X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน เซียมซีทายรัก บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทที่ 2

 

เนื่องจากเซี่ยฟั่งยังมิได้รายงานเรื่องที่ม้าอาละวาดเพราะถูกคนวางยากับเจ้าบ้านสกุลหาน จึงทำให้เจ้าบ้านสกุลหานที่กลับเรือนมานั้นยังมีอารมณ์คุยสนุกอยู่กับหานฮูหยิน

หลังจากสองสามีภรรยาสนทนากันครู่หนึ่งแล้ว เจ้าบ้านสกุลหานจึงกล่าวว่า “เซี่ยฟั่งคนนั้นใช้งานได้”

หานฮูหยินที่กำลังจุดเครื่องหอมอยู่เอ่ยถามขึ้น “ไยจู่ๆ ท่านจึงพูดเช่นนี้”

เจ้าบ้านสกุลหานเอนกายหลับตาพักผ่อนบนตั่งพลางตอบ “ข้าไปที่สกุลฉินมาแล้ว ตะล่อมถามท่านฉินทางอ้อมไปหลายเรื่อง เรื่องที่เซี่ยฟั่งบอกก็มิใช่เรื่องโป้ปด ตัวเขากับฐานะตระกูลของเขาล้วนเป็นความจริง”

มือของหานฮูหยินที่จุดเครื่องหอมชะงักกึก นางสงสัย “สรุปคือเรื่องซื้อที่ดินเป็นเพียงข้ออ้าง เรื่องสืบข่าวต่างหากที่เป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของท่านอย่างนั้นหรือ”

เจ้าบ้านสกุลหานกล่าวกลั้วหัวเราะ “เรื่องซื้อที่ดินก็เป็นเรื่องจริง การสืบข่าวก็จริง เพราะเป็นพ่อบ้าน อย่างไรก็ต้องหาคนที่ฉลาดเฉลียวและไว้ใจได้มิใช่หรือ”

“ในเมื่อท่านตั้งใจรับเขาไว้อยู่แล้ว เช่นนั้นเรื่องที่พูดว่าเก็บเขากลับมาต่อหน้าพวกบ่าวรับใช้ตอนเช้า ช้าเร็วก็ต้องลือถึงหูของเขา น่ากลัวเขาจะผูกใจเจ็บ”

“ข้าจงใจให้เขาได้ยินอยู่แล้ว” น้ำเสียงของเขาเย็นชา “อย่างไรเมื่อก่อนเขาก็เป็นคุณชาย ทว่าเมื่อเข้าสกุลหานเราแล้วก็ต้องลบความทะนงในตัวเขาให้หมดสิ้นเสียก่อน ให้เขาเข้าใจว่าบ่าวรับใช้ก็คือบ่าวรับใช้ ไม่ว่าในอดีตเขาจะเคยมีหน้ามีตาเพียงใดก็ต้องตั้งใจทำงานให้กับสกุลหาน เพราะข้าหานโหย่วกงเป็นคนเก็บเขากลับมา ให้เขาได้มีที่ซุกหัวนอน”

หานฮูหยินก้มหน้าครุ่นคิด ก่อนตอบด้วยรอยยิ้ม “ก็จริง พ่อบ้านของสกุลหาน เมื่ออยู่ข้างนอกก็แทบมีสถานะเป็นเจ้านายคนหนึ่งแล้ว ฐานะนี้เขามิอาจรังเกียจได้ หากยังถือสาที่นายท่านมองเขาเช่นนี้ ไปจากที่นี่เสียก็สิ้นเรื่อง แต่เพราะเขาตกต่ำมาถึงสองปีก็ยังไม่ได้ดิบได้ดี คงตัดใจมิได้หรอกกระมัง”

เจ้าบ้านสกุลหานก็คิดเช่นนี้ จะรับคนคนหนึ่งไว้ใช้งานก็ต้องให้เขาเชื่อฟังตนก่อน ซึ่งจะให้คนคนหนึ่งเชื่อฟัง ก็ต้องทำลายทุกอย่างของเขาก่อน ไม่ว่าศักดิ์ศรีหรือความทะนงตน ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น

ก๊อกๆ

ยามนี้เองเสียงเคาะประตูเบาๆ ก็ดังขึ้น เงาร่างที่สะท้อนบนกระดาษหน้าต่างดูยืดยาวสูงใหญ่

“นายท่าน”

หานฮูหยินยังไม่คุ้นกับเสียงของเซี่ยฟั่ง ทว่าบ่าวรับใช้ที่เพิ่งถูกรับเข้าคฤหาสน์ในระยะนี้ก็มีเพียงเซี่ยฟั่ง ฉะนั้นจึงพอเดาได้ว่าเป็นเขา นางมองไปทางสามีก็เห็นอีกฝ่ายลืมตาขึ้นพลางขานตอบ “เข้ามา”

ครู่หนึ่งประตูก็ถูกเปิดออก เซี่ยฟั่งก้าวเข้ามาอย่างเนิบช้า ไม่รอให้เขาได้คำนับ เจ้าบ้านสกุลหานก็ยื่นมือรั้งไว้กลางอากาศ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ลุงฉินเจ้าตกลงขายที่ดินให้ข้าครั้งนี้ ล้วนเพราะความดีความชอบของเจ้า”

“เป็นเพราะท่านลุงฉินเห็นแก่นายท่านหรอกขอรับ” เซี่ยฟั่งไม่รับความดีความชอบแม้แต่น้อย ยังกล่าวอีกว่า “ที่เซี่ยฟั่งมา เพราะมีเรื่องจะรายงานนายท่าน”

เขาไม่รับความดีความชอบ เจ้าบ้านสกุลหานก็ไม่ฝืนใจ ก่อนเอ่ยถามขึ้น “มีเรื่องอะไรหรือ”

“วันนี้ม้าที่เทียมรถของนายท่านเกิดคลุ้มคลั่ง หลังจากผู้รู้ตรวจสอบแล้วก็พบสาเหตุขอรับ”

เจ้าบ้านสกุลหานที่ฟังนัยแฝงออกนิ่งอึ้งไปทันที “เจ้าว่ามา”

เซี่ยฟั่งเล่า “มีคนวางยาม้าจนทำให้มันอาละวาดชั่วคราว ตอนนี้ข้ายังสืบไม่ได้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร นายท่านโปรดให้เวลาข้าสืบหาสักสองสามวันเถิดขอรับ ส่วนม้าตัวนั้นข้าได้ให้คนขังไว้ในคอก แล้วก็ซื้อม้าตัวอื่นมาแทน หากพรุ่งนี้นายท่านต้องออกไปข้างนอก ก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะไม่สะดวกเลยขอรับ”

ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็ล้วนจัดการได้เรียบร้อย ไม่ให้เจ้าบ้านสกุลหานและหานฮูหยินต้องพะวง แม้กระทั่งความพรั่นพรึงที่เกิดจากเรื่องม้าคลุ้มคลั่งก็พลอยน้อยลงสามส่วน

เจ้าบ้านสกุลหานไว้ใจเขามากขึ้นอีกนิด แต่สีหน้ากลับไม่ยอมเปิดเผย เขาเพียงแค่กล่าวอย่างเรียบเฉย “อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น หากสืบหาคนร้ายได้แล้ว ก็พาเขามาพบข้าก่อน อย่าเพิ่งส่งตัวให้ทางการ”

แววตาของเซี่ยฟั่งสั่นวูบชั่วขณะ ขานรับเสียงหนึ่งก็ออกจากเรือนไป

อาทิตย์ยามฤดูร้อนอบอ้าว ม่านราตรีที่เพิ่งปกคลุมลงมาก็มิอาจไล่ความร้อนระอุให้หายไป หมอกสีขาวคล้ายไอที่ลอยวนอยู่ในห้องอาบน้ำครอบคลุมคฤหาสน์สกุลหาน อบอวลไม่จางหาย

อีกฟากหนึ่งของระเบียงยาวเป็นสวนดอกไม้ เดินต่อไปก็คือภูเขาจำลอง อีกสิบกว่าก้าวต่อมาก็จะเห็นบ่อปลา พอเขาเดินถึงบริเวณบ่อปลาแล้วจึงรู้สึกเย็นสบายขึ้นมาบ้าง

เซี่ยฟั่งผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง อยู่ในพื้นที่เย็นสบายเช่นนี้ย่อมผ่อนคลายอารมณ์และความคิดได้มากกว่า ไม่ทำให้ความคิดขดกันจนเป็นปมอยู่ในหัว

“พ่อบ้านเซี่ย”

น้ำเสียงใสกังวานเสนาะหูราวกับมีน้ำเย็นหยดหนึ่งหยดรดหัวใจในค่ำคืนฤดูร้อนดังขึ้น เสียงนั้นช่วยสลายความร้อนรุ่มทั้งกายใจให้หายไปในชั่วพริบตา เซี่ยฟั่งมองเบื้องหน้า สาวน้อยอรชรคนหนึ่งกำลังเดินถือกะละมังล้างหน้ามาทางเขา น้ำในกะละมังค่อนข้างปริ่ม ทำให้นางเดินได้ไม่เร็วนัก เซี่ยฟั่งจึงก้าวเข้าไปหานางแล้วถาม “ยกน้ำไปที่เรือนนายท่านกับฮูหยินหรือ”

“อืม” อาเหม่ามองมือของเขา “ท่านไปหาหมอแล้วหรือยัง หมอว่าอย่างไรบ้าง”

เซี่ยฟั่งรู้สึกซึ้งใจเล็กน้อย อย่างไรใจของสตรีก็มีความละเมียดละไมกว่าบุรุษ ยามนี้มือเขาไม่รู้สึกเจ็บแล้ว แม้แต่เขาเองก็ลืมว่าตนยังบาดเจ็บอยู่ เขาจึงตอบไปด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรแล้ว หมอบอกว่าพอกหญ้าสมุนไพรได้ทันเวลาและใช้ยาถูกอาการ ซ้ำยังมิได้ล้างสมุนไพรนี้ออก เพียงแค่เช็ดคราบเลือดสกปรกนอกบาดแผลเท่านั้น พันด้วยผ้าเนื้อบางก็เรียบร้อยแล้ว”

อาเหม่าอยากดูให้เห็นกับตาจึงชะโงกหน้าไปมอง เซี่ยฟั่งจึงต้องแบมือ อาเหม่าเห็นแล้วจึงเลิกคะยั้นคะยอเขา นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ดี ท่านเพิ่งมาสกุลหานก็เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นแล้ว น่ากลัวเหลือเกิน”

“ก็มิได้น่ากลัวอะไร…” เซี่ยฟั่งผ่อนคลายสีหน้าลง เขามองนางพร้อมกล่าวถาม “เจ้าว่าน่ากลัวหรือ”

“ม้าอาละวาดถึงเพียงนั้น ยังไม่น่ากลัวอีกหรือ” อาเหม่ากล่าว

เซี่ยฟั่งรู้สึกว่ามีนัยครึ่งหนึ่งแฝงอยู่ในคำพูดของนาง เขาเห็นนางไม่สมัครใจจะกล่าวต่อ จึงมิได้ซักไซ้ ก่อนจะเบี่ยงร่างออกแล้วกล่าวกับนาง “ยกน้ำไปเถอะ”

อาเหม่ายกน้ำเดินไปทางเรือนฮูหยิน นางหันกลับไปมองเขา ทว่าเซี่ยฟั่งมิได้หันกลับมา อาเหม่ามีเรื่องอยากบอกเขา ซึ่งก็คือเรื่องที่ม้าคลุ้มคลั่ง เนื่องจากนางเคยติดตามหมอชาวบ้านในหมู่บ้านไปเก็บสมุนไพรตั้งแต่เด็ก ฉะนั้นจึงรู้จักสมุนไพรอยู่หลายอย่าง ท่าทางของม้ายามที่อาละวาดนั้นก็เหมือนอาการหลังกินหญ้าพิษชนิดหนึ่งอย่างมาก

ม้าย่อมเผลอกินไปโดยไม่รู้ได้ แต่หญ้าชนิดนั้นมีสีสันประหลาด ไม่มีทางที่คนเลี้ยงม้าจะไม่เห็น

ด้วยเหตุนี้เป็นไปได้ว่าจะมีคนเจตนาวางยา…

อาเหม่าที่กำลังจะเดินถึงสุดระเบียงชะงักฝีเท้า ก่อนจะหันร่างกลับไปมอง ทว่าเซี่ยฟั่งก็ไม่อยู่บนระเบียงทางเดินแล้ว

อาเหม่าใช้ความคิดอยู่นาน ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ไล่ตามเพื่อไปบอกเขา

น้อยเรื่องดีกว่ามากเรื่อง…

เมื่อมาถึงหน้าประตูห้อง นางยังไม่ทันเคาะประตูก็ได้ยินหานฮูหยินกล่าวเสียงเด็ดขาด “ไม่ได้!”

อาเหม่ารู้มารยาทจึงไม่ได้เข้าไปในทันที ชุ่ยหรงที่เฝ้าประตูอยู่มองนางแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้ก้าวเข้ามารับกะละมังไป ครู่หนึ่งทั้งสองก็ได้ยินหานฮูหยินกล่าวว่า “อาเหม่าทำงานดี หากท่านอยากมีอี๋เหนียง* สี่จริง อย่างไรก็ห้ามเป็นนาง”

อาเหม่านิ่งอึ้ง เรื่องที่คนในเรือนกำลังกล่าวกลับมีส่วนเกี่ยวข้องกับนาง

“แล้วเจ้าจะเอาอย่างไร กลางวันนางยังคงเป็นบ่าวรับใช้ กลางคืนถึงจะปรนนิบัติข้าได้เช่นนั้นหรือ ข้าไม่อยากให้นางเอามือที่ทำงานมาแล้วทั้งวันมาแตะต้องข้าสักนิด สกปรกเกินไป”

หานฮูหยินยืนกรานด้วยความขุ่นเคือง “เอาเป็นว่าข้าไม่ยอม!”

เจ้าบ้านสกุลหานเห็นว่าคุยกับอีกฝ่ายไม่รู้เรื่องแล้วจึงหัวเราะเสียงเย็น “เอาล่ะๆ อย่างไรช้าเร็วข้าก็จะหาน้องสาวมาให้เจ้าอีกคนอยู่ดี”

หานฮูหยินอึ้งงันไป ก่อนที่นางจะโกรธจนตัวสั่น “ยามนั้นท่านเคยรับปากข้าว่าจะไม่มีอนุภรรยาเด็ดขาด แต่ภายหลังก็แต่งอี๋เหนียงเข้ามาคนแล้วคนเล่า ที่ผ่านมาข้าก็กล้ำกลืนฝืนทนแล้ว แต่ยามนี้บุตรชายท่านอายุยี่สิบกว่าแล้ว ท่านจะไม่คำนึงถึงสุขภาพของตนเองบ้างเลยหรือ”

เจ้าบ้านสกุลหานไม่อยากพูดถึงคำมั่นสัญญาในอดีตกับนาง จึงกล่าวทิ้งท้ายว่า “ข้าจะไปเรือนอี๋เหนียงสาม” จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อออกจากห้อง เมื่อเปิดประตูแล้วเห็นชุ่ยหรงยืนถือกะละมังใส่น้ำอยู่อีกทาง เขาก็ตวาดเสียงเขียว “ยืนเซ่ออะไรอยู่ตรงนี้!”

ด่าไปประโยคหนึ่งเขาก็เดินฉุนเฉียวจากไป รอจนเขาเดินออกไปไกลแล้ว อาเหม่าจึงก้าวออกมาจากหลังเสา กล่าวเสียงเบากับชุ่ยหรง “ขอบคุณ”

ชุ่ยหรงไม่สบอารมณ์ “เอากะละมังล้างหน้าไป”

อาเหม่าอ้อนเสียงละมุน “พี่สาวคนดี เจ้าก็ช่วยข้ายกไปส่งสักครั้งหนึ่งเถิด”

ชุ่ยหรงไม่อยากเข้าไปถูกด่าเอาเวลานี้ นางหน้าบึ้งไม่ยอมรับปาก อาเหม่าจึงล้วงเศษเงินออกจากถุงพกแล้วยื่นให้นาง ชุ่ยหรงจึงรับคำอย่างไม่เต็มใจนัก “ข้าช่วยแค่ครั้งนี้เท่านั้นนะ”

รอนางเข้าไปแล้ว อาเหม่าก็ค้อมร่างลงเดินจากไปอย่างเงียบๆ

เรือนส่วนนี้มีบริเวณกว้างขวางมาก เดินอย่างไรก็ยังไม่พ้นอาณาเขตเสียที กระทั่งนางเดินอยู่นานสองนานแล้ว จึงร้อนอ้าวจนเริ่มวิงเวียน สาวน้อยกุมอกที่เต้นโครมครามมุ่งหน้าไปยังทางออก อยากกลับห้องของตนเองแล้วปิดประตู ปิดให้แน่นสนิท

สายตาที่นายท่านใช้มองนางไม่เหมือนเดิมมานานแล้ว…นางรู้ดี

ซึ่งคนที่สามารถปกป้องนางได้ในยามนี้ก็มีเพียงฮูหยินเท่านั้น ด้วยเหตุนี้หลังจากที่นางรู้ตัวแล้ว นางจึงยิ่งภักดี ยิ่งดูแลเอาใจใส่ฮูหยิน นางเดาใจทุกการเคลื่อนไหวของฮูหยินและคอยปรนนิบัติอีกฝ่ายอย่างระมัดระวังมาเสมอ

ทว่ายามนี้นางเข้าใจกระจ่างชัดแล้ว ในเมื่อฮูหยินยินยอมให้นายท่านแต่งอนุได้ถึงสามคน เช่นนั้นหากขอสาวใช้อย่างนางอีกคน…จะยากอะไร

อาเหม่าร้อนรนจนนั่งไม่ติด สำหรับสาวใช้ที่ไร้เกราะกำบังลมฝน ทั้งไร้ผืนดินให้อยู่อาศัยอย่างนางนั้น การเป็นอนุภรรยาของนายท่านคือทางออกที่ดีที่สุด แต่อาเหม่าไม่ยินยอมพร้อมใจสักนิด

ต่อให้ภายภาคหน้าต้องแต่งกับคนที่เป็นฝีดาษหรือคนขาพิการก็ยังดีกว่า อย่างไรนางก็ไม่อยากเข้าไปเป็นอี๋เหนียงของสกุลหาน

อาเหม่าคิดหนักจนวิงเวียนสับสน ปวดศีรษะจนแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ นางก้มหน้าเดินอย่างรวดเร็ว คิดแต่ว่าอยากไปให้พ้นจากที่นี่ ทว่าทันใดนั้นเบื้องหน้าก็พลันมีอะไรบางอย่างมาขวางทาง นางชนเข้าอย่างจังจนร่างบางเซถอยหลัง

“เอ๊ะ!”

มือข้างหนึ่งคว้าข้อมือของนางไว้ จึงทำให้นางไม่เสียหลักล้มลงไป แต่เมื่อนางประคองร่างยืนได้แล้ว มือของคนผู้นั้นก็ยังไม่ยอมปล่อย กลับเป็นร่างสูงผอมโน้มเข้ามาประชิด ใบหน้าแทบแนบกับปลายจมูกของนาง ก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแทะโลม “นี่อาเหม่ามิใช่หรือ รีบร้อนเดินเช่นนี้ไปทำไมกัน”

อาเหม่าเบิกตามองอีกฝ่าย นางอยากดึงมือกลับแต่กลับถูกเขากุมไว้แน่น “คุณชายรอง บ่าวยังต้องยกน้ำไปให้นายท่าน ท่านปล่อยมือบ่าวเถิดเจ้าค่ะ”

หานกวงกล่าวเยาะ “ท่านพ่อเพิ่งเดินออกจากเรือนไป เจ้าคิดจะหลอกข้าหรือ อาเหม่า…เจ้าโกหกข้าได้อย่างไร”

เขากุมข้อมือบางไว้แน่นและไม่สนใจว่านางจะเจ็บหรือไม่ อาเหม่ารู้สึกว่าตนเองช่างเคราะห์ซ้ำกรรมซัด คุณชายรองผู้นี้ถือกำเนิดจากอี๋เหนียงใหญ่ แม้จะมิได้เกิดจากภรรยาเอก แต่เมื่อเทียบกับคุณชายใหญ่แล้ว นายท่านหานกลับให้ความสำคัญกับเขามากกว่า

นั่นไม่เกี่ยวกับการที่เป็นบุตรของภรรยาเอกหรืออนุ แต่เป็นเพราะคุณชายใหญ่ผู้นั้นเป็นโรคปัญญาอ่อน ไม่อาจสืบสกุลได้!

ด้วยเหตุนี้วาจาของหานฮูหยินจึงมักไม่มีน้ำหนักมากพอ จนต้องปล่อยให้นายท่านหานแต่งอนุภรรยาเข้าตระกูลคนแล้วคนเล่าเข้ามา

ภาษิตว่ามารดาเลื่อนฐานะตามบุตรชาย นั่นจึงทำให้คำพูดของอี๋เหนียงใหญ่มีน้ำหนักในสกุลหานอย่างมาก ดังนั้นคุณชายรองจึงเติบโตขึ้นมาเป็นคุณชายที่ไม่เอาไหนภายใต้ความรักของผู้ใหญ่ที่เกินพอดี

ข้อมือของอาเหม่าราวกับถูกเข็มทิ่มแทงเข้ากระดูก ปวดจนรู้สึกเหมือนจะหัก แล้วนางก็ได้กลิ่นสุราฉุนกึ้กจากคุณชายรองโชยมา จึงยิ่งลนลาน หากอีกฝ่ายมีสติดีอยู่ อย่างไรนางก็ยังสามารถใช้ข้ออ้างอื่นปลีกตัวออกมาได้ ทว่าเขาเมามายเช่นนี้ คนเมานั้นย่อมไม่มีเหตุผล

“อาเหม่า เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว” สายตาของหานกวงเลื่อนจากลำคอระหงลงสู่ด้านล่าง แววตาคลุมเครือมีเลศนัยค่อยๆ มองไปยังตรงนั้น

อาเหม่าตระหนกลนลาน ก่อนจะออกแรงผลักเขา แล้วก็ผลักเขาซึ่งกำลังเมาออกไปได้จริงๆ ทว่าเป็นเพราะขาของเขายืนได้ไม่มั่นคง จึงเซถอยหลังไปสองก้าวแล้วก็ล้มตึงลงที่พื้น จุกจนฤทธิ์สุราพวยพุ่ง ตวาดด่าทอเสียงดัง “พูดดีๆ ไม่ชอบ!”

เขาลุกขึ้นยืนพร้อมปรี่เข้าไปเพื่อหวังลงไม้ลงมือกับอาเหม่าราวกับคนเสียสติ นางตื่นตกใจจนนิ่งอึ้ง นึกว่าจะถูกเขาทุบตีจึงสาวเท้าออกวิ่งไปทางนอกเรือน เพิ่งพ้นประตูเท่านั้นศีรษะก็ชน ‘ตึง’ เข้ากับร่างร่างหนึ่ง แรงกระแทกทำให้นางถึงกับวิงเวียน ทว่ากำปั้นที่ตวัดมาจากด้านหลังกลับมิได้ชกลงบนตัวนาง อาเหม่าเงยหน้าขึ้นก็เห็นเซี่ยฟั่งคว้าหมัดที่หานกวงชกมาไว้ได้ทัน

เมื่อรับหมัดนั้นก็สะเทือนถึงบาดแผลที่มือของเขาด้วย ใบหน้าของเซี่ยฟั่งพลันซีดขาวไร้สีเลือด

แววตาของเขาแน่วแน่ จ้องหานกวงเขม็งพร้อมกล่าวว่า “คุณชายรองเมาแล้ว”

หานกวงกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “ข้าไม่เมา! เจ้ารีบส่งตัวอาเหม่ามา นางกล้าผลักข้าได้อย่างไร นางไม่รักชีวิตแล้วกระมัง ถึงได้กล้าผลักข้าเช่นนี้!”

ด้านหน้ามีเซี่ยฟั่ง ด้านหลังมีหานกวง อาเหม่าที่ติดอยู่ตรงกลางไม่อาจกระดิกตัวหลบไปที่ไหนได้แล้ว แต่หานกวงก็เอาแต่อยากจะจับตัวนางไม่ปล่อย นางจึงจำต้องเบียดไปทางเซี่ยฟั่งสุดชีวิตเพื่อหลบเลี่ยงอีกคน เบียดจนร่างบางแทบแนบชิดติดกับร่างสูง เมื่อนางรู้สึกผิดสังเกตขึ้นมาก็ถึงกับกลั้นลมหายใจ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองเขา บุรุษหนุ่มที่เดิมทีสีหน้าขาวซีด ยามนี้กลับเจือสีระเรื่อเล็กน้อย แม้กระทั่งลมหายใจก็ยังแผ่วเบาลง

เซี่ยฟั่งไม่ได้ก้มหน้ามองนาง ซ้ำยังไม่ขยับเขยื้อน

ดวงหน้าของอาเหม่าแดงปลั่งทันที อยากจะเมาสุราเสียให้รู้แล้วรู้รอด

หานกวงเห็นเซี่ยฟั่งเหมือนตัดสินใจเด็ดขาดแล้วที่จะปกป้องอาเหม่า จึงแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ดีมาก บ่าวรับใช้อย่างเจ้าก็กล้าลามปามแล้ว” เขาสะอึกด้วยฤทธิ์สุราพลางเดินเข้าไปชี้หน้าอีกฝ่าย แต่กลับไม่กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว เพียงแต่แววตาเย็นเฉียบคู่นั้นของเขาคล้ายจะคิดบัญชีนี้ย้อนหลัง

เด็กรับใช้ที่อยู่ด้านหลังหานกวงรีบพยุงเขากลับเรือน เมื่อในสวนกลับคืนสู่ความสงบแล้ว อาเหม่าก็ให้กลุ้มใจขึ้นมา “คุณชายรองมิใช่คนใจกว้าง เขาต้องหาเรื่องท่านอย่างแน่นอน”

“แล้วแต่เขา” เมื่อครู่เซี่ยฟั่งที่คอยคุมเชิงอยู่กับเขา ฝ่ามือจึงได้รับความกระทบกระเทือนจนโลหิตซึมออกมาอีก เขาเห็นคราบเลือดที่ซึมติดผ้าพันแผลบนมือก็เอามือไขว้ไว้ข้างหลังแล้วกล่าวว่า “เจ้ารีบกลับไปเถอะ เกิดคนอื่นเห็นเจ้ากับข้ายืนอยู่ด้วยกันเช่นนี้จะแก้ต่างไม่ขึ้น”

อาเหม่าตื่นจากภวังค์ ถอยหลังสองก้าวผละจากเขาทันที ดวงหน้าหมดจดแดงระเรื่อ กระดากขัดเขิน นางพลันเอ่ยเสียงเบา “เช่นนั้นข้าไปก่อน”

เซี่ยฟั่งพยักหน้า โชคดีที่นางมิได้เงยหน้า มิฉะนั้นนางต้องเห็นว่ามีเหงื่อเย็นๆ เม็ดใหญ่ผุดซึมบนหน้าผากของเขาเป็นแน่

รอให้เงาร่างของอาเหม่าออกไปไกลแล้ว เขาจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือออกมา ผ้าพันแผลที่พันอยู่บนฝ่ามือเปื้อนโลหิตอีกแล้ว ครั้งนี้เจ็บจนถึงขั้วหัวใจ

 

อาเหม่าวิ่งจากสวนจนถึงห้อง นางวิ่งจนเหงื่อท่วม เถาฮวาเห็นนางแล้วก็รีบเข้ามาหยอกล้อ “เป็นอะไร เจอผีเข้าหรือ มีปีศาจไล่ตามเจ้าหรือไร”

“อย่าพูดบ้าๆ”

อาเหม่าไม่สนใจเถาฮวาอีก นางหยิบเสื้อผ้าเตรียมไปอาบน้ำ ห้องอาบน้ำตั้งอยู่ถัดออกไปเพียงแค่นี้ นางจึงไม่กลัวว่าหานกวงคนนั้นจะกล้าตามมา แต่พอนึกถึงหานกวงแล้วนางก็รู้สึกหงุดหงิดใจ พลันเปลี่ยนความคิด แล้วก็นึกถึงเซี่ยฟั่ง ก่อนจะนึกถึงมือของเขาขึ้นมาด้วย

ชั่วขณะหัวใจของนางพลันหล่นวูบ ไม่รู้ว่ามือของเขาเป็นเช่นไรบ้าง เมื่อครู่ที่เขาออกแรงจับหมัดของหานกวงไปเช่นนั้นน่ากลัวว่า…

อาเหม่ากระวนกระวาย นางถือเสื้อผ้านั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้ นิ่งเงียบไปชั่วขณะ เถาฮวาสะกิดถามอะไรมานางก็ไม่ได้ตอบ ยามนี้ชุ่ยหรงเข้ามาพอดี เถาฮวาจึงรีบกล่าว “พี่ชุ่ยหรง มาดูเร็วว่าอาเหม่าเป็นอะไรไป”

ชุ่ยหรงเหลือบมองนางแวบหนึ่ง “ใกล้จะได้เลื่อนฐานะเป็น…”

“ชุ่ยหรง!”

เสียงตะคอกเบาๆ ดังขึ้น ชุ่ยหรงสงบปากสงบคำทันที เถาฮวาเองก็สะดุ้งตกใจ สายตาของอาเหม่าคมกริบ จ้องชุ่ยหรงพลางเอ่ยว่า “อย่าได้พูดเหลวไหล”

ชุ่ยหรงเพิ่งเคยเห็นนางมีท่าทีราวกับแกะที่กลายเป็นเสือเช่นนี้ครั้งแรก ดูน่าตกใจยิ่ง นางจึงเพียงยิ้มแก้เก้อแล้วเดินผละไป เหลือเพียงเถาฮวาที่อยากถามแต่ไม่กล้าพอยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยความกระสับกระส่ายคาใจ

อาเหม่าลอบผ่อนลมหายใจโล่งอก นางไม่อยากให้เรื่องที่นายท่านอยากยกนางให้เป็นอี๋เหนียงสี่แพร่งพรายออกไป ในเมื่อตนเองไม่ปรารถนาจะเข้าสกุลหาน ไยจึงต้องยั่วยุเขาด้วย

วันที่หนึ่งเดือนหก ฮูหยินผู้เฒ่าพาคนในเรือนไปกราบไหว้แท่นบูชาของตระกูลแต่เช้าตรู่ เพื่ออธิษฐานขอพรให้ตระกูลร่มเย็น ช่วงเช้าตรู่น้ำค้างยังไม่จางหาย เมื่อย่ำผ่านสวนดอกไม้ ชายกระโปรงที่สวมอยู่จึงชื้นเล็กน้อย หลังเสร็จจากการภาวนาครึ่งชั่วยามแล้วจึงออกมา แสงแดดก็สาดแสงแรง ส่องผ่านลงมาที่สวนดอกไม้ ชายกระโปรงของอาเหม่าจึงแห้งสนิท

เนื่องจากอาเหม่าเป็นบ่าวในเรือนของหานฮูหยิน จึงตามติดอยู่ด้านหลังของเหล่าเจ้านาย ส่วนเซี่ยฟั่งยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ห่างกันประมาณสองสามคน นางจึงไม่สามารถเข้าไปสนทนากับเขาได้ นางเพียงมองไปที่มือของเขาเป็นระยะ แล้วก็เป็นดังคาด ผ้าพันแผลนั้นเหมือนถูกเปลี่ยนผืนใหม่แล้ว เมื่อวานมือของเขาบาดเจ็บไม่น้อยจริงๆ

อาเหม่ารู้สึกผิด ขบคิดไปมาอยู่ครึ่งวัน อยากหาอะไรชดเชยให้อีกฝ่าย

เซี่ยฟั่งเองก็สัมผัสได้ว่ามีคนจับตาเขาอยู่ตลอด ทว่าเขามิได้หันหน้าไปมอง จนกระทั่งตอนที่ใกล้ออกจากสวนจึงเหลือบมองไปทางนั้น สายตาจึงสบประสานเข้ากับดวงตากลมโตสุกใสคู่หนึ่ง

ดวงตาคู่นั้นมิได้หลุบหลบ ทว่ากลับส่งยิ้มมาให้เขา เซี่ยฟั่งพลันนึกถึงเรือนร่างอรชรอ่อนนุ่มเมื่อคืนนี้แล้ว หัวใจก็เต้นโครมอย่างน่าประหลาด เขารีบหลบสายตานาง

อาเหม่ายังอยากส่งสัญญาณกับเขาว่าอีกเดี๋ยวให้เจอกัน ทว่าเขากลับหลบสายตานางเสียก่อน นางจึงต้องรอให้ทุกคนแยกย้ายกันไปก่อนแล้ว จากนั้นย้อนกลับไปหาเขาอีกครั้ง ในที่สุดก็เจอเขาระหว่างทางไปห้องเก็บของ สาวน้อยดีอกดีใจ “พ่อบ้านเซี่ย”

เซี่ยฟั่งชะงักฝีเท้า ก่อนจะหันร่างกลับไปมองนาง ใบหน้าปราศจากความเป็นมิตร “มีอะไร”

“ข้าอยากบอกเรื่องบางอย่างกับท่าน” อาเหม่ากล่าว “ม้านั่นถูกพิษถึงได้อาละวาด”

เซี่ยฟั่งคาดไม่ถึงว่านางจะพูดเรื่องนี้กับเขา บุรุษหนุ่มเงยหน้ามองซ้ายมองขวา ก่อนดึงนางไปที่มุมระเบียงทางเดิน “เจ้าว่าอะไรนะ”

อาเหม่าเล่า “เมื่อก่อนท่านย่าข้ามักเจ็บไข้ ข้าจึงตามหมอในหมู่บ้านไปเก็บยาสมุนไพรเป็นประจำตั้งแต่เด็ก จึงรู้จักยาหลายอย่าง หญ้าพิษและยาพิษข้าก็รู้จักอยู่บ้าง จึงรู้ว่าท่าทางยามอาละวาดของม้าไม่เหมือนเป็นบ้า แต่เหมือนกินหญ้าพิษที่ทำให้สัตว์คลุ้มคลั่งในเวลาสั้นๆ เพียงแต่หญ้าที่ม้าของสกุลหานเรากินล้วนมีคนบังคับรถม้าเตรียมด้วยตนเองตลอด หญ้าพิษนั้นมีต้นสูงและมีใบยาว สีสันก็เป็นสีม่วงแปลกๆ เพราะฉะนั้นข้าคิดว่าจะให้ม้ากินหญ้าชนิดนั้นเข้าไปอาจมิใช่เรื่องบังเอิญ”

เซี่ยฟั่งเดิมแค่คิดว่าอีกฝ่ายเพียงใจกล้า ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่านางจะเฉลียวฉลาดด้วย “ในเมื่อเจ้ารู้เรื่องเหล่านี้ เหตุใดจึงไม่บอกนายท่าน”

อาเหม่าส่ายหน้า “น้อยเรื่องดีกว่ามากเรื่อง ข้าไม่รู้ว่าคนคนนั้นเป็นใคร หากเปิดเผยตัวว่าข้ารู้สาเหตุ ใครจะรู้ว่าเขาจะปองร้ายข้าหรือไม่”

เซี่ยฟั่งนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ไม่สะดวกเอ่ยปากถามปุบปับ แต่ท้ายที่สุดก็ยังถาม “แล้วเพราะอะไร…เจ้าถึงบอกข้า”

“ท่านเป็นพ่อบ้านสกุลหาน เรื่องเช่นนี้ท่านต้องรายงานนายท่านอย่างแน่นอน ซึ่งเวลานี้นายท่านก็ให้ท่านไปสืบแล้วใช่หรือไม่ ฉะนั้นข้าจึงต้องการบอกสิ่งที่ข้ารู้กับท่าน ท่านจะได้ไม่เสียเวลา และถือว่าตอบแทนที่ท่านช่วยข้าเมื่อคืนนี้”

เซี่ยฟั่งผุดรอยยิ้มบาง “แล้วเหตุใดเจ้าจึงมั่นใจว่านายท่านให้ข้าสืบ โดยมิได้ร้องเรียนกับทางการ”

อาเหม่าส่ายหน้า “หากแจ้งทางการ เรื่องก็จะแพร่ไปทั้งตระกูลแน่นอน”

เซี่ยฟั่งก้มมองนาง รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายที่นางเป็นเพียงบ่าวคนหนึ่ง “ขอบคุณ”

“ท่านเกรงใจไปแล้ว” อาเหม่ากล่าวอีกว่า “คุณชายรองมิใช่คนดี เกรงว่าเขาจะต้องหาโอกาสหาเรื่องท่าน ท่าน…ระวังตัวด้วย”

เซี่ยฟั่งมิได้กล่าวขอบคุณนางอีก เพียงแค่ผงกศีรษะกับนางเล็กน้อยเป็นเชิงรับน้ำใจ

เขานำบัญชีรายชื่อไปตรวจนับสิ่งของในห้องเก็บของอยู่ครึ่งวัน ก่อนจะตามคนที่ดูแลห้องเก็บของอีกหลายคนมาสอบถาม จดสิ่งของในห้องเก็บของลงบัญชีทุกชิ้น ด้วยจำนวนของที่มีมากมายเกินไป อีกทั้งกำหนดเวลาภายในสามวันเช่นนี้ ก็ทำให้เขาต้องวุ่นวายจนถึงเที่ยงแล้ว แม้แต่มื้อเที่ยงก็ไม่คิดไปกิน ทว่าไม่นานก็มีบ่าวจากเรือนอี๋เหนียงใหญ่มาเรียกเขา

“พ่อบ้าน คุณชายรองให้ท่านตามเขาออกไปข้างนอก”

เซี่ยฟั่งรู้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาไม่หวังดีจึงเอ่ยถาม “คุณชายขออนุญาตกับนายท่านแล้วหรือไม่”

บ่าวรับใช้ตอบ “ขออนุญาตแล้ว นายท่านให้เวลาท่านตามคุณชายรองครึ่งวัน”

ถ้อยคำนี้ฟังแล้วไม่เหมือนเรื่องจริง แม้สกุลหานจะใช้งานบ่าวรับใช้หนักเป็นสองเท่า ทว่าล้วนแยกงานกันอย่างชัดเจน จึงไม่มีทางให้พ่อบ้านอย่างเขาไปติดตามคุณชายรองของอี๋เหนียงใหญ่เป็นอันขาด

เซี่ยฟั่งรู้ว่าเป็นหลุมพราง แต่ก็ยังเก็บบัญชี แล้วตามบ่าวคนนั้นไป

มีรถม้าคันหนึ่งจอดเทียบหน้าประตูคฤหาสน์สกุลหาน เซี่ยฟั่งเพิ่งถึง บ่าวรับใช้ก็เคาะประตูรถแล้ว “คุณชายรอง พ่อบ้านมาแล้วขอรับ”

ประตูรถมิได้ถูกเปิดออก เสียงจากด้านในลากยาวผ่อนคลายอารมณ์ดังขึ้น “เช่นนั้นก็ตามมาเสียสิ วันนี้ที่ที่ข้าจะไปค่อนข้างไกล อย่าได้พลัดหลงเสียล่ะ มิเช่นนั้นข้าคงต้องบอกท่านพ่อว่าพ่อบ้านอย่างเจ้าทำหน้าที่ได้ไม่ดี จ้างไว้มิได้”

กล่าวจบคนบังคับรถม้าก็สะบัดแส้เคลื่อนตัว บ่าวรับใช้คนอื่นล้วนยืนมองเฉยๆ มีเพียงเซี่ยฟั่งที่ตามไป

เซี่ยฟั่งมั่นใจว่าหานกวงกำลังเล่นงานตนเองทางอ้อม

อาเหม่ากับเหล่าสาวใช้ที่สนิทกันหลังจากกินมื้อเที่ยงอย่างเรียบง่ายเสร็จแล้วก็นำตะกร้าใส่หมั่นโถวไปแจกขอทานที่อารามเฉิงหวงตามคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อเป็นการทำทาน พวกนางเพิ่งจะก้าวออกจากประตูใหญ่ก็ทันเห็นรถม้าคันหนึ่งวิ่งออกไปจนฝุ่นตลบ และคนที่ตามอยู่ด้านหลังก็คือเซี่ยฟั่ง

ทันใดนั้นหัวใจของนางคล้ายถูกค้อนหนักกระแทกเข้าอย่างแรง ก่อนดำดิ่งสู่เหวลึก นางจำรถม้าคันนั้นได้ นั่นเป็นของคุณชายรอง อากาศร้อนเพียงนี้ ให้เซี่ยฟั่งวิ่งตามอยู่ด้านหลังเช่นนี้ มิเท่ากับว่าต้องการให้เขาร้อนตายหรอกหรือ!

“อาเหม่า เจ้าเป็นอะไร ” เถาฮวาเข้ามาดึงแขนเสื้อนาง “รีบเดินเร็ว เหม่ออะไรของเจ้า”

อาเหม่ารู้ตัวว่าใจนางแท้จริงก็อยากช่วยเขาทว่าไร้กำลัง นางแทบจะหันกลับไปมองทุกสามก้าว ครู่เดียวรถม้าก็หายลับตาไป เงาร่างวิ่งทะยานของเซี่ยฟั่งก็พลันหายไปด้วย

“แล้วจะ…ทำอย่างไรดี…” อาเหม่าพึมพำด้วยความอ่อนใจเสียงหนึ่ง นางจนปัญญาอย่างสิ้นเชิง

อาทิตย์ร้อนแรงดุจไฟ แผดเผาลามเลียผืนดิน

เซี่ยฟั่งวิ่งตามรถม้าอยู่พักใหญ่ ครึ่งชั่วยามผ่านไป หนึ่งชั่วยามผ่านไป รถม้าเริ่มวิ่งเร็วขึ้น ภายหลังเหมือนกลัวเขาตามไม่ทัน จึงจงใจผ่อนความเร็วรถม้าให้ช้าลง รอเขาใกล้เข้ามาจนเกือบจะถึงด้านหน้าแล้ว คนบังคับรถม้าก็สะบัดแส้เร่ง ให้เขาวิ่งไล่ตามอยู่ด้านหลังอีกครั้ง

หานกวงที่อยู่ในรถม้าคอยมองด้านหลังอยู่เป็นระยะ เห็นท่าทางสะบักสะบอมเช่นนั้นของเซี่ยฟั่งแล้วก็ขำจนท้องคัดท้องแข็ง

หลังจากหัวเราะอยู่นาน ก็พบว่าเซี่ยฟั่งยังคงตามติดรถม้า จู่ๆ เขากลับรู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างน่ารำคาญ ตามอยู่นานขนาดนี้ก็น่าจะรู้แล้วว่าตนกำลังกลั่นแกล้งอยู่ เหตุใดจึงไม่รู้จักหยุดเสียหน่อยเล่า

หานกวงหมดอารมณ์เล่นงานอีกฝ่าย พลางกล่าวกับคนบังคับรถม้า “ไปหอชิงหง”

“แล้วพ่อบ้าน…”

“บังคับรถให้เร็วกว่านี้ เขาตามไม่ทัน เดี๋ยวก็กลับไปเอง” หานกวงคิดอย่างสบายอารมณ์ ต่อไปทุกครั้งที่ถึงเวลาเที่ยงก็เรียกเซี่ยฟั่งออกมา แล้วให้เขาวิ่งตามรถม้าหนึ่งชั่วยามไปเช่นนี้

อากาศร้อนถึงเพียงนี้ ช้าเร็วเขาก็ต้องไข้ขึ้นแน่ ควรให้เขาลำบากเสียบ้าง จะได้สำนึกว่าใครเป็นเจ้านาย

ภายภาคหน้าคนที่จะสืบทอดกิจการคือเขา มิใช่พี่ชายที่เป็นคนปัญญาอ่อน เซี่ยฟั่งคนนั้นจะกล้าล่วงเกินเขาได้เช่นไร

หานกวงคิดแล้วก็ผุดรอยยิ้มเย็นเยือก

หอชิงหงเป็นหอนางโลมที่มีชื่อที่สุดในเหิงโจว หานกวงมักมาที่นี่เป็นประจำ นางโลมของที่นี่ทั้งเลอโฉมและค่าตัวแพง สุราอาหารก็ราคาแพงกว่าข้างนอกมากนัก ผู้ที่มาหาความสำราญที่นี่ได้ล้วนเป็นคุณชายสกุลมั่งมีแทบทั้งสิ้น

แม้บิดาของหานกวงจะเป็นคหบดีแห่งเหิงโจว ทว่าสกุลหานมีกฎระเบียบเข้มงวด ไม่มีทางมอบเงินมากมายให้หานกวงมาเที่ยวสำมะเลเทเมาเช่นนี้แน่

ทว่าหานกวงกลับมีเงินมาดื่มสุราเคล้านารีที่นี่

เงินนั้นเขาคิดหนทางจนหามาได้ ทว่ามื้อค่ำกลับช้ามิได้ อย่างไรก็ต้องกลับไปกิน หานกวงหลงระเริงอยู่ในมวลบุปผานี้ครึ่งวัน ใกล้จะถึงยามพลบค่ำแล้วจึงยอมกลับในที่สุด แม้เขาจะอาลัยอาวรณ์ ทว่าจนใจที่บิดาเสมือนพยัคฆ์ เข้มงวดกับเขาทุกอย่าง เพราะฉะนั้นเขาจึงมีชีวิตที่ไม่มีอิสระจนถึงตอนนี้

เสียงเจื้อยแจ้วออดอ้อนที่รายล้อมเขาหวานล้ำยิ่งกว่าสุราที่หานกวงดื่ม ล้ำเลิศจนเขาแทบไม่อยากกลับ

บรรดาหญิงงามต่างมาส่งเขาถึงด้านนอก ยิ่งทำให้เขาอยากย้อนกลับไปดื่มอีกสักกา ไม่อยากกลับคฤหาสน์สักนิด

“คุณชายรอง ยามโหย่ว* แล้ว ควรกลับเรือนได้แล้วขอรับ”

แม้น้ำเสียงจะไม่คุ้นเคยทว่าทุ้มต่ำน่าฟัง เสียงดังนั้นฟังชัดท่ามกลางน้ำเสียงหวานเยิ้มหยดย้อย หานกวงชะงักก่อนมองไปยังต้นเสียง แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบเซี่ยฟั่ง

เขาตามมาแล้ว หนำซ้ำดูจากท่าทีแล้ว นี่ยืนรออยู่ด้านนอกตลอดเลยหรือ

ความรู้สึกส่วนลึกของหานกวงพลันซับซ้อนขึ้นมาทันที เขาพูดไม่ออก เพียงเพราะเซี่ยฟั่งทำเช่นนี้ กลับทำให้เขากลายเป็นคนพาลเจ้าเล่ห์ เป็นคุณชายไร้เหตุผลทันทีเมื่อเทียบกับอีกฝ่าย!

น้อยนักที่เหล่าหญิงงามจะได้พบบุรุษหนุ่มรูปงามเช่นนี้ ฉะนั้นด้วยสัญชาตญาณของหญิงนางโลมและสัญชาตญาณของอิสตรี พวกนางจึงเดินหน้าเข้าประชิดตัวเพื่อหวังดึงเซี่ยฟั่งเข้าไป

“คุณชายเข้าไปดื่มสักจอกเถิด”

“คุณชายเพิ่งมาครั้งแรกหรือ ให้ผู้น้อยปรนนิบัติท่านดีหรือไม่”

“คุณชายชอบดื่มสุราอะไร ชอบหญิงสาวประเภทใด ที่นี่ล้วนมีทั้งนั้น”

หานกวงเห็นตนถูกพวกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวแล้วพร้อมใจกันเข้ารายล้อมฉอเลาะเซี่ยฟั่งเช่นนั้น โทสะของเขาก็พลันเดือดพล่าน บัญชีใหม่รวมเข้ากับบัญชีเก่า กอปรกับฤทธิ์สุรากำเริบ เขาจึงตะคอกกราดเกรี้ยว “ไสหัวไป พวกหญิงชั้นต่ำ!”

เหล่าหญิงสาวนิ่งอึ้ง เซี่ยฟั่งเองก็เหลือบตาขึ้นมอง แล้วก็เห็นขวดสุราใบหนึ่งถูกโยนมาทางเขา ก่อนจะกระแทกเข้าที่หน้าผากอย่างแรง กรีดให้เกิดรอยแผลหลายรอย

 

 

* อี๋เหนียง เป็นคำเรียกขานอนุภรรยา

* ยามโหย่ว คือช่วงเวลา 17.00 น. ถึง 19.00 น.

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

Editor Jamsai: