X
    Categories: everYทดลองอ่านรัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่

ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 6 บทที่ 3 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 3

 

แต่เดิมถังฟั่นตั้งใจว่าเมื่อจบงานในซูโจวจะกลับไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่บ้านเดิม แต่บัดนี้ได้รับภารกิจใหม่ อยู่ดีๆ การสอบย่วนซื่อของเมืองจี๋อันก็เกิดมีคดีคนตายขึ้นมา ความตั้งใจเดิมของเขาจึงมีอันต้องพับไป หลังมอบหมายงานที่เหลือให้วังจื๋อรับช่วงต่อ เขายังต้องรีบบึ่งไปยังเมืองจี๋อัน มณฑลเจียงซีอีก

ก่อนเดินทางเขากล่าวเสียงทอดถอนใจกับวังจื๋อ “คิดถึงตอนที่เพิ่งรู้จักท่าน ข้าเพิ่งเข้าพิธีสวมหมวก* ไม่นาน พริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายปี เสียดายที่เราสองพบกันไม่นานต้องจากกันอีกแล้ว หลังแยกกันวันนี้ เกรงว่าคงต้องรอข้ากลับเมืองหลวงถึงได้พบหน้า ท่านโปรดถนอมตัว”

วังกงกงกลับตอบว่า “เจ้าไปหัดสำนวนคร่ำครึเช่นนี้มาจากที่ใด ข้ายังนึกว่าเจ้าจะต่างจากคนทั่วไป ตอนนี้ดูแล้วกลับเฉิ่มเชยสิ้นดี! อย่าลืมว่าตอนนี้เจ้ายังไม่ถึงสามสิบก็ได้รับตำแหน่งรองเสนาบดีขั้นสามเต็มขั้นแล้ว แม้จะเป็นตำแหน่งลอย แต่ถือว่าประสบความสำเร็จเร็วกว่าคนอื่นมากนัก สิ่งที่เจ้าต้องทำในตอนนี้ก็คือเร่งสร้างผลงานจากคดีในเจียงซี เช่นนี้แล้วข้ากับไหวเอินถึงจะพูดชมเชยเจ้าต่อเบื้องพระพักตร์ได้สะดวกปาก ให้เจ้าได้เป็นรองเสนาบดีกรมอาญาอย่างแท้จริง ได้ยินว่าปีหน้าสภาขุนนางจะเสนอชื่อคนใหม่เข้าสภา ถึงเวลานั้นต่อให้เจ้ามีคุณสมบัติเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ในสภาก็ยังดี ที่แห่งนั้นจัดลำดับอาวุโสตามเวลาที่เข้าไป เจ้าเข้าไปได้เร็วเท่าไรก็ได้เปรียบเท่านั้น”

วังจื๋อมีนิสัยเช่นนี้มาตลอด ภายนอกเห่อเหิมลำพองตน บนตัวเขาคล้ายไม่มีวันพบเห็นความห่อเหี่ยวท้อแท้ตลอดกาล มาตรแม้นประสบอุปสรรคเป็นครั้งคราวก็ไม่เคยเห็นเขาระย่อท้อถอย บุคคลเช่นนี้แม้ดูหยิ่งยโสในสายตาผู้อื่น แต่ขณะเดียวกันก็แพร่ระบาดความฮึกเหิมไม่หยุดยั้งสู่ผู้คน

ความอาวรณ์ที่ต้องจากลาของถังฟั่นถูกเขาทำลายสิ้น ได้แต่กระตุกมุมปาก รับคำติดๆ กัน

มิคาด วังจื๋อกลับเปลี่ยนเรื่อง แสยะยิ้มพลางกล่าว “อันที่จริงได้ไปเจียงซี ไม่ใช่ที่อื่น เจ้าควรดีใจถึงจะถูก”

“เพราะอะไร” ถังฟั่นงุนงง

“เพราะสุยก่วงชวนก็อยู่ที่นั่นมิใช่รึ เจ้าสองคนไม่เจอหน้าหนึ่งวันราวกับจากกันสามปี ครานี้จะได้หวานชื่นเหมือนคืนวิวาห์เสียที”

“…”

ที่ว่า ‘กุมมือล่ำลา สบตาอาลัย’ มีอยู่แค่ในตำนานและจินตนาการเท่านั้น ยามอยู่ต่อหน้าวังจื๋อ เหล่านี้ล้วนสามารถละไปได้

เห็นอีกฝ่ายสะอึกจนพูดไม่ออก วังจื๋อก็หัวเราะฮาๆ ด้วยความสะใจ “แต่ว่าสุยก่วงชวนมีงานรัดตัว เกรงว่าไม่มีเวลาสนใจเจ้า และอาจไม่ได้อยู่ที่จี๋อันด้วย ข้างกายเจ้าไม่มีคนคุ้มกันคงไม่ดี ขุนนางผู้แทนราชสำนักเดินทางตามลำพังออกจะอนาถาเกินไป ที่ข้ามีอยู่สี่คน พอดีให้เจ้ายืมใช้ก่อน รับรองได้ว่าซื่อสัตย์ภักดี เมื่อเข้าเขตเมืองจี๋อันจะมีคนมารอรับเจ้าที่นั่น คราวนี้ไม่ต้องกังวล พวกสุนัขรับใช้ของสำนักบูรพาจะไม่มากวนใจเจ้าแน่นอน”

สี่คนนั้นเป็นอดีตผู้ใต้บัญชาจากสำนักประจิมของวังจื๋อ บุคลิกห้าวหาญ ถังฟั่นกับพวกเขาเคยเจอหน้าหลายครั้ง ยามนี้จึงทักทายคำหนึ่ง ทั้งสี่แนะนำตนเองพลางคำนับถังฟั่นทีละคน เท่านี้ก็เป็นอันรู้จักกันแล้ว

ถังฟั่นโดนเขาขัดจังหวะจึงไม่มีแก่ใจรำพึงรำพันอีก เพียงประสานมือล่ำลาแล้วนำสี่คนนั้นควบม้ามุ่งหน้าสู่เมืองจี๋อัน

 

ระยะทางจากซูโจวถึงจี๋อันไม่นับว่าไกล ไม่จำเป็นต้องเร่งร้อน ประมาณเก้าหรือสิบวันก็สามารถลุถึง ทั้งห้าคนออกเดินทางจากซูโจว ตลอดทางไร้วาจาพร่ำเพรื่อ กระทั่งเข้าสู่เขตเมืองเจี้ยนชัง มาถึงบ้านพักรับรองประจำท้องที่จึงได้พบคนคุ้นเคยอย่างไม่คาดฝัน

“พี่ถัง!” พอเห็นพวกถังฟั่นมาถึง คนที่รออยู่ด้านนอกบ้านพักรับรองอยู่นานแล้วก็ร้องเรียกอย่างดีใจ

เมื่อถังฟั่นแน่ใจว่าตนเองมองไม่ผิดก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย “อี้ชิง?”

“อี้ชิงคารวะพี่ถัง!” ลู่หลิงซีตัวสูงกว่าเขา กระโจนทีเดียวถึงเบื้องหน้า ประสานมือคำนับถังฟั่น “อี้ชิงไม่ทำให้ผิดหวัง นำของส่งถึงเมืองหลวงโดยราบรื่น มอบให้วังกงกงเป็นธุระจัดการ คิดว่าพี่ถังคงคลี่คลายเรื่องราวในซูโจวเรียบร้อยแล้วกระมัง”

“ไม่ต้องมากพิธี ที่แท้คนรู้จักที่วังจื๋อพูดถึงก็คือเจ้า” ถังฟั่นหัวเราะฮาๆ ประคองอีกฝ่ายด้วยสองมือ ในใจเปี่ยมล้นด้วยความยินดีที่ได้เจอสหายเก่าในต่างแดน

ลู่หลิงซีทำงานคล่องแคล่ว ไหวพริบเฉียบคม ฝีมือแก่กล้า แม้ทั้งสองคลุกคลีไม่นาน แต่ในใจถังฟั่นกลับชื่นชอบหนุ่มน้อยคนนี้ยิ่งนัก ถึงขนาดยึดถืออีกฝ่ายเป็นน้องชาย ก่อนหน้านี้ลู่หลิงซีติดตามข้างกาย ถังฟั่นยังชี้แนะเขาทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ความเอื้ออาทรนี้ลู่หลิงซีย่อมสัมผัสได้เช่นกัน

“เป็นข้าเอง! พี่ถังไม่อยากเจอข้าหรือ” ลู่หลิงซีอมยิ้ม เรียวคิ้วและดวงตาโค้งๆ ชวนให้เอ็นดู

“อย่าทำเป็นได้คืบจะเอาศอก” ถังฟั่นตบศีรษะเขาหนึ่งที ท่าทีสนิทสนมยิ่ง

ลู่หลิงซีกุมศีรษะ เผยแววน้อยใจ ทว่าบนหน้ากลับพกพารอยยิ้มพริ้มพราย

ถังฟั่นเข้าด้านในพร้อมเขา ทางสีหมิงและพวกได้ล่วงหน้าเข้าไปจัดการเรื่องที่พักก่อนแล้ว

สี่คนที่วังจื๋อจัดให้ถังฟั่นนี้เก่งกล้าสามารถอย่างแท้จริง ช่วยแบ่งเบาภาระได้ไม่น้อย ตลอดทางมีหลายเรื่องที่ถังฟั่นเองยังคิดไม่ถึง พวกเขากลับคาดหมายได้ก่อนก้าวหนึ่ง ทั้งยังจัดการอย่างเรียบร้อย มีสี่คนนี้คอยช่วย การเดินทางครั้งนี้เขาจึงแทบไม่ต้องเปลืองสมองขบคิดอันใด

สีหมิงและพวกเป็นสามัญชนคนหยาบ ต่อมาถูกวังจื๋อต้องตาจึงรับเข้าสำนักประจิม หลังจากนั้นก็ติดตามข้างกายเขาด้วยความซื่อสัตย์มาตลอด

ก่อนนี้ตอนที่วังจื๋ออยู่ต้าถงมิได้พาพวกเขาไปก็เป็นเพราะอยากให้พวกเขารักษาการณ์ที่สำนักประจิม คิดไม่ถึงวันหนึ่งเกิดคลื่นลมปรวนแปร สำนักประจิมถูกปิด สี่คนนี้จึงกลายเป็นสุนัขไร้บ้าน ต่อมาวังจื๋อกลับเข้าวังหลวง พวกเขาทั้งสี่จึงได้รับการบรรจุเข้ากองทหารราชองครักษ์ เป็นหัวหน้าองครักษ์พิทักษ์เมือง

ครั้งนี้ถังฟั่นมาถึงเจียงซีเพื่อสืบคดีเคอจวี่ในฐานะขุนนางผู้แทนราชสำนัก ในเมื่อไม่มีองครักษ์เสื้อแพรติดตาม ย่อมมิอาจรุดไปตามลำพังให้เป็นที่หัวเราะเยาะของผู้คน ดังนั้นตามระเบียบแล้วราชสำนักต้องจัดส่งผู้คุ้มกัน หนึ่งเพื่ออารักขาขุนนางผู้แทนราชสำนัก สองเพื่อเสริมสร้างสง่าราศีที่พึงมีของขุนนางผู้นั้น เลี่ยงมิให้ราชสำนักเสียหน้า

เพราะตระหนักในความสามารถของพวกสีหมิง วังจื๋อจึงให้พวกเขาติดตามถังฟั่นมาด้วย

ยอดฝีมือย่อมมีความหยิ่งทะนงของยอดฝีมือ แม้พวกสีหมิงไม่ปริปากและปฏิบัติตามคำสั่งของถังฟั่นด้วยดี แต่ถังฟั่นยังคงรู้สึกได้ว่าในใจพวกเขามิได้ยอมรับนับถือตนสักเท่าไร ทว่าถังฟั่นหาใส่ใจไม่ ทุกผู้คนล้วนมีความคิดของตนเอง จะแข็งขืนให้อีกฝ่ายน้อมฟังคำสั่งท่านจากก้นบึ้งหัวใจนั่นคงเป็นไปไม่ได้ พูดอย่างจาบจ้วง แม้แต่องค์จักรพรรดิเองก็เกรงว่ายังทำไม่ได้เช่นกัน ยุคนี้มีคนแอบวิจารณ์โอรสสวรรค์ในใจออกถมไป ดังนั้นขอเพียงพวกสีหมิงรับฟังคำสั่ง ไม่กระทำสิ่งใดโดยพลการ ถังฟั่นก็พอใจมากแล้ว

แต่ที่ถังฟั่นไม่ทราบคือเหตุที่วังจื๋อให้พวกสีหมิงติดตามคุ้มกันเขา ความจริงยังมีอีกจุดประสงค์หนึ่ง

ลู่หลิงซีเอ่ยขึ้น “วังกงกงบอกว่าช่วงนี้พบเห็นร่องรอยของลัทธิบัวขาวในเจียงซีบ่อยครั้ง องครักษ์เสื้อแพรได้รุดไปสืบค้นแล้ว แต่วังกงกงบอกว่าพี่ถังทำลายแผนการของลัทธิบัวขาวหลายครั้ง ถึงขนาดถล่มฐานที่มั่นของพวกมันในเผ่าต๋าต๋า หลายปีมานี้ขุมกำลังของลัทธิบัวขาวล้วนถูกกวาดล้างระเนระนาด ซึ่งในการนั้นเป็นความดีความชอบของท่านไม่น้อย ลัทธิบัวขาวต้องเกลียดท่านเข้ากระดูกเพราะเหตุนี้ ดังนั้นมีพวกสีหมิงอยู่อย่างน้อยสามารถคุ้มกันความปลอดภัยให้ท่านได้ ข้าฟังจบจึงขันอาสามา เพิ่มอีกคนหนึ่งเท่ากับมีหลักประกันมากขึ้น”

“ลัทธิบัวขาว?” ถังฟั่นประหลาดใจ

อันที่จริงตั้งแต่กลับจากต้าถงเขาไม่ได้ยินชื่อนี้มานานแล้ว แต่ทุกสิ่งคล้ายอยู่ในความคาดหมาย

เพราะตอนอยู่เวยหนิงไห่จื่อ หลี่จื่อหลงโชคดีหนีรอดไปได้ จากนั้นไม่เห็นแม้เงา แต่ดูจากพฤติกรรมที่ผ่านมา คนผู้นี้มักใหญ่ใฝ่สูง ไม่มีทางยอมแพ้แน่นอน ตรงข้ามกลับยังเฝ้ารอโอกาส หาทางกลับมาตะวันทอแสงอีกครั้ง และด้วย ‘คุณงามความดี’ ที่ถังฟั่นมีต่อลัทธิบัวขาว คะเนว่าคงถูกจัดอยู่ในบัญชีรายชื่อคู่แค้นของหลี่จื่อหลงอย่างไม่ต้องสงสัย

ลู่หลิงซีกล่าว “มิผิด ดังนั้นระวังไว้ก่อนเป็นดี ตั้งแต่วันนี้ข้าจะติดตามพี่ถังไม่ห่างแม้สักก้าว”

ถังฟั่นหลุดขำ “ไม่จำเป็นต้องวิตกปานนั้น ดวงชะตาฟ้าลิขิต ที่ควรมาย่อมหลบไม่พ้น ทุกวันนี้แม้ไม่อาจกล่าวว่าทุกคนล้วนกินอิ่มนอนอุ่น แต่โดยรวมแล้วถือว่าใต้หล้าร่มเย็น ไม่มีไฟสงครามปะทุทั่วสารทิศเหมือนกับช่วงปลายราชวงศ์หยวนนานแล้ว ชาวบ้านทั่วไปไม่มีใครอยากเข้าร่วมกับลัทธิบัวขาวหรอก ดังนั้นลัทธิบัวขาวจึงปราศจากผืนดินให้งอกงาม สาวกลัทธิยิ่งมายิ่งลดน้อย ตอนนี้พวกมันเหลือเพียงสาขาไม่กี่แห่ง ขอเพียงกำจัดพวกระดับสูงหลายคนในลัทธิบัวขาวให้สิ้นซาก ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่มีอันใดน่ากลัวแล้ว”

แม้กล่าวกับลู่หลิงซีเช่นนั้น แต่ถังฟั่นประหวัดถึงลัทธิบัวขาวที่ไม่เล่นตามกฎ กลอุบายผุดขึ้นไม่ขาด ในใจยังคงอดระแวงภัยขึ้นมามิได้

จริงอยู่ว่าอำนาจโดยรวมของลัทธิบัวขาวนับวันยิ่งถดถอย แต่ก็เพราะหนทางตีบตัน การตอบโต้ของพวกมันจึงยิ่งกำเริบเสิบสาน เขายังจำได้ตอนนั้นสาวกลัทธิเรียกหลี่จื่อหลงว่าประมุขรอง เช่นนี้ก็หมายความว่าเหนือหลี่จื่อหลงขึ้นไปอาจยังมีประมุขใหญ่อีกคนหนึ่ง หากไม่อาจขุดคุ้ยคนเหล่านี้ออกมาย่อมกลายเป็นภัยแฝงอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่แน่ว่าเมื่อใดจะโผล่ออกมาอีก

ลู่หลิงซีมิได้สังเกตเห็นรอยวิตกภายใต้เสียงหัวเราะอย่างปลอดโปร่งของถังฟั่น เพราะไม่เคยสู้รบตบมือกับลัทธิบัวขาวมาก่อนจึงไม่ทราบว่าลัทธินอกรีตนี้ตายยากตายเย็นปานใด ความฮึกเหิมของวัยหนุ่มบวกกับพลังยุทธ์แก่กล้าทำให้เขามีบุคลิกอันทระนงองอาจไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดินอยู่เสมอ

“พี่ถัง ความจริงก่อนรุดมาสมทบกับท่าน ข้าไปเตร่ในเมืองจี๋อันมาแล้วรอบหนึ่ง”

ถังฟั่นเลิกคิ้ว “ก็แปลว่าเจ้าสืบได้อะไรมาบ้างแล้ว?”

ลู่หลิงซีหัวเราะคิก ในสำเนียงยังเจือแววประจบที่อยากให้อีกฝ่ายประจักษ์ในความสามารถของตนเอง “แม้จะเป็นแค่ข่าวลือตามรายทาง แต่ก็ฟังมาได้ไม่น้อย พี่ถังอยากฟังหรือไม่”

ถึงแม้เอ่ยถามเช่นนั้น แต่คำว่า ‘รีบถามข้าเร็วเข้า’ กลับเขียนชัดอยู่บนหน้า ท่าทางจดจ่อรอคอย คล้ายลูกสุนัขแกว่งหางไปมา

ถังฟั่นสะกดความต้องการที่จะยื่นมือไปลูบศีรษะเขา เพียงยิ้มกล่าว “หากเจ้าไม่พูด ข้าจะไปนอนแล้ว”

จากนั้นเห็นอีกฝ่ายหน้าม่อยคอตก ท่าทางห่อเหี่ยวซึมเซา เขาอดหัวเราะมิได้ “เอาเถอะ เจ้าเล่ามา ข้ารอฟังอยู่”

 

*  พิธีสวมหมวก เป็นพิธีที่จัดให้ชายจีนที่อายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ในสมัยโบราณ แสดงถึงการบรรลุนิติภาวะเป็นผู้ใหญ่

ลู่หลิงซีย่อมไม่มีนิสัยขี้งอนเยี่ยงเด็กสาว พอได้ยินเช่นนั้นก็หน้าบานยิ้มแฉ่ง “ว่ากันว่าหัวหน้ากองการศึกษาเสิ่นที่พัวพันกับคดีนี้ความสัมพันธ์กับผู้คนย่ำแย่มาก สมัยที่เขายังอยู่หนานชัง ความสัมพันธ์กับสหายร่วมงานก็แสนธรรมดา เวลานี้มาคุมสอบในเมืองจี๋อัน แค่เวลาสั้นๆ ก็สร้างความไม่พอใจให้กับเบื้องบนเบื้องล่างของจี๋อันไปทั่ว เคล็ดวิชาล่วงเกินผู้อื่นช่างเหลือร้าย”

ถังฟั่นผงกศีรษะ “อุปนิสัยของหัวหน้ากองการศึกษาเสิ่นคนนี้แย่มากจริงๆ คำเล่าลือนี้นับว่าไม่เท็จ”

ลู่หลิงซีแปลกใจ “ที่แท้พี่ถังก็เคยได้ฟังเรื่องของเขามาแล้ว?”

หน้าที่ความรับผิดชอบของหัวหน้ากองการศึกษาประจำมณฑลคือกำกับดูแลเกี่ยวกับการเรียนและการสอบเคอจวี่ของทั้งมณฑล

คนที่สามารถกำกับดูแลบัณฑิตทั้งมณฑลย่อมต้องเป็นขุนนางที่รอบรู้ลึกซึ้ง ดังนั้นบัณฑิตจิ้นซื่อทั่วไปไม่อาจเป็นได้ ต้องเป็นขุนนางที่มาจากสำนักราชบัณฑิตและมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เฉกเช่นถังฟั่น อนาคตก็สามารถเลือกเดินเส้นทางนี้ได้เช่นกัน จากนั้นค่อยเข้ากรมพิธีการ

เสิ่นคุนซิวเป็นชาวเมืองซีอัน สอบติดจิ้นซื่อในรัชศกจิ่งไท่ปีที่ห้า เขาสามารถดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองการศึกษามณฑลเจียงซีได้ วิชาความรู้ย่อมไม่อ่อนด้อย วงการปัญญาชนนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ ว่าเล็กก็ไม่เล็ก ตั้งแต่เจียงหนานถึงเจียงเป่ย หากพอมีชื่อเสียงอยู่บ้างโดยพื้นฐานแล้วทุกคนล้วนรู้จัก ทว่าเหตุที่เสิ่นคุนซิวโด่งดังกลับมิใช่เป็นเพราะวิชาความรู้ แต่เป็นเพราะอุปนิสัยของเขา

ในอดีตก็เคยเกิดเรื่องขึ้น ว่ากันว่าเสิ่นคุนซิวเมื่อแรกเข้าสำนักราชบัณฑิต มีอยู่วันหนึ่งทุกคนตั้งวงกันเขียนบทกวี เสิ่นคุนซิวไม่ชอบหน้าหลิ่วเผิงเฉิงบัณฑิตของสำนักราชบัณฑิตที่พึ่งพาอาศัยราชเลขาธิการสวีโหย่วเจิน จึงเขียนกลอนเสียดสีหลิ่วเผิงเฉิงในที่นั้น ทำเอาอีกฝ่ายโมโหจนสะบัดแขนเสื้อจากไป

ต่อมาเพราะสวีโหย่วเจินไม่ลงรอยกับพวกสือเฮิง โดนพวกเขาเตะออกจากเมืองหลวงไปเป็นขุนนางที่ก่วงตง การที่เสิ่นคุนซิวเขียนกลอนเสียดสีคนซึ่งพึ่งพาอาศัยสวีโหย่วเจินกลับทำให้เขาได้มาซึ่งนามอันสวยหรูว่าผู้ทรงคุณธรรม

หากเพียงเท่านี้ก็แล้วไปเถอะ แต่ข้อเท็จจริงพิสูจน์ว่าคนที่ได้รับการยกย่องเป็นผู้ทรงคุณธรรมมักจะมีอุปนิสัยที่คนทั่วไปยากจะเข้าถึง หลังครบวาระในสำนักราชบัณฑิต เสิ่นคุนซิวไปต่อที่สำนักการศึกษา กรมพิธีการ ทว่าทุกหน่วยงานที่เหยียบย่างล้วนไม่ลงรอยกับสหายร่วมงานทั้งสิ้น กว่าจะออกมาได้ก็เหยียบตาปลาผู้คนในหน่วยงานนั้นๆ จนถ้วนทั่ว นานวันเข้าทุกคนจึงมอบฉายานามให้กับเสิ่นคุนซิวว่าเสิ่นก้อนหิน ความหมายคือนิสัยเขาทั้งเหม็นทั้งแข็งยิ่งกว่าก้อนหินในหลุมส้วมเสียอีก

สิ่งที่ถังฟั่นกลัวที่สุดก็คือการพบปะกับบุคคลเยี่ยงนี้ ถ้าเจอกับคนเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกอย่างเฉินหลวนยังพอจะสู้กันด้วยปัญญาและความกล้า แต่คนอย่างเสิ่นคุนซิวที่ปกติไม่คุยด้วยเหตุผลเพราะคิดว่าเหตุผลทั้งหมดบนโลกนี้ล้วนเป็นของเขา ดังนั้นไม่กินอ่อนไม่กินแข็ง ดื้อรั้นดึงดันเป็นที่สุด

ถังฟั่นถาม “เจ้าได้สอบถามอะไรเกี่ยวกับคดีนี้บ้างหรือไม่”

ลู่หลิงซีตอบ “ชื่อเสียงของหัวหน้ากองการศึกษาเสิ่นในเจียงซีนับว่าไม่เลว ฟังว่ายังตั้งใจทำงานมากด้วย ในวงปัญญาชนให้คะแนนเขาค่อนข้างสูง พอเกิดคดีนี้ขึ้นมาจึงมีคนบอกว่าเขามีแค้นส่วนตัวกับผู้ตาย ยืมโอกาสแก้แค้น บางคนก็ว่าเขาวินิจฉัยคดีสะเพร่า แต่ก็มีบัณฑิตบางส่วนแก้ต่างแทนเขา บอกว่าเสิ่นคุนซิวไม่ใช่คนประเภทนั้น”

ถังฟั่นจับประเด็นหนึ่งออกมา “เขากับผู้ตายมีแค้นส่วนตัว นี่หมายความว่ากระไร”

“จริงด้วย เรื่องนี้ข้ากลับลืมเล่า ฟังว่าบัณฑิตที่แขวนคอตายคนนั้น บิดาเขาก็คือหลินเฝิงหยวน รองผู้พิพากษาเมืองจี๋อัน”

ถังฟั่นขมวดคิ้ว “เป็นลูกหลานขุนนางอีกด้วย?”

ซับซ้อนจริงๆ

“ใช่ ความแค้นระหว่างสองตระกูลนี้ต้องเริ่มเล่าตั้งแต่รุ่นก่อน ได้ยินว่าปีนั้นเสิ่นคุนซิวได้ที่หนึ่งในการสอบเซี่ยนซื่อ เดิมทีมีความหวังที่จะได้เสี่ยวซันหยวน* แต่คาดไม่ถึงว่าตอนเข้าสอบระดับย่วนซื่อบังเอิญถูกบิดาของหลินเฝิงหยวนที่เป็นหัวหน้ากองการศึกษาคัดข้อสอบของเขาออกไป นั่นทำให้เสิ่นคุนซิวต้องสอบใหม่อีกครั้ง ทั้งยังชวดที่จะได้เสี่ยวซันหยวนอีกด้วย สุดท้ายโชคชะตาหมุนวน คราวนี้กลายเป็นบุตรชายของหลินเฝิงหยวนมาเข้าสอบในสนามของเสิ่นคุนซิวบ้าง เมื่อเสิ่นคุนซิวรู้ว่าหลินเจินคือบุตรของหลินเฝิงหยวนก็ตื่นเต้นดีใจ หัวเราะฮาๆ บอกว่าแค้นนี้ต้องชำระ จากนั้นก็จับทุจริตได้พอดี จึงตัดชื่อหลินเจินทิ้งไป และยังริบคืนตำแหน่งบัณฑิตของเขาด้วย ดังนั้นหลินเจินจึงอับอายจนแขวนคอตาย…เอ๊ะ พี่ถังไยทำหน้าเช่นนั้น”

ถังฟั่นปั้นหน้าพิลึก “เจ้ารู้กระทั่งเสิ่นคุนซิวหัวเราะฮาๆ และก็พูดอะไรบ้าง หรือตอนนั้นเจ้าได้เห็นได้ฟังอยู่ข้างตัวเขา?”

ลู่หลิงซีเกาศีรษะ หัวเราะเขิน “นี่เป็นชาวบ้านร้านตลาดเขาซุบซิบกัน ข้าก็แค่เล่าอย่างที่ฟังมา”

ถังฟั่นถลึงตาใส่ แม้ใช้น้ำเสียงตำหนิ กลับมิได้โกรธเคือง “เรื่องซุบซิบในหมู่ชาวบ้านพวกนี้ไม่อาจถือเป็นจริงจัง หากข้าเชื่อแล้วนำมาประกอบการวินิจฉัยคดีคงได้เกิดความคิดอคติไม่มากก็น้อย”

ลู่หลิงซียิ้มละอาย “ข้าแค่อยากล้อเล่นกับท่านเท่านั้น แต่เรื่องที่เสิ่นคุนซิวกับบ้านสกุลหลินมีบุญคุณความแค้น ชาวบ้านชาวช่องต่างลือกันทั่ว ไม่มีไฟย่อมไม่มีควัน ท่านฟังแล้วเผื่อจะมีเบาะแสในใจ”

ถังฟั่นตบไหล่อีกฝ่าย ก่อนรินชาให้เขา “ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดี มิได้จะตำหนิเจ้า เจ้าเล่าต่อเถอะ”

ลู่หลิงซีเห็นรอยยิ้มบางๆ ตรงมุมปากเขา พลันคึกคักขึ้นมา “บ้านสกุลเสิ่นกับบ้านสกุลหลินมีแค้นสามรุ่น ตอนนี้เสิ่นคุนซิวเป็นขุนนางขั้นสามเต็มขั้น หลินเฝิงหยวนเป็นแค่รองผู้พิพากษาเล็กๆ แต่บุตรชายของทั้งสองกลับแตกต่างสิ้นเชิง บุตรของเสิ่นคุนซิวคือคุณชายเจ้าสำราญ ประพฤติตนเหลวไหลทั้งยังเรียนแย่ ดังนั้นเสิ่นคุนซิวไปที่ใดจึงต้องหนีบเอาบุตรชายไปด้วยเพื่อคุมเข้มตลอดเวลา ส่วนบุตรของหลินเฝิงหยวนกลับเรียนเก่ง อายุสิบห้าสิบหกก็สอบได้ที่สองของการสอบย่วนซื่อ เสิ่นคุนซิวคับแค้นใจ รู้สึกตนเองสู้คนอื่นไม่ได้ ครานี้จึงลงมืออำมหิตกับบุตรชายผู้อื่น”

ถังฟั่นกระตุกมุมปาก ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

นี่มันอะไรกับอะไรกัน คนที่แต่งเรื่องพวกนี้ช่างไร้ศีลธรรมเกินไปแล้ว หากเสิ่นคุนซิวที่นิสัยเช่นนั้นทราบเข้า คะเนว่าคงได้โมโหตาย

เขาสั่นหน้าไปมา “ช่างเถอะ เรื่องพวกนี้รอให้ถึงเมืองจี๋อันก่อนค่อยว่ากัน ครู่นี้เจ้าบอกว่ามีร่องรอยขององครักษ์เสื้อแพรในเจียงซี?”

ลู่หลิงซีกล่าว “ใช่ ข้าได้ยินวังกงกงบอก หลังมาเจียงซีก็เจอไม่ต่ำกว่าหนึ่งกลุ่มแล้ว เมืองเจี้ยนชังก็มี พวกเขาล้วนแต่งชุดลำลอง แต่คนที่มีวิชายุทธ์ย่อมมองออก บวกกับพวกเขาบุคลิกไม่เหมือนชาวยุทธ์ทั่วไป ข้าเดาว่าต้องเป็นองครักษ์เสื้อแพรแน่นอน”

ถังฟั่นรวนเรเล็กน้อย “แล้วเจ้าได้เจอสุยโจวหรือไม่”

“สุยโจว? ผู้บังคับการสุยแห่งกองปราบฝ่ายเหนือน่ะหรือ”

“ใช่”

“ไม่เจอ ได้ยินชื่อเสียงมานาน เสียดายไม่เคยพานพบ ว่ากันว่าเขาฝีมือสูงส่ง มีโอกาสต้องขอคำชี้แนะสักครา”

ถังฟั่นรำพึงในใจ คราวก่อนเขาได้รับคำสั่งตนให้ไปขอความช่วยเหลือจากสาขาองครักษ์เสื้อแพรในซูโจว สุดท้ายที่ได้มาก็คือสุยโจวที่แปลงชื่อเป็นตี๋หาน ดีไม่ดีพวกเขาสองคนอาจเจอหน้ากันแล้ว เพียงแต่ลู่หลิงซีไม่รู้จักเท่านั้นเอง คิดแล้วให้รู้สึกตลกดี

ลู่หลิงซีสำรวจสีหน้าวาจา อดถามมิได้ “พี่ถัง ท่านมีธุระกับผู้บังคับการสุยหรือ ต้องให้ข้าไปสอบถามให้หรือไม่”

ถังฟั่นส่ายหน้า “ไม่ต้อง ข้าแค่ถามไปอย่างนั้นเอง ฟังจากที่เจ้าเล่ามา ดูท่าภารกิจคราวนี้คงไม่สบายเท่าไร”

“ท่านเป็นห่วงว่าลัทธิบัวขาวจะฉวยโอกาสก่อกวน?”

ถังฟั่นยิ้มกล่าว “ไม่ใช่หรอก เดิมเสิ่นคุนซิวคนนี้ก็คบยากอยู่แล้ว ด้วยนิสัยของเขา การจัดการเรื่องนี้คงต้องแข็งกร้าวถึงที่สุด และเขาก็พอมีชื่อเสียงในหมู่บัณฑิตอยู่บ้าง ข้าจึงไม่อาจใช้ไม้แข็งกับเขา แต่ข้าคะเนว่าตอนนี้ไม่ใช่แต่ข้าที่ปวดหัว เจ้าเมืองจี๋อันเองก็คงปวดหัวมากเช่นกัน อย่างไรก็เป็นคดีที่เกิดในพื้นที่ใต้ปกครองของเขา คนหนึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา คนหนึ่งเป็นผู้ใต้บัญชา ไม่รู้จะวางตัวอย่างไร”

ลู่หลิงซีก็พลอยยิ้ม “จริงด้วย ผู้คนล้วนกล่าวว่าตำแหน่งเจ้าเมืองจี๋อันนี้ไม่เป็นสิริมงคล ดวงไม่สมพงศ์กับดาราบนฟ้า ดังนั้นคนที่แล้วโชคร้าย คนปัจจุบันก็โชคร้ายอีก”

เกี่ยวกับเรื่องซุบซิบ รับรองชาวบ้านร้านตลาดมีไม่น้อยไปกว่าในวงขุนนาง หนำซ้ำพวกชาวบ้านมักชอบจับนั่นมาโยงนี่ เพิ่มสีสันให้ดูลึกลับซับซ้อน อย่างเช่นคดีสุสานจักรพรรดิโบราณที่ลั่วเหอ เพราะชาวบ้านในท้องที่ไม่กระจ่างข้อเท็จจริง บวกกับสาวกลัทธิบัวขาวจงใจสร้างข่าวโคมลอย จึงพากันเข้าใจว่าเป็นเพราะเทพแม่น้ำพิโรธ

ถังฟั่นแม้ไม่คิดว่าข่าวสารเหล่านี้มีคุณค่าอันใด แต่ฟังไว้ไม่เสียหาย

“คนที่แล้วก็โชคร้ายหรือ อย่างไรกัน”

ลู่หลิงซีจึงเล่า “เจ้าเมืองจี๋อันคนก่อนชื่อหวงจิ่งหลง ได้ยินว่าหลายปีก่อนเป็นเพราะทารุณนักโทษ ใส่ความคนดี จับชาวบ้านที่ไร้ความผิดไปทรมานจนตายคาห้องขัง หลังเกิดเรื่องจึงถูกราชสำนักสั่งปลดและจับกุมตัว เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนคนปัจจุบันนี้ก็เจอตอเหมือนกัน เห็นได้ว่าแต่ละปีดวงล้วนตกในช่วงอัปมงคล ตอนข้าไปจี๋อันพอดีตรงกับวันประสูติเทพเจ้ากวนอู ได้ยินว่าเจ้าเมืองยังเชิญคนมาทำพิธีระบำมหาเทพในจวนเจ้าเมืองอีกด้วย”

เมื่อก่อนเขาพเนจรทั่วทิศ ไม่มีโอกาสสัมผัสกับเรื่องราวในแวดวงขุนนางเหล่านี้ ทุกวันนี้อยู่ข้างกายถังฟั่นนานเข้า ได้รู้ได้เห็นเรื่องราวสารพัด มุมมองที่มีต่อโลกยิ่งกว้างไกล

ที่แท้บรรดาขุนนางที่สอบติดจิ้นซื่อโดยอาศัยความรู้ก็มิได้เก่งกล้าสามารถหรือมีคุณธรรมสูงส่งกันทุกคน ที่เป็นเช่นพวกเฉินหลวนหรือหยางจี้ก็มีไม่น้อย เฉกเช่นเจ้าเมืองจี๋อันยิ่งดาษดื่น หนำซ้ำเมื่อมองสูงขึ้นไปจะพบว่าการขับเคี่ยวของด้านบนยิ่งดุเดือดกว่า

ที่แท้จักรพรรดิบีบคั้นเหล่าขุนนาง เหล่าขุนนางก็หลอกใช้จักรพรรดิ ทุกคนสู้กันด้วยสติปัญญาและความกล้า ใช้อุบายร้อยแปด พลั้งเผลอเพียงนิดเหยียบถูกกับดักผู้อื่น ความตายกรายศีรษะยังไม่รู้ตัว แต่พวกที่ดูสงบเสงี่ยมสำรวมตนก็ใช่ว่าจะตกเป็นรอง อาจกำลังแสร้งเป็นหมูหลอกกินเสือ** อยู่ก็เป็นได้

ก็เหมือนครั้งก่อนที่ถังฟั่นไหว้วานเขานำของไปส่งที่เมืองหลวง เขาร้อนใจดั่งไฟสุม อยากจะเข้าพบไหวเอินหรือวังจื๋อให้ได้โดยเร็วเพื่อช่วยถังฟั่นจากสถานการณ์ยุ่งยาก แต่แล้วความผันผวนระลอกใหญ่ที่ตามหลังมาถึงกับทำให้เขาทัศนาจนลานตาไปหมด

จวบจนซั่งหมิงเสียอำนาจ สำนักบูรพาเปลี่ยนเจ้าของ เขาถึงพบว่าตนเองคล้ายได้ความรู้เพิ่มเติมเป็นกอง

ต่อให้การเสียอำนาจของซั่งหมิงไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับถังฟั่น แต่ก็มิอาจไม่กล่าวว่านี่เป็นผลพวงจากการเกาะกุมโอกาสงามและกระพือคลื่นลมของเขา

หากเวลานี้ถังฟั่นเป็นราชเลขาธิการสภาขุนนาง วิธีการเช่นนี้ก็ไม่นับว่าแปลกใหม่ แต่เวลานั้นเขากลับเป็นแค่ผู้ตรวจการขั้นสี่ ห่างไกลจากศูนย์กลางอำนาจเมืองหลวง ยังสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้แม่นยำปานนี้ นี่ชวนให้ผู้คนอดจะยอมรับนับถือไม่ได้

ดังนั้นเมื่อลู่หลิงซีเห็นพวกสีหมิงติดจะวางท่าเล็กน้อยขณะอยู่ต่อหน้าถังฟั่นจึงมักประหวัดถึงครั้งแรกที่ตนอยู่ข้างกายถังฟั่นเสมอ หากก็มิได้ไปเปิดโปง เพียงฮึดฮัดในใจ

ตอนนี้พวกเจ้าทำวางมาดไปเถอะ เดี๋ยวถึงเจียงซีเมื่อไรจะได้เบิกตาด้วยความทึ่ง!

ถังฟั่นมิได้ไปสนใจความคิดของลู่หลิงซี ลู่หลิงซีมองความอัปมงคลของตำแหน่งเจ้าเมืองจี๋อันเป็นเรื่องชวนหัว ถังฟั่นกลับครุ่นคะนึงถึงเรื่องของหวงจิ่งหลงอดีตเจ้าเมืองจี๋อัน

คดีนี้เป็นคดีที่สุยโจวจัดการเองกับมือ และเพราะต่อมาหวงจิ่งหลงเสียชีวิตในห้องขัง ดังนั้นเขาจำได้แม่นยำเป็นพิเศษ

เพราะการตายของหวงจิ่งหลง คดีจึงไม่อาจแล้วเสร็จ กลับทิ้งปริศนาไว้ไม่น้อย

ตอนนี้ดูแล้วอาจเป็นลิขิตสวรรค์อันลี้ลับ เริ่มจากมีเหตุ ต่อมาจึงมีผล เมืองจี๋อันแห่งนี้มีสิ่งที่ควรค่าแก่การวิเคราะห์เจาะลึกอยู่มากมายจริงๆ

และสายสนกลในเหล่านี้เกรงว่าต้องรอจนถังฟั่นบรรลุถึง จึงสามารถไปสืบสอบทีละปมได้

 

* เสี่ยวซันหยวน หมายถึงคนที่สอบได้ที่หนึ่งทั้งสามสนามสอบ คือเซี่ยนซื่อ ฝู่ซื่อ ย่วนซื่อ

** แสร้งเป็นหมูหลอกกินเสือ เป็นสำนวนจีน หมายถึงคนที่แท้จริงมีอำนาจยิ่งใหญ่หรือมีความสามารถ แต่แสร้งทำตัวเซ่อซ่าให้ผู้อื่นหลงกล เพราะหวังผลประโยชน์จากอีกฝ่าย

หลังสมทบกับลู่หลิงซี คณะเดินทางหยุดพักแรมในเมืองเจี้ยนชัง อีกด้านหนึ่งถังฟั่นได้ส่งคนล่วงหน้าไปก่อนเพื่อแจ้งต่อเจ้าเมืองจี๋อัน

ขุนนางผู้แทนราชสำนักออกเดินทาง จุดที่ผ่านล้วนมีหนังสือแจ้งข่าว คิดจะอำพรางร่องรอยใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ค่อนข้างยุ่งยากและหามีความจำเป็นไม่ ครานี้ถังฟั่นไปสืบคดีอย่างเปิดเผยโปร่งใส มิได้ย่ำเยือนเป็นการส่วนตัว ย่อมไม่มีเรื่องที่มิอาจบอกกล่าวผู้คน

ขุนนางเมืองเจี้ยนชังได้ยินว่าถังฟั่นมาแล้วจึงเร่งรุดมาคำนับถึงบ้านพักรับรอง ขุนนางท้องถิ่นเหล่านี้เมื่ออยู่ต่อหน้าขุนนางเมืองหลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งขุนนางผู้แทนราชสำนักอย่างถังฟั่น มักบังเกิดความเคารพเลื่อมใสที่บรรยายไม่ถูกชนิดหนึ่ง หากสามารถฉวยโอกาสนี้ผูกไมตรีสักนิด กอดต้นขาสักหน่อย ย่อมประเสริฐที่สุด

ทว่ากอดต้นขายังต้องดูซ้ายดูขวาด้วย หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ไม่กินเส้นกับกลุ่มอำนาจวั่นและออกมาทำคดีนอกเมืองหลวง เกรงว่าทุกคนจะหลบหน้าหนีหายแทบไม่ทัน ไหนเลยยังจะเข้ามาสอพลอคลอเคลีย

ทว่าถังฟั่นไม่เหมือนกัน แม้เขาปะทะกับกลุ่มอำนาจวั่นหลายหน เส้นทางรับราชการระหกระเหิน แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้จักรพรรดิกลับยังคงไม่อาจไม่ใช้สอยเขา ตรงข้ามกลับเป็นเพราะการงัดข้อกับกลุ่มอำนาจวั่น สุดท้ายพลิกเคราะห์เป็นโชคเสมอ และเพราะไขคดีสำเร็จติดต่อกัน ชื่อเสียงของเขายิ่งมายิ่งขจรขจาย ทุกแห่งที่ย่ำผ่าน หากมีธงขุนนางผู้แทนราชสำนักนำทาง ไม่เพียงปัญญาชนชั้นแนวหน้าจะรุดมาคารวะ กระทั่งขุนนางท้องถิ่นยังรุดมาชื่นชมบารมี หมายสร้างไมตรีอันดีกับถังฟั่น

เฉกเช่นครานี้ คดีซูโจวคลี่คลาย ไม่เพียงเฉินหลวน หยางจี้ และคนอื่นๆ ตกม้า แม้แต่สำนักบูรพาก็พลอยดับรัศมีไปด้วย คิดถึงเมื่อครั้งซั่งหมิงผู้บัญชาการสำนักบูรพายังเรืองอำนาจ วางอำนาจบาตรใหญ่ไปทั่ว เวลานี้มิใช่กระเด็นจากเมืองหลวงไปกวาดพื้นในสุสานหลวงแล้วหรอกหรือ

คนตาแหลมมีหรือจะไม่โยงความสัมพันธ์เรื่องซั่งหมิงตกเวทีกับถังฟั่นสืบคดีเฉินหลวนเข้าด้วยกัน ลึกๆ แล้วใครบ้างไม่คิดว่าถังฟั่นมีฝีมือล้ำเลิศ วิธีการเฉียบคม

สามารถครองความได้เปรียบต่อกลุ่มอำนาจวั่น นี่ไม่เรียกฝีมือแล้วจะเรียกอันใด

ดังนั้นแม้ถังฟั่นพยายามหลีกเลี่ยงการสมาคมอย่างเต็มที่ แต่ผู้เยี่ยมคารวะยังคงทยอยมาไม่ขาดสาย ไม่เพียงขุนนางเมืองเจี้ยนชัง กระทั่งผู้ว่าการมณฑลเจียงซีและตุลาการล้วนส่งคนมาคารวะทักทาย

บางคนมิอาจไม่พบ มิฉะนั้นอาจทิ้งความทรงจำในเชิงเย่อหยิ่งจองหองแก่ผู้อื่นได้ง่าย ดังนั้นถึงแม้ไม่ชอบความยุ่งยากเหล่านี้ แต่ถังฟั่นยังคงสิ้นเปลืองเวลาสองวันไปกับการต้อนรับขับสู้บรรดาเทพเซียนทั่วสารทิศ

สองวันให้หลังเขานำลู่หลิงซีและพวกสีหมิงเดินทางถึงอำเภอหลูหลิงในเมืองจี๋อัน เจ้าเมืองจี๋อันพร้อมด้วยนายอำเภอหลูหลิงและขุนนางอีกจำนวนหนึ่งซึ่งทราบข่าวนานแล้วได้มารอต้อนรับอยู่ที่จุดพักม้านอกเมือง

เมื่อถังฟั่นมองเห็นนายอำเภอหลูหลิงซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ฟั่นเยวี่ยเจิ้งเจ้าเมืองจี๋อัน พลันอดตะลึงลานมิได้

นับขึ้นมาจริงๆ ถังฟั่นกับอีกฝ่ายไม่เจอกันห้าหกปีแล้ว ทว่าเมื่อเห็นใบหน้านั้น ความทรงจำอันคุ้นเคยก็ผุดขึ้นในทันที

อีกฝ่ายต้องทราบแต่แรกแน่ว่าผู้มาคือถังฟั่น ดังนั้นมิได้เผยสีหน้าตกใจเช่นถังฟั่น แต่แย้มยิ้มเมื่อเห็นเขา

ฟั่นเยวี่ยเจิ้งสายตาแหลมคม สังเกตเห็นท่าทีผิดปกติที่ถังฟั่นมีต่อนายอำเภอหลูหลิงจึงรีบยิ้มถาม “ใต้เท้ากับนายอำเภอจี๋เป็นสหายเก่า?”

ถังฟั่นยิ้มน้อยๆ “ไหนเลยแค่สหายเก่า พี่จื่อหมิงกับข้าเป็นสหายรักที่สนิทกันมาก เพียงแต่ต่อมาเขาอำลาเมืองหลวงจึงขาดการติดต่อ ใครจะคิดว่าพันลี้ไกลสุดหล้า วาสนาพาบรรจบ พี่จื่อหมิง ท่านว่าใช่หรือไม่”

ได้ยินชื่อรองของตนถูกขานเรียก จี๋หมิ่นขึ้นหน้าครึ่งก้าว ประสานมือคำนับ “ผู้น้อยนายอำเภอหลูหลิงคารวะใต้เท้าถัง”

ถังฟั่นประคองสองบ่า ไม่ยอมให้เขาค้อมเอวลงไป ปากยังติติง “ไยต้องมากพิธี”

จี๋หมิ่นยิ้มกล่าว “สหายส่วนสหาย มิอาจละเลยส่วนรวมด้วยเรื่องส่วนตัว ใต้เท้าโปรดอย่าได้ยับยั้ง”

แม้กล่าวเช่นนั้น น้ำเสียงกลับปราศจากแววห่างเหิน ถังฟั่นค่อยคลายใจ ทราบว่าเขาไม่อยากเป็นที่ครหาของผู้อื่น

สหายรักเก่าก่อนพบหน้าอีกครา ถึงมีวาจามากมายใคร่กล่าว หากเพราะสถานการณ์ไม่เหมาะสม ได้แต่ระงับความรู้สึกชั่วคราว ถังฟั่นส่งสายตาเชิงขออภัยให้เขาแวบหนึ่ง

จี๋หมิ่นคล้ายกระจ่างว่าเขาจะกล่าวอันใดจึงผงกศีรษะให้ถังฟั่นเล็กน้อย แววตายิ้มพรายเฉกเช่นอดีต

คนที่มารอต้อนรับพร้อมกับฟั่นเยวี่ยเจิ้งค่อนข้างหนาตา ส่วนใหญ่ล้วนเป็นขุนนางของเมืองจี๋อันและคหบดีท้องถิ่น เปรียบเทียบกันแล้วจี๋หมิ่นที่เป็นนายอำเภอหลูหลิงจึงไม่ค่อยสะดุดตานัก

ท่ามกลางผู้คนมากหน้าหลายตากลับไม่ปรากฏเงาร่างของเสิ่นคุนซิว นี่แน่นอนอยู่แล้ว เสิ่นคุนซิวเป็นถึงหัวหน้ากองการศึกษาขั้นสามย่อมไม่จำเป็นต้องลดเกียรติมาเอาใจถังฟั่น แม้บนตัวถังฟั่นยังมีรัศมีแห่งผู้แทนราชสำนักล้อมรอบอยู่หนึ่งชั้น หากเสิ่นคุนซิวจะรุดมาต้อนรับด้วยตนเองก็คงไม่มีใครพูดอันใด แต่ด้วยนิสัยของเขาต้องไม่กระทำเรื่องทำนองนี้แน่นอน

ทว่าหลังฟั่นเยวี่ยเจิ้งแนะนำบุคคลสำคัญต่างๆ ในที่นั้นทีละคนเสร็จก็ชี้ไปที่บุรุษหนุ่มคนหนึ่ง บอกกับถังฟั่นว่า “ท่านนี้คือบุตรชายของใต้เท้าหัวหน้ากองการศึกษา”

อะไรนะ

บุตรชายของเสิ่นคุนซิว?

ถังฟั่นนึกว่าหูตนเองมีปัญหา

ขณะตะลึงงัน อีกฝ่ายได้โค้งคำนับถังฟั่น “ผู้ด้อยสามารถเสิ่นซือคารวะใต้เท้าถัง”

อันที่จริงจากเครื่องแต่งกายของคนผู้หนึ่ง ส่วนใหญ่สามารถดูออกถึงอุปนิสัยของเจ้าตัวได้ ตัวอย่างเช่นสีเสื้อผ้าของสุยโจวก็ดี รูปแบบหรือเนื้อผ้าก็ดี มักให้ความรู้สึกเคร่งขรึมจริงจังแก่ผู้พบเห็น นี่ยังเกี่ยวข้องกับบุคลิกในการทำงานของเขาอีกด้วย

ส่วนคุณชายเสิ่นผู้นี้เหนือศีรษะสวมหมวกโพกหัวสีเข้ม ด้านบนยังกลัดด้วยหยกเลี่ยมทองขนาดใหญ่ยักษ์ ที่สวมอยู่บนร่างคือเสื้อคลุมยาวผ้าไหมซูโจวสีน้ำตาลอมม่วง ด้านข้างห้อยห่วงหยกเหลืองเป็นพวง แม้แต่สายรัดเอวก็ปักลายเมฆห้าสีสดใส เปล่งประกายแพรวพราวไปทั้งตัว

นี่แทบ…ชวนให้ไม่กล้ามองตรงๆ

หรือตัวเสิ่นคุนซิวเองไม่สะดวกมาจึงส่งบุตรชายมาแทน?

แต่นี่มันความชมชอบประเภทใดกัน

เสิ่นคุนซิวชั่วดีก็เป็นถึงหัวหน้ากองการศึกษาขั้นสาม ความชมชอบสมควรใกล้เคียงพวกปัญญาชนที่สุภาพสง่างามถึงจะถูก ไฉนสอนบุตรชายออกมากลับกลายเป็นโดดเด่นไม่ซ้ำใครได้เล่า

ถังฟั่นมีความสุขุมลุ่มลึก มาตรว่าตะลึงตาค้างหากก็แค่พริบตาสั้นๆ แล้วกลับคืนปกติทันที ยิ้มพลางคำนับตอบ “คุณชายเสิ่น ไม่ทราบหัวหน้ากองการศึกษาเสิ่นสบายดีหรือไม่”

เสิ่นซือหัวเราะฮาๆ กล่าวตอบอย่างขอไปที “ไม่สู้ดีนัก ระยะนี้เขาหงุดหงิดง่าย ทำเอาข้าทนอยู่ในบ้านไม่ได้ถึงต้องวิ่งออกมาที่นี่”

ถังฟั่นผงะนิดหนึ่งค่อยยิ้มกล่าว “พรุ่งนี้ข้าจะเข้าไปเยี่ยมคารวะหัวหน้ากองการศึกษาเสิ่น รบกวนคุณชายเสิ่นช่วยเรียนท่านด้วย”

เสิ่นซือผงกศีรษะอย่างขอไปที ก็ไม่ทราบสดับเข้าหูหรือไม่

พูดคุยเพียงไม่กี่คำถังฟั่นก็กระจ่างแล้ว ที่เสิ่นซือปรากฏตัวที่นี่ต้องมิใช่ความคิดของเสิ่นคุนซิวแน่

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าด้วยนิสัยของเสิ่นคุนซิว ตนเองยังไม่ทันหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาในคดีคนตาย แล้วจะให้บุตรชายวิ่งมาต้อนรับผู้แทนราชสำนักถึงที่นี่ได้อย่างไร ถึงแม้ต่อให้เสิ่นคุนซิวเห็นแก่หน้าถังฟั่น ส่งบุตรชายมาทักทายแทนตนเอง ก็คงไม่มีวันส่งบุคคลที่เสมือนสิ่งมหัศจรรย์เช่นนี้ออกมา

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ถังฟั่นไม่ทราบจะต่อบทสนทนากับผู้อื่นอย่างไร เจ้าเมืองฟั่นที่อยู่ทางด้านข้างคล้ายสัมผัสได้ถึงความกระอักกระอ่วนของเขา รีบเข้ามาแก้ไขสถานการณ์ “ใต้เท้าถัง ผู้น้อยจัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับเพื่อท่านโดยเฉพาะ ใต้เท้าโปรดให้เกียรติ”

คราวนี้ไม่เหมือนกับตอนอยู่ที่อื่น ถังฟั่นมิได้บ่ายเบี่ยง เขาอมยิ้มพยักหน้า “เช่นนั้นต้องรบกวนท่านเจ้าเมืองแล้ว”

ฟั่นเยวี่ยเจิ้งเห็นเขากล่าวเช่นนั้น รอยยิ้มยิ่งจริงใจขึ้นหลายส่วน “ใต้เท้า เชิญ”

คนรุดมาต้อนรับเป็นกองพะเนิน หากความเป็นจริงเมื่อถึงร้านอาหาร พวกคหบดีล้วนถูกจัดให้นั่งอยู่ด้านนอก สุดท้ายที่สามารถเข้าไปร่วมโต๊ะกับถังฟั่นในห้องส่วนตัวจึงมีอยู่ไม่กี่คน

อาศัยบารมีของถังฟั่น จี๋หมิ่นซึ่งเป็นแค่นายอำเภอหลูหลิงจึงได้รับมาหนึ่งเก้าอี้

นอกจากนั้นยังมีฟั่นเยวี่ยเจิ้งเจ้าเมืองจี๋อัน ซุนอวี้รองเจ้าเมือง เสิ่นซือบุตรชายเสิ่นคุนซิว รวมทั้งสวีปินพ่อค้าเกลือ และฟางฮุ่ยเสวียพ่อค้าผ้า

เพราะเหตุนี้สวีปินแลดูไม่พอใจนัก แต่ก็มิได้กล่าวอันใด

นี่ชวนให้ถังฟั่นรู้สึกสนใจฟางฮุ่ยเสวียขึ้นมา

พ่อค้าสามารถร่วมโต๊ะกับขุนนาง และยังได้นั่งติดกับถังฟั่น แน่นอนย่อมมิใช่พ่อค้าทั่วไป

หลังการแนะนำของฟั่นเยวี่ยเจิ้ง ถังฟั่นจึงทราบ ความจริงแล้วสวีปินมีกรณีพิพาทกับขุนนางคนหนึ่งในหนานจิง และธิดาของฟางฮุ่ยเสวียเป็นจี้ซื่อ* ของผู้ว่าการมณฑลนี้

สวีปินนั่นแล้วไปเถอะ ฟางฮุ่ยเสวียวัยสี่สิบเศษ เครายาวห้ากระจุก บุคลิกภูมิฐาน ไม่คล้ายคนค้าขาย กลับคล้ายบัณฑิต บันดาลให้ผู้พบเห็นเกิดความประทับใจ แต่พิจารณาจากจุดนี้อายุของบุตรีเขาก็ไม่น่าเกินยี่สิบ เทียบกับวัยของผู้ตรวจการมณฑลเจียงซี ถังฟั่นแอบส่ายหน้าในใจ ไม่อยากวิจารณ์

เจ้าเมืองฟั่นพอจะมองออกว่าถังฟั่นไม่สนใจสองคนนี้เท่าไร ก็นึกว่าเขาเป็นโรคเดียวกับขุนนางอื่นๆ ที่ดูแคลนพวกพ่อค้า จึงจงใจกล่าวเสริมอีกสองสามคำขณะแนะนำว่า “ใต้เท้ายังไม่ทราบ พี่ฟางท่านนี้ได้รับการขนานนามว่าพ่อพระฟาง นอกจากประกอบกิจการค้าจนมั่งคั่งยังประกอบความดีใหญ่หลวงให้แก่เมืองนี้ ไม่ว่าจะซ่อมสะพานปูถนน บรรเทาทุกข์ภัยชาวบ้าน ตั้งโรงแจกโจ๊ก พี่ฟางล้วนยื่นมือช่วยเสมอ ในอดีตครั้งเผิงสือเกษียณราชการกลับบ้านเดิม ได้ทราบถึงพฤติการณ์เชิดชูคุณธรรมของพี่ฟาง ยังตวัดพู่กันเขียนคำ ‘กู้ภัยเกื้อชน’ มอบให้เขา ทุกวันนี้แผ่นป้ายยังแขวนอยู่ในโถงใหญ่ของบ้านสกุลฟางอยู่เลย”

ที่แท้เป็นเช่นนี้ ถังฟั่นรำพึงในใจ

 

* จี้ซื่อ หมายถึงภรรยาคนปัจจุบันที่ขึ้นมาแทนภรรยาคนเก่าซึ่งเสียชีวิตไป

เผิงหวาสือคือขุนนางอาวุโสสามแผ่นดิน บารมีสูงส่ง ต้นดีปลายดี เป็นชาวอำเภอหลูหลิงมณฑลเจียงซี มาตรว่าเสียชีวิตมานานหลายปี แต่คนพื้นที่ยังให้ความเคารพเทิดทูนเสมอ สามารถได้รับหนังสือลายมือของเผิงสือ มิน่าค่าตัวฟางฮุ่ยเสวียจึงพุ่งพรวด ทุกวันนี้ยังกลายเป็นพ่อตาของผู้ว่าการมณฑลนี้ แน่นอนว่าแม้แต่รองเจ้าเมืองยังต้องให้ความยำเกรงสามส่วน

เขายิ้มน้อยๆ “สามารถได้รับการชื่นชมจากเผิงสือย่อมมิใช่ชนชั้นสามัญ วันใดคงต้องรุดไปขอชมดูแผ่นป้ายนั้นเสียแล้ว ถึงเวลานั้นพ่อพระฟางอย่าได้ไล่ข้าออกมาก็พอ”

ฟางฮุ่ยเสวียรีบกล่าว “นี่เป็นเพราะใต้เท้าเจ้าเมืองให้ความเมตตา ข้าน้อยมิบังอาจน้อมรับ หากใต้เท้ายินดีรุดไปชมดูย่อมถือเป็นเกียรติแก่บ้านสกุลฟางแล้ว”

หลายคนเจรจาพาทีได้สักพัก เจ้าเมืองฟั่นจึงสั่งคนนำอาหารขึ้นโต๊ะพลางกล่าว “ผู้น้อยทราบว่าใต้เท้ารุดมาครานี้เพื่อตรวจสอบคดีเคอจวี่จึงมิกล้ารบกวนเกินควร ดังนั้นได้เตรียมห้องพักในบ้านพักรับรองไว้ให้ใต้เท้าพักอยู่เรียบร้อยแล้ว หลังจากวันนี้หากใต้เท้ามีคำสั่ง เพียงส่งคนมาแจ้งคำหนึ่ง ผู้น้อยจะเร่งไปพบทันที”

ถังฟั่นโบกมือไปมา “อาหารโอชารสอยู่ตรงหน้า สนทนาการงานออกจะทำลายบรรยากาศเกินไป มิสู้รื่นรมย์ให้เต็มที่ เรื่องอื่นใดไว้ว่ากล่าวหลังวันนี้ก็ไม่สาย”

เจ้าเมืองฟั่นไม่อยากให้เขาพูดถึงเรื่องงานใจจะขาด พอฟังก็แย้มยิ้ม “ใต้เท้ากล่าวได้ถูกต้อง เช่นนั้นผู้น้อยขอคารวะท่านก่อนหนึ่งจอก”

สุราผ่านสามรอบ บรรยากาศงานเลี้ยงเริ่มคึกคักขึ้นมา เพราะถังฟั่นไม่ยอมรับการคารวะสุราจากผู้ใดอีก เพียงให้ทุกคนตามสบาย คนอื่นๆ เห็นเขาสนใจเสพอาหารมากกว่าเสพสุราก็พลอยวางจอก เปลี่ยนมาแนะนำข้าวปลาอาหารบนโต๊ะ

ซุนอวี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าเพิ่งมาจากซูโจว คงกินจนถ้วนทั่วแล้ว ทว่าท่านอย่าเห็นเจียงซีของพวกเราอ่อนด้อยกว่าทางซูโจวและหังโจวเป็นอันขาด หากกล่าวถึงอาหารการกินก็มีไม่น้อยที่เป็นหน้าเป็นตา และเป็นสิ่งที่ทางซูโจวหังโจวไม่มีอีกด้วย อย่างเช่นปลาชิวลอดเต้าหู้จานนี้ต้องใช้กระดูกตุ๋นน้ำแกงก่อนเจ็ดแปดชั่วยาม จากนั้นตักออกมาวางให้เย็นค่อยนำเต้าหู้ทั้งก้อนและปลาชิวใส่ในน้ำแกง ตั้งบนเตาไฟ เมื่อน้ำแกงร้อนปลาชิวก็จะพยายามมุดเข้าไปในเต้าหู้ รอจนได้ที่ เต้าหู้และปลาชิวสุกจนทั่ว รสชาติสองชนิดก็จะผสมผสานเข้าด้วยกัน ในความหอมนุ่มของเต้าหู้ยังเคล้าความสดของปลาชิว อร่อยอย่าบอกใครเชียว”

อีกฝ่ายสาธยายอย่างกระตือรือร้นปานนี้ ถังฟั่นย่อมต้องให้กำลังใจ เขาตักเต้าหู้วางในชาม ก้มหน้าชิมคำหนึ่งก่อนพยักหน้าชมเชย “อร่อยล้ำจริงๆ”

ซุนอวี้ไม่เพียงแนะนำอาหารให้ถังฟั่น ยิ่งหวังหยิบยืมโอกาสนี้สร้างความประทับใจต่อถังฟั่น

เขามีสหายร่วมวัยหลายคนรับราชการในเมืองหลวง มักส่งข่าวถึงกันเสมอ ซุนอวี้จึงล่วงรู้จากปากสหายคนหนึ่ง กรมทหารของพวกเขามีขุนนางจัดการคนหนึ่งแซ่เวิง เริ่มแรกเป็นแค่นายอำเภอในพื้นที่เล็กๆ เพราะเคยช่วยถังฟั่นทำคดี ความสามารถโดดเด่น มีความรู้กว้างขวาง ด้วยเหตุนี้หลังจากเป็นนายอำเภอครบวาระจึงย้ายเข้าไปเป็นขุนนางจัดการในกรม

หกกรมในเมืองหลวงมิใช่จะอิ่มหนำสำราญกันทุกกรม ค่าน้ำร้อนน้ำชาของบางหน่วยงานยังเทียบไม่ได้กับหน่วยงานท้องถิ่นเล็กๆ ด้วยซ้ำ แต่สถานะของหน่วยงานส่วนกลางกับหน่วยงานท้องถิ่นจะอย่างไรก็มิอาจนำมาเปรียบเทียบ ทว่าผู้ใดที่รักจะก้าวหน้าย่อมหวังให้ตนเองได้เข้าทำงานในหกกรม และขุนนางจัดการแซ่เวิงคนนั้นหากมิใช่ได้รับความชื่นชมและการผลักดันจากถังฟั่น ผู้ใดจะไปสังเกตเห็นนายอำเภอเล็กๆ คนหนึ่ง

ดังนั้นถึงกล่าวว่าความสามารถสำคัญมาก แต่มีผู้หลักผู้ใหญ่ชื่นชมก็สำคัญเช่นกัน

ซุนอวี้ไม่มีเส้นสายอันใด เพียงแต่หูตากว้างขวาง เขาล่วงรู้ว่าถังฟั่นเก่งกาจไม่เบา ย่อมต้องประจบเพิ่มหลายเท่า หากถังฟั่นสามารถต้องตาตน ช่วยสนับสนุนผลักดัน เช่นนั้นก็ยิ่งประเสริฐแล้ว

แต่เขาหาทราบไม่ว่าใต้เท้าถังเป็นผู้เสพติดการกิน เป็นจอมตะกละตัวจริงเสียงจริง เห็นถังฟั่นตอบรับอย่างกระตือรือร้นยังเข้าใจว่าตนสอพลอถูกจุด ในใจพลันลิงโลด ยิ่งแนะนำเป็นการใหญ่

กลับได้ยินคุณชายเสิ่นโพล่งขึ้นว่า “สนทนาอย่างเดียวออกจะน่าเบื่อ มิสู้สรรหาเรื่องบันเทิงใจมาเสริม อาหารมื้อนี้จะได้มีรสชาติยิ่งขึ้น”

เจ้าเมืองฟั่นพอฟังก็รู้สึกมีเหตุผล จึงยิ้มกล่าว “ตามความเห็นคุณชายเสิ่น ควรสรรหาเรื่องบันเทิงใจชนิดใดดี”

เสิ่นซือไม่ต้องคิดก็ตอบว่า “มิสู้หานางโลมสองสามคนมาร้องรำเพิ่มบรรยากาศ”

พอเอ่ยออกมา ทุกคนในที่นั้นพร้อมใจกันกระตุกมุมปากโดยมิได้นัดหมาย

ขุนนางราชวงศ์นี้ซ่องเสพนางคณิกาจะถูกปลดจากตำแหน่งและมิอาจเข้ารับราชการตลอดไป หากแค่เรียกนักร้องนางรำมาขับขานเพลงพิณก็ไม่เป็นไร

แต่ปัญหาคือผู้อื่นรุดมาสืบคดีในฐานะผู้แทนราชสำนัก และคดีที่สืบยังเป็นคดีของบิดาเจ้า เจ้ากลับยังมีอารมณ์ให้คนมาร้องเพลง เช่นนี้จะดีหรือ

เสิ่นซือคล้ายสำนึกได้ว่าคำพูดตนเองไม่เหมาะสมจึงรีบหัวเราะกลบเกลื่อน “ข้าเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง เรื่องที่ผู้อื่นชมชอบกันก็พูดไม่เป็น ถ้าอย่างไรพวกท่านคิดกันเองเถอะ”

เจ้าเมืองฟั่นจึงกล่าว “มิสู้ต่อกลอนคู่ดีกว่า หากต่อไม่ได้ก็ปรับสุรา เป็นอย่างไร”

สวีปินยิ้มกล่าว “นอกจากข้าที่ปราศจากความรู้ความสามารถคนนี้ ทุกท่านล้วนเป็นผู้ทรงภูมิทั้งสิ้น หากต่อกลอนคู่ คนที่แพ้คงมีแต่ผู้น้อยแล้ว ดังนั้นจึงมีความคิดแผลงๆ อย่างหนึ่ง มิสู้เอาหยาโฉว* ขึ้นมาเล่นเดิมพันสุรา หมุนแล้วไปตกที่ใคร คนนั้นก็ต้องต่อกลอนของคนอื่นๆ ทั้งหมด ถ้าต่อไม่ได้ก็ปรับสุราหนึ่งจอก ไม่ทราบใต้เท้าทุกท่านเห็นเป็นเช่นไร”

อันคำว่าเดิมพันสุรา ความจริงก็คือการละเล่นปรับสุรานั่นเอง หยาโฉวที่สมัยนี้ชอบใช้ไม่ใช่แท่งที่ทำจากกระดูกหรืองาช้าง แต่คือการนำเอาตุ๊กตาล้มลุกดินเผาตัวหนึ่งวางบนโต๊ะแล้วหมุน สุดท้ายตุ๊กตาหันหน้าไปทางผู้ใด คนนั้นต้องตอบคำถามที่คนอื่นๆ ผลัดกันถาม

ทุกคนล้วนรู้สึกการละเล่นชนิดนี้ลุ้นระทึกกว่ามากจึงโห่ร้องว่าดี ถังฟั่นไม่มีความเห็น ดังนั้นให้เจ้าเมืองฟั่นเริ่มหมุนเป็นคนแรก

เจ้าเมืองฟั่นบิด ‘หยาโฉว’ หลากสีตัวนั้น ตุ๊กตาล้มลุกหมุนติ้วบนโต๊ะ แล้วค่อยๆ ช้าลง สุดท้ายหันหน้าไปหยุดอยู่ที่ลู่หลิงซี

ลู่หลิงซีเกาศีรษะ ยิ้มแห้งๆ “ข้าไม่ชำนาญกลอนคู่เสียด้วย สามารถเปลี่ยนได้หรือไม่”

บนโต๊ะสุราไม่มีอาวุโส ยิ่งกว่านั้นลู่หลิงซีเป็นคนที่ถังฟั่นพามา มิใช่ตัวถังฟั่นเอง ทุกคนย่อมหัวเราะพลางตอบว่าไม่ได้

ลู่หลิงซีจำใจต้องประสานมือ “ผู้เยาว์ไร้สามารถ ใต้เท้าทุกท่านโปรดยั้งมือไว้ไมตรี”

เจ้าเมืองฟั่นเริ่มก่อน “ไผ่ขจีล่ำลาฤดูสารท”

ระดับความยากของวรรคแรกต่ำมาก เจ้าเมืองฟั่นย่อมไม่มีเจตนากลั่นแกล้งลู่หลิงซี เห็นอีกฝ่ายยอมรับว่าตนเองไม่แตกฉาน จึงขึ้นต้นกลอนคู่ที่แทบไม่มีความยากแต่อย่างใด

ลู่หลิงซีนิ่งคิดเล็กน้อย “เหมยงามโน้มนำวสันต์”

ถังฟั่นทราบ คนผู้นี้กำลังแสร้งเป็นหมูหลอกกินเสือชัดๆ เขามีตำแหน่งซิ่วไฉติดกาย ไหนเลยจะต่อกลอนคู่ไม่ได้ จึงแอบถลึงตาดุเขา จากนั้นค่อยกล่าว “สายตาแลสูงไร้สิ่งบดบัง”

ลู่หลิงซีแย้มยิ้ม “จิตใจเปิดกว้างเย็นชื่นสุดเปรียบ”

พวกซุนอวี้ย่อมไม่คิดมีปัญหากับลู่หลิงซีเช่นกัน ล้วนขึ้นต้นวรรคแรกอย่างเรียบง่าย ลู่หลิงซีก็ต่อได้อย่างคล่องแคล่ว รอดพ้นชะตากรรมโดนปรับสุราไปได้

ทว่าเมื่อถึงคราวของสวีปิน อีกฝ่ายกลับหัวเราะ “คุณชายลู่ติดตามใต้เท้าถัง ยินยลมาไม่น้อย คิดว่าคงเจนจัดโคลงกลอน หากวรรคแรกของข้าน้อยตื้นเขินเกินไปกลับจะเป็นการไม่ให้เกียรติคุณชายลู่ ไม่ทราบคุณชายคิดเช่นนี้หรือไม่”

ลู่หลิงซีหัวเราะ “คหบดีสวียกย่องข้าเกินไปแล้ว มาตรแม้นข้าไร้สามารถ หากก็มิอาจทำให้ใต้เท้าถังอับอาย เชิญคหบดีสวีตั้งคำถามเถอะ”

สวีปินกล่าว “ก่อนหน้านี้มีคนถามกลอนคู่กับข้า ข้าตอบไม่ได้มาตลอด ยามนี้ได้ประสบผู้ทรงภูมิเต็มโต๊ะ สามารถขอคำชี้แนะได้พอดี วรรคแรกนั้นก็คือ ‘ลำน้ำฮั่นเอ่อล้น บึงธาราท่วมท้นคลื่นพรั่งพรู’**”

ทุกคนต่างตะลึงลาน

กลอนวรรคแรกฟังดูราบเรียบ หากความจริงกลับประกอบขึ้นจากอักษรที่เกี่ยวข้องกับน้ำทั้งสิ้น ซึ่งวรรคหลังจำเป็นต้องใช้วิธีที่สอดคล้องต้องกัน

การละเล่นปรับสุราในงานเลี้ยงต้อนรับประเภทนี้เดิมทีก็เพื่อฆ่าเวลาและแก้เบื่อ แต่สวีปินกลับตั้งโจทย์เช่นนี้ออกมา ฝ่ายตรงข้ามยังเป็นลู่หลิงซีที่อ่อนวัยไร้ชื่อเสียง นี่เหมือนเจตนาแกล้งกันชัดๆ

ถังฟั่นสองตาเป็นประกาย อดชำเลืองสวีปินแวบหนึ่งมิได้ กลับเห็นอีกฝ่ายปราศจากความผิดปกติ เพียงแย้มยิ้มกับลู่หลิงซี รอคอยวรรคหลังจากเขา

คนอื่นๆ ก็พลอยถูกสะกิดความตื่นตัวขึ้นมา พากันหมกมุ่นครุ่นคิด

เจ้าเมืองฟั่นนึกตำหนิสวีปินในใจ หากลู่หลิงซีตอบไม่ได้ ไยมิใช่ทำลายหน้าตาของถังฟั่นแล้ว โบราณว่าตีสุนัขต้องดูหน้าเจ้าของ ถึงเวลานั้นถังฟั่นไม่สบอารมณ์ขึ้นมา คนที่โชคร้ายไยมิใช่เขาผู้เป็นเจ้าเมืองคนนี้

ถังฟั่นกลับคล้ายมิได้ทุกข์ร้อนแทนลู่หลิงซี ดังคาด ขณะเขาดื่มน้ำแกงเข้าไปคำหนึ่ง ลู่หลิงซีก็กล่าวว่า “ ‘ท้องนภาแปลบปลาบ อัสนีเปรี้ยงๆ วายุฝนคึกคะนอง’*** คหบดีสวี ท่านคิดว่าวรรคท้ายนี้สอดคล้องกันหรือไม่”

สวีปินยิ้มกล่าว “สอดคล้อง สอดคล้องกันจริงๆ คุณชายลู่เป็นผู้ปราดเปรื่องโดยแท้ ดูท่าข้าต้องปรับสุราตนเองแล้ว”

จบคำเขายกสุราขึ้นดื่มสามจอกรวด หนำใจยิ่ง

ทุกคนพลอยหัวเราะไปด้วย

เมื่อถึงคราวคุณชายเสิ่น เขาขบคิดหัวแทบแตกค่อยนึกออกมาได้วรรคหนึ่ง ราวกับคนที่ลำบากใจกลับมิใช่คนต่อวรรคท้าย แต่เป็นเขาคนขึ้นต้นวรรคแรก

เสิ่นซือขมวดคิ้วใคร่ครวญอยู่เป็นนาน “อืม เอ่อ…เอ่อ…ได้แล้ว ข้าวร้อนแลข้าวหอมทั่วร้านอภิรมย์!”

“…”

ขณะทุกคนพากันอึ้ง ลู่หลิงซีกลั้นหัวเราะพลางต่อกลอน “ช่องบัญชรสว่างไสวแขกล้นหลาม”

เสิ่นซือผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ เขาเองก็ตระหนักว่าตนไม่ประสาจึงหัวเราะฮาๆ “คุณชายลู่เก่งกาจยิ่ง”

ลู่หลิงซียิ้มกล่าว “กลอนคู่ของคุณชายเสิ่นช่างสอดคล้องบรรยากาศ เรียบง่ายไร้เติมแต่ง ชวนให้รู้สึกเป็นกันเองดี!”

เสิ่นซือพลันดีใจใหญ่ คล้ายได้ประสบมิตรแท้ จึงรู้สึกประทับใจในตัวลู่หลิงซีขึ้นมา ประจวบกับทั้งสองนั่งติดกัน อายุไล่เลี่ย ไม่ช้าก็เสวนาอย่างถูกคอ

 

* หยาโฉว คือเบี้ยชนิดหนึ่ง ลักษณะเป็นแท่ง ทำจากงาช้าง กระดูก หรือเขาสัตว์ ใช้สำหรับคำนวณตัวเลข นับรอบการดื่มสุรา นับเวลา หรือนับเดิมพัน

** ตัวอักษรภาษาจีนของประโยคนี้คือ 河汉汪洋,江湖滔滔波浪涌 ซึ่งอักษรทุกตัวมีคำว่าน้ำ (氵) ประกอบอยู่ด้านหน้า

*** ตัวอักษรภาษาจีนของประโยคนี้คือ 雲霄雷電,霹靂震震霈雨霖 ซึ่งอักษรทุกตัวมีคำว่าฝน (雨) ประกอบอยู่ด้านบน

ตุ๊กตาล้มลุกหมุนติดต่อกันอีกสองรอบ แบ่งเป็นหยุดลงตรงหน้าเจ้าเมืองฟั่นตามด้วยฟางฮุ่ยเสวีย เจ้าเมืองฟั่นเป็นบัณฑิตจิ้นซื่อ สามารถต่อกลอนได้ทั้งหมดมิใช่เรื่องแปลก ฟางฮุ่ยเสวียเป็นพ่อค้าคนหนึ่ง ทว่ากลับต่อกลอนออกมาได้กว่าครึ่ง เพียงโดนปรับสุราหนึ่งครั้ง เห็นได้ว่าแม้เป็นพ่อค้าวาณิช หากในท้องก็ใช่ว่าจะไร้น้ำหมึกเอาเสียเลย

ถังฟั่นนั่งติดกับเขา เห็นคนผู้นี้บุคลิกดีเยี่ยม ยามเจรจาไม่ติดกลิ่นอายวัตถุนิยม อดรู้สึกประทับใจมิได้ จึงเป็นฝ่ายชวนคุยหลายคำ ฟางฮุ่ยเสวียปลาบปลื้มล้นพ้น เขาสามารถค้ากำไรไปทั่วแคว้นแดนใต้ แน่นอนว่าทัศนะความคิดกว้างไกลกว่าพ่อค้าทั่วไป หัวข้อที่สนทนากับถังฟั่นย่อมไม่คับแคบ

ให้บังเอิญก็คือสองฝ่ายล้วนให้ความสนใจต่อวิถีชีวิตราษฎรเป็นอันมาก ถังฟั่นเป็นขุนนาง ย่อมใส่ใจปากท้องของชาวบ้านเป็นธรรมดา ไม่น่าเชื่อฟางฮุ่ยเสวียซึ่งเป็นพ่อค้าคนหนึ่งกลับเข้าอกเข้าใจชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านทั่วไปพอสมควร หนำซ้ำระหว่างพูดคุยก็มิได้เอาแต่มุ่งเน้นผลประโยชน์เยี่ยงพ่อค้าอื่นๆ กลับยกย่องเทิดทูนเสียนเกาพ่อค้าใจบุญยุคชุนชิวอย่างมาก

เขาฟังว่าถังฟั่นเพิ่งมาจากซูโจว จึงถาม “ใต้เท้า ข้าน้อยได้ยินว่าปีที่แล้วอำเภออู๋เจียงเกิดภัยอดอยาก มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ไม่ทราบปีนี้สถานการณ์ดีขึ้นหรือไม่”

ถังฟั่นตอบ “ภัยอดอยากดีขึ้นมาก แต่ผู้ประสบภัยหากต้องกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเดิมเกรงว่าต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด”

ฟางฮุ่ยเสวียจึงว่า “เอื้อเฟื้อข้าวปลามิสู้เจือจานอาชีพ หากใต้เท้าไม่รังเกียจ ข้าน้อยยินดีออกทุนสร้างบ้านเรือนให้แก่ผู้ประสบภัยเหล่านั้น ทั้งมอบเงินทุนกับพวกเขาอีกก้อนหนึ่ง ให้พวกเขาสามารถประกอบอาชีพเลี้ยงดูตนเองได้”

ถังฟั่นอัศจรรย์ใจ “นี่เป็นการให้เปล่า?”

ฟางฮุ่ยเสวียยิ้มกล่าว “ย่อมมิใช่แน่นอน ข้าพูดไปเกรงว่าใต้เท้าคงไม่เชื่อ ผู้ประสบภัยเหล่านั้นใช้ชีวิตอยู่ตามริมทะเลสาบไท่หู ตั้งแต่ปู่ย่าตายายล้วนอาศัยการเพาะปลูกและจับปลายังชีพ ทุกวันนี้อย่างไรก็ยังมีฝีมืออยู่ เพียงแต่บ้านเรือนพังพินาศ ไม่มีเงินทุนเริ่มต้นชีวิตใหม่ ข้าสามารถช่วยซื้อเรือให้หรือไม่ก็เช่าที่นาให้ ภายในเวลาสามปีหากฝนฟ้าตกต้องตามฤดู พวกเขาก็สามารถนำมาคืนให้ข้าได้ทั้งต้นและดอก หลังจากสามปีไปพวกเขาก็เป็นเจ้าของทรัพย์สินเหล่านั้นได้แล้ว”

เช่นนี้แล้วฟางฮุ่ยเสวียไม่มีทางได้กำไรแน่ ดีไม่ดีอาจขาดทุนด้วยซ้ำ ถังฟั่นจึงยิ้มกล่าว “เวลานี้ข้ามิได้เป็นผู้ดูแลซูโจวอีกแล้ว แต่ข้าสามารถถ่ายทอดวาจาแทนท่านได้ เพียงแต่ถ้าทำเช่นนี้การค้ารายนี้ของท่านอาจจะขาดทุน ท่านตรึกตรองดีแล้ว?”

ฟางฮุ่ยเสวียแย้มยิ้ม “ร่ำรวยแต่ไร้เมตตาต้องถูกฟ้าดินลงทัณฑ์ คนผู้หนึ่งกระทำสิ่งใด กระทำมากกระทำน้อย สวรรค์เบื้องบนล้วนมองอยู่ มิใช่ไม่เห็นค่า เพียงยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น อีกประการหนึ่งตอนนี้อาจดูเหมือนขาดทุน แต่ความจริงแล้วขอเพียงคำขวัญของข้าน้อยแพร่กระจายออกไป ภายหน้าทุกผู้คนล้วนทราบ สกุลฟางประกอบการค้ายุติธรรม ซึ่งนี่กลับส่งเสริมให้การค้าของข้าน้อยรุ่งเรืองยิ่งขึ้น ดังนั้นสายตายังคงต้องมองไกลออกไปจึงจะดี หลายปีมานี้ข้าน้อยทำการค้าได้กำไรไม่น้อย หากไม่ตระหนักในหลักธรรม ‘มีรับมีให้’ สักวันคงได้ประสบเหตุเภทภัย ข้าน้อยใคร่เอาอย่างเถาจูกง* กลับไม่ยินดีเอาอย่างเสิ่นวั่นซัน**!”

ถังฟั่นชื่นชมท่าทีอันไม่ยึดติดในสมบัติพัสถานของเขา “ใจบุญยิ่งนัก หากพ่อค้าทั่วหล้าสามารถมีความคิดเช่นพี่ฟาง ราชสำนักคงมิต้องกลัดกลุ้ม ปวงประชาก็จะมีความสุขเกษมแล้ว”

ฟางฮุ่ยเสวียยิ้มกับตนเอง “ไม่เช่นนั้นข้าน้อยหรือจะอยู่ในสายตาของเผิงสือและใต้เท้าได้”

ทั้งสองสบตากัน ต่างหัวเราะฮาๆ ขึ้นมา

ทางด้านนี้กำลังสนทนาอย่างชื่นมื่น อีกด้านหนึ่งตุ๊กตาล้มลุกเริ่มหมุนติ้วอีกครั้ง สุดท้ายหยุดลงตรงหน้าถังฟั่น

ถังฟั่นยิ้มกล่าว “ถึงคราวที่ข้าต้องเป็นที่ขบขันแล้ว เจ้าเมืองฟั่นเชิญตั้งคำถามเถอะ”

จะขึ้นต้นกลอนคู่ให้ขุนนางผู้แทนราชสำนักออกจะยุ่งยากอยู่บ้าง หากง่ายเกินไป ไม่อาจสำแดงระดับความสามารถของใต้เท้าผู้แทนราชสำนัก กลับจะกลายเป็นดูแคลนอีกฝ่าย หากยากเกินไป ใต้เท้าผู้แทนราชสำนักตอบไม่ถูกขึ้นมา เช่นนั้นคนขึ้นต้นวรรคแรกคงประสบเคราะห์แล้ว

ถังฟั่นเรืองนามจากการวินิจฉัยคดี ทุกคนในที่นั้นล้วนทราบ ทว่าสำหรับด้านวรรณศิลป์ของถังฟั่นแล้วแทบไม่มีผู้ใดล่วงรู้

ถึงแม้บุคคลเช่นเจ้าเมืองฟั่นและจี๋หมิ่นเคยได้ยินมาว่าในอดีตเขาเกือบได้เป็นจ้วงหยวน ต่อมากลับระบุให้เป็นแค่บัณฑิตขั้นสาม แต่หลังจากถังฟั่นรับราชการ ความเรียงและรวมบทกวีซึ่งเป็นผลงานของเขามิได้แพร่หลายในแวดวงปัญญาชน ดังนั้นเจ้าเมืองฟั่นจึงมิกล้าสุ่มเสี่ยง ใคร่ครวญอยู่นาน สุดท้ายค่อยคิดวรรคแรกที่ไม่ยากไม่ง่ายออกมา เมื่อถังฟั่นต่อวรรคหลังเสร็จ เขาถึงกับลอบโล่งอก

เวียนมาถึงจี๋หมิ่น อีกฝ่ายระบายยิ้ม “เวลาสั้นๆ ข้านึกอันใดไม่ออก ขอเอาภาพกระรอกเหนือกิ่งไม้เป็นวรรคแรกแล้วกัน กระรอกหลังกิ่งใบชะเง้อผลหลี่และท้อละลานตา”

นี่แทบไม่นับว่ายากเย็นอันใด ถังฟั่นต่อวรรคท้ายโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ “ลิงทโมนเหนือบ่อน้ำละโมบตะวันจันทรา”

ผลท้อดกงามบนก้านกิ่ง ส่วนตะวันจันทราก็อาจจะสะท้อนเงาในบ่อน้ำ วรรคท้ายของถังฟั่นนี้มีอารมณ์ขันอย่างเห็นได้ชัด ทุกคนจึงพากันโห่ร้องชมเชย

อีกหลายคนเวียนกันตั้งวรรคแรก ล้วนไม่สามารถล้มถังฟั่นได้ จนกระทั่งถึงคราวของสวีปิน เขาเอ่ยว่า “หากผู้ต่ำต้อยจำไม่ผิด ใต้เท้าถังในปีนั้นมีชื่อติดในประกาศการสอบเตี้ยนซื่อด้วยคะแนนสูงสุดของระดับสอง วรรคแรกที่ธรรมดาสามัญเกินไปไยมิใช่เป็นการปรามาสใต้เท้าแล้ว ผู้ต่ำต้อยมีกลอนคู่อยู่วรรคหนึ่ง ขอใต้เท้าโปรดชี้แนะ”

หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้เพียงรู้สึกได้รางๆ ครานี้ถังฟั่นยิ่งมั่นใจเต็มเปี่ยม อีกฝ่ายกำลังหาเรื่องตนอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่เขาไม่รู้จักสวีปิน และไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน ไฉนอีกฝ่ายจึงเอ่ยวาจาประชดประชันครั้งแล้วครั้งเล่า

ถังฟั่นยิ้มชืดๆ “เชิญกล่าว”

สวีปินลอบยิ้มเย็น กระแอมคำหนึ่ง “เฒ่าผมขาวจูงวัวข้ามภูฉาง เจอหินลื่นหกล้มเข่าวัวแตก”

ในกลอนคู่นี้มีชื่อสมุนไพรแทรกอยู่หลายชนิด ไป๋โถว เชียนหนิว ฉางซาน หวาสือ หนิวซี***

เขาเข้าใจว่ากลอนวรรคนี้ยากมาก หารู้ไม่เพิ่งขาดคำไม่ถึงอึดใจ ถังฟั่นก็ต่อวรรคท้ายว่า “สาวผมทองเผาหญ้ากองสูตี้ ลืมป้องลมกลับไหม้เป็นเฉ่าอู”

มีชื่อสมุนไพรแทรกอยู่ห้าชนิดเช่นกัน หวงฝ่า จื้อเฉ่า สูตี้ ฝางเฟิง เฉ่าอู**** สอดคล้องอย่างไร้ที่ติ

สวีปินไม่ยอมแพ้ จึงเปลี่ยนวรรคแรกเป็น “เฒ่าผมขาวกุมง้าวใหญ่ควบม้าน้ำ รบโจรไม้ขโมยหญ้าหนึ่งร้อยศึก คว้าชัยกลับเมือง มิเสียชื่อแม่ทัพอาวุโส”

คำว่าแม่ทัพและอาวุโสเองเป็นอีกชื่อหนึ่งของสมุนไพรต้าหวงและกันเฉ่า คำอื่นๆ เช่น ต้าจี๋ ไห่หม่า มู่เจ๋ย เฉ่าโค่ว เสวียนฟู่***** ก็เป็นชื่อสมุนไพรเช่นกัน

ยามนั้นทุกคนล้วนได้กลิ่นดินปืนจางๆ อดกลั้นหายใจมิได้ หวั่นว่าถังฟั่นตอบไม่ได้จะหน้าแตกยับเยิน

เจ้าเมืองฟั่นปั้นหน้าบูดบึ้ง ผู้หนุนหลังของสวีปินคนนี้มิใช่ธรรมดา เขาเองไม่คิดจะล่วงเกิน ทว่าอีกฝ่ายกลับจะเล่นงานถังฟั่นให้ได้

ถังฟั่นยิ้มน้อยๆ “เจ้าสาวชุดแดง ปักปิ่นทอง ครอบมงกุฎเงิน สวยแจ่มเหนือโบตั๋นแลเสาเหย้า ชดช้อยออกเรือนงามราวเทพธิดาล่องเมฆา”

เจ้าเมืองฟั่นโพล่งอุทานดังลั่น “วิเศษ! วิเศษยิ่งนัก!”

คนอื่นๆ ตื่นจากภวังค์ พากันโห่ร้องชมเชย

กลอนคู่วรรคท้ายนี้นับว่าวิจิตรพิสดารแท้จริง อื่นๆ ไม่ต้องพูดถึง ช่วงสุดท้ายที่ว่าเทพธิดาล่องเมฆา นี่ต่างหากที่บรรเจิดเลิศล้ำ

อวิ๋นหมู่****** นำมาปรุงยาได้ ส่วนคำว่าเทพธิดาก็หมายถึงหญ้าเทียนเซียน ที่วิเศษก็คือสามารถใช้แทนบุคคล ขณะเดียวกันก็เสริมส่งคำว่าแม่ทัพอาวุโสของวรรคแรกให้เด่นชัดยิ่งขึ้น

ไม่รอให้สวีปินกล่าวคำ ถังฟั่นเลิกคิ้ว “ตกลงกันว่าหนึ่งคนต่อหนึ่งกลอนคู่ คหบดีสวีกลับทำผิดกฎแล้ว ใช่สมควรปรับสุราหรือไม่”

เจ้าเมืองฟั่นรีบเสริม “ใช่ๆ ต้องปรับๆ”

สวีปินขัดใจยิ่งนัก ตอนแรกเขานึกว่าจะทำให้ถังฟั่นอับอายต่อหน้าธารกำนัล ข่มบารมีอีกฝ่ายสักหน่อย มิคาดเรื่องราวกลับผิดจากที่หวัง

เขายกจอกฝืนยิ้ม “น้อมรับความปราชัย สมควรปรับ”

แล้วยกดื่มสามจอกรวด

ยามนั้นเสิ่นซือโวยวายขึ้นมา “ทุกท่านมีวิชาความรู้เต็มท้อง นี่ไยมิใช่รังแกข้าซึ่งอ่อนด้อยตำราแล้ว ต่อกลอนคู่ออกจะแห้งแล้งเกินไป มิสู้ทายอักษรปริศนาดีกว่า”

ลู่หลิงซีสนับสนุน “เป็นความคิดที่ไม่เลว แต่อย่าเดิมพันสุราอีกเลย ให้คนหนึ่งตั้งปริศนา ผู้ตอบได้คนแรกถือว่าชนะ ใต้เท้าทุกท่านเห็นเป็นเช่นไร”

ถังฟั่นอมยิ้ม “น้อมปฏิบัติตาม”

เจ้าเมืองฟั่นก็รีบเสริม “ในที่นี้ใต้เท้าถังถือเป็นผู้มีเกียรติสูงสุด เช่นนั้นให้ใต้เท้าถังตั้งปริศนาก่อน”

ถังฟั่นกล่าว “เมื่อครู่นายอำเภอจี๋ใช้ ‘กระรอกหลังกิ่งใบชะเง้อผลหลี่และท้อละลานตา’ เป็นวรรคแรก ข้าก็ขอมักง่ายสักครา เอาคำว่ากระรอกหลังกิ่งใบ******* เป็นปริศนาแล้วกัน”

ฉวยจังหวะที่ทุกคนกำลังครุ่นคิด จี๋หมิ่นยิ้มกล่าว “คำตอบก็ซ่อนอยู่ในปริศนานั่นเอง ผู้น้อยกล่าวถูกต้องหรือไม่”

พอเขากล่าวขึ้นมา ทุกคนค่อยแจ่มแจ้งแทงตลอด หากตัดส่วนประกอบด้านหลังของคำว่าจือ (枝) ก็เหลือแค่มู่ (木 ) ส่วนคำว่าสู่ (鼠) เมื่อเทียบแผนภูมิปฐพีจะตรงกับยามจื่อ (子) เมื่อนำมารวมกันก็คือคำว่าหลี่ (李) ซึ่งเป็นคำที่อยู่ในวรรคแรกของกลอนคู่ที่ว่า ‘ผลหลี่และท้อละลานตา’

ถังฟั่นยิ้มกว้าง “พี่จื่อหมิงเฉียบแหลมยิ่ง!”

จี๋หมิ่นตอบ “ใต้เท้าชมเชยเกินไปแล้ว”

อันที่จริงลู่หลิงซีก็คิดคำตอบได้แล้วเช่นกัน เพียงช้าไปก้าวหนึ่ง เห็นถังฟั่นกับจี๋หมิ่นสบตาแย้มยิ้ม คล้ายเอิบอาบด้วยไมตรีอันเปี่ยมล้น ก็ให้รู้สึกขัดอารมณ์ขึ้นมา

 

* เถาจูกงหรือฟั่นหลี่ เป็นนักปกครอง นักการทหาร นักเศรษฐศาสตร์ และนักปรัชญาเต๋า ชาวแคว้นฉู่ มีชีวิตในยุคชุนชิว เถาจูกงประกอบการค้าจนร่ำรวย และบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดก่อนเร้นกายจากทางโลก

** เสิ่นวั่นซัน เป็นพ่อค้าที่ประกอบกิจการจนร่ำรวยถึงระดับอัครมหาเศรษฐี มีชีวิตอยู่ในช่วงปลายราชวงศ์หยวน

*** ชื่อสมุนไพรแต่ละชนิดมีความหมายตรงกับกลอนคู่ดังนี้ ไป๋โถว (ผมขาว) เชียนหนิว (จูงวัว) ฉางซาน (ภูฉาง) หวาสือ (หินลื่น) หนิวซี (เข่าวัว)

**** ชื่อสมุนไพรแต่ละชนิดมีความหมายตรงกับกลอนคู่ดังนี้ หวงฝ่า (ผมทอง) จื้อเฉ่า (เผาหญ้า) สูตี้ (ชื่อสมุนไพรจีน) ฝางเฟิง (ป้องลม) เฉ่าอู (ชื่อสมุนไพรจีน)

***** ชื่อสมุนไพรแต่ละชนิดมีความหมายตรงกับกลอนคู่ดังนี้ ต้าจี๋ (ง้าวใหญ่) ไห่หม่า (ม้าน้ำ) มู่เจ๋ย (โจรไม้) เฉ่าโค่ว (ขโมยหญ้า) เสวียนฟู่ (คว้าชัย)

****** อวิ๋นหมู่ เป็นแร่ชนิดหนึ่ง ใช้ทำเป็นยา เมื่อแปลตรงตามอักษรจีนจะมีความหมายว่าล่องเมฆา

******* กระรอกหลังกิ่งใบ ภาษาจีนเขียนว่าจือโห่วซงสู่ (枝后松鼠) หากแยกความหมายทีละคำ คำว่าจือ (枝) แปลว่ากิ่งไม้ โห่ว (后) แปลว่าหลังจาก และซงสู่ (松鼠) แปลว่ากระรอก

งานเลี้ยงต้อนรับงานนี้โดยรวมนับว่าเป็นที่สำราญบานใจทั้งแขกเหรื่อ จะมีก็แต่สวีปินซึ่งเป็นตัวแปรที่ไม่กลมกลืนเล็กๆ คนนี้

เพราะมีคำสั่งของเจ้าเมืองฟั่น บรรดาคหบดีด้านนอกไม่กล้าเข้ามารบกวนโดยพลการ กินเสร็จต่างคนต่างแยกย้าย ส่วนโต๊ะของพวกถังฟั่นครึกครื้นเป็นพิเศษเพราะได้การละเล่นปรับสุรามาช่วยเสริมบรรยากาศ กว่าจะจบงาน แต่ละคนล้วนมีอาการมึนเมาแล้ว

เจ้าเมืองฟั่นพยุงถังฟั่นขึ้นรถม้าด้วยตนเอง ทั้งกำชับคนขับรถม้าให้ส่งใต้เท้าผู้แทนราชสำนักถึงบ้านพักรับรองให้เรียบร้อย

คนขับรถม้าไหนเลยเคยประสบเหตุการณ์ใต้เท้าเจ้าเมืองลดเกียรติมาสนทนากับตน ตื้นตันจนพูดตะกุกตะกัก พยักหน้าค้อมเอวรับคำติดๆ กัน

อันที่จริงถังฟั่นมิได้เมามายอันใด เขาแค่อยากอาศัยอาการเมาปิดฉากงานเลี้ยงครั้งนี้ให้เร็วขึ้น

เมื่อขึ้นรถม้าเสร็จเขาจึงคลายมือจากลู่หลิงซี แววตาที่เลื่อนลอยเล็กน้อยคืนสู่ความแจ่มใส

“อี้ชิง เจ้าฉวยโอกาสที่คนยังไปไม่ไกลไล่ตามเกี้ยวของนายอำเภอจี๋ บอกให้เขาไปที่บ้านพักรับรองเที่ยวหนึ่ง ข้าอยากพบเขา”

“เมื่อครู่ในงานเลี้ยงมิใช่พูดคุยกันตั้งมากมายก่ายกองแล้ว ยังจะคุยอีกหรือ”

ถังฟั่นเคาะศีรษะเขาทีหนึ่ง “เมื่อครู่แค่พูดคุยเป็นพิธี ข้ายังมีเรื่องงานต้องถามเขา”

ลู่หลิงซีไม่ค่อยเต็มใจนัก หากก็มิได้ปฏิเสธ เพียงกระโดดลงจากรถม้าไปตามคน

ไม่ถึงครู่เขาก็พาจี๋หมิ่นกลับมา

ถังฟั่นเลิกม่านรถ ยิ้มให้ฝ่ายหลัง “พี่จื่อหมิง หากไม่รังเกียจ คืนนี้ไปพักแรมที่บ้านพักรับรองเป็นอย่างไร นานแล้วที่เราสองมิได้พบหน้า ข้ามีวาจาไม่น้อยจะพูดกับท่าน”

จี๋หมิ่นยิ้มกล่าว “ประจวบเหมาะยิ่ง ข้าก็มีวาจาไม่น้อยจะกล่าวกับใต้เท้า ไม่ทราบรถม้าคันนี้ยังพอเบียดเข้าไปได้อีกคนหรือไม่”

ถังฟั่นกวักมือ “อย่าว่าแต่คนหนึ่งเลย อีกสองคนก็นั่งได้สบาย รีบขึ้นมาเถอะ เพิ่งดื่มสุราเสร็จโดนลมเย็น ระวังจะไม่สบาย”

จี๋หมิ่นมิได้โยกโย้ เกาะมือถังฟั่นมุดเข้ารถม้าไป

เจ้าเมืองฟั่นพยายามเอาใจถังฟั่นสุดฤทธิ์ รถม้าคันนี้ย่อมตกแต่งเป็นอย่างดี ไม่ต้องอื่นไกล เพื่อไม่ให้คนนั่งรู้สึกโคลงเคลง ภายในรถจึงปูด้วยฟูกหนาสามชั้น และเพราะยามนี้ตรงกับหน้าร้อน เหนือฟูกยังปูเสื่อไม้ไผ่ผืนหนึ่ง ดังนั้นคนนั่งอยู่ด้านบนไม่เพียงไม่รู้สึกโคลงเคลงยามรถม้าเคลื่อนที่ กลับค่อนข้างสุขกายสบายใจด้วยซ้ำ

พื้นที่ภายในก็กว้างขวางมาก บุรุษคนหนึ่งนอนแผ่ยังเหลือเฟือ เพิ่มจี๋หมิ่นอีกคนย่อมไม่เป็นอุปสรรคอันใด

ถังฟั่นเห็นลู่หลิงซีทำท่าจะนั่งข้างนอกกับคนขับรถม้าจึงถามเสียงฉงน “เหตุใดเจ้านั่งอยู่ตรงนั้น ไยไม่เข้ามา”

ลู่หลิงซีเข้าใจว่าจี๋หมิ่นมาแล้ว ถังฟั่นคงอยากสนทนาเป็นการส่วนตัว เพื่อเลี่ยงมิให้อีกประเดี๋ยวโดนไล่ออกมา มิสู้ออกมาเองอย่างรู้งาน มิคาดถังฟั่นกลับให้เขาเข้าไปนั่งข้างใน หลังชะงักไปเล็กน้อยลู่หลิงซีก็หน้าบานขึ้นมา ตอบรับคำหนึ่งแล้วหมุนตัวทันควัน มุดเข้ารถม้าอย่างว่องไว

จี๋หมิ่นยิ้มกล่าว “คุณชายลู่เป็นผู้ฝึกยุทธ์?”

ลู่หลิงซีตอบ “ไม่ถึงขั้นนั้น แค่ตอนเด็กๆ เคยฝึกหมัดมวยกับผู้อาวุโสเพิ่มความแข็งแรงเท่านั้นเอง”

จี๋หมิ่นกระเซ้า “คุณชายลู่ปัญญาเฉียบคม ฝีมือสูงส่ง เรียกได้ว่าเพียบพร้อมทั้งบุ๋นบู๊จริงๆ ไม่ทราบว่าอนาคตจะสอบรับราชการฝ่ายบุ๋นหรือฝ่ายบู๊”

ลู่หลิงซีหัวเราะเบาๆ ลำตัวครึ่งหนึ่งซ่อนอยู่ด้านหลังถังฟั่นคล้ายเขินอายเล็กน้อย

ถังฟั่นแม้ทราบว่าเขาไม่มีอุปนิสัยเช่นนี้หากก็มิได้เปิดโปง กลับช่วยแก้ต่าง “อี้ชิงเป็นบุตรของสหายอาวุโสท่านหนึ่งของข้า เขาอายุยังน้อยและมีนิสัยขี้เล่น ญาติผู้ใหญ่ในบ้านจึงให้เขาติดตามข้าออกมาเปิดหูเปิดตา ข้าปฏิบัติต่อเขาเสมือนน้องชายคนหนึ่ง”

ความนัยของถ้อยคำคือลู่หลิงซีมิใช่คนนอก

จี๋หมิ่นถอนใจ “ไม่พบหน้าหลายปี รุ่นชิงเหมือนอดีตไม่เปลี่ยน ยังดีต่อสหายเสมอ”

ถังฟั่นหัวเราะ “พี่จื่อหมิงชมเกินไปแล้ว ในเมื่อเป็นสหายย่อมต้องคบหาด้วยจริงใจ จะว่าไปเราสองไม่ได้เจอกันห้าหกปีแล้วกระมัง”

จี๋หมิ่นพยักหน้า “ตั้งแต่ข้าออกจากเมืองหลวงถึงบัดนี้ห้าปีเศษแล้ว”

ปราศจากคนนอก ถังฟั่นค่อยพินิจอีกฝ่ายอย่างเปิดเผย พบว่าอีกฝ่ายไม่ห่อเหี่ยวท้อแท้เหมือนครั้งอยู่ที่เมืองหลวง ถึงแม้อายุมากกว่าเขาสองปี ดูไปกลับไม่ต่างจากอดีต เรือนผมดกดำ หน้าตาอิ่มเอิบสดใส หรือกล่าวได้ว่าชุดขุนนางนี้เดิมทีก็มีอิทธิพลใหญ่หลวง เมื่อสวมใส่บนร่าง เสน่ห์แห่งอำนาจที่ไร้รูปลักษณ์มักทำให้ผู้คนแลดูอ่อนเยาว์อย่างเห็นได้ชัด

ถังฟั่นยิ้มกล่าว “ดูท่าเจียงซีจะอุดมสมบูรณ์จริงๆ หลังท่านมาถึงที่นี่กลับแลดูสดใสกว่าแต่ก่อน”

จี๋หมิ่นหัวเราะฮาๆ มิได้เอ่ยแย้ง “อันที่จริงยังคงต้องมีงานมีการให้ทำ พอยุ่งขึ้นมาย่อมไม่ว่างไปครุ่นคิดฟุ้งซ่าน เมื่อก่อนข้าสอบตกซ้ำซาก ความคิดจึงคับแคบ มักรู้สึกคนนี้ขัดตา คนนั้นกลั่นแกล้งข้า แต่ตอนนี้เห็นโลกมากเข้า พอย้อนคิดถึงอดีต ก็แค่มายาลวงตา ให้รู้สึกละอายยิ่งนัก ไม่รู้ว่าพวกพี่เฉียวยังจำข้าได้หรือไม่ คราวหน้าถ้าเข้าไปรายงานข้อราชการที่เมืองหลวง หากพวกเขายังอยู่ที่นั่น ข้าคงต้องรุดไปขอขมาถึงที่ให้ได้”

“พวกเขาย่อมจำท่านได้แน่ อีกอย่างเมื่อก่อนท่านอารมณ์ไม่ดีมิใช่หรือ ทุกคนล้วนเข้าใจได้ ไม่ว่าใครถ้าตกอยู่ในสภาพนั้นอารมณ์ก็คงไม่ดีไปได้ การสอบรับราชการโชคชะตาสำคัญมาก พวกเราแค่โชคดีบรรลุเป้าหมายก่อนท่านก้าวหนึ่งเท่านั้นเอง บัดนี้ท่านสามารถเดินออกมาได้ พวกพี่เฉียวทราบเข้าต้องดีใจแน่นอน”

จี๋หมิ่นยิ้มกว้าง “เจ้ายังคงรู้จักพูด…”

ไม่ทันพูดจบรถม้าจู่ๆ ก็สะเทือนรุนแรง หยุดชะงักกะทันหัน ตามด้วยเสียงกู่ร้องของอาชา ตัวรถโยกคลอนอย่างหนัก พวกถังฟั่นจำต้องเกาะผนังรถเพื่อทรงตัว

“ใต้เท้าอย่าออกมา คุณชายลู่คุ้มกันใต้เท้าด้วย!” สีหมิงตะโกนลั่นจากข้างนอก

จี๋หมิ่นแตกตื่น “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

ความจริงไม่จำเป็นต้องให้สีหมิงบอกเป็นพิเศษ ลู่หลิงซีก็ชักกระบี่จากฝัก กุมมั่นในมือเรียบร้อยพลางสดับฟังความเคลื่อนไหวด้านนอกอย่างตื่นตัวแล้ว

เสียงดาบกระบี่โรมรันดังลอดเข้ามา แทรกด้วยเสียงของพวกสีหมิง “โจรชั่ว บังอาจลอบทำร้ายกลางถนน แน่จริงจงทิ้งชื่อแซ่ไว้!”

ฝ่ายตรงข้ามย่อมไม่ตอบคำถามเขา ประเมินสถานการณ์จากการฟังในรถ การต่อสู้ข้างนอกน่าจะดุเดือดมาก

ถังฟั่นยังนับว่าเยือกเย็น ถึงขนาดมีแก่ใจไปปลอบจี๋หมิ่น “พี่จื่อหมิงไม่ต้องห่วง พวกสีหมิงรับมือได้แน่”

แม้กล่าวเช่นนั้น ในใจเขากลับอดจะขมวดคิ้วมิได้

ควรรู้ว่าสีหมิงและพวกรวมสี่คนคือระดับสุดยอดของสำนักประจิมมาก่อน ด้วยนิสัยของวังจื๋อย่อมไม่ยินดีส่งพวกที่ฝีมือเรียบๆ มาไว้ข้างกายเขา กระทั่งลู่หลิงซียังเคยพูดว่าหากสี่คนโจมตีพร้อมเพรียง ตนคนเดียวคงรับมือได้ไม่กี่กระบวนท่า

ทว่ายามนี้เวลาล่วงผ่านทีละนิดทีละน้อย ศึกด้านนอกกลับไม่มีวี่แววยุติ เสียงอาวุธกระทบกระทั่งกลับยิ่งมายิ่งกระหึ่มประหนึ่งฝนฟ้าคะนอง

ขณะนั้นม่านราตรีคลี่คลุม อำเภอหลูหลิงแม้มิใช่อำเภอเล็ก แต่เมื่อล่วงเข้ายามวิกาลบนท้องถนนก็ปราศจากผู้คนแล้ว เหลือเพียงคนเคาะบอกเวลาไม่ก็ทหารลาดตระเวน เสียงดังสนั่นปานนี้ทหารลาดตระเวนได้ยินเข้าพลันเร่งรุดมา กลับเห็นรถม้าคันหนึ่งจอดนิ่งกลางถนน คนและม้าสองฝ่ายที่ฐานะไม่ชัดแจ้งกำลังเข่นฆ่าชุลมุน ท่าทางคล้ายไม่ตายไม่รามือกระนั้น สองข้างของรถม้ามีคนทอดร่างไปแล้วหลายคน พิจารณาจากเสื้อผ้า ไม่เพียงมีคนขับรถม้า ยังมีเจ้าหน้าที่ของอำเภอ

ทหารลาดตระเวนเห็นเข้าก็ทราบว่าที่นั่งอยู่ในรถม้าต้องเป็นขุนนางท่านใดท่านหนึ่ง หลังมองหน้ากันเลิ่กลั่ก พวกเขาทั้งไม่กล้าล่าถอย ทั้งไม่กล้าขึ้นหน้าไปร่วมวง ได้แต่ส่งคนหนึ่งไปขอความช่วยเหลือพลางแหกปากตะโกน “นั่นใคร บังอาจชกต่อยแถวนี้ ยามนี้ทหารรุดมายังไม่รีบวางอาวุธยอมจำนน”

ผู้ลอบจู่โจมคล้ายตัดสินใจแน่วแน่จะบุกเข้ารถม้าให้ได้จึงลงมืออย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน ไหนเลยจะสนใจเสียงตะโกนของทหาร สมาธิล้วนวางไว้บนร่างของพวกสีหมิงที่รายล้อมอยู่นอกรถม้า

ขณะนั้นได้ยินเสียงตะโกนจากในรถ “ข้าคือจี๋หมิ่นนายอำเภอหลูหลิง ในรถคือขุนนางผู้แทนราชสำนัก พวกเจ้ายังไม่รีบกลับไปแจ้งข่าว!”

พอได้ยินเหล่าทหารก็พลันตกใจจนขวัญกระเจิง

อำเภอหลูหลิงอยู่ใต้อำนาจปกครองของเมืองจี๋อัน ข่าวสารของคนเหล่านี้ย่อมฉับไวกว่าที่อื่นมาก เรื่องขุนนางผู้แทนราชสำนักมาสืบคดีในเมืองจี๋อันพวกเขาล้วนทราบดี ปรากฏว่าผู้อื่นเพิ่งเข้าเขตอำเภอหลูหลิงก็ประสบเหตุร้าย หากเบื้องบนกล่าวโทษลงมา กลุ่มแรกที่จะดวงตกก็คือพวกเขานั่นเอง

ทหารหลายนายมองหน้ากันไปมา พลันไม่กล้านิ่งดูดายแล้ว จำต้องย่างเท้าไปทางรถม้าคันนั้นช้าๆ เกรงว่าหากพลั้งเพียงนิดอาจกลายเป็นซากศพเหมือนพวกดวงกุดที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นหลายคนนั้น

ทว่ายอดฝีมือประหัตประหาร ไหนเลยมีที่ทางให้พวกเขาสอดมือ

ผู้ซุ่มโจมตียามวิกาลมากันมากถึงแปดคน พวกสีหมิงสี่คนแยกกันยืนล้อมรถม้าทั้งสี่ด้าน หนึ่งต่อสอง รับมือด้วยความกินแรงยิ่ง

ได้ยินเสียงต่อสู้ข้างนอกดังขึ้นเรื่อยๆ และทัพหนุนยังไม่มาเสียที ลู่หลิงซีที่อยู่ในรถอดรนทนไม่ไหว บอกกับถังฟั่นว่า “พี่ถัง ข้าออกไปช่วยก่อน” แล้วยกกระบี่เลิกม่านรถกระโจนออกไป

มีเขาเข้ามาเสริมทัพ ความกดดันของพวกสีหมิงพลันบางเบา แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นสถานการณ์ยังคงไม่สู้ดี

ไม่ต้องพูดถึงฝีมือของลู่หลิงซี เขาสืบทอดวิชาจากเส้าหลิน ทั้งผาดโผนยุทธภพ ประสบการณ์สู้รบไม่นับว่าอ่อนด้อย สีหมิงสี่คนก็ยอดฝีมือชั้นหนึ่ง แต่รวมกันห้าคนยังคงตกเป็นรองคู่ต่อสู้

ไม่รู้ว่าคนชุดดำทั้งแปดนี้โผล่มาจากทิศใด พอลงมือก็ใช้กระบวนท่าปลิดชีพ อำมหิตสุดขีด คนของฝ่ายสีหมิงต้านรับแทบไม่ทัน เพียงแต่พวกเขาทราบว่าคนในรถม้าปราศจากพลังต่อต้านโดยสิ้นเชิง ดังนั้นต่อให้ทุ่มแรงสุดตัวก็ต้องรักษาแนวป้องกันรอบรถม้าคันนี้เอาไว้ให้ได้ ไม่อาจให้ฝ่ายตรงข้ามทะลุทะลวง

ถังฟั่นและจี๋หมิ่นอยู่ในรถม้า หนึ่งวันประดุจหนึ่งปี

เพื่อเลี่ยงมิให้สร้างความยุ่งยากแก่พวกสีหมิง ทั้งสองไม่อาจชะโงกออกไปชมดู ได้แต่นั่งมองหน้ากันอยู่ที่เดิม

ตั้งแต่ออกทัศนาจรนอกบ้านในปีนั้น ถังฟั่นประสบเหตุการณ์สุ่มเสี่ยงมานักต่อนัก ยามนี้ยังไม่นับว่าอันตรายที่สุด ดังนั้นสีหน้าเขาจึงเยือกเย็น มีเพียงหัวคิ้วขมวดมุ่น ที่วิตกคือความปลอดภัยของพวกลู่หลิงซี

จี๋หมิ่นคงเพราะไม่อยากเผยความขลาดกลัวต่อหน้าถังฟั่น แม้สีหน้าขาวซีดหากยังคงรักษาความสงบเย็นไว้ได้ เพียงกำมือจนแน่น

ถังฟั่นเอ่ยปลอบว่า “ท่านไม่ต้องห่วง พวกอี้ชิงล้วนฝีมือดี ไม่เป็นไรหรอก”

จี๋หมิ่นฝืนยิ้มให้เขา ตามด้วยขมวดคิ้วแน่น “อำเภอหลูหลิงร่มเย็นมาตลอด ไม่เคยได้ยินว่ามีโจรผู้ร้ายอันใด ไฉนเจ้าเพิ่งมาถึงก็มีคนลอบสังหารแล้ว หรือก่อนหน้านี้ตอนอยู่ซูโจวเจ้าก็เคยเจอ?”

ถังฟั่นสั่นหน้า “ไม่เคย”

จี๋หมิ่นคาดคะเน “เช่นนั้น…หรือจะเกี่ยวกับคดีที่เจ้ากำลังสืบ?”

ถังฟั่นสะดุดใจวูบ

หากถามว่าเวลานี้ผู้ใดไม่อยากให้เขามาสืบคดีที่สุด นั่นมีเพียงเสิ่นคุนซิวอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หัวหน้ากองการศึกษาคนหนึ่งจะเกี่ยวพันกับนักฆ่าเหล่านี้ได้อย่างไร

หรือคดีนี้มีนัยอื่นแอบแฝง

ขณะที่เขาฉุกคิดอยู่นั้น ลิบๆ ออกไปคล้ายมีเสียงควบม้า ตามด้วยเสียงคนโหวกเหวก

ส่วนพวกทหารลาดตระเวนที่ทำได้แค่ยืนมุงเพราะทำอะไรไม่ถูก เห็นแสงไฟใกล้เข้ามาจึงตื่นเต้นลิงโลด

ในที่สุดทัพหนุนก็มาแล้ว

ขุนนางผู้แทนราชสำนักและนายอำเภอหลูหลิงถูกกักอยู่ในรถม้าด้วยกัน พลทหารที่วิ่งไปแจ้งข่าวได้แต่ตรงดิ่งไปหาฟั่นเยวี่ยเจิ้งที่จวนเจ้าเมืองจี๋อัน

งานเลี้ยงเพิ่งเลิกรา เจ้าเมืองฟั่นดื่มจนเมามาย กำลังอยู่ระหว่างทางกลับจวนที่พัก เพิ่งถึงหน้าประตูก็เห็นทหารนายหนึ่งกระหืดกระหอบมารายงานว่าขุนนางผู้แทนราชสำนักโดนลอบทำร้ายระหว่างเดินทางกลับ บนรถม้าคันเดียวกันยังมีนายอำเภอหลูหลิงอีกด้วย

ต่อให้เจ้าเมืองฟั่นเมาเพียงใด พอสดับก็สร่างไปเจ็ดแปดส่วนแล้ว รีบรุดสู่ที่เกิดเหตุทันที

แต่ที่ปรึกษาคนสนิทกลับหัวไว รีบรั้งเขาไว้แล้วท้วงว่าตรงไปเช่นนี้ไม่มีประโยชน์ อย่าว่าแต่ช่วยขุนนางผู้แทนราชสำนักไม่ได้เลย กระทั่งตนเองยังอาจเอาชีวิตไม่รอด มิสู้รีบไปเตรียมทัพหนุนจะดีกว่า

เพราะได้ยินว่าข้าศึกฝีมือแกร่ง ทั้งมีจำนวนมาก นายกองพันถานจึงนำทหารปืนไฟกลุ่มย่อยติดตามไป

กว่าจะตระเตรียมพร้อมพรักทำเอาเสียเวลาไม่น้อย

โชคดีพวกสีหมิงประคองไว้ได้นาน เพราะพวกเขาตระหนักว่าหากถังฟั่นมีอันเป็นไป พวกเขาเท่ากับบกพร่องในหน้าที่ ต่อให้วังจื๋อไม่ตำหนิ พวกเขาก็ต้องโดนราชสำนักลงทัณฑ์ ดังนั้นทุกคนจึงทุ่มเทสุดกำลังต้านรับการโจมตีของศัตรูจนเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล

แน่นอนฝ่ายตรงข้ามก็มิได้สบายไปกว่ากัน บนร่างของแปดคนนั้นมีริ้วโลหิตมากบ้างน้อยบ้าง ถึงแม้เป้าหมายของพวกมันคือคนในรถม้า แต่ขณะเดียวกันต้องระวังมิให้ถูกจับตัวได้ ดังนั้นเมื่อเห็นทหารกลุ่มหนึ่งลุถึงจึงทราบว่าโอกาสสังหารที่ดีที่สุดได้ผ่านพ้น ยามนี้ยากจะเสาะหาจังหวะลงมืออีกแล้ว

เพียงเห็นหนึ่งในนั้นที่ท่าทางคล้ายหัวหน้าทำสัญญาณมือ อีกเจ็ดคนที่เหลือพลันล่าถอยไปอีกฝั่ง หลังถอยร่นได้ระยะหนึ่งก็หมุนตัวหลบหนีไป เงาร่างกลืนหายไปกับแสงสีราตรีอย่างรวดเร็ว

ลู่หลิงซีใคร่จะไล่กวด กลับถูกสีหมิงกดไว้ “เจ้าอยากตายหรือ”

พิจารณาจากฝีมือของฝ่ายตรงข้าม คะเนว่ายังสูงกว่าพวกสีหมิงขั้นหนึ่ง ดังนั้นการต่อสู้ฉากนี้พวกเขาและลู่หลิงซีรวมห้าคนต่างได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ยังมีสองคนอาการสาหัสอีกด้วย ส่วนฝ่ายตรงข้ามแม้บาดเจ็บเช่นกันกลับเป็นแค่แผลภายนอก หากลู่หลิงซีไล่ตามไป แปดเก้าส่วนก็คือมีไปไม่มีกลับ

ลู่หลิงซีพอฟังก็ได้แต่ล้มเลิกอย่างเจ็บใจ

ทหารช่วยเหลือมาถึงแล้ว เจ้าเมืองฟั่นเห็นแต่ละคนสะบักสะบอม อดตระหนกมิได้ “ใต้เท้าถังเป็นอย่างไรแล้ว ไม่ได้รับบาดเจ็บกระมัง”

“ข้าไม่เป็นไร”

ถังฟั่นออกจากรถม้า ถัดมาคือจี๋หมิ่น

เจ้าเมืองฟั่นแนะนำให้ถังฟั่นรู้จัก “ท่านนี้คือนายกองพันถานของกองพันทหารจี๋อัน ผู้น้อยได้ยินข่าวก็รีบไปขอให้นายกองพันถานรุดมาทันที”

ในถ้อยคำของเขามีนัยประจบเอาหน้า พฤติการณ์ชนิดนี้เป็นเรื่องปกติในแวดวงขุนนาง ปกติถังฟั่นยังมีอารมณ์กล่าวคำตามธรรมเนียมกับเขา แต่ยามนี้กลับเพียงประสานมือต่อนายกองพันถาน “ขอบคุณนายกองพันถาน น้ำใจครานี้ข้ารับไว้แล้ว วันหน้าต้องรุดไปขอบคุณด้วยตนเองอีกครั้ง”

นายกองพันถานรู้จักกาลเทศะกว่าเจ้าเมืองฟั่นมากนัก เขาเห็นคนข้างกายถังฟั่นล้วนบาดเจ็บไม่เบาจึงกล่าว “ผู้น้อยรู้จักหมอที่เชี่ยวชาญด้านบาดแผลภายนอกหลายคน หากใต้เท้าถังต้องการ ผู้น้อยจะส่งคนไปเชิญพวกเขา”

ถังฟั่นก็มิได้เกรงใจ ล้วนรับไว้ทั้งหมด “เช่นนั้นต้องรบกวนนายกองพันถานแล้ว”

นายกองพันถานรีบกล่าว “ใต้เท้ามิต้องเกรงใจ เหตุเกิดในเมืองจี๋อัน ผู้น้อยไม่อาจปัดความรับผิดชอบ ใต้เท้าโปรดให้ผู้น้อยคุ้มกันท่านกลับบ้านพัก”

เจ้าเมืองฟั่นไม่ยอมน้อยหน้า “ผู้น้อยก็ขอไปส่งใต้เท้าด้วย”

พวกสีหมิงบาดเจ็บไม่เบา มีสองคนทำท่าจะล้ม ถังฟั่นจึงไม่บ่ายเบี่ยง สั่งสีหมิงประคองสองคนที่เจ็บหนักขึ้นรถม้า แล้วยืมม้าหลายตัวจากนายกองพันถาน ตนเองและพวกลู่หลิงซียังสามารถเคลื่อนไหวได้จึงขี่ม้ากลับไป

คนร้ายไปแล้วย่อมจะไม่กลับมาที่เดิม และภายใต้การคุ้มกันของนายกองพันถานกับเจ้าเมืองฟั่น ถังฟั่นและคณะจึงกลับถึงบ้านพักรับรองโดยปลอดภัย

นอกจากสองคนที่เจ็บหนักแล้ว พวกสีหมิงและลู่หลิงซีที่เหลือล้วนมีบาดแผลมากบ้างน้อยบ้าง ลู่หลิงซีโดนไปหนึ่งดาบบนท่อนแขน แผลลึกถึงกระดูก ตลอดทางเขาข่มกลั้นไว้ไม่โอดครวญ เมื่อกลับถึงบ้านพักก็เพียงพันผ้าห้ามเลือดไว้แบบลวกๆ จนกระทั่งหมอรุดมาจะใส่ยาให้เขา ทุกคนถึงเห็นว่าบาดแผลของเขาลึกเพียงใด

มาตรว่าพวกเขาบาดเจ็บเพราะอารักขาถังฟั่น แต่กล่าวโดยเคร่งครัดนี่เดิมทีก็เป็นหน้าที่ของพวกเขา ทว่าถังฟั่นไม่คิดเช่นนั้น ตรงข้ามกลับยกห้องพักของตนเองให้แก่คนเจ็บ รวมทั้งคอยดูอยู่ข้างๆ ในขณะที่หมอตรวจชีพจรและทำแผล สอบถามอาการของพวกสีหมิงอย่างเอาใจใส่ หลังทราบว่าหลายคนนั้นไม่มีอันตรายถึงชีวิตค่อยกำชับพวกสีหมิงนอนพักให้มาก แล้วสั่งเด็กรับใช้ในบ้านพักรับรองว่าพรุ่งนี้ให้ต้มโจ๊กเนื้อให้พวกสีหมิงเป็นพิเศษ

สีหมิงและพวกล้วนเห็นอยู่ในสายตา แม้ใบหน้าไม่แสดงออก หากก็ซาบซึ้งในใจ

ขุนนางที่แสดงน้ำใจพอเป็นพิธีนั้นมีอยู่ไม่น้อย ที่มากกว่าคือไม่แม้แต่จะแสดงน้ำใจ คนอย่างพวกเขาแม้พูดอย่างน่าฟังว่าเป็นยอดฝีมือ หากในความเป็นจริงก็คือเขี้ยวเล็บที่ทำงานให้คนอื่น ไม่ร่อนเร่ในยุทธภพก็เข้ารับราชการ แต่ต่อให้เป็นแม่ทัพนายกอง ศักดิ์ฐานะก็ไม่มีทางสูงไปกว่าขุนนางฝ่ายบุ๋น

ตอนแรกพวกสีหมิงคิดว่าด้วยฐานะของถังฟั่น ต้องเป็นคนที่ไม่เห็นผู้ต่ำต้อยกว่าอยู่ในสายตา พวกเขาเองก็ไม่ค่อยพอใจนักที่วังจื๋อสั่งให้มาคุ้มกันขุนนางฝ่ายบุ๋นคนหนึ่งซึ่งไม่มีแม้แต่แรงฆ่าไก่ ทว่าหลังเหตุการณ์ครั้งนี้การแสดงออกของถังฟั่นกลับทำให้พวกเขาเปลี่ยนความคิดสิ้นเชิง ยังไม่ต้องพูดถึงว่าอีกฝ่ายคิดเช่นไร เฉพาะความเอาใจใส่ที่ถี่ถ้วนเช่นนี้ก็มิได้สร้างความผิดหวังแก่พวกสีหมิงแล้ว

กว่าจะดูแลผู้บาดเจ็บเสร็จเรียบร้อย เวลาก็ล่วงไปกว่าสองชั่วยาม ถังฟั่นให้เจ้าเมืองฟั่นและพวกนายกองพันถานกลับไป เหลือเพียงจี๋หมิ่นยังอยู่ในบ้านพักรับรอง

เพราะยกเรือนหลักให้พวกสีหมิง ถังฟั่นจึงย้ายมาอยู่เรือนข้าง แม้คนของบ้านพักรับรองจัดเตรียมแต่เนิ่นๆ หากความสะดวกสบายยังคงย่อหย่อนไปบ้าง

ถังฟั่นเอ่ยน้ำเสียงละอาย “ต้องขออภัยพี่จื่อหมิงด้วย ทำให้เดือดร้อนไม่ว่า ข้ายังทิ้งท่านไว้คนเดียวอยู่เป็นนาน ไม่มีเวลาสนทนาด้วยเลย”

จี๋หมิ่นโบกมือ “ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เป็นวันหยุด ไม่ต้องตื่นเช้า” พูดจบก็ถอนใจ “แต่เรื่องในคืนนี้แปลกมากจริงๆ เมื่อก่อนข้ายังอิจฉาที่เจ้าเลื่อนตำแหน่งเร็ว คิดไม่ถึงว่าเจ้ากลับต้องเผชิญอันตรายปานนี้ มิน่าถึงต้องพกพาบริวารฝีมือดีหลายคน หากไม่มีพวกเขา เจ้าไยมิใช่ยิ่งอันตราย”

ถังฟั่นยิ้มกล่าว “อันที่จริงมิได้มีเหตุการณ์เช่นนี้บ่อยนัก ข้าอยู่ซูโจวก็ไม่เคยเจอ”

ความจริงตอนอยู่ซูโจวก็เคยประสบ เพียงแต่ผู้อื่นใช้แผนหญิงงามและติดสินบนด้วยเงินทองเท่านั้น ดังคำว่าสุราคือยาทะลวงไส้ นารีคือมีดขูดกระดูก ดังนั้นนี่นับเป็นความสุ่มเสี่ยงอีกรูปแบบหนึ่งเช่นกัน

จี๋หมิ่นได้ฟังก็อดเผยสีหน้าวิตกแทนเขาไม่ได้ “เช่นนั้นตอนนี้พวกคุณชายลู่ล้วนบาดเจ็บ หลายวันนี้ใครจะคุ้มกันเจ้า ถ้าอย่างไรข้าส่งเจ้าหน้าที่ในอำเภอมาช่วยดีกว่า”

ถังฟั่นปฏิเสธอย่างนุ่มนวล “ขอบคุณในความหวังดี แต่หากคนร้ายฝีมือสูงส่งเหมือนหลายคนในคืนนี้ เกรงว่าคนมากก็ไร้ประโยชน์ มิสู้ขอยืมทหารปืนไฟจากนายกองพันถานสักกลุ่มหนึ่ง”

จี๋หมิ่นทราบ สิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาเป็นความจริง จึงส่ายหน้า “เป็นข้าไม่ได้เรื่อง ก่อนนี้ได้ยินว่าเจ้าจะมา ข้าดีใจมาก นึกว่าคราวนี้ได้พบหน้าจะต้องสนทนาความหลังกับเจ้า คาดไม่ถึงเพิ่งเข้าเขตอำเภอหลูหลิงก็โดนลอบฆ่าเสียแล้ว จะว่าไปเป็นความบกพร่องในหน้าที่ของข้าเช่นกัน”

ถังฟั่นยิ้มกล่าว “นี่ไม่เกี่ยวกับท่าน อย่าโทษตนเองเลย หรือตอนนี้พวกเราจะสนทนาความหลังกันไม่ได้? ข้าเองก็อยากถามตั้งแต่ตอนที่เห็นท่านแล้วว่าต่อมาได้สอบฮุ่ยซื่ออีกหรือไม่ ไฉนเข้าเมืองหลวงแล้วไม่ไปหาข้า”

จี๋หมิ่นตอบ “ข้าไม่ได้ไปสอบที่เมืองหลวงอีกเลย หลังกลับบ้านเดิมข้าได้เจอคหบดีท่านหนึ่ง เขาชื่นชมที่ข้ามุมานะในการเรียน จึงออกเงินช่วยวิ่งเต้นในกรมอากร ซื้อตำแหน่งผู้ช่วยนายอำเภอให้ข้า ต่อมานายอำเภอหลูหลิงครบวาระก็เลยเสนอชื่อข้าขึ้นไป ข้าจึงได้เป็นนายอำเภอ”

ในราชวงศ์นี้บัณฑิตจวี่เหรินสามารถเป็นขุนนางได้ ตอนนั้นถังฟั่นสามารถช่วยเฮ่อหลินพี่เขยของเขาไปเป็นอาจารย์ใหญ่ในอำเภอมี่อวิ๋นได้ก็เพราะเฮ่อหลินเป็นบัณฑิตจวี่เหรินนั่นเอง

ทว่าด้วยนิสัยหยิ่งทะนงของจี๋หมิ่น ถังฟั่นเข้าใจมาตลอดว่าถ้าเขาสอบจิ้นซื่อไม่ได้คงไม่ยอมเลิกรา

คล้ายมองออกถึงความคิดของอีกฝ่าย จี๋หมิ่นเยาะหยันตนเอง “ตอนนั้นท่านแม่ข้าล้มป่วย ข้าเกรงท่านจะทุกข์ใจจึงต้องมีตำแหน่งงานเพื่อเลี้ยงชีพ เจ้าก็อย่าคิดมาก มิใช่ข้าไม่อยากไปหาเจ้า เพียงแต่ตอนนั้นเจ้าเพิ่งเข้าทำงานในศาลซุ่นเทียน ต่อให้อยากช่วยก็คงช่วยไม่ได้ เรื่องเช่นนี้คนนอกก็ช่วยไม่ได้ด้วย จำต้องแก้ไขเอง ดังนั้นถึงมิได้บอกเจ้า เลี่ยงมิให้เจ้าพลอยพะวงไปด้วย”

ถังฟั่นกล่าว “มิน่าข้าส่งจดหมายถึงท่านสองฉบับล้วนไม่มีข่าวคราวกลับมา นึกว่าตอนนั้นท่านไม่อยู่บ้านเดิมเสียแล้ว”

จี๋หมิ่นถอนใจ “ใช่ หลังข้ามาถึงอำเภอหลูหลิง เพราะงานยุ่งมากจึงปลีกตัวกลับบ้านเดิมไม่ได้เลย พูดแล้วก็อกตัญญูจริงๆ”

วันหยุดของขุนนางราชวงศ์นี้เดิมทีก็น้อยมาก ขุนนางระดับล่างกว่าจะได้วันหยุดสักวันยิ่งยากเย็น เฉกเช่นจี๋หมิ่นนี้ไม่ถือว่าแปลก ในแผ่นดินต้าหมิงยังมีขุนนางเป็นพันเป็นหมื่นที่ประสบชะตากรรมไม่ต่างจากเขา

จี๋หมิ่นกล่าว “รุ่นชิง คิดถึงตอนนั้นเราสองตั้งสัตย์ปฏิญาณจะต้องสอบติดจ้วงหยวนให้ได้ สุดท้ายข้าไม่เพียงไม่เพียรพยายาม กลับทำตัวเป็นทหารหนีทัพ เลือกเดินทางลัดเสียแล้ว ข้ารู้ว่านี่ไม่ถูกทำนองคลองธรรม…”

ถังฟั่นตัดบทเขา “ท่านพูดเช่นนี้ข้าไม่ชอบฟังเลย คำว่าถูกศีลธรรมผิดศีลธรรมเดิมก็ไม่ควรนำมาผูกติดกับการสอบเคอจวี่ ขอเพียงเป็นขุนนางแล้วอุทิศตนเพื่อบ้านเมือง นั่นก็คือถูกทำนองคลองธรรม เมื่อแรกเริ่มสถาปนาราชวงศ์ ขุนนางราชสำนักกว่าครึ่งล้วนมาจากสำนักการศึกษา มิได้มาจากการสอบคัดเลือก ในจำนวนนั้นต่อมายังได้เป็นขุนนางเรืองนามหรือขุนนางผู้มีคุณูปการใหญ่หลวง หรือเส้นทางที่ผู้อาวุโสเหล่านี้ก้าวเดินก็ไม่ถูกทำนองคลองธรรม? พี่จื่อหมิงท่านน่ะคิดมากเกินไป ขอเพียงท่านยังคงเป็นเช่นทุกวันนี้ เราสองก็จะเป็นสหายกันตลอดกาล”

จี๋หมิ่นอุ่นวาบในทรวง ทั้งรู้สึกพูดอันใดล้วนไม่เหมาะสม ได้แต่ก้มหน้ากลบเกลื่อนความตื้นตัน รอกระทั่งสงบจิตใจได้ค่อยกล่าว “ในงานเลี้ยงวันนี้สวีปินจ้องเล่นงานเจ้าตลอดเวลา เจ้ารู้สาเหตุหรือไม่”

ถังฟั่นตอบ “เรื่องนี้ข้าแปลกใจอยู่เหมือนกัน หรือท่านล่วงรู้ความนัย?”

“พอรู้อยู่บ้าง”

ขณะจะขยายความพลันได้ยินเสียงเคาะประตู

ถังฟั่นจะลุกไปเปิด จี๋หมิ่นกลับกดแขนเขาไว้แล้วเดินไปเปิดเอง

ที่ยืนอยู่ด้านนอกย่อมมิใช่คนร้าย แต่เป็นลู่หลิงซีที่มีผ้าพันไว้ครึ่งแขน

เขาส่งยิ้มมาก่อน “พี่ถัง ได้ยินว่าพวกท่านสนทนาใต้แสงเทียนกันที่นี่ ข้ามาที่นี่มิได้รบกวนพวกท่านกระมัง”

ถังฟั่นย่นคิ้ว “เจ้าได้รับบาดเจ็บไม่ไปนอนพัก ลุกมาด้วยเหตุใด เลิกเล่นได้แล้ว”

ลู่หลิงซีกล่าว “ข้าปวดแผลจนนอนไม่หลับ ให้ข้านั่งอยู่ที่นี่สักครู่เถอะ”

น้ำเสียงออดอ้อนชวนให้ผู้คนมิอาจปฏิเสธ และคิดถึงว่าเขาบาดเจ็บเพราะช่วยตน ถังฟั่นจึงหมดปัญญาใจแข็ง

ปัญหาคือพวกสีหมิงยังนอนอยู่ในห้องตนเอง ไม่วิ่งมารำพึงรำพันถึงที่นี่ มีก็แต่ลู่หลิงซีที่อยู่ไม่สุข

ดูท่าคงเพราะยังอ่อนวัย นิสัยเหมือนเด็กน้อย มิน่าไหวเอินถึงส่งเขามาให้ตนช่วยขัดเกลา ถังฟั่นรำพึงในใจ

แม้จะคิดเช่นนั้นหากก็ใจอ่อน “ก็ได้ เช่นนั้นเจ้านั่งอยู่ในนี้ ถ้ารู้สึกไม่สบายต้องบอก”

ลู่หลิงซีรับคำหน้าชื่นตาบาน ใช้มือข้างที่ไม่เจ็บลากเก้าอี้มานั่งติดกับถังฟั่น พอเงยหน้าเห็นจี๋หมิ่นกำลังมองมาที่ตนก็อดส่งสายตาท้าทายมิได้ ทำให้อีกฝ่ายตะลึงงัน

 

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดใน รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 6 ฉบับเต็ม

ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป, JamClub หรือคลิกสั่งซื้อได้ที่ JamShop

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

Editor Jamsai: