ตอนที่ห้า
ตั้งแต่ออกมาจากตำหนักชิงเหอ พระพันปีก็ตรัสว่าเหนื่อยล้าอยากจะพักผ่อน อวี้กุ้ยเฟยไปส่งพระพันปีเสด็จกลับตำหนักแล้ว จากนั้นจึงกลับมายังตำหนักหย่งเหอที่ตนเองพำนัก ด้วยในใจยังโมโหอยู่ฝีเท้าของนางจึงรวดเร็วยิ่ง ชายกระโปรงพลิ้วสะบัดผ่านดอกไม้ใบหญ้า สวน และทางเดินมากมาย นางกำนัลที่ติดตามอยู่ด้านหลังต้องพากันวิ่งหอบฮักๆ ทว่ากลับไม่กล้าส่งเสียงแม้สักนิด
เมื่อมาถึงยังประตูตำหนักหย่งเหอ อวี้กุ้ยเฟยที่ตั้งหน้าตั้งตาเดินจู่ๆ ก็สะดุดเข้ากับสิ่งของนุ่มๆ ชิ้นหนึ่งจนเกือบล้มลงไป
นางกำนัลด้านหลังร้องขึ้น “พระชายาระวังเพคะ!” ในชั่วขณะที่ส่งเสียงก็ก้าวเข้าไปรับร่างของอวี้กุ้ยเฟยไว้ได้อย่างว่องไว
อวี้กุ้ยเฟยตกพระทัยจนสีหน้าซีดเผือด หลังยืนมั่นคงแล้วก็ก้มหน้าปราดมองลงไป เมื่อเห็นตรงหน้าเป็นสตรีคนหนึ่งกำลังก้มศีรษะคุกเข่าอยู่ตรงหน้า นางที่โกรธอยู่แต่เดิม ฉับพลันเพลิงโกรธก็ยิ่งลุกโหมทันตา ปากเล็กโพล่งขึ้นว่า “นางตัวดี รนหาที่ตายรึ บังอาจมาขวางทางข้า!”
หญิงสาวก้มศีรษะลงต่ำกว่าเดิม น้ำเสียงหวาดกลัวเอ่ย “พระชายาทรงไว้ชีวิตด้วย หรงเอ๋อร์มิได้ตั้งใจจะขวางทางพระชายาเพคะ”
หลังกล่าวออกมาเช่นนี้ นางกำนัลและขันทีด้านหลังอวี้กุ้ยเฟยก็รีบคุกเข่าลงคารวะ เอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่า “ถวายบังคมหวากุ้ยเหริน!”
อวี้กุ้ยเฟยเลิกคิ้วน้อยๆ สังเกตหญิงสาวที่อยู่แทบเท้าใหม่อีกครั้ง นางสวมชุดชาววังจากไหมชั้นดี ผมเกล้ารวบอย่างพิถีพิถันนั้นปักปิ่นที่ทำจากเงินฉลุลายผีเสื้อกางปีกโบยบิน แม้กำลังก้มศีรษะแต่กลับทำให้คนมองเพียงปราดเดียวก็เห็นถึงความงามที่ชัดเจน อวี้กุ้ยเฟยตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่าหญิงสาวผู้นี้ก็คือเด็กสาวที่วันนี้ได้เปรียบเปรยนางเป็นดอกโบตั๋น
หวากุ้ยเหรินไม่รอให้อวี้กุ้ยเฟยเอ่ยปากก็ยกมือขึ้นหยิบปิ่นทองระย้าฝังมรกตอันล้ำค่าออกมาจากสาบเสื้อ ชูขึ้นเหนือหัวอย่างนอบน้อม “หรงเอ๋อร์ขอบพระทัยพระชายาเป็นอย่างยิ่ง ปิ่นนี้หาได้เป็นของธรรมดาไม่ หากมิได้ปิ่นนี้หรงเอ๋อร์คงจะถูกลดขั้นเป็นบ่าวไพร่ไปแล้ว ที่หรงเอ๋อร์มาวันนี้ก็เพื่อนำมาคืนแด่พระชายาเพคะ”
ปิ่นระย้านี้อวี้กุ้ยเฟยปักไว้บนศีรษะของนางเป็นพิเศษก่อนจากไป และก็เป็นเพราะปิ่นที่ไม่ธรรมดานี้เองที่ทำให้ฝ่าบาททรงเมตตา มอบโอกาสถวายการปรนนิบัติให้กับนาง
อวี้กุ้ยเฟยเพียงปรายมองปิ่นนี้อย่างราบเรียบ แล้วตอบปัดไปประโยคหนึ่ง “ปิ่นประเภทนี้ข้ามีมากนัก ให้เจ้าแล้วย่อมเป็นของเจ้า รับกลับไปเถิด” กล่าวจบก็เยื้องกรายผ่านหวากุ้ยเหรินเข้าไปด้านใน
ทันทีที่ชายกระโปรงสะบัดผ่านด้านข้างของหวากุ้ยเหริน นางก็ร้อนรนหมุนตัวกลับไปทางอวี้กุ้ยเฟยทันทีพลางเอ่ยอย่างหวาดหวั่น “หรงเอ๋อร์ไม่กล้ารับของประทานอันล้ำค่าเพียงนี้จากพระชายาเพคะ”
อวี้กุ้ยเฟยชะงักเท้าเล็กน้อย แสยะยิ้มโดยไม่แม้แต่เหลียวกลับไปมอง “เช่นนั้นน้องหญิงคงได้แต่โยนมันทิ้งเสียแล้ว”
หวากุ้ยเหรินยิ่งทวีความหวาดกลัว เอ่ยกับเงาร่างที่ค่อยๆ เลือนหายไป “หรงเอ๋อร์ขอบพระทัยพระชายาที่ประทานของกำนัล หากวันหน้าพระชายามีเรื่องใดรับสั่ง หรงเอ๋อร์จะปฏิบัติตาม ไม่มีทางปฏิเสธแน่นอนเพคะ!” กล่าวจบนางก็เหลือบตาขึ้นเล็กน้อย เห็นเพียงอาภรณ์พลิ้วไหวหายลับไปหลังประตู มองไม่เห็นเงาร่างสูงเลอค่าสง่างามของอวี้กุ้ยเฟยอีก
“อวี้กุ้ยเฟยเพคะ จิตใจของหวากุ้ยเหรินนับว่าซับซ้อนยิ่งนัก รู้จักมาแอบอิงต้นไม้ใหญ่เช่นพระชายาเสียด้วย” นางกำนัลจีบปากหัวเราะ ยกพัดบนโต๊ะขึ้นมาพัดเบาๆ ให้อวี้กุ้ยเฟย อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นแท้จริงไม่จำเป็นต้องใช้พัด แต่เพราะตลอดทางเมื่อครู่อวี้กุ้ยเฟยเร่งรีบจนเหงื่อชุ่ม นางกำนัลน้อยเนี่ยนเอ๋อร์ที่แต่ไหนแต่ไรก็คอยใส่ใจทุกรายละเอียด ยามนี้จึงเข้าใจความต้องการของอวี้กุ้ยเฟยดี
เนี่ยนเอ๋อร์ติดตามอวี้กุ้ยเฟยออกเรือนเข้าวัง รับใช้ตนเองมาตั้งแต่เล็กจนคุ้นเคย และก็เป็นเพราะนางเฉลียวฉลาดและคล่องแคล่วจึงเป็นคนโปรดของอวี้กุ้ยเฟยมาตลอด
นางถือพัดโบกแผ่วเบา สายลมเบาบางหยอกล้อไรผมดุจเส้นแพรไหมสองสามปอยที่หน้าผากอวี้กุ้ยเฟย ดวงหน้าภายใต้แพรไหมนั้นระบายยิ้มพลางเอ่ยเย้าหยอกว่า “หวากุ้ยเหรินเป็นคนเดียวที่มีฐานะทางบ้านต่ำต้อย ซ้ำตำแหน่งก็ด้อยที่สุด หากนางไม่พึ่งพาข้า ตำหนักในที่ยิ่งใหญ่ออกอย่างนี้ วันหน้าจะยังมีวันที่ดีของนางหรือ”
“พระชายาพูดถูกแล้วเพคะ” เนี่ยนเอ๋อร์พยักหน้าสอดรับ ปากหวานเอ่ยประจบ “พระชายาเป็นผู้ปกครองตำหนักใน ตำแหน่งอัครมเหสีนั้นจะต้องเป็นของพระชายาอย่างแน่นอน เกรงว่าวันข้างหน้าสนมชายาเหล่านั้นจะรีบมาเอาอกเอาใจพระชายากันแทบไม่ทันเชียวเพคะ”
“เด็กปากพล่อย ไม่กลัวว่าจะถูกฝ่าบาทได้ยินเข้าหรือ” อวี้กุ้ยเฟยพึมพำเสียงเบา ใบหน้าเล็กมิได้เบิกบาน กลับลอบถอนใจกล่าวว่า “ตำแหน่งอัครมเหสียังไม่รู้จะไปตกสู่สกุลใด เซี่ยเฟยนับว่าไม่มีหวังแล้ว แต่เด็กสาวสกุลไป๋ที่เข้าวังมาเป็นชายาคนใหม่ผู้นั้น…กลัวก็แต่ฝ่าบาทจะทรงไม่เห็นแก่หน้าภิกษุก็ต้องเห็นแก่หน้าพระพุทธองค์* ดังเช่นคราวที่เลือกสาวงาม!”
อวี้กุ้ยเฟยเป็นบุตรบุญธรรมของพระพันปี ได้ยินว่าครั้งพระพันปีเสด็จสัญจรทางใต้เกิดต้องพระทัยนางเข้าจึงพากลับหนิงเฉิงมาด้วย สำหรับเรื่องชาติตระกูลที่แท้จริงของนางนั้นไม่มีผู้ใดเคยล่วงรู้ถ่องแท้มาก่อน แม้จะไม่เห็นว่ามีสกุลสูงศักดิ์แต่นางกลับอาศัยชื่อของพระพันปีขึ้นรับตำแหน่งชายาขั้นหนึ่ง ตราบใดที่พระพันปีไม่ล้มนางก็ยังไร้กังวลได้อยู่
ก่อนหน้านี้นางเชื่อมั่นมาตลอดว่าจะได้รับตำแหน่งอัครมเหสี แต่คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งสนมชายานับสิบคนภายในวันเดียว แต่ละคนไม่เพียงงดงามประหนึ่งบุปผาเท่านั้น ทั้งยังมีเบื้องหลังเป็นถึงวงศ์ตระกูลอันกล้าแข็งอีกด้วย
เนี่ยนเอ๋อร์ย่อมเข้าใจถึงความกังวลของอวี้กุ้ยเฟย นางเก็บพัดแล้วปลอบโยนเสียงอ่อน “พระชายากังวลมากไปแล้วเพคะ บุตรีสกุลหลิวหน้าตาธรรมดา ย่อมไม่มีทางได้ขึ้นเป็นอัครมเหสี ส่วนบุตรีคนรองแห่งสกุลไป๋ใบหน้าเยือกเย็น ไม่รู้จักพูดอย่างนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับโถที่ปิดสนิท บุตรีคนที่สามสกุลไป๋แม้รู้จักพูดจาทว่ากลับหยิ่งยโสราวนกยูง ซ้ำยังไม่เฉียบแหลมเลยสักนิด สนมชายาเหล่านี้ไม่ต่างอะไรกับเซี่ยเฟย แล้วจะมีวันก้าวหน้าได้อย่างไรเพคะ”
เซี่ยเฟยอยู่ในตำแหน่งฝ่ายในขั้นสองชั้นเอกแห่งตำหนักใน มีนิสัยรักสงบ ตลอดมาแทบจะไม่เคยก้าวออกจากห้อง นานวันเข้าทุกคนจึงเกือบลืมไปแล้วว่ายังมีนางพำนักอยู่ในวัง
อวี้กุ้ยเฟยไม่ตอบอีก ก่อนจะถอนใจติดๆ กัน แล้วก้มหน้าเล็กน้อยจ้องมองเตากำยานที่วางไว้บนโต๊ะ กลิ่นหอมของไม้จันทน์กำจายออกมาเป็นระยะ นั่นเป็นกลิ่นหอมที่คนมากมายในวังหลวงล้วนนิยมชมชอบ กลิ่นหอมอันอบอวลผสานกับเสียงถอนใจเบาๆ ที่ดังขึ้นไม่ขาดของอวี้กุ้ยเฟยพลันลอยฟุ้งอยู่ภายในตำหนักใหญ่โตสีทองอันงดงามอร่ามตา แผ่ซ่านไปยังทุกซอกทุกมุม
ยามนี้ท้องฟ้ามืดลงแล้ว แสงอาทิตย์อัสดงสายสุดท้ายส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง ตำหนักที่หรูหราอยู่ก่อนพลันถูกเคลือบด้วยสีทองอีกชั้นหนึ่ง ยิ่งดูสูงค่าประหนึ่งตำหนักของเทพเซียน
ใบหน้าเล็กขาวซีดของอวี้กุ้ยเฟยถูกย้อมทับด้วยแสงสีทองอันอ่อนโยนทำให้ยิ่งดูงดงามหยาดเยิ้ม ทว่าน่าเสียดายที่ใบหน้านี้กลับหมองเศร้าจนเกินไป ทั้งคิ้วและตาแลดูไร้ชีวิตชีวาไปบ้าง
นางกำนัลน้อยเห็นอวี้กุ้ยเฟยเป็นทุกข์อยู่ลำพัง เข้าใจทันทีว่ายามนี้อีกฝ่ายย่อมไม่ชอบให้ผู้อื่นรบกวน นางจึงได้แต่ถวายบังคมลาแล้วถอยออกไปอย่างจนปัญญา
ตำหนักอวิ๋นเหอตั้งอยู่ที่บริเวณห่างไกลของตำหนักใน ปกติจึงมีผู้คนผ่านไปมาน้อย ตั้งแต่วันที่เข้ามาอาศัย นอกจากนางกำนัลและขันทีแล้วก็ไม่เคยมีผู้ใดมาเยือนอีก ไป๋เสวี่ยฝูเดิมก็มีนิสัยรักความสงบอยู่แล้วจึงไม่สนใจว่าที่นี่จะเงียบสงบหรือไม่ ขณะเดียวกันไป๋อวี้ฉีที่อยู่ตำหนักฝั่งตะวันตกหลังจากอึดอัดอยู่หนึ่งวันเต็มก็เริ่มร่ำร้องจะออกจากวังไปหามารดา ไป๋เสวี่ยฝูได้ยินก็เพียงยิ้มขมขื่น ประตูวังลึกดุจมหาสมุทร เมื่อเข้ามาแล้วไหนเลยจะออกไปได้โดยง่ายเล่า
ภายในลานมีต้นดอกสาลี่เก่าแก่อยู่ต้นหนึ่ง ดอกสีขาวสะอาดแย้มบานตลอดทั้งกิ่ง กำจายกลิ่นหอมจรุงใจแก่ผู้คน ไป๋เสวี่ยฝูถือตะกร้าไม้ไผ่พลางเขย่งเท้าขึ้นไปเด็ดดอกสาลี่ขาวสะอาดกิ่งนั้น เซียงเอ๋อร์ไม่เข้าใจจึงเอียงคอถามว่า “เสวี่ยเฟยเพคะ ดอกไม้ผลิบานงดงามอยู่บนกิ่งเด็ดลงมาก็ไม่งดงามแล้วสิเพคะ”
ไป๋เสวี่ยฝูยิ้มบาง “ข้าย่อมทราบดี แต่เห็นว่าดอกสาลี่ใกล้โรยราแล้ว ข้าเลยคิดจะเด็ดจำนวนหนึ่งมาไว้ต้มดื่มในฤดูร้อน”
“ต้มดื่มหรือเพคะ” เซียงเอ๋อร์ยิ่งสงสัยมากขึ้น นางไม่เคยได้ยินว่าดอกสาลี่สามารถนำมาต้มดื่มได้ด้วย
“ ‘สีขาวดีต่อปอด’ เจ้าคงไม่เคยได้ยินกระมัง ดอกสาลี่มีสรรพคุณบำรุงปอด ช่วยลดเสมหะขจัดความร้อน บำรุงหยินให้ความชุ่มชื้น ขับโลหิตเสียล้างพิษในลำไส้ บรรเทาอาการไข้ ช่วยขับลม รวมทั้งลดอาการร้อนใน เมื่อเข้าสู่ปอดก็จะช่วยถ่ายเทเลือดลมจากภายนอกสู่ภายในทำให้เลือดลมไหลเวียนได้ดี มีประโยชน์อย่างมาก” ไป๋เสวี่ยฝูเด็ดไปพลางกล่าวไปพลาง
เมื่อก่อนตอนอยู่อารามเมี่ยวเฟิง ทุกปีแม่ชีอวี้เจินจะคอยสั่งให้นางเด็ดดอกสาลี่จำนวนหนึ่งมาตากแห้ง ยามอยากดื่มก็ค่อยต้มให้ทุกคนดื่ม ไป๋เสวี่ยฝูมักหักใจเด็ดดอกไม้ที่ยังสดใหม่งดงามหยาดเยิ้มไม่ได้ จึงกระโดดขึ้นไปบนหลังคาของเรือนหลังเล็กในค่ายกลดอกสาลี่ เก็บดอกสีขาวโพลนเป็นชั้นลงมาล้างให้สะอาด ตากแห้งแล้วนำกลับไปที่อาราม
แสงอาทิตย์รุ่งอรุณอันอ่อนโยนส่องกระทบต้นดอกสาลี่ ลำแสงรำไรตกลงไปบนใบหน้าเล็กขาวสะอาด กลีบดอกไม้สีขาวประหนึ่งปีกผีเสื้อสองสามกลีบร่วงลงมาบนเรือนผมและใบหน้าของไป๋เสวี่ยฝู คิดไม่ถึงว่าลึกเข้ามาในวังหลวงนี้แล้วยังจะได้เห็นดอกสาลี่สีขาวหิมะเช่นนี้อีก ทั้งที่คิดมาตลอดว่าชีวิตนี้คงไม่มีวาสนาได้เคียงคู่กับดอกสาลี่งดงามเช่นนี้อีกแล้ว!
“เสวี่ยเฟยอยากจะเก็บอีกสักเท่าใดหรือ ให้หม่อมฉันช่วยเด็ดเถิดเพคะ” เซียงเอ๋อร์เห็นว่าดอกไม้สีขาวร่วงลงมาทั่วศีรษะและใบหน้าของไป๋เสวี่ยฝูแล้ว นางจึงถามอย่างห่วงใย
ไป๋เสวี่ยฝูส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนจะกระโดดลงจากเก้าอี้แล้วเอ่ยว่า “เอาล่ะ พอแล้ว”
เซียงเอ๋อร์โล่งใจ รับตะกร้าจากมือไป๋เสวี่ยฝูแล้วก็เดินเข้าห้องไป ไป๋เสวี่ยฝูใช้ผ้าเช็ดหน้าปัดดอกสาลี่ที่ตกอยู่เต็มทั่วใบหน้าและศีรษะออก ขณะหมุนตัวจะเดินเข้าไปในห้องก็ได้ยินไป๋อวี้ฉีก่นด่าเสียงดัง “แถวนี้ใครช่างดีดพิณอยู่ได้ไม่จบไม่สิ้น ให้คนได้หลับได้นอนบ้างมิได้หรือ เสี่ยวชุ่ย! เสี่ยวชุ่ยอยู่ที่ใด ไปจัดการให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
นางกำนัลนามเสี่ยวชุ่ยร้อนรนเข้าไปรับหน้า คุกเข่าก้มหน้าเอ่ยอย่างหวาดกลัว “ฉีเฟยเพคะ พื้นที่ด้านข้างมีผู้ใดอาศัยอยู่ก็ไม่อาจทราบได้ หม่อมฉันไม่กล้าเข้าไปเพคะ”
“ไม่ทราบ? เจ้าจะไม่ทราบได้อย่างไร ข้าสั่งให้รีบไปเดี๋ยวนี้!” ไป๋อวี้ฉีไม่สนว่านางจะพูดอะไร ตวาดใส่นางเสียงต่ำ
ไป๋เสวี่ยฝูเงี่ยหูฟังแล้วก็ได้ยินเสียงพิณโบราณจริงๆ คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นบทเพลงเศร้าโศกทว่ากลับฟังแล้วไพเราะยิ่ง ผู้ดีดพิณจะต้องมีฝีมือสูงส่งแน่นอน ไป๋เสวี่ยฝูบังเกิดความสงสัยว่าใครกันแน่ที่กำลังดีดพิณอยู่ เหตุใดจึงอาลัยอาวรณ์ได้ถึงเพียงนี้ หรืออีกฝ่ายจะเป็นเหมือนกับนาง เพราะไม่ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทจึงถูกทอดทิ้งอยู่ในมุมเล็กๆ ของวังหลวง
ฝีเท้าของไป๋เสวี่ยฝูก้าวออกจากตำหนักไปอย่างไม่อาจควบคุม นางเดินมุ่งไปข้างหน้าตามแนวกำแพงสีแดงอย่างระมัดระวัง เสียงพิณยังดังอยู่และยังคงโศกเศร้าถึงเพียงนั้น บางทีอาจเพราะมีความรู้สึกเศร้าโศกคล้ายประสบสิ่งเดียวกันมา นางจึงยิ่งเร่งฝีเท้าจนแทบจะกลั้นหายใจขณะเดินอยู่ระหว่างทางเดินที่ทอดยาวนี้ ไป๋เสวี่ยฝูยังคงสวมชุดสีขาวทั้งตัว สายลมอ่อนโชยพัดอาภรณ์งามพลิ้วไหว
ในฐานะที่เป็นสตรีในองค์จักรพรรดิ แท้จริงแล้วนางจะต้องสวมชุดของชาววัง ทว่าตลอดมาไป๋เสวี่ยฝูกลับไม่เคยสวมชุดชาววังเลย เมื่อคิดว่าอย่างไรก็ไม่ได้พบฝ่าบาทอยู่แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นใดที่นางต้องสวมชุดชาววังอันสลับซับซ้อนนั่นด้วย แต่งกายเช่นนี้นางไปไหนมาไหนได้สะดวกมากกว่า
ในขณะที่ไป๋เสวี่ยฝูกำลังเดินไปเรื่อยๆ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงสวบซึ่งเป็นเสียงของอาวุธแหลมคมลอยผ่านยอดไม้ตรงมา ไป๋เสวี่ยฝูตกใจจนใบหน้าถอดสี ก่อนจะเบี่ยงกายในทันที หลบอาวุธคมกริบที่พุ่งมารวดเร็วตามสัญชาตญาณ
มันคือมีดบินเล่มเล็กที่ไม่พบเห็นในแคว้นอวิ๋นเยวี่ย มีดบินปักเข้าไปในกำแพงสีแดงเสียงดังฉึก ไป๋เสวี่ยฝูที่เพิ่งหลุดจากภวังค์พลันตะลึงไปเล็กน้อย แล้วจ้องมองไปที่มีดบินซึ่งปักอยู่บนกำแพงสีแดงอย่างมั่นคง ด้านบนมีกระดาษปักอยู่แผ่นหนึ่ง นางกวาดมองรอบทิศอย่างฉงน เมื่อมองไม่เห็นเงาของผู้ใดสุดท้ายจึงขยับขึ้นหน้าไปหยิบมีดบินลงมาคลี่กระดาษดูอย่างระมัดระวัง
ยังไม่ทันเห็นตัวอักษรด้านบนได้ชัดเจน หางตาก็เหลือบเห็นเงาร่างสีน้ำเงินเข้มเคลื่อนไหวแล้วปราดกายมาที่นาง ไป๋เสวี่ยฝูยกมือข้างที่กำกระดาษอยู่หลบการโจมตีตามสัญชาตญาณทันที
“ส่งมาเดี๋ยวนี้!” น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้น ผู้ที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าคือชายหนุ่มใบหน้าเคร่งขรึม หน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่ง อาภรณ์สีน้ำเงินเข้มทั้งตัว ผมสีดำรวบไว้ภายใต้หมวกหยก ช่วงเอวแขวนป้ายหยกทรงกลมลวดลายมังกร มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นองค์ชายหรือไม่ก็คนในสกุลสูงศักดิ์
เมื่อครู่ไม่ทันระวังจึงเผยวรยุทธ์ออกมา ซ้ำยังพบกับคนสกุลสูงศักดิ์เข้าอีก ไป๋เสวี่ยฝูย่อมอดกังวลไม่ได้ มือที่กุมกระดาษกำเป็นหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว นางตอบบุรุษรูปงามว่า “คืนท่านย่อมได้ เพียงแต่ข้าอยากให้ท่านลืมว่าวันนี้เคยพบข้า เหมือนกับที่ข้าจะลืมว่าวันนี้เคยพบท่านที่นี่ ว่าอย่างไรเล่า”
“เดิมทีข้าก็ไม่สนใจเรื่องราวยิบย่อยของวังหลวงอยู่แล้ว ถึงแม่นางไม่พูดก็ย่อมไม่จดจำว่าเคยได้พบแม่นาง” น้ำเสียงของชายหนุ่มสงบลงเล็กน้อย ในใจลอบกังวลอยู่ลึกๆ สายตาไม่ละไปจากกระดาษที่นางกุมไว้ในมือเลยแม้ขณะหนึ่ง
เขาไม่รู้ว่าหญิงสาววรยุทธ์ไม่ธรรมดาผู้นี้คือใคร เหตุใดจึงมาอยู่ในวังหลวง เขาไม่มีแก่ใจไปทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ เพียงอยากชิงจดหมายกลับมาให้เร็วที่สุดเท่านั้น
“เช่นนั้นย่อมเป็นการดีที่สุด” ไป๋เสวี่ยฝูตอบเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วนำกระดาษในมือคืนใส่ฝ่ามือของเขาอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินจากไปก็เอ่ยปากเตือนด้วยความหวังดี “เยวี่ยเยี่ยมิใช่คนเลอะเลือน หากว่าอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ ทางที่ดีจงหยุดการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมดนี้เสีย” กล่าวจบก็มองบุรุษเย็นชาปานน้ำแข็งเช่นเดียวกับเยวี่ยเยี่ยผู้นี้อีกแวบแล้วหมุนตัวจากไป
“ข้าขอบใจแม่นางที่เอ่ยเตือน” ชายหนุ่มประสานมือคำนับไปทางเงาร่างสีขาวหิมะ นัยน์ตาฉายประกายเย็นชาบางๆ กระทั่งทางเดินยาวกลับมาเงียบสงัดลงอีกครั้งเขาถึงได้หันกายรีบร้อนจากไป
ไป๋เสวี่ยฝูไม่ได้รับผลกระทบจากการปรากฏตัวของบุรุษแปลกหน้านี้เลยสักนิด เสียงพิณยังคงดังไม่หยุด ดึงดูดให้นางก้าวต่อไปข้างหน้า มุ่งไปยังสวนป่าอันไร้ผู้คนช้าๆ ทว่าสิ่งที่ทำให้นางเบิกบานเป็นล้นพ้นก็คือบริเวณนี้มีดอกสาลี่สีขาวบริสุทธิ์บานสะพรั่งอยู่ ต้นดอกสาลี่เรียงรายติดๆ กัน งดงามกว่าต้นดอกสาลี่อายุมากในเรือนที่พักของนางมากนัก!
เมื่อยื่นมือออกไปก็มีกลีบดอกไม้สีขาวร่วงลงมาบนฝ่ามือสองสามกลีบ ณ ส่วนลึกของสวนสาลี่นี้ยังมีเรือนพำนักทรุดโทรมอยู่หลังหนึ่งซึ่งมองเห็นได้รำไรท่ามกลางแถบสีขาวโพลน คล้ายกำลังลอยละล่องเสมือนเสียงพิณที่ดังมาจากด้านในก็มิปาน
ไป๋เสวี่ยฝูย่างเท้าไปตรงหน้าเรือนแล้วมองเข้าไปผ่านประตูไม้ที่ถูกปิดงับไว้ นางเห็นดอกไห่ถัง* เรียงติดกันเป็นแถบอยู่ภายในลาน ยามบุปผาไหวเอนหรือแย้มบานล้วนงดงามไม่ด้อยไปกว่าดอกสาลี่เลยสักนิด
หญิงชราในชุดนางข้าหลวงคนหนึ่งกำลังดีดพิณอย่างดื่มด่ำ นิ้วมือที่ไม่เยาว์วัยอีกต่อไปควบคุมสายพิณดังร่ายมนตร์ สายพิณสั่นไหว เสียงพิณหลั่งไหลออกมาจากปลายนิ้วของนางดุจสายธาร ก่อนจะรวมเข้ากับกลิ่นหอมของบุปผาทั่วลานนี้
ทันทีที่ไป๋เสวี่ยฝูได้ยินเสียงพิณ นางก็มั่นใจว่าผู้ดีดพิณจะต้องเป็นหญิงสาวอ่อนเยาว์งามสะพรั่งคนหนึ่งแน่ กลับคิดไม่ถึงว่าที่แท้จะเป็นนางข้าหลวง ซ้ำยังดีดพิณได้ไพเราะลึกซึ้งอย่างที่สุด ไม่ด้อยไปกว่าอาจารย์พิณที่เคยบรรเลงในจวนตอนที่ไป๋เสวี่ยฝูยังเล็กเลยสักนิด
“ผู้ใดกัน!” จู่ๆ ผู้ดีดพิณก็ชะงักไป จากนั้นก็ก้าวออกมาจากใจกลางของทะเลบุปผา สายตาเฉียบคมมองผ่านช่องประตูมาประสานเข้ากับแววตาตื่นตระหนกของไป๋เสวี่ยฝูตรงๆ ก่อนสืบเท้ามาที่ประตูอย่างรวดเร็ว แล้วยืนบนขั้นบันไดพลางถลึงตาใส่ไป๋เสวี่ยฝูแล้วตวาดว่า “เจ้าเป็นใคร! ถึงกับบังอาจบุกรุกสวนสาลี่รบกวนความสงบของจิ้งไท่เฟย*!”
ไป๋เสวี่ยฝูหวาดหวั่นยิ่ง นางรีบร้อนน้อมกายคารวะ “เสวี่ยฝูสมควรตาย เสวี่ยฝูมิได้ตั้งใจจะรบกวนจิ้งไท่เฟยเพคะ” ไป๋เสวี่ยฝูช้อนตาขึ้นมองเล็กน้อย ย่อมยากจะเชื่อได้ว่าผู้ที่พำนักในสถานที่อันทรุดโทรมเช่นนี้จะเป็นไท่เฟย บางทีอาจจะเป็นสตรีที่สูญสิ้นอำนาจแล้วใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ เท่านั้นกระมัง
“แม่นางไม่ทราบรึว่าสวนสาลี่แห่งนี้คือที่พำนักของจิ้งไท่เฟย” นางข้าหลวงยังคงเข้มงวด จากคำพูดเห็นชัดว่าไม่พอใจอย่างยิ่ง ไป๋เสวี่ยฝูตกใจจนทำอะไรไม่ถูก จู่ๆ ก็ต้องโทษเพราะนางถูกเสียงพิณดึงดูดเข้าเสียได้ มาบัดนี้ที่ไม่ควรบุกรุกก็บุกรุกมาแล้ว นางควรจะปลีกตัวอย่างไรดี
“เฉิงหมัวมัว ให้นางเข้ามาเถิด ยากนักที่จะมีแขก” จู่ๆ ก็แว่วเสียงค่อนข้างชราดังมาจากภายในเรือน
ไป๋เสวี่ยฝูประหลาดใจ คิดในใจว่านี่คงเป็นจิ้งไท่เฟยที่อยู่ในคำกล่าวของนางข้าหลวงเป็นแน่
เฉิงหมัวมัวถึงได้เก็บสีหน้าโมโห แล้วผายมือทำท่าเชิญไป๋เสวี่ยฝู “เชิญแม่นาง จิ้งไท่เฟยพระวรกายมิสู้ดีนัก อย่าทำให้พระนางโกรธ” กล่าวจบก็เดินตามไป๋เสวี่ยฝูเข้าไปในเรือน
เมื่อไป๋เสวี่ยฝูเข้ามาในลาน นางก็ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของจิ้งไท่เฟยในที่สุด พระองค์เป็นสตรีผู้มีอายุเกินห้าสิบที่จอนผมทั้งสองข้างมีสีดอกเลา อาจเพราะพระวรกายมีโรครุมเร้า ผิวพรรณบนใบหน้าจึงแลดูขาวซีด ขณะที่มองจิ้งไท่เฟยอยู่นั้น จู่ๆ ไป๋เสวี่ยฝูก็คิดถึงท่านแม่ขึ้นมา ท่านแม่ของนางก็ไม่ได้ต่างกับสตรีตรงหน้านี้ แม้จะมีฐานะสูงศักดิ์ทว่ากลับใช้ชีวิตทุกข์ระทมกว่าใคร
“เสวี่ยฝูถวายบังคมจิ้งไท่เฟย ขอทรงอภัยโทษที่หม่อมฉันล่วงเกินด้วยเพคะ” ไม่ว่าสถานภาพของจิ้งไท่เฟยเป็นอย่างไร นางล้วนเคารพจิ้งไท่เฟยจากใจจริงเสมือนเช่นที่เคารพท่านแม่ ด้วยชีวิตนี้นางไม่มีโอกาสได้ทดแทนบุญคุณของท่านแม่อีกแล้ว ลึกๆ ในใจนางจึงย้ายความรู้สึกนี้ไปยังร่างของสตรีตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว
จิ้งไท่เฟยที่ทรงนอนพักผ่อนอยู่บนตั่งพลันโบกมือ ถอนใจก่อนเอ่ยอย่างปลงตก “ช่างเถิด ข้าเป็นเพียงไท่เฟยที่มีตำแหน่งแขวนไว้เท่านั้น ไม่มีคนคุกเข่าคำนับข้ามาหลายปีแล้ว เจ้าเองก็ไม่ต้องมากพิธีหรอก” ทรงกล่าวพลางโบกพัดในมือเบาๆ พิศดูไป๋เสวี่ยฝูจากบนลงล่างก่อนจะถามขึ้น “เจ้าคือไป๋เสวี่ยฝู บุตรีคนรองของอัครเสนาบดีไป๋หรือ”
“เพคะ” ไป๋เสวี่ยฝูพยักหน้าน้อยๆ สีหน้าปรากฏแววฉงน ตามหลักแล้วไท่เฟยที่ถูกกักบริเวณอยู่ไม่ควรจะรู้จักนางจึงจะถูก แต่สตรีตรงหน้ากลับสามารถเอ่ยขานสกุลและชื่อของนางได้ นี่กลับชวนให้คนคิดไม่ตกจริงๆ
“แม้ข้าจะไม่สนใจเรื่องภายนอก แต่ก็เคยได้ยินคนเอ่ยถึงเรื่องราวของบุตรีสกุลไป๋มาบ้าง” จิ้งไท่เฟยคล้ายรู้กระจ่างในความสงสัยของไป๋เสวี่ยฝู นางจึงเอ่ยขึ้นพลางยิ้มน้อยๆ ในรอยยิ้มของหญิงชรานั้นยังแฝงแววสลดใจบางๆ ท่ามกลางลานที่เต็มไปด้วยดอกไห่ถังแลดูอ้างว้างโดดเดี่ยวอย่างชัดเจน
ความสลดใจเล็กน้อยนั้นกระทบหัวใจของไป๋เสวี่ยฝูเบาๆ
นี่ก็คือชะตาชีวิตของสตรี มิอาจเฉิดฉายตลอดกาลดังเช่นดอกไห่ถังที่แม้ดอกจะโรยราไปแล้วแต่ปีหน้ายังคงผลิบานเป็นสีแดงอีกครั้ง ส่วนริ้วรอยและความเศร้าโศกบนใบหน้าของจิ้งไท่เฟยนั้น เกรงว่าชั่วชีวิตนี้ก็คงมิอาจลบเลือนไปได้
จิ้งไท่เฟยเห็นนางนิ่งเงียบจึงเปลี่ยนเสียงถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่ต้องไปปรนนิบัติฝ่าบาทหรือ ไยจึงมาเที่ยวเล่นที่สวนสาลี่ของข้าได้เล่า”
สายตาของไป๋เสวี่ยฝูละจากทะเลบุปผาสีแดงสดกลับมา ขยับมุมปากยิ้มบางอย่างขื่นใจ “ข้างกายฝ่าบาทนั้นมีบุปผางามมากมายแล้ว ย่อมไม่อยากให้เสวี่ยฝูอยู่ปรนนิบัติหรอกเพคะ”
ไป๋เสวี่ยฝูยังเผลอคิดว่าเขาคือเด็กหนุ่มใต้ต้นดอกสาลี่คนนั้น แม้จะบอกกับตนเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเขาเปลี่ยนไปมิใช่คนเดิมตั้งนานแล้ว ทว่าสุดท้ายในใจนางก็ยังมีความหวังเล็กๆ เฝ้ารอวันที่เยวี่ยเยี่ยจดจำนางได้ ถ้าหากถึงตอนนั้นแล้วเขายังคงปฏิบัติต่อนางอย่างเฉยชา นางคงได้แต่ยอมรับ นับแต่นั้นจะสงบเสงี่ยมเจียมตัวไม่มีความคิดเช่นนี้อีก
นางจะจำขึ้นใจว่าเขาคือจักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยผู้อยู่เหนือผู้คนมากมาย เป็นองค์จักรพรรดิที่หญิงสาวทั้งหลายในวังหลวงล้วนเฝ้ารออยู่ทุกเวลา มิใช่เด็กหนุ่มรูปงามที่ไม่สนใจในหน้าตาและฐานะ มิใช่คนที่เคยสัญญาอย่างจริงจังว่าจะดูแลนางไปชั่วชีวิตผู้นั้นอีก
จริงจัง?…จู่ๆ ไป๋เสวี่ยฝูก็เจ็บแปลบในใจ คิดว่าตนเองอาจมองผิดไปจริงๆ ท่าทีจริงจังของเขาอาจมีอยู่แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น มิอาจต้านทานความเปลี่ยนแปลงของเวลาไปได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเวลาหนึ่งปีอันแสนสั้นที่เขาสัญญาไว้เลย นางไม่คิดจะบอกฐานะที่แท้จริงของตนเองต่อเขา เพียงแค่คิดเผื่อไว้หากว่าเขาจำได้ขึ้นมา…เพราะติดหนี้บุญคุณนางอยู่ บางทีเยวี่ยเยี่ยอาจปฏิบัติต่อนางดีขึ้นสักหน่อย พานางไปจากตำหนักอวิ๋นเหออันเงียบเหงาห่างไกล นอกจากนี้หากโปรดปรานนางมากดังขุนเขา เขาอาจมอบตำแหน่งที่ทรงอำนาจและมอบตำแหน่งที่ยิ่งกว่าอวี้กุ้ยเฟยให้กับนางก็เป็นได้
แต่สุดท้ายนี่ก็มิใช่วิถีชีวิตที่นางปรารถนา สิ่งที่นางต้องการไม่ใช่การตอบแทนบุญคุณจากเขา นางไม่ต้องการความรักจากเขา ยิ่งไม่อยากให้ตนเองมีความหวังในการเฝ้ารอเขาต่อไป เพราะสุดท้ายแล้วก็ต้องมีสักวันที่นางจะหยดยาพิษลงไปในถ้วยของเขา ไม่นางก็เขาต้องมีคนหนึ่งที่ต้องตายจากไป
นี่เป็นเป้าหมายที่ไป๋เสวี่ยฝูเข้าวังมา เป็นภาระเดียวที่บิดาผู้ยิ่งใหญ่ยัดเยียดให้กับนาง
“นี่เป็นชะตากรรมของสตรี เจ้าควรเรียนรู้ที่จะปรับตัว”
ไป๋เสวี่ยฝูได้ยินน้ำเสียงเปี่ยมความรู้สึกดังขึ้น
“เสวี่ยฝูกำลังเรียนรู้อยู่เพคะ” นางไม่พูดถึงบุรุษเลือดเย็นไร้หัวใจผู้นั้นให้มากความอีก เพียงสูดหายใจเบาๆ แล้วพยายามคลี่รอยยิ้มที่แลดูอ่อนหวานงดงามออกมา “เสวี่ยฝูได้ยินเสียงพิณมาจากในห้อง แล้วก็เดินตามต้นเสียงมาจนถึงที่นี่ คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับจิ้งไท่เฟยและเฉิงหมัวมัวผู้มีความสามารถทางพิณล้ำเลิศ นับเป็นเกียรติของเสวี่ยฝูอย่างยิ่งเพคะ”
เฉิงหมัวมัวที่เพิ่งจะถวายชาเสร็จได้ยินนางกล่าวชมตนเองก็ผุดรอยยิ้มเมตตา “นิ้วหยาบกร้านของหม่อมฉันใกล้จะจับสายพิณไม่ได้แล้ว ฝีมือพิณของเสวี่ยเฟยต้องล้ำเลิศกว่าหม่อมฉันถึงจะถูกเพคะ”
ไป๋เสวี่ยฝูเห็นว่าสตรีทั้งสองมีไมตรีจิตอย่างชัดเจนจึงไม่กลัวเกรงเช่นเมื่อครู่นี้อีก นางกวาดมองสวนที่แม้มีดอกไห่ถังมาเพิ่มสีสันแล้วก็ยังดูเงียบเหงายิ่ง จึงเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยเล็กๆ “พิณของเฉิงหมัวมัวดีดได้ไพเราะอย่างแท้จริง เพียงแต่…เพียงแต่บทเพลงที่บรรเลงนั้นออกจะโศกเศร้าเกินไป ไม่สมกับทิวทัศน์แห่งนี้…รวมถึงจิ้งไท่เฟยด้วยเพคะ”
ฉับพลันจิ้งไท่เฟยก็ทรงแย้มพระสรวล ตรัสเยาะเย้ยตนเองว่า “ด้วยโรคภัยข้าก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตไปได้อีกกี่ปีแล้ว ฟังเพลงเศร้าเช่นนี้ไม่เป็นอันใดหรอก กลับรู้สึกเหมาะสมกับทิวทัศน์ที่นี่ เหมาะสมกับหญิงชราเช่นข้ายิ่งนัก”
“จิ้งไท่เฟยกล่าวเช่นนี้ไม่ถูกเพคะ” ไป๋เสวี่ยฝูขยับไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง มือเล็กที่กำผ้าเช็ดหน้าแน่นโบกไปมาเล็กน้อยแล้วแย้งว่า “จิ้งไท่เฟยพระวรกายไม่สู้ดี ตามหลักแล้วสมควรให้หมอหลวงรักษา การหาเรื่องสำราญใจกระทำจะต้องมีผลดีต่อพระวรกายแน่นอนเพคะ”
“เรื่องสำราญใจคือเรื่องใดกัน หรือไม่เสวี่ยเฟยก็ลองมาบรรเลงเพลงพิณให้ข้าฟังสักเพลงหนึ่งได้หรือไม่” จิ้งไท่เฟยยิ้มอย่างมีไมตรีพลางปราดมองนิ้วมือเนียนเรียวยาวประหนึ่งหยกของไป๋เสวี่ยฝู ในใจคาดเดาว่านางต้องเป็นยอดฝีมือทางพิณเป็นแน่ บุตรีในสกุลขุนนางย่อมไม่มีทางไม่รู้เรื่องเพลงพิณ หมากล้อม เขียนอักษร และวาดภาพ ยากนักที่จิ้งไท่เฟยจะได้พบคนที่ไม่รังเกียจตนเอง ด้วยเหตุนี้จึงทรงเบิกบานใจยิ่งนัก
ไป๋เสวี่ยฝูก็มิได้บ่ายเบี่ยง นางเพียงเคลื่อนตัวไปท่ามกลางดอกไห่ถัง ในใจอดคิดไม่ได้ว่าตนเองจะรบกวนเหล่าผึ้งที่มาดอมดมเกสรดอกไม้อย่างเบิกบานเหล่านั้นเข้าแล้วหรือไม่ หญิงสาวยกชายกระโปรงพลางเดินช้าๆ ไปนั่งอยู่หลังพิณโบราณอย่างระมัดระวัง นิ้วงามทาบลงไปบนสายพิณ สัมผัสได้ทันทีว่าพิณนี้หาได้เป็นพิณชั้นดี แต่เป็นพิณราคาถูกที่หาซื้อได้ตามตลาดเท่านั้น
พิณคุณภาพดีหรือไม่นั้น ผลที่ได้จากการบรรเลงย่อมแตกต่างกันไม่น้อย ทว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็ยังขึ้นอยู่กับฝีมือของผู้ดีดพิณ ขนาดเป็นพิณธรรมดาแต่เฉิงหมัวมัวกลับยังดีดได้อย่างสมบูรณ์แบบถึงเพียงนี้ นี่ย่อมมิใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน
หลังไป๋เสวี่ยฝูคุ้นชินกับสายพิณแล้ว ปลายนิ้วที่ทาบกับสายก็ดีดขึ้นอย่างแผ่วเบา ท่วงทำนองไพเราะพลันพรั่งพรูออกมาจากสายพิณ
ไป๋เสวี่ยฝูเลือกบทเพลงพื้นเมืองของเถิงโจว เป็นเพลงที่นางชอบบรรเลงมากที่สุด นางยังจำวันแรกที่ไปถึงอารามเมี่ยวเฟิงและตอนที่ผ่านค่ายกลดอกสาลี่ได้ บทเพลงนี้ดังลอยออกมาจากส่วนลึกของหมู่มวลดอกสาลี่ ไป๋เสวี่ยฝูถูกดึงดูดในทันทีจนอดยับยั้งฝีเท้าไม่ได้ ก่อนจะทอดสายตาผ่านทะเลบุปผาชั้นแล้วชั้นเล่าตกลงไปบนร่างงามสีม่วงดุจเทพเซียน หญิงสาวผู้นั้นดวงตาเปี่ยมไปด้วยความคะนึง เรือนกายอรชรเมื่อคู่กับดอกสาลี่นับไม่ถ้วนแลประหนึ่งบทกวีราวกับภาพวาด
นางคือศิษย์พี่ของไป๋เสวี่ยฝู หนึ่งเดือนให้หลังก็สังเวยรักสิ้นใจอยู่บนพิณนั้นเอง
ไป๋เสวี่ยฝูถึงขั้นสงสัยว่าตอนที่ศิษย์น้องทุกข์ทรมานที่สุด ไยจึงยังดีดบทเพลงเปี่ยมสุขได้ไพเราะถึงเพียงนั้น แต่ก็เพราะอย่างนั้นนางถึงจดจำบทเพลงนี้ได้ และทุกครั้งที่บรรเลงถึงท่อนที่เบิกบานก็จะเสมือนมองเห็นศิษย์น้องที่กำลังโศกเศร้าแต่ดวงตายังคงประดับรอยยิ้มอยู่ใต้ต้นดอกสาลี่
หวนกลับจากเรื่องราวในอดีต ยามเมื่อเสียงสุดท้ายของบทเพลงหลุดออกจากปลายนิ้วแล้ว ไป๋เสวี่ยฝูก็ได้ยินเสียงชมเชยจากจิ้งไท่เฟยกับเฉิงหมัวมัว นางได้เห็นรอยยิ้มสมใจปรารถนาเจิดจ้าบนใบหน้าของจิ้งไท่เฟย
“จิ้งไท่เฟยเพคะ หม่อมฉันพูดไว้ไม่ผิดเลย บทเพลงที่แตกต่างย่อมให้อารมณ์ที่แตกต่างแก่ผู้คน ต่อไปอย่าให้หม่อมฉันดีดแต่ลำนำเศร้าโศกพวกนั้นอีกเลยเพคะ” เฉิงหมัวมัวกล่าวยิ้มแย้มพลางยื่นมือมาดึงไป๋เสวี่ยฝูออกจากทะเลดอกไห่ถัง “บทเพลงของเสวี่ยเฟยไพเราะประหนึ่งมีชีวิต หม่อมฉันชอบฟังเพคะ!”
ไป๋เสวี่ยฝูถูกชมจนขวยเขิน ขณะกำลังคิดว่าจะเอ่ยอะไรดี ฉับพลันก็ปรากฏเงาร่างงามท่าทางเดือดดาลบุกมาที่ประตู เป็นไป๋อวี้ฉีที่พร่ำบ่นว่ารำคาญนั่นเอง คนทั้งสามในลานต่างอึ้งไปกันถ้วนทั่ว ยังไม่ทันมีท่าทีตอบสนอง ไป๋อวี้ฉีก็ตะโกนขึ้น “เหตุใดเสียงพิณจึงดังไม่จบไม่สิ้น จะให้คนอยู่อย่างสงบมิได้หรือ ผู้ใดเป็นนายหญิงของที่นี่ จงเสนอตัวออกมาบัดเดี๋ยวนี้!”
เฉิงหมัวมัวพลันตะลึง ทว่ายังคงย่อกายอย่างมีมารยาท แล้วเอ่ยอย่างนอบน้อม “ถวายพระพรฉีเฟย ขอพระชายาทรงเจริญสุขเพคะ”
“ข้าไม่สุข! ข้าสั่งให้ไปให้พ้น!” ไป๋อวี้ฉีไม่แม้แต่มองเฉิงหมัวมัวสักแวบ ใบหน้าเล็กแดงก่ำด้วยโทสะ บนร่างสวมอาภรณ์หรูหรา บนศีรษะสวมเกี้ยวหยก มองปราดเดียวก็ทราบว่าเป็นหญิงที่มีฐานะ ทว่ากิริยากลับกระโชกโฮกฮากจนทำให้ผู้คนต้องอับอายเหงื่อตก เพื่อป้องกันมิให้อีกฝ่ายก่อเรื่องขึ้นอีกไป๋เสวี่ยฝูจึงสืบเท้าขึ้นไปเบื้องหน้าอย่างเร็ว นางเอ่ยเตือนว่า “อวี้ฉี ต่อหน้าจิ้งไท่เฟยห้ามไร้มารยาท!”
“ไท่เฟย?” ไป๋อวี้ฉีอึ้งไปเล็กน้อย ถึงได้ปราดมองไปยังจิ้งไท่เฟยที่ทรงนอนอยู่บนตั่งอย่างสงสัยใคร่รู้ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาแล้วเอ่ยวาจาจองหองอย่างไม่ละอาย “ไท่เฟยแล้วจะทำไม แต่ไรมามีเพียงอัครมเหสีที่เป็นผู้ปกครองตำหนักในเท่านั้น ไท่เฟยที่ถูกส่งมาอยู่ตำหนักเย็นเช่นนี้กลับไม่สำนึกผิดอยู่อย่างสงบ วันๆ เอาแต่ดีดพิณเช้าจรดค่ำ หรือยังคิดจะรอวันหวนคืนสู่อำนาจอีกหรือไร!”
“อวี้ฉี!” ไป๋เสวี่ยฝูหน้าถอดสี กระชากชายเสื้อไป๋อวี้ฉีอย่างเป็นห่วงแต่กลับถูกนางสะบัดออก
* ไม่เห็นแก่หน้าภิกษุก็ต้องเห็นแก่หน้าพระพุทธองค์ เป็นสำนวนหมายถึงการผ่อนปรนเป็นพิเศษโดยเห็นแก่หน้าผู้หลักผู้ใหญ่
* ไห่ถัง หรือ Chinese Flowering Crabapple เป็นไม้ผลัดใบ ใบเรียวรี ออกดอกสีแดงหรือขาวในฤดูใบไม้ผลิ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ
* ไท่เฟย เป็นคำใช้เรียกมเหสีหรือชายาของจักรพรรดิพระองค์ก่อน
Comments
comments