บทที่ 1
“ทิวพฤกษาผลิบานรับวสันต์ โฉมสะคราญเรือนชะตาแลรุ่งโรจน์”
“บุพเพรักฟ้ากำหนดใช่บังเอิญ วาสนานำพาคู่มาเยือน”
ในฤดูร้อนที่อากาศอบอ้าว แม้อารามจะตั้งอยู่กลางป่าลึก แต่กลับมีผู้มาสักการะอย่างล้นหลามและคึกคักกว่าอารามภายนอกมากนัก
ยามได้ฟังคำทำนายที่เพื่อนสองคนอ่านแล้วอาเหม่าก็ยิ่งรู้สึกหน้าร้อนวาบขึ้นมา ดวงหน้าหมดจดอ่อนเยาว์พลันแดงปลั่ง เหล่าหญิงสาวที่รายล้อมตัวนางอยู่ต่างหัวเราะคิกคักพลางเอ่ยถาม “ผู้อาวุโส คำทำนายนี้ดีหรือไม่”
ผู้แปลคำทำนายลูบหนวดแล้วพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “เซียมซีดีเลิศเช่นนี้ คำทำนายย่อมดีแน่นอน แม่นาง ชะตารักของท่านกำลังมา เนื้อคู่จะปรากฏตัวเร็วๆ นี้แล้ว”
คนรอบข้างต่างเม้มปากยิ้ม อาเหม่าเขินอายจนหน้าแดงระเรื่อ ผู้แปลคำทำนายยังกล่าวออกมาอีกมาก ซึ่งก็ล้วนได้บรรดาสาวน้อยเหล่านี้ช่วยกันซักถาม ส่วนนางนั้นทำได้เพียงก้มหน้าฟังไม่อาจกล่าววาจา
หลังจากทำนายเซียมซีเสร็จ พวกนางก็ออกมาจากอาราม พากันหยอกเย้าอาเหม่าไม่ได้หยุด ขณะที่ฟังนางก็เดินไปพลางกล่าวไปพลาง “พวกเจ้ามีหวังได้ล้อข้าไปเป็นปี”
พวกนางล้วนเป็นสาวใช้ในคฤหาสน์สกุลหาน ต่างอายุไล่เลี่ยกัน และยังไม่มีใครออกเรือนมีคู่สักคน ยามกล่าวถึงเรื่องแต่งงานขึ้นมานางจึงยังมีความขวยเขินเฉกเช่นสาวน้อยอยู่ ทั้งหัวใจที่อยู่ภายใต้ความขัดเขินก็ยังวาบหวามสั่นไหว เมื่อเป็นเรื่องของตนเองก็ให้อายเกินกว่าจะเอ่ยปาก ทว่าพอเป็นเรื่องของคนอื่นก็กลับกระตือรือร้นใจกล้าขึ้นมากกว่าเสียอย่างนั้น
“อาเหม่า เจ้าคิดเช่นนี้มิได้หรอก อย่างไรเสียหากไม่ถึงครึ่งปีเจ้าก็ได้แต่งออกไปแล้ว เช่นนั้นพวกเราจะอยู่หยอกล้อเจ้าเล่นถึงหนึ่งปีได้อย่างไร”
กล่าวจบพวกนางก็พากันหัวเราะคิกคักอีกครั้ง
อาเหม่าอายจนยกมือปิดหน้า “ข้าไม่พูดกับพวกเจ้าแล้ว พอข้ามาถึงที่นี่พวกเจ้าก็มาหลอกว่าทุกคนล้วนเสี่ยงทายกันแล้ว แต่แท้จริงพวกเจ้ากลับขอพรให้ครอบครัวสงบสุขเท่านั้น มีแค่ข้าที่ไปเสี่ยงทายเรื่องแต่งงาน พวกเจ้าล้วนโกหกข้ากันทั้งนั้น”
“นี่เป็นเซียมซีใบดีเลิศ ชะตาคู่ครองดียิ่ง”
หลายคนอิงร่างกันแล้วหัวเราะจนตัวงอ เสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วของบรรดาเด็กสาวดังสะท้อนก้องอยู่ในป่า แม้อาภรณ์ของทุกคนจะเป็นแบบเดียวกัน ทว่าครั้นกวาดสายตามองมา กลับเห็นอาเหม่าได้ก่อนเป็นคนแรก
อาเหม่าอายุเพียงสิบสี่สิบห้า รูปโฉมงดงาม ดวงตาของนางสุกใสเป็นประกาย ผิวพรรณขาวผ่องนวลเนียนดุจหยกขาว ดวงหน้ายังมีความอ่อนเยาว์ของเด็กสาวอยู่ ราวกับดอกไม้แรกแย้มที่รอผลิบานเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือน และยังเหมือนไข่มุกเม็ดสวย ทั้งสะดุดตาและไร้ซึ่งตำหนิ
“ว่าแต่อาเหม่า ผู้อาวุโสคนนั้นบอกว่าเนื้อคู่ของเจ้าอยู่ใกล้ตัว เช่นนั้นก็ต้องเป็นคนที่อยู่ในคฤหาสน์ของพวกเราแล้ว” สาวใช้คนหนึ่งเริ่มนับจำนวนคนในคฤหาสน์รอบหนึ่ง “หรือจะเป็นอาฝู หรือพี่ต้าโถว ข้ารู้มาว่าพวกเขาต่างมีใจให้กับอาเหม่าของพวกเราทั้งนั้น”
อีกคนกลับกล่าวแย้ง “ไม่ใช่สิ ตอนที่ดู ใบทำนายยังบอกด้วยมิใช่หรือว่าคนผู้นี้ ‘มาใหม่’ เช่นนั้นก็ย่อมไม่ใช่คนในคฤหาสน์เราแล้ว”
“นั่นก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ถึงเวลาก็แค่ดูว่าในคฤหาสน์มีใครเข้ามาใหม่หรือไม่ หากมีคนผู้นั้นก็ถือเป็นเนื้อคู่ของอาเหม่าแล้ว”
อาเหม่าฟังพวกนางหยอกล้อจนรู้สึกเลยเถิด ขืนยังให้พวกนางกล่าวต่อไปคงได้หยิบยกเรื่องที่นางจะมีบุตรกี่คนออกมาพูดด้วยเป็นแน่ สาวน้อยจึงเอ่ยแทรกขึ้น “รีบกลับกันดีหรือไม่ มิฉะนั้นพ่อบ้านจะตำหนิเอาได้”
“อาเหม่าเจ้าเลอะเลือนแล้วหรือ พ่อบ้านคนเก่าออกไปตั้งแต่เดือนก่อนแล้ว ยามนี้ยังไม่มีพ่อบ้าน”
“แล้วลุงฉางมิใช่หรือ”
“เขาเพียงดูแลแทนเท่านั้น หาใช่พ่อบ้านที่ไหนกัน” คนที่กล้าพูดเช่นนี้เป็นสาวใช้ในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า นางกล่าวต่อด้วยเสียงที่เบากว่าเดิมว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ชอบเขา เห็นว่าเขาทำงานได้ไม่ดี อยากให้เขาไปจากหน้าที่นี้จะแย่ เพียงแต่นายท่านยังไม่กลับมา จึงต้องรอให้นายท่านกลับมาก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ”
ทว่าอีกคนกลับกดเสียงลงต่ำ “ฮูหยินผู้เฒ่าอยากให้ญาติห่างๆ ที่ห่างจนไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นคนนั้นมารับตำแหน่งมิใช่หรือ ฉะนั้นจึงได้ไม่ชอบลุงฉางกระมัง”
“เอ๊ะ!” จู่ๆ สาวใช้คนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมา “พวกเจ้าว่าพ่อบ้านคนใหม่จะเป็นว่าที่สามีของอาเหม่าหรือไม่”
ขาดคำ สาวใช้หลายคนล้วนพากันคิดว่ายามปกติที่เรือนไม่ได้ขาดคน ด้วยนิสัยของเจ้าบ้านสกุลหานและฮูหยินนั้นย่อมไม่มีทางซื้อบ่าวรับใช้ที่ไร้ประโยชน์มาเพิ่ม ซึ่งยามนี้ก็ขาดเพียงพ่อบ้าน จึงกระตุ้นให้ทุกคนพากันนึกภาพไปต่างๆ นานา ก่อนจะหันไปมองอาเหม่าเป็นตาเดียวและเริ่มหยอกล้อนางอีกครั้ง
อาเหม่าขบริมฝีปาก “เพ้อเจ้ออะไรกัน พวกเจ้าเคยเห็นพ่อบ้านของตระกูลใดเป็นชายหนุ่มด้วยหรือ ล้วนแต่เป็นผู้เฒ่าหนวดขาวกันทั้งสิ้น ถึงขั้นมีหลานกันแล้วด้วยซ้ำ”
ครั้นนางกล่าวเช่นนี้ รูปลักษณ์แก่ชราอ้วนเตี้ยของพ่อบ้านแต่ละสกุลก็ผุดเข้ามาในหัวของบรรดาสาวน้อยจนอดสะท้านใจไม่ได้ ทุกคนต่างรีบหยุดความคิดอันน่าสะพรึงกลัว พร้อมใจกันกล่าวคัดค้าน
“มิใช่พ่อบ้านแน่นอน”
ไม่นานก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก พากันหารือว่าลงจากเขาแล้วจะซื้ออะไรหรือกินอะไร เช่นนี้การหยอกล้อนี้จึงหยุดลงได้ อาเหม่าลอบผ่อนลมหายใจโล่งอก
สกุลหานเป็นที่รู้จักในเหิงโจว เนื่องจากสกุลหานเป็นตระกูลคหบดีอันดับหนึ่งในเหิงโจว นายท่านหานเริ่มมีฐานะขึ้นมาเมื่อสิบห้าปีก่อน กิจการเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนครอบคลุมทุกด้านในเวลาต่อมา ชาวเมืองเหิงโจวตั้งแต่เกิดจนตายต่อให้ไม่ใช้ผ้าของสกุลหานทำผ้าอ้อม ไม่สวมเครื่องประดับที่สกุลหานผลิต ก็อาจได้ใช้เครื่องเคลือบที่สกุลหานทำ ต่อให้ไม่ได้ใช้สิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นก็อาจต้องใช้สินค้าจากร้านเครื่องประทินโฉม หรือไม่ก็ร้านเครื่องเขียนทั้งสี่ในเครือของสกุลหาน แม้แต่สำนักศึกษาก็ยังได้รับการสนับสนุนเต็มกำลังจากสกุลหาน ไม่ว่าอย่างไรชาวเหิงโจวต่างก็ต้องจับจ่ายใช้สอยสินค้าของสกุลหานไปโดยไม่รู้ตัว
อาเหม่าเสียบุพการีไปตั้งแต่เล็ก จึงถูกป้าขายมาเป็นบ่าวรับใช้ในสกุลหาน เริ่มแรกนางเพียงช่วยงานเล็กน้อยในครัว ภายหลังเมื่อโตขึ้นจนเริ่มทำงานได้แล้วก็ถูกฮูหยินใหญ่เรียกให้ไปรับใช้ในเรือน
แม้สกุลหานจะร่ำรวย ทว่าเจ้าบ้านสกุลหานและฮูหยินใหญ่กลับค่อนข้างตระหนี่และเข้มงวดกับบ่าวรับใช้ เงินเดือนก็น้อยทว่างานที่ต้องทำนั้นกลับมีมาก ทันทีที่ทุกคนทำงานในเรือนของตนเองเรียบร้อยแล้ว ยังต้องไปดูว่าที่เรือนอื่นมีงานให้ช่วยอีกหรือไม่ เพราะที่นี่บ่าวรับใช้หนึ่งคนต้องทำงานในส่วนของสองคนทำให้ได้
แต่ในเมื่ออย่างไรก็ถูกขายให้สกุลหานแล้ว ต่อให้ทำงานรับใช้จนเหนื่อยตายก็ต้องกัดฟันทำต่อไปให้ได้เท่านั้น
อาเหม่ามิได้ละโมบ นางไม่มีอะไรที่อยากจะซื้อ คนที่นางอยากแสดงความกตัญญูด้วยก็ล้วนจากไปหมดแล้ว ฉะนั้นแม้ค่าแรงที่นี่จะน้อย แต่ก็ยังพอกับค่าใช้จ่าย เด็กสาวที่ถูกคนทุบตีมาตั้งแต่เด็กอย่างนางมีเพียงความปรารถนาเดียว นั่นคือไม่ถูกทุบตีอีกก็เพียงพอแล้ว
ในหนึ่งเดือนบ่าวรับใช้แต่ละคนจะมีวันหยุดพักผ่อนให้เพียงหนึ่งวัน วันนี้นางกับเหล่าสาวใช้วัยเดียวกันจึงออกมาเที่ยวเตร่ กว่าจะกลับถึงคฤหาสน์ก็ใช้เวลาไปแล้วกว่าครึ่งวัน เดิมนางตั้งใจถือโอกาสที่มีเวลาว่างนี้ปักถุงหอมให้ตนเอง แต่เห็นทีวันนี้จะไม่เหลือเวลาแล้ว
เหล่าสาวใช้หลังจากลงจากเขาแล้วก็พากันไปเที่ยวต่อในตลาด เพื่อจับจ่ายชุดอุปกรณ์เย็บปักและชาดหอมก่อนจะหาอะไรกินกัน เมื่อเห็นว่าอาทิตย์อัสดงจนย่ำค่ำแล้วจึงได้พากันกลับคฤหาสน์
บรรดาร้านรวงของสกุลหานล้วนตั้งอยู่ในละแวกที่เจริญที่สุดของเมืองเหิงโจวแทบทั้งสิ้น ทว่าคฤหาสน์กลับมิได้อยู่ในละแวกที่รุ่งเรืองนี้ แต่ตั้งห่างจากถนนที่อึกทึกนี้ออกมาค่อนข้างไกล
เด็กสาวเจ็ดแปดคนลัดเลาะผ่านตรอกอันคึกคัก ก้าวสู่ถนนปูหินสายยาวที่กว้างขวางและสงบเงียบท่ามกลางอาทิตย์อัสดง พวกนางได้ละทิ้งความครึกครื้นไว้เพียงเบื้องหลัง ขณะกำลังจะถึงหน้าประตูคฤหาสน์ ทุกคนต่างก็เห็นว่าประตูเปิดอยู่ ทว่ากลับไม่เห็นคนเฝ้าประตู หลายคนมองซ้ายมองขวา ก่อนจะกล่าวด้วยความแปลกใจ “อาฝูไม่เฝ้าประตู ไม่กลัวฮูหยินด่าหรืออย่างไร”
สาวใช้หลายคนรีบก้าวเข้าไปในโถงใหญ่ จึงได้เห็นว่ายามนี้มีคนยืนอยู่รอบโถงใหญ่ไม่น้อยแล้ว แต่ละคนก็พยายามเขย่งเท้าเพื่อจะมองให้เห็นด้านใน ราวกับว่ามีคนยอดเยี่ยมเก่งกล้าสักคนอยู่ด้านในก็ไม่ปาน
“พวกเจ้าไปไหนกันมา” หมัวมัว* สูงวัยคนหนึ่งเห็นพวกนางแล้วพลันนิ่วหน้า “ยามนี้ก็เหลือแต่พวกเจ้าแล้ว รีบไปทำความรู้จักเร็วเข้า”
สาวใช้คนหนึ่งมองเข้าไปด้านในพลางเอ่ยถาม “ทำความรู้จักหรือ รู้จักใครกัน”
หมัวมัวกล่าวตอบ “นายท่านกลับมาแล้ว พาพ่อบ้านคนใหม่มาด้วย”
พวกนางต่างนิ่งอึ้ง ก่อนจะพร้อมใจกันเบนสายตามองอาเหม่าจนนางใจเต้นไม่เป็นส่ำ
หมัวมัวไม่อาจรับรู้ความคิดของพวกนางจึงยังเอ่ยเร่งรัดต่อ “รีบไปดูเร็วเข้า มิเช่นนั้นพรุ่งนี้ตอนที่เจอพ่อบ้านแล้วจะเผลอไม่รู้จักจนลืมทักทายเขาได้”
เวลานี้อาเหม่าจึงกลายเป็นตัวเอก นางถูกบรรดาสาวใช้ที่สนิทกันโอบพาให้เดินนำหน้า เบียดผ่านกลุ่มคนที่สูงกว่าเข้าไปดูหน้าพ่อบ้านคนใหม่
อาเหม่าเริ่มกลัวจับใจว่าอีกเดี๋ยวนางจะต้องพบกับชายชราเป็นแน่ ทั้งยังระแวงสงสัยว่าเซียมซีใบนั้นจะเป็นจริงหรือไม่
บ่าวรับใช้ที่รวมตัวกันสักพักหนึ่งก่อนหน้านี้แล้วก็ทยอยแยกย้ายกลับไปทำงานของตนเอง ครู่เดียวอาเหม่ากับเหล่าสาวใช้ก็เดินไปถึงด้านหน้า ตรงนั้นนอกจากเจ้าบ้านสกุลหานแล้ว ยังมีบุรุษหนุ่มอีกคนยืนอยู่ มองจากด้านหลังเช่นนี้เขาช่างดูสูงเพรียว ยิ่งสวมชุดคลุมยาวสีครามชุดนี้ก็ยิ่งขับให้เขาดูตัวสูงขึ้นไปอีก ทั้งยังไม่ผอม ไม่อ้วน ดูแข็งแรงราวกับต้นสนเขียวขจี
แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องลอดเข้ามาภายในห้องโถง อาบไล้ใบหน้าด้านข้างของบุรุษหนุ่ม สะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกนุ่มนวลดุจหยกของเขา ซึ่งส่งกลิ่นอายละมุนผ่อนคลายออกมา
ขณะเดียวกันพวกสาวใช้ที่กำลังเบียดผ่านฝูงชนอยู่นั้นต่างก็นึกถึงภาพหน้าตาของชายชรานับร้อยคนไว้ในหัว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าคนที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าจะเป็นบุรุษที่หนุ่มแน่นผู้หนึ่ง ทั้งยังรูปงามเช่นนี้ แตกต่างจากพ่อบ้านที่พวกนางเห็นในยามปกติอย่างสิ้นเชิง จึงประหลาดใจจนพูดไม่ออก
เจ้าบ้านสกุลหานที่กำลังมอบหมายภารกิจให้กับเซี่ยฟั่งเห็นพวกนางแล้วก็หยุดสนทนาทันที ก่อนจะกล่าวกับคนที่อยู่ด้านหลังของเซี่ยฟั่งว่า “พวกเจ้าไม่มีงานทำกันหรือ ยังไม่รีบไปทำงานทำการกันอีก”
เซี่ยฟั่งได้ยินแล้วก็หันไปมอง แสงแดดยามเย็นอาบไล้ใบหน้าเบาบาง ทำให้นัยน์ตาเขาเป็นประกายมีพลัง ยิ่งทำให้พวกนางมองจนนิ่งงัน เขาจดจำใบหน้าของเหล่าสาวใช้นี้ไว้แล้ว พลางค้อมศีรษะเล็กน้อย “ข้าแซ่เซี่ย มีนามว่าฟั่ง”
ใบหน้างดงามดุจหยก น้ำเสียงก็กังวานไพเราะดุจหยกกระทบกันแผ่วเบา บรรดาเด็กสาวล้วนหน้าแดงปลั่งไปทันที “คำนับพ่อบ้านเซี่ย”
เซี่ยฟั่งมิได้กล่าวอะไรอีก ขณะเขาเบนสายตากลับก็เหลือบไปเห็นใบหน้าของสาวใช้คนหนึ่ง รูปโฉมของนางสะดุดตาที่สุดในกลุ่มสาวใช้ เพียงแต่น่าแปลก เมื่อเขามองไป นางก็เบนสายตาออกทันที ต่างจากสาวใช้คนอื่น คล้ายกับกำลัง…หลบตา เขาหลุบตาครุ่นคิดชั่วครู่ เมื่อมิได้ต่อความยาวสาวความยืด ท้ายที่สุดก็ดึงสายตากลับคืน
เจ้าบ้านสกุลหานหลังจากกำชับมอบหมายภารกิจเรียบร้อยแล้วก็เข้าไปพักผ่อนในเรือน ทว่าพอเจ้าบ้านสกุลหานไป พวกสาวใช้กลับไม่ได้แยกย้ายกันในทันที หลังพรึงเพริดกับพ่อบ้านหน้าหยกแล้วความคิดของทุกคนก็พลันผุดขึ้นมาอีกครั้ง พอพวกนางมองอาเหม่าสลับกับพ่อบ้านคนใหม่แล้วต่างก็ยกมือปิดปากหัวเราะกัน
เซี่ยฟั่งไม่รู้ว่าพวกนางขำอะไร ทว่าครู่เดียวก็เห็นเด็กสาวคนนั้นเดินผละออกไปก่อน ทุกคนจึงพากันไล่ตามไป เหล่าสาวใช้วัยแรกแย้มเหล่านั้นจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคัก ราวกับดอกท้อในสวนยามฤดูใบไม้ผลิ มองแล้วงดงามสบายตายิ่ง
ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงทางทิศตะวันตก ม่านราตรีค่อยๆ แผ่ลงมาปกคลุมคฤหาสน์หลังใหญ่ของสกุลหาน แม้แต่สายตาที่ทอดมองออกไปด้านนอกก็ค่อยๆ หม่นลงตามแสงอาทิตย์อัสดง ก่อนจะจางหายลงไปพร้อมกัน หลงเหลือเพียงรัตติกาลมืดสลัว
เซี่ยฟั่งมองอยู่เช่นนั้นพักหนึ่ง ก่อนเดินทอดน่องออกจากโถงใหญ่สกุลหาน แล้วหันกลับไปมองแผ่นป้ายที่แขวนเหนือโถงใหญ่
‘ใจดั่งคันฉ่องเงาใส’
อักษรตัวใหญ่สีทองลายเส้นตวัดโค้งมนพลิ้วไหว เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ตัวอักษรแสดงความสง่าผ่าเผยของผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี ส่วนความหมายที่แสดงถึงจิตใจอันบริสุทธิ์ ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเอื้อเฟื้อใจกว้างของผู้เป็นเจ้าบ้านนั้น…
ดวงตายาวรีของเซี่ยฟั่งพลันหรี่ลง เขาไม่ปริปากกล่าวถ้อยคำใดอีก ก่อนที่ร่างสูงจะหันกลับมา แล้วก้าวออกจากโถงส่วนหน้าอันกว้างขวางแห่งนั้น กระทั่งเงาร่างเร้นหายไปกับระเบียงทางเดินที่ทอดตัวเหยียดยาว
อาจเป็นเพราะเหตุการณ์เมื่อวานมีเรื่องบังเอิญเกินไป ก่อนเข้านอนเหล่าสาวใช้ที่สนิทกันจึงยังกระซิบกระซาบกับนางอีกพักใหญ่ หลังจากนั้นอาเหม่าก็ยังฝันตลอดคืน ในความฝันมีเพียงใบหน้าของคนผู้นั้น…พ่อบ้านที่มาใหม่
เป็นเพราะดวงหน้าของนางขาวใสเกลี้ยงเกลา เวลานี้เมื่อมีสีอื่นขึ้นระเรื่อก็มองเห็นได้ชัดในทันที ขณะที่สวมอาภรณ์อยู่นั้นก็มีสาวใช้เข้ามากล่าวหยอกนาง “อาเหม่า เมื่อคืนเจ้าหลับไม่สนิทหรือ คิดอะไรอยู่ คงไม่ใช่ว่า…”
“ชู่!” อาเหม่ารีบตัดบทอีกฝ่าย “ใบเซียมซีก็ส่วนใบเซียมซี เจ้าไม่ควรเอามาพูดอีก เกิดพ่อบ้านเซี่ยได้ยินเข้าจะทำอย่างไร ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
เถาฮวาคิดแล้วก็เห็นด้วย ครื้นเครงก็ส่วนครื้นเครง ทว่า…ภาษิตว่าอะไรสักอย่าง ใช่แล้ว สามคนกลายเป็นเสือ* ไม่พูดมากดีกว่า ใครๆ ก็ต่างรู้ว่าเจ้าบ้านสกุลหานกับฮูหยินไร้น้ำใจกับบ่าวไพร่อย่างไร หากได้ยินคำเล่าลือเหล่านี้มากเข้า น่ากลัวว่าอาเหม่าจะเดือดร้อนเอาได้
สาวใช้คนอื่นๆ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวต่างก็ล้อมเข้ามาเพื่อจะหยอกเย้า แต่ก็ถูกเถาฮวาเปลี่ยนเรื่องสนทนาเสียก่อน “พ่อบ้านเซี่ยคนนั้นดูไปก็ไม่เหมือนคนจากสกุลยาก ไยจึงมาเป็นพ่อบ้านที่คฤหาสน์นี้ได้ พ่อบ้านแม้จะมีอำนาจมากเพียงใดก็เป็นได้แค่บ่าวรับใช้ หรือเขาหวังอะไรกันแน่”
สาวใช้คนหนึ่งกำลังผูกปมเสื้อ ครั้นได้ยินก็ไม่สนใจจะผูกต่อแล้ว รีบกระเถิบร่างเข้ามาเล่า “ข้าได้ยินว่านายท่านเจอพ่อบ้านคนใหม่ระหว่างทางกลับ ตอนนั้นนายท่านเจอโจรป่า แล้วได้เขาช่วยชีวิตนายท่านไว้”
เถาฮวาเดาะลิ้น “ผลของการช่วยชีวิตก็คือพาคนเขามาเป็นบ่าวรับใช้ในสกุลหรือ”
“แล้วจะทำอย่างไรเล่า ใช่ว่าพวกเจ้าจะไม่รู้นิสัยของนายท่าน…ข้าเคยได้ยินมาอีกว่าเดิมทีสกุลของพ่อบ้านก็นับว่าไม่เลว แต่เป็นเพราะภายหลังเกิดตกทุกข์ได้ยาก บิดามารดาก็มาจากไป ทั้งถูกญาติชิงสมบัติไปหมด เขาจึงต้องระหกระเหินอยู่ข้างนอก จนกระทั่งมาเจอกับนายท่าน ไม่รู้เพราะเขาหมดอาลัยตายอยาก หรือเพียงแค่หน้าตาดีแต่มิได้เก่งกล้าสามารถอะไร สุดท้ายจึงต้องมาเป็นพ่อบ้านที่สกุลหานเช่นนี้” อีกคนเบ้ปากกล่าว
คนหนึ่งกล่าวกลั้วหัวเราะขึ้นมา “ได้ยินว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เหตุใดเวลาแค่คืนเดียว เจ้าก็สืบมาได้เสียละเอียดเช่นนี้เชียว”
อีกคนส่งเสียงฮึ “ไม่ขอบคุณข้าที่ช่วยสนองความอยากรู้อยากเห็นของพวกเจ้าสักหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่กลับมาเหน็บแนมข้าเสียนี่ คราวหน้ามีอะไรข้าก็จะไม่บอกพวกเจ้าแล้ว” นางยังกล่าวต่อว่า “อาเหม่าเองก็รับใช้อยู่ในเรือนนายท่านมิใช่หรือ อีกประเดี๋ยวต้องได้ยินอะไรมาบ้างแน่ๆ”
“เรื่องของเจ้านาย พวกเราอย่าพูดมากดีกว่า” ขณะที่พวกนางกำลังสนทนากัน อาเหม่าก็ล้างหน้าแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว นางส่องคันฉ่องก่อนลุกขึ้นกล่าว “ขืนยังพูดต่ออีกก็จะไปไม่ทันเวลาตื่นนอนของพวกนายท่านกับฮูหยินแล้ว”
หลังอาเหม่าเอ่ยจบ คนอื่นๆ จึงรีบกระวีกระวาดล้างหน้าแต่งตัวตาม
ฟ้าเพิ่งเริ่มสาง ในคฤหาสน์หลังใหญ่จึงมีเพียงแสงสลัว โคมไฟบนระเบียงทางเดินล้วนถูกปลดลงมาแล้ว อาเหม่าที่ออกจากห้องมาแต่เช้ามุ่งหน้าไปทางห้องครัว เตรียมยกน้ำร้อนเพื่อนำไปปรนนิบัตินายท่านและฮูหยินใหญ่หลังตื่นนอนได้ทันที
ฮูหยินผู้เฒ่าหานมีบุตรสองคน หลังจากบุตรทั้งสองของนางแต่งงานจนกระทั่งมีบุตรแล้วก็ยังอาศัยอยู่ร่วมกัน นายท่านใหญ่บุตรคนโตนั้นมีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุสามคน เขามีบุตรอยู่เต็มบ้าน ส่วนนายท่านรองกลับมีภรรยาเอกเพียงคนเดียว มิใช่เพราะเขาไม่อยากมีอนุ เพียงแต่นายท่านรองเป็นคนอ่อนแอ ทั้งสกุลเดิมของฮูหยินเรือนรองก็ค่อนข้างมีอำนาจ นางจึงยิ่งวางอำนาจ คุมนายท่านรองจนเขาอยู่ในโอวาท กระทั่งไม่กล้าขัดใจด้วยเรื่องใดๆ ทั้งคู่จึงมีบุตรชายด้วยกันเพียงคนเดียว ซึ่งอยู่ในลำดับสามของบุตรทั้งสองเรือน
อาเหม่าที่รับใช้อยู่ในเรือนของฮูหยินใหญ่ได้นั้นเป็นเพราะนางฉลาดเรียบร้อย และไม่เคยจุ้นจ้านวุ่นวาย นางจึงได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินใหญ่เป็นอย่างมาก ฉะนั้นจึงไม่เคยถูกด่าทอทุบตีเหมือนบ่าวรับใช้คนอื่น เคยมีบ่าวรับใช้ชายคนหนึ่งขอร้องให้ฮูหยินใหญ่ยกอาเหม่าให้แต่งงานกับเขา ทว่าฮูหยินใหญ่กลับมิได้ตอบตกลงไป
เทือกเขาสีครามที่อยู่ไกลออกไปเดิมเป็นเพียงสีสลัวเลือนราง ทว่ายามนี้รุ่งอรุณกำลังมาเยือน อาทิตย์ยามเช้าค่อยๆ โผล่พ้นบนยอดเขาแล้วส่องแสงอาบทอลงสู่ผืนดิน
แม้รัตติกาลหนาวเย็นเพิ่งจางหายไป แต่ยังคงทิ้งไอเย็นเบาบางไว้ในอากาศ
เมื่ออาเหม่าเอียงหน้ามองแสงแดด ความง่วงก็หายไปไม่น้อยแล้ว ทันใดนั้นอีกฝั่งหนึ่งของระเบียงยาว ก็มีเสียงฝีเท้าหนักแน่นและเนิบช้าประสานกับเสียงฝีเท้าของนางดังขึ้น
ในฐานะที่อาเหม่าเป็นคนที่ขยันที่สุดของคฤหาสน์สกุลหาน น้อยมากที่นางจะพบบ่าวคนอื่นระหว่างทางไปห้องครัว
หรือจะเป็นผู้คุ้มกันที่ลาดตระเวนยามวิกาล?
นางรู้สึกสนใจใคร่รู้ขึ้นมา จึงมองเบื้องหน้าอย่างจริงจัง
ยามที่เสียงฝีเท้าค่อยๆ ใกล้เข้ามา เงาร่างก็พลันแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ แสงอรุณที่ถูกชายคาบดบังจนสะท้อนเข้ามาจากด้านนอกส่องกระทบใบหน้าของคนผู้นั้นให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น อาเหม่าเดินไปอีกไม่กี่ก้าว ใบหน้าของคนผู้นั้นก็ปรากฏเข้าสู่สายตาของนาง
เป็นพ่อบ้านคนใหม่…
และไม่รู้ว่าเป็นเพราะ ‘กินปูนร้อนท้อง’ หรืออย่างไร อาเหม่าจึงรีบหลุบสายตาลงทันที แล้วก้มหน้าก้มตาเดิน ทั้งอยากให้ตนเองมีวิชาหายตัวเสียให้รู้แล้วรู้รอด
เซี่ยฟั่งเองก็เห็นอาเหม่าแล้วเช่นกัน ทั้งยังเห็นว่านางจงใจหลบสายตาเขา ก็ให้นึกถึงสาวใช้คนเมื่อวาน เขาขบคิดใคร่ครวญอีกเล็กน้อย ด้วยไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงดูกลัวเขานัก หรือว่าหน้าตาเขาดุดันมากอย่างนั้นหรือ
เมื่อทั้งสองกำลังจะเดินสวนกัน พวกเขายังคงต่างพากันนิ่งเงียบ ทว่าขณะกำลังจะสวนผ่านกันไปนั้น อาเหม่าจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอย่างไรเขาก็เป็นพ่อบ้าน นางจึงหยุดฝีเท้าแล้วทักทายอีกฝ่ายขึ้นก่อน
เซี่ยฟั่งพยักหน้าเบาๆ ก่อนกล่าวว่า “เจ้าชื่ออะไร”
“อาเหม่าเจ้าค่ะ”
“เหม่า…”
ได้ยินเขาเรียกชื่อของตนเองซ้ำ อาเหม่าจึงเอ่ยตอบ “ข้าเกิดช่วงยามเหม่า* บิดาจึงตั้งชื่อนี้ให้”
เซี่ยฟั่งแย้มยิ้ม “ช่วงเวลาฟ้าสาง เป็นช่วงที่แสงแดดยามเช้าส่องทอฟ้าดิน”
ถ้อยคำนี้ช่วยลดทอนความห่างเหินที่อาเหม่ามีต่อเขาอย่างแยบยล คิดไปคิดมา ล้วนเป็นความผิดของใบเซียมซีแท้ๆ เชียว แต่นางเองก็ไม่ควรเก็บเรื่องนั้นมาใส่ใจเช่นนี้เลย นางกล่าวลาเขา ในขณะที่เดินไปยังเรือนของฮูหยินใหญ่ก็อดหันกลับไปมองเขาไม่ได้
เช้าตรู่ในฤดูร้อนอากาศยังเย็นสบาย บรรยากาศรอบตัวพ่อบ้านเซี่ยก็ผ่อนคลายเช่นเดียวกัน เพียงแต่ยามที่เขาเดินอยู่บนระเบียงทางเดินตามลำพัง เหตุใดตัวเขาจึงได้ดูเงียบเหงาเช่นนั้น
อาเหม่าส่ายหน้า รู้สึกว่าตนเองช่างน่าขำ เขาตัวคนเดียว ทว่านางเองก็เดินบนระเบียงคนเดียวเหมือนกันมิใช่หรือ ทำราวกับสงสารตนเองอย่างไรอย่างนั้นไปได้
อาทิตย์ยามเช้าเพิ่งขึ้น เจ้าบ้านสกุลหานก็แต่งกายเสร็จเตรียมตัวจะออกไปข้างนอกแล้ว หานฮูหยินที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยถาม “ไม่กินข้าวเช้าก่อนค่อยไปหรือ”
“เตาเผาติ้งไฉ่เริ่มเล็กไปแล้ว ข้าจึงนัดหมายเจรจากับท่านฉิน ขอซื้อที่ดินของเขามาสร้างเตาเผาเครื่องปั้นดินเผาแห่งใหม่” เป็นเพราะเจ้าบ้านสกุลหานมีรูปร่างอ้วนท้วน ขณะที่สวมเสื้อนั้นแขนขวาของเขาก็จับสายผูกที่อยู่ทางซ้ายไม่ถึง เขาจึงกางแขนให้สาวใช้ผูกให้
“ท่านฉินหรือ” หานฮูหยินย่นคิ้วคิด “ท่านซื้อที่ดินของเขาทำไมกัน เศรษฐีฉินคนนั้นเขาเป็นคนตระหนี่มักเรียกร้องเกินราคามาแต่ไหนแต่ไร ไปเจรจาก็เสียเปล่า”
เจ้าบ้านสกุลหานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้เจ้าจะรู้อะไร เจ้าลองเดาว่าเซี่ยฟั่งเป็นอะไรกับเขา” เขาสังเกตสีหน้าใคร่รู้ของภรรยาแล้วกล่าวต่อ “เป็นหลานชายของเขา!”
หานฮูหยินเบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง “มีเรื่องเช่นนี้ด้วย”
เจ้าบ้านสกุลหานหัวเราะเสียงเบา “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้าจะเก็บเขากลับมาทำไมเล่า”
ได้ยินคำว่า ‘เก็บ’ อาเหม่าที่กำลังบิดผ้าเตรียมยกกะละมังออกไปก็ช้อนตาขึ้น แม้สาวใช้ในเรือนเดียวกันอย่างพวกนางจะชอบสืบฟังเรื่องราวต่างๆ ทว่านางเป็นคนไม่เคยพูดพล่ามโอ้อวด ด้วยเหตุนี้เรื่องที่นายท่านเจอโจรป่า แล้วเซี่ยฟั่งช่วยชีวิตเขาไว้ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องโกหก เช่นนั้นเมื่อนายท่านกล่าววาจาเช่นนี้ ก็ช่าง…
“อาเหม่า ชุ่ยหรง เสี่ยวลิ่ว”
อาเหม่าตื่นจากภวังค์ มองไปทางเจ้าบ้านสกุลหานที่เรียกพวกตน อีกฝ่ายกล่าวต่อไปว่า “ไปเตรียมรถม้า แล้วตามข้าออกไป”
หานฮูหยินไม่พอใจเล็กน้อย “ท่านเรียกพวกเขาไปก็พอแล้ว ไยต้องเรียกอาเหม่าไปด้วย ซ้ำยังมีผู้คุ้มกันอีกสองคน ท่านพาคนออกไปถึงห้าคนเช่นนี้ ไม่กลัวสะดุดตาจนถูกโจรป่าหมายตาหรืออย่างไร”
“ข้าสมาคมกับท่านฉินครั้งแรก พาคนไปด้วยมากหน่อยจะดีกว่า” เจ้าบ้านสกุลหานกล่าวอีกว่า “และข้าไม่เพียงจะพาคนไปด้วยหลายๆ คน ยังต้องเลือกคนที่หน้าตาดีด้วย” กล่าวพลางกวาดสายตาพินิจดวงหน้าของอาเหม่า น้ำเสียงพลันอ่อนลงไม่น้อย “อาเหม่าเองก็โดดเด่น ทั้งยังอ่อนโยน”
อาเหม่าก้มหน้างุดกว่าเดิม
หานฮูหยินกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาทันที “นายท่านควรออกไปพบคนที่นัดหมายได้แล้ว”
เจ้าบ้านสกุลหานมองร่างบางอีกหลายครั้งก่อนออกไป แรกแย้มดุจบุปผา ใกล้จะได้เวลาเด็ดแล้ว เขาอารมณ์เบิกบาน กล่าวสั่งว่า “จริงสิ ไปตามพ่อบ้านมาด้วย”
อาเหม่าที่อยากอยู่ห่างๆ เจ้าบ้านสกุลหานได้ยินก็รีบออกไปตามคนทันที เมื่อวิ่งมาถึงกลางทางจึงนึกขึ้นได้ว่าคนที่ตนเองต้องไปเรียกคือเซี่ยฟั่ง นางยิ่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทว่าเมื่อชั่งใจแล้วก็รู้สึกว่าไปตามพ่อบ้านคนใหม่นั้นนางน่าจะสบายใจกว่า
นางถามบ่าวรับใช้ระหว่างทางจนรู้ว่าเซี่ยฟั่งอยู่ที่ใด ก่อนจะสาวเท้าเดินเร็วๆ จนถึงห้องเก็บของ เอ่ยถามบ่าวรับใช้ที่อยู่หน้าประตูจนได้รับคำตอบว่าเขาอยู่ด้านในแล้ว นางจึงกล่าวขอบคุณ ก่อนเดินเข้าไปเรียกเขา
ครู่หนึ่งเซี่ยฟั่งก็ออกมาจากห้องเก็บของ ในมือยังมีบัญชีรายชื่อของห้องเก็บของอยู่ เมื่อเห็นอาเหม่าแล้วเขาก็ประหลาดใจเล็กน้อย บุรุษหนุ่มกล่าวขึ้นอย่างสุภาพ “แม่นางอาเหม่ามีกิจอันใดหรือ”
“นายท่านให้ท่านตามไปหาท่านฉินด้วยเจ้าค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว” เซี่ยฟั่งก้มมองบัญชีรายชื่อ ก่อนปิดลงแล้ววางบนโต๊ะ และออกไปพร้อมกับนาง
ในห้องเก็บของมีพวกของกำนัล หยูกยา และของใช้ในชีวิตประจำวันในคฤหาสน์ เนื่องจากพื้นที่ห้องกว้างขวางจึงมีบริเวณที่สกปรก อาเหม่าเห็นหน้าผากของเขามีใยสีขาวเกาะคล้ายใยแมงมุม นางชั่งใจครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าควรบอกหรือไม่
เซี่ยฟั่งสังเกตเห็นสีหน้าของนางจึงเอ่ยถาม “มีอะไรหรือ”
อาเหม่าจึงชี้ไปที่หน้าผากของเขา ด้วยไม่สะดวกจะชี้เข้าไปใกล้หน้าผากของเขานัก นางจึงชี้มาที่หน้าผากของตนเอง “ตรงนี้มีหยากไย่เจ้าค่ะ”
เซี่ยฟั่งยกมือปัดตามตำแหน่งที่นางบอก อาเหม่ารีบโบกมือบอกอีกตำแหน่ง “อยู่ทางนี้ ตรงนี้”
เขาเปลี่ยนไปเช็ดอีกตำแหน่งหนึ่ง ในที่สุดก็เช็ดออก เซี่ยฟั่งหัวเราะ “เห็นทีห้องเก็บของนี้คงไม่ได้ถูกทำความสะอาดจริงจังเท่าที่ควร หน้าที่ทำความสะอาดห้องเก็บของนี้เป็นของใครกัน”
อาเหม่าไม่อยากเอ่ยปากล่วงเกินคน แต่ก็ไม่อาจโกหกเขาว่าตนไม่รู้ จึงไม่ปริปากคำออกมา
เซี่ยฟั่งจึงพูดขึ้น “เจ้าบอกมาเถอะ ข้าไม่ลงโทษคนผู้นั้นหรอก เพียงแค่จะให้เขาใส่ใจกว่านี้ อย่าได้หละหลวมเป็นอันขาด ข้าเองก็เพิ่งทยอยจัดการงานในเรือน ยังมีส่วนที่ไม่เข้าใจอีกมาก อย่างไรก็ต้องให้พวกเจ้าช่วยแนะนำ”
วาจาสุภาพและไม่ยกตนข่มท่านของเซี่ยฟั่ง หนำซ้ำการทำความสะอาดก็เป็นหน้าที่ของบ่าวรับใช้อยู่แล้ว เมื่อใคร่ครวญดูอาเหม่าจึงยอมบอกชื่อคนแก่เขาในที่สุด
เซี่ยฟั่งขานตอบ “เข้าใจแล้ว ขอบคุณแม่นางอาเหม่ามาก”
“มิต้องขอบคุณหรอก อย่างไรท่านก็เป็นพ่อบ้าน ส่วนข้าก็เป็นสาวใช้”
“ก็ล้วนเป็นคนเหมือนกัน และเป็นบ่าวเช่นเดียวกัน”
อาเหม่าเห็นเขากล่าวได้อย่างปลงตก ก็แทบอยากโพล่งถามเขาว่าเหตุใดจึงลดตัวมาเป็นบ่าวรับใช้เช่นนี้ พฤติกรรมของเขาดูอย่างไรก็มิใช่หมอนปักลาย*
ทว่าชีวิตคนอยู่บนโลก น้อยเรื่องดีกว่ามากเรื่อง อาเหม่าจึงมิได้ถามออกไป นางเดินออกจากห้องเก็บของพร้อมกับเขา ก่อนจะไปรวมตัวกับบ่าวรับใช้คนอื่นๆ เพื่อมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์สกุลฉิน
เจ้าบ้านสกุลฉินอาศัยอยู่ในคฤหาสน์บนเขาชานเมือง เมื่อรถม้าออกจากตัวเมืองถนนหนทางก็ค่อนข้างลำบาก รถม้าโคลงเคลง คนที่เดินเท้าก็ไม่สบาย
แสงแดดเริ่มแรงจนแผดเผาผืนดิน บ่าวรับใช้ที่ไร้เกราะกำบังต่างทั้งร้อนและเหนื่อย รถม้าที่อยู่ด้านหน้าเคลื่อนตัวค่อนข้างเร็ว บ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านหลังก็ยิ่งติดตามลำบาก วิ่งอยู่ระยะหนึ่งเสี่ยวลิ่วก็เช็ดเหงื่อบนใบหน้า แสนจะอิจฉาริษยา “เหตุใดพ่อบ้านจึงได้นั่งในรถกับนายท่าน ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย”
ชุ่ยหรงหัวเราะเสียงเบา “เจ้าเก่งนักก็ไปเป็นหลานของท่านฉินดูสิ”
เสี่ยวลิ่วนิ่งอึ้ง ในใจจึงยิ่งขุ่นเคือง “ลุงอะไรกัน เป็นลุงแต่กลับมองดูหลานชายเป็นพ่อบ้าน เป็นบ่าวรับใช้เฉยๆ หรือ”
“เรื่องนี้เจ้าไม่เข้าใจแล้ว เรียกท่านลุงครั้งหนึ่งก็สนิทกันครั้งหนึ่ง แต่เรียกสองครั้งก็ไร้ความรู้สึกแล้ว ซ้ำยังมิใช่เครือญาติกันอยู่แล้ว หากท่านฉินจะช่วยเขา เจ้าคิดว่าฉินฮูหยินกับคุณชายฉินจะไม่ร้อนรนหรือ ทะเลาะกับคนในบ้านเพื่อคนนอกคนเดียว ท่านฉินก็มิใช่คนโง่”
บรรดาบ่าวล้วนถูกแดดแผดเผาจนหงุดหงิดเดือดดาลในใจ แต่ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ไร้เหตุผลเสียทีเดียว เมื่อคิดได้ว่าหลังจากเจรจากับเจ้าบ้านสกุลฉินเรียบร้อยแล้ว พ่อบ้านก็ยังเป็นพ่อบ้าน เป็นบ่าวรับใช้เช่นเดียวกัน มิได้สูงส่งกว่าเขา จึงรู้สึกสบายใจขึ้นบ้างแล้ว
อาเหม่ามองเสี่ยวลิ่ว รู้ว่าเขาคิดอะไร พ่อบ้านเซี่ยหน้าตาหล่อเหลา จนสาวใช้ในคฤหาสน์ล้วนกล่าวถึงคนผู้นี้ไม่ขาดปาก ทำให้เสี่ยวลิ่วที่นับว่าหน้าตาพอใช้จนทุกคนยกยอปอปั้นมาก่อนหน้านั้นพลอยหมดสง่าราศี เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่พอใจ แต่ก็ไม่มีความจำเป็นที่เขาต้องกล่าววาจาเช่นนี้
อย่างไรขอบเขตอำนาจที่พ่อบ้านสามารถควบคุมพวกเขาได้นั้นก็กว้างขวางมากนัก
เดินทางอยู่อีกครึ่งชั่วยาม* ในที่สุดก็ถึงคฤหาสน์สกุลฉิน เจ้าบ้านสกุลหานพาบ่าวรับใช้หลายคนเข้าไป
เจ้าบ้านสกุลฉินที่ได้รับรายงานแล้วจึงออกมา เพิ่งจะเห็นเซี่ยฟั่งเขาก็เดินหน้าเข้าไปจับมือ ก่อนถอนใจหนักๆ ครั้งหนึ่ง “หลานเซี่ย เป็นเจ้าจริงหรือ เมื่อคืนเจ้าส่งจดหมายจากสกุลหานมา ข้ายังนึกว่าเป็นพวกต้มตุ๋นเสียอีก”
เซี่ยฟั่งดึงมือคืนอย่างเนิบช้า แล้วประสานมือคำนับเขา “ให้ท่านลุงฉินเป็นห่วงแล้ว”
เจ้าบ้านสกุลฉินถอนใจอีกครั้ง “เหิงโจวไกลจากเมืองเชวี่ยโจวมาก ข้ากับบิดาเจ้าก็หลายปีกว่าจะเจอกันครั้งหนึ่ง จากกันครั้งสุดท้ายเมื่อสามปีก่อนแล้ว…สามปีมานี้ เจ้านั้นโตขึ้นไม่น้อยเลย ยิ่งโตก็ยิ่งเหมือนบิดาเจ้า”
เห็นเซี่ยฟั่งแย้มยิ้มบาง เจ้าบ้านสกุลฉินจึงเพิ่งได้สติ ก่อนจะกล่าวด้วยความกลุ้มใจ “เป็นข้าไม่ดีเอง พูดถึงเรื่องที่ทำให้เจ้าเศร้าใจอีกแล้ว เพียงแต่สองปีมานี้เจ้าเองก็ไม่ได้มาหาข้า แต่เหตุใดกลับไปอยู่ที่สกุลหานเสียก่อนได้”
“พูดแล้วเรื่องยาว” เซี่ยฟั่งเอ่ยตอบอย่างราบเรียบ “สองปีก่อนบิดามารดาจากไป ข้าก็ออกจากเชวี่ยโจว แต่ยังไม่ได้ทำอันใด จนกระทั่งครึ่งเดือนก่อนได้พบนายท่านหาน ข้ากับนายท่านสนทนากันถูกคอ จึงได้ตามนายท่านหานไปสกุลหาน ทั้งยังได้งานที่ช่วยให้อิ่มท้อง”
“งานอะไรหรือ”
“พ่อบ้านขอรับ”
ความขุ่นเคืองฉายผ่านนัยน์ตาของเจ้าบ้านสกุลฉินวูบหนึ่ง เจ้าบ้านสกุลหานอยากเอ่ยแทรกเพื่อแก้ต่างให้ตนเอง ทันใดนั้นก็มีเสียงเนิบช้าดังมาจากอีกทางเสียก่อน “เป็นพ่อบ้านออกจะดี ได้เป็นพ่อบ้านสกุลหานก็ไม่นับว่าเป็นพ่อบ้านแล้ว”
อาเหม่าที่ยืนอยู่อีกทางได้ยินแล้วก็มองไปยังต้นเสียง นางเห็นเด็กหนุ่มอายุสิบหกสิบเจ็ดคนหนึ่งก้าวเข้ามาช้าๆ เขาหันไปมองใบหน้าหล่อเหลาหมดจดของเซี่ยฟั่งแล้วกลับสะท้อนแววรังเกียจออกมา ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปยืนข้างเจ้าบ้านสกุลฉิน เอ่ยเรียก ‘ท่านพ่อ’ แล้วกล่าวว่า “สองปีนี้พี่เซี่ยไม่เคยมาหาท่าน วันนี้ที่เขามาเหิงโจวก็เพราะว่ามีธุระ ทั้งยินดีที่จะเป็นพ่อบ้านเอง ท่านพ่อก็อย่าได้เป็นห่วงเขานักเลย”
ถ้อยคำเย็นชานี้ทำให้อาเหม่าพลันรู้สึกว่าเมื่อครู่ชุ่ยหรงพูดถูก แม้เจ้าบ้านสกุลฉินอยากจะช่วยเขา แต่มีหรือที่ฉินฮูหยินกับคุณชายฉินจะไม่ร้อนใจ
เซี่ยฟั่งหันไปทักทายเขา ก่อนกล่าวกับเจ้าบ้านสกุลฉิน “ที่ข้ามาวันนี้เพราะมีธุระจริง เมื่อวานข้าได้บอกกล่าวท่านคร่าวๆ ในจดหมายแล้ว”
“เรื่องนี้…”
เจ้าบ้านสกุลฉินเอ่ยยังไม่ทันจบจู่ๆ เจ้าบ้านสกุลหานก็เอ่ยแทรกขึ้น “เรื่องนี้ยังต้องเจรจากันอย่างละเอียด ถ้าอย่างไรเจ้ากับพวกเสี่ยวลิ่วก็ออกไปก่อน ข้าจะคุยกับลุงฉินของเจ้าดู”
เซี่ยฟั่งอยู่ด้วยเช่นนี้ เจ้าบ้านสกุลฉินไม่มีทางกล่าวออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำแน่นอน เจ้าบ้านสกุลหานย่อมเข้าใจเหตุผลนี้ หลานชายในนามที่มิได้เกี่ยวข้องกันทางสายโลหิต ถึงเวลานี้ก็ไม่มีประโยชน์นักแล้ว ทว่าหนี้น้ำใจแต่หนหลังยังอยู่ เรื่องที่เหลือเขาก็ไม่เป็นกังวล
เซี่ยฟั่งขานรับแล้วถอยออกไป ฉินโหยวเห็นเขาออกไปก็ไล่ตามไปด้วย เดินถึงเรือนส่วนหน้าจึงเรียกเขาไว้ได้ ยังไม่ทันเอ่ยปากก็เห็นบ่าวรับใช้สามคนของสกุลหานออกมาด้วย เขาเหลียวมองรอบหนึ่ง ก่อนกล่าวกับเซี่ยฟั่ง “อย่าได้มาที่สกุลฉินอีก”
“ได้”
ฉินโหยวที่รอการปฏิเสธด้วยถ้อยคำผรุสวาทคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล่าวว่า ‘ได้’ อย่างง่ายดาย เขารีบต้อนคำพูดทั้งหมดที่อยู่ในใจตนเองกลับลงคอทันที ท่าทีของเซี่ยฟั่งทำเอาเขากลุ้มใจ ทว่าทำได้เพียงยืนเดือดดาลเป็นขอนไม้อยู่กับที่เท่านั้น
เซี่ยฟั่งเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “คุณชายฉินยังมีอะไรจะกล่าวอีกหรือไม่”
ฉินโหยวไร้คำจะกล่าว จึงตอบอย่างฉุนเฉียว “ไม่มี!”
เซี่ยฟั่งยิ้มจนตาหยี นุ่มนวลอ่อนโยน
คุณชายฉินกำลังจะกลับไป ทันใดนั้นที่สวนด้านหลังก็มีเสียงคำรามของม้าดังขึ้น หนึ่งอาชาคลุ้มคลั่ง พาให้ม้าตัวอื่นตื่นตกใจจนแผดเสียงร้องไปด้วย คอกม้าราวกับเขื่อนกั้นน้ำที่ถูกคลื่นน้ำเชี่ยวกราก ซัดโถมจนแทบพังทะลักออกมา
ฉินโหยววิ่งไปทางนั้นทันที เซี่ยฟั่งลังเลเล็กน้อย เมื่อนึกได้ว่าคนบังคับรถม้าสกุลหานน่าจะยังอยู่ที่นั่น จึงเร่งฝีเท้าตามไปด้วย
เดิมทีอาเหม่าที่ไม่ชอบจุ้นจ้านเรื่องใครไม่ได้อยากไปดูสักนิด ใครจะคิดว่าตนเองจะถูกชุ่ยหรงที่อยากรู้อยากเห็นคว้ามือแล้วดึงนางไปทางนั้นด้วย
คอกม้าอยู่ด้านหลังของคฤหาสน์สกุลฉิน อยู่ห่างจากตัวคฤหาสน์ออกไปไม่ไกล พวกฉินโหยวอยู่เรือนส่วนหน้าของคฤหาสน์ ทั้งยังวิ่งได้เร็ว จึงไปถึงก่อนบรรดาผู้คุ้มกันครู่หนึ่ง
ภายในคอกม้าม้าตัวนั้นกำลังวิ่งพล่านอย่างคลุ้มคลั่ง พุ่งซ้ายชนขวา กระแทกเสาคอกม้าจนสั่นสะเทือน แม้มันจะหัวแตกเลือดอาบอย่างไร แต่ก็ยังไร้วี่แววจะหยุด
ฉินโหยวจะตรงเข้าไปห้าม กลับถูกบ่าวรับใช้ที่ดูแลคอกม้าดึงร่างเอาไว้ พร้อมละล่ำละลักร้องห้าม “ม้าตัวนั้นเป็นของสกุลหาน คุณชายอย่าไปขอรับ ระวังมันจะเตะท่าน!”
เซี่ยฟั่งขมวดคิ้วมุ่น พินิจมองม้าอย่างละเอียด ม้าตัวนั้นเป็นของสกุลหานจริงๆ เขาย่างสามขุมเข้าไป หวังสยบม้าที่กำลังคลุ้มคลั่ง ทว่าม้าขาดสติไปแล้ว จึงยากจะรับมือ เขาไม่รีบร้อน รอดูอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็หาโอกาสได้ เขากระโดดดีดร่างขึ้นไปอยู่บนหลังม้าแล้วคว้าสายบังเหียน
ม้าอาละวาดจนควบคุมไม่อยู่ จึงไม่รู้สึกแม้กระทั่งความเจ็บปวด มันสะบัดคนที่อยู่บนหลังอย่างบ้าระห่ำ หมายเหวี่ยงเขาให้ตกลงมาให้ได้
อาเหม่าเห็นแล้วอกสั่นขวัญผวา นางกระวีกระวาดดึงแขนเสื้อของฉินโหยวพร้อมถาม “ผู้คุ้มกันเรือนท่านเล่า”
ฉินโหยวมีสีหน้าซีดเผือด พอนางเอ่ยถามแล้วจึงหันไปตะคอกคนเลี้ยงม้า “ผู้คุ้มกันเล่า ตายกันหมดแล้วหรือไร!”
ยามนี้เซี่ยฟั่งออกแรงกระชากสายบังเหียนอย่างแรงโดยไม่สนใจว่าม้าอาจได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้นหรือไม่ เมื่อม้าได้รับความเจ็บปวดมันก็คำรามเสียงยาวครั้งหนึ่ง และเนื่องจากเหน็ดเหนื่อยมากแล้วมันจึงค่อยๆ สงบลงได้ในที่สุด ยามนั้นผู้คุ้มกันคฤหาสน์สกุลฉินก็เพิ่งมาถึงพอดี จึงรีบเข้าไปล้อมม้าไว้
เซี่ยฟั่งพลิกร่างลงจากหลังม้า บนหน้าผากและอาภรณ์ชื้นไปด้วยเหงื่อ เขาหยุดฝีเท้าหอบหายใจ สีหน้าซีดขาว
อาเหม่าเป็นคนละเอียดรอบคอบเสมอ นางสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของเซี่ยฟั่ง จึงรีบก้าวเข้าไปถาม “พ่อบ้าน ท่านเป็นเช่นไรบ้าง”
เซี่ยฟั่งขมวดคิ้วส่ายหน้า เพียงแค่กำมือทั้งสองข้างแน่นเหมือนกับ…ทันใดนั้นอาเหม่าก็เข้าใจ นางคว้ามือของเขามาพลิกดู ก็พบว่าฝ่ามือใหญ่ทั้งสองข้างนั้นถลอกจนเลือดออกเนื่องจากเสียดสีกับสายบังเหียน
ฉินโหยวร้องอุทานด้วยความตกใจ “เลือด! เลือด! พี่เซี่ยบาดเจ็บ!”
เซี่ยฟั่งมองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง ฉินโหยวอ้าปากจะโหวกเหวกต่อชะงักกึกทันที อาเหม่าเอ่ยถามเขา “คุณชายฉิน เรือนท่านมีหมอหรือไม่”
“มีๆ”
“เช่นนั้นพวกเราไปหาเขากัน”
“วันนี้เขาไม่อยู่ ออกไปข้างนอกแล้ว”
แม้แต่อาเหม่าที่นิสัยอ่อนโยนก็ยังเกือบหลุดปากต่อว่าฉินโหยวไป นางเหลียวมองโดยรอบ แล้วก็ย่างสามขุมไปในพงหญ้า นั่งลงถอนหญ้ามาหนึ่งกำมือ ขณะเดินย้อนกลับมาก็นำหญ้าในมือเข้าปากเคี้ยวไปด้วย
กลิ่นเขียวของหญ้าฉุนจนคอของนางขมฝาด ทำได้เพียงอดทนกับกลิ่นจนเคี้ยวแหลกแล้ว นางก็คายออกมาพอกบนฝ่ามือของเซี่ยฟั่ง หยิบผ้าเช็ดหน้าจากอกเสื้อ พันแผลบนมือข้างหนึ่งไว้ ทว่าผ้าเช็ดหน้ามีเพียงผืนเดียว ไม่รอให้นางเอ่ยปาก ชุ่ยหรงที่ตระหนกตกใจจนนิ่งอึ้งอยู่อีกทางก็รีบยื่นผ้าเช็ดหน้าของตนเองให้เขาพันแผล
บาดแผลที่พอกยาสมุนไพรแล้วปวดแสบเสียยิ่งกว่าเมื่อครู่ ทว่ามันกลับมีฤทธิ์ในการห้ามเลือดอย่างดีเยี่ยม ยามนี้เลือดก็หยุดไหลแล้ว อีกทั้งความเจ็บปวดก็ค่อยๆ ทุเลาลง
“ทำเช่นนี้ไปก่อนแล้วกัน รอกลับเข้าเมืองแล้ว ท่านค่อยไปที่ร้านขายยา” เนื่องจากอาเหม่าเคี้ยวหญ้าไปเป็นกำราวกับวัว เศษและน้ำของหญ้ายังหลงเหลือค้างอยู่ในปาก รสขมเฝื่อนจนลิ้นชา นางยกมือปิดปากกล่าวอย่างยากลำบาก “ข้าขอไปบ้วนปากก่อน…”
กลิ่นเขียวสดของหญ้าคละคลุ้งเกินไป จนมีกลิ่นโชยออกมาด้วยแม้กระทั่งยามที่นางพูดจา ฉินโหยวมองอาเหม่าที่วิ่งออกไป ไม่รู้จะทำสีหน้าอย่างไรดี “สาวใช้คนนี้สุขุมดี…ไยในเรือนข้าจึงไม่มีสาวใช้ที่คล่องแคล่วเช่นนี้บ้าง”
ฉินโหยวกล่าวพึมพำ เขาเหลือบมองเซี่ยฟั่ง เมื่อเลื่อนสายตาลงมองฝ่ามือของอีกฝ่ายแวบหนึ่งแล้วก็มิได้ปริปากใดๆ ก่อนจะผละไปดูม้าของสกุลหาน
ม้าสงบลงแล้ว มันนั่งกับพื้นพิงเสาพลางอาเจียนฟองน้ำลายสีขาวออกมา เมื่อฉินโหยวสำรวจอย่างละเอียดแล้วจึงหันไปกล่าวกับเซี่ยฟั่ง “ม้ากินของไม่สะอาดเข้าไป เพียงแต่ไม่รู้ว่าของนี้เป็นมันกินเองหรือมีคนจงใจป้อนมัน แต่พิษนี้ไม่ถึงขั้นเอาชีวิตมัน พอฤทธิ์ยาเจือจางมันก็หายคลุ้มคลั่งแล้ว”
เสี่ยวลิ่วขนลุกชัน “นี่ถ้าตอนนั้นนายท่านอยู่บนรถ ก็คง…”
“ชู่!” ชุ่ยหรงถลึงตาจ้องเขา “พูดไม่เป็นมงคล ฟังแล้วเหมือนมีคนปองร้ายนายท่าน”
เสี่ยวลิ่วเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองกล่าวคำเป็นลางร้ายไปจึงรีบหุบปากทันที เซี่ยฟั่งเหลือบตาขึ้นมอง คล้ายกำลังครุ่นคิด ก่อนกล่าวว่า “พวกเจ้าไปรายงานนายท่านก่อน เดี๋ยวข้าขอดูที่นี่อีกที”
เสี่ยวลิ่วกับชุ่ยหรงพอได้ยินเช่นนั้นก็ไม่อยากอยู่ต่อ ต่างพากันวิ่งออกจากคอกม้าไป
รอพวกเขาออกไปไกลแล้ว เซี่ยฟั่งจึงเอ่ยปาก “ม้าถูกพิษอะไรหรือ”
“เหมือนจะไม่ใช่หญ้าพิษที่ปนมากับหญ้าของม้าโดยไม่ทันระวัง ต้องเป็นพิษที่มีคนเจตนาป้อน เพราะฉะนั้น…คนผู้นั้นต้องเป็นคนที่ม้าคุ้นเคย มิฉะนั้นมันคงไม่ยอมกิน ม้าเป็นสัตว์ฉลาด มันไม่โง่ ถ้าเจ้าอยากตามหาคนที่วางยาพิษ หาจากในกลุ่มคนใกล้ชิดก็ได้เรื่องแล้ว” ฉินโหยวผ่อนน้ำเสียงเนิบช้า ไร้ซึ่งความแข็งกร้าวอย่างก่อนหน้านี้ “มือเป็นอะไรมากหรือไม่”
เซี่ยฟั่งก้มมองฝ่ามือตนเอง โลหิตผสมปนเปกับสีของหญ้าสมุนไพรจนกลายเป็นสีม่วงดำแปลกประหลาด ราวกับเขาเป็นคนที่ถูกยาพิษ
“ไม่เป็นไร ข้าขอกลับไปโถงใหญ่ก่อน”
“ได้” ขาดคำฉินโหยวก็เรียกเขาอีก พลางเอ่ยถาม “เอ่อ เดี๋ยวก่อน สาวใช้คนเมื่อครู่นี้ชื่ออะไร”
เซี่ยฟั่งนิ่งงันเล็กน้อย เขามองประกายที่ฉายในดวงตาของเด็กหนุ่มก่อนเอ่ยตอบ “อาเหม่า”
* หมัวมัว เป็นคำเรียกหญิงสูงวัย มีความหมายหลากหลาย ทั้งย่า ยาย แม่นม ป้า และยังเป็นคำเรียกหญิงรับใช้อาวุโสในเชิงยกย่อง รวมถึงนางข้าหลวงอาวุโสในวังด้วย
* สามคนกลายเป็นเสือ เป็นสำนวน หมายถึงข่าวลือหรือความเท็จเมื่อถูกพูดออกไปมากๆ เข้าก็จะทำให้คนเข้าใจผิดว่าเรื่องที่ได้ยินนั้นเป็นเรื่องจริง
* ยามเหม่า คือช่วงเวลา 05.00 น. ถึง 07.00 น.
* หมอนปักลายเป็นคำอุปมาที่หมายถึงภายนอกดูดีแต่ความจริงไม่มีความรู้ความสามารถ เหมือนกับหมอนปักลายที่ภายนอกดูงดงาม แต่ภายในมีเพียงนุ่น
* ชั่วยาม เป็นหน่วยนับเวลาของจีนในสมัยโบราณ เท่ากับ 2 ชั่วโมง
Comments
comments