักในขณะนี้แล้ว ถึงแม้สักวันหนึ่งตาเฒ่าหวังฉินกับไทเฮาอาจจะกลายเป็นคู่ชู้นกยวนยาง* ข้ากับหลิ่วถงอี่ก็ไม่สามารถจะอยู่ร่วมทางกันได้
สกุลหลิ่วเป็นตระกูลขุนนางเรืองอำนาจ ต้นตระกูลโอบอุ้มปฐมวงศ์บุกเบิกแคว้น ดำรงตำแหน่งเสนาบดี ตระกูลขุนนางทั่วไปมักเป็นดั่งสำนวนที่ว่า ‘ร่ำรวยไม่เกินสามรุ่น มีชื่อเสียงไม่พ้นห้ารุ่น’ สกุลหลิ่วกลับรุ่งเรืองมาโดยตลอด ทุกรุ่นล้วนกำเนิดขุนนางที่ดีหนึ่งหรือสองคน ทุกคนล้วนยินยอมรับใช้ราชสำนักด้วยชีวิตจิตใจ ทุ่มเทจนกว่าชีวิตจะหาไม่ หากใต้หล้านี้มีป้ายเชิดชูตระกูลขุนนางซื่อสัตย์เพียงหนึ่งเดียวก็จะต้องแขวนไว้ที่ประตูจวนสกุลหลิ่วแน่นอน
น้องสาวของหลิ่วเซี่ยนปู่ของหลิ่วถงอี่คือฮองเฮาของถงกวงตี้ เมื่อครั้งถงกวงตี้ยังครองราชบัลลังก์ บิดาของข้ายังเป็นหนุ่มน้อยเพิ่งเริ่มออกศึกสงคราม หลิ่วเซี่ยนที่เป็นทั้งพี่เขยและหัวหน้าสำนักตรวจการถวายฎีกาต่อถงกวงตี้หลายต่อหลายครั้ง ความว่าเพื่อคำนึงถึงบัลลังก์ฮ่องเต้และอนาคตของรัชทายาท ไม่ควรมอบอำนาจทางการทหารแก่ชินอ๋องมากนัก เน้นย้ำให้ถงกวงตี้เลี้ยงดูบิดาข้าดั่งคนว่างงาน ยังดีที่ถงกวงตี้ไม่รับฟัง แต่หลังจากนั้นการที่โอรสของพระองค์หรืออดีตฮ่องเต้ระแวงบิดาของข้าดั่งระแวงโจรคงเป็นผลงานของหลิ่วเซี่ยนไม่มากก็น้อย
เดิมทีบิดาของหลิ่วถงอี่ก็มีอนาคตสดใสยิ่ง เสียดายที่ชะตาชีวิตไม่ดี เพิ่งดำรงตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ผู้ว่าการเมืองเจียงตงก็ติดเชื้อโรคปอดในการควบคุมเหตุอุทกภัยครั้งหนึ่ง เสียชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่ม
หลิ่วถงอี่อายุมากกว่าพวกฉีเจ่อ ฉีถาน ฉีหลี่ และอวิ๋นอวี้อยู่หลายปี จวนสกุลหลิ่วเองก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กับวังไหวอ๋อง และเขาก็เพิ่งกลับมายังเมืองหลวงหลังจากบิดาเขาป่วยตาย ดังนั้นข้าจึงไม่ค่อยเจอเขาตอนยังเด็ก
ครั้งแรกที่ข้าเจอเขาคงเป็นในวังหลวง คล้ายจะเป็นวันที่สิบห้าเดือนแปด ตอนนั้นอดีตฮ่องเต้ประชวรค่อนข้างหนักแล้ว แต่ยังคงจัดงานเลี้ยงชมจันทร์ในอุทยานหลวง ขุนนางสำคัญของราชสำนักและทายาทต่างได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยง ตอนนั้นหลิ่วเซี่ยนอายุประมาณเจ็ดสิบแปดสิบปีแล้ว หนวดเคราขาวโพลน กลับยังเดินตัวสั่นงันงกมาร่วมงาน เขายังคงเป็นผู้นำขุนนางฝ่ายคุณธรรม ในงานเลี้ยงเขาเปรียบดังจันทร์สว่างดวงกลมโต พ่อตาในอนาคตของข้าและเหล่าแม่ทัพขุนนางผู้จงรักภักดีที่ถือตัวเย่อหยิ่งทั้งหลายโอบล้อมเขาประหนึ่งดวงดารา แน่นอนว่าข้าคงแทรกตัวเข้าไปไม่ได้ ได้แต่นั่งอยู่ท่ามกลางบรรดาพี่น้องหรือไม่ก็พวกของอวิ๋นถังและหวังฉิน ตอนนั้นข้านับว่ายังอายุน้อย พูดอะไรกับพวกเขาไม่ค่อยได้ น่าอึดอัดยิ่ง ดื่มสุราไม่กี่จอกก็หาข้ออ้างว่าจะไปปลดทุกข์ไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ของอุทยานหลวง
พวกของฉีถาน ฉีหลี่ วิ่งเล่นไล่จับกันไปมาในอุทยานหลวง บรรดาขันทีนางกำนัลวิ่งตามวุ่นวาย ข้ายืนมองครู่หนึ่งก็หันไปยังสถานที่สงบเงียบ เดินไปยืนข้างสระน้ำ
ลมโชยจันทร์กระจ่างหอมกลิ่นดอกกุ้ย ดาวหนึ่งผืนนภาลอยบนผิวน้ำ ไอระเหยน้ำกับกลิ่นหอม
ดอกกุ้ยหลอมรวมกัน ซึมซาบเข้าสู่ดวงตา สัมผัสได้ถึงหัวใจที่ถูกทำให้เหมือนน้ำในสระนั้น ใสกระจ่างแล้ว
ข้ายืนครู่หนึ่ง ขณะที่กำลังจะเดินไปทางนั้นต่อก็เห็นบนขั้นบันไดที่สุดระเบียงทางเดินข้างสระน้ำมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่
ยามนั้นข้ายังไม่นับว่าเป็นผู้ชมชอบบุรุษ แต่ในบรรยากาศเช่นนั้น พระจันทร์เช่นนั้น สายลมเช่นนั้น สายน้ำเช่นนั้น กลิ่นหอมของดอกไม้เช่นนั้น ในพริบตานั้นเหตุใดข้าถึงเห็นเด็กหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งเป็นภูตพรายดอกกุ้ยไปได้
นี่เป็นเพียงแค่ดวงตาพร่าเลือนชั่วครู่เท่านั้น ข้ามองอีกครั้งก็รู้ว่ามิใช่
เด็กหนุ่มผู้นั้นอายุประมาณสิบห้าสิบหกปี สวมชุดผ้าเบาบาง แม้แลดูเรียบง่าย แต่มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ธรรมดา เขานั่งบนขั้นบันไดพิงเสาของระเบียง อาศัยแสงจากโคมเหนือศีรษะอ่านหนังสือที่ถืออยู่
มิรู้ว่าเป็นทายาทของสกุลใด เหตุใดเข้าวังมาร่วมงานเลี้ยงยังพกหนังสือมาแอบอ่านที่นี่ด้วย
ข้าเดาว่าหากเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่รักหนังสือยิ่งชีพ ก็คงได้รับการชี้แนะจากผู้ใหญ่ท่านไหนให้จงใจกระทำเช่นนี้ รอให้คนมาพบเห็น ดีที่สุดคือฮ่องเต้พบเห็นเข้า แล้วเอ่ยถามประโยคหนึ่ง ‘เด็กหนุ่มบ้านใดช่างขยันขันแข็ง’ เช่นนั้นชื่อเสียงลาภยศชั่วชีวิตนี้ก็นับว่ามีจุดเริ่มต้นแล้ว
เด็กหนุ่มไม่ได้สังเกตเห็นข้า ถือหนังสืออ่านอย่างมีสมาธิจดจ่อยิ่ง ไม่คล้ายเสแสร้งแกล้งทำ
ข้ายืนครู่หนึ่งก็เดินหน้าเข้าไปหา ‘อ่านหนังสือใต้โคมอับแสงเช่นนี้ ไม่กลัวสายตาเสียหรืออย่างไร’
เด็กหนุ่มคล้ายจะตกใจมาก เงยหน้าขึ้นมาแล้วรีบปิดหนังสือในมือพร้อมยืนขึ้น ข้ายิ้มๆ แล้วเดินไปด้านหน้าอีกสองก้าว สีหน้าท่าทีของเขาค่อยๆ สงบลง โค้งกายพูดว่า ‘คำนับไหวอ๋อง’
เห็นทีคงได้เจอกันที่งานเลี้ยงก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่ข้าไม่ได้สังเกต
ข้าพูดว่า ‘ไม่ต้องมากพิธี พูดกันธรรมดาก็พอแล้ว เจ้าเป็นเด็กสกุลใด เหตุใดถึงมานั่งอ่านหนังสือที่นี่’
เขาตอบว่า ‘ข้าชื่อหลิ่วถงอี่ ท่านปู่คือหลิ่วเซี่ยน’
ที่แท้ก็เป็นหลานชายของหลิ่วเซี่ยน เช่นนั้นการแอบมาอ่านหนังสือในมุมสงบก็พอเข้าใจได้ เขายืนอยู่ตรงนั้น ท่าทีสงบเยือกเย็น หว่างคิ้วแสดงออกถึงความสุขุมจากการอบรมเลี้ยงดูด้วยตำราโคลงกลอน ไม่เสียทีที่เป็นลูกหลานสกุลหลิ่ว
ตอนนี้เห็นเขามีรูปลักษณ์ไม่เลว แต่หลังจากนี้สิบปี บางทีราชสำนักอาจมีหลิ่วเซี่ยนอายุน้อยปรากฏตัวขึ้นอีกคน
เฮ้อ เสียดายเด็กหนุ่มในตอนนี้ยิ่งนัก
ข้าเพ่งพินิจเขา ตั้งแต่ใบหน้าไล่มองไปยังหนังสือในมือของเขา กลับพบว่าแม้เขาจะยืนอย่างสงบเสงี่ยมมีมารยาท แต่ชายแขนเสื้อไหวน้อยๆ กำลังเลื่อนหนังสือที่อ่านเมื่อครู่เข้าไปซ่อนในชายแขนเสื้ออย่างแนบเนียน
ข้าแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นก่อนถามว่า ‘เมื่อครู่เจ้าอ่านหนังสืออะไรอยู่’
หลิ่วถงอี่แสดงสีหน้ากระสับกระส่ายเล็กน้อย แต่ก็ยังตอบคำเหมือนไม่ได้ร้อนใจ ‘อ้อ เป็นหนังสือธรรมดาเล่มหนึ่ง’
ข้าพูดว่า ‘ให้ข้าดูบ้างได้หรือไม่’
หลิ่วถงอี่พูดว่า ‘เอ่อ แค่หนังสือของเมิ่งจื่อธรรมดาๆ ไหวอ๋องคงเคยอ่านแล้วแน่นอน’ เวลาเขาพูดสายตาทอประกายคล้ายระลอกคลื่นสะท้อนแสงจันทร์
ข้าเหลือบมองมุมหนังสือสีน้ำเงินที่โผล่ออกมาจากชายแขนเสื้อของเขา ‘เช่นนั้นหรือ’ ก่อนเดินไปข้างหน้าอีกนิด จับชายแขนเสื้อข้างที่เขาซ่อนหนังสือไว้ ก้มศีรษะมองดวงตาเขาแล้วพูดว่า ‘เจ้าคงไม่ค่อยได้ซ่อนหนังสือกระมัง ตอนที่สอดเข้าไปในแขนเสื้อถึงไม่สังเกตว่าคว่ำหรือหงาย ข้าเห็นชื่อหนังสือหมดแล้ว’
ข้ายกข้อศอกเขาขึ้น หยิบหนังสือจากชายแขนเสื้อออกมา ที่หน้าปกหนังสือเขียนอักษรตัวโต ‘ตำนานจอมยุทธ์เคราคราม’ เป็นหนังสือตำนานจอมยุทธ์ที่เคยแพร่หลายในท้องตลาดเล่มหนึ่ง
หลานชายของหลิ่วเซี่ยนกลับอ่านหนังสือเช่นนี้
ข้ามองเขาอย่างแปลกใจ ‘เจ้าสกุลหลิ่วจริงหรือ ไม่ได้สกุลหวังหรือสกุลอวิ๋นแน่นะ’
เด็กๆ สกุลหวังและสกุลอวิ๋นล้วนฉลาดเฉลียว ทำผิดถูกจับได้ก็บอกว่าตนเองคือผู้อื่น คำโกหกประเภทนี้พูดออกมาได้โดยไม่กะพริบตาเลยสักนิด
เขามองข้าอย่างงุนงง แววตาดั่งน้ำในสระที่บรรจุดวงดาว กระจ่างใสอย่างยิ่ง
ข้าม้วนหนังสือแล้วแนะนำเขาเต็มที่อย่างผู้มีประสบการณ์ ‘ ‘ตำนานจอมยุทธ์เคราคราม’ เป็นบทประพันธ์เลียนแบบ แต่งล้อเลียนมาจากเรื่อง ‘กระบี่เทพหยกขาว’ เขียนดีสู้ ‘กระบี่เทพหยกขาว’ ไม่ได้ อีกทั้งเล่มนี้ของเจ้ายังเป็นเล่มที่ถูกตัดทอน มิใช่ฉบับเต็ม’
เขาร้องอ๊าครั้งหนึ่ง ก่อนพูดว่า ‘ข้าอ่านเล่มนี้ก็ดีมากแล้ว การใช้สำนวนในหนังสือแม้จะตรงไปตรงมาแต่ละเอียดและครอบคลุมทุกแง่มุม ตอนเริ่มอ่านรู้สึกว่าโคลงกลอนหยาบกระด้าง แต่พอละเมียดอ่านแล้วกลับรู้สึกเหมาะเจาะยิ่ง’
ข้าเห็นเขาพูดด้วยท่าทีจริงจังเช่นนี้ก็อดรู้สึกขำไม่ได้ เขาเป็นหลานชายของหลิ่วเซี่ยนจริงๆ ข้าพูดต่อว่า ‘นั่นเพราะเจ้าไม่เคยอ่านของดี เจ้าตำหนักหิมะวาโยผู้นี้ประพันธ์หนังสือเรื่องเล่านับว่าธรรมดาสามัญ สำนวนล้วนลอกเลียนมาจาก ‘กระบี่เทพหยกขาว’ ที่บัณฑิตใบไม้แดงเขาประจิมเป็นผู้แต่ง นอกจากนี้ยังมีนักเลงสุราฟั่นเฟือน สุภาพบุรุษชุดขาว คนเหล่านี้ถึงจะเป็นยอดนักประพันธ์’
สองตาของหลิ่วถงอี่เป็นประกาย สีหน้าเพ้อฝัน
ข้าพูดต่อไปว่า ‘เจ้าแอบไปหาที่ร้านหนังสือใดก็เจอ ตรอกเสี่ยวเฉียนทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง ในนั้นมีร้านหนังสือที่ขายของค่อนข้างครบถ้วน คงหาซื้อฉบับเต็มที่ไม่ได้ตัดทอนได้’
ดวงตาของหลิ่วถงอี่เป็นประกายยิ่งกว่าเดิม ข้ามองดวงตาคู่นั้นของเขาแล้วก็อดจะพูดเสริมไม่ได้ ‘แต่ถึงอย่างไรเจ้า…ก็ซื้อฉบับที่ตัดทอนแล้ว ฉบับเต็มเจ้าคงไม่เหมาะที่จะอ่าน’
หนังสือเรื่องเล่าพวกนี้มีไม่น้อยที่เขียนบรรยายความรักระหว่างจอมยุทธ์กับหญิงสาว ฉบับที่ตัดทอนแล้วก็คือฉบับที่ตัดทอนเรื่องพวกนี้ออกไป ข้าย่อมไม่อ่านพวกนั้นแน่นอน แต่ฉบับเต็มเหล่านั้นเกรงว่าหลานชายของหลิ่วเซี่ยนคงรับไม่ได้
หลิ่วถงอี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ‘เพราะเหตุใดหรือ’
ข้าได้แต่พูดอ้อมๆ ‘ในฉบับเต็มมีบรรยายถึงเรื่องราวระหว่างชายหญิงค่อนข้างโจ่งแจ้ง’
หลิ่วถงอี่พูดว่า ‘โจ่ง…’ เขาคงอยากถามว่าโจ่งแจ้งอย่างไร แต่พอหลุดปากออกมาก็เข้าใจแล้ว คำพูดต่อไปถึงไร้เสียง ภายใต้แสงจันทร์และแสงโคม ข้าเห็นใบหน้าเขาแดงระเรื่อ
ข้าอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ‘ฮ่าๆ เห็นหรือไม่ ข้าบอกแล้วเจ้าอ่านฉบับที่ตัดทอนแล้วดีกว่า’
หลิ่วถงอี่ถลึงตามองข้าไม่พูดจา รอยแดงบนใบหน้านั้นคล้ายจะเข้มขึ้นเล็กน้อย
ขณะข้ากำลังหัวเราะอยู่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากที่ไกลๆ จึงคืนหนังสือเขาไปทันที ‘มีคนกำลังมาแล้ว เจ้าซ่อนหนังสือไว้ให้ดี จำไว้ว่าเวลาแอบอ่านที่บ้าน ห้ามซ่อนไว้ใต้เครื่องนอน เวลาข้ารับใช้จัดเตียงจะถูกสะบัดออกมาได้ง่าย ซ่อนไว้ใต้ไม้กระดานเตียงไว้ใจได้ที่สุด’ ข้าเข้าไปใกล้เขากระซิบเสียงเบา ‘ตอนยังเด็กข้าโดนตีเพราะซ่อนไว้ไม่ดี นี่เป็นประสบการณ์โชกเลือดเลยทีเดียว’
หลิ่วถงอี่ฟังข้าตาไม่กะพริบก่อนหลุดหัวเราะ
เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก่อนได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกข้า ‘ท่านอ๋อง ที่ยืนอยู่ตรงนั้นใช่ไหวอ๋องหรือไม่ ฝ่าบาททรงเรียกท่านเข้าเฝ้า’
ข้ารีบกล่าวขอตัว หลิ่วถงอี่เก็บหนังสือแล้วยืนนิ่ง รอจนข้าเลี้ยวตรงมุมทางเดินเล็ก เขาจึงเดินไปตามระเบียงทางเดิน
หลังจากครั้งนั้นข้าก็ไม่ได้เจอเขาอีก คนสกุลหลิ่วไม่ชอบเอิกเกริก ข่าวคราวของเขาข้าแทบจะไม่เคยได้ยิน จนค่อยๆ ลืมเลือนเรื่องนี้ไปแล้ว
จนกระทั่งหลายปีจากนั้น ฉีเจ่อขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน หลังจากปีนั้นก็มีการสอบขุนนาง หลิ่วถงอี่สอบได้ตำแหน่งจ้วงหยวน** เพียงคืนเดียวชื่อเสียงขจรทั่วเมืองหลวง ข้าจึงนึกถึงเขาขึ้นมาได้
ในงานเลี้ยงพระราชทานสำหรับบัณฑิตเอกขั้นสาม*** ข้าเป็นหนึ่งในผู้ร่วมงาน งานเลี้ยงจัดขึ้นที่อุทยานหลวงข้างสระน้ำดั่งเช่นที่เคยเป็นมา
เมื่อข้ามาถึงวังหลวง บัณฑิตเอกขั้นสามกับขุนนางหลายท่านต่างมากันครบแล้ว เหลือเพียงฝ่าบาทที่ยังไม่เสด็จมา
ข้าเดินเข้าไปในอุทยานหลวง มองเห็นชุดสีแดงสดของขุนนางอันดับหนึ่งท่ามกลางพุ่มดอกเสาเย่า**** เรื่องราวของวันที่สิบห้าเดือนแปดเมื่อหลายปีก่อนได้ถูกรื้อฟื้นออกมาจากใจ ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มที่แอบอ่านหนังสืออ่านเล่นเปลี่ยนแปลงเป็นเช่นไรแล้ว ตอนนั้นเขารูปงามไร้คนเทียบ แต่บางคนตอนเด็กน่ามอง รอจนค่อยเจริญวัยเต็มที่แล้วมักเติบโตไปในทิศทางเหนือจินตนาการ แต่อย่างไรก็ขอให้อย่าได้มีหน้าตาเหมือนหลิ่วเซี่ยนที่ไร้หนวดเครา ผิวเหี่ยวย่น และผมขาวโพลนก็แล้วกัน
พอข้าได้เผชิญหน้ากับเขาจะถือโอกาสถามประโยคหนึ่งว่าได้อ่าน ‘กระบี่เทพหยกขาว’ หรือไม่ แล้วอ่านฉบับเต็มหรือฉบับตัดทอน
คนในชุดจ้วงหยวนสีแดงสดนั้นหันหลังให้ข้า กำลังสนทนากับปั่งเหยี่ยน ทั่นฮวา และขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายท่าน ราชเลขาธิการที่หันหน้ามาด้านทางเดินเห็นข้าก่อนคนแรก เขายิ้มแล้วพูดว่า ‘ไหวอ๋องเสด็จมาถึงแล้ว คำนับไหวอ๋อง’
ข้าเดินพลางพูดว่าไม่ต้องมากพิธี คนที่เหลือกลับทยอยหันมา ข้าเห็นคนชุดแดงหมุนกาย เพียงเด็กหนุ่มข้างสระน้ำสะท้อนแสงจันทร์โอบอุ้มดาราสีเงินเมื่อหลายปีก่อนหันมาราตรีพลันสลาย แสงอรุณสว่างจ้า กลิ่นดอกกุ้ยอบอวล ใบถงดั่งหยก ดอกยี่เข่งบานสะพรั่ง
เขายกชายแขนเสื้อขึ้น พูดเสียงเบา ‘คำนับท่านอ๋อง’
ข้าได้ยินเสียงตนเองพูดขึ้นว่า ‘หลิ่วจ้วงหยวนมิต้องมากพิธี’ และในพริบตานั้นเองที่ประโยคที่ข้าเตรียมจะพูดล้อเขาเล่นนั้นไม่ว่าอย่างไรก็พูดออกมาไม่ได้
คนเราก็แปลกประหลาดเช่นนี้เอง ข้าถูกคนใต้หล้าคิดว่าเป็นอ๋องชั่ว รู้สึกถูกใส่ร้ายจนทนไม่ได้ คิดเสมอว่าตนเองเป็นคนดีเป็นขุนนางซื่อตรง แต่เวลานี้เห็นหลิ่วถงอี่แล้ว ข้าพลันรู้ในเวลานั้นเองว่าข้ากับเขาในชาตินี้ถูกขีดชะตาให้เป็นคนคนละประเภทกัน
คล้ายตรงหน้ามีเส้นขีดแบ่งไว้อย่างชัดเจน เขายืนด้านนั้นของเส้น เป็นเหมือนน้ำในทะเลสาบ ใสจนไม่อาจใสได้อีกภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง ส่วนข้ายืนอยู่อีกฝั่ง คล้ายน้ำแกงเส้นบะหมี่ที่ขุ่นข้น ในแสงสว่างรอบด้านนั้นแฝงด้วยความมืด ในความมืดก็มีแสงสว่าง แต่ไม่อาจสู้ทางฝั่งนั้นที่ฟ้ากระจ่างสดใสได้
อวิ๋นถังกระซิบพูดกับข้า ‘หลายปีต่อจากนี้คงกลายเป็นหลิ่วเซี่ยนอีกคน’
ข้าพูดว่า ‘เป็นไปได้ หรืออาจจะเก่งกาจกว่าหลิ่วเซี่ยน’ อย่างน้อยก็ต้องไม่มีหน้าตาเหมือนหลิ่วเซี่ยนแน่นอน
จนกระทั่งก่อนหน้านี้หนึ่งปี หลิ่วถงอี่ครอบครองตราเสนาบดีครั้งแรก ร่างในชุดขุนนางสีน้ำเงินยืนตระหง่านในท้องพระโรง ในราชวงศ์นี้ไม่เคยมีคนอายุน้อยได้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีมาก่อน เขาเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่ได้สวมชุดและมายืนในตำแหน่งนี้ อวิ๋นถังพูดกับข้าว่า ‘สายตาไหวอ๋องมองคนได้แม่นยำนัก’
ข้าตอบอย่างถ่อมตน ‘แค่พอใช้การได้เท่านั้น’
มิรู้ว่า ‘ตำนานจอมยุทธ์เคราคราม’ ใต้แสงโคมทางเดินของอุทยานหลวงเมื่อครั้งนั้นได้ถูกตำราปรัชญาเมธี ตำราพิชัยสงคราม การปกครองบ้านเมืองฝังไว้ในหลืบมุมใดแล้ว หรืออาจกลายเป็นเถ้าธุลี ถูกปัดทิ้งไปแล้ว
แต่ข้ากลับถูก ‘เขา’ ในอุทยานหลวงเมื่องานเลี้ยงครั้งนั้น ‘เขา’ ที่สวมชุดเสนาบดียืนสุขุมกลางท้องพระโรงจับกุมเศษเสี้ยวของดวงวิญญาณผูกติดไว้กับชายแขนเสื้อของตน คล้ายลาที่ถูกเชือกล่าม แม้รู้ว่าเดินวนเป็นวงกลมนั้นโง่เขลาแต่ก็อดไม่ได้ ไม่อาจไม่เดินวนอยู่อย่างนั้น
* ยวนยางหรือเป็ดแมนดาริน เป็นนกเป็ดน้ำชนิดหนึ่งที่มีถิ่นกำเนิดในจีน มีนิสัยชอบอยู่กันเป็นคู่ จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของคู่ชีวิตและความรัก
** จ้วงหยวน (จอหงวน) คือตำแหน่งของผู้ที่สอบเข้ารับราชการได้เป็นอันดับหนึ่ง โดยการสอบขุนนางในสมัยโบราณ (เคอจวี่) แบ่งเป็นฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ สอบเลื่อนทีละระดับขั้น
*** บัณฑิตเอก คือผู้ที่ผ่านการสอบเตี้ยนซื่อ (การสอบหน้าพระที่นั่ง) แบ่งระดับตามคะแนนเป็นสามขั้น ขั้นที่หนึ่งคือผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดสามอันดับแรก ได้แก่ จ้วงหยวน (จอหงวน) ปั่งเหยี่ยน และทั่นฮวา จากนั้นจึงเป็นบัณฑิตเอกขั้นสองและขั้นสามตามลำดับ
**** ดอกเสาเย่า เป็นไม้ดอกตระกูลเดียวกับโบตั๋น ดอกขนาดใหญ่ทรงเหมือนถ้วย กลีบดอกมีทั้งสีม่วงอมแดง สีชมพู สีขาวอมแดง หรือสีขาวล้วน และเกสรสีเหลือง
คนโบราณเคยกล่าวไว้ ขมขื่นเพราะความรักถึงขั้นหนึ่งจะได้เป็นปราชญ์
ไม่รู้สถานการณ์ตอนนี้ของข้านับว่าเป็นนักปราชญ์หรือมหาปราชญ์กันแน่
ข้าลอบมองหลิ่วถงอี่ที่อยู่ข้างกายอีกครั้ง หากเขาเป็นเหมือนอวิ๋นอวี้ได้ก็คงดี สวมชุดสีสว่างสดใสบ่อยครั้งคงจะดีกว่านี้ ผมของเขาไม่มัดทั้งหมดก็คงจะดียิ่งขึ้นไปอีก
หากในอนาคตข้าได้กระทำเรื่องมีคุณธรรมขนาดฟ้าดินยังซาบซึ้ง หรือเส้นขีดแบ่งตรงกลางนั้นหายวับไป ถึงตอนนั้นหากข้าเอ่ยปากชวนเขาเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกันจริงๆ เขาจะยินยอมหรือไม่
แม้ข้าจะเฝ้าคิดถึงแต่หลิ่วถงอี่ แต่ก็ไม่คิดต้องการให้เขามาเป็นอะไรกับข้าจริงๆ อย่างมากก็เพ้อพกให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นจริงเท่านั้น หรือไม่ก็เพิ่มการเล่นหมาก พูดคุย จิบชาด้วยกันบางครั้ง นั่นก็เพียงพอ
ข้าถูกตนเองทำให้ตื้นตันใจ ก่อนมองแสงอัสดงด้วยอาการทอดถอนใจอีกครา
ทันใดนั้นข้างกายข้ามีเสียงโอดครวญยานคางดังขึ้น “เสด็จอา…”
วิญญาณของข้าถูกดึงจากแสงยามเย็นกลับเข้าร่าง เอียงหน้าไปมองก็เห็นสีหน้าตัดพ้อของฉีถาน
ข้าแปลกใจ “ไยจู่ๆ เจ้าก็โผล่ขึ้นมาได้”
ฉีถานจิกตามองข้าอย่างตัดพ้อ “เสด็จอา หลานตามท่านมาตั้งนานแล้ว เรียกท่านหลายครั้ง ท่านไม่มองหลานสักนิด”
ข้าพูดว่า “อ้อ อย่างนั้นหรือ ข้ากำลังคิดอะไรบางอย่าง เลยไม่ทันได้สังเกต” เมื่อครู่ข้าเหม่อลอยอย่างหนัก มิรู้ว่าเสียมารยาทต่อหน้าหลิ่วถงอี่บ้างหรือไม่
ข้าแสร้งมองหลิ่วถงอี่ครั้งหนึ่งเหมือนไม่ได้ตั้งใจ ยังดีที่สีหน้าเขาปกติ มุมปากอมยิ้มบาง คงไม่มีอะไร
ข้ากำลังจะเอ่ยปาก ด้านหลังก็มีเสียงพูดดังขึ้นอย่างอ้อยอิ่ง “ไต้อ๋อง ข้าน้อยพูดถูกต้องแล้วใช่หรือไม่ หากไม่ถึงประตูวังหลวง ไหวอ๋องเรียกสติกลับคืนไม่ได้แน่ พนันครานี้ท่านแพ้แล้ว”
ผู้พูดเคลื่อนมาอยู่ข้างกายฉีถาน ข้าถามว่า “ใต้เท้าอวิ๋น ไยท่านถึงอยู่กับฉีถานได้เล่า”
อวิ๋นอวี้ยิ้มๆ ฉีถานแย่งพูดขึ้นก่อน “เสด็จอา ระหว่างทางที่ข้าวิ่งตามท่านกับเสนาบดีหลิ่วบังเอิญพบใต้เท้าอวิ๋น ท่านอย่าได้เข้าใจผิด”
ที่เจ้าบอกว่าอย่าเข้าใจผิดมันหมายถึงอะไรกัน
อวิ๋นอวี้ยิ้มแย้มกล่าวว่า “ท่านอ๋องกับเสนาบดีหลิ่วบังเอิญพบกันอีกแล้วหรือ”
“อา ใช่แล้ว บังเอิญพบเช่นกัน แค่บังเอิญเท่านั้น” ข้าตอบ
หลิ่วถงอี่ชะงักฝีเท้าแล้วพูดว่า “ไหวอ๋อง ไต้อ๋องคล้ายมีเรื่องต้องการสนทนากับท่าน เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน”
ข้าพูดขึ้นว่า “โปรดรั้งอยู่ก่อน”
ฉีถานเองก็พูดว่า “เสนาบดีหลิ่วโปรดรั้งอยู่ก่อน” ส่วนอวิ๋นอวี้ยืนมองอยู่ด้านข้าง
หลิ่วถงอี่กล่าวว่า “ท่านอ๋องทั้งสองมีเรื่องอันใด”
ข้าพูดว่า “อ้อ ข้าไม่มีเรื่องอันใด แต่บางทีไต้อ๋องอาจไม่ได้แค่มาหาข้า บางทีอาจมีเรื่องต้องการพูดจากับท่าน จึงขอให้เสนาบดีหลิ่วรั้งอยู่ก่อน”
อวิ๋นอวี้ที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้น “ถูกต้องแล้ว ไหวอ๋องขอให้เสนาบดีหลิ่วรั้งอยู่ได้ทันเวลาก่อนที่ไต้อ๋องจะเอ่ยปากเสียอีก เห็นทีไต้อ๋องคงมีเรื่องต้องการพูดคุยกับเสนาบดีหลิ่วจริงๆ”
วันนี้อวิ๋นอวี้นับว่าไม่ยอมแพ้หลานของข้าแล้ว แต่ละคนแข่งกันพูดจาไม่รื่นหู
โชคดีที่ดูไปแล้วหลิ่วถงอี่คล้ายไม่ได้ใส่ใจความหมายที่แอบแฝงอยู่นัก ฉีถานก็พูดขึ้นได้ทันเวลา “เป็นเช่นนี้ หลายวันก่อนรบกวนท่านเสนาบดีหลิ่วกับเสด็จอาตรวจสอบของโบราณถึงรู้ว่าเป็นของปลอม ทำให้ข้ามิต้องเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ ข้าได้เตรียมโต๊ะจัดงานเลี้ยงที่วังของข้า ขอเชิญเสด็จอากับเสนาบดีหลิ่วให้เกียรติไปวันนี้ด้วย”
เจ้าเด็กฉีถานนี่ ไม่เสียทีที่ข้าเอ็นดูมาตั้งแต่เล็ก เป็นงานเป็นการขึ้นมากแล้ว
หลิ่วถงอี่ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด ตอบรับโดยง่าย ข้าเองก็ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธเช่นกัน
อวิ๋นอวี้พูดว่า “เห็นทีคงไม่มีเรื่องอันใดของข้าน้อยแล้ว ข้าน้อยขอตัวก่อน” ทำทีจะหมุนตัวจากไป
ฉีถานรีบพูดขึ้นว่า “เชิญใต้เท้าอวิ๋นให้เกียรติร่วมงานเช่นกัน เมื่อครู่ข้าพนันแพ้ สมควรเลี้ยงข้าวใต้เท้าอวิ๋น” ก่อนจะหันมาพูดกับข้า “เสด็จอา ถูกต้องหรือไม่”
ไยวันนี้ฉีถานพูดจาแปลกประหลาดนัก
ข้าได้แต่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ถูกต้อง ตามเหตุผลควรเป็นเช่นนี้”
อวิ๋นอวี้มองฉีถานก่อนจะมองข้า “เช่นนั้นข้าน้อยก็ไปด้วย ไต้อ๋องมีสุราดีที่วังก็อย่าได้แอบซ่อนไว้”
ฉีถานพลันยิ้มพูดว่า “แน่นอน หากข้ากล้าแอบซ่อน เสด็จอาต้องไม่ยินยอมแน่”
เห็นประตูวังหลวงอยู่ใกล้แค่ตรงหน้า ฉีถานก็พลันดึงชายแขนเสื้อของข้าแล้วลากข้าไปด้านหลังหลายก้าว เผยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม เอนตัวมากระซิบข้างหูของข้า “เสด็จอา ใต้เท้าอวิ๋นกับข้าตามท่านมาครึ่งค่อนวัน เห็นท่านมัวแต่เดินเคียงข้างไปกับเสนาบดีหลิ่ว อีกสักครู่เวลากินข้าว หลานจะต้อนรับเสนาบดีหลิ่วเอง เสด็จอาพูดจาแต่กับใต้เท้าอวิ๋นก็พอ”
ข้าสำลัก “ใต้เท้าอวิ๋นน่ะหรือ”
ฉีถานดึงชายแขนเสื้อข้า หลิ่วตาซ้าย “เสด็จอา คนอื่นอาจมองไม่ออก แต่หลานรู้”
เจ้า…รู้อะไรกัน
ฉีถานพูดกับข้าข้างหู “ครั้งก่อนข้ายังพูดกับเสด็จพี่อยู่เลย หลายปีมานี้…เฮ้อ…” เขาทิ้งประโยคนี้ไว้ ปล่อยชายแขนเสื้อของข้าแล้วพุ่งตรงไปหาหลิ่วถงอี่ “เสนาบดีหลิ่ว”
ข้ารู้แล้วว่าที่ฝ่าบาทเอ่ยว่าข้ามีอะไรไม่ชัดเจนกับอวิ๋นอวี้เป็นใครที่เริ่มเปิดประเด็นนี้
ข้าหมดหวังในตัวไต้อ๋องแล้ว ข้าถูกเขาทำให้เคืองจนเจ็บปอด จะด่าว่าลูกเต่าสักประโยคก็ทำไม่ได้ หากเขาเป็นลูกเต่า ข้ามิใช่อาของลูกเต่าหรอกหรือ
ข้าผ่อนลมหายใจกลับไปเปลี่ยนชุดที่วัง แล้วไปยังวังไต้อ๋อง
หลิ่วถงอี่กับอวิ๋นอวี้ต่างนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้ว ฉีถานเก่งเรื่องยุ่งยากนัก กินข้าวกันสี่คน เขาเตรียมไว้สองโต๊ะ
โต๊ะสี่เหลี่ยมยาวสองตัว จัดวางไว้ตรงกันข้ามคนละฟากของห้องโถงเล็ก
บนโต๊ะวางไว้ด้วยสุราอาหาร ด้านหลังของแต่ละโต๊ะมีเก้าอี้สองตัว พอดีเขากับหลิ่วถงอี่นั่งโต๊ะตัวหนึ่ง ข้ากับอวิ๋นอวี้นั่งโต๊ะอีกตัวหนึ่ง เขาช่างจัดแจงเก่งเสียจริง
ระหว่างโต๊ะยาวนี้กับโต๊ะยาวนั้นกั้นไว้ด้วยโถงกว้างประมาณสิบหมื่นแปดพันลี้
ข้าพูดว่า “กินข้าวกันสี่คน เสนาบดีหลิ่วกับใต้เท้าอวิ๋นก็ไม่ใช่คนอื่น เจ้าจัดโต๊ะเดียวก็พอแล้ว ทั้งครึกครื้นทั้งใกล้ชิดสนิทสนม หรือเจ้ากลัวอาอย่างข้ากับใต้เท้าอวิ๋นจะแย่งกับข้าวเจ้ากิน”
“เสด็จอา เสนาบดีหลิ่วกับใต้เท้าอวิ๋นล้วนเป็นแขกสำคัญ จัดโต๊ะเดียววางอาหารจะธรรมดาไป ถือว่าต้อนรับไม่ดี อีกครู่ข้ามีของจัดเตรียมไว้อีก” ฉีถานพูดจบก็ยกการินสุราให้หลิ่วถงอี่ “เสนาบดีหลิ่ว เชิญ”
หลิ่วถงอี่โค้งกายเล็กน้อย “ข้าน้อยมิกล้ารับ ให้รินเองก็พอ” แล้วก็รับกามาจากมือของฉีถาน มิรู้ว่าข้ามองผิดไปหรือไม่ ฉีถานคล้ายจงใจหรือไม่จงใจลูบมือของหลิ่วถงอี่
อวิ๋นอวี้ถือกาสุรากำลังรินสุราพลางใช้ศอกกระทุ้งแขนของข้าเบาๆ ส่งสายตามองไปทางฉีถาน เขาเองก็มองเห็น มิใช่ข้าคิดมากไป
ข้ากินอาหารไปมองฝั่งตรงข้ามไป ฉีถานวุ่นวายไปมาไม่ได้หยุดหย่อน
“เสนาบดีหลิ่ว ท่านลองชิมอันนี้ เป็นของบรรณาการจากแคว้นตะวันตก เรียกว่าไส้กรอกอะไรนั่น ด้านในเป็นเนื้อหมูตะวันตก มิใช่หมูธรรมดา”
ไร้อารยธรรม
“เสนาบดีหลิ่วรู้สึกว่าอาหารจานนี้มีรสชาติเป็นเช่นไร จืดไปหรือเค็มไป”
ข้าวางถ้วยเปล่า แล้วหยิบกาสุรามารินใส่จอกจนเต็ม อวิ๋นอวี้ถือตะเกียบคีบเมล็ดซิ่งเหริน* เล่น วันนี้ฉีถานทุ่มเทกำลังให้กับการต้อนรับหลิ่วถงอี่แล้ว อวิ๋นอวี้ไม่กินของที่มีรสชาติหวานและเค็ม ข้าเห็นอาหารไม่กี่อย่างตรงหน้าเขาเป็นของรสหวานและเค็มทั้งนั้น ข้าพับชายแขนเสื้อขึ้น แล้วย้ายอาหารที่ยังไม่ได้แตะต้องตรงหน้าข้าไปเปลี่ยนกับเขา อวิ๋นอวี้พูดกับข้าเสียงเบา “ไยข้าน้อยรู้สึกว่าไต้อ๋องคิดแย่งคนกับท่าน”
ข้าขมวดคิ้วเล็กน้อย ข้าจำได้ว่าเจ้าเด็กฉีถานมิได้มีความชมชอบใดที่เหมือนกับอาอย่างข้าเลย อวิ๋นอวี้คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มพูดว่า “ท่านอ๋องไม่เชื่อก็แล้วไป ต้องการพนันกับข้าน้อยหรือไม่”
ครู่เดียวข้าก็เข้าใจจุดประสงค์แท้จริงที่ฉีถานขยันเอาใจใส่เช่นนี้
ข้ารับใช้สองคนเดินยกโต๊ะเล็กมาวางไว้ตรงกลางโถง บนโต๊ะวางไว้ด้วยกล่องผ้าแพรกล่องหนึ่ง
ฉีถานยิ้มหวานพูดกับหลิ่วถงอี่ว่า “เสนาบดีหลิ่ว ข้าไม่เคยมีงานอดิเรกอื่นใด ชื่นชอบแค่การสะสมของโบราณเหล่านี้ วันนี้พอดีเชิญท่านมาแล้ว ก็มีของเล่นไม่กี่อย่างอยากรบกวนเสนาบดีหลิ่วช่วยดูให้ด้วย” วางตะเกียบงาช้างในมือลง ปรบมือ ข้ารับใช้สองคนนั้นก็เปิดกล่องออก ประคองขวดหยกใบหนึ่งออกมา
ฉีถานพูดว่า “ของสิ่งนี้เล่ากันว่าเป็นของแทนใจที่หลี่ว์ปู้เหวย** มอบให้แก่จ้าวจี*** บนขวดยังมีลายกิ่งดอกท้อ มอบรักผ่านบุปผา เสนาบดีหลิ่วคิดว่าขวดนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
หลิ่วถงอี่มองขวดนั้น ยิ้มบางพร้อมพูดว่า “เป็นหยกที่ดี”
จากนั้นก็ไม่ได้กล่าวอันใดอีก
ฉีถานรอสักครู่จึงถามต่อ “เป็นของสมัยใด”
หลิ่วถงอี่ตอบว่า “ข้าน้อย ไม่ค่อยแน่ใจ”
สีหน้าของฉีถานเครียดขึง ในเรื่องแบบนี้เขามิใช่คนโง่ หลิ่วถงอี่เห็นสิ่งไม่ถูกต้อง แต่ไม่กล้าพูดออกมา
ฉีถานโบกมือ สองคนนั้นก็วางขวดไว้ในกล่องผ้าแพรแล้วยกออกไป ครู่หนึ่งก็ยกอีกกล่องหนึ่งกลับมา ในนั้นวางไว้ด้วยกาสุราใบหนึ่ง ฉีถานพูดว่า “สิ่งนี้เป็นของใช้สมัยเดียวกับขวดนั้น อิ๋งเจิ้ง**** เคยใช้มาก่อน”
หลิ่วถงอี่ชื่นชมลายดอกไม้บนกาสุรานั้นเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่กล่าววาจาต่อ สีหน้าของฉีถานดำคล้ำอีกครั้ง
ข้านั่งอยู่ด้านข้างมองเขาใช้คนยกของออกมาทีละชิ้นด้วยสายตาเย็นชา มองเขาค่อยๆ เหี่ยวเฉาลงไปเรื่อยๆ จนใจแข็งต่อไปไม่ได้ ถอนหายใจพูดกับอวิ๋นอวี้เสียงค่อย “ซื้อก็ซื้อมาแล้ว หากเป็นของจริงก็ดีไป เหตุใดต้องมาทรมานตนเองด้วย”
อวิ๋นอวี้เหลือบมองข้า “ท่านอ๋องมองดูเหมือนจะปวดใจ”
ข้าถอนหายใจ “แน่นอนว่าต้องปวดใจ ในจำนวนเงินที่ซื้อของเหล่านี้เป็นของข้ามากกว่าของไต้อ๋องเสียอีก”
อวิ๋นอวี้ยกมือขึ้นรินสุราให้ข้าจนเต็ม “เงินของท่านถูกจ่ายเพื่อเอ็นดูหลาน มิได้เปล่าประโยชน์แต่อย่างใด” รอยยิ้มสมน้ำหน้าชัดเจนยิ่ง
ของโบราณแสนรักของฉีถานถูกยกเข้ามาเรื่อยๆ เหมือนกับโยนทิ้ง ม้าปั้นดินเผาเพิ่งถูกยกออกไปก็มีนางกำนัลหน้าตางดงามยกจานหยกเข้ามา
อวิ๋นอวี้พูดว่า “ไยคราวนี้เปลี่ยนเป็นสาวงามเสียแล้ว”
ฉีถานพูดว่า “ใต้เท้าอวิ๋นคงยังมิทราบว่าของมีค่านี้ต้องให้สตรีเป็นคนถือ”
นางกำนัลคนงามถือจานหยกแล้วคุกเข่าลง บนจานหยกถูกรองไว้ด้วยผ้าต่วนสีเหลือง ด้านบนคือหยกแผ่นหนึ่ง
ฉีถานพูดว่า “ของสิ่งนี้คือของที่อยู่ในปากของท่านหญิงแคว้นอู๋ตอนฝังศพ ทำให้ศพไม่เปื่อยเน่า รูปลักษณ์ยังเหมือนตอนยังมีชีวิต พลังหยินค่อนข้างรุนแรง ไม่ว่าตอนไหนเมื่อถือไว้ในมือจะรู้สึกเย็นเฉียบเหมือนก้อนน้ำแข็ง เสนาบดีหลิ่วลองลูบดู”
ข้าอดพูดไม่ได้ว่า “ของที่คนตายอมไว้ในปาก เจ้าให้เสนาบดีหลิ่วลูบจับบนโต๊ะอาหาร ไม่คิดจะให้เสนาบดีหลิ่วกินข้าวต่อแล้วใช่หรือไม่”
ฉีถานชะงักไปคล้ายเพิ่งคิดได้จึงรีบขออภัย แน่นอนหลิ่วถงอี่ย่อมบอกว่าไม่เป็นไร แล้วยกมือไปแตะที่แผ่นหยกนั้นจริงๆ จากนั้นพูดว่า “ของสิ่งนี้เป็นของล้ำค่าจริงๆ หาได้ยากยิ่ง ข้าน้อยเคยได้อ่านเจอแต่ในตำรา ไม่คิดว่าวันนี้จะได้เห็นของจริงที่วังของท่านอ๋อง ช่างเป็นวาสนายิ่ง”
ฉีถานอึ้งไปจนตาค้าง จ้องหลิ่วถงอี่เขม็ง “เสนาบดีหลิ่ว ท่านพูดจริงหรือ”
หลิ่วถงอี่ยิ้มเล็กน้อย “ของสะสมของท่านอ๋องไม่ธรรมดาจริง”
ฉีถานคล้ายลูกสำรองที่แช่น้ำ แย้มยิ้มหน้าบานอล่างฉ่าง
* ซิ่งเหริน หมายถึงอัลมอนด์
** หลี่ว์ปู้เหวย เดิมเป็นพ่อค้าในสมัยจั้นกั๋ว เมื่อไปค้าขายยังแคว้นจ้าว เขาได้พบกับจื่อฉู่ องค์ชายตกยากผู้มีนามเดิมว่าอี้เหริน บุตรชายของรัชทายาทแคว้นฉิน โอกาสที่จื่อฉู่จะได้เป็นรัชทายาทแคว้นฉินริบหรี่มาก หลี่ว์ปู้เหวยมองการณ์ไกลคิดจะช่วยให้จื่อฉู่ได้เป็นเจ้าแคว้นฉินเพื่อประโยชน์ของตนเองในวันหน้า จึงวางแผนอย่างแยบยล แม้กระทั่งจื่อฉู่เอ่ยปากขอจ้าวจี อนุภรรยาของหลี่ว์ปู้เหวย เขาก็ยกให้ เมื่อจื่อฉู่ได้ขึ้นเป็นเจ้าแคว้นฉินก็แต่งตั้งหลี่ว์ปู้เหวยเป็นอัครมหาเสนาบดี เพียบพร้อมด้วยอำนาจและลาภยศ
*** จ้าวจี อดีตอนุภรรยาของหลี่ว์ปู้เหวย ซึ่งต่อมาได้เป็นสนมเอกและไทเฮาของนครรัฐฉิน พระมารดาของจิ๋นซีฮ่องเต้
**** อิ๋งเจิ้ง คือพระนามเดิมของจิ๋นซีฮ่องเต้
หลิ่วถงอี่ลุกขึ้นไปล้างมือที่ห้องน้ำ ฉีถานยกจอกสุราขึ้นมา จ้องมองแผ่นหลังเขาไม่วางตา แล้วกระดกสุราดื่มหมดจอก “เสด็จอา เมื่อครู่หลานพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา…”
ข้ามองดวงตาที่เหมือนเป็นประกายเจิดจ้าผิดปกติ สัญชาตญาณบอกว่าเขาจะต้องพูดอะไรเพี้ยนๆ ออกมาแน่
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ฉีถานหมุนจอกสุราในมือ สายตาไม่รู้จับจ้องไปที่ใดในอากาศ “…เมื่อครู่ตอนที่เสนาบดีหลิ่วยิ้มให้ข้า…ข้าก็คิดว่า…ถ้าเขาเป็นสตรี ข้าจะต้องแต่งกับเขาแน่นอน”
ฉีถานมองมาที่ข้าตาเป็นประกาย “เสด็จอา ท่านคิดว่าหรือข้าจะเปลี่ยน…เป็นเหมือนท่านแล้ว…” ไม่รู้ด้วยเหตุใด สิ่งแรกที่ข้านึกถึงกลับเป็นชายาของฉีถานที่ได้ข่าวว่าปีนี้เพิ่งสิบเจ็ดปีแต่ท้องได้แปดเดือนแล้ว
ข้าพูดว่า “เจ้าพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนเถิด”
ฉีถานจับจอกสุราแน่น “ไม่ต้องพิจารณาอะไรแล้ว เสด็จอา หลานพูดความจริงกับท่านคนเดียว ใต้เท้าอวิ๋นก็ไม่ใช่คนอื่น เรื่องแบบนี้มันบังคับกันไม่ได้” ในจอกไร้สุราแล้ว เขายังยกไปแตะริมฝีปาก “เมื่อครู่เสนาบดีหลิ่วพยักหน้าเล็กน้อย ยิ้มนิดหน่อย ใจของข้าก็พลอย…เต้นเร็วไปด้วย”
อวิ๋นอวี้พูดว่า “อาการของไต้อ๋องก็คล้ายคลึงกับไหวอ๋องอยู่บ้าง”
ข้ามองฉีถาน “ใจเต้นเร็วใช่หรือไม่ มา ข้ามีของชิ้นหนึ่งจะให้เจ้าดู”
ข้าล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อหยิบของชิ้นหนึ่งออกมาแล้วยกขึ้น
“เมื่อครั้งที่เสด็จพ่อของข้าทำสงครามกับต่างแดน หยกชิ้นนี้ถูกดึงมาจากร่างของผู้นำฝ่ายนั้นเพื่อถวายแด่ถงกวงตี้ และถงกวงตี้ก็พระราชทานกลับมาให้เสด็จพ่อ เป็นมรดกของต่างแดนที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น เป็นของจริงแน่นอน”
ดวงตาฉีถานค้างไม่กะพริบอีกแล้ว สายตาจับจ้องที่หยกในมือของข้าไม่วาง “เสด็จอา…”
ข้าส่ายหยกประดับ “รู้สึกใจเต้นเร็วหรือไม่”
แววตาฉีถานเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ผงกศีรษะ “เร็ว”
ข้าพูดว่า “มองข้าคล้ายกับที่มองเสนาบดีหลิ่วเมื่อครู่หรือไม่”
ฉีถานแก้มแดง ผงกศีรษะอีกครั้ง
ข้าใส่หยกประดับไว้ในอกเหมือนเดิม พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่ต้องกังวลไป เจ้าไม่ได้ชมชอบบุรุษ”
ดวงตาของฉีถานจับจ้องบริเวณที่ข้าใส่หยกไว้ไม่วาง แววตาคมปลาบประหนึ่งตะขอสับ
ข้าทำเป็นไม่เห็น ยกการินสุราใส่จอก พูดสั่งสอนเขาด้วยน้ำเสียงแสดงความปรารถนาดี “เวลานี้เจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว บางเรื่องเจ้าต้องชั่งใจบ้าง ประโยคเมื่อครู่ของเจ้า ถ้าผู้อื่นได้ยินเข้า ข้าก็คงจะถูกตั้งข้อหาไปด้วย หากเสด็จแม่ของเจ้าไม่มาคิดบัญชีกับข้าก็คงไปทูลฟ้องกับไทเฮา บอกว่าเจ้าอยู่กับข้าทั้งวันจนถูกพาให้เสียคน”
ดวงตาประหนึ่งตะขอของฉีถานเป็นประกายวิบวับ พูดว่า “เสด็จอาเมตตาข้าจริงๆ ข้าก็พูดออกมาตรงๆ เพราะว่าอยู่ต่อหน้าท่าน และใต้เท้าอวิ๋นก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล หลังจากเสด็จอาเตือนสติ ข้าก็ตาสว่าง เพียงแต่เมื่อครู่คล้ายกันก็จริง แต่ก็ไม่เหมือนกับเวลามองเสนาบดีหลิ่วสักทีเดียว หรือไม่เสด็จอาลองสั่งสอนข้าต่ออีกสักนิด”
ข้าพูดเสียงเรียบ “ข้าก็สั่งสอนเจ้าได้เท่านี้ ที่เหลือเจ้าต้องไปขบคิดเอาเอง”
ฉีถานทำหน้าสลด ก้มศีรษะลงคีบอาหาร ข้าพูดต่ออีกว่า “ที่สำคัญที่สุดคืออีกครู่เสนาบดีหลิ่วกลับมา เจ้าอย่าได้แสดงคำพูดอันทำให้ผู้คนเข้าใจผิดต่อหน้าเขา เสนาบดีหลิ่วเป็นผู้มีคุณสมบัติสูงส่ง เป็นขุนนางผู้เป็นเสาหลักของฝ่าบาท มิอาจล่วงเกินได้”
อวิ๋นอวี้พูดขึ้นยิ้มๆ “ความสัมพันธ์อาหลานระหว่างไหวอ๋องกับไต้อ๋องช่างแน่นแฟ้นยิ่ง”
ฉีถานคีบกับข้าวอย่างเซื่องซึม “เสด็จอา เสนาบดีหลิ่วอาศัยความสามารถจนได้ตำแหน่งเสนาบดี ไม่ว่าสิ่งใดก็คงเคยพบเจอมาแล้วทั้งสิ้น คนที่เคยคบค้ากับเขาล้วนพูดว่าเสนาบดีหลิ่วแตกต่างจากสกุลหลิ่วคนอื่น ทั้งใจกว้างไม่ถือตัวทั้งเข้าอกเข้าใจผู้อื่น เหตุใดเสด็จอาถึงคิดเห็นว่าเขาคร่ำครึเช่นนั้น อีกอย่าง…” ฉีกยิ้มมุมปากพร้อมหัวเราะอย่างมีเลศนัย “เสนาบดีหลิ่วก็มีอายุมากกว่าใต้เท้าอวิ๋นตั้งสองปี เวลานี้ยังไม่แต่งงาน จะด้วยสาเหตุใดนั้นใครก็มิอาจทราบได้…”
ได้ยินเขาพูดประโยคสุดท้ายนี้แล้ว ไม่รู้เหตุใดใจของข้าถึงคล้ายถูกมือหนึ่งมาเกาๆ บีบๆ จึงกระแอมครั้งหนึ่งแล้วพูดว่า “อย่าได้วิจารณ์ผู้อื่นลับหลัง หากเสนาบดีหลิ่วกลับมาได้ยิน…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ข้างประตูก็ปรากฏเงาสีหยกอ่อน ข้ารีบยั้งปาก หลิ่วถงอี่ก็ก้าวผ่านประตูเข้ามานั่งประจำที่ ฉีถานก็พูดว่า “เสนาบดีหลิ่วกลับมาแล้ว ข้ากับเสด็จอากำลังพูดถึงเสนาบดีหลิ่วพอดี เสด็จอาชื่นชมว่าท่านมีคุณสมบัติสูงส่ง เป็นเสาหลักของราชสำนัก เสด็จอาชื่นชมผู้อื่นต่อหน้าข้าเป็นครั้งแรก เช่นนั้นของล้ำค่าที่เสด็จอาเก็บไว้ที่อก เสนาบดีหลิ่วคงต้องช่วยท่านตรวจสอบแล้วว่าเป็นของจริงหรือของปลอม”
ฉีถานยังไม่ละความพยายาม ถึงขนาดไม่เลือกวิธีการ จบคำพูดนี้ของเขาแน่นอนว่าหลิ่วถงอี่ต้องหันมาทางข้า ยิ้มเล็กน้อยพูดว่า “ขอบพระคุณไหวอ๋องที่ยกย่อง ข้าน้อยละอายนัก ไม่ทราบว่าของล้ำค่าของท่านอ๋องคือสิ่งใด”
ข้าถูกเขามองก็เหมือนถูกลมอบอุ่นเดือนสามพัดผ่าน พูดว่า “อ้อ เป็นแค่ของเล่นจากต่างแดนเท่านั้น ไม่ขอรบกวน…”
ฉีถานกลับพูดแทรกข้า “เสด็จอาไม่ต้องแกล้งเกรงใจ เสนาบดีหลิ่วรับปากแล้ว หลานเองคิดอาศัยโอกาสนี้เรียนรู้กลวิธีตรวจสอบวัตถุโบราณจากเสนาบดีหลิ่วด้วย”
ข้าจึงได้แต่เอามือล้วงเข้าไปในอก ประกายคมปลาบปรากฏขึ้นอีกครั้งในดวงตาสองข้างของฉีถาน วิบวับเฉียบเย็น
ข้าหยิบหยกออกมา ยื่นไปให้ข้ารับใช้ด้านข้าง ให้เขาส่งต่อไปให้หลิ่วถงอี่ หลิ่วถงอี่หยิบมาดูแล้วพูดว่า “ของต่างแดน ข้าน้อยไม่รู้วิธีตรวจสอบ เพียงแต่มองสีและลายของหยกแล้ว คงจะเป็นของโบราณที่ค่อนข้างมีอายุมาก อีกทั้งลายของหยกประดับข้าน้อยเคยอ่านเจอจากตำรา ตั้งแต่สมัยราชวงศ์สุยเป็นต้นมาลวดลายเช่นนี้ก็พบเห็นได้น้อยแล้ว คาดว่าเป็นของสมัยฮั่น รายละเอียดมากกว่านี้ข้าน้อยก็มองไม่ออกแล้ว”
ข้าชื่นชมจากใจ “ไม่เสียทีที่เสนาบดีหลิ่วเป็นผู้เชี่ยวชาญ”
ฉีถานแสดงสีหน้านับถือ “ข้าได้รับความรู้ยิ่งแล้ว สีสันลวดลายที่เสนาบดีหลิ่วพูดถึง…” เขาชะโงกไปข้างหน้า แล้วหยิบหยกมาจากมือของเสนาบดีหลิ่ว ก่อนยกมาไว้หน้าจมูกตนเอง “เป็นแบบนี้หรือ ขอให้ข้านำไปศึกษาดูก่อนสักเล็กน้อย”
เขานำไปศึกษาครั้งนี้ หยกชิ้นนี้ของข้าคงกลายเป็นซาลาเปาเนื้อที่ถูกฉกไป ไม่คืนกลับมาอีกแล้ว
ข้ามองฉีถานกับหยกชิ้นนั้นก็ลอบปวดหัวใจ
หลิ่วถงอี่มองไปทางมือของฉีถาน ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เพียงแต่ร่องรอยนี่ คล้ายรอยบากจากคมมีดคมกระบี่ อายุไม่นับว่ามาก” ยกมือหยิบหยกกลับมาจากมือของฉีถาน เพ่งพินิจพิจารณา
ข้าพูดว่า “รอยสลักนี้เป็นร่องรอยจากการสู้รบระหว่างเสด็จพ่อกับหัวหน้าอริศัตรู เป็นเรื่องเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน”
หลิ่วถงอี่คลายคิ้วที่ขมวด “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” แล้วส่งหยกไปให้ข้ารับใช้ด้านข้าง “คล้ายยังแว่วเสียงศัสตราห้ำหั่นในสนามรบเมื่อครั้งนั้น”
ข้ารับหยกจากข้ารับใช้ท่ามกลางสายตาอาลัยอาวรณ์ของฉีถาน จากนั้นก็เก็บไว้ที่อก “วันนี้ของสิ่งนี้ได้พบเจอเสนาบดีหลิ่วก็เหมือนปรมาจารย์พิณพบเจอปราชญ์เพลงแล้ว”
ข้าชูจอกสุราขึ้นไปทางหลิ่วถงอี่ แสดงการขอบคุณ หลิ่วถงอี่คารวะตอบพร้อมยิ้มบางๆ
อวิ๋นอวี้ก็ชูถ้วยขึ้นเช่นกัน “ไหวอ๋องชื่นชมเสนาบดีหลิ่วไม่ขาดปาก ทำให้ข้าน้อยละอายจนนั่งไม่ติดแล้ว”
ฉีถานที่กลับไปนั่งคอตกสลดหดหู่อีกครั้งกำลังคีบกับแกล้มเข้าปากพลันพูดด้วยเสียงอู้อี้ “คนที่ละอายต้องเป็นข้าถึงจะถูก ปกติแล้วคนที่เสด็จอาพูดถึงไม่ขาดปากคือใต้เท้าอวิ๋น เมื่อครู่ข้ากล่าวว่าเสด็จอาไม่เคยชื่นชมผู้อื่น นั่นเพราะว่าใต้เท้าอวิ๋นไม่นับว่าเป็นผู้อื่น”
อวิ๋นอวี้พิงพนักยิ้มๆ ฉีถานส่งสายตาเป็นประกายมองข้า ประจบเอาใจจริง “เสด็จอา อีกสักครู่หยกประดับชิ้นนั้นให้หลานชมอีกครั้งได้หรือไม่”
เวลานี้ข้ารู้สึกหมดหวังอย่างไม่อาจหาคำมาบรรยายกับหลานคนนี้แล้ว
ข้าพูดอย่างจริงจัง “ฉีถาน คำพูดเมื่อครู่ของเจ้าทำให้ผู้คนเข้าใจผิดได้ง่าย โชคดีที่วันนี้มีแต่เสนาบดีหลิ่ว ไม่มีผู้อื่น ไม่เช่นนั้นหากทำให้คนเข้าใจผิดว่าใต้เท้าอวิ๋นเป็นคนแบบเดียวกับข้าแล้ว มิใช่ผิดต่อใต้เท้าอวิ๋นหรอกหรือ”
ฉีถานพูดอย่างแปลกใจ “เสด็จอา ช่วงนี้ท่านเป็นอะไรไป หัวโบราณคร่ำครึ จับผิดตีความทุกคำพูด ใต้เท้าอวิ๋นไหนเลยจะเป็นคนที่ล้อเล่นด้วยไม่ได้ แม้เสด็จอาจะชมชอบบุรุษ แต่คนที่เสด็จอาไม่นับว่าเป็นผู้อื่นก็ไม่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์เช่นนั้น ใครจะไม่เข้าใจ หรือหากใต้เท้าอวิ๋นกับเสด็จอาชอบพอกันทั้งสองฝ่ายจริง เขาก็คงไม่ใส่ใจอะไร ใช่หรือไม่ใต้เท้า” เขาชูจอกสุราขึ้นมา จิบคำหนึ่ง “แต่พูดตามจริงแล้ว อ่า ใต้เท้าอวิ๋น ข้าแค่เปรียบเทียบท่านอย่าได้ถือสา ข้ารู้สึกว่าเสด็จอาต้องคิดหาคนที่เหนือธรรมดาเป็นแน่ อย่างเช่นใต้เท้าอวิ๋น ที่ตอนนี้เสด็จอายังเสเพลคงเพราะยังไม่เจอรักแท้ ไม่มีคนให้ผูกพันใจ”
อวิ๋นอวี้ยังคงพิงพนัก เลิกคิ้วขึ้น
ข้าได้แต่หัวเราะแห้งๆ ตัวเกร็ง พูดว่า “ล้อเล่นก็ต้องมีขอบเขต ใต้เท้าอวิ๋นไม่ได้ชอบคนเช่นข้า”
ในคำพูดของข้าประกอบด้วยหลายความหมาย
หนึ่งคืออวิ๋นอวี้ไม่ได้ชมชอบบุรุษ
สองคืออวิ๋นอวี้มีนิสัยเฉพาะของลูกหลานตระกูลใหญ่ รักสนุก ไม่เลือกกิน ได้ทั้งชายหญิง ขอเพียงพอใจ ผู้คนต่างรู้ว่าใต้เท้าอวิ๋นรักสะอาด เชยชมแต่คนบริสุทธิ์ หากมิใช่เช่นนั้นแล้ว แม้จะถูกยกยอเป็นนางงามชั้นฟ้าก็ไม่มองสักสายตา
สามคือแม้อวิ๋นอวี้จะหน้าตาดี เมื่อข้ากับเขารู้จักกันมาหลายปีก็รู้นิสัยเขาอย่างถ่องแท้ จินตนาการไม่ออกเลยว่าจะมีวันหนึ่งวันใดที่ใต้เท้าอวิ๋นจะยอมตกเป็นเบื้องล่างบนเตียง เขาเย่อหยิ่งทะนงตน คำพูดหลายประโยคนี้ของฉีถานบ่งชี้ว่าเห็นเขาเป็นคู่รักของข้า เกรงว่าคงทำให้เขาไม่ค่อยพอใจแล้ว
ในที่สุดฉีถานก็พอจะตระหนักอะไรขึ้นได้บ้าง ส่ายศีรษะพูดว่า “วันนี้ข้าดื่มมากไปแล้ว พูดเรื่อยเปื่อยตามใจปาก หวังว่าใต้เท้าอวิ๋นจะให้อภัย”
ข้ากำลังจะขอโทษแทนฉีถาน แต่อวิ๋นอวี้ก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มแล้วว่า “ไม่เป็นอะไร ท่านอ๋องเพียงแค่ตรัสล้อข้าเล่น ไหวอ๋องเสเพลเช่นนั้น ข้าไม่รู้สึกอันใด อีกทั้งความชมชอบของไหวอ๋องมิได้เป็นอุปสรรคขัดขวางกับความชมชอบของข้าแต่อย่างใด”
หลังจากฉีถานตระหนักอะไรขึ้นได้ก็มักจะสำแดงเดชจนถึงขั้นสุด เขามองข้า แล้วมองอวิ๋นอวี้อีกครั้ง สีหน้าทั้งเข้าใจทั้งแปลกใจ “หรือ…หรือว่า…” เขามองข้า แล้วสายตาที่มองไปยังอวิ๋นอวี้อีกครั้งกลับเต็มไปด้วยความนับถือ ก่อนถอนหายใจพูดว่า “ไม่คิดว่าเป็นเช่นนี้…ความชมชอบของใต้เท้าอวิ๋นช่าง…มีเอกลักษณ์อย่างยิ่ง…”
ข้าชะงักไปชั่วครู่ถึงเข้าใจ จอกสุราเกือบจะคว่ำลงไปที่หน้าตัก
อวิ๋นอวี้พูดอย่างเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย “ข้าน้อยชื่นชอบรสจัด ค่อนข้างแตกต่างจากผู้อื่น เช่นนี้เวลากินเลี้ยงจึงจะไม่ซ้ำกับผู้อื่นโดยง่าย”
ข้าอึ้งมองหลิ่วถงอี่ซึ่งเผยรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อย “มีเหตุผลยิ่ง”
ผ่านไปครู่หนึ่ง งานเลี้ยงเลิกรา อวิ๋นอวี้ลุกขึ้นขอตัวลาก่อนอย่างไม่พิรี้พิไร กล่าวว่ามีธุระสำคัญและจากไปโดยเร็ว
หลิ่วถงอี่ก็ขอตัวลา ข้าเองก็เดินตามออกไปเช่นกัน
เมื่อถึงนอกประตู ก่อนที่ต่างคนจะขึ้นรถขึ้นเกี้ยวของตนเอง ข้าก็พูดกับหลิ่วถงอี่ว่า “วันนี้ไต้อ๋องพูดจาไม่ใคร่จะเป็น ทำให้ใต้เท้าอวิ๋นไม่พอใจ ขนาดข้าเองก็ยังพลอยขายหน้าไปหลายครั้ง ทำให้เสนาบดีหลิ่วต้องหัวเราะเยาะแล้ว”
หลิ่วถงอี่พูดว่า “ล้อเล่นในงานเลี้ยง ข้าน้อยฟังแล้วก็ลืม จดจำอันใดไม่ได้แล้ว หากมีการเสียมารยาทไป ก็หวังว่าท่านอ๋องจะไม่ถือสา”
กล่าวตามมารยาทกันอีกหลายประโยค ข้ามองเขาก้มตัวเข้าไปในเกี้ยว จากนั้นก็หมุนตัวขึ้นรถม้าเช่นกัน
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments