บทที่ 2
เหล่าจ้าวคือพลทหารนายหนึ่งซึ่งมีหน้าที่เฝ้ายามหน้าบ้านพักรับรอง
สำหรับเขา การหักเหลี่ยมเฉือนคมของผู้ตรวจการกับนายอำเภอ การฉ้อราษฎร์บังหลวงอันใดเหล่านี้ ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเขาทั้งสิ้น
ชนชั้นผู้น้อยก็สมควรมีวิถีชีวิตของชนชั้นผู้น้อย ขอเพียงหลังเลิกงานสามารถซดสุราร้อนๆ สักถ้วย มีภรรยาอุ่นเตียงให้สักคน สนทนาฮาเฮกับเหล่าสหาย เท่านี้ก็พอใจแล้ว
แต่ชนชั้นผู้น้อยก็มีเรื่องซุบซิบของชนชั้นผู้น้อย
อย่างเช่นเหล่าจ้าวกับบรรดาสหายที่อยู่เวรในบ้านพักรับรอง หลายวันนี้ต่างใคร่รู้เป็นพิเศษเกี่ยวกับโฉมสะคราญที่ผู้ตรวจการถังพากลับมา และมิใช่ครั้งเดียวที่แอบคาดเดาฐานะของสตรีผู้เลอโฉมคนนั้น
บ้างก็ว่าโฉมงามนั้นเป็นอนุในบ้านของใต้เท้าถัง เพราะทนความริษยาของภรรยาเอกไม่ได้ ครั้นเห็นใต้เท้าถังเดินทางลงใต้จึงขอติดตามมาด้วย
บ้างก็ว่าโฉมงามเป็นของขวัญที่ขุนนางอื่นกำนัลให้กับผู้ตรวจการถัง ใต้เท้าถังตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น ถึงขนาดไม่ยอมห่างแม้ครู่ ต้องให้นางอยู่ข้างกายตลอดเวลา
บ้างก็ว่าความจริงโฉมสะคราญท่านนั้นเป็นคุณหนูตระกูลผู้ดี หลังจากผู้ตรวจการถังต้องตาเข้าก็ฉุดคร่าเอาตัวมา ผู้ตรวจการถังรับคำสั่งมาทำคดีคราวนี้เพื่อสืบสาวเรื่องภัยอดอยากปีที่แล้วของอำเภออู๋เจียง ผลสุดท้ายเมื่อมาถึงกลับลุ่มหลงในอิสตรี งานการไม่ใส่ใจ ดูท่าคงเป็นขุนนางขี้ฉ้อคนหนึ่งเช่นกัน
วาจาซุบซิบลุกลามไปทั่วบ้านพักอย่างรวดเร็ว หนำซ้ำยังมีแนวโน้มกระจายออกสู่ภายนอก
แต่ไม่ว่าเนื้อความจะพิสดารพันลึกปานใด กลับมีอยู่สองจุดเป็นที่ยอมรับของเหล่าจ้าวและสหาย
หนึ่งคือโฉมงามนั้นสวยสะคราญแท้จริง งามจนสะท้านขวัญสะเทือนวิญญาณ แทบจะดูดเอาจิตวิญญาณของผู้คนไปแล้ว
เมืองซูโจวและหังโจวมีสาวงามดาษดื่น พวกเหล่าจ้าวเป็นชาวซูโจวโดยกำเนิด ย่อมผ่านโลกมาโชกโชน ไม่เหมือนพวกชาวนาบ้านนอก แต่โฉมสะคราญข้างกายถังฟั่นคนนี้ช่างงามล้ำงามเลิศจนสุดจะเปรียบปานจริงๆ ทว่าด้วยมิแตกฉานในถ้อยคำวรรณศิลป์ พวกเหล่าจ้าวจึงนึกไม่ออกว่าจะพรรณนาถึงความงามของนางอย่างไร
ครั้งแรกที่ได้ยล พวกเขาได้แต่ปากอ้าตาค้างมองดูถังฟั่นพาโฉมสะคราญที่หอมฟุ้งเข้ามาในบ้านพักรับรอง ต่อมายังอดนึกขันตนเองไม่ได้ที่เสียกิริยาในตอนนั้น แต่เมื่อพวกเขาเห็นใต้เท้าถังในยามอยู่กับโฉมงามก็มีท่าทีไม่ต่างจากพวกเขานัก ทุกคนค่อยรู้สึกถึงความสมดุลทางใจ ด้วยเพราะมิใช่พวกเขาไม่เคยผ่านโลก แต่โฉมสะคราญช่างงามเกินไปจริงๆ
บุปผาที่สวยสดงดงามยิ่งดอกนี้ถูกถังฟั่นเด็ดดมเสียแล้ว ไม่อาจไม่กล่าวว่าทุกคนล้วนอิจฉาตาร้อนแทบตาย
ยังมีจุดที่สองซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่ว นั่นก็คือผู้ตรวจการถังพะเน้าพะนอโฉมสะคราญนางนี้มาก ขาดเพียงมิได้ผูกคนไว้กับเอว พาไปทุกแห่งทุกหนทุกที่ทุกเวลาเท่านั้น
ระหว่างหลายวันที่เหล่าจ้าวเข้าเวร เมื่อใดก็ตามที่ผู้ตรวจการถังออกนอกบ้านพัก ไม่ว่าไปที่ใด ทำธุระอันใด ล้วนพาอีกฝ่ายไปด้วยตลอด ถึงขนาดลือกันว่าแม้แต่ไปเยี่ยมคารวะใต้เท้าเจ้าเมืองก็ยังพาสตรีนางนั้นเข้าจวนไปด้วยกัน ไม่กลัวเป็นที่ครหาสักนิด ชวนให้ผู้คนตะลึงจนพูดไม่ออก
ทว่านี่ก็มิอาจตำหนิ โฉมงามเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นพวกเขา แม้แต่ชีวิตก็ยินดีสละให้ ใต้เท้าทั้งหลายก็คนเหมือนกัน นี่มีอันใดน่าแปลกใจเล่า
ชัดเจนยิ่งว่าเมื่อถึงวันที่ผู้ตรวจการถังกลับเมืองหลวงจะต้องพาโฉมสะคราญกลับไปด้วยแน่นอน และหากภรรยาเอกของผู้ตรวจการถังมิใช่แม่เสือ ต่อไปโฉมสะคราญนางนี้ต้องครองอำนาจสูงสุดในเรือนผู้ตรวจการถังอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่จะว่าไปสตรีเลอโฉมที่งามหยาดเยิ้มปานนี้ ไม่อยู่ในตำหนักในของจักรพรรดิ กลับให้ผู้ตรวจการขั้นสี่คนหนึ่งถือครอง ก็ไม่ทราบผู้ตรวจการถังจะสามารถรักษาไว้ได้หรือไม่
ไม่ว่าเบื้องนอกพายุฝนโหมกระหน่ำจนฟ้าสะเทือนปานใด ถังฟั่นเพียงฟังแต่ไม่นำพา ยังคงพาเซียวอู่เข้าๆ ออกๆ บ้านพักตามปกติ
แม้ขณะออกข้างนอกถังฟั่นเอาหมวกผ้าโปร่งคลุมหน้าให้เซียวอู่ด้วยความรอบคอบแล้ว แต่ทรวดทรงองค์เอวอันอ่อนช้อยบอบบางนั้นจะสามารถหลอกลวงผู้ใดได้เล่า เพียงไม่กี่วันคนกว่าครึ่งอำเภออู๋เซี่ยนก็ล่วงรู้กันทั่วว่าข้างกายถังฟั่นมีหญิงงามที่เลอโฉมล่มเมืองคนหนึ่ง กินอยู่หลับนอนตะลอนเที่ยวกับเขาตลอดเวลา
ขอเพียงเป็นบุรุษ ไม่มีใครไม่ทอดถอนใจกับวาสนานารีของถังฟั่น
ทว่าสำหรับเซียวอู่แล้วกลับเป็นอีกความรู้สึกหนึ่ง
นางหาทราบไม่ว่าถังฟั่นล่วงรู้ฐานะของนางแล้วจึงยังทำตามคำสั่งของเฉินหลวน พยายามทุกวิถีทางให้ได้อยู่ข้างกายถังฟั่น และทำลายชื่อเสียงของเขาให้ย่อยยับ มาตรว่าทั้งสองมิได้มีสัมพันธ์ลึกซึ้ง หากก็ต้องทำให้คนนอกรู้สึกว่าเซียวอู่เป็นของรักของหวงของถังฟั่นให้ได้
บัดนี้แผนการกำลังย่างสู่เป้าหมาย ถังฟั่นลุ่มหลงนางจนถอนตัวไม่ขึ้น แต่เซียวอู่กลับไม่ดีใจสักนิด
เพราะถึงแม้ถังฟั่นลุ่มหลงนางมาก แต่กลับรักษามารยาทจรรยา นอกจากโอบๆ กอดๆ และสัมผัสมือ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กลับไม่คืบหน้าแม้ก้าว
แต่นี่ไม่นับเป็นอันใด บัณฑิตผู้ถือดีเซียวอู่เจอะเจอมานักต่อนัก เฉกเช่นถังฟั่นก็ใช่ว่าไม่เคยเห็น สิ่งที่ทำให้เซียวอู่ว้าวุ่นใจกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ถังฟั่นเวลานี้ชมชอบนางถึงขั้นห่างนางไม่ได้แม้ชั่วครู่ ไม่เพียงออกจากบ้านพักต้องพาไป กระทั่งนางไปปลดทุกข์กลับมาก็จะเห็นถังฟั่นชะเง้อหาตนด้วยสีหน้ากระวนกระวาย ปากยังครวญคร่ำ ‘อู่เอ๋อร์เจ้าหายไปที่ใดแล้ว ไม่เห็นหน้าเจ้า ข้าทำอะไรไม่ได้เลย’
เซียวอู่เดิมทีก็ชอบบุคลิกงามสง่าและหน้าตาคมคายของถังฟั่น แต่คลุกคลีนานเข้าพบว่าใต้หนังหน้าของบุรุษผู้นี้กลับมีนิสัยเอื่อยเฉื่อย นางถูกตอแยบ่อยเข้าก็พานหมดอารมณ์ ไหนเลยยังชมชอบต่อไปได้
หนึ่งเดียวที่พอประโลมใจคือถังฟั่นกระทำสิ่งใดล้วนไม่ปิดบังนาง รวมทั้งเรื่องงาน
ดังนั้นหลายวันนี้เซียวอู่ไม่เพียงรู้ว่าหูเหวินเจ่าเจ้าเมืองซูโจวหันมาเข้าพวกกับถังฟั่นแล้ว ยังรู้อีกว่าภูผาลูกใหญ่เบื้องหลังถังฟั่นความจริงก็คือวังจื๋อ อดีตผู้บัญชาการสำนักประจิม ขันทีข้างพระวรกายโอรสสวรรค์ ถังฟั่นยังบอกนางด้วยว่าเงินทองของมีค่าที่สมาคมพ่อค้าซูโจวส่งมาให้นั้น เขาก็ได้นำส่งถึงวังกงกงที่เมืองหลวงแล้ว
แต่ที่สร้างความรำคาญใจต่อเซียวอู่ก็คือการที่ถังฟั่นเกาะนางไม่ปล่อยทำให้องครักษ์เสื้อแพรข้างกายเขาคนนั้นยิ่งจับจ้องตาไม่กะพริบ นับแต่เข้ามาอยู่ในบ้านพักรับรอง นางก็หาโอกาสออกไปส่งข่าวให้ทางเฉินหลวนไม่ได้เลย
มีเพียงครั้งเดียว นางฉวยโอกาสที่ถังฟั่นพานางออกข้างนอกส่งต่อข่าวสารตอนอยู่ในร้านค้าแห่งหนึ่ง แต่สุดท้ายก็เงียบหายเหมือนก้อนหินจมทะเล ปราศจากการตอบรับจากเฉินหลวนโดยสิ้นเชิง
เซียวอู่เริ่มร้อนรนขึ้นมาแล้ว
นางมิได้หวั่นว่าตนเองจะลุล่วงภารกิจที่เฉินหลวนมอบหมายให้ไม่ได้ แต่วิตกว่าเฉินหลวนจะเชื่อข่าวลือที่แพร่กระจายไปทั่วแล้วคิดว่าตนมีใจให้ถังฟั่น จากนั้นจะทรยศเขา
เฉินหลวนเป็นคนขี้ระแวงปานใดและโหดเหี้ยมอำมหิตเพียงใด ไม่มีใครรู้ดีไปกว่านาง
แค่ดูจากผู้ประสบภัยนอกกำแพงเมืองที่ลดจำนวนลงทุกวันก็ทราบแล้ว เพื่อผลประโยชน์เฉินหลวนยังกล้าตบตากระทั่งจักรพรรดิและขุนนางผู้แทนราชสำนัก ประสาอันใดกับนางซึ่งเป็นแค่สตรีธรรมดาคนหนึ่ง
ต่อให้สะคราญโฉมปานใด สำหรับบุรุษแล้ว ความแตกต่างก็แค่ของเล่นที่โยนทิ้งได้ทุกเมื่อ หรือไม่ก็ของเล่นที่ราคาสูงสักหน่อยเท่านั้นเอง
จิตใจของนางไม่เป็นสุข แม้แต่ถังฟั่นยังสังเกตเห็น นึกว่านางล้มป่วยแล้ว ไม่เพียงยกน้ำแกงส่งยาด้วยตนเอง ยังเฝ้าอยู่ข้างเตียงไม่ยอมไปที่ใด
หากเปลี่ยนเป็นสตรีอื่น พบพานบุรุษที่ทุ่มเทเอาใจใส่เช่นนี้เกรงว่าคงซาบซึ้งตราตรึงไปนานแล้ว แต่นางหาได้เป็นเช่นนั้น
ถังฟั่นยิ่งดีต่อนางเท่าใด นางกลับยิ่งหวั่นวิตกว่าเฉินหลวนจะคลางแคลงในความซื่อสัตย์ของนาง
เห็นสีหน้าซูบเซียวเพราะอดนอนของนาง ความห่วงหาอาทรของถังฟั่นยิ่งสุดจะรำพัน
“อู่เอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรกันแน่ ใช่มีเรื่องทุกข์ใจหรือไม่ เจ้าบอกข้า ถึงข้ามิใช่ขุนนางเมืองซูโจว แต่หากเจ้ามีเรื่องยุ่งยากอันใดข้ายังคงช่วยคลี่คลายได้ เจ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปหัวใจข้าต้องรวดร้าวเจียนตายแล้ว”
สีหน้าของเขาจริงใจไร้แสร้ง บวกกับเซียวอู่มีเรื่องหนักอึ้งในใจจึงไม่รู้สึกผิดปกติ ตรงข้ามกลับเอาแต่ครุ่นคิดวิธีปลีกตัวจากถังฟั่นเพื่อออกไปส่งข่าว
เซียวอู่ฝืนยิ้ม “ใต้เท้า ข้ารู้สึกแน่นหน้าอก อยากนอนสักครู่”
ถังฟั่นแตะหน้าผากนาง จับปอยผมบนหน้าผากไปทัดไว้หลังหูพลางเอ่ยเสียงนุ่มนวล “เช่นนั้นข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”
ไม่-ต้อง-ให้-ท่าน-อยู่-เป็น-เพื่อน!
เซียวอู่แทบเค้นคำเหล่านี้ลอดไรฟันออกมา ดีที่ยังมีสติ คำพูดมาถึงริมฝีปากก็กลืนกลับลงไปประหนึ่งกล้ำกลืนโลหิตก็มิปาน
จังหวะนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ถังฟั่นลุกขึ้นไปเปิดประตู กลับเห็นเด็กรับใช้ประคองชามยาเข้ามาพลางบอกน้ำเสียงกระตือรือร้น “ใต้เท้า ยาที่ท่านสั่งเพิ่งต้มเสร็จขอรับ”
“เจ้าวางลงเถอะ” ถังฟั่นพยักหน้ากับเด็กรับใช้ในบ้านพักรับรอง เขาย่อมไม่อ่อนโยนเหมือนที่ปฏิบัติต่อเซียวอู่
“อู่เอ๋อร์ ดื่มยาก่อน นี่เป็นยาที่ช่วยให้ใจสงบ ดื่มแล้วเจ้าจะได้หลับ ตื่นมาก็ไม่เป็นไรแล้ว” ถังฟั่นยกชามยา พยุงนางอย่างเบามือ
ด้วยฐานะขุนนางขั้นสี่เช่นเขา สามารถกระทำถึงระดับนี้ นับว่าไม่ง่ายจริงๆ
เปลี่ยนเป็นสตรีอื่นคงวาบหวามใจไม่คลาย แต่เสียดายที่เซียวอู่ไม่อยู่ในอารมณ์นั้นสักนิด
“ข้าดื่มเองก็ได้” เซียวอู่รับชามยามา ก้มหน้าจะดื่ม
ถังฟั่นกลับพลันโพล่ง “เดี๋ยวก่อน”
เขายกชามยาในมือเซียวอู่กลับมา กิริยาค่อนข้างรุนแรง ส่งผลให้ยาน้ำกระฉอกใส่มือของทั้งคู่เล็กน้อย
ถังฟั่นตะโกน “ตี๋หาน! ตี๋หานอยู่หรือไม่!”
“ข้าน้อยอยู่นี่” เสียงขานรับดังจากข้างนอก
“เจ้าไปจูงสุนัขมาตัวหนึ่ง ไม่ก็อุ้มแมวมาตัวหนึ่งก็ได้” ถังฟั่นสั่ง
ตี๋หานไม่ถามมากความ “ขอรับ”
ความสนใจของเซียวอู่ถูกเขาเบี่ยงเบนจนได้ “นี่ท่านจะ…”
“ข้ารู้สึกยานี้มีกลิ่นแปลกๆ” ถังฟั่นบอก
เซียวอู่ตะลึงลาน
“อีกอย่าง เด็กรับใช้ที่ส่งยาเข้ามาคนนั้นข้าไม่คุ้นหน้าชอบกล หลังจากเขาเข้ามามิได้ชำเลืองเจ้าเหมือนคนอื่นๆ นี่ถือว่าผิดปกติมาก”
ตอนแรกเซียวอู่ใคร่จะล้อเขาว่าเรื่องเล็กทำเป็นเรื่องใหญ่ แต่ไม่ทราบฉุกคิดอันใดขึ้นมา จู่ๆ สีหน้าก็ขาวเผือด
ไม่ช้าตี๋หานก็อุ้มลูกสุนัขตัวหนึ่งเข้ามา หลังถังฟั่นพยักพเยิด เขาก็หยิบยาน้ำชามนั้นกรอกใส่ปากลูกสุนัข
ปรากฏว่าไม่ถึงครู่ลูกสุนัขก็ร้องโหยหวน ดิ้นพราดอยู่ในอ้อมแขนของตี๋หานคล้ายเจ็บปวดแสนสาหัส พอตี๋หานคลายมือ ลูกสุนัขก็ร่วงลงพื้น สี่ขาชักกระตุกแล้วแน่นิ่งไป
ถังฟั่นเดือดดาลใหญ่ “นี่มีคนต้องการลงมือต่อข้าชัดๆ! ไฉนไม่มาหาข้าโดยตรง กลับจะทำร้ายอู่เอ๋อร์!”
ตี๋หานตอบ “อาจเพราะฝ่ายตรงข้ามเห็นว่าถ้าแม่นางเซียวตายจะทำให้ใต้เท้าว้าวุ่นใจอย่างหนักกระทั่งเผยจุดอ่อนออกมา”
สองคนหนึ่งถามหนึ่งตอบ ถังฟั่นหมุนตัวกลับไป ขณะจะปลอบโยนเซียวอู่พลันพบว่าสีหน้านางขาวซีด อดสะดุ้งตกใจมิได้ รีบฉวยมือนางขึ้นมา พบว่าเย็นเฉียบไปหมด “อู่เอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป”
เซียวอู่ไม่ตอบคำ เรือนร่างอรชรสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ถูกถังฟั่นรวบเข้าอ้อมอกก็ยังคงไม่พูดไม่จา
ถังฟั่นตบหลังนางเบาๆ ปลอบเสียงนุ่มนวล “ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าไม่เป็นไรแล้ว”
ปลอบใจเซียวอู่อยู่นาน จวบจนนางนอนลงอีกครั้ง ถังฟั่นค่อยผละจากห้องนางกลับห้องตนเอง
เท้าหน้าเพิ่งเข้ามา เท้าหลังก็มีคนตามมาติดๆ
ถังฟั่นไม่ต้องหันมองก็รู้ว่าใคร น้ำเสียงติดฉุน “ท่านเข้าๆ ออกๆ เช่นนี้ คนอื่นไหนเลยจะเห็นท่านเป็นผู้ใต้บัญชาทั่วไป เช่นนี้อาจถูกจับได้โดยง่าย”
ตี๋หานกล่าว “เดิมทีข้าก็มิใช่ผู้ใต้บัญชาทั่วไป แต่เป็นองครักษ์ประจำตัว”
ไม่รู้ตั้งใจหรือไม่ เขาเน้นเสียงหนักๆ ที่คำว่า ‘ประจำตัว’ ลูกตาจ้องถังฟั่นเขม็ง
ถังฟั่นกำมือรองใต้ริมฝีปาก แสร้งไอคำหนึ่ง “หลายวันนี้วุ่นวายกับการดำเนินแผน ข้ายังไม่ทันได้ถามท่าน ด้วยฐานะของท่าน ไฉนออกจากเมืองหลวงมาหาข้าได้”
ตี๋หานกล่าว “ทางเจียงซีเกิดเรื่องนิดหน่อย ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ข้าไปจัดการ ข้าจึงอ้อมมาที่ซูโจวแวะหาเจ้าเที่ยวหนึ่ง”
ถังฟั่นเอ็ดเสียงกึ่งดุ “อ้างงานหลวงตวงประโยชน์ใส่ตน”
รอยยิ้มสายหนึ่งซ่านขึ้นในดวงตาตี๋หาน “แล้วจะเป็นไรไป พวกเหยียนหลี่ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ข้าแค่คิดถึงเจ้าจนทนไม่ไหวเท่านั้นเอง”
ถ้อยคำตรงทื่อปราศจากการเสริมแต่งคำนี้ที่ออกมาจากปากของอีกฝ่ายยังสัมฤทธิผลยิ่งกว่าแววตาอันหยาดเยิ้มของเซียวอู่ พริบตานั้นใบหน้างามสง่าของใต้เท้าถังแดงเรื่อขึ้นมา
ตี๋หานยื่นมือลูบหัวไหล่เขาเบาๆ แล้วไล่เรื่อยลงมา สุดท้ายหยุดอยู่ที่หลังมือของอีกฝ่าย
นิ้วมือยุกยิกอยู่ในอุ้งมือนั้น รู้สึกได้ชัดเจนว่ามือของอีกฝ่ายหดเกร็งทันใด
ทว่าตี๋หานว่องไวกว่า ไม่รอให้อีกฝ่ายแสดงท่าทีถัดไปก็กำเอาไว้แน่นๆ
ผิวสัมผัสผิว เขาพบว่าข้อนิ้วของถังฟั่นเรียวยาวสมส่วน ให้ความรู้สึกเดียวกับเมื่อครั้งสัมผัสเท้าเปลือยของอีกฝ่ายในวันนั้น
อย่างไม่ต้องสงสัย นี่คือมือที่มีไว้สำหรับสรรค์สร้างความเรียงอันยอดเยี่ยมคู่หนึ่ง
ถังฟั่นอดเขินมิได้ “เอาล่ะ เข้าเรื่องได้แล้ว”
แม้กล่าวเช่นนั้น กลับมิได้ดึงมือออก
ตี๋หานคล้ายทราบ ในด้านนี้อีกฝ่ายจะหน้าบางเป็นพิเศษ จึงมิได้หยอกแกล้งอีก เพียงแย้มยิ้ม “ตอนนี้เซียวอู่ต้องเข้าใจว่ายาพิษชามนั้นเป็นเฉินหลวนกำนัลแก่นาง”
ถังฟั่นสุ้มเสียงเคร่งขรึม “เซียวอู่เป็นสตรีที่รู้จักวางแผนให้ตนเอง ทั้งชาญฉลาดกว่าสตรีทั่วไป หลอกได้เฉพาะแค่ครานี้ คงหลอกนางไม่ได้ตลอดไป และยังไม่มีน้ำหนักพอจะทำให้นางตัดสินใจ พวกเราต้องทำให้นางกระจ่างสองประการ หนึ่งคือเฉินหลวนต้องถูกโค่น ไม่มีทางรอดพ้นเด็ดขาด สองคือตอนนี้เฉินหลวนเกิดความระแวงในตัวนางแล้ว ใคร่จะสังหารนางปิดปาก ต่อให้นางคำนึงถึงเฉินหลวนปานใด ผู้อื่นก็ยังคงไม่เห็นนางอยู่ในสายตา”
ตี๋หานกล่าว “เจ้ามีแผนอย่างไร”
ถังฟั่นผุดยิ้มมั่นใจเต็มเปี่ยม “คงต้องขอให้ท่านช่วยสักครั้ง จัดแสดงละครฉากหนึ่งให้นางปักใจเชื่อ”
“ได้ แต่ขอเจ้าอย่างเดียว”
“หืม?”
“อย่าโอบๆ กอดๆ นางอีก”
“…”
เซียวอู่จิตใจไม่สงบ ผ่านค่ำคืนด้วยฝันร้ายติดต่อกัน
รุ่งสางวันถัดมา ถังฟั่นมาหานาง “อู่เอ๋อร์ ที่นี่อันตรายเกินไป ข้าจะพาเจ้ากลับเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด ไปจากที่นี่!”
เซียวอู่อึ้งไปเล็กน้อย “งานของใต้เท้าทำเสร็จแล้ว? ท่านมิใช่จะโค่นเฉินหลวน?”
ถังฟั่นยิ้มมีเลศนัย “เกือบเสร็จแล้ว ความผิดของเฉินหลวนข้ารายงานขึ้นไปแล้ว เพียงรอทางเมืองหลวงมีคำสั่งลงมา!”
เซียวอู่รับฟังจนมึนงงไปหมด
เนื่องเพราะฐานะ นางจึงรู้เรื่องของเฉินหลวนไม่น้อย และรู้ด้วยว่าไฉนเฉินหลวนจึงอหังการได้ถึงเพียงนี้
มิใช่แค่เพราะเฉินหลวนมีอาคนหนึ่งเป็นเสนาบดีกรมอากรนครหนานจิง เหนือกว่านั้นเป็นเพราะเฉินหลวนส่งบรรณาการจำนวนมากให้กับทางเมืองหลวงทุกปี
กล่าวให้ชัดก็คือมังกรเจ้าถิ่นผู้นี้ไม่เพียงโยงใยกับสำนักบูรพาผ่านทางสมาคมพ่อค้าซูโจว กระทั่งตัวเขาและอาของเขาก็เป็นคนของกลุ่มอำนาจวั่น
เพราะเหตุนี้นั่นเองเฉินหลวนจึงกล้าลอบขายเสบียงหลวงในอู๋เจียง คบคิดกับหยางจี้ และไม่เห็นถังฟั่นซึ่งเป็นขุนนางผู้แทนราชสำนักอยู่ในสายตา
เพราะเกรงกลัวอำนาจของเขา หูเหวินเจ่าเจ้าเมืองซูโจวจึงไม่กล้าปริปากในตอนแรก หากมิใช่โดนพวกเฉินหลวนลากออกมาเป็นโล่กำบัง เกรงว่าหูเหวินเจ่าจนบัดนี้ก็คงยังไม่คิดร่วมมือกับถังฟั่น
วั่นกุ้ยเฟยซึ่งเป็นที่พึ่งพิงของกลุ่มอำนาจวั่น ทุกวันนี้แม้ไม่มีโอรส แต่ฟังว่านางได้เป็นพันธมิตรกับเซ่าเฉินเฟย เตรียมผลักดันโอรสของอีกฝ่ายขึ้นเป็นรัชทายาท ยุยงจักรพรรดิให้ปลดรัชทายาทองค์ปัจจุบัน
เซียวอู่รับรู้เรื่องต่างๆ จากทางเฉินหลวนไม่น้อย ดังนั้นนางไม่คิดว่าลำพังถังฟั่นคนเดียวจะสามารถโค่นล้มเฉินหลวนได้ ต่อให้บวกวังจื๋อซึ่งอยู่เบื้องหลังเขาเกรงว่าก็คงไม่พอ
เพราะคนที่ถังฟั่นต่อกรหาใช่เพียงเฉินหลวน แต่เป็นกลุ่มก้อนที่ซับซ้อนยุ่งเหยิงเบื้องหลังเขาต่างหาก
เวลานี้ถังฟั่นกลับกล่าวอย่างมั่นใจว่ามีความสามารถกำราบเฉินหลวน เซียวอู่นอกจากตกตะลึง ท่าทีแรกก็คือไม่เชื่อ
ทว่าพิจารณาจากความลุ่มหลงที่ถังฟั่นมีต่อตน ต้องไม่พูดเท็จกับนางเด็ดขาด
ดังนั้นเซียวอู่จึงถาม “ใต้เท้าได้หลักฐานอันใดมัดตัวเฉินหลวน” พูดจบนางพลันสำนึกขึ้นได้ จึงก้มหน้าต่ำด้วยความละอาย “ขอใต้เท้าโปรดอภัย นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าสมควรถาม เป็นข้าละลาบละล้วงแล้ว”
ถังฟั่นมิได้ถือสา กุมมือนางกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว เบื้องหลังของเฉินหลวนคือกลุ่มอำนาจของวั่นกุ้ยเฟย รวมถึงวั่นอันราชเลขาธิการคนปัจจุบัน และวั่นทงน้องชายวั่นกุ้ยเฟย เจ้าคงยังจำได้กระมัง”
เห็นเซียวอู่พยักหน้า เขาจึงพูดต่อ “อันที่จริงเรื่องนี้จะว่าไปก็จัดการไม่ยาก คนที่ข้าต้องต่อกรมีแค่เฉินหลวนคนเดียว ไม่เคยคิดจะพัวพันไปถึงคนของกลุ่มอำนาจวั่น เฉินหลวนโอหังปานใด สำหรับกลุ่มอำนาจวั่นแล้วก็เป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่ง ไม่มีเขา นายอำเภออู๋เจียงยังคงสามารถหาคนใหม่มาแทนได้ เพราะนี่มิใช่ตำแหน่งสำคัญอันใด”
เซียวอู่ตื่นตระหนกในใจสุดขีด แต่ใบหน้ากลับเพียงเผยแววหวั่นกลัว “แต่ว่า…อาของเฉินหลวนเป็นถึงเสนาบดีกรมอากรนครหนานจิง หรือเขาจะนิ่งเฉยปล่อยให้หลานชายถูกท่านฟ้องร้อง?”
ถังฟั่นระบายยิ้ม “บอกเจ้าก็ได้ ก่อนหน้านี้สหายสนิทและผู้อาวุโสหลายท่านของข้าในเมืองหลวงถูกกลุ่มอำนาจวั่นเบียดออกไปอยู่หนานจิง หนึ่งในนั้นก็คือจางอิ๋ง อดีตเสนาบดีกรมอาญา เวลานี้เขาพบหลักฐานการฉ้อราษฎร์บังหลวงของเสนาบดีเฉินและส่งฎีกากล่าวโทษอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เสนาบดีเฉินท่านนั้นยังเอาตัวเองไม่รอด ไหนเลยจะมีเวลามาห่วงหลานชายเล่า”
เซียวอู่อ้าปากค้าง “นี่…นี่จะได้ผลหรือ”
ถังฟั่นเอ่ยน้ำเสียงเอื่อยๆ “ไยจะไม่ได้ผล อื่นๆ พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ สรุปแล้วเจ้ารู้แค่ว่ากลุ่มอำนาจวั่นแม้มีอำนาจยิ่งใหญ่ไพศาล แต่พวกเขามีเรื่องให้กริ่งเกรงเต็มไปหมด ขอเพียงเจ้าไม่ไปงัดข้อกับพวกเขาถึงขั้นตกตายตามกัน พวกเขาก็จะไม่โต้กลับระดับพินาศสองฝ่ายกับเจ้าแน่นอน เฉินหลวนแค่มีอำนาจอยู่ในอู๋เจียงเท่านั้น หากไม่มีอาของเขา เขายังนับเป็นตัวอันใด ความจริงตอนนี้เฉินหลวนเริ่มร้อนรนแล้ว เขาติดต่อหูเหวินเจ่าไม่ได้ และไม่รู้ว่าข้าจะทำอะไร ตอนนี้เขากำลังวางแผนฟ้องร้องตัดหน้าข้าโดยผ่านทางกลุ่มอำนาจวั่น เพื่อโยกย้ายข้ากลับไป ดีไม่ดีพวกเขายังจะบอกว่าข้ารับสินบนในอู๋เจียง หลงใหลในอิสตรีอีกด้วย เสียดายเฉินหลวนไม่รู้ว่าเงินทองพวกนั้นข้าได้ส่งถึงองค์จักรพรรดิตั้งแต่แรกแล้ว”
พูดจบเขาก็หัวเราะฮ่าๆ น้ำเสียงเจือแววเยาะหยันเฉินหลวนเต็มที่
แต่เซียวอู่กลับหัวเราะไม่ออก
ถ้อยคำชุดนี้สร้างความปั่นป่วนในใจนาง เนิ่นนานมิอาจสงบลง
เซียวอู่ไม่อาจไม่ยอมรับ คำพูดของอีกฝ่ายมีเหตุผลอย่างมาก
นางเพียงเห็นแต่เฉินหลวนที่ยโสโอหัง กลับไม่ทราบว่าในสายตาของขุนนางผู้แทนราชสำนักที่มาจากเมืองหลวงอย่างถังฟั่นคนนี้ เฉินหลวนหาใช่คนไร้จุดอ่อนให้โจมตี
ยืนบนมุมที่ต่างกัน ปัญหาที่เห็นย่อมไม่เหมือนกัน
เฉินหลวนเป็นบุรุษรูปงามและดีต่อเซียวอู่มากก็จริง แต่วิธีการของเขาก็โหดเหี้ยมอำมหิตเช่นกัน เซียวอู่มิได้รักใคร่ไยดีเขาสักเท่าใด นางเพียงแต่กำลังวิตกถึงชีวิตหลังจากนี้ของตนเอง
เกิดเฉินหลวนโดนโค่นแล้ว เช่นนั้นนางจะทำอย่างไรเล่า
เรื่องยาพิษเมื่อวานนี้ทำให้นางหวาดผวา แม้พวกถังฟั่นล้วนรู้สึกว่ายาพิษนั้นมีเป้าหมายอยู่ที่ถังฟั่น ไม่เคยคิดว่าจะมุ่งมาที่เซียวอู่ ทว่ามีแต่ตัวนางเองจึงตระหนักชัด เฉินหลวนอาจคิดว่านางหักหลังเขา ดังนั้นจึงร้อนใจใคร่วางยาพิษฆ่าคนปิดปาก
คิดถึงตรงนี้ เซียวอู่อดกัดริมฝีปากล่างจนซีดขาวมิได้
“อู่เอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป” เสียงถังฟั่นปลุกนางตื่นจากภวังค์
“ข้าไม่เป็นไร” เซียวอู่ฝืนยิ้ม
“พักนี้เจ้าใจลอยอยู่เรื่อย หรือไม่อยากไปเมืองหลวงกับข้า?” ถังฟั่นมุ่นคิ้ว
“ไม่ใช่เช่นนั้น” เซียวอู่สั่นหน้า “ได้ติดตามข้างกายใต้เท้าเป็นวาสนาของข้า เพียงแต่ระยะนี้รู้สึกแน่นหน้าอก บวกกับเรื่องเกือบถูกลอบวางยาพิษเมื่อวาน ข้าขวัญผวาจริงๆ”
พูดจบก็ซุกเข้าอ้อมอกถังฟั่นคล้ายอยากซึมซับไออุ่นจากอีกฝ่าย
ถังฟั่นกอดนางไว้ รำพึงในใจ…นี่เป็นผู้อื่นโถมเข้าหาข้า ข้ามิได้เป็นฝ่ายไปโอบๆ กอดๆ ก่อน ถึงเป็นโฉมสะคราญหยาดฟ้า แต่เล่นละครทุกวันเช่นนี้ก็แสนจะเหนื่อยจริงๆ
ทว่าสีหน้ายังคงละมุนละไมดุจสายน้ำ “เอาเช่นนี้เถอะ วันนี้อากาศแจ่มใส พวกเราออกไปเดินเล่นดีกว่า เครื่องประดับที่สั่งทำไว้คราวก่อนน่าจะเสร็จแล้ว เจ้าอยากไปดูด้วยตนเองหรือไม่ เผื่อมีอันใดไม่เหมาะสมจะได้ให้พวกเขาแก้”
ความจริงเซียวอู่ไม่ค่อยอยากออกไปนัก แต่เวลานี้จิตใจนางเริ่มเกิดความปรวนแปรอย่างช้าๆ นับจากเริ่มแรกที่เสแสร้งแกล้งทำ จนถึงบัดนี้ที่ค่อยๆ เปลี่ยนจากเสแสร้งเป็นเอาจริงแล้ว จึงยิ้มหวานกล่าวว่า “แล้วแต่ท่านเถอะ” นางกระซิบอีกว่า “ล้วนเป็นเพราะร่างกายข้าไม่ได้ความ นอนป่วยอยู่หลายวัน ทำให้มิได้ตอบแทนใต้เท้า ข้า…ข้า…”
พูดไปพูดมาหน้าก็แดงซ่าน
อันที่จริงถังฟั่นมิได้แตะต้องนาง เซียวอู่ยินดียั่วยวนเขา แต่เพราะเซียวอู่ลึกซึ้งในจิตใจบุรุษ ตระหนักว่าสิ่งใดก็ตามที่ได้มาโดยง่ายมักไม่เป็นที่ทะนุถนอม สันดานมนุษย์เดิมทีหยาบช้า วิถีที่บุรุษปฏิบัติต่อสตรีก็เป็นเยี่ยงนี้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้เซียวอู่ยิ่งรักนวลสงวนตัว ถังฟั่นกลับยิ่งรักนางดั่งมณีล้ำค่า
ดังนั้นถึงแม้สองฝ่ายแตกต่างความคิด สุดท้ายกลับล้วนปลอดภัยไร้เรื่องราว เซียวอู่เองก็ไม่เคยเคลือบแคลงในพฤติกรรมของถังฟั่นมาก่อน
“เด็กโง่” ถังฟั่นเอ่ยเสียงนุ่ม “เจ้าสุขภาพแข็งแรงขึ้นก็เป็นการตอบแทนที่ดีที่สุดสำหรับข้า หรือเจ้ายังไม่กระจ่างในความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้า?”
เซียวอู่เผยสีหน้าซาบซึ้งตรึงใจ
เพราะนางไม่ค่อยสบาย ถังฟั่นจึงหาเสื้อคลุมมาสวมให้นางโดยเฉพาะ จากนั้นค่อยพานางออกจากบ้านพัก
ทั้งคู่มิได้นั่งรถม้า เพียงให้ตี๋หานติดตามคนเดียว เน้นความเรียบง่ายเข้าว่า
แต่หลังผ่านเหตุการณ์ที่เกือบถูกวางยาพิษคราวก่อน เซียวอู่ยังรู้สึกพรั่นใจไม่หาย
“ใต้เท้า ท่านพาตี๋หานไปคนเดียวจะมีอันตรายหรือไม่”
“ไม่หรอก” ถังฟั่นยิ้มพลางอธิบาย “ตี๋หานคนเดียวก็จริง แต่สามารถรับมือศัตรูหลายสิบคนได้โดยหน้าไม่แปรสี เจ้าไม่รู้อะไร พลังยุทธ์ของเขาแม้แต่องค์จักรพรรดิยังเคยตรัสชมมาแล้ว ไม่อย่างนั้นจะถูกนายกองพันเซวียส่งมาหรือ”
เซียวอู่ตะลึง ก่อนอดยิ้มมิได้ “ดูท่าใต้เท้าคงสนิทกับองครักษ์เสื้อแพรมาก กระทั่งคนระดับนี้ยังสามารถหยิบยืมมาได้”
ในน้ำเสียงเจือแววเลียบเคียง ถังฟั่นกลับไม่รู้สึกสักนิด เพียงผงกศีรษะ “จะบอกความลับให้ ข้ากับผู้บังคับการกองปราบฝ่ายเหนือขององครักษ์เสื้อแพรสนิทสนมกันมาก ข้าเดินถึงที่ใดเขาตามถึงที่นั่น ไล่ก็ไล่ไม่ไป ครั้งนี้หากมิใช่ฝ่าบาทมอบหมายภารกิจอื่น เขาต้องตามข้ามาแน่นอน”
ถ้อยคำนี้คล้ายมีความโอ้อวดเจือปน แต่ข้างกายถังฟั่นตอนนี้มีองครักษ์เสื้อแพรอยู่คนหนึ่งจริงๆ จะอย่างไรก็ไม่นับว่าคุยโว เซียวอู่จึงเชื่อไปเจ็ดแปดส่วน ในใจยิ่งมีแผนต่อไป
ตี๋หานที่เดินตามหลังกลับไม่สนใจ คล้ายบทสนทนาของพวกเขาไม่เกี่ยวกับตนเองกระนั้น
สามคนเตร่อยู่ในร้านค้าพักหนึ่ง จนกระทั่งเซียวอู่เลือกเครื่องประดับเสร็จ ถังฟั่นจึงพานางออกมา
“ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ไปนั่งร้านน้ำชาสักครู่เถอะ อีกเดี๋ยวจะถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว ถ้ากลับไปเจ้าก็ต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้อง น่าเบื่อเกินไป” ถังฟั่นยิ้มบอก
เซียวอู่ย่อมไม่มีความเห็นอันใด “ล้วนฟังใต้เท้า”
ทว่าไม่ทันขาดคำ พลันเกิดเหตุพลิกผันขึ้น
มีคนสามคนพุ่งปราดเข้ามาจากด้านหน้า ด้านซ้าย และด้านขวาของถังฟั่นกับเซียวอู่ มือกุมดาบ ท่าทางโหดเหี้ยม
เซียวอู่ตกใจตะลึงลาน นางไม่เป็นวิชายุทธ์สักนิด พริบตาสั้นๆ ไม่ทันตั้งตัว ได้แต่มองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตาปริบๆ
ที่น่าสะพรึงก็คือนางค้นพบว่าเป้าหมายของฝ่ายตรงข้ามถึงกับมิใช่ถังฟั่น แต่เป็นตนเอง!
เซียวอู่ไม่อยากตาย ยิ่งไม่อยากตายเพราะเฉินหลวนหรือลงหลุมไปพร้อมกับเขา ไม่อย่างนั้นนางคงไม่พะว้าพะวังว่าจะหักหลังเฉินหลวนหรือไม่
จนพริบตานี้
เห็นคมดาบที่พุ่งกระหน่ำมาจากสามทิศ นางหวีดร้องตามสัญชาตญาณคำหนึ่ง กำเสื้อของถังฟั่นแน่น แอบอยู่ข้างหลังเขา
แต่การบุกโจมตีของสามคนนั้นกลับมิได้ชะลอลงเพราะเหตุนี้ ในสายตาพวกมันมีเพียงเซียวอู่ หากไม่มีเหตุเหนือคาด ถังฟั่นที่ยืนอยู่กับนางจะกลายเป็นวิญญาณใต้คมดาบไปพร้อมกัน
เหตุเกิดกะทันหัน คนเดินถนนต่างตะลึงลาน ถึงขนาดลืมกรีดร้อง
เซียวอู่ไม่กล้าขยับ สองตาของนางเบิกโพลง นี่กลับมิอาจทำลายความงามของนาง โฉมงามที่ตกอยู่ในความพรั่นพรึงกลับยิ่งกระตุ้นความรู้สึกอยากปกป้องของผู้คน
ทว่าตรงหน้าก็ไม่มีผู้ใดปันใจไปชื่นชมความงามนั้น แต่ละคนตัวแข็งทื่อ ทำได้เพียงกลอกตาไปตามแสงวูบวาบของเงาดาบ เป็นสักขีพยานให้กับเหตุนองเลือดและความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามาฉากนี้
คมดาบที่ตกลงเหนือศีรษะเซียวอู่ชะงักค้าง พลังดาบโฉบผ่านเรือนผมของนางทำให้เส้นผมปลิวลอยขึ้นมา
มือสังหารแตกตื่น ไม่คาดคิดว่าการโจมตีของตนจะถูกขัดขวาง ขณะเดียวกับที่ความเจ็บปวดแสนสาหัสแล่นวาบขึ้นมาจากข้อมือตน
เขาก้มมอง เห็นมือของตนเองโดนสะบั้นเสมอข้อมือ ปลิวคว้างกลางอากาศพร้อมกับดาบเล่มนั้น
น้ำพุโลหิตฉีดพุ่ง กระเซ็นเลอะอาภรณ์ของเซียวอู่
เซียวอู่แผดร้องอีกครั้ง
สองคนที่เหลือก็ประสบชะตากรรมเดียวกัน
พวกมันไม่สามารถเห็นได้ชัดๆ ว่าที่แท้แล้วเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
คนหนึ่งลอยละลิ่วปลิวกระแทกแผงลอยข้างทาง ทำเอากิจการตุ๊กตาน้ำตาลปั้นเสียบไม้ของผู้อื่นพังพินาศเละเทะ ดีที่เจ้าของแผงหูตาว่องไว วิ่งหลบไปแต่แรกจึงรอดพ้นพิบัติภัย
คนร้ายอีกคนหนึ่งเห็นพวกพ้องล้มเหลวจึงตั้งท่าล่าถอย แต่ไม่ทันหมุนกาย กลางหลังกลับถูกดาบปักวสันต์เล่มหนึ่งเสียบทะลุ
อากัปกิริยาสุดท้ายในชีวิตของเขาคือก้มมองปลายดาบอาบโลหิตพราวแสงระยับใต้ดวงตะวัน
สามคนร้าย สามทิศทาง ถูกจัดการเรียบวุธในชั่วพริบตา
ตี๋หานกระชากดาบจากร่างคนร้าย สีหน้าราบเรียบดุจเดิม ถึงขนาดยังก้มเอวเช็ดเลือดบนดาบกับเสื้อผ้าของศัตรูจนหมดจดค่อยสืบเท้าไปยังคนร้ายที่หล่นทับแผงลอยผู้อื่นพังเละคนนั้น
เผชิญกับพญายมที่ฆ่าคนไม่กะพริบตาเช่นนี้ แม้แต่คนร้ายก็อดขวัญสะท้านมิได้ เขาตะกายไม่ขึ้น ได้แต่จ้องมองอีกฝ่ายย่างเท้ามาหาพลางถอยร่นอย่างหวั่นหวาด ปากตะคอกขู่ “อย่าเข้ามา เจ้าอย่าเข้ามา!”
ยามนั้นคนบนท้องถนนค่อยเหมือนถูกใครสะกิด เสียงหวีดร้องก้องดังสี่ทิศ หลังโกลาหลอยู่อึดใจ ฝูงชนที่แวดล้อมถังฟั่นและพวกในรัศมีครึ่งลี้พลันหายวับไม่เหลือเงา
ตี๋หานเดินเข้าไปหิ้วคอคนผู้นั้นขึ้นมา ไม่พูดพล่ามสักคำก็บีบกรามมือสังหารจนหลุด นี่เพื่อป้องกันมิให้อีกฝ่ายกลืนยาพิษที่ซ่อนในซอกฟัน
ถังฟั่นตบไหล่เซียวอู่เบาๆ ทำเอานางขนลุกซู่
ก็ไม่ทราบนางขวัญกระเจิงเพราะเห็นคนร้ายหรือเห็นวิธีสังหารศัตรูที่รวบรัดตัดความของตี๋หาน นานสองนานยังไม่อาจเรียกสติคืนมา
ถังฟั่นเห็นเช่นนั้นจึงขยิบตากับตี๋หานแวบหนึ่ง
การวางยาพิษเซียวอู่ก่อนหน้านี้แน่นอนว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของพวกเขา แต่กลุ่มคนร้ายในครั้งนี้กลับมิใช่แผนการของถังฟั่นแล้ว
ถังฟั่นสันนิษฐานล่วงหน้า เฉินหลวนต้องมีความเคลื่อนไหวใดๆ เมื่อเห็นเซียวอู่มิได้ส่งข่าวออกมา แต่เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะใจร้อนถึงขนาดส่งคนมาดักฆ่า นี่อย่างน้อยสามารถบ่งชัดประการหนึ่ง ประโยชน์ของเซียวอู่มิใช่เล็กน้อยจริงๆ อย่างน้อยที่สุดนางต้องรู้เรื่องลับเฉพาะของเฉินหลวนพอสมควรถึงทำให้เฉินหลวนใคร่จะฆ่าปิดปากเมื่อรู้สึกได้ว่านางอาจทรยศตนเองแล้ว
สามคนร้ายที่เฉินหลวนส่งมาฝีมือสูงส่ง หากมิใช่ตี๋หานอยู่ที่นี่ เปลี่ยนเป็นองครักษ์ทั่วไปคนหนึ่ง เป็นไปได้ว่าฝ่ายตรงข้ามคงบรรลุเป้าหมาย
ผู้ใดจะคาดคิดเล่าว่าตี๋หานที่หน้าตาพื้นๆ กลับเป็นถึงผู้บังคับการกองปราบฝ่ายเหนือที่เปลี่ยนชื่อแปลงแซ่คนนั้น
ก็ไม่ทราบหากเฉินหลวนรู้ว่าถังฟั่นรอให้เขามาฆ่าเซียวอู่เช่นกันจะเสียใจจนไส้ดำคล้ำหรือไม่
นับแต่ถังฟั่นย่างเท้าเข้าสู่เขตแดนเจียงซู สองฝ่ายได้ถูกลิขิตให้ต้องเปิดฉากประชันกลยุทธ์
ตอนนั้นเฉินหลวนไม่คิดสักนิดว่าถังฟั่นจะนำมาซึ่งการคุกคามขนานใหญ่ปานนี้ หากรู้แต่แรกว่าถังฟั่นไม่กินทั้งอ่อนแข็ง โฉมงามไม่รับ เงินทองไม่เอา คะเนว่าตั้งแต่เขายังอยู่บนเรือ เฉินหลวนคงลงมือสังหารโหดให้ตกตายในท้องน้ำไปแล้ว
สมบัติเท่าใดก็มิอาจซื้อหา ‘การรู้แต่แรก’
“อู่เอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ พวกเรากลับไปก่อนค่อยว่ากัน” ถังฟั่นเห็นเซียวอู่หน้าซีดสลดจึงปลอบเสียงอ่อนโยน ใคร่จะพานางกลับไป
เซียวอู่กลับกำเสื้อถังฟั่นไว้แน่นไม่ยอมปล่อย “ไม่ ไม่ได้ กลับไปไม่ได้ พวกเขาต้องส่งคนมาอีกแน่”
ถังฟั่นหัวเราะ “เจ้าตกใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ ข้าก็บอกเจ้าแล้ว ตี๋หานฝีมือร้ายกาจมาก ข้าเป็นคนที่ถูกเอาชีวิตยังไม่กลัว เจ้าจะกลัวอันใด”
เซียวอู่พังทลายในที่สุด “…ก็พวกนั้นมิได้มาเอาชีวิตท่าน แต่มาเอาชีวิตข้านี่นา!”
“หา?” ถังฟั่นอุทานเสียงฉงน “อู่เอ๋อร์ เจ้าคงมิได้ตกใจจนพูดจาสับสนแล้วกระมัง เจ้าเป็นสตรีอ่อนแอคนหนึ่ง ไยพวกนั้นต้องฆ่าเจ้า มีแต่ข้าที่จะต่อกรเฉินหลวน ข้าต่างหากคือคนที่เขาต้องการชีวิต”
เซียวอู่สั่นหน้าแรงๆ น้ำเสียงติดสะอื้น “พาข้าไป รีบพาข้าไปจากที่นี่ ข้ามีสมุดบัญชีรับจ่ายเสบียง ในมือข้ามีสมุดบัญชีรับจ่ายเสบียง สามารถช่วยท่านโค่นเฉินหลวนได้ ให้เขาไม่มีวันได้ลืมตาอ้าปากอีก”
เพราะหวาดกลัว นางจึงแทบเกาะติดอยู่บนร่างของถังฟั่นแล้ว ตี๋หานมุ่นคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นเข้า ก่อนขึ้นหน้ามาดึงนางออกอย่างเหลืออด
เซียวอู่จ้องหน้าเขางงๆ ยังตั้งสติไม่ทัน
ถังฟั่นกระตุกมุมปาก เอ่ยเตือนตี๋หาน “เจ้าเอาดาบออกไปห่างๆ อย่าทำให้อู่เอ๋อร์ตกใจ”
บุคคลสำคัญเช่นนี้ เกิดตกใจจนบื้อใบ้พูดอะไรไม่ออกขึ้นมา พวกเขาจะไปหาพยานปากเอกจากที่ใดได้อีก
สายตาเยียบเย็นของตี๋หานกวาดผ่านบนร่างเซียวอู่ ฝ่ายหลังถูกมองจนสั่นผวา ยิ่งเบียดชิดไปทางถังฟั่น
ถังฟั่นโอบนางไว้พลางเอ่ยเสียงนุ่ม “พวกเราไม่กลับบ้านพักรับรอง ข้าจะพาเจ้าไปยังสถานที่ปลอดภัย รับรองไม่มีใครกล้าทำอะไรเจ้าแน่” เขาหันไปสั่งตี๋หาน “เก็บกวาดที่นี่ให้เรียบร้อย อีกเดี๋ยวพวกทหารก็คงมา อย่าลืมชดใช้ค่าเสียหายให้เจ้าของแผงลอยนั่นด้วย ผู้อื่นอยู่ดีๆ ก็ถูกทุบร้าน น่าสงสารออก”
“…”
เขารู้สึกว่าถังฟั่นแค่อยากแก้แค้นเรื่องเมื่อคืนเท่านั้น ทว่าใครใช้ให้ผู้บังคับการสุยในตอนนี้มีฐานะเป็นนายกองตี๋เล่า ดังนั้นเขาได้แต่มองดูเงาหลังของทั้งสองเงียบๆ ล้วงเศษเงินจากอกเสื้อโยนไปบนแผงขายน้ำตาลปั้น จากนั้นค่อยลากคนร้ายสองคนที่หมดสติปางตายตามหลังไปด้วยความอาภัพ
สถานที่ซึ่งถังฟั่นพาเซียวอู่มากลับมิใช่ที่ใด เป็นสาขาขององครักษ์เสื้อแพรในพื้นที่นั้น
นายกองพันเซวียรีบออกมาต้อนรับอย่างรวดเร็ว ครั้นเห็นตี๋หานด้านหลังถังฟั่น ท่าทีพลันคึกคักอักโข ทั้งสนทนาปราศรัย ทั้งเอาใจใส่สารพัด ขาดก็แต่ประเคนน้ำชามาส่งด้วยตนเองเท่านั้น
ด้วยคำสั่งของนายกองพันเซวีย คนร้ายถูกคนในหน่วยทหารนำตัวไปจัดการทันที
แม้พวกถังฟั่นล้วนทราบว่าคนร้ายมาเยือนด้วยสาเหตุใด แต่หากสามารถงัดแงะสิ่งใดจากตัวพวกมันได้มากขึ้นก็สามารถเพิ่มข้อหาให้เฉินหลวนโทษฐานลอบสังหารผู้แทนราชสำนักได้อีกหนึ่งข้อหา
นายกองพันเซวียกล่าว “ผู้น้อยเกรงว่าจะรบกวนการทำงานของใต้เท้า ดังนั้นหลังจากใต้เท้ามาถึงซูโจว จึงมิได้ไปเยี่ยมคารวะถึงที่พัก ใต้เท้าโปรดอภัย”
ถังฟั่นแย้มยิ้ม “นายกองพันเซวียเกรงใจเกินไปแล้ว พวกเราต่างหากที่รบกวนความสงบสุขของท่าน เรื่องในครั้งนี้ต้องลำบากท่านแล้ว มาตรว่าผู้บังคับการสุยอยู่ไกลถึงเมืองหลวง กลับเอ่ยถึงนายกองพันเซวียเสมอ ชมว่าท่านเก่งกล้าสามารถ ห้าวหาญชาญฉลาด”
นายกองพันเซวียชำเลืองสุยโจวที่นั่งเป็นใบ้ไม่พูดไม่จาอยู่ด้านข้างหลายแวบ รอยยิ้มยิ่งแจ่มจ้า “ใต้เท้าถังชมเกินไปแล้ว ผู้น้อยมิกล้าน้อมรับ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะผู้บังคับการอบรมได้ดี”
หยวนปินอดีตผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรหลังออกจากตำแหน่งได้มอบขุมกำลังที่สร้างขึ้นมาเองกับมือให้สุยโจว บวกกับองครักษ์คนสนิทของสุยโจวเอง ทำให้พอจะตั้งตัวเป็นอิสระจากวั่นทงผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรคนปัจจุบันได้
องครักษ์เสื้อแพรในเวลานี้แบ่งเป็นสองขั้วอำนาจ ขั้วหนึ่งมีวั่นทงเป็นผู้นำ อีกขั้วหนึ่งกลับภักดีต่อสุยโจว
ดังนั้นถึงแม้องครักษ์เสื้อแพรยังคงเป็นองครักษ์เสื้อแพร แต่ในความเป็นจริงเพราะวั่นทงประชันฝีมือกับสุยโจว คนที่อยู่เบื้องล่างจึงพลอยตบเท้าเข้าแถวไปด้วย
และนายกองพันเซวียก็พอดีเป็นคนของสุยโจว
ครั้งนี้พี่ใหญ่ออกโรงเอง โอกาสทองมาถึง นายกองพันเซวียย่อมจะต้องทุ่มเทเป็นพิเศษ
ถังฟั่นสนทนากับนายกองพันเซวียได้พักหนึ่งก็ทิ้งให้ตี๋หานอยู่คุยกับนายกองพันเซวีย แล้วพาเซียวอู่ไปพักผ่อนยังเรือนเล็กที่อีกฝ่ายจัดเตรียมไว้ให้
“อู่เอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าดีขึ้นบ้างหรือไม่ ต้องให้ข้าสั่งคนไปเชิญหมอหรือไม่” เขาไม่ปริปากเรื่องสมุดบัญชีรับจ่ายเสบียงสักคำ กลับไถ่ถามถึงสุขภาพของอีกฝ่ายก่อน
เซียวอู่ส่ายศีรษะไปมา สีหน้ายังมีรอยตระหนกไม่หาย มือข้างหนึ่งยังกำแขนเสื้อถังฟั่นแน่น คล้ายมีแต่ทำเช่นนี้จึงสามารถทำให้ตนเองระงับสติอารมณ์ได้บ้าง
“ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่ เจ้าอยากพูดอะไรก็พูดได้เลย” ถังฟั่นกล่าวปลอบพลางรินน้ำชาให้นาง
กอบกุมถ้วยชา ความร้อนจากอุ้งมือแผ่ซ่านไปทั่วกาย เซียวอู่ค่อยรู้สึกสงบลง
นางสูดหายใจลึก “ใต้เท้า ความจริงข้าหลอกท่านมาตลอด”
เซียวอู่ไม่โง่ ตรงข้ามนางฉลาดมาก ทั้งมีจริตมารยาของสาวน้อย ไม่อย่างนั้นเฉินหลวนคงไม่ส่งนางมามอมเมาถังฟั่น
แต่เพราะมั่นใจในความงามของตนเอง ก่อนหน้านี้เสมือนหนึ่งใบไม้บังตา นางจึงเข้าใจมาตลอดว่าตนเองสามารถลุล่วงภารกิจอย่างราบรื่น
จนกระทั่งเวลานี้เรื่องราวเหนือการควบคุม นางตรึกตรองไปมา รู้สึกว่าการสารภาพทุกอย่างต่อถังฟั่นอาจเป็นหนทางที่ดีที่สุด
ถังฟั่นได้ฟังคำนี้ไม่เพียงไม่แสดงอาการแปลกใจหรือโกรธกริ้ว กลับแย้มยิ้มด้วยสีหน้าราบเรียบ “เจ้าหลอกอะไรข้า”
เซียวอู่ตะลึงวูบ “ท่านทราบแต่แรกแล้ว?”
ถังฟั่นอมยิ้ม “ข้าไม่รู้มาก่อนว่าแม่นางเซียวมีสมุดบัญชีรับจ่ายเสบียงอยู่ในมือ”
ไม่รู้ว่านางมีสมุดบัญชีรับจ่ายเสบียงอยู่ในมือ เช่นนั้นก็หมายถึงรู้แต่แรกว่านางเป็นคนที่เฉินหลวนส่งมา
แล้วเขายังร่วมเล่นละครกับนางอยู่ได้ตั้งนาน มิใช่เห็นนางเป็นคนโง่หรอกหรือ ทางหนึ่งเสแสร้งแกล้งทำไปตามน้ำ ทางหนึ่งเห็นตนเป็นตัวตลก
เห็นสีหน้าเดี๋ยวดำเดี๋ยวขาวของเซียวอู่ ถังฟั่นจึงเอ่ยปลอบ “เจ้าอย่าคิดมากไปเลย ในเมื่อแรกเริ่มเจ้าไม่ยอมเปิดเผยฐานะ หากข้าเปิดโปงโดยเร็วก็นับว่าตีหญ้าให้งูตื่น เจ้ากับข้าต่างมีจุดยืน เจ้าทำเช่นนี้จะบอกว่าเจ้าผิดก็ไม่ได้ แต่เวลานี้เจ้าละทิ้งทางมืดหันหาทางสว่าง ข้าย่อมยินดีต้อนรับ”
แล้วเขายังอู่เอ๋อร์ๆ ไม่ขาดปาก แกล้งทำเป็นเจ้างั่งที่ตกอยู่ในห้วงรักก็มิปาน!
บุรุษตรงหน้าผู้นี้ดวงหน้าคมคายประดับรอยยิ้ม ดวงตาใสกระจ่าง ไร้ซึ่งท่าทางลุ่มหลงงมงายเช่นก่อนหน้าแม้ครึ่งส่วน
เซียวอู่เดือดกรุ่นในใจ นี่เป็นครั้งแรกที่พบว่าความงามและเสน่ห์ของตนใช้ไม่ได้ผล แต่นางไม่กล้าบันดาลโทสะ เพราะหากตนอยากรักษาชีวิต ตอนนี้มีแต่ต้องพึ่งพิงถังฟั่น
นางอดจะถามให้แจ่มแจ้งมิได้ “ในเมื่อท่านล่วงรู้ฐานะข้าแต่แรก เช่นนั้นการลอบสังหารในวันนี้ก็เป็นแผนของท่าน?”
ถังฟั่นส่ายหน้า “ย่อมมิใช่! ข้าเพียงวางแผนเรื่องยาพิษเมื่อตอนก่อนหน้าเท่านั้น เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้วไยข้ายังต้องทำร้ายตนเองอีกเล่า ข้าล่วงรู้ฐานะเจ้าแต่แรกย่อมสามารถสกัดข่าวสารที่เจ้าจะส่งออกไปให้เฉินหลวนได้เช่นกัน สุดท้ายเฉินหลวนรอแล้วรอเล่ายังคงไม่ได้รับข่าวจากเจ้า บวกกับได้ยินข่าวลือข้างนอกก็คิดว่าเจ้าหักหลังเขาจริงๆ คนร้ายเหล่านั้นก็คือหลักฐานที่ดีที่สุด ครั้งนี้พวกนั้นเอาชีวิตเจ้าไม่สำเร็จ ย่อมต้องคิดหาวิธีลงมืออีกแน่ หนทางหนึ่งเดียวที่สามารถช่วยเจ้าได้ก็คือเกาะกุมหลักฐานการกระทำผิดที่แท้จริงของเฉินหลวน เพื่อนำตัวเขามาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว”
ประหวัดถึงภาพเหตุการณ์เฉียดตายเมื่อครู่ก่อน เซียวอู่ยังผวาไม่หาย แต่หลังจากที่นางไม่จำเป็นต้องเล่นละครต่อหน้าถังฟั่นแล้ว นางกลับไม่ปรารถนาจะเผยอาการหวาดกลัวต่อหน้าเขาจึงกัดฟันฝืนกล่าว “ต่อให้ท่านได้สมุดบัญชีรับจ่ายเสบียงมาก็ไม่มีประโยชน์ เบื้องหลังเขายังมีกลุ่มอำนาจวั่นสนับสนุน เฉินหลวนส่งมอบบรรณาการให้พวกเขาเป็นจำนวนมากทุกปี ไม่แน่กลุ่มอำนาจวั่นอาจปกป้องเขา”
ถังฟั่นกล่าว “แม่นางเซียว เจ้าแม้ฉลาดเฉลียว ทว่ายังคงไม่เข้าใจการขับเคี่ยวในราชสำนัก ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว เฉินหลวนมีประโยชน์ต่อกลุ่มอำนาจวั่นน้อยมาก ปราศจากเขา พวกนั้นยังคงสามารถให้คนอื่นมาเป็นนายอำเภออู๋เจียงแทนได้ นี่ง่ายดายมาก และข้าก็มีวิธีของข้าเช่นกัน”
เซียวอู่กังขา “วิธีอะไร”
ถังฟั่นส่งยิ้มเป็นคำตอบพร้อมแบมือ
ความหมายชัดเจนยิ่ง ‘หากเจ้ายังอมพะนำอิดออดก็จับเจ้าโยนออกไปเสียเลย เผชิญกับความเดือดดาลของเฉินหลวน ดูว่าเขาจะยอมเชื่อเจ้าหรือไม่’
ช่วงระยะนี้ไม่เพียงเซียวอู่เล่นละครด้วยความเหน็ดเหนื่อย ถังฟั่นก็เหน็ดเหนื่อยมากเช่นกัน การแสดงของเขามิได้ไร้ค่า อย่างน้อยผู้คนต่างรู้กันทั่วว่าเขาลุ่มหลงเซียวอู่ไม่เสื่อมคลาย ข่าวลือหนาหูเข้า เฉินหลวนมีหรือจะไม่เชื่อ
หากเซียวอู่ไม่ได้รับความคุ้มครองจากถังฟั่น คะเนว่าเมื่อก้าวออกจากที่นี่ต้องถูกยิงเป็นเม่นทันที
โฉมงามต้องมีลมหายใจด้วยถึงจะชวนให้ผู้คนรักถนอม โฉมงามที่ไร้ลมหายใจไม่ต่างจากหลุมศพหลุมหนึ่งเท่านั้นเอง
เซียวอู่ปราศจากทางเลือก
นางนิ่งเงียบอยู่นาน “หากข้าเอาสมุดบัญชีรับจ่ายเสบียงออกมา ใต้เท้าจะรับรองอันใดให้ข้าได้บ้าง”
ถังฟั่นเก็บรอยยิ้ม เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมชนิดที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน “ถังรุ่นชิงขอสาบานด้วยชีวิตและเกียรติ จักรักษาความปลอดภัยของแม่นางเซียวสุดความสามารถ หากผิดจากนี้ขอให้ฟ้าผ่ากลางกระหม่อมห้าครา มิได้ตายดี!”
เซียวอู่เผยแววซาบซึ้ง
ผู้คนในยุคนี้ให้ความสำคัญต่อคำสาบานยิ่ง ถังฟั่นสามารถให้คำมั่นเช่นนี้ อย่างน้อยพิสูจน์ได้ถึงความจริงใจของเขา และพิสูจน์ว่าคนผู้นี้แกร่งกล้ากว่าเฉินหลวนไม่รู้กี่เท่า
เสียดายที่บุคคลเยี่ยงนี้พานไม่ลุ่มหลงในความงามของตน
เซียวอู่มองเขาอย่างเจ็บช้ำแวบหนึ่ง “สมุดบัญชีรับจ่ายเสบียงของเฉินหลวนเล่มนั้นวางอยู่ในคฤหาสน์ซึ่งข้าเคยพำนักอยู่ แต่หลังจากที่เขาส่งข้าออกมาย่อมต้องย้ายที่เก็บเป็นแน่”
ถังฟั่นขมวดคิ้ว รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
หากเป็นเช่นนี้เฉินหลวนไฉนยังไล่ล่านางไม่เลิกรา จะต้องกำจัดนางให้ได้?
จริงดังคาด เซียวอู่กล่าวหักมุม “แต่ว่าข้าสามารถเขียนสิ่งที่อยู่ในสมุดบัญชีเล่มนั้นออกมาได้”
“เป็นความจริงหรือ” ถังฟั่นลิงโลด
เซียวอู่เม้มปากยิ้มด้วยความมั่นใจ “จริงแท้แน่นอน ไม่อย่างนั้นลำพังแค่ความงาม เฉินหลวนหรือจะโปรดปรานข้าคนเดียวเนิ่นนานปานนี้ และไฉนยังต้องกำจัดข้าให้ได้”
ถังฟั่นถาม “ต้องใช้เวลานานเพียงใดจึงเขียนออกมาได้”
เซียวอู่ก็มิได้กระบิดกระบวน กล่าวตอบทันควัน “หนึ่งคืน ให้เวลาข้าหนึ่งคืนก็พอ”
ถังฟั่นตบโต๊ะ “ดี! ขอเพียงจัดการเฉินหลวนได้โดยราบรื่น เจ้าไม่เพียงรักษาชีวิตไว้ได้ ข้ายังสามารถส่งเจ้าไปยังสถานที่ปลอดภัยซึ่งไม่มีใครรู้จัก รวมทั้งมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เจ้าใช้ชีวิตครึ่งหลังอย่างสุขสบาย”
เซียวอู่แววตาเป็นประกาย
เฉกเช่นที่เคยบอกถังฟั่น เมื่อก่อนเซียวอู่เคยถูกคหบดีคนหนึ่งซื้อมาเป็นอนุ เมื่อคหบดีเสียชีวิต นางก็ถูกขับออกจากบ้าน ต่อมาค่อยถูกเฉินหลวนเลี้ยงดูในเรือนทอง แต่ถึงนางจะชอบความหรูหราร่ำรวย หากก็ไม่ใคร่ยินดีรับใช้เฉินหลวนที่อารมณ์แปรปรวนผู้นี้
“ท่านไม่มีความรู้สึกแบบชายหญิงกับข้าเลยหรือ ไม่อยากรับข้าเป็นอนุเหมือนอย่างเฉินหลวนบ้างหรือ หรือความงามของข้าไม่อาจสั่นคลอนจิตใจท่าน?” เซียวอู่ถาม
ถังฟั่นระบายยิ้ม “แม่นางเซียวสวยสะคราญล่มเมือง ตั้งแต่เกิดมาข้ายังไม่เคยพบเจอ หากกล่าวว่าไม่หวั่นไหว นั่นไยมิใช่กำลังลืมตาพูดปด คิดว่าคงไม่มีบุรุษคนใดในหล้ากล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ต่อหน้าแม่นางกระมัง”
เซียวอู่หวานชื่นทรวงใน “แล้วไฉนท่านไม่ต้องการข้า”
ถังฟั่นยิ้มตอบ “จิตใจหวั่นไหวไม่เท่ากับมีใจปฏิพัทธ์ ยิ่งกว่านั้นแม่นางเลอโฉมปานนี้ รั้งอยู่ข้างกายข้า สำหรับเจ้าสำหรับข้าล้วนเป็นทุกข์มากกว่าสุข”
เซียวอู่มองเขาด้วยแววตาขุ่นมัวระคนตัดพ้อ
กล่าวตามสัตย์ นางมิได้มีความรู้สึกแบบชายหญิงต่อถังฟั่น อย่างมากแค่ชื่นชอบดวงหน้าคมคายและบุคลิกสง่าผ่าเผยของเขาเท่านั้น
แต่นางเฉิดฉายปานนี้ ผู้ที่ได้ยลโฉมไม่มีสักรายที่ไม่เคลิบเคลิ้มใหลหลง แม้แต่เฉินหลวนซึ่งเย่อหยิ่งทะนงตนปานนั้นก็ไม่ยกเว้น สุดท้ายกลับเตะถูกแผ่นเหล็กเช่นถังฟั่น ทำให้อดรู้สึกล้มเหลวมิได้
เซียวอู่รู้ดีว่าสำหรับตน สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือหนีให้พ้นจากอุ้งมือมารของเฉินหลวน รักษาชีวิตเอาไว้ให้ได้ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน
นางกล่าว “ข้าทราบแล้ว รบกวนใต้เท้าเตรียมหมึกพู่กันและกระดาษให้ข้า นอกจากนี้ข้าขอสาวใช้ที่พอเข้าใจเรื่องหมึกพู่กันคนหนึ่งช่วยข้าจัดแจงสิ่งที่ข้าจดออกมา”
ถังฟั่นพยักหน้า “แม่นางเซียวคิดว่าข้าเป็นอย่างไร”
เซียวอู่ผงะ ก่อนผุดยิ้มสดใส “ใต้เท้ายินดีลดเกียรติให้ความช่วยเหลือ ย่อมประเสริฐอย่างหาที่เปรียบมิได้”
เมื่อสลัดหน้ากากแห่งความเสแสร้งทิ้งไป ต่างฝ่ายต่างจริงใจต่อกัน กลับง่ายต่อการคลุกคลีกว่าที่ผ่านมามากนัก
ถังฟั่นไม่จำเป็นต้องทำท่าลุ่มหลงงมงาย เซียวอู่ก็มิต้องกล้ำกลืนฝนทนปิดบังฐานะตนเอง
เซียวอู่มิได้หลงรักถังฟั่นด้วยเหตุนี้ กลับเป็นถังฟั่นที่มองเซียวอู่ในมุมที่เปลี่ยนไป เขาพบว่าสตรีนางนี้มีสิ่งที่เหนือกว่าผู้อื่นจริงๆ
หนึ่งคืนผ่านพ้น สองคนไม่หลับไม่นอน สองตาดำคล้ำ กลับมิใช่เพราะกระทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงอันใด แต่คนหนึ่งขีดเขียน คนหนึ่งจัดระเบียบ กระทั่งกลายเป็นสมุดบัญชีรับจ่ายเสบียงออกมา
ที่เซียวอู่บอกว่าตนอ่านรอบหนึ่งก็จดจำไม่ลืมนั้นมิได้โป้ปด เพราะตัวเลขรายการบัญชีทั้งหมดในสมุดบัญชีรับจ่ายเสบียงล้วนถูกบันทึกอยู่ในความทรงจำของนางอย่างแม่นยำ มิน่าเล่าเฉินหลวนถึงได้กระวนกระวายปานนั้นหลังจากที่สงสัยว่าเซียวอู่หักหลังตน กระทั่งส่งคนร้ายมาลอบสังหาร
กล่าวได้ว่าถังฟั่นสามารถพิเคราะห์จิตใจของคนผู้นี้ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ ต่อให้เฉินหลวนไม่ส่งคนมาฆ่าเซียวอู่ เดิมทีหลังเรื่องยาพิษ พวกถังฟั่นก็เตรียมสร้างสถานการณ์ลอบสังหารเซียวอู่ขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นป้ายความผิดให้เฉินหลวน สร้างความแตกแยกระหว่างพวกเขา
แต่บัดนี้ย่อมไม่มีความจำเป็นอีกแล้ว เฉินหลวนลงมือเองแล้ว และเซียวอู่หันมาอยู่ฝ่ายเขาเรียบร้อย
สมุดบัญชีรับจ่ายเสบียงเล่มที่อยู่ในมือถังฟั่นนี้จดบันทึกรายการรับจ่ายเสบียงตามจำนวนจริงไว้อย่างละเอียด ซึ่งเป็นการยืนยันว่าคำพูดของหูเหวินเจ่านั้นถูกต้อง
เพราะเดิมทีในคลังเสบียงยังเหลือเสบียงห้าพันตั้นจริง แต่ห้าพันตั้นนี้ล้วนถูกเฉินหลวนขนถ่ายออกไปจนหมด ก่อนนำออกขายให้พ่อค้าข้าวในราคาสูง สุดท้ายค่อยซื้อเศษเสบียงเก่าๆ จำนวนหนึ่งเข้ามาในราคาต่ำ นำไปบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัย
พฤติกรรมเช่นนี้หากกระทำในสมัยจักรพรรดิหงอู่ คะเนว่าต้องมีจุดจบแบบถูกถลกหนังเอามายัดฟางแขวนประจาน
เซียวอู่เห็นเขาพลิกดูสมุดบัญชีด้วยสีหน้าเคียดขึ้งจึงอดกล่าวมิได้ “สมุดบัญชีเล่มนี้หากส่งถึงเมืองหลวง เกรงว่าต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งกระมัง และในระหว่างนั้นเฉินหลวนคงไม่ยอมนั่งรอความตายเป็นแน่”
“มิผิด!” ผู้ขานรับคำพูดของนางมิใช่ถังฟั่น กลับเป็นตี๋หานที่ผลักประตูเข้ามา
นายกองพันเซวียตามหลังเข้ามาด้วย ยิ้มกล่าวว่า “เมื่อวานหลังจากพวกท่านมาถึงที่นี่ ข้าได้ให้คนปลอมตัวเป็นพวกท่านกลับเข้าบ้านพักรับรองตามเดิม ผลคือตกดึกมีคนลอบเข้าไปหมายลอบสังหารพวกท่านจริงๆ สุดท้ายถูกพวกเราจับได้คาหนังคาเขา”
เซียวอู่อุทานดังอา สีหน้าหวาดผวาอย่างหนัก “เป็นคนของเฉินหลวนอีกแล้วหรือ”
นายกองพันเซวียพยักหน้า “ใช่”
เซียวอู่ถาม “เช่นนั้นตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรดี”
คำถามนี้นายกองพันเซวียก็ตอบไม่ได้ ดวงตาสามคู่ของสามคนภายในห้องล้วนมองไปทางถังฟั่น
ถังฟั่นเคาะสมุดบัญชีกับมือ ระบายยิ้มกล่าวออกมาคำหนึ่ง “รอ”
เซียวอู่เบิกตาโต “ยังรออันใด พวกเรามีสมุดบัญชีอยู่ในมือแล้ว หรือยังโค่นเฉินหลวนไม่ได้?”
ชัดเจนมาก การรั้งอยู่ในสาขาขององครักษ์เสื้อแพรยังไม่อาจทำให้นางวางใจได้สนิท
นอกจากถังฟั่นแล้วยังมีใครที่แม้แต่ยามหลับก็หลับไม่สนิท อยากให้เฉินหลวนถูกดำเนินคดีโดยเร็วที่สุด แน่นอนคนผู้นั้นคือเซียวอู่
“ไม่นานหรอก” ถังฟั่นยิ้มปลอบนาง “เร็วๆ นี้แน่นอน”
เร็วๆ นี้คือเร็วเท่าไรกันแน่ เซียวอู่ไม่ทราบ นางเพียงอยากให้เร็วขึ้นกว่านี้
หากแต่สำหรับเฉินหลวน เวลานี้หนึ่งวันประดุจหนึ่งปี ทว่าเขากลับอยากให้ช้าลงกว่านี้อีก
อันที่จริงจวบจนบัดนี้เรื่องราวได้อยู่เหนือความควบคุมของเขาหมดแล้ว แต่เขายังคงไม่กระจ่าง ไฉนจู่ๆ สถานการณ์จึงพลิกผันเป็นเช่นนี้ไปได้
เช้าวันนี้เพิ่งได้รับข่าวร้ายสองเรื่อง
อาของเขา เฉินจิ่งเสนาบดีกรมอากรนครหนานจิงที่เดิมทีมีอำนาจค้ำฟ้าถูกฟ้องร้องจนกระเด็นจากตำแหน่ง กลุ่มอำนาจวั่นก็รักษาเขาไว้ไม่ได้ จักรพรรดิมีราชโองการ เห็นแก่ที่เขาอายุสูงวัย สุขภาพทรุดโทรม ให้เขากลับบ้านพักผ่อนยามชรา แม้ฟังแล้วดูดี แต่ความจริงก็คือถูกถอดตำแหน่ง เฉินจิ่งเอาตัวเองไม่รอด ย่อมไม่อาจไปคำนึงถึงเฉินหลวนแล้ว
ส่วนเฉินหลวนเป็นเพราะตำแหน่งต่ำต้อยจึงไม่อาจติดต่อกลุ่มอำนาจวั่นโดยตรง ที่ผ่านมาล้วนอาศัยอาตนเองเป็นคนกลาง ยามนี้ท่านอาไปแล้ว ช่องทางติดต่อหนึ่งเดียวกับกลุ่มอำนาจวั่นก็ถูกตัดขาดไปด้วย
ข่าวร้ายอีกข่าวแน่นอนว่าก็คือมือสังหารหลายชุดที่เขาส่งไปฆ่าปิดปากเซียวอู่ล้วนแต่คว้าน้ำเหลว สตรีนางนั้นไม่เพียงไม่ตาย กระทั่งมือสังหารยังถูกจับกุม ไม่ทราบป่านนี้ถูกสอบสวนได้ความไปมากน้อยเท่าไรแล้ว
เรื่องราวถึงขั้นนี้ เฉินหลวนย่อมไม่อาจเพ้อฝันว่าเซียวอู่ยังจะเก็บความลับไว้เพื่อเขา
หากสมุดบัญชีรับจ่ายเสบียงไม่หายหรืออาของเขายังไม่เสียอำนาจ เฉินหลวนคงไม่วิตกปานนี้ เพราะเขาทราบว่าลำพังแค่เจ้าคนขี้ขลาดหูเหวินเจ่าจะพ่นเรื่องที่มีประโยชน์ออกมาได้สักกี่มากน้อย แต่บัดนี้สถานการณ์ไม่เข้าข้างตนอย่างเห็นได้ชัด นี่จึงจำต้องครุ่นคิดแผนการรองรับล่วงหน้า
ในโถงด้านหลังอันกว้างขวางของที่ว่าการอำเภอ เฉินหลวนและคนสนิทของตนสามคน รวมทั้งหยางจี้ผู้ตรวจการเขตพื้นที่หนานจื๋อลี่ ต่างแยกย้ายกันนั่งประจำที่ คนไม่น้อย บรรยากาศกลับเงียบสงัดยิ่ง
หยางจี้ร้อนรุ่มสุมอก เห็นทุกคนล้วนปิดปากไม่พูดจาจึงโพล่งขึ้นอย่างเหลืออด “ช่วยกันคิดหาวิธีสิ!”
ที่ปรึกษาคนหนึ่งกระแอมเบาๆ กล่าวกับเฉินหลวน “ใต้เท้า เรื่องราวถึงขั้นนี้ มิสู้ขอความช่วยเหลือจากทางนั้น?”
หยางจี้หูผึ่งทันใด กลับสดับฟังด้วยความงุนงง ไม่ทราบ ‘ทางนั้น’ ที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงที่แท้เป็นทางใด
ท่ามกลางสายตาคาดหวังของทุกคน เฉินหลวนเอ่ยเนิบๆ “ข้าติดต่อกับทางนั้นแล้ว พวกเขายินดีช่วยพวกเรา”
ที่ปรึกษาทั้งสามคนล้วนเผยสีหน้าลิงโลด หยางจี้กลับยังอยู่ในม่านหมอก “น้องเฉิน ที่เจ้าพูดถึง…”
พูดไม่ทันจบกลับเห็นบ่าวรับใช้บ้านสกุลเฉินวิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามา “นายท่าน แย่แล้วขอรับ ด้านนอกมีองครักษ์เสื้อแพรกลุ่มใหญ่ปิดล้อมที่ว่าการอำเภอไว้หมดแล้ว ยังบอกให้นายท่านออกไปด้วย”
หยางจี้ตกใจหน้าถอดสี หันขวับไปทางเฉินหลวน
ฝ่ายหลังกลับเผยรอยยิ้มเยียบเย็น “มาได้ประจวบเหมาะ!”
หยางจี้นึกเสียใจขึ้นมาตั้งแต่วันที่ช่วยเฉินหลวนส่งเงินให้ถังฟั่นแล้ว
กล่าวตามจริงคือเฉินหลวนแส่หาเรื่องเดือดร้อนเอง ตอนนี้ยังเป็นปฏิปักษ์กับขุนนางที่ราชสำนักส่งมาอีก ไฉนตนต้องช่วยเขาเก็บกวาดความเละเทะด้วย
หากถังฟั่นโค่นเฉินหลวนไม่สำเร็จ กลับเอาโทสะมาลงที่เขา เฉินหลวนก็ใช่ว่าจะช่วยออกหน้าให้
แต่หยางจี้ไม่มีทางเลือก เขาลงเรือลำเดียวกับเฉินหลวนแล้ว สองคนยามสุขไม่แน่จะเคียงคู่ ยามทุกข์กลับเคียงข้างแน่นอน และเรื่องสกปรกที่หมกอยู่ใต้บั้นท้ายตนเองเหล่านั้นย่อมจะถูกขุดคุ้ยออกมาด้วย ดังนั้นเขาจำต้องยืนอยู่ข้างเฉินหลวน
ถังฟั่นมาถึงก็มิได้เคลื่อนไหวเอิกเกริก ทั้งมิได้แตกหักกับเฉินหลวนต่อหน้าธารกำนัล และรับเงินที่หยางจี้ส่งไปให้ ต่อมาขลุกอยู่ในบ้านพักรับรองตลอด แทบมิได้ออกไปที่ใด นี่ทำให้หยางจี้คลายใจได้บ้าง รู้สึกถังฟั่นโด่งดังก็จริง แต่อย่างไรก็ยังหนุ่มแน่น ความเย้ายวนของเงินจำนวนมหาศาลมิใช่ผู้ใดจะสามารถต้านทานได้ มิหนำซ้ำต่อมาเฉินหลวนยังส่งโฉมงามไปให้อีกคนหนึ่ง ซึ่งความสวยสะคราญของสตรีนางนั้นหยางจี้เคยยลมาแล้ว เลอโฉมจนพระจันทร์ยังอายเลยทีเดียว
ทุ่มเงินก้อนใหญ่ถึงเพียงนั้นลงไป หากถังฟั่นยังไม่กินเบ็ด นั่นออกจะผิดธรรมชาติจริงๆ
หยางจี้เป็นแค่ผู้ตรวจการเขตพื้นที่ มิใช่ทรราชเจ้าถิ่น แหล่งข่าวของเขาย่อมไม่ว่องไวเท่าของเฉินหลวน ดังนั้นจนบัดนี้เขาจึงได้แต่นั่งอยู่ที่นี่ฟังเฉินหลวนบอกว่าถังฟั่นไม่เพียงโน้มน้าวหูเหวินเจ่าเจ้าเมืองซูโจวสำเร็จ ยังจัดการมือสังหารสองกลุ่มของเฉินหลวนจนแตกพ่ายยับเยิน หยางจี้จึงอดมึนงงมิได้
เฉินจิ่ง เสนาบดีกรมอากรนครหนานจิงถูกฟ้องร้องจนหลุดจากตำแหน่งแล้ว?
เฉินหลวนถึงกับส่งมือสังหารไปลอบฆ่าถังฟั่น?
ประเด็นสำคัญมิได้อยู่ตรงนี้ แต่อยู่ที่คนที่เฉินหลวนส่งออกไปมิได้หวนกลับอีกเลย
ข้างกายถังฟั่นเพียงมีผู้อารักขาสี่คน สองในสี่ยังเป็นคนของสำนักบูรพาอีกด้วย แต่ยังสามารถปลอดภัยไร้เรื่องราวได้ แท้จริงแล้วคนผู้นี้มีใครหนุนหลังกันแน่
ข้อกังขานี้กำลังจะได้รับคำตอบในเวลาอันใกล้
หยางจี้เดินตามหลังเฉินหลวนและพวกออกจากที่ว่าการอำเภออู๋เจียง เห็นด้านนอกรายล้อมด้วยองครักษ์เสื้อแพร แต่ละคนกุมดาบมั่น ท่าทางประหนึ่งเทพสังหาร
เข่าของเขาพลันอ่อนยวบแทบล้มทั้งยืน รีบเกาะแขนที่ปรึกษาคนหนึ่งของเฉินหลวนไว้
เฉินหลวนมองเหยียดเขาแวบหนึ่ง จากนั้นสายตาพุ่งตรงไปทางด้านหลังองครักษ์เสื้อแพรเหล่านั้น ไม่ไกลออกไปมีคนผู้หนึ่งกำลังเดินมา
เหล่าองครักษ์เสื้อแพรค่อยๆ แหวกออกสองฟาก เปิดเป็นทางสายหนึ่งตามฝีก้าวเอื่อยๆ ที่ใกล้เข้ามาของถังฟั่น
“นายอำเภอเฉิน สุขสบายดีหรือ” ถังฟั่นเอ่ยทักทาย น้ำเสียงนั้นคล้ายกำลังถามว่า ‘ท่านกินอาหารเช้าแล้วหรือยัง’
“ผู้ตรวจการถัง นี่หมายความว่าอย่างไร จัดขบวนกันมาอย่างเอิกเกริกปานนี้ ที่ว่าการอำเภอเล็กๆ ของข้าน้อยไม่มีชามตะเกียบไว้ต้อนรับมากพอหรอกนะ”
เฉินหลวนแย้มยิ้ม ไร้สีหน้าตื่นตระหนก ยังเยือกเย็นกว่าเมื่อเทียบกับหยางจี้ ส่งให้ถังฟั่นนึกชมในใจ
ทว่าขณะเดียวกันก็ทำให้เขาตระหนักได้ว่าฝ่ายตรงข้ามสงบสติอารมณ์ได้ดีเช่นนี้ คิดว่าต้องมีผู้ให้ท้ายแน่นอน
ถังฟั่นยิ้มกล่าว “เรื่องนี้นายอำเภอเฉินไม่จำเป็นต้องลำบาก ที่ข้ามาวันนี้ใคร่จะเรียนเชิญนายอำเภอเฉินและผู้ตรวจการหยางกลับไปรำลึกความหลัง พวกท่านอยากไปกับข้าเอง หรือจะให้พี่น้ององครักษ์เสื้อแพรเหล่านี้เชิญไป หากเป็นอย่างหลัง ถึงเวลานั้นคงไม่น่าดูเท่าไร”
ระหว่างที่พูด นายกองพันเซวียก้าวยาวๆ เข้ามาหยุดยืนที่ข้างกายถังฟั่น กระซิบเตือนเบาๆ “ใต้เท้า เกรงว่าที่นี่คงไม่ใช่รังเก่าของเฉินหลวน”
ถังฟั่นผงกศีรษะนิดหนึ่ง กระซิบกลับไปว่า “จับกุมคนกลับไปก่อนค่อยว่ากัน เรื่องที่ข้าให้เจ้าทำเป็นอย่างไรแล้ว”
นายกองพันเซวียผุดยิ้ม “ใต้เท้าโปรดวางใจ คนของสมาคมพ่อค้าซูโจวถูกควบคุมตัวไว้หมดแล้ว ไม่มีหลุดรอดแม้คนเดียว”
ถังฟั่นยิ้ม “ดีมาก”
ตี๋หานหรือก็คือสุยโจวมีภารกิจติดตัว สามารถแวะมาซูโจวเที่ยวหนึ่งก็สุดขีดจำกัดแล้ว ย่อมมิอาจรั้งอยู่นานเกิน เวลานี้คนได้ไปจากซูโจว มุ่งหน้าเจียงซี นายกองพันเซวียมีหน้าที่ให้ความร่วมมือกับถังฟั่นอย่างเต็มที่ ช่วยเหลือเขาดำเนินการรวบตาข่ายครั้งสุดท้าย
แน่นอนเฉินหลวนไม่ได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง แต่นี่มิได้ขัดขวางมิให้เขาเห็นรอยกระหยิ่มยิ้มย่องบนใบหน้าอีกฝ่าย
สายตาของเขากวาดผ่านใบหน้าถังฟั่นและนายกองพันเซวีย ก่อนหยุดลงบนร่างสตรีนางหนึ่งที่แม้จะสวมชุดบุรุษหากมิอาจกลบกลืนความเฉิดฉายไว้ได้ สีหน้าพลันเครียดขรึมขึ้นมา
เฉินหลวนแค่นหัวเราะ “ข้าถึงว่าเหตุใดจู่ๆ ผู้ตรวจการถังก็ลุกขึ้นมาแสดงอำนาจ ผิดที่ข้าดูคนไม่เป็นเอง ถึงกับไม่คิดว่าจะมีคนวางอาวุธยอมจำนนต่อศัตรู สตรีก็คือสตรีวันยังค่ำ เส้นผมยาวความรู้สั้นมิพึงไว้ใจ”
เพราะอำนาจที่สั่งสมนานปี เซียวอู่ยังคงเกรงกลัวเฉินหลวนอยู่บ้าง มิกล้าสบตาเขาโดยตรง ถึงขนาดเบี่ยงตัวหลบมาทางด้านหลังถังฟั่น
ทว่าเมื่อฟังถ้อยคำนี้จบ นางเดือดดาลสุดขีดจึงโต้กลับไป “ข้าว่าคนที่ความรู้สั้นคงเป็นท่านมากกว่า อย่าได้พูดราวกับตนเองรักใคร่ข้าเสียเต็มประดา เพราะอะไรท่านถึงเลี้ยงดูข้าให้กินดีอยู่ดีมาตั้งหลายปี มิใช่จะเอาไว้ใช้สอยในเรื่องเช่นนั้นหรอกหรือ ก่อนหน้านี้ท่านใช้ข้ากระทำเรื่องไร้ยางอายมาแล้วเท่าไร ทุกอย่างที่ข้าทำให้ ชดใช้เป็นค่ากินค่าอยู่ยังเหลือเฟือ! หวาชุ่ยติดตามข้ามานาน สุดท้ายถูกท่านย่ำยีจนตายแล้วเอาไปโยนทิ้งในบ่อ ตอนนั้นข้าสู้ท่านไม่ได้ ไม่กล้าส่งเสียง แต่บัญชีแค้นเหล่านี้ข้าล้วนจดจำฝังใจ แล้วยังมีอนุคนเล็กของบิดาท่าน พี่สะใภ้ท่าน ท่านทำลายสตรีมาแล้วกี่คน ยังมีความละอายหรือไม่ จะให้ข้าแจกแจงออกมาทีละคนก็ย่อมได้ ข้ากล้าพูด แต่ท่านถามคนเหล่านี้ดูว่ากล้าฟังหรือไม่”
ทั่วบริเวณเงียบกริบ ทุกคนล้วนตื่นตะลึงจ้องมองเฉินหลวน แววตาผิดแผก สีหน้าแปลกประหลาด
บุรุษโดยมากมักเจ้าชู้ สามภรรยาสี่อนุเป็นเรื่องปกติ แต่หากพัวพันถึงอนุของบิดาเอย ภรรยาของพี่ชายเอย เช่นนั้นจะกลายเป็นผิดประเวณี เลวยิ่งกว่าเดรัจฉานแล้ว
เฉินหลวนตวาดก้อง “นางแพศยา! พูดจาเหลวไหลอันใด!”
เซียวอู่แม้แต่งกายเป็นชาย หากยังชินกับการปัดจอนผม เม้มปากยิ้มกล่าว “ข้าพูดจาเหลวไหล? เรื่องที่ท่านมักมากในกามนั้นมิใช่เรื่องในวันสองวันนี้กระมัง ตอนนี้ยังโดนข้อหาหลอกลวงเบื้องสูง ไม่เห็นราชสำนักอยู่ในสายตา นี่ยังมีอันใดแปลกเล่า”
เฉินหลวนแค้นจัด แต่ก็รู้ว่านี่มิใช่เวลามาโต้ฝีปากกับนาง เขาจึงข่มโทสะลงไป กล่าวกับถังฟั่น “ข้าในฐานะขุนนาง ผู้ตรวจการถังใคร่จะตรวจค้นที่ว่าการอำเภอและนำตัวข้าไป มีราชโองการของราชสำนักหรือไม่”
ถังฟั่นกล่าว “ข้าในฐานะผู้ตรวจราชการแทนพระองค์ สามารถกระทำการตามที่เห็นสมควร”
เฉินหลวนแค่นหัวเราะ “แต่ในราชโองการเพียงสั่งให้ท่านดำเนินการตรวจสอบความขัดแย้งระหว่างข้า หยางจี้ และหูเหวินเจ่าเท่านั้น มิได้ให้ท่านมาจับกุมข้า นี่ท่านกำลังบิดเบือนราชโองการชัดๆ ข้าจะไม่ไปกับท่านแน่”
ถังฟั่นเลิกคิ้ว “ท่านกล้าขัดราชโองการ?”
เฉินหลวนตวาดก้อง “ท่านต่างหากที่ขัดราชโองการ! ออกคำสั่งต่อองครักษ์เสื้อแพรโดยพลการ ลำพังแค่ความผิดนี้ก็มากพอให้กระอักแล้ว”
เขาเพิ่งพูดจบ สุ้มเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านข้างราวกับขานรับเฉินหลวน “มิผิด ถังฟั่น เจ้าไม่มีอำนาจนำตัวเฉินหลวนไป!”
ถังฟั่นและคนอื่นๆ ล้วนเหลียวมองต้นเสียง เห็นเจิงเผยและอู๋จงชักนำคนขี่ม้ากลุ่มหนึ่งควบตะบึงมา
องครักษ์เสื้อแพรมีสาขาในแต่ละมณฑล แต่สำนักบูรพาไม่มี
กลุ่มคนขี่ม้าที่เจิงเผยและอู๋จงพามาก็คือคนที่หม่าซิงฝู ขันทีรักษาการณ์เมืองซูโจวส่งมา แรกเริ่มจัดตั้งตำแหน่งขันทีรักษาการณ์เพียงจำกัดให้ดูแลการทหาร ไม่อาจก้าวก่ายการปกครอง แต่ต่อมาค่อยๆ เริ่มแทรกแซงการปกครองท้องถิ่น แม้พวกเขาไม่ขึ้นกับสำนักบูรพา แต่ทุกคนล้วนเป็นขันที ไหนเลยปราศจากการติดต่อกันมาก่อน หม่าซิงฝูก็เป็นคนของกลุ่มอำนาจวั่น สัมพันธ์แนบแน่นกับสำนักบูรพา บวกกับยังมีคำสั่งลายมือของซั่งหมิง ดังนั้นถึงได้ยืมกำลังคนให้พวกเจิงเผย
ถังฟั่นมองดูพวกเขาควบใกล้เข้ามา มิได้เร่งร้อนออกคำสั่ง สีหน้ายังค่อนข้างปลอดโปร่งด้วยซ้ำ
กลับเป็นพวกเจิงเผยที่เคลื่อนพลเร่งรุดมาแต่ไกล หมดเปลืองกำลังวังชาไม่น้อย ยามนี้กำลังหอบหนัก ทุลักทุเลพอสมควร ก่อนทวนซ้ำถ้อยคำเมื่อครู่นี้อีกครั้ง
“เจ้า…เจ้าไม่มีอำนาจนำตัวเฉินหลวนไป”
นายกองพันเซวียเป็นคนของสุยโจว มิใช่คนของวั่นทง ย่อมจะไม่เกรงใจสองคนนี้ เขาปั้นหน้าเข้ม “องครักษ์เสื้อแพรปฏิบัติงาน ผู้ใดล้วนไม่มีอำนาจไถ่ถาม! ผู้บังอาจขัดขวางเทียบเท่าก่อกบฏ!”
“โอ้ นายกองพันเซวียห้าวหาญนัก อะไรกัน หรือแม้แต่ข้าก็ก้าวก่ายไม่ได้?” คนที่เดิมทียืนเยื้องอยู่ด้านหลังพวกเขาเผยโฉมหน้าออกมา
เจิงเผยและอู๋จงรีบเบี่ยงร่างเปิดทาง บนหน้าปราศจากวี่แววไม่พอใจ ตรงข้ามกลับผุดเต็มด้วยรอยกระหยิ่ม คล้ายเล็งเห็นถึงเคราะห์กรรมของพวกถังฟั่นกระนั้น
นายกองพันเซวียหน้าแปรสีเล็กน้อย ประสานมือแบบไม่เต็มใจนัก “หม่ากงกงรุดมา อภัยที่มิได้ต้อนรับ”
ผู้มามิใช่ใครอื่น คือหม่าซิงฝู ขันทีรักษาการณ์ซูโจวนั่นเอง
นายกองพันเซวียกับถังฟั่นคำนวณไว้แต่แรกว่าเฉินหลวนอาจเรียกกำลังเสริม บัดนี้อาของเขาหมดอำนาจแล้ว หนึ่งเดียวที่สามารถเกื้อหนุนเขาได้ก็คือสำนักบูรพา ทว่าพวกเขาไม่คิดว่าหม่าซิงฝูถึงกับออกโรงด้วยตนเอง
เฉินหลวนกับหยางจี้เป็นตัวแทนฝ่ายอำเภออู๋เจียง ถังฟั่นคือผู้ที่มาจับกุมพวกเขา เบื้องหลังนายกองพันเซวียคือองครักษ์เสื้อแพร บัดนี้แม้แต่สำนักบูรพาก็มาแล้ว
แปดเซียนข้ามทะเล* จริงๆ เทพเซียนแต่ละสายล้วนมาชุมนุม
การปรากฏตัวของหม่าซิงฝูส่งให้สถานการณ์ในวันนี้ยิ่งลึกลับซับซ้อน
โชคดีที่หูเหวินเจ่ามีสังหรณ์ล่วงหน้า ซ่อนตัวอยู่ในจวนเจ้าเมืองไม่ยอมโผล่หน้า ไม่อย่างนั้นเห็นสภาพในตอนนี้เข้าคงตกใจตายแน่
เซียวอู่ก็เริ่มกระวนกระวาย
* แปดเซียนข้ามทะเล เป็นสำนวน หมายถึงคนเก่งแต่ละคนแสดงความสามารถของตนเองออกมา
นางมิใช่สตรีตระกูลเล็กๆ ที่ไม่เคยผ่านโลก เดิมเข้าใจว่าองครักษ์เสื้อแพรก็บารมีใหญ่โตพอแล้ว วันนี้ย่อมสามารถกำราบเฉินหลวนได้แน่ มิคาดเหนือภูสูงยังมีภูสูงกว่า ยามนี้สำนักบูรพาโผล่มาอีกราย หากถังฟั่นและองครักษ์เสื้อแพรยอมจำนน ปล่อยให้เฉินหลวนพ้นภัยไปได้ เช่นนั้นคนแรกที่เขาจะกลับมาทวงแค้นต้องเป็นตนแน่นอน
ถังฟั่นจะทนความกดดันได้จริงหรือ
นางอดชำเลืองบุรุษด้านหน้าหนึ่งทีมิได้ อีกฝ่ายยังคงยืนมือไพล่หลังอยู่ที่เดิม ท่วงท่าที่แน่วนิ่งมั่นคงทำให้ผู้อื่นยากจะแยกแยะว่าที่แท้ในใจเขาเกรงกลัวหรือไม่
หม่าซิงฝูเป็นคนอ้วน เส้นเสียงกลับนุ่มนิ่มอยู่บ้าง “ครึกครื้นปานนี้ นี่จะทำอะไรกัน”
สายตาของเขาตกลงบนร่างถังฟั่น “ท่านนี้คงเป็นผู้ตรวจการถังกระมัง หลังเจ้ามาถึงซูโจว ข้ายังไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตา วันนี้นับว่ามีวาสนาแล้ว”
วาจาทักทายโดยแท้ แต่ความนัยคือบอกว่าถังฟั่นมาซูโจวตั้งนานแล้ว กลับไม่เคยไปเยี่ยมคารวะตน
อำนาจของขันทีรักษาการณ์สูงมาก สามารถถวายฎีกาถึงจักรพรรดิโดยตรง เทียบเท่าพระเนตรพระกรรณโอรสสวรรค์ ขุนนางทั่วไปมาตรว่าไม่ปรารถนาคบหากับพวกเขา หากก็ไม่ยินดีเป็นอริกับพวกเขาเช่นกัน อย่างน้อยแค่เยี่ยมคารวะตามธรรมเนียม สองฝ่ายทักทายพอเป็นพิธี มิให้เสียมารยาทเท่านั้น
แต่ช่วงที่ถังฟั่นอยู่ในซูโจว จากวันแรกถึงบัดนี้กลับคล้ายลืมเลือนหม่าซิงฝูผู้นี้ไปแล้วกระนั้น อย่าว่าแต่รุดไปเยี่ยมคารวะด้วยตนเองเลย กระทั่งของขวัญก็ไม่เคยส่ง!
แล้วจะไม่ให้หม่าซิงฝูขุ่นแค้นใจได้อย่างไร
ในเมื่อเจ้าไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าข้าไม่ให้เกียรติเจ้า!
ถังฟั่นย่อมมีแผนในใจ ยามนี้ได้ยินถ้อยคำที่เหมือนซ่อนเข็มในแพรไหมก็แย้มยิ้ม “ขออภัยๆ ผู้แซ่ถังเสียมารยาทแล้ว ทว่างานหลวงติดพัน ไม่สะดวกเยี่ยมคารวะถ้วนทั่ว เลี่ยงมิให้แพร่ถึงพระกรรณซึ่งอาจเข้าพระทัยว่าข้าไม่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ รอภารกิจแล้วเสร็จ ผู้แซ่ถังย่อมตระเตรียมของขวัญหนาหนักรุดไปขอขมาถึงจวนกงกงด้วยตนเองแน่นอน”
“ไม่จำเป็น!” หม่าซิงฝูยกระดับเส้นเสียง ทำให้ฟังดูแหลมขึ้น “ข้ารับไม่ไหว”
ถังฟั่นผงกศีรษะ “เช่นนั้นก็ดี วันนี้ถือว่าประสบพบหน้าแล้ว วันหน้าผู้แซ่ถังก็ไม่ต้องรุดไปเยี่ยมคารวะกงกงอีก”
หม่าซิงฝูยังไม่เคยเห็นใครที่หยามเกียรติเขาถึงเพียงนี้มาก่อน พลันโกรธกริ้วสุดระงับ เปล่งคำว่าดีติดต่อกัน “ดี! ดี! ดี! ผู้ตรวจการถังไม่ธรรมดาจริงๆ!”
“ชมเกินไปแล้ว!” ถังฟั่นส่งยิ้มละมุนให้เขา ก่อนปั้นหน้าเคร่งขรึม “ผู้แซ่ถังรับราชโองการปฏิบัติภารกิจ ยังหวังหม่ากงกงหลีกทาง เลี่ยงมิให้เกิดการบาดเจ็บ ทหาร! จับกุมเฉินหลวนและหยางจี้ รวมทั้งตรวจยึดสถานที่นี้!”
“ผู้ใดบังอาจ!” หม่าซิงฝูเดือดจัด “ไม่มีคำสั่งข้า ผู้ใดก็อย่าหมายขยับ”
ถังฟั่นเลิกคิ้ว “กงกง ท่านเป็นขันทีรักษาการณ์ซูโจว กลับออกคำสั่งต่อองครักษ์เสื้อแพร ก้าวล่วงอำนาจแล้วกระมัง”
หม่าซิงฝูกล่าวเสียงเย็น “ถังฟั่น เจ้าได้รับคำสั่งให้มาไกล่เกลี่ยข้อพิพาท สุดท้ายกลับปฏิบัติหน้าที่นอกเหนือคำสั่ง ฐานะผู้ช่วยข้าหลวงตรวจการเยี่ยงเจ้าไหนเลยมีอำนาจเคลื่อนย้ายองครักษ์เสื้อแพร นายกองพันเซวีย องครักษ์เสื้อแพรมีฐานะเป็นทหารรักษาพระองค์ รับผิดชอบสอดส่องและจับกุมผู้กระทำผิดแทนโอรสสวรรค์ เจ้ากลับสมคบคิดกับถังฟั่น นี่คิดจะก่อกบฏหรืออย่างไร หา!”
หยางจี้ค่อยๆ คืนสติ เขามองดูรอยยิ้มกริ่มบนมุมปากเฉินหลวน แล้วเบนสายตาไปที่ถังฟั่นกับหม่าซิงฝูซึ่งยืนประจันหน้ากัน ยามนี้ค่อยกระจ่างแจ้ง ที่แท้เฉินหลวนเตรียมการล่วงหน้า ผู้หนุนหลังเขาก็คือสำนักบูรพานี่เอง หนำซ้ำยังเชิญขันทีหม่าออกโรงอีกด้วย มิน่าเล่าได้ยินว่าถังฟั่นบุกมาจึงไม่พรั่นพรึงสักนิด
ถังฟั่นจะล่าถอยโดยง่ายหรือไม่
หยางจี้ย่อมหวังให้เป็นเช่นนั้น เพราะหากเฉินหลวนโชคร้าย เขาคงไม่ดีไปกว่ากันเท่าใด
แต่ละคนครุ่นคิดต่างๆ นานา สถานการณ์ใกล้ปะทุ หลังคำพูดนั้นของหม่าซิงฝูยิ่งตึงเครียดเจียนขาดผึง
สีหน้านายกองพันเซวียเขม็งตึง สายตาจับจ้องหม่าซิงฝู ฝ่ามือกุมมั่นบนด้ามดาบ คล้ายเพียงรอคำพูดหนึ่งของถังฟั่น
ทว่าหากเรื่องราวยังมีที่ทางให้พลิกกลับ แน่นอนเขาไม่หวังจะย่างเท้าถึงก้าวนี้
เผชิญกับคำถามของหม่าซิงฝู ถังฟั่นตอบกลับด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น “หม่ากงกง ถูกผิดดำขาวย่อมมีมวลชนวิพากษ์ ทรัพย์สินส่วนหนึ่งที่เฉินหลวนติดสินบนข้าได้นำถวายฝ่าบาทแล้ว ในมือข้ายังมีหลักฐานที่เขาลักลอบค้าขายเสบียงหลวง ในฐานะขุนนางผู้แทนราชสำนักข้าย่อมมีอำนาจจับกุมเขากลับไปไต่สวน ท่านสุ่มเสี่ยงช่วยเขาโดยเอาอนาคตตนเองเป็นเดิมพันเช่นนี้คุ้มค่าหรือ”
หม่าซิงฝูหัวเราะฮาๆ “ถังฟั่น อย่านึกว่าเอาฐานะผู้แทนราชสำนักมาอ้างแล้วข้าจะกลัวเจ้า! บอกให้ก็ได้ ข้ามีพระบัญชาที่ผ่านสภาขุนนางลงมาซึ่งถึงมือข้าก่อนที่เจ้าจะมาซูโจวเสียอีก ในนั้นระบุให้ข้าคอยตรวจสอบเจ้าอย่างลับๆ เพื่อเลี่ยงมิให้เจ้าใช้อำนาจหน้าที่กระทำเรื่องที่ไม่พึงกระทำ” จบคำก็ล้วงหนังสือฉบับหนึ่งจากอกเสื้อยื่นให้ถังฟั่น “หากเจ้าไม่เชื่อ เชิญดูด้วยตาตนเอง”
นายกองพันเซวียให้คนรับไว้ หลังตรวจดูด้วยตนเองค่อยส่งให้ถังฟั่นพลางกระซิบ “ใต้เท้า เป็นของจริง”
อันที่จริงไม่ต้องดูถังฟั่นก็ทราบว่าเป็นของจริง
เพราะสิ่งของอย่างหนังสือคำสั่งจากเบื้องสูงใช่ว่าจะมีผู้ใดกล้าปลอมแปลง หม่าซิงฝูมิใช่คนหน่ายโลก จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะทำพระบัญชาปลอมมาหลอกถังฟั่น
พิจารณาจากวันที่ในหนังสือก็เป็นเช่นที่เขาบอก ขณะเดียวกับที่ถังฟั่นมาซูโจว พระบัญชาฉบับนี้ได้ถึงมือหม่าซิงฝู กลายเป็นอาวุธสำหรับกดดันคุกคามถังฟั่นในเวลานี้
นายกองพันเซวียเริ่มลุกลน หม่าซิงฝูมีพระบัญชาฉบับนี้เท่ากับยืนอยู่บนจุดไร้พ่าย ต่อให้วันนี้พวกเขาเตรียมพร้อมมาอย่างดี คะเนว่าคงมิอาจไม่ยอมจำนน เขาหวั่นว่าถังฟั่นจะเลือดร้อน ไม่สนใจใดๆ ดึงดันจะพาเฉินหลวนไปให้ได้จนกระทั่งแตกหักกับหม่าซิงฝู
ทั่วบริเวณปราศจากผู้กล่าววาจา
ทุกคนล้วนรอดูท่าทีของถังฟั่น
เพียงทว่าบางคนกระหยิ่มในใจ บางคนปริวิตก
ถังฟั่นรับหนังสือนั้นมาพิจารณาอย่างละเอียด ใช้เวลานานพอสมควร สุดท้ายค่อยยื่นให้นายกองพันเซวียส่งคืนหม่าซิงฝู
หม่าซิงฝูยิ้มกล่าว “ผู้ตรวจการถัง เจ้าถ่วงเวลาไปก็เปล่าประโยชน์ อย่างไร ตรวจสอบแล้วเป็นของจริงหรือปลอม?”
ถังฟั่นสีหน้าสงบนิ่ง “ย่อมเป็นของจริง หม่ากงกงไหนเลยจะปลอมแปลงพระบัญชาได้”
หม่าซิงฝูเผยรอยยิ้มสำราญใจ ผายมือที่อวบอูม “เช่นนั้นก็กลับไปเถอะ มีเรื่องอันใดมิสู้ไปสนทนาที่จวนขันทีรักษาการณ์”
ถังฟั่นสั่นหน้า “นายกองพันเซวีย”
“ใต้เท้า?”
ถังฟั่นพยักพเยิดคางไปทางเฉินหลวนและพวก “จับคน”
“หา?”
ไม่ใช่แค่นายกองพันเซวียที่ตะลึง กระทั่งหม่าซิงฝูก็เดือดพล่าน “ถังฟั่น เจ้ากล้าเพิกเฉยต่อพระบัญชาเชียวหรือ! ผู้ใดบังอาจลงมือ ข้าจะจับผู้นั้น!”
พริบตานั้นกำลังคนของเขาที่อาวุธครบมือทยอยออกมาคุ้มกันเบื้องหน้าพวกเฉินหลวน ประจันหน้ากับกลุ่มองครักษ์เสื้อแพร
สองฝ่ายจับจ้องฮึ่มฮั่ม ชักกระบี่ง้างธนูเตรียมพร้อมประจัญบาน
คนที่หม่าซิงฝูนำมามีจำนวนไม่น้อยไปกว่าคนของนายกองพันเซวีย เพียงแต่เดิมทีสองฝ่ายล้วนมาเพื่อดูแลซูโจว ยามนี้กลับเผชิญหน้าด้วยศัสตราเพื่อตัดสินว่าจะจับกุมหรือไม่จับกุมนายอำเภอคนหนึ่ง คิดแล้วออกจะน่าขันอยู่บ้าง
เฉินหลวนลอบหัวเราะเย็นชา เพียงรู้สึกถังฟั่นรนหาที่ตายโดยแท้
การกระทำเช่นนี้ของอีกฝ่าย ถึงเวลาเมื่ออยู่ต่อหน้าจักรพรรดิคงยากหลีกเลี่ยงความผิดโทษฐานละเลยคำสั่งเบื้องสูง ไม่เห็นเจ้าแผ่นดินอยู่ในสายตา กล่าวในทางร้ายแรง ดีไม่ดีอาจถูกปลดและเนรเทศก็เป็นได้
หม่าซิงฝูและพระบัญชาในมือเขาฉบับนั้นก็คือไพ่ไม้ตายของเฉินหลวน
ก่อนหน้านี้มิได้เปิดออกมาก็เพราะไม้นี้มิใช่เรื่องล้อเล่น หากเป็นไปได้เขาไม่คิดแตกหักกับถังฟั่น มิคาดอีกฝ่ายกลับไม่กินทั้งอ่อนแข็ง จะขุดเขาออกมาให้ได้ หนำซ้ำกดดันทุกฝีก้าวด้วยการชักฟืนใต้เตา ฉุดอาของเฉินหลวนลงจากตำแหน่งผ่านสายสนกลในของพวกขุนนางระดับสูง
ด้วยเหตุนี้เฉินหลวนมิอาจไม่เปิดไพ่ไม้ตาย ขอความช่วยเหลือจากสำนักบูรพาและหม่าซิงฝู
พระบัญชาเทียบเท่าราชโองการ แม้แต่องครักษ์เสื้อแพรก็มิอาจละเมิด ถังฟั่นกลับยังยืนกรานจะจับคน นี่มิใช่รนหาที่ตายแล้วคืออะไร
ถังฟั่นกล่าว “หม่าซิงฝู เฉินหลวนและหยางจี้หลอกลวงเบื้องสูง หลักฐานแน่นหนา ผดุงธรรมสำคัญยิ่ง ท่านกลับยังเกื้อหนุนคนเหล่านี้ ที่แท้มีเจตนาอันใด”
เขาเรียกชื่อเรียกแซ่โดยตรง แม้แต่ ‘หม่ากงกง’ ก็ไม่เรียกแล้ว ไม่ใส่ใจพระบัญชา จะงัดข้อกับหม่าซิงฝูให้ถึงที่สุด
เฉินหลวน หยางจี้ กระทั่งนายกองพันเซวียและคนอื่นๆ อดหันมองถังฟั่นมิได้ ทุกคนต่างรู้สึกว่าเขาเสียสติไปแล้ว
นายกองพันเซวียยิ่งร้อนรุ่มใจ ตอนนี้อนาคตของเขาเท่ากับผูกติดอยู่กับถังฟั่น หากถังฟั่นรนหาที่ตาย เขาก็หนีไม่พ้นเช่นกัน
“ใต้เท้า!” เขาอดกระตุกแขนเสื้อถังฟั่นมิได้ “เช่นนั้นพวกเราถอยก่อนก้าวหนึ่ง กลับไปหารือแผนใหม่ อย่างไรเสียพวกนั้นก็มีพระบัญชาอยู่ในมือ”
ถังฟั่นกล่าว “ข้ารู้ว่าควรทำเช่นไร เจ้าดำเนินการตามที่ข้าสั่ง ทุกอย่างข้ารับผิดชอบเอง”
นายกองพันเซวียลอบยิ้มขื่น ก่อนไปสุยโจวได้กำชับให้เขาเชื่อฟังคำสั่งถังฟั่นทุกประการ ห้ามฝ่าฝืนเด็ดขาด ปรากฏว่าบัดนี้บททดสอบมาถึงแล้วจริงๆ
ช่างเถอะ ตายเป็นตาย ข้าขอทุ่มสุดตัวแล้ว!
เขากัดฟัน เปล่งเสียงตะโกน “พี่น้องทั้งหลาย จับคนทันทีเดี๋ยวนี้!”
หม่าซิงฝูตื่นตะลึง ก่อนตะโกนเกรี้ยวกราด “ขวางพวกมันไว้ ผู้ใดขัดขืน ฆ่าไม่มีเว้น!”
ทันทีที่คำสุดท้ายหลุดปาก เจ้าหน้าที่ที่การตอบสนองว่องไวที่สุดคนนั้นก็ชูดาบฟาดฟันเข้าใส่องครักษ์เสื้อแพรตรงหน้าตนเอง
ชั่ววูบอันคับขันพลันได้ยินเสียงดังขึ้นเสียงหนึ่ง ดาบในมือเขาหาได้พุ่งใส่ฝ่ายตรงข้าม แต่มันกลับลอยขึ้นฟ้าไป
ขณะเดียวกันก็เห็นขบวนคนขี่ม้าห้อตะบึงมาลิบๆ
คนนำหน้าสวมชุดหมั่งเผา* เสื้อคลุมสีดำ มือหนึ่งกำบังเหียน มือหนึ่งชูดาบ
เสียงดังเมื่อครู่นี้คล้ายเกิดจากการกระทำของคนผู้นั้นนั่นเอง
วัตถุชิ้นหนึ่งร่วงลงพื้นหลังกระแทกถูกดาบ ยามนี้ทุกคนค่อยมองชัดว่าแท้จริงแล้วเป็นแหวนหยกวงหนึ่ง
สองฝ่ายกั้นกลางด้วยระยะห่างช่วงหนึ่ง อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามกำลังควบม้า เช่นนี้ยังสามารถจู่โจมเข้าเป้า เห็นได้ว่าสายตาและฝีมือมิใช่ธรรมดา
คนทั้งหมดล้วนตกตะลึงพรึงเพริด พริบตานั้นถึงกับลืมเรื่องเปิดศึก เพียงจ้องมองขบวนคนขี่ม้ากลุ่มนั้นขึ้นหน้ามาท่ามกลางควันฝุ่นตลบฟุ้ง
หม่าซิงฝูหรี่ตาเพ่งมองด้วยความไม่สบอารมณ์ ใคร่จะยลว่าผู้มาเป็นทวยเทพจากหนใด ปรากฏว่าเมื่อเห็นชัดถนัดตา สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนในบัดดล
“นี่ทำอันใดกัน จะก่อกบฏ?” ผู้สวมชุดหมั่งเผากวาดตารอบทิศ ตามด้วยแค่นหัวเราะเย็นชา “หม่าซิงฝู ท่านนี่ยิ่งแก่ยิ่งไร้สมอง เป็นขันทีรักษาการณ์ดีๆ ไม่ชอบ วิ่งมาก้าวก่ายงานราชการท้องถิ่นอันใด” เขาไม่ลงจากอาชาด้วยซ้ำ เพียงทอดสายตามองลงมาจากเบื้องบน
สีหน้าหม่าซิงฝูบูดบึ้ง “ลมอะไรพัดท่านมาถึงที่นี่กัน”
สามารถทำให้ขันทีรักษาการณ์ซูโจวหน้าแปรสีได้ย่อมมิใช่ชนชั้นนิรนาม คนทั้งหมดล้วนตระหนักได้ถึงจุดนี้
ทว่าขณะที่ยังไม่ทราบอีกฝ่ายเป็นมิตรหรือศัตรู ผู้ใดก็มิกล้าเปิดปากก่อน
จังหวะนั้นถังฟั่นกลับโพล่งขึ้น “มาถึงเสียที ให้ข้ารออยู่นาน”
“นาน?” วังจื๋อชักฉุน “ข้าได้ข่าวก็ออกเดินทางทันที วันคืนมิได้พัก ดีที่มีคลองสายหนึ่ง แค่ไม่กี่วันนับว่าไม่ช้าแล้ว!”
สดับน้ำเสียงสนิทสนมของทั้งสอง เฉินหลวนมีหรือจะไม่กระจ่าง ถังฟั่นครานี้โยกย้ายทัพเสริมมาแล้ว
เขารีบส่งเสียง “หม่ากงกง”
ความหมายคือให้หม่ากงกงรีบจัดการเรื่องตรงหน้าให้เบ็ดเสร็จ เลี่ยงมิให้อีกฝ่ายครองความเป็นต่อ
ไม่ต้องให้เตือนสติ หม่าซิงฝูตระหนักดี เขามองหน้าวังจื๋อ “วังกงกง ข้าทำตามพระบัญชา ท่านอย่าได้กีดขวางการปฏิบัติงาน”
วังจื๋อหัวเราะ “คิดว่าข้าวิ่งจากเมืองหลวงมาสนทนาความหลังกับท่านหรือไร ถังฟั่นรับราชโองการ!”
ถ้อยคำนี้พอกล่าว ฝูงชนล้วนตะลึงลาน
กลับเป็นถังฟั่นเยือกเย็นที่สุด คุกเข่าคำนับเต็มยศ “กระหม่อมถังฟั่น น้อมรับราชโองการ”
“บัญชาจากสวรรค์ จักรพรรดิมีราชโองการให้ถังฟั่นรับตำแหน่งรองเสนาบดีฝ่ายขวากรมอาญา ควบตำแหน่งผู้ช่วยข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้าย รับพระบัญชาตรวจสอบคดีซูโจว ขุนนางใดมีพฤติกรรมฉ้อราษฎร์บังหลวงสามารถดำเนินการฟ้องร้อง จัดการตามที่เห็นควร”
ราชโองการฉบับนี้เรียบง่ายอย่างยิ่ง ถึงขนาดไม่มีถ้อยคำสวยหรูต่อท้าย กลับยิ่งทำให้ผู้คนสดับได้ถึงใจความสำคัญสองประการ
ประการแรกคือ ‘ควบตำแหน่งผู้ช่วยข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้าย’
ความหมายของคำว่าควบตำแหน่งก็คือเวลานี้ถังฟั่นยังดำรงตำแหน่งผู้ช่วยข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายอยู่ มิได้ถูกปลดออก ขณะเดียวกันยังได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งรองเสนาบดีฝ่ายขวากรมอาญา ผู้ช่วยข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายคือขุนนางขั้นสี่เต็มขั้น ส่วนรองเสนาบดีฝ่ายขวากรมอาญาคือขุนนางขั้นสามเต็มขั้น
พูดอีกอย่างก็คือเวลานี้ถังฟั่นได้เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ขั้นสามเต็มขั้น คนอื่นๆ ขณะเรียกขานเขาปกติต้องเรียกว่า ‘ใต้เท้าปู้ถัง’** เพื่อแสดงถึงความเคารพยกย่อง
สถานการณ์ที่ขุนนางจะได้ควบสองตำแหน่งพบเห็นได้บ่อยในราชวงศ์นี้ เพราะตำแหน่งรองเสนาบดีกรมอาญาของเขานี้มิใช่ตำแหน่งจริงแต่เป็นตำแหน่งลอย หรือก็คือตำแหน่งเพียงในนามเท่านั้น เหมือนกับหวังเยวี่ยที่ก่อนหน้านี้คุมสำนักตรวจการนครหลวง แต่มีตำแหน่งลอยเป็นเสนาบดี
กล่าวคือตอนนี้ถังฟั่นยังคงทำงานให้กับสำนักตรวจการนครหลวง เพียงแต่ขั้นยศได้รับการปรับเลื่อนขึ้นหนึ่งขั้นเต็มๆ
แต่หนึ่งขั้นนี้มีความหมายใหญ่หลวงนัก เพราะหากถังฟั่นใคร่จะ ‘ขึ้นเป็นตัวจริง’ เป็นรองเสนาบดีกรมอาญาที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมก็จะง่ายดายขึ้นมาก
ยิ่งไปกว่านั้นเขาในเวลานี้ถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติที่จะเข้าสู่สภาขุนนางแล้ว
ประการสองคือ ‘จัดการตามที่เห็นควร’
พลานุภาพของข้อความนี้มหาศาลนัก พูดให้ชัดก็คือให้ท่านสามารถประหารก่อนรายงานทีหลังได้
ดังนั้นหากกล่าวว่าการเลื่อนตำแหน่งให้ถังฟั่นยังไม่อาจทำให้เฉินหลวนและพวกรู้สึกได้ถึงการคุกคาม เช่นนั้นคำพูดสุดท้ายของวังจื๋อกลับทำให้หลายคนในที่นั้นพากันหน้าถอดสี
ผู้ใดจะคาดว่าถังฟั่นจะมีไม้เด็ดเช่นนี้
แววตาของนายกองพันเซวียที่มองดูถังฟั่นเปลี่ยนไปสิ้นเชิง
และเซียวอู่ก็เพิ่งกระจ่างชัดบัดนี้ว่าไยครู่ก่อนถังฟั่นจึงบอกกับนางว่าต้องรอ ที่แท้สิ่งที่เขารอก็คือราชโองการฉบับนี้นั่นเอง
วังจื๋อประกาศจบราชโองการ คนทั้งหมดยังตกอยู่ในอาการตะลึง ตั้งหลักไม่ทัน
เฉินหลวนการตอบสนองไวกว่าใครทั้งหมด เขาพลันหมุนตัววิ่งเข้าที่ว่าการอำเภอ
แต่เขาคล้ายลืมไปว่าหากตนเองสามารถหลบหนีสำเร็จ เช่นนั้นต่อไปองครักษ์เสื้อแพรคงไม่มีที่ยืนแล้ว
ดังคาด วิ่งได้ไม่กี่ก้าวเฉินหลวนก็ถูกคนพุ่งชนล้มลงพื้น ตามด้วยกระชากขึ้นมา จับมัดมือเท้าและศีรษะ กลายเป็นเนื้อบนเขียง
สายตาของวังจื๋อกวาดผ่านหม่าซิงฝูและคนอื่นๆ พลางเอ่ยเสียงเอื่อย “เมื่อเป็นเช่นนี้ ใต้เท้าถังรีบจัดการพวกเศษปลาเศษกุ้งเหล่านี้ให้เรียบร้อยโดยไวเถอะ ข้ารับพระบัญชาให้รุดมา เวลาล้ำค่า ไม่อาจโอ้เอ้ชักช้า”
กล่าวกับถังฟั่นแท้ๆ หากความจริงกลับทำให้หม่าซิงฝูโมโหเกือบตาย
เศษปลาเศษกุ้งอันใดกัน นี่กำลังด่ารวมเขาเข้าไปด้วยชัดๆ!
แต่หม่าซิงฝูจะทำอันใดได้ แม้วังกงกงยังเยาว์วัย หากประสบการณ์โชกโชนกว่าเขามากนัก มาตรว่าสำนักประจิมสูญสลาย แต่ผู้อื่นเดินวนรอบหนึ่ง ทุกวันนี้ยังคงเป็นคนโปรดของโอรสสวรรค์ วาจาของเขามีน้ำหนักกว่าวาจาของขันทีรักษาการณ์ซึ่งอยู่ไกลถึงซูโจวเสียอีก
ถังฟั่นกล่าว “นายกองพันเซวีย?”
“ขอรับ!”
สุ้มเสียงนี้ตอบได้ก้องกังวานเป็นพิเศษ
ถังฟั่นสั่ง “คุมตัวเฉินหลวน หยางจี้และพวกกลับไปดำเนินคดี ยังมีหม่าซิงฝูขันทีรักษาการณ์ซูโจวสมคบเฉินหลวนยักยอกเสบียงสำหรับช่วยเหลือผู้ประสบภัย เจิงเผยและอู๋จงส่งเสริมผู้กระทำผิด มิเพียงบกพร่องในหน้าที่อารักขาขุนนางผู้แทนราชสำนัก กลับลอบส่งข่าวให้แก่เฉินหลวน ประพฤติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อราชสำนัก ล้วนจับกุมไปพร้อมกัน!”
“ขอรับ!” นายกองพันเซวียขานรับ
หม่าซิงฝูหน้าถอดสี ตวาดก้อง “ผู้ใดกล้าจับข้า! ใต้เท้าถัง อย่าได้หยิ่งผยองพองขน จะจับกุมเฉินหลวนก็จับไป เกี่ยวอันใดกับข้าเล่า ข้าก็มีพระบัญชาเช่นกัน เพราะเกรงว่าเจ้าจะใส่ความขุนนางประเสริฐ ครานี้จึงมิอาจไม่ออกหน้า! เจ้าอย่าได้เหมารวมทั้งหมด สุดท้ายกลับกลายเป็นสาดน้ำถูกตนเอง!”
ถังฟั่นยิ้มกล่าว “หม่ากงกง ครู่ก่อนท่านรีบร้อนออกหน้าให้เฉินหลวน ไยบัดนี้กลับจะปัดสวะพ้นตัวเสียแล้ว ผิดถูกดำขาว พวกเรากลับไปไต่สวนย่อมแจ่มแจ้งเอง หากท่านเป็นผู้บริสุทธิ์จริง ข้าไม่มีทางใส่ความแน่” จบคำพลันเก็บงำรอยยิ้ม ตวาดสั่ง “จับกุม!”
ผู้ติดตามของหม่าซิงฝูมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่ทราบควรคุ้มกันหรือไม่ พวกที่ภักดีซึ่งมีอยู่ไม่กี่คนยามนี้พลันชักดาบจากฝักคล้ายเตรียมปะทะกับองครักษ์เสื้อแพร กลับเห็นวังจื๋อโบกมือ แล้วคนที่อยู่ด้านหลังเขาก็พากันสำแดงคมดาบ จำนวนคนมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด กำลังคนของหม่าซิงฝูถูกล้อมอยู่กลางวง กลายเป็นอ่อนแอน่าสังเวชขึ้นมาทันที
วังจื๋อแค่นหัวเราะ “คงมิใช่คิดว่าผู้บัญชาการซั่งบ้านท่านยังหนุนหลังท่านอยู่กระมัง บอกให้ก็ได้ เวลานี้ซั่งหมิงถูกฟ้องร้องจนกระเด็นจากเมืองหลวงไปเฝ้าสุสานหลวงหมิงเซี่ยวนู่นแล้ว ดีไม่ดีอีกหน่อยพวกเจ้าอาจได้เจอกันบ่อยๆ ก็เป็นได้”
ข่าวนี้เรียกได้ว่าสะท้านฟ้าสะเทือนดิน พอหม่าซิงฝูฟัง ทั่วร่างพลันแข็งทื่อ “เจ้า…เจ้าพูดเหลวไหล”
วังจื๋อแค่นหัวเราะ “ข้าจะล้อเล่นกับท่านเพื่ออันใด ใช่วาจาเหลวไหลหรือไม่ วันหน้าท่านพบเจอเขาก็ถามดูเองแล้วกัน นายกองพันเซวีย ตกลงจะจับหรือไม่จับ”
เขามาถึงที่นี่เพียงครู่เดียว นายกองพันเซวียก็ตระหนักได้ถึงความอหังการของขันทีแซ่วังผู้นี้ ครั้นได้ฟังก็มิกล้ารอช้า สั่งผู้ใต้บัญชาจับคนทันที
ไม่รู้ว่าหม่าซิงฝูตะลึงงันเพราะคำพูดของวังจื๋อหรืออย่างไร ถึงได้ปล่อยให้ด้านหลังตนปรากฏองครักษ์เสื้อแพรขึ้นมาสองคนโดยปราศจากท่าทีใดๆ
ผู้ใต้บัญชาเห็นเขาให้ความร่วมมือด้วยดี ได้แต่วางอาวุธรอรับอาญา
ในเมื่อแม้แต่หม่าซิงฝูยังละทิ้งการต่อต้าน คนอื่นๆ ย่อมไม่อาจแข็งขืนดึงดัน แต่ละคนหน้าม่อยคอตกเหมือนมะเขือยาวต้องน้ำค้างแข็ง ให้องครักษ์เสื้อแพรคุมตัวโดยดี
หยางจี้หน้าซีดเผือด อดจะฉีกยิ้มให้ถังฟั่นมิได้ “ใต้เท้า…ใต้เท้าถัง มีอันใดค่อยพูดค่อยจา ทั้งหมดนี้ข้าล้วนถูกบังคับ เรื่องทั้งหลายของเฉินหลวนข้าล้วนมิเคยข้องเกี่ยว ไม่เพียงเท่านั้นข้ายังสามารถนำเสนอหลักฐานให้ท่านได้มากขึ้น ให้เจ้าคนโฉดนี้มิอาจโงหัวตลอดกาล ท่านจะ…ท่านจะละเว้นข้าสักคราได้หรือไม่”
เฉินหลวนพอฟังก็หัวเราะเย็นชา “เจ้าล้วนไม่เคยข้องเกี่ยว? น่าขันสิ้นดี เรื่องผู้ประสบภัยที่นอกเมืองนั่นเจ้าเองก็รู้เห็นเช่นกัน ตอนนั้นไม่เคยปริปากสักคำ ตอนนี้กลับจะแสร้งเป็นคนดี? ยังมีเงินทองที่ข้ามอบให้เจ้า เพียงให้คนไปค้น รับรองต้องเจอแน่นอน”
หยางจี้ตะคอก “เป็นเพราะเจ้า! หากมิใช่เจ้าจะลากข้าลงน้ำให้ได้ ข้าไหนเลยจะตกอยู่ในสภาพเช่นวันนี้! ตอนแรกข้าเคยบอกเจ้า เรื่องใดๆ อย่าได้กระทำจนสุดโต่ง ตอนนี้เวรกรรมมิใช่ตามทันแล้วหรือ!”
แค่พริบตาทั้งสองก็แตกคอกันเสียแล้ว ถังฟั่นคร้านจะมองดูสุนัขกัดสุนัขจึงโบกมือ “เอาตัวกลับไปให้หมด”
ขณะเฉินหลวนถูกควบคุมตัวผ่านเซียวอู่ แววตาเยียบเย็นจับจ้องนางไม่วาง รอยเกลียดแค้นในนั้นท่วมท้นออกมา
มีถังฟั่นอยู่ เซียวอู่หรือจะเกรงกลัว ตรงข้ามกลับส่งรอยยิ้มยวนใจให้อีกฝ่าย
เฉินหลวนเดือดพล่านขึ้นมาทันที อดจะแผดด่ามิได้ “แพศยา!”
เซียวอู่แย้มยิ้ม “แล้วท่านที่เคยนอนกับแพศยาเล่านับเป็นตัวอันใด คนพาลสันดานหยาบ?”
คนโดยรอบต่างหัวเราะพรืด
เฉินหลวนโกรธจัดจนหน้าเขียวแล้ว
ตั้งแต่นางไม่จำเป็นต้องแสร้งเล่นละครต่อหน้าถังฟั่น ระดับความห้าวหาญก็เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน
จนกระทั่งเฉินหลวนไปแล้ว ถังฟั่นอดถามด้วยความสงสัยมิได้ “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าเขามีสัมพันธ์กับอนุของบิดาและพี่สะใภ้ นั่นเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ”
เซียวอู่ไม่แม้แต่จะคิด “ย่อมเป็นเรื่องเท็จแน่นอน ไม่อย่างนั้นจะยั่วโทสะจนเขาแทบเต้นได้หรือ”
เห็นถังฟั่นปั้นหน้าหมดวาจา นางจึงกล่าวต่อ “แต่เฉินหลวนก็กระทำเรื่องไร้ศีลธรรมอย่างแย่งชิงภรรยาผู้อื่นไม่น้อยเช่นกัน หากใต้เท้าลองสืบดู เหล่านี้ล้วนสามารถสืบสาวได้”
ถังฟั่นพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว”
* ชุดหมั่งเผา แปลว่าชุดพญางู เป็นชุดพิธีการของขุนนางผู้ใหญ่และชนชั้นสูงของจีนสมัยโบราณ มีลักษณะคอกลมกว้าง สาบเสื้อใหญ่ทับขวา ติดกระดุมตรงคอและใต้รักแร้ แขนกว้าง ชายชุดยาวจรดเท้า ปักรูปมังกรสี่เล็บเพื่อให้แตกต่างจากมังกรห้าเล็บซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิ
** ปู้ถัง คำเรียกขานขุนนางชั้นสูงในยุคราชวงศ์หมิงและชิง
เฉินหลวน หยางจี้ และคนอื่นๆ ล้วนถูกดำเนินคดี แต่เรื่องราวยังไม่นับว่าเสร็จสิ้น
หลังกวาดล้างสิ่งกีดขวางชิ้นใหญ่สุดเรียบร้อย ถังฟั่นจึงสั่งคนเผาใบอ้ายเยี่ย* ที่นอกเมือง จัดตั้งโรงทานแจกโจ๊ก ส่งคนไปเชิญหมอมาตรวจรักษาผู้ประสบภัย จากนั้นขุดคุ้ยเสบียงจากในปากของพวกพ่อค้าข้าวที่เคยคบคิดกับเฉินหลวนออกมา ได้เป็นอาหารให้กับผู้ประสบภัยนอกเมืองจำนวนไม่น้อย
อย่างไรก็ตามผู้ประสบภัยนอกเมืองเหล่านั้นได้ถูกเฉินหลวนพร่าผลาญไปเกือบหมด ที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด หลังได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมจนร่างกายเริ่มฟื้นฟู พวกเขาก็ทยอยออกจากอำเภออู๋เจียง กลับบ้านเกิดไปเริ่มต้นทำไร่ไถนาใหม่อีกครั้ง ส่วนถังฟั่นเตรียมถวายฎีกาขอให้งดเก็บภาษีเสบียงในอำเภออู๋เจียงเป็นเวลาสองปี แม้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่อาจช่วยให้ผู้ประสบภัยหลุดพ้นจากความยากไร้ มีความเป็นอยู่สุขสบายได้ตลอดไป แต่นี่คือสิ่งที่ถังฟั่นสามารถกระทำได้มากที่สุดเท่าที่ขอบข่ายอำนาจจะอำนวยแล้ว
หลังเฉินหลวนถูกจับกุม ตำแหน่งนายอำเภออู๋เจียงเดิมสมควรให้รองนายอำเภอขึ้นแทน แต่ที่เฉินหลวนสามารถกลายเป็นทรราชเจ้าถิ่นในอำเภออู๋เจียงได้ย่อมไม่พ้นเป็นเพราะคนเหล่านั้นช่วยเขาก่อกรรมทำเข็ญ ดังนั้นเมื่อถังฟั่นตรวจสอบแน่ชัดจึงสั่งปลดขุนนางอำเภออู๋เจียงราวเจ็ดแปดส่วนออกไป
ด้วยเหตุนี้ตำแหน่งขุนนางในอำเภออู๋เจียงจึงว่างลงไม่น้อย แต่นี่กลับไม่เป็นอุปสรรค ต้าหมิงประชากรล้นเหลือ แต่ละปีมีบัณฑิตที่คุณสมบัติเพียบพร้อมเข้าแถวรอการบรรจุเป็นขุนนางอยู่นับไม่ถ้วน คนเหล่านี้กำลังจับจ้องส่วนแบ่งก้อนนี้ตาเป็นมัน หนำซ้ำอำเภออู๋เจียงแห่งนี้ยังเป็นแหล่งงานที่อุดมสมบูรณ์ เพียงขาด ‘เฉินหลวน’ ไปไม่กี่คนก็มีผู้รอเสียบตำแหน่งเขาไม่รู้เท่าไร
ในเหตุการณ์ครั้งนี้การแสดงออกของหูเหวินเจ่านั้นไม่นับว่าดีงามอะไร แต่ก็ไม่เหมือนเฉินหลวนที่ขวัญกล้าเทียมฟ้า ชั่วช้าสามานย์ไม่อาจอภัย
กล่าวให้ชัดก็คือเขาไม่กล้ากระทำเรื่องเลวทรามเช่นนั้น อย่างมากก็แค่ปล่อยปละละเลย ทว่าหลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ คะเนว่าเขาคงได้รับบทเรียนแล้ว ภายหน้าน่าจะตื่นตัวขึ้นมาก
เห็นแก่หูเหวินเจ่าที่กลับตัวกลับใจได้ทัน ถังฟั่นจึงระบุถึงเรื่องนี้ในฎีกา ขอความเมตตาแทนเขาครั้งหนึ่ง สุดท้ายหูเหวินเจ่ามิได้หัวหลุดจากบ่าและมิได้ถูกเนรเทศ เพียงให้ออกจากราชการเท่านั้น ยังสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ถือเป็นความโชคดีมหาศาลแล้ว
แน่นอน ขุนนางเลอะเลือนเยี่ยงหูเหวินเจ่าย่อมไม่คิดว่านี่คือ ‘โชคดีมหาศาล’ อันใด คะเนว่าหลังจากที่ทราบว่ามิอาจรับราชการต่อไป คงคร่ำครวญหวนไห้เป็นการใหญ่ด้วยซ้ำ
และแน่นอนว่าถังฟั่นไม่ว่างไปใส่ใจความรู้สึกของหูเหวินเจ่า เมื่อจัดการเรื่องเฉินหลวนเสร็จก็วิ่งวุ่นดูแลผู้ประสบภัยที่นอกเมืองไม่ได้หยุดหย่อน ไม่มีเวลาแม้แต่จะสนทนายืดยาวกับวังจื๋อ จนกระทั่งอีกฝ่ายเตรียมกลับเมืองหลวง เขาถึงได้ปลีกตัวจากภารกิจยุ่งเหยิง อาศัยช่วงกินข้าวไปนั่งกับอีกฝ่าย
“เรื่องในครั้งนี้ต้องขอบคุณท่านมาก หลายวันนี้ข้ายุ่งจนหัวหมุน ไม่ทันได้เอ่ยขอบคุณสักคำ ขอคารวะด้วยสุราก่อนแล้วกัน” ถังฟั่นรินสุราสองจอก จากนั้นลุกยืนขึ้น ประคองจอกในมือตนยกขึ้นเล็กน้อย แหงนหน้าดื่มจนหมด
“เจ้าสมควรขอบคุณที่ข้ามาทันเวลา ทว่าเรื่องนี้ถึงที่สุดแล้วก็ยังเป็นเพราะเจ้าวางแผนแยบคาย หาเกี่ยวอันใดกับข้าไม่” วังจื๋อก็มิได้เกรงใจ ยกสุราตรงหน้าขึ้นดื่มหมดจอก จากนั้นชี้จอกเป็นเชิงให้ถังฟั่นรินอีก
นี่คือการได้คืบจะเอาศอกโดยแท้ ดีที่ถังฟั่นเคยชินกับนิสัยของเขานานแล้วจึงแย้มยิ้มแล้วยกป้านสุราขึ้นมารินให้ทั้งคู่โดยมิได้ถือสา
อันที่จริงครานี้ถังฟั่นเดินหมากที่ฝ่ายตรงข้ามนึกไม่ถึง
ทุกคนต่างทราบกันดีว่าอาของเฉินหลวนคือคนของกลุ่มอำนาจวั่น ดังนั้นหลายคนรู้สึกว่าถังฟั่นเป็นปฏิปักษ์กับเฉินหลวน ก็นับว่าเป็นปฏิปักษ์กับกลุ่มอำนาจวั่น
นี่ก็คือสาเหตุที่ทุกคนไม่ถือหางถังฟั่นในตอนแรก ด้วยรู้สึกว่าเขาสู้เฉินหลวนไม่ได้แน่ แต่ถังฟั่นกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น
ไม่ว่าเฉินหลวนจะวางอำนาจปานใด หากก็เพียงจำกัดอยู่ในอำเภออู๋เจียงเท่านั้น เขาไม่มีทางได้ร่วมแสดงในวงขุนนางชั้นสูงด้วยแน่ และผู้อื่นก็ไม่เห็นหัวเขาเช่นกัน
อาของเขาเป็นคนของกลุ่มอำนาจวั่น มิได้หมายถึงเขาก็เป็นด้วย กล่าวให้ชัดคือเฉินหลวนตำแหน่งต่ำต้อยเกินไป ยังไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมเล่นละครฉากนี้
เช่นนั้นจะโค่นเฉินหลวน อันดับแรกก็ต้องโค่นอาของเขาก่อน
เสนาบดีกรมอากรนครหนานจิงเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจสูง เป็นที่ไขว่คว้าของผู้คน แต่ไรมาเฉินจิ่งจึงเป็นที่ขัดลูกนัยน์ตาของใครต่อใครอยู่ไม่น้อย ดังนั้นถังฟั่นจึงอาศัยความสัมพันธ์ของจางอิ๋งและไหวเอิน ทั้งระดมสหายรักร่วมวัยฟ้องร้องเฉินจิ่ง สร้างความอลหม่านแก่ฝ่ายตรงข้าม เมื่อเฉินจิ่งเอาตัวเองไม่รอดย่อมไม่ว่างไปสนใจความเป็นตายของหลานชายแล้ว
ขุนนางคนใดบ้างไม่มีจุดอ่อนและข้อบกพร่อง ขึ้นอยู่กับศัตรูของท่านอยากนำมาใช้หรือไม่เท่านั้น ต่อให้เป็นถังฟั่น หากวันหนึ่งมีใครขุดคุ้ยออกมาได้ว่าถังฟั่นเคยเขียนหนังสือประโลมโลก คะเนว่าก็สามารถเล่นงานเขาได้เช่นกัน ดังนั้นคนอื่นๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
กำแพงล้มฝูงชนช่วยผลัก ขณะที่สหายร่วมวัยของถังฟั่นยื่นฎีกากล่าวโทษเฉินจิ่งก็มีคนไม่น้อยเล็งเห็นโอกาส พากันรุมโจมตีเฉินจิ่งข้อหาฉ้อราษฎร์บังหลวง ยามนี้หลิวจี๋ก็ใคร่จะผลักดันคนของตนเองไปเป็นเสนาบดีกรมอากรนครหนานจิงเช่นกันจึงช่วยเติมฟืนอยู่ข้างๆ อีกแรง
ภายใต้การฟ้องร้องที่ระเบ็งเซ็งแซ่ เฉินจิ่งต่อให้ไม่ล้มก็ต้องล้ม แม้แต่กลุ่มอำนาจวั่นยังยากจะรักษาเขาไว้ได้
เฉินจิ่งหลุดจากแวดวงขุนนาง จะเก็บกวาดเฉินหลวนย่อมง่ายดายขึ้นมาก
แต่เฉินหลวนยังมีไม้ตาย ความสัมพันธ์ของเขากับสมาคมพ่อค้าซูโจวมิใช่ตื้นเขิน ทั้งยังส่งบรรณาการให้สำนักบูรพาทุกปีโดยผ่านทางสมาคมพ่อค้าซูโจว นี่ก็คือสาเหตุที่เขาปราศจากท่าทีเกรงกลัวในตอนแรก เจิงเผยและอู๋จงติดตามถังฟั่นลงใต้ ไม่เพียงเพื่อคุ้มกันและสอดส่องผู้ตรวจการถัง ขณะเดียวกันยังเพื่อปกปักพิทักษ์เฉินหลวนในยามคับขันอีกด้วย
ซั่งหมิงผู้บัญชาการสำนักบูรพามิอาจตัดใจให้เฉินหลวนซึ่งเป็นแหล่งรายได้ก้อนโตถูกถังฟั่นกำจัดทิ้ง ย่อมจะต้องคุ้มครองเขาเป็นธรรมดา
เมื่อถังฟั่นเข้าใจถึงความสัมพันธ์อันลึกลับซับซ้อนที่อยู่เบื้องหลังเฉินหลวนจนกระจ่างแล้ว กลับไม่เลือกที่จะแตกหักกับกลุ่มอำนาจวั่น แต่สุมฟืนทั้งหมดไปที่สำนักบูรพา เอาสารพัดความผิดบาปของเฉินหลวนผูกโยงเข้ากับสำนักบูรพา
ในฎีกาที่ให้ลู่หลิงซีนำไปส่งมอบฉบับนั้น เขามิได้เอ่ยถึงผู้หนุนหลังอื่นๆ ของเฉินหลวนแม้แต่คำเดียว เพียงระบุแต่สำนักบูรพา สาธยายว่าเงินทองที่ตนถวายแด่องค์จักรพรรดิจำนวนนี้ยังไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนที่เฉินหลวนและสำนักบูรพาร่วมกันยักยอก และกล่าวอีกว่าฝ่าบาททรงบำเพ็ญตบะแสวงธรรมอยู่ในเมืองหลวงยังต้องกระเบียดกระเสียรอย่างยิ่งเพราะท้องพระคลังไร้เงิน แต่ซั่งหมิง หม่าซิงฝู และเฉินหลวน เจ้าพวกสถุลชนเหล่านี้กลับฉวยโอกาสที่ฟ้าสูงจักรพรรดิไกลรีดนาทาเร้นเป็นเงินมหาศาลอย่างเปิดเผย เห็นพระองค์เป็นอากาศธาตุ ทั้งนำทรัพย์สมบัติเหล่านี้เก็บซ่อนเอาไว้ ใช้จ่ายอีลุ่ยฉุยแฉก แต่กลับกล้าหันมาโอดครวญกับพระองค์ว่าไม่มีเงิน แม้พระองค์จะทรงกล้ำกลืนโทสะนี้ได้ พวกเราเหล่าขุนนางทั้งหลายกลับมิอาจทนดูต่อไป
จักรพรรดิไม่เหลียวแลราชกิจ แต่อย่าได้เข้าใจว่าพระองค์เบาปัญญาโดนตบตาได้ง่ายเป็นอันขาด นึกถึงเมื่อครั้งเพิ่งเสวยราชสมบัติก็เคยประกาศแสนยานุภาพ ชำระล้างราชสำนัก พลิกคดีแพะรับบาป หลายปีนี้แม้พระองค์เสื่อมโทรมลง ทว่าราชสีห์อย่างไรก็คือราชสีห์ อย่างมากแค่หลับตาไม่ยินไม่สนสรรพเสียงภายนอกเท่านั้น แต่เมื่อใดที่เสียงเหล่านี้รบกวนการนอน พระองค์ยังคงจะยืดกรงเล็บออกมาให้ฝ่ายตรงข้ามชมดูเช่นกัน
ถ้อยความชุดนี้ของถังฟั่นกระแทกโดนพระทัยจักรพรรดิอย่างไม่ต้องสงสัย และแทงถูกจุดอ่อนของผู้เป็นเจ้าแผ่นดินอย่างจัง
จักรพรรดิสามารถทนดูผู้อื่นไม่ทำงาน ทุกคนใช้ชีวิตเอื่อยเฉื่อยไปด้วยกัน กลับรับไม่ได้เด็ดขาดที่ผู้อื่นเห็นพระองค์รังแกง่าย ตบตาง่าย
สำคัญที่สุดคือถังฟั่นเล่นงานเฉพาะสำนักบูรพา กัดซั่งหมิงไม่ปล่อย ไม่โยงใยไปถึงบุคคลอื่น
นี่ไม่เพียงส่งผลให้ท่าทีของทางกลุ่มอำนาจวั่นอ่อนลงมาก ยังมีผลให้จักรพรรดิมิต้องทรงพะวักพะวนในขณะจัดการซั่งหมิง หากตอนนี้ถังฟั่นลากกลุ่มอำนาจวั่นลงน้ำ เช่นนั้นจักรพรรดิที่ทรงคำนึงถึงวั่นกุ้ยเฟย โดนเป่าลมข้างเขนย** สุดท้ายเรื่องราวย่อมไม่มีทางเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
หลายปัจจัยรวมเข้าด้วยกัน ก็คือสาเหตุที่วังจื๋อมาปรากฏตัวในที่แห่งนี้
แน่นอน ลำพังแค่ถังฟั่นคนเดียวคงทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จ
อย่างไรเขาก็เป็นแค่ผู้ตรวจการคนหนึ่ง อีกทั้งอยู่ไกลถึงซูโจว จำเป็นที่จะต้องรวบรวมพละกำลังของคนจำนวนมากจึงสามารถลุล่วงแผนการ
ตัวอย่างเช่นซั่งหมิงโดนโค่น เบื้องหลังย่อมหนีไม่พ้นการออกแรงของไหวเอิน วังจื๋อ และบรรดาขุนนางที่ชิงชังสำนักบูรพา ในเรื่องนี้ยังพัวพันถึงการแก่งแย่งอำนาจในสภาขุนนางอีกด้วย ถังฟั่นก็แค่ปรุโปร่งในจุดนี้ และนำมาใช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างดีเท่านั้นเอง
หลังซั่งหมิงถูกขับจากเมืองหลวง ตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักบูรพามีเฉินจุ่นขึ้นมาแทนในทันที
เฉินจุ่นคือขันทีคนสนิทของไหวเอิน กว่ากลุ่มอำนาจวั่นจะสำเหนียกว่าขุมกำลังของสำนักบูรพามิได้อยู่ในความควบคุมของพวกเขาก็สายเกินไป สถานการณ์พลิกผันในพริบตา โอกาสดีไม่รอท่า ชั่วขณะก่อนหน้าหากคว้าไม่อยู่ ชั่วขณะถัดไปก็จำต้องมองดูมันถูกผู้อื่นฉกฉวยไป
สำหรับผู้ประสบภัยแล้ว การมาถึงของถังฟั่นทำให้พวกเขามีความหวังที่จะอยู่ต่อไปอีกครั้ง
ทว่าในสายตาผู้คนนอกเหนือจากนั้น ที่โชคร้ายจากเหตุการณ์นี้ไม่เพียงแค่เฉินหลวนหรือหยางจี้ แต่เป็นกลุ่มอำนาจวั่นที่ต้องสูญทั้งซั่งหมิง เสียทั้งสำนักบูรพา อำนาจของพวกเขาถูกตัดทอนลงไปส่วนหนึ่ง ภายหน้าไม่อาจใช้สำนักบูรพาเป็นเขี้ยวเล็บสำหรับกำจัดศัตรูในวงขุนนางได้อีกแล้ว
ดังนั้นครั้งนี้ไม่เพียงถังฟั่นแก้ปัญหาในซูโจวสำเร็จ ฝ่ายรัชทายาทก็คว้าชัยครั้งใหญ่จากเหตุการณ์นี้เช่นกัน เรียกได้ว่าสองฝ่ายสมประโยชน์
“หลังจากเรื่องนี้ รัชทายาทยิ่งจะตื้นตันในตัวเจ้า แม้เขามิได้กล่าวอันใด แต่วันหน้าถ้าหาก…เจ้าต้องได้รับตำแหน่งสำคัญแน่” วังจื๋อเอ่ยเป็นนัย คำนั้นที่เขาละไว้ ทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจ
ถังฟั่นส่ายหน้า “ข้าไม่เคยคิดว่าจะโค่นซั่งหมิงได้ เพียงอยากคลี่คลายปัญหาในซูโจวให้ลุล่วงเท่านั้น เมื่อได้ผลลัพธ์เช่นนี้ ได้แต่บอกว่าบังเอิญสบช่องพอดี บวกกับเขาประพฤติชั่วมานาน สวรรค์ทนดูไม่ได้ จึงกลายเป็นความสำเร็จอย่างที่เห็น”
วังจื๋อชายตาค้อนเขาวงหนึ่ง “เอาล่ะ เลิกเสแสร้งเสียที ถ่อมตนเกินควรกลับจะกลายเป็นดัดจริตเล่นตัว เวลานี้รัชทายาทสิบสามพรรษา ตามเหตุผลสมควรเข้าฝึกทรงงานในสภาขุนนาง แต่ฝ่าบาทเอาแต่บำเพ็ญตบะ มิใคร่ใส่พระทัยต่อรัชทายาท ดังนั้นเรื่องการฝึกทรงงานของรัชทายาทจึงถูกคนของกลุ่มอำนาจวั่นยับยั้งซ้ำซาก ช่วงก่อนหน้านี้ก็ถูกแช่แข็งอยู่นาน ตอนนี้พอสิ้นอำนาจในสำนักบูรพา คะเนว่าพวกนั้นคงสำรวมขึ้นบ้าง”
ถังฟั่นห่างจากเมืองหลวงไกลลิบ ทั้งมิใช่คนที่อยู่ในศูนย์กลางอำนาจ ข่าวสารจำนวนมากจึงไม่ฉับไว หากมิใช่ตอนนี้ได้ยินจากวังจื๋อ เขาคงไม่ทราบว่ากลุ่มอำนาจวั่นถึงกับยับยั้งมิให้รัชทายาทเข้าไปทรงงานในสภาขุนนาง
เขาส่ายหน้า “ข้าว่ากลุ่มอำนาจวั่นหาทางเล่นงานรัชทายาทสารพัดเป็นการเดินหมากสะเพร่าแท้ๆ นับแต่สถาปนาราชวงศ์หมิงเป็นต้นมา ไม่ว่าพระโอรสองค์ใดก็ตามที่มิใช่ทายาทองค์โต หากใคร่จะสืบราชบัลลังก์ มาตรว่ามีโอรสสวรรค์ส่งเสริมให้ท้าย แต่ถึงที่สุดก็มิได้สมปรารถนา ท่านลองดูโอรสสวรรค์หย่งเล่อ ทรงเด็ดขาดปานใด พระองค์โปรดปรานฮั่นอ๋องมากกว่ารัชทายาท แต่สุดท้ายรัชทายาทยังคงได้ครองบัลลังก์มิใช่หรือ เมื่อเทียบกันแล้วในด้านความเด็ดขาดจักรพรรดิองค์ปัจจุบันยังห่างไกลจากโอรสสวรรค์หย่งเล่อมากนัก พระองค์จะสามารถกระทำในสิ่งที่โอรสสวรรค์หย่งเล่อยังกระทำไม่สำเร็จได้หรือ”
ถ้อยคำเหล่านี้มีเพียงพูดกับวังจื๋อ ถังฟั่นถึงจะเปิดอกด้วยความจริงใจ
วังจื๋อหวั่นไหวเล็กน้อยตามคาด ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยได้ฟังมุมมองความคิดเช่นนี้มาก่อน ครุ่นคิดอีกที นับว่าค่อนข้างมีเหตุผล
“แต่เจ้าวิเคราะห์ได้ลึกซึ้งถึงแก่นแล้วจะมีประโยชน์อันใด ไม่ลองสู้สักตั้ง กลุ่มอำนาจวั่นหรือจะยินยอมเลิกรา นับแต่โบราณกาลบัลลังก์จักรพรรดิเย้ายวนใจผู้คน กลุ่มอำนาจวั่นไม่มีขวัญกล้าที่จะก่อกบฏ กลับคิดจะอุปถัมภ์ค้ำจุนจักรพรรดิองค์ต่อไป นี่ก็มิใช่เรื่องแปลกอันใด ตอนนี้เจ้าอยู่ห่างจากเมืองหลวงกลับเป็นเรื่องดี จะได้ไม่ถูกดึงเข้าไปเหมือนคราวก่อนในตำหนักบูรพาที่กลายเป็นเครื่องมือให้ผู้อื่น รอให้สถานการณ์ในเมืองหลวงปลอดโปร่งกว่านี้ ข้าจะช่วยทูลขอให้เจ้ากลับเข้าเมืองหลวงเอง”
วังจื๋อพูดจบก็คีบรากบัวเชื่อมดอกกุ้ยฮวาเข้าปากชิ้นหนึ่ง ก่อนขมวดคิ้ว “ไอ้เหนียวๆ หนืดๆ นี่คืออะไร”
ถังฟั่นหมดวาจา “ดูก็รู้ว่าเป็นของหวาน ท่านไม่ชอบแล้วเหตุใดยังไปคีบอีก”
วังจื๋อถุยคำหนึ่ง “มัวแต่คุยเพลินไม่ทันมอง คนที่เอื่อยๆ เฉื่อยๆ ถึงจะชอบของเหนียวๆ หนืดๆ”
“…” ถังฟั่นกระตุกมุมปาก นอนอยู่ดีๆ ยังอุตส่าห์โดนหอกจนได้
ดีที่เขาชินกับการถูกวังกงกงแดกดันมานานแล้ว ยามนั้นจึงหน้าไม่แปรสี ยื่นมือคีบรากบัวเชื่อมดอกกุ้ยฮวาอีกชิ้นหนึ่งขึ้นมากัด ฉีกยิ้มตาหยี “อร่อย เหนียวนุ่มกำลังดี กลิ่นดอกกุ้ยฮวาก็หอมมาก…จะว่าไปมีอยู่เรื่องหนึ่งข้าแปลกใจมาก เหตุใดจู่ๆ ฝ่าบาททรงเลื่อนตำแหน่งให้ข้า คงมิใช่เป็นเพราะเงินทองหีบนั้นที่ข้าส่งไปถวายกระมัง” ถังฟั่นเอ่ยถามถึงปัญหาที่ตนคิดเท่าไรก็คิดไม่ตก
“เจ้าอย่าฝันหวานไปหน่อยเลย ถ้าถวายเงินทองแล้วสามารถทำให้เจ้าเลื่อนเป็นขุนนางขั้นสามได้ ป่านนี้คลังหลวงคงไม่ต้องกลัดกลุ้มแล้ว”
ถังฟั่นยิ้มกล่าว “วังกงกงโปรดไขข้อกังขา”
วังจื๋อหัวเราะหึๆ ในเสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยแววสมน้ำหน้า “แน่นอนว่าเป็นเพราะมีเรื่องอีนุงตุงนังให้เจ้าไปเก็บกวาด ก็เลยต้องให้พุทราเชื่อมเจ้ากินสักหน่อย”
“…” เขาก้มหน้ากินกับข้าวไม่ปริปากสักคำ สักพักค่อยกล่าว “ข้าสามารถทำเป็นไม่เคยได้ยินคำพูดนี้ได้หรือไม่”
“ไม่ได้”
ถังฟั่นกินได้ครู่หนึ่ง พบว่าแม้แต่เนื้ออบใบบัวก็ไม่อาจทำให้เขาเบิกบานได้จึงวางตะเกียบลง เอ่ยถามอย่างยอมรับชะตากรรม “คราวนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นอีก”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องตกใจปานนั้น อันที่จริงเรื่องนี้จะว่าไปก็ไม่ซับซ้อน”
ถังฟั่นหมดวาจา “ท่านทำหน้าไม่ประสงค์ดีถึงเพียงนี้แล้วยังจะบอกข้าว่าไม่ซับซ้อนอีก ต่อให้ข้าเชื่อ ตัวท่านเองก็คงไม่เชื่อ”
วังจื๋อไม่ยี่หระ “หากไม่แสร้งปลอบใจเจ้าสักหน่อยจะทำให้เจ้ายอมรับงานนี้หมดหัวใจได้อย่างไร อีกอย่างคราวนี้เจ้าไปทำงานในฐานะรองเสนาบดีฝ่ายขวากรมอาญา ย่อมสะดวกกว่าแต่ก่อนที่มีแค่ตำแหน่งผู้ตรวจการมากนัก นี่เป็นสิ่งที่ข้าเอ่ยเตือนต่อเบื้องพระพักตร์ ถึงเอาตำแหน่งนี้มาให้เจ้าได้”
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็เป็นเหตุผลของบ้านเขา ในด้านการตะแบงถังฟั่นไม่เคยชนะวังกงกงมาก่อน
เขากล่าวอย่างปวดเศียร “ได้ๆๆ ท่านว่ามา”
ผู้สมัครสอบเคอจวี่ล้วนทราบ หากจะไปเป็นบัณฑิตเอก ระหว่างทางต้องผ่านการสอบใหญ่ๆ เล็กๆ หลายสนาม ในจำนวนนั้นมีหกสนามที่ค่อนข้างสำคัญ แบ่งออกเป็นการสอบเซี่ยนซื่อ ฝู่ซื่อ ย่วนซื่อ เซียงซื่อ ฮุ่ยซื่อ และเตี้ยนซื่อ
พูดง่ายๆ ก็คือผู้ที่สามารถสอบผ่านย่วนซื่อก็จะได้เป็นซิ่วไฉ
ผู้ที่มีชื่อบนใบประกาศผลการสอบระดับเซียงซื่อก็จะกลายเป็นบัณฑิตจวี่เหริน
และหากสอบติดระดับฮุ่ยซื่อก็จะกลายเป็นบัณฑิตก้งซื่อ สุดท้ายคนเหล่านี้จะได้รับการจัดลำดับรายชื่อในการสอบเตี้ยนซื่อ แต่จะไม่มีการหลุดจากรายชื่ออีกแล้ว
การสอบระดับย่วนซื่อ สามปีจัดสอบสองครั้ง ผู้สอบผ่านจะกลายเป็นซิ่วไฉ เมื่อพบเห็นนายอำเภอไม่ต้องทำความเคารพ เป็นจุดเริ่มต้นของคนที่ปรารถนาจะเข้าสู่แวดวงขุนนาง
ทว่าการสอบย่วนซื่อเมืองจี๋อัน มณฑลเจียงซีเมื่อต้นปีนี้กลับเกิดเหตุไม่คาดฝัน
กระบวนการเหมือนกับสนามสอบอื่นๆ การสอบย่วนซื่อของเมืองจี๋อันไม่มีอันใดเป็นพิเศษ หัวหน้าสนามสอบคือเสิ่นคุนซิว หัวหน้ากองการศึกษาเจียงซีคนปัจจุบัน เขาเป็นขุนนางที่กรมพิธีการส่งมาโดยตรง การคุมสอบชนิดนี้สำหรับเขาแล้วถือว่าช่ำชองอย่างยิ่ง
แต่วันที่ประกาศผู้สอบผ่านระดับย่วนซื่อนั้นเองพลันปรากฏข่าวฉาวโฉ่ออกมา ก็ไม่ทราบเล่าลือมาจากที่ใด บอกว่าผู้สอบติดยี่สิบอันดับแรกเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นตำแหน่งที่ได้มาด้วยการทุจริต
ไม่เพียงเท่านั้นยังลือกันเป็นตุเป็นตะว่าในข้อสอบของผู้เข้าสอบเหล่านี้ล้วนปรากฏคำว่า ‘สำเร็จงานใหญ่’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่นัดแนะกันล่วงหน้าระหว่างผู้ทุจริตกับกรรมการตรวจข้อสอบ เมื่อกรรมการตรวจข้อสอบที่รับสินบนเหล่านั้นเห็นสี่คำนี้บนกระดาษข้อสอบฉบับใดก็จะให้คะแนนสูงกับข้อสอบฉบับนั้น
เรื่องราวยิ่งลุกลามบานปลาย โดยเฉพาะพวกที่สอบตกยิ่งประท้วงดุเดือด พวกเขาไปตีกลองร้องทุกข์ ต่อมายังอัญเชิญป้ายสถิตวิญญาณของขงจื๊อในศาลเจ้าออกมา ชุมนุมกันที่หน้าที่ว่าการกองการศึกษา เรียกร้องให้หัวหน้าสนามสอบออกมาชี้แจง
หลังจากหัวหน้ากองการศึกษาเสิ่นคุนซิวทราบข่าวก็มิได้รอช้า รีบรุดไปตรวจสอบข้อสอบของผู้เข้าสอบเหล่านั้นทันที พบว่าข่าวลือแม้ไม่ตรงนักแต่ก็ใกล้เคียง ในยี่สิบคนแรกที่มีรายชื่อบนประกาศ มีสิบหกคนที่ในข้อสอบปรากฏคำว่า ‘สำเร็จงานใหญ่’
นี่มิใช่บังเอิญเด็ดขาด เสิ่นคุนซิวโกรธจัด ตัดสินใจสอบสวนถึงที่สุด
เขารู้ดี ไม่ว่าข่าวลือเริ่มขึ้นจากที่ใด สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือตรวจสอบให้กระจ่างแจ้งว่าผู้เข้าสอบเหล่านั้นได้รับตำแหน่งมาด้วยการทุจริตเช่นที่ลือกันหรือไม่ หากพิสูจน์แล้วว่าไม่จริง ถึงเวลานั้นย่อมมีเป็นพันวิธีที่จะสยบข่าวลือ
ดังนั้นเขาจึงเรียกตัวกรรมการตรวจข้อสอบมาไต่สวนทีละคน กรรมการตรวจข้อสอบเหล่านั้นย่อมปฏิเสธเสียงแข็ง เสิ่นคุนซิวจึงสั่งคนไปคุมตัวบัณฑิตทั้งยี่สิบคนนั้นมาขังเดี่ยว รอการสอบสวนทีละคน
อันที่จริงหากอยากทราบว่าคนเหล่านี้ทุจริตหรือไม่ วิธีการนั้นง่ายมาก ก็คือออกข้อสอบชุดใหม่ให้พวกเขาแสดงฝีมือเดี๋ยวนั้น หากทำไม่ได้หรือระดับความสามารถลดฮวบก็แปลว่ามีปัญหาแน่นอน
เสิ่นคุนซิวเองก็ใช้วิธีนี้ ความจริงพิสูจน์แล้วว่าในสิบหกคนนั้นมีอยู่หลายคนที่พอเข้าสอบก็เผยอาการหวั่นกลัว หลังเปลี่ยนข้อสอบหากไม่เขียนความเรียงจนเละเทะก็ฝีมือลดลงฮวบฮาบ เนื้อหาที่เขียนราวกับมิใช่คนเดียวกับที่เขียนอย่างสวยหรูอลังการก่อนหน้านั้น
เรื่องราวดำเนินถึงจุดนี้ เสิ่นคุนซิวไหนเลยยังมีเหตุผลให้ไม่กระจ่าง เชือดคนหนึ่งเป็นอุทาหรณ์ร้อยคน และเพื่อสยบความเดือดแค้นของปัญญาชนอื่นๆ เสิ่นคุนซิวจึงส่งฎีกาถึงราชสำนัก ขอให้ถอดถอนตำแหน่งบัณฑิตของทั้งสิบหกคนนั้น มิอาจรับราชการชั่วชีวิต และวางแผนจัดสอบย่วนซื่ออีกรอบหนึ่งในเมืองจี๋อัน
ทว่าตอนนั้นเองหนึ่งในบัณฑิตสิบหกคนที่ถูกถอดถอนกลับแขวนคอตาย ก่อนตายยังเขียนอักษรเลือดอันน่าสยดสยองบนกำแพงห้องที่ตนเองถูกคุมขัง ‘คดีแพะแห่งยุค ตายตาไม่หลับ’
ครานี้เรื่องราวยิ่งเลวร้าย
แม้ว่าเสิ่นคุนซิวส่งฎีกาถึงราชสำนักขอให้ถอดถอนตำแหน่งบัณฑิตของสิบหกคนนี้ แต่ราชสำนักยังไม่มีคำสั่งอนุมัติลงมา พวกเขาจึงยังมีฐานะเป็นบัณฑิตซิ่วไฉ และบัณฑิตซิ่วไฉคนหนึ่งถูกหัวหน้ากองการศึกษาเสิ่นบีบคั้นจนฆ่าตัวตายจึงกลายเป็นที่สะท้านสะเทือนไปทั้งวงการปัญญาชน
หากกล่าวว่าอีกฝ่ายร้อนตัว เช่นนั้นหลังถูกถอดตำแหน่งยังไม่ทันส่อพิรุธด้วยซ้ำ แล้วจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจด้วยการฆ่าตัวตายได้อย่างไร ใครกล่าวได้ว่าในนี้ไม่มีความนัยซ่อนแฝง
ข่าวลือสะพัดในทันใด บอกว่าหัวหน้ากองการศึกษาเสิ่นกับอีกฝ่ายมีแค้นส่วนตัว จึงถือโอกาสนี้จัดการ ส่งผลให้อีกฝ่ายต้องฆ่าตัวตายเพราะทนความอัปยศไม่ไหว บ้างก็บอกว่าหัวหน้ากองการศึกษาเสิ่นวินิจฉัยคดีผิด บัณฑิตที่ฆ่าตัวตายมิได้ทุจริตในการสอบ เป็นการถูกใส่ความ
หลังจากนั้นไม่นานผู้ว่าการมณฑลเจียงซีและตุลาการต่างยื่นฎีกาขอให้ตรวจสอบคดีนี้ วินิจฉัยถูกผิด เพื่อพิสูจน์ความจริง
ประจวบกับถังฟั่นลุล่วงภารกิจในซูโจว จักรพรรดิจึงสั่งให้เขาไม่ต้องกลับเมืองหลวง ตรงดิ่งไปที่เจียงซีจัดการเรื่องนี้ได้เลย
เพราะเสิ่นคุนซิวเป็นหัวหน้ากองการศึกษาประจำมณฑล ตำแหน่งขุนนางขั้นสามเต็มขั้น ฐานะสูงส่ง ถังฟั่นซึ่งเป็นผู้ตรวจการขั้นสี่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาออกจะไม่น่าดูเท่าไร ดังนั้นจักรพรรดิจึงตวัดพู่กันคราหนึ่ง เพิ่มตำแหน่งรองเสนาบดีกรมอาญาให้เขา สาเหตุก็เพื่อสะดวกในการสืบคดี
หลังทราบที่มาที่ไป ถังฟั่นก็สะทกสะท้อนร้อยแปด อารมณ์ซับซ้อนยุ่งเหยิง
ชั่วขณะนี้เขาเพียงอยากบอกว่าใต้หล้าไม่มีอาหารกลางวันที่กินเปล่า โบราณกล่าวไว้ไม่ลวงหลอกจริงๆ
* ใบอ้ายเยี่ย สมุนไพรชนิดหนึ่ง มีกลิ่นหอม ใช้จุดไฟไล่ยุงและแมลง
** เป่าลมข้างเขนย (หมอน) เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงสามีภรรยาพูดจากระซิบกระซาบกัน ลมปากแบบนี้แม้จะเบา แต่บางครั้งอาจส่งผลกระทบรุนแรง ทำให้เรื่องใหญ่ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวได้
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments