X
    Categories: ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์ ตอนที่เจ็ด

หน้าที่แล้ว1 of 5

ตอนที่เจ็ด

 

วันต่อมาไป๋เสวี่ยฝูถูกเซียงเอ๋อร์ปลุกให้ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ นางผุดลุกขึ้นนั่งตรงบนเตียง เซียงเอ๋อร์ผลัดเปลี่ยนชุดให้นางพลางเอ่ยว่า “เสวี่ยเฟยเพคะ วันนี้ฝ่าบาททรงเลี้ยงรับรององค์ชายสี่และองค์รัชทายาทแคว้นเป่ย ตำแหน่งฝ่ายในขั้นสองชั้นโทขึ้นไปทุกคนล้วนจำเป็นต้องเข้าร่วมงานครั้งนี้เพคะ”

“จำเป็นต้องไปด้วยหรือ” ความสนใจในเรื่องประเภทนี้ของไป๋เสวี่ยฝูมีเพียงน้อยนิด องค์รัชทายาทแคว้นเป่ยแต่เดิมก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับนาง ทั้งฝ่าบาทก็ยังไม่มีสีหน้าที่ดีให้นางเห็น หากไปเกรงว่าจะมิใช่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ

“เหตุใดจึงไม่ไปเล่าเพคะ” เซียงเอ๋อร์ไม่เข้าใจ มองประเมินไป๋เสวี่ยฝูแล้วกล่าวว่า “สนมชายาคนอื่นต่างก็ปรารถนาที่จะได้ไปทั้งสิ้น นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะได้เข้าใกล้ฝ่าบาท เสวี่ยเฟยย่อมมิอาจพลาดโอกาสนี้ไปได้นะเพคะ” ระหว่างกล่าวก็จูงไป๋เสวี่ยฝูมานั่งตรงหน้าคันฉ่องสำริด แล้วทอดตามองอากาศด้านนอก “ดูแล้วฝ่าบาทคงใกล้จะออกว่าราชการแล้ว ถึงตอนนั้นฝ่าบาทจะเสด็จไปที่ตำหนักชิ่งอัน รวมถึงบรรดาขุนนางชั้นสูงด้วย บางทีพระชายาอาจได้พบกับท่านอัครเสนาบดีไป๋ก็ได้นะเพคะ”

“อ้อ” ไป๋เสวี่ยฝูขานรับอย่างไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวคำหนึ่ง มีโอกาสได้พบบิดาใจเหี้ยมมืออำมหิตผู้นั้นน่ะหรือ…ผู้ใดบอกว่านางอยากพบกัน ชั่วชีวิตนี้นางไม่อยากจะพบเขาอีกเลยด้วยซ้ำ! คู่บิดาบุตรสาวที่น่าเวทนาที่สุดในใต้หล้านี้ก็คืออัครเสนาบดีไป๋กับนางแน่แล้ว!

ส่วนเยวี่ยเยี่ยเข้าใกล้เขาแล้วเป็นอย่างไรเล่า ช่วงเวลาที่ข้างกายเขามีบุปผางามหยาดเยิ้มมากมายรายล้อม ไป๋เสวี่ยฝูยังจะเพ้อฝันให้เขาเหลือบมองมาที่ตนเองได้อีกหรือ เยวี่ยเยี่ยจะชอบสตรีคนหนึ่งอย่างแท้จริงบ้างหรือไม่นั้น นางไม่กล้าที่จะเชื่อเลยจริงๆ

ในเมื่อเยวี่ยเยี่ยรู้ชัดว่านางคือหมากที่สกุลไป๋ส่งมา แค่เขาจะเคียดแค้นยังแทบไม่ทันเลยกระมัง แล้วเขาจะรักบุตรสาวของศัตรูได้อย่างไร ดังนั้นหลังผ่านช่วงเวลาเหล่านี้มาไป๋เสวี่ยฝูจึงไม่เคยคิดถึงชีวิตวันข้างหน้า ยิ่งไม่กล้าวาดหวังจะได้กุมหัวใจของเขาอีก นางไม่ควรใส่ใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญเมื่อสามปีก่อน แบบนี้มีแต่จะเป็นปัญหาต่อการดำเนินแผนการและทำให้การตัดสินใจของนางหวั่นไหวเท่านั้น

ไป๋เสวี่ยฝูกุมปิ่นหยกไว้ในฝ่ามือ จ้องมองคันฉ่องสำริดอย่างเหม่อลอย ทั้งๆ ที่ดวงหน้าในคันฉ่องเยาว์วัยยิ่งนัก ทว่ากลับเปี่ยมความกังวลเหมือนกับท่านแม่ก็ไม่ปาน!

ขณะกำลังจดจ่ออย่างมีสมาธิ ฉับพลันก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกประตูระลอกหนึ่ง ไป๋เสวี่ยฝูวางปิ่นในมือลง เหลือบมองผู้มาเยือนจากคันฉ่อง เป็นไป๋อวี้ฉีตามที่นางคาดไว้ นางกำนัลที่ถืออาภรณ์เดินตามอยู่ด้านหลังไป๋อวี้ฉีย่อกายคารวะอย่างมีมารยาทก่อนจะถอยไปยืนที่ข้างประตู

ไป๋อวี้ฉีหยิบชุดกระโปรงจากมือนางกำนัลเดินมาที่ข้างกายไป๋เสวี่ยฝู ใช้น้ำเสียงเกือบจะออดอ้อนเอ่ยว่า “พี่รอง ข้าขอเปลี่ยนชุดชาววังกับท่านได้หรือไม่ พี่ก็รู้ว่าอวี้ฉีเกลียดสีฟ้าอ่อนที่สุด นางข้าหลวงผู้ดูแลก็มอบเครื่องประดับผมนี้ให้อวี้ฉีแค่ชุดเดียว” กล่าวจบก็มองไป๋เสวี่ยฝูพร้อมกะพริบตาปริบๆ ด้วยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ

ไป๋เสวี่ยฝูชำเลืองดูอาภรณ์สีชมพูม่วงในมืออวิ้นเอ๋อร์ที่อีกฝ่ายตระเตรียมไว้ให้ตนเอง นี่กลับเป็นสีที่ไป๋อวี้ฉีชอบ ดูท่าไป๋อวี้ฉีคงสืบรู้สีของอาภรณ์ตนเองแล้วตั้งแต่ต้น ทว่าก็แค่อาภรณ์ชุดเดียว ไป๋เสวี่ยฝูย่อมมิได้สนใจ นางจึงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “หากน้องสามชอบก็นำไปใส่เถิด อย่างไรเสียข้าก็ไม่ชอบสีม่วงเช่นกัน”

ไป๋เสวี่ยฝูชอบสีขาว แต่น่าเสียดายนักที่สตรีในวังหลวงแทบไม่สวมอาภรณ์สีขาวกันเลย เป็นเพราะสีขาวไม่อาจแสดงฐานะอันสูงศักดิ์ออกมาได้ มีเพียงนางที่ชื่นชอบมาตลอด ทันใดนั้นไป๋เสวี่ยฝูก็คิดถึงบุรุษผู้หลงใหลในสีแดงโลหิต ทั้งที่มีสีสันอยู่มากมาย เหตุใดเขาจึงชอบแค่สีแดงโลหิตเท่านั้นเล่า

ไป๋อวี้ฉีขอบคุณอย่างร่าเริง ก่อนหอบอาภรณ์สีชมพูม่วงจากมืออวิ้นเอ๋อร์แล้วก็จากไป ท่าทางดีอกดีใจราวกับได้รับของล้ำค่า ไป๋เสวี่ยฝูมองเงาร่างของอีกฝ่ายจากในคันฉ่องสำริดที่ฉายผ่านเพียงวูบเดียวก็ลับไปแล้วจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ไป๋อวี้ฉียังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ยังมีความสุขได้เพียงนี้เพราะอาภรณ์ชุดเดียว

เซียงเอ๋อร์ใช้นิ้วลูบเบาๆ ไปบนปิ่นชั้นดีนั้น ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่เข้าใจเป็นที่สุด “เสวี่ยเฟยเพคะ ทั้งที่ปกติฉีเฟยทรงชอบเครื่องประดับล้ำค่าที่สุด แต่ครั้งนี้กลับเจียดปิ่นมรกตชั้นดีของตัวเองมาแลกกับปิ่นหยกของพระชายา นับว่าประหลาดแท้เพคะ”

ไป๋เสวี่ยฝูเพียงยิ้มน้อยๆ กล่าวโดยไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น “อวี้ฉีต้องใจชุดกระโปรงของข้า ถึงได้ยอมหักใจทิ้งปิ่นชั้นดีของนางได้” แต่เดิมเครื่องประดับและชุดกระโปรงจะจัดเข้าชุดกันไว้ และเป็นการออกแบบตัดเย็บขึ้นภายในวังเป็นการเฉพาะ

ไป๋เสวี่ยฝูเปลี่ยนไปสวมชุดชาววังสีฟ้าอ่อนประดับมุกชุดนั้น เรือนผมสีดำขลับเกล้าเป็นมวยดูสูงศักดิ์ทั้งยังสุภาพสง่างามด้วยฝ่ามือปราดเปรียวของเซียงเอ๋อร์ ในชั่วพริบตาที่หันตัวมา เซียงเอ๋อร์กับอวิ้นเอ๋อร์ก็อดหลงใหลในความงามตระการของนางไม่ได้ทันที ไป๋เสวี่ยฝูเห็นว่าสาวใช้ทั้งสองนิ่งอึ้งก็หวั่นกลัว มองสังเกตทั้งคู่พลางถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”

“งามยิ่งเพคะ…” เซียงเอ๋อร์พยักหน้าอย่างอึ้งๆ สายตาไม่ละไปจากร่างของไป๋เสวี่ยฝูเลยสักชั่วขณะ ชุดกระโปรงยาวสีฟ้าอ่อนลายดอกพุดตานหลากสีเก็บช่วงเอวนั้นลอยพลิ้วยาวระพื้น ราวกับเป็นดอกไม้แรกแย้มสีสันเฉิดฉาย

ไข่มุกสีชมพูที่ห้อยลงมาถึงช่วงเอวแวววาวเป็นประกาย ชายกระโปรงลายผีเสื้อสยายปีกเคียงคู่ ขณะเผยรอยยิ้มบางๆ นัยน์ตาสีดำสนิทก็มันวาวดุจไข่มุก แววตาใสกระจ่างประหนึ่งธารน้ำใสไหลเอื่อยไม่เจือปนสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย ขนตายาวงอนเล็กน้อยเช่นพัดจีบ ผีเสื้อคู่สองตัวบริเวณปลายแขนเสื้ออันงามสง่าขับให้นิ้วทั้งสิบเรียวเนียนประหนึ่งหยกงาม ปากแดงที่ไม่ได้ทาชาดเปล่งสีชุ่มชื้น ต่างหูระย้าสีเหลืองอำพันมีน้ำหนักเบา เพียงแค่สายลมโชยมาแผ่วเบาก็สามารถทำให้มันไหวระริกได้

ไม่ว่าฝีมือหรือวัสดุล้วนเป็นสิ่งที่สิบเจ็ดปีมานี้ไป๋เสวี่ยฝูไม่เคยพบเห็น ยามที่นางยืนอยู่หน้าคันฉ่องสำริดจึงอดคิดไม่ได้ว่าสิ่งของในวังหลวงช่างหรูหราฟุ่มเฟือยโดยแท้

“เสวี่ยเฟย พวกเราควรไปที่ตำหนักชิ่งอันได้แล้วนะเพคะ หากล่าช้าเกรงว่าฝ่าบาทจะไม่พอพระทัยเพคะ” อวิ้นเอ๋อร์เอ่ยเตือน ใบหน้าฉายชัดว่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ดวงตาประเดี๋ยวปราดมองอาภรณ์งามเฉิดฉายบนร่างของไป๋เสวี่ยฝู ประเดี๋ยวมองไปยังทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่าง ท่าทางประหนึ่งว่าจะทนอยู่ภายในห้องนี้ต่อไปไม่ไหวปานนั้น

ไป๋เสวี่ยฝูเดินตามสาวใช้ออกไปยังตำหนักชิ่งอัน บรรยากาศระหว่างทางมีทั้งศาลาหอห้อง สกุณาขับขาน ทั้งอวลด้วยกลิ่นบุปผา ทุกบริเวณล้วนเปี่ยมกลิ่นอายแห่งฤดูใบไม้ผลิ ทว่าไป๋เสวี่ยฝูกลับไม่มีอารมณ์เชยชม ขณะที่เดินผ่านสวนหนิงฮวา ทันใดนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งปราดมาเบื้องหน้า ไป๋เสวี่ยฝูเกิดความกลัวขึ้นทันที หลังจากตะลึงไปอึดใจหนึ่งนางก็ก้มหน้าลงเอ่ยว่า “ท่านพ่อ” น้ำเสียงสงบนิ่งไร้คลื่นอารมณ์ ประหนึ่งบุรุษตรงหน้านี้หาใช่บิดาของนาง แต่เป็นเพียงคนนอกที่ให้ความรู้สึกแปลกหน้าเสียยิ่งกว่าคนแปลกหน้าคนอื่นๆ อีก

อัครเสนาบดีไป๋คุกเข่าลงสองข้างคารวะไป๋เสวี่ยฝู “ไป๋ฉางโซ่วถวายพระพรเสวี่ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงของเขาเป็นเช่นเดียวกับไป๋เสวี่ยฝูที่ราบเรียบสงบราวสายธาร ร่างที่คุกเข่าอยู่บนพื้นดูชราและอ่อนแออยู่บ้าง ทว่าก็ยังคงแข็งแรงเหมือนกับวัว

ไป๋เสวี่ยฝูถอยหลังไปก้าวเล็กๆ ตามสัญชาตญาณ ก่อนจะอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เอ่ยเย้ยหยันตนเองว่า “ในเมื่อท่านพ่อคารวะอย่างไม่ยินยอมเช่นนี้ก็ลุกขึ้นเถิด แบบนี้กลับทำให้ลูกรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว” เสวี่ยเฟย…ชื่อตำแหน่งนี้ประหนึ่งแม่กุญแจที่คล้องนางไว้ทั้งชีวิต ทั้งยังปิดตายศักดิ์ศรีของนาง ทุกสิ่งทุกอย่างของนาง และทั้งหมดนี้บุรุษตรงหน้าล้วนเป็นผู้มอบให้นางทั้งสิ้น!

อัครเสนาบดีไป๋ไม่เพียงผลักไป๋เสวี่ยฝูลงเหวลึก เขายังทำลายแม้แต่ความฝันเล็กๆ ของนาง ท่านพ่อทำให้นางรู้ว่าเด็กหนุ่มผู้สง่างามใต้ต้นดอกสาลี่ในตอนนั้นได้เปลี่ยนไปเป็นบุรุษผู้มีฐานะสูงส่งที่สุดในแคว้นอวิ๋นเยวี่ย เขาทำให้นางมองเห็นความจริงของเรื่องนี้อย่างชัดแจ้ง ความจริงที่นางไม่อยากรู้เลยสักนิด!

บางครั้งการชอบใครสักคนไม่จำเป็นต้องครอบครอง มันสามารถซุกซ่อนอยู่ในใจลึกๆ อย่างสวยงามถึงแม้จะต้องถูกเก็บซ่อนตลอดไปก็ตาม แต่ท่านพ่อกลับทำลายความรักที่ยังไม่สุกงอมในก้นบึ้งของใจนางจนแหลกละเอียดอย่างโหดร้าย

อัครเสนาบดีไป๋ไม่ได้ทำทีห่างเหินกับไป๋เสวี่ยฝู เขากลับลุกขึ้นจากพื้นช้าๆ แล้วพิศมองนางในชุดเต็มยศพลางหัวเราะเยาะเย้ยว่า “ดูท่าเจ้าคงมีชีวิตที่สุขสมบูรณ์ดีกระมัง มิน่าถึงได้เห็นคำพูดของข้าเป็นดังสายลมผ่านหู”

ไป๋เสวี่ยฝูหันหน้าไปโบกมือให้เซียงเอ๋อร์กับอวิ้นเอ๋อร์ นางกำนัลทั้งสองถอยออกไปอย่างรู้งาน ขณะที่ไป๋เสวี่ยฝูยังคงหันหลังให้อัครเสนาบดีไป๋แล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “แค่อาภรณ์หรูหราเพียงชุดเดียวท่านพ่อก็คิดว่าลูกมีชีวิตที่สุขสมบูรณ์แล้วหรือเจ้าคะ ตำหนักในของฝ่าบาทมีหญิงสาวงดงามมากมาย ยามเชยชมบุปผางามไหนเลยจะมามองดอกไม้สีสันธรรมดาเช่นลูกได้”

“ความหมายของเจ้าก็คือฝ่าบาทยังไม่เลือกป้ายชื่อของเจ้าอย่างนั้นรึ” อัครเสนาบดีไป๋พลันสีหน้าเครียดขรึม จ้องบุตรสาวพลางเอ่ย

ไป๋เสวี่ยฝูพยักหน้าน้อยๆ สายตามองผ่านศาลาหอห้องไปยังเส้นสุดขอบฟ้าอันแสนไกล นี่เป็นสิ่งที่นางต้องการ หากชั่วชีวิตนี้เยวี่ยเยี่ยไม่เลือกป้ายชื่อนางเลย เช่นนั้นนางก็จะมีเหตุผลในการหลบหนีเป้าหมายที่ตนเองต้องกระทำ แต่เดิมเยวี่ยเยี่ยก็ไม่เคยมีความแค้นใดต่อนาง มิหนำซ้ำในใจนางยังมีความรู้สึกพิเศษต่อเขาจึงยิ่งตัดใจลงมือไม่ได้

“ไร้ประโยชน์สิ้นดี!” อัครเสนาบดีไป๋ตวาดเสียงต่ำอย่างเหลืออด ก่อนถลึงตาใส่นางอย่างผิดหวังยิ่งนัก หากมิใช่ไป๋เสวี่ยฝูมีตำแหน่งเฟยค้ำคอ เกรงว่าเขาคงโกรธจนซัดฝ่ามือใส่นางไปนานแล้ว

ไป๋เสวี่ยฝูหันไปหาบิดาช้าๆ จ้องมองเขาขณะลดเสียงให้เบาลงมากที่สุด “หากท่านพ่อเห็นว่าไป๋อวี้ฉีเก่งกว่าลูก ท่านพ่อก็ให้นางช่วยงานท่านเสีย เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นนางหรือลูกก็ไม่มีอะไรที่แตกต่าง กระทั่งฝ่าบาทยังไม่ทรงมองไปที่นางเลยสักครั้ง ท่านพ่อ ท่านควรเข้าใจว่าอะไรคือเหตุผลของสิ่งนี้ เยวี่ยเยี่ยมิใช่คนโง่ เขาไม่ใช่ลูกพลับที่พวกท่านจะบีบให้เละได้ตามใจชอบ…”

“หุบปาก!” อัครเสนาบดีไป๋เดือดดาลพลางมองซ้ายทีขวาที แล้วสุดท้ายก็หันไปตวาดเสียงต่ำ “เจ้าคิดจะให้ทุกคนรู้เรื่องที่ข้าสั่งให้เจ้ากระทำหรือไร อย่างไรเจ้าก็ต้องพยายามทำให้ฝ่าบาทพอพระทัยให้ได้ จงรีบทำเป้าหมายให้สำเร็จ!”

“ลูกทราบแล้ว” ไป๋เสวี่ยฝูขานรับอย่างเย็นชา ใช้สายตาเคียดแค้นมองบิดาวูบหนึ่ง ก่อนที่เงาร่างสีฟ้าอ่อนประหนึ่งเมฆสีรุ้งจะลอยผ่านร่างเขาไป ไร้สุ้มเสียงไร้ลมหายใจ ค่อยๆ ห่างไปไกล จนสุดท้ายจึงหายลับที่ปลายสุดของสวนดอกไม้

ตำหนักชิ่งอันตั้งอยู่ใจกลางวังหลวง ใต้เสากลมในทางเดินตำหนักมีหัวมังกรพ่นน้ำ หลังคาปูด้วยกระเบื้องเคลือบสีทอง ส่วนชายขอบหลังคาปูด้วยสีเขียว ระหว่างเสาสองต้นมีตัวมังกรแกะสลักเชื่อมติดกัน การใช้งานและการประดับตกแต่งรวมเป็นหนึ่งอย่างสมบูรณ์แบบ ตำหนักอันใหญ่โตโอ่อ่านี้จึงเพิ่มอำนาจให้กับองค์จักรพรรดิ

ตอนที่ไป๋เสวี่ยฝูเดินมาถึงตำหนักชิ่งอัน เยวี่ยเยี่ยได้ประทับที่บัลลังก์จักรพรรดิแล้ว ข้างกายรายล้อมไปด้วยสนมชายาเรือนร่างอรชรอวบอัด เยื้องกรายดุจเทพเซียน ไป๋เสวี่ยฝูยืนอยู่ใจกลางตำหนักพลางย่อกายถวายบังคมเยวี่ยเยี่ย เมื่อเงยหน้าขึ้นนางก็รับรู้ได้ถึงแววตาโกรธเกรี้ยวชิงชังทันทีโดยไม่ทันตั้งตัว แววตานั้นประหนึ่งมีดโลหะเปล่งแสงสีเงินสองเล่มพุ่งตรงมาที่ร่างของนาง

ไป๋เสวี่ยฝูพลันรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาจากส่วนลึกของก้นบึ้งหัวใจโดยไม่รู้ตัว ประหนึ่งกลัวว่าแววตาที่กำลังลุกโหมด้วยเพลิงโทสะนี้จะแผดเผาตัวนางจนเป็นเถ้าธุลีในช่วงเวลาต่อไป ความเกลียดชังนี้หาได้มาจากเยวี่ยเยี่ยที่อำมหิตไร้หัวใจมาแต่ไหนแต่ไรไม่ ทว่ากลับมาจากอวี้กุ้ยเฟยซึ่งประทับอยู่ข้างกายเขา

อวี้กุ้ยเฟยสวมชุดชาววังสีส้มปักดิ้น เส้นไหมสีเงินปักลวดลายดอกเหมยผลิบานนับไม่ถ้วนตั้งแต่ชายกระโปรงขึ้นมาจนถึงช่วงเอว บริเวณเอวกลัดป้ายหยกสีเขียวมรกตให้ความรู้สึกสง่างามสูงศักดิ์ ผมดำขลับดุจหมึกใช้ปิ่นหยกขาวเกล้าเป็นมวยสลับซับซ้อน ถึงจะซับซ้อนแต่ล้วนเกิดจากความประณีต ผมม้าที่หน้าผากเอียงไปด้านหนึ่งอย่างเป็นระเบียบ ดวงตาโตสุกใสทรงเสน่ห์เปล่งประกายวาวแววเห็นได้ชัดเจน กระนั้นถึงปิ่นทองระย้าบนเรือนผมและปิ่นหยกจะเป็นชุดเดียวกันกับชุดชาววังบนร่าง แม้จะงดงามมากเพียงใด แต่หากเทียบกับปิ่นมรกตบนศีรษะของไป๋เสวี่ยฝูแล้วก็เห็นได้ชัดว่าด้อยกว่าอยู่ขั้นหนึ่ง

ไม่เพียงอวี้กุ้ยเฟยที่จ้องมองนาง สนมชายาที่มีความทะเยอทะยานโดยธรรมชาติต่างก็กำลังใช้สายตาระแวดระวังมองมาที่ไป๋เสวี่ยฝูคล้ายเห็นตัวประหลาด

ไป๋เสวี่ยฝูถูกมองจนขนลุก ชั่วเวลาเดียวกันนั้นเองนางก็จับประกายชั่วร้ายที่ฉายวาบในแววตาของไป๋อวี้ฉีได้พอดี หัวใจไป๋เสวี่ยฝูพลันดิ่งวูบทันที รู้ซึ้งในท้ายที่สุดว่าเหตุใดไป๋อวี้ฉีจึงอยากจะเปลี่ยนชุดกับนาง ที่แท้ทุกอย่างล้วนเป็นแผนการของไป๋อวี้ฉี

เห็นทีไป๋อวี้ฉีคงโตแล้ว มิใช่เด็กสาวที่ดีอกดีใจเพราะอาภรณ์ชุดเดียวคนนั้น นางเรียนรู้ที่จะวางแผน แต่อย่างไรก็เป็นตนเองที่โง่งม แค่แผนการง่ายๆ เช่นนี้กลับยังดูไม่ออก ไป๋เสวี่ยฝูควรรู้แต่แรก หากอาศัยเพียงไป๋อวี้ฉีที่อยู่ในตำแหน่งชายาซึ่งไม่มีอะไรแตกต่างจากการถูกส่งมาอยู่ตำหนักเย็น จะถูกแบ่งอาภรณ์หรูหราสูงค่าปานนี้ได้อย่างไร ทั้งชุดและปิ่นมรกตนี้เกรงว่าคงเป็นของที่นางนำติดตัวมาจากจวนสกุลไป๋กระมัง!

อวี้กุ้ยเฟยถูกพระชายาที่ไม่ได้รับความโปรดปรานเช่นไป๋เสวี่ยฝูเปรียบเทียบให้ดูด้อยกว่าเช่นนี้ หากในใจไม่เคียดแค้นก็คงแปลก

“เชิญเสวี่ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ” หลี่กงกงทำท่าผายมือให้นาง ไป๋เสวี่ยฝูจึงได้หลุดจากภวังค์ นางมองเยวี่ยเยี่ยวูบหนึ่งแล้วเดินไปทางข้างกายเขา ในวูบนั้นนางเห็นความเฉยชาจากดวงตาของเยวี่ยเยี่ยดังเช่นเคย ถึงนางจะสวมอาภรณ์งดงามเพียงไร เกรงว่าเขาก็คงไม่แม้แต่จะชายตามองนางให้นานขึ้นสักนิด

ในสายตาของเขาย่อมมีเพียงตำแหน่งและอำนาจเสมอมา นัยน์ตาคมดุจกระบี่แต่กลับมิอาจมองทะลุการแย่งชิงอำนาจของฝ่ายในไปได้ ตลอดมาล้วนมองไม่เห็นอีกฟากฝั่งของอำนาจ ไม่เคยใส่ใจแววตาแค้นเคืองลุ่มหลงประหนึ่งเมาสุราของเหล่าหญิงงาม

เยวี่ยเยี่ยชำนาญในด้านการปกปิด ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความโกรธ

เขาที่เห็นไป๋เสวี่ยฝูสวมอาภรณ์สีขาวจนชินชาแล้วนั้นเดิมทียังคิดว่ามีแต่สีขาวราวหิมะที่เหมาะสมกับนาง กลับคิดไม่ถึงว่าเมื่อชุดชาววังอันหรูหรามาอยู่บนร่างนางแล้วจะงามเลิศถึงเพียงนี้ เป็นความงดงามแปลกใหม่อย่างหนึ่งที่แม้แต่อวี้กุ้ยเฟยก็ยังยากจะเทียบเทียม

อวี้กุ้ยเฟยมองเห็นเยวี่ยเยี่ยที่แต่ไรมาไม่เคยนิยมชมชอบอิสตรียังหยุดสายตาอยู่บนร่างของไป๋เสวี่ยฝู แววตานั้นกำลังเปล่งประกายชื่นชมที่คนนอกแทบจับไม่ได้…ชื่นชม? ฝ่าบาทกลับมีช่วงเวลาชื่นชมสตรีเช่นกัน!

ปกติไม่ว่าข้าจะแต่งกายอย่างไร ประดับประดาตนเองอย่างไร ฝ่าบาทก็ไม่เคยหวั่นไหวเลยสักครั้ง

อวี้กุ้ยเฟยเกิดความแค้นในใจ ทว่าปากกลับเอาอกเอาใจเต็มที่ โน้มกายลงกระซิบที่ข้างหูเยวี่ยเยี่ย “ฝ่าบาทเพคะ เสวี่ยเฟยช่างงดงามชวนให้ผู้คนหลงรักดังที่อัครเสนาบดีไป๋เคยกล่าวถึงในตอนแรก ว่ากันว่าจวนอัครเสนาบดีไป๋ให้กำเนิดหญิงงาม ดูท่าจะพูดไม่ผิดไปเลยสักนิดนะเพคะ”

อัครเสนาบดีไป๋? นัยน์ตาเยวี่ยเยี่ยเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวในทันที อวี้กุ้ยเฟยช่วยเตือนความจำเขา หญิงสาวผู้นี้คือบุตรีของอัครเสนาบดีไป๋ เป็นคนที่อัครเสนาบดีไป๋ส่งมาเพื่อสอพลอสร้างความพึงพอใจให้กับเขา และเสริมสร้างความแข็งแกร่งของฐานะให้สกุลไป๋ เขาเกลียดคนที่ประจบสอพลอหวังผลประโยชน์เป็นที่สุด เวลานี้เขาพลันคิดถึงมารดาที่เสียชีวิตไปอย่างน่าอนาถ และหวนคิดถึงใบหน้าจอมปลอมละโมบโลภมากของอัครเสนาบดีไป๋อีกครั้ง

สีหน้าของเขายังคงเย็นชา หัวใจก็เยียบเย็นตามไปทีละนิด

ไป๋เสวี่ยฝูก้าวขึ้นไปบนบันไดที่ปูด้วยพรมสีทอง นั่งลงตรงด้านซ้ายของเยวี่ยเยี่ย ข้างกายนางมีเซี่ยเฟยผู้เงียบขรึมนิ่งพูดน้อย ดวงตาสองข้างมองเหม่อลอยอยู่กลางอากาศประหนึ่งไม่รู้สึกเพลิดเพลินกับทุกสิ่งทุกอย่างเบื้องหน้านี้เลยสักนิด ไป๋เสวี่ยฝูเคยได้ยินเซียงเอ๋อร์เอ่ยถึงหญิงผู้นี้ว่าเป็นคนที่ไม่สนใจการแก่งแย่งชิงดีในตำหนักในเลยสักนิด ในใจเอาแต่คะนึงหาบุรุษที่โตขึ้นมาด้วยกันตั้งแต่เล็กซึ่งอยู่นอกวัง ตามหลักแล้วเยวี่ยเยี่ยควรจะโบยเซี่ยเฟยตามกฎของวังหลวง แต่ก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดจึงละเว้นนาง

ด้านหลังทางขวาของฝ่าบาทคืออวี้กุ้ยเฟย ทว่าเรื่องที่ทำให้ทุกคนต่างไม่เข้าใจก็คือผู้รับใช้ข้างกายนางกลับมิใช่เนี่ยนเอ๋อร์แต่เป็นหวากุ้ยเหริน! ทุกคนล้วนมีหนทางชีวิตเป็นของตนเอง หวากุ้ยเหรินเองก็เลือกที่จะใช้วิธีการนี้เพื่อรอดชีวิตจากการแก่งแย่งชิงดีของตำหนักใน นั่นเป็นวิธีการเอาชีวิตรอดของนาง ยามที่ทุกคนล้วนเห็นว่านางต่ำต้อยไร้ค่ากลับไม่เคยมีใครคิดว่าแท้จริงแล้วนางจะเป็นคนที่เฉลียวฉลาดที่สุดคนนั้น

เบื้องล่างของที่ประทับองค์จักรพรรดิ ขุนนางสำคัญในราชสำนักถวายบังคมเสร็จก็ลุกขึ้นแยกย้ายไปนั่งยังปีกตำหนักทั้งสองด้าน เหล่านางกำนัลที่สวมชุดแบบเดียวกันกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ระหว่างขุนนางทั้งหลาย นักดนตรีที่มีรูปโฉมงดงามค่อยๆ เดินออกมายังใจกลางตำหนัก ย่อกายเล็กน้อยด้วยท่วงท่าสง่างามให้เยวี่ยเยี่ย ก่อนจะเยื้องย่างไปนั่งตรงหน้าพิณโบราณชั้นดี สองมือเรียวยาวดีดผ่านสายพิณอย่างแผ่วเบา บริเวณที่นิ้วมือเคลื่อนผ่านจะบังเกิดเสียงดนตรีสูงต่ำติดต่อกัน เสียงเพลงประหนึ่งน้ำใสกระจ่างอันสดชื่นรื่นหู ทั้งยังเหมือนสายลมแผ่วเบาเหนือทะเลสาบในคืนฤดูร้อน ระผ่านผิวทะเลสาบอย่างอ่อนโยน โชยพัดเข้าไปในใจของทุกคน

บทเพลงนี้ไม่ได้บรรเลงโดยสตรีจากแคว้นอวิ๋นเยวี่ย ทั้งบทเพลงที่ดีดก็มิใช่ของแคว้นอวิ๋นเยวี่ยเช่นกัน คนที่เข้าใจดนตรีอยู่บ้างย่อมฟังออกว่าบทเพลงนี้มาจากแคว้นเป่ย แคว้นเล็กๆ อันห่างไกลและมีลมพายุทรายทั่วฟ้าแห่งนั้น

ครั้นบทเพลงจบลง นักดนตรีก็ลุกเยื้องกรายมาที่ใจกลางตำหนักอีกครั้ง แย้มยิ้มพริ้งเพราไปทางเบื้องบนตำหนัก ก่อนจะย่อกายเล็กน้อยแล้วถอยออกไปพร้อมกับเสียงปรบมืออันดังกึกก้อง

หลังจากนั้นผู้ที่ปรากฏตัวเบื้องหน้าทุกคนก็คือบุรุษสองคนที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกันหลายส่วน ทั้งสองคนมีรูปร่างสูงโปร่งและหน้าตาที่หล่อเหลา พวกเขาสวมเครื่องแต่งกายประจำราชวงศ์แคว้นเป่ย ค้อมกายที่หน้าตำหนักแล้วเอ่ยพร้อมกันว่า “หนานกงเจวี๋ย หนานกงอวี้แห่งแคว้นเป่ยถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมพระชายาทั้งหลาย ขอความเจริญและความสุขมีแด่แคว้นอวิ๋นเยวี่ย!”

ตั้งแต่บุรุษทั้งสองเข้ามา ไป๋เสวี่ยฝูก็ตะลึงไปเล็กน้อย หนึ่งในสองคนนั้นก็คือบุรุษที่นางบังเอิญพบในตำหนักในคนนั้น คิดไม่ถึงว่าที่แท้จะเป็นองค์ชายของแคว้นเป่ย!

หนานกงเจวี๋ยก็เห็นไป๋เสวี่ยฝูแล้วเช่นกัน แววตาร้อนแรงเพียงพาดผ่านดวงหน้าของนางไปอย่างว่องไว ไม่บังเกิดคลื่นอารมณ์ใดเลยสักนิด เขาเป็นบุรุษที่ชำนาญการยิ่งนัก ไป๋เสวี่ยฝูลอบคิดในใจ

แม้ทั้งคู่จะสบตากันเพียงครั้งเดียวในเวลาอันสั้น แต่กลับมิอาจรอดพ้นสายตาที่แลดูเรียบเฉยทว่าเฉียบคมหาใดเปรียบของเยวี่ยเยี่ยไปได้ มุมปากที่เม้มแน่นกระดกขึ้นเล็กน้อย ในใจคิดว่าไป๋เสวี่ยฝูไม่ธรรมดาโดยแท้จริง

เยวี่ยเยี่ยรู้สึกผิดในใจที่เมื่อครู่เผลอชื่นชมนาง สตรีที่เขาควรเคียดแค้นผู้นี้มักมีวิธีการเบี่ยงเบนความสนใจจนทำให้เขาเสียสมาธิเสมอ!

ขณะที่ไป๋เสวี่ยฝูยังคงใจลอยก็ได้ยินเสียงหัวเราะเย้ยหยันที่ออกมาจากใจจริงของเยวี่ยเยี่ย น้ำเสียงนั้นประหนึ่งลอดผ่านธารน้ำแข็งอันหนาวเหน็บแล้วลอยปกคลุมไปทั่วตำหนัก “องค์รัชทายาทและองค์ชายสี่ตั้งใจอย่างหาได้ยากยิ่ง รู้ว่าเราชอบฟังบทเพลงของแคว้นเป่ย เราจะไม่รับบทเพลงนี้ไว้เปล่าๆ อย่างแน่นอน” กล่าวจบก็หันไปรับสั่งกับคนด้านหลัง “ใครก็ได้ไปเตรียมของขวัญล้ำค่ามาให้เราชิ้นหนึ่ง!”

“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” หลี่กงกงซอยเท้าถอยออกไป

“เพียงฝ่าบาทชมชอบก็พอแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมยังเกรงว่าฝ่าบาทจะไม่ชอบฟังบทเพลงของแคว้นเป่ยเสียอีก” หนานกงเจวี๋ยฉีกมุมปากยิ้มน้อยๆ แม้รอยยิ้มนั้นดูซื่อสัตย์นอบน้อมยิ่ง แต่กลับทำให้มือของเยวี่ยเยี่ยที่กุมมุกมังกรต้องกำแน่นขึ้นอีกนิด กระดูกเส้นเอ็นเป็นสีขาว เขาย่อมเข้าใจความนัยที่แฝงอยู่ในวาจานั้นดี หนานกงเจวี๋ยกำลังย้ำเตือนว่าในร่างของเขายังมีสายโลหิตของชาวเป่ยอยู่ครึ่งหนึ่ง!

เยวี่ยเยี่ยจำได้แน่ว่าในร่างของตนมีสายโลหิตของชาวเป่ยอยู่ครึ่งหนึ่ง ทั้งยังรู้ว่าแคว้นเป่ยก็ถือเป็นบ้านเกิดของตนเองเช่นกัน! เพียงแต่แคว้นเป่ยเล่า เคยเห็นว่าเขากับท่านแม่เป็นราษฎรในแคว้นบ้างหรือไม่

เพื่อประจบสอพลอจักรพรรดิแคว้นอวิ๋นเยวี่ยแล้ว ปีนั้นเจ้าแคว้นเป่ยก็รับสตรีสกุลซย่าผู้ได้รับขนานนามว่าเป็นโฉมสะคราญอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเป็นบุตรบุญธรรม จากนั้นก็ส่งมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นอวิ๋นเยวี่ยในฐานะองค์หญิงของแคว้นเป่ย

จักรพรรดิแคว้นอวิ๋นเยวี่ยพอพระทัย ขณะเมาสุราอยู่นั้นก็มอบแผ่นดินที่แคว้นเป่ยจ้องจะตะครุบอยู่ให้อย่างใจกว้าง ทั้งยังมอบเงินทองหมื่นตำลึงและแพรไหมนับพันพับให้อีก

ดูจากตอนนั้นแล้ว ซย่าซื่อ…ท่านแม่ของเขามีราคาสูงส่งมิมีใครเหนือกว่า

แต่หญิงงามผู้มีราคาสูงส่งคนนี้ หลังจากแคว้นเป่ยส่งมาที่วังหลวงแล้วก็ไม่เคยดูดำดูดี ไม่สนว่าเขากับมารดาที่ถูกส่งเข้าไปอยู่ตำหนักเย็นด้วยกันนั้นเป็นอย่างไรบ้าง หรือกระทั่งท่านแม่ยอมสละชีวิตเพื่อเขา

เยวี่ยเยี่ยยังจำได้อย่างชัดเจน ตอนตนเองอายุหกปีอดีตจักรพรรดิได้จัดงานเลี้ยงรับรองแคว้นต่างๆ โดยรอบขึ้นมา เพื่อจะหาทางออกแทนท่านแม่ เยวี่ยเยี่ยถึงกับยอมหนีออกจากตำหนักเย็นโดยไม่คำนึงถึงชีวิต ลอบวิ่งมาที่งานเลี้ยงรับรองที่ผู้คนกำลังร้องเพลงร่ายรำกันอย่างชื่นมื่น

แคว้นเป่ยส่งอ๋องอายุมากมาคนหนึ่งเพื่อร่วมอวยพร อ๋องผู้นั้นหน้าตาอ่อนโยนมีเมตตา ท่าทางดูมีน้ำใจเป็นมิตร ทว่าวาจาที่กล่าวออกมานั้นกลับไร้น้ำใจอย่างสิ้นเชิง เขาบอกว่า ‘แม่เจ้าไม่เอาไหนเองถึงได้กุมหัวใจของบุรุษไว้ไม่ได้ วันนี้ต้องมีจุดจบเช่นนี้ก็นับว่าสมควร แคว้นเป่ยถูกนางทำให้ต้องอับอายขายหน้าอย่างยิ่ง!’

จากนั้นคนผู้นั้นก็สะบัดชายเสื้อที่เยวี่ยเยี่ยจับไว้กลับไปอย่างหงุดหงิด โดยไม่สนใจเขาที่ล้มไปกับพื้น เพียงแค่หมุนตัวจากไปอย่างไร้เมตตา

ตั้งแต่นั้นเยวี่ยเยี่ยก็ไม่คิดว่าตนเองเป็นคนของแคว้นเป่ยอีก ไม่หวังว่าแคว้นเป่ยจะยื่นมือมาช่วยเหลือเขากับแม่อีกต่อไป และก็เป็นตอนนั้นเองที่เขาถึงเข้าใจ อย่างมากที่สุดท่านแม่ก็เป็นได้เพียงหมากตัวหนึ่งของแคว้นเป่ย เมื่อใช้ประโยชน์จนลุล่วงแล้วก็ไม่มีค่าอันใดอีก เป็นเพียงหมากที่โยนทิ้งได้ส่งเดช

หากมิใช่เพราะความเห็นแก่ตัวของแคว้นเป่ย ท่านแม่จะมีชีวิตที่เงียบเหงาอ้างว้างและต้องสิ้นชีวิตไปอย่างน่าอเนจอนาถถึงเพียงนี้ได้อย่างไร

คิดถึงท่านแม่ที่ต้องสิ้นชีวิตไปอย่างน่าเวทนาแล้ว เยวี่ยเยี่ยก็หลับตาลงเบาๆ เขาไม่ได้แสดงเพลิงโทสะออกมา บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มเป็นมิตรน้อยๆ น้ำเสียงก็ยังสงบเรียบเช่นเดิม “องค์ชายทั้งสองเดินทางมาไกลนับพันหลี่เพื่อช่วยเหลือบิดา ความกตัญญูนี้น่ายกย่องยิ่งนัก!”

“ฝ่าบาท เสด็จพ่ออายุมากแล้วอาจหลงลืมไป พลาดพลั้งล่วงล้ำแคว้นอวิ๋นเยวี่ยถือว่ามีความผิด ขอฝ่าบาทโปรดทรงเห็นใจที่เสด็จพ่อมีอายุมากแล้ว ปล่อยเขาสักครั้งเถิดพ่ะย่ะค่ะ” หนานกงอวี้ขยับไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง ยกฝ่ามือประสานเอ่ยอย่างจริงใจ

ปล่อยเขา? เยวี่ยเยี่ยยิ้มหยันในใจ มิใช่คนผู้นี้หรอกหรือที่ส่งท่านแม่มายังวังหลวงแคว้นอวิ๋นเยวี่ย!

“องค์ชายทั้งสองมีน้ำใจเช่นนี้ เราย่อมไม่แล้งน้ำใจแน่นอน เราจะสั่งให้คนไปปล่อยนักโทษเดี๋ยวนี้” แม้วาจาของเยวี่ยเยี่ยจะน่าฟังแต่กลับยากจะทำให้ลิงโลดได้ มิหนำซ้ำยังชวนให้บังเกิดความรู้สึกไม่สงบเพิ่มขึ้นมาทีละน้อยจากก้นบึ้งของหัวใจ

แต่สองพี่น้องก็ยังคงตอบขอบพระทัยอย่างมีมารยาท “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!” กล่าวจบหนานกงเจวี๋ยก็โบกมือไปทางนอกตำหนัก ขันทีผู้หนึ่งถือถาดที่คลุมด้วยแพรต่วนไว้เดินเข้ามาหยุดยืนข้างกายเขา จากนั้นหนานกงเจวี๋ยก็ดึงผ้าด้านบนออกเผยให้เห็นขวดกระเบื้องสีขาวขนาดเท่าครึ่งกำมือ

ขวดทรงน้ำเต้าแวววาวสะอาดหมดจดดุจหยก ตัวขวดมีลวดลายเมฆมงคลลอยละล่องสองสามก้อน เป็นขวดที่ประณีตอย่างยิ่ง

“ได้ยินว่าฝ่าบาททรงชอบศึกษาเรื่องพิษ พิษสุราขาวนี้เป็นพิษที่หมอยาแห่งแคว้นเป่ยศึกษาออกมาล่าสุด ทั้งยังมีฤทธิ์รุนแรงที่สุด หวังว่าฝ่าบาทจะทรงชอบพ่ะย่ะค่ะ” หนานกงเจวี๋ยกล่าวพลางยิ้ม นัยน์ตาที่หลุบลงฉายประกายอำมหิตโดยไม่มีใครสังเกตเห็น

เยวี่ยเยี่ยปราดมองยาพิษในขวดสีขาวจากที่ไกล แต่กลับไม่ได้สั่งให้คนไปรับ ไม่มีคนมองออกว่าเขากำลังคิดอะไร

ไป๋เสวี่ยฝูหวั่นวิตกประหนึ่งดวงใจจุกขึ้นมาที่ลำคอขณะจ้องไปที่ขวดยาพิษอย่างเอาเป็นเอาตาย

เมื่อตัดสินใจได้นางก็ลุกขึ้นยืนท่ามกลางความเงียบสงัด เดินไปตรงหน้าเยวี่ยเยี่ยพลางยิ้มเอ่ย “ฝ่าบาทเพคะ ในเมื่อกงกงไม่อยู่ ให้หม่อมฉันยกมาถวายเถิดเพคะ”

ในที่สุดก็ต้องเป็นสถานการณ์เช่นนี้ นางถึงจะเรียกตนเองว่าหม่อมฉันเป็นครั้งแรก

เยวี่ยเยี่ยเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วยิ้มมองนาง

ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตะลึงงัน ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ นางจะแสดงตัวออกมาเช่นนี้ ต่อให้หลี่กงกงไม่อยู่ก็ยังมีขันทีและนางกำนัลอีกมากมายที่จะถวายการรับใช้ เพราะไป๋เสวี่ยฝูกำลังก้มหน้าเยวี่ยเยี่ยจึงมองใบหน้าของนางไม่ชัด ทว่าก็ยังคงอนุญาตนางคำหนึ่ง “เช่นนั้นต้องลำบากชายารักแล้ว”

ไป๋เสวี่ยฝูเพียงยิ้มบางก่อนเดินลงจากแท่นบัลลังก์อย่างสง่างาม ทุกหนึ่งก้าวที่เข้าใกล้ สีหน้าของหนานกงเจวี๋ยก็จะเยียบเย็นไปหนึ่งขั้น

ที่ไป๋เสวี่ยฝูเดิมพันก็คือพิษประเภทนี้จะรุนแรงเพียงใด ต่อให้นางคาดเดาได้ว่าหนานกงเจวี๋ยจะต้องมีแผนการร้าย แต่ที่นางไม่เข้าใจก็คือตนเองจะกระทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร เพื่อหนานกงเจวี๋ยที่พบกันเพียงครั้งเดียว หรือเพื่อจักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยผู้ที่ไม่เคยเห็นความสำคัญของนาง ไม่แม้แต่จะจ้องมองนางตรงๆ มาก่อน

หนานกงเจวี๋ยก็เหมือนทุกคนที่คิดไม่ถึงว่าไป๋เสวี่ยฝูจะขอถวายของกำนัลแทนกะทันหัน ทำให้เขาพลันเสียแผนการที่วางไว้ในทันที ในชั่วพริบตาที่มือนางจะสัมผัสตัวขวดจึงรีบเอ่ยว่า “พระชายาโปรดช้าก่อน!”

ไป๋เสวี่ยฝูที่อกสั่นขวัญแขวนอยู่เป็นทุนเดิม เมื่อถูกหนานกงเจวี๋ยเรียกขึ้นเช่นนี้ก็ตกใจจนรีบชักมือกลับ แล้วมองเขาอย่างฉงนสงสัย “องค์รัชทายาทอยากจะกล่าวอันใดหรือเพคะ”

หนานกงเจวี๋ยตกที่นั่งลำบากในพริบตา หลังข้าทักขึ้นมาก็เท่ากับแผนการได้ล้มเหลวไปแล้ว นี่ข้าถึงกับยอมทิ้งโอกาสแก้แค้นเพื่อสตรีแปลกหน้าเพียงคนเดียว?! หนานกงเจวี๋ยสูดหายใจลึกอย่างจนใจ พยายามไม่ให้เสียงของตนเองฟังคล้ายสั่นสะท้าน “พิษสุราขาวมีฤทธิ์รุนแรงมาก เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ขอให้พระชายายกขึ้นไปพร้อมกับผ้าแพรต่วนจะดีกว่า”

มีแผนการอย่างที่คิดไว้จริงๆ! ไป๋เสวี่ยฝูตกตะลึงไปอึดใจ หากไม่ใช่เพราะเสียงที่เขาเอ่ยเรียก ‘พระชายา’ ว่องไวพอ นางคงติดกับไปแล้วใช่หรือไม่ แต่การสิ้นใจก่อนเยวี่ยเยี่ยนั้นหาใช่เป็นเรื่องไม่ดีไม่ เช่นนี้นางจะได้ไม่ต้องเค้นสมองเพื่อขบคิดว่าจะลงมือสังหารเขาอย่างไร

เดิมทีไป๋เสวี่ยฝูสามารถทำเป็นไม่สนใจทุกอย่างได้ เช่นนี้ต่อให้นางไม่ต้องลงมือก็มีโอกาสสูงมากที่จักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยจะสวรรคต แต่นางกลับทำเช่นนี้ ไม่ว่าเขาจะโหดร้ายเพียงไร ไม่ว่าเขาจะลืมนางไปหรือไม่ ไป๋เสวี่ยฝูกลับค้นพบว่าตนเองไม่อยากให้เขาถูกพิษตายไปเช่นนี้ แล้วยังมีบุรุษแคว้นเป่ยผู้ซุกซ่อนความแค้นอันไร้ที่สิ้นสุดตรงหน้านี้อีก หนานกงเจวี๋ยไม่ควรเสี่ยงอันตรายมากเพียงนี้ หากเยวี่ยเยี่ยสวรรคตเขาก็ต้องตายไปด้วยเช่นกัน!

คนที่นางอยากช่วยมิใช่เพียงเยวี่ยเยี่ยเท่านั้น ยังมีหนานกงเจวี๋ย…

ไป๋เสวี่ยฝูรับถาดจากขันทีแล้วหมุนตัวก้าวช้าๆ ขึ้นบันไดไป ก่อนจะคุกเข่าลงแล้วชูถาดขึ้นเหนือศีรษะถวายไปตรงหน้าเยวี่ยเยี่ย เขาโปรดปรานการสะสมพิษมาแต่ไหนแต่ไร ความสนใจย่อมสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทว่าก็ไม่โง่ถึงขั้นใช้มือไปสัมผัสกับตัวขวด จึงเพียงกล่าวว่า “ผู้ใดก็ได้นำของกำนัลขององค์ชายแคว้นเป่ยไปไว้ที่ตำหนักชิงเหอ!”

หนานกงเจวี๋ยอึ้งไป เขาคิดไม่ถึงว่าเยวี่ยเยี่ยจะป้องกันตัวเองอย่างระมัดระวังเพียงนี้ ต่อให้เมื่อครู่ไป๋เสวี่ยฝูไม่ได้ขัดขวาง เยวี่ยเยี่ยก็คงไม่ติดกับอย่างง่ายดายอยู่ดี สุดท้ายกลับเป็นขันทีน้อยผู้เก็บขวดยาที่ต้องสังเวยชีวิต จากนั้นรอให้เรื่องราวถูกเปิดโปง นั่นก็คือชะตากรรมอันเลวร้ายของแคว้นเป่ยแล้ว!

หลี่กงกงเมื่อกลับมาก็ได้ยินรับสั่งของฝ่าบาทจึงรับคำโดยไว “กระหม่อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” กล่าวจบก็รับถาดไปจากมือของไป๋เสวี่ยฝูแล้วยื่นไปให้ขันทีที่อยู่ด้านหลัง เอ่ยกับเยวี่ยเยี่ยอย่างเคารพ “ฝ่าบาท ของกำนัลเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เยวี่ยเยี่ยพยักหน้า ก่อนจะยิ้มบางไปทางหนานกงอวี้ที่อยู่เบื้องล่าง “ได้ยินว่าจนถึงวันนี้องค์ชายสี่ก็ยังไม่มีชายาและอนุภรรยา เราอยากจะมอบชายาเอกที่งดงามประหนึ่งบุปผาให้เจ้าผู้หนึ่ง สตรีผู้นี้ก็คือบุตรสาวคนโตของอัครเสนาบดีไป๋ของเรา ไป๋อีหนิง นางเป็นผู้รอบรู้หนังสือ อ่อนโยนเฉลียวฉลาด วันข้างหน้าจะต้องเป็นชายาผู้เกื้อหนุนองค์ชายสี่ได้อย่างแน่นอน…”

ไม่ทันรอให้เยวี่ยเยี่ยได้กล่าวจนจบ ไป๋เสวี่ยฝูก็ตกใจจนตาคู่นั้นถลึงโต สมองนางพลันว่างเปล่าจนแทบจะฟังวาจาต่อไปของเยวี่ยเยี่ยไม่ถนัด

เขากลับจะประทานไป๋อีหนิงที่เสียโฉมแล้วแต่แรกให้กับหนานกงอวี้ เขาอยากให้พี่สาวของนางใช้ชีวิตดุจตายทั้งเป็นชัดๆ!

ทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างตำหนักไม่มีใครสักคนที่กล้าส่งเสียง แม้แต่อัครเสนาบดีไป๋ก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าเฉยเมย ประหนึ่งทุกสิ่งทุกอย่างนี้ล้วนไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขา บางทีไป๋อีหนิงที่ไม่มีคุณค่าให้ใช้ประโยชน์แล้วอาจมิใช่คนสกุลไป๋อีกต่อไปในสายตาเขา แม้ให้นางแต่งออกไปยังแคว้นเป่ยซึ่งอยู่ห่างไกลและเต็มไปด้วยพายุทราย ผู้เป็นบิดาเช่นเขาก็ยังไม่รู้สึกรู้สา!

ท่ามกลางความเงียบงัน เงาร่างสีเขียวอ่อนเดินเข้ามาช้าๆ จากประตูตำหนัก อาภรณ์หรูหราสีเขียวอ่อนคลุมไว้ด้วยเสื้อบางสีขาว เผยให้เห็นลำคอระหงอันงดงาม ผิวพรรณนวลเนียนดุจดอกกล้วยไม้ สีผิวอมชมพูเปล่งปลั่ง ชุดกระโปรงทอแสงนวลตาราวแสงของจันทร์ยาวพลิ้วระพื้น เรือนผมดำขลับแผ่สยายลงบนบ่า ไม่มีเครื่องประดับผมใดเกินพอดี แรกเห็นประหนึ่งผีเสื้อที่โบยบินตามกระแสลม มีเพียงใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมหน้าบางผืนนั้นที่กำลังซุกซ่อนความลับซึ่งมิอาจเปิดเผย

“พี่หญิง…” ไป๋เสวี่ยฝูเผยอปาก นางพูดสองคำนี้ออกมาได้อย่างยากลำบาก น้ำเสียงเบาหวิว ไป๋อีหนิงกลับยังคงได้ยิน เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้นางอย่างนุ่มนวล รอยยิ้มที่เห็นรำไรใต้ผ้าคลุมหน้าแฝงไปด้วยความเศร้าสลดอันไร้ที่สิ้นสุด ทำให้คนรู้สึกสงสารจับใจ

“อีหนิงถวายบังคมฝ่าบาทและพระชายาทั้งหลายเพคะ” ไป๋อีหนิงย่อกายเล็กน้อยเพื่อถวายบังคม นัยน์ตากระจ่างเปล่งประกายวิบวับ ท่ามกลางความอ่อนโยนนั้นกลับเจือไปด้วยความไม่แยแสจางๆ

เยวี่ยเยี่ยยิ้มชั่วร้ายให้นางก่อนตรัสขึ้น “ในเมื่อตำหนักในของเรารองรับร่างอันสูงส่งดั่งทองพันชั่งของคุณหนูใหญ่สกุลไป๋ไม่ได้ เราคงจำเป็นต้องหาที่พักพิงอื่นให้แก่คุณหนูไป๋…”

ไม่รอให้เขากล่าวจบ อัครเสนาบดีไป๋ก็ขยับออกมาจากตำแหน่ง คุกเข่าลงเอ่ยอย่างร้อนใจ “กระหม่อมสมควรตาย! กระหม่อมสั่งสอนบุตรีไม่เอาไหน ขอฝ่าบาทได้โปรดลงโทษ!”

“ท่านอัครเสนาบดีไม่จำเป็นต้องตระหนกไป นั่งลงเถิด” เยวี่ยเยี่ยตรัสพลางยกมือขึ้นทีหนึ่ง อัครเสนาบดีไป๋ถึงได้กลับไปยังที่นั่งอย่างกระวนกระวายด้วยหัวใจที่เต้นระรัว เขาไม่เคยคิดว่าเยวี่ยเยี่ยจะรู้เรื่องที่ไป๋อีหนิงปฏิเสธการเข้าวัง คิดดูแล้วเรื่องทั้งหลายล้วนอยู่ในการควบคุมของเขาอย่างใกล้ชิดทั้งสิ้น ไป๋เสวี่ยฝูพูดไว้ไม่ผิด เยวี่ยเยี่ยมิใช่ลูกพลับนิ่มที่จะปล่อยให้ใครรังแกอย่างไรก็ได้!

แววตาเย็นเยียบของเยวี่ยเยี่ยตกลงไปบนร่างของไป๋อีหนิงอีกครั้งแล้วตรัสกับนางว่า “ถอดผ้าคลุมหน้าเสียเถิด ให้องค์ชายสี่ได้ยลว่าถูกใจหรือไม่” น้ำเสียงแม้สงบเรียบแต่กลับแผ่กลิ่นอายแห่งอำนาจที่ไม่ยอมให้ผู้คนปฏิเสธ

ดวงตาทั้งสองของไป๋อีหนิงพลันฉายแววหวาดกลัววูบหนึ่ง นางส่ายหน้าแล้วถอยหลัง หากสามารถหนีไปได้นางคงหนีไปแสนไกลในทันที แต่ที่นี่นางเป็นแค่สตรีอ่อนแอคนหนึ่ง จำต้องทนรับการเหยียดหยามเช่นนี้ให้ได้

ไป๋เสวี่ยฝูเห็นพี่สาวมีสภาพที่น่าสงสารถึงเพียงนี้ ทั้งหวาดหวั่นพรั่นพรึงปานนี้ นางจึงตัดสินใจคุกเข่าเสียงดังโครมอยู่แทบเท้าเยวี่ยเยี่ยพลางขอร้องอย่างร้อนใจว่า “ฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงเมตตา ได้โปรดละเว้นพี่หญิงด้วยเถิดเพคะ!”

“เจ้ากำลังตำหนิว่าเราโหดเหี้ยมอย่างนั้นหรือ” เยวี่ยเยี่ยค้อมกายลงมา นิ้วมือประดุจเหล็กกล้าบีบคางไป๋เสวี่ยฝู บังคับให้นางมองมาที่ตนเอง เขาเกลียดการร้องขอมากที่สุด เพราะการร้องขอความเห็นใจไม่มีคุณค่าอะไรทั้งนั้น ก็เหมือนกับท่านแม่ของเขาในตอนนั้นที่ถูกส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการเข้าวังหลวง ทั้งยังถูกขับไล่เข้าตำหนักเย็น แม้จะเคยร้องขอมากี่ครั้งกี่หน เคยน้ำตาหลั่งรินมาเท่าใด แต่กลับไม่เคยมีใครได้ยิน ไม่เคยมีเลย!

“เสวี่ยฝู อย่าไปขอร้องเขา!” ไป๋อีหนิงที่อยู่ด้านล่างของบันไดไม่รู้ว่าเอาความกล้ามาจากที่ใด แววตาไม่หวาดกลัวอีกต่อไป กระนั้นก็ยังคงเศร้าสลดจนทำให้คนที่เห็นปวดใจ นางส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “เสวี่ยฝู ชั่วชีวิตนี้เรื่องที่ข้ารู้สึกผิดมีเพียงเรื่องเดียวก็คือทำร้ายเจ้า จนทำให้เจ้าต้องเข้าวังแทนข้า ครองคู่กับบุรุษเลือดเย็นผู้นี้ น้องหญิง…ข้าทำผิดต่อเจ้าแล้ว”

ไป๋อีหนิงจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าฝ่าบาทกำลังใช้นางสร้างความน่ายำเกรงให้กับเขา ลงโทษที่นางขัดราชโองการไม่เคารพเบื้องสูงต่อหน้าขุนนางนับร้อย ต่อหน้าอัครเสนาบดีไป๋ผู้เป็นบิดา ตั้งแต่ชั่วพริบตาที่นางทำลายโฉมหน้าตนเอง นางก็คิดว่าจุดจบของตนเองจะต้องอเนจอนาถไร้ใดเปรียบอย่างแน่นอน

ทว่าเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญแล้ว…

“อย่าพูดเช่นนี้…” ไป๋เสวี่ยฝูร้อนรนจนน้ำตาริน นางจินตนาการได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อหลังประโยคเหล่านี้

ตามคาดไป๋อีหนิงยิ้มขมขื่น ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างหดหู่ “เทียบกับการถูกดูหมิ่นจากคนที่นี่ มิสู้ตายไปเสียให้สิ้นเรื่อง เสวี่ยฝู ชาติหน้าพวกเรายังต้องเป็นพี่น้องกันอีก แต่ขอให้เป็นพี่น้องในสกุลสามัญชนคู่หนึ่ง!” วาจาเพิ่งพ้นริมฝีปาก ไป๋อีหนิงก็ราวกับมีพละกำลังเต็มเปี่ยมขึ้นมากะทันหัน จากนั้นก็พุ่งตรงไปหาเสากลมด้านข้างของตำหนัก

“อย่า!”

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็ม)

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

Editor Jamsai: