X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน เซียมซีทายรัก บทที่ 10

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 10

 

บ่ายวันนั้น เจ้าบ้านสกุลหานก็ตัดสินใจว่ารอให้ตนกลับจากไฮ่โจวแล้วก็จะพาหลิ่วอิงกับหานเฉิงกลับสกุลหานด้วยกัน พร้อมกับให้ตำแหน่งแก่นาง หลิ่วอิงได้ยินแล้ว คืนนั้นนางก็อ่อนโยนนุ่มนวลเหมือนอย่างแต่ก่อน ปรนนิบัติเอาใจเจ้าบ้านสกุลหานให้อิ่มเอม ยิ่งทำให้เขาตัดสินใจแน่วแน่ที่จะพานางกลับไปด้วย

เนื่องจากอาลัยอาวรณ์หลิ่วอิง เจ้าบ้านสกุลหานจึงอยู่ที่นี่อีกสองวัน ในที่สุดบ่าวรับใช้สกุลหานที่ติดตามมาด้วยก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ ต่างพากันกระซิบกระซาบ

เจ้าบ้านสกุลหานเองก็ไม่คิดซ่อนเร้น วันสุดท้ายยังพาหลิ่วอิงมาและให้ทุกคนเรียกนางว่าอี๋เหนียงสี่ บ่าวรับใช้ล้วนประหลาดใจ เมื่อเห็นหานเฉิงก็ยิ่งตะลึงงันในทันที คิดไม่ถึงว่านายท่านจะมีบุตรชายอยู่นอกตระกูลที่โตเช่นนี้แล้ว

อาเหม่าหลังจากเห็นหลิ่วอิงแล้วก็รู้ว่าคืนนั้นนางกับเซี่ยฟั่งคาดเดาไม่ผิด เพียงแต่หานเฉิงนั้นอยู่นอกเหนือความคาดหมายของนางไปบ้าง ยามนี้เมื่อเจ้าบ้านสกุลหานไม่ปิดบังแล้ว เกรงว่าจะพาสองแม่ลูกนี้กลับตระกูลด้วย ทว่าดูจากการสืบข่าวของคนรอบข้างแล้วได้ยินว่าหลิ่วอิงมาจากแหล่งเริงรมย์ เช่นนั้นฮูหยินผู้เฒ่าจะยอมรับได้หรือ

หากฮูหยินผู้เฒ่าไม่ยอม อี๋เหนียงสี่ก็คงมิอาจเข้าตระกูลได้กระมัง

พรุ่งนี้ก็จะออกเดินทางไปไฮ่โจวแล้ว ช่วงค่ำขณะที่อาเหม่ากับสาวใช้อีกคนกำลังเก็บเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เจ้าบ้านสกุลหานอยู่นั้น เขาก็เข้ามาพอดี

หลายวันนี้เจ้าบ้านสกุลหานมีหลิ่วอิงคอยปรนนิบัติ เขาจึงลืมอาเหม่าไปชั่วคราว สาวใช้ที่อยู่ใต้แสงเทียนแม้จะไม่งามพริ้งหยาดเยิ้มเหมือนหลิ่วอิง แต่กลับมีความเย้ายวนของสาวน้อย ซึ่งต่างจากหลิ่วอิงอย่างสิ้นเชิง

เขาจ้องมองอาเหม่าอยู่ครู่หนึ่ง คิดในใจว่าคืนนี้คงไม่ไปหาหลิ่วอิงแล้ว เขาจะได้ไม่ถูกนางตอแยทั้งคืนอีก

เนื้อเมื่อกินมากเข้าก็ย่อมเลี่ยนเป็นธรรมดา ทว่าหากกินอาหารจานผักเบาท้องบ้างน่าจะกำลังพอเหมาะพอดี

นัยน์ตาลุกวาวเป็นประกายเจ้าบ้านสกุลหานทำให้อาเหม่าที่กำลังเก็บสัมภาระอยู่รู้สึกตัว เพิ่งสบายใจได้เพียงสองวัน ยามนี้นางก็ต้องอกสั่นขวัญผวาอีกแล้ว

นางเก็บของเรียบร้อยแล้วกำลังจะออกไป เจ้าบ้านสกุลหานก็เอ่ยว่า “อาเหม่า คืนนี้ข้าไม่ไปกินข้าวข้างนอกแล้ว เจ้ายกอาหารเข้ามาเถอะ เตรียมเหล้ามาด้วย”

อาเหม่าใบหน้าซีดเผือด เหลือเพียงริมฝีปากที่ยังเจือสีแดงเล็กน้อย นางรับคำด้วยเสียงเบาหวิว รู้ว่าคืนนี้ตนยากจะพ้นคราวเคราะห์แล้ว

นางก้มหน้าก้าวออกจากประตู เพิ่งออกมาก็รู้สึกได้ว่าเบื้องหน้ามีคนยืนอยู่ นางเบี่ยงร่างให้คนผู้นั้นผ่านไป กระทั่งสายตาเหลือบเห็นรองเท้าหุ้มข้อสีดำพื้นขาวของอีกฝ่ายก็เดาได้ทันทีว่าเขาเป็นใคร อาเหม่าเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเป็นเซี่ยฟั่งจริงๆ

เซี่ยฟั่งรู้ว่าเป็นอาเหม่า ทว่าศีรษะของนางก้มงุดจนแทบชิดกับอกมิได้เงยหน้าขึ้นมา ครั้นนางช้อนตาขึ้นมองก็พลันเห็นความสิ้นหวังฉายอยู่ในแววตาของนาง แทบจะในทันทีที่สบตากัน อาเหม่าก็ตาแดงรื้น ท่าทางลังเลคล้ายอยากจะพูด ทว่าท้ายที่สุดนางก็เพียงเดินจากไป

เซี่ยฟั่งนิ่งงัน ไม่รู้ว่านางได้รับความไม่เป็นธรรมอะไรมาหรือไม่

หรือว่าเจ้าบ้านสกุลหาน…

ครู่หนึ่งก็มีสาวใช้อีกคนก้าวออกมาจากห้อง เซี่ยฟั่งจึงหยุดความคิด พลางย่างเท้าเข้าไปบอกกล่าวเวลาออกเดินทางวันพรุ่งนี้กับเจ้าบ้านสกุลหาน ก่อนที่อีกฝ่ายจะกล่าวว่า “คืนนี้เจ้าให้ห้องครัวเตรียมอาหารของข้าให้เรียบร้อย แล้วให้อาเหม่ายกเข้ามา”

ถ้อยคำสั้นๆ ประโยคเดียว เซี่ยฟั่งก็เข้าใจสาเหตุที่อาเหม่าตาแดงรื้นแล้ว เขาเอ่ยปาก “นายท่าน คืนนี้ท่านไม่ไปหาอี๋เหนียงสี่แล้วหรือ”

“ไม่ไป”

“เช่นนั้นก็เกรงแต่ว่าอี๋เหนียงสี่จะเป็นฝ่ายมาหาท่านเสียเอง”

เจ้าบ้านสกุลหานชะงัก “ข้าบอกนางแล้วว่าคืนนี้จะพักผ่อน พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า นางไม่มาหรอก”

เซี่ยฟั่งรับคำแล้วจึงออกมา ขณะออกเดินฝีเท้าของร่างสูงเชื่องช้า ทว่าเมื่อปิดประตู สีหน้าของเซี่ยฟั่งพลันเปลี่ยน ฝีเท้าก็เร็วขึ้นมาก ขณะลงบันไดเขาเห็นบ่าวรับใช้คนหนึ่งของสกุลหาน จึงเอ่ยถาม “เห็นอาเหม่าหรือไม่”

บ่าวรับใช้คนนั้นตอบ “เหมือนจะไปที่ห้องครัวแล้ว”

เซี่ยฟั่งรับคำพลางสั่ง “รู้แล้ว เจ้าไปรับใช้นายท่านเถอะ”

พอบ่าวรับใช้คนนั้นไปแล้ว ฝีเท้าของเขาก็ยิ่งเร็วขึ้น ร่างสูงรีบย่างสามขุมตรงไปทางห้องครัว

อาเหม่าเดินไม่เร็ว แต่เซี่ยฟั่งนั้นก้าวสวบๆ จนแทบจะวิ่งอยู่แล้ว นางยังไม่ทันถึงห้องครัวก็ถูกเซี่ยฟั่งเรียกไว้ระหว่างทาง ยามที่ได้ยินเสียงของเขา อาเหม่าก็พลันรู้สึกกระดากอายขึ้นมา

จู่ๆ ความอายก็ผุดขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ อายจนไม่คิดอยากเจอเขา ราวกับว่าเพียงแค่เจอเขาแล้วนางก็ไม่อาจสูดอากาศสะอาดเข้าปอดได้อย่างไรอย่างนั้น

เซี่ยฟั่งเห็นร่างบางไม่ได้หยุดฝีเท้า จึงเร่งฝีเท้าของตนเองให้เร็วขึ้นอีกหลายก้าว เมื่อไล่ไปถึงตรงหน้านางแล้ว ลมหายใจของเขาก็เริ่มหอบ เขาจดจ้องนางพลางถาม “คืนนี้เจ้าต้องยกอาหารไปส่งให้นายท่านคนเดียวหรือ”

นัยน์ตาของอาเหม่ายิ่งแดง แต่นางก็ยังไม่ปริปาก

“อี๋เหนียงสี่อาจจะมา แต่ก็อาจจะไม่มา”

อาเหม่าขบริมฝีปาก มีความหวังที่นางจะถูกช่วย แต่ก็มีโอกาสที่นางจะไม่ถูกช่วย เช่นนั้นไม่ยิ่งชวนให้สิ้นหวังหรอกหรือ เขาจะบอกนางทำไมกัน

เซี่ยฟั่งเห็นนางยังคงนิ่งเงียบ เขามองพระอาทิตย์ “ยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วยามกว่าจะถึงมื้อเย็น หากอี๋เหนียงสี่จะมา ก็ใช้เวลาไม่เกินสองเค่อ”

ในที่สุดอาเหม่าก็เอ่ยปาก “อืม”

เซี่ยฟั่งเห็นนางยังไม่เข้าใจจึงกล่าวสำทับ “พรุ่งนี้นายท่านก็จะไปไฮ่โจวแล้ว น่าจะใช้เวลาอีกครึ่งเดือนกว่าจะกลับมาที่นี่ ต้องรอนานถึงครึ่งเดือนกว่าอี๋เหนียงสี่จะได้เจอนายท่าน กว่าคุณชายเฉิงเอ๋อร์จะได้พบบิดา ธรรมชาติของคนย่อมไม่ปล่อยโอกาสที่จะได้อยู่ด้วยกันนี้ให้เสียเปล่า”

ในที่สุดอาเหม่าก็มองเขา เนื่องจากไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงพูดจาแปลกๆ มากมายเช่นนี้กับนาง อี๋เหนียงสี่ อี๋เหนียงสี่…เพราะอะไรจึงพูดถึงแต่อี๋เหนียงสี่

เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับข้า

เกี่ยวอะไรกับการที่ข้าต้องไปปรนนิบัตินายท่านคืนนี้

เกี่ยวอะไร…

อาเหม่าที่สงบสติได้แล้วเริ่มเข้าใจ นางมองเซี่ยฟั่งอย่างอึ้งงัน ทันใดนั้นก็เข้าใจจุดประสงค์ของเขา นางยื่นมือสั่นเทาออกไปจับแขนเสื้อของเขา แม้แต่น้ำเสียงก็สั่นเครือไปด้วย “พ่อบ้าน…มีแต่ท่านที่รู้ว่าอี๋เหนียงสี่พักอยู่ที่ไหน ท่านไปเชิญนางมาได้หรือไม่ พาคุณชายเฉิงเอ๋อร์มาด้วย ให้พวกเขาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า”

นางกลัวจับใจว่าเซี่ยฟั่งจะปฏิเสธ เขาจะช่วยนางเพียงแค่นี้ และไม่ยอมช่วยนางต่อไป…ไม่ไปเชิญอี๋เหนียงสี่มา

เดิมทีเขาก็ไม่ได้มีหน้าที่ช่วยนางอยู่แล้ว

“ผ่านไปสามเค่อครึ่ง ให้เจ้ายกอาหารไปที่ห้องของนายท่านก่อน”

อาเหม่าแปลกใจ “เหตุใดท่านจึงให้ข้าไปก่อนเวลาเล่า พวกอี๋เหนียงสี่ไปกลับอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาถึงสี่เค่อ หากข้าไปก่อนเวลาก็กลายเป็นเนื้อเข้าปากเสือพอดี เช่นนั้นจะเชิญอี๋เหนียงสี่มาเพื่ออะไร”

“อาเหม่า” เซี่ยฟั่งเหมือนจะเรียกนางอย่างจริงจังเช่นนี้เป็นครั้งแรก “เชื่อข้า พ้นสามเค่อครึ่ง อย่าเร็วไปและอย่าช้าไป”

อาเหม่ายังคงลังเล ไม่รู้ว่าควรเชื่อเขาดีหรือไม่ ทว่านางยังมีใครอื่นให้เชื่อได้อีกหรือ มิหนำซ้ำหากเซี่ยฟั่งไม่คิดช่วยนางจริง แล้วจะบอกเรื่องอี๋เหนียงสี่กับนางได้อย่างไร ซ้ำยังสะกิดนางให้รู้ว่ายังใช้วิธีนี้ได้

เซี่ยฟั่งปลดมือบางที่กุมแขนเสื้อของเขาออกอย่างเบามือ “ไม่ต้องกลัว เจ้าไปเตรียมตัวเถอะ ข้าก็จะออกไปแล้ว”

ดวงตาของอาเหม่าพลันแดงรื้นขึ้นอีกครั้ง แต่น่าแปลกที่นางไม่รู้สึกหวาดกลัวเพียงนั้นแล้ว หญิงสาวพยักหน้าเบาๆ น้ำตาที่เหมือนจะร่วงหยดถูกนางฝืนข่มเอาไว้ “อืม”

พอเซี่ยฟั่งไปแล้วอาเหม่าก็ใจลอยอยู่อึดใจใหญ่ ก่อนจะไปเตรียมมื้อเย็นให้เจ้าบ้านสกุลหานที่ห้องครัว

นางคำนวณเวลาอย่างละเอียด ไม่ให้พลาดแม้แต่น้อย เซี่ยฟั่งบอกว่าสามเค่อกับอีกครึ่งเค่อก็ต้องเป็นไปตามนั้น

อีกครู่เดียวก็ถึงสามเค่อแล้ว อาหารที่อาเหม่าให้ห้องครัวจัดถูกจัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางเดินวนกลับไปกลับมาอย่างร้อนรนในสวนของห้องครัว ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดเซี่ยฟั่งจึงต้องให้ไปในช่วงเวลานั้น นางเห็นว่าเวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่งแล้ว พอไปถึงห้องเจ้าบ้านสกุลหานก็จะถึงครึ่งเค่อพอดี

นางสูดลมหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง จึงยกอาหารขึ้นไปที่ห้องของเจ้าบ้านสกุลหาน

เจ้าบ้านสกุลหานหลังจากได้ยินเสียงเคาะประตูแล้วยังนึกว่าคนงานจะยกน้ำชามาเติม ทว่าเมื่อเขาได้ยินเสียงของอาเหม่าก็พลันรู้สึกประหลาดใจ เพราะนี่ยังไม่ถึงเวลามื้อเย็น

แล้วอาเหม่าที่มาก่อนเวลานี้ หมายความว่านางเองก็กระตือรือร้นใช่หรือไม่

อย่างไรนางก็คงต้องคิดบ้างอยู่แล้ว หากลงเอยกับเซี่ยฟั่ง มิสู้อยู่กับนายท่านดีกว่าต่อให้เป็นเพียงอนุภรรยาก็ยังดี แต่ในเมื่อเขาตกลงจะรับหลิ่วอิงเข้าตระกูลแล้ว หากรับอี๋เหนียงสี่และอี๋เหนียงห้าในเวลาเดียวกันอีกก็เหมือนจะไม่ดีนัก เช่นนั้นก็มีแต่ต้องเลื่อนอาเหม่าออกไปก่อน

ถ้าระหว่างนั้นเขาเบื่อนางแล้ว อย่างไรก็เป็นแค่สาวใช้ ไยต้องให้ตำแหน่งอี๋เหนียงกับนางด้วย จากนั้นก็เพียงยกนางให้กับเด็กรับใช้คนหนึ่ง ด้วยรูปลักษณ์ของนางแล้ว เด็กรับใช้เองก็ต้องยินดีอย่างแน่นอน

เจ้าบ้านสกุลหานหลังวางแผนในใจเรียบร้อยแล้วก็ยิ่งไม่มีความคิดมอบตำแหน่งฐานะให้สาวใช้คนหนึ่ง ทว่าเรื่องพวกนี้จะให้อาเหม่ารู้ไม่ได้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นนางจะไม่สมัครใจปรนนิบัติเขา

เจ้าบ้านสกุลหานลุกไปเปิดประตู เมื่อเห็นอาเหม่าแล้วก็มิได้วางตัวสูงส่งเช่นทุกวัน ทั้งยังรับอาหารที่นางยกมาด้วยตนเอง “เหนื่อยหรือไม่ รีบเข้ามาเถอะ”

อาเหม่าข่มความรู้สึกปั่นป่วนในกระเพาะไว้ พลางก้มหน้าก้าวเข้าห้อง

เจ้าบ้านสกุลหานวางอาหารลงบนโต๊ะ มองท่าทางที่อาเหม่าก้มหน้าเขินอายแล้วตัณหาก็ยิ่งพลุ่งพล่าน แม้กระทั่งมื้อเย็นก็ไม่อยากกินแล้ว เขาจึงยื่นมือไปเพื่อหวังคว้ามือบาง

อาเหม่าที่ระแวงเขาอยู่แล้วดึงมือกลับทันที ไม่ให้เขาได้แตะต้อง

เจ้าบ้านสกุลหานเองก็ไม่ถือสา เนื้อที่กำลังจะเข้าปาก อีกเดี๋ยวก็เป็นของเขาแล้ว ไยต้องรีบร้อนอีก “ร่างกายยังผุดผ่องอยู่ล่ะสิ ไม่เคยต้องชายใดใช่หรือไม่”

อาเหม่ามิได้ตอบ นางกระดากอายจนพูดไม่ออก

เจ้าบ้านสกุลหานกล่าวอีกว่า “ข้าดูแล้วก็คิดว่าไม่เคย ดีมาก มา…ดื่มเหล้าสักหน่อยก็จะหายกลัวเอง”

เขารินสุราให้นางหนึ่งจอกด้วยตนเอง แต่อาเหม่าไม่ได้รับ ในที่สุดเจ้าบ้านสกุลหานก็หมดความอดทน จึงแค่นเสียงเย็น “ข้าอุตส่าห์ช่วยคิดแทนเจ้า แต่เจ้ากลับไม่รักดี อีกเดี๋ยวตอนเจ้าร้องว่าเจ็บ อย่าหาว่าข้าไม่เห็นใจเจ้าก็แล้วกัน”

อาเหม่าฟังนัยในคำพูดแล้วรู้สึกไม่ชอบมาพากลอย่างยิ่ง นางพลันขยับถอยหลัง แต่เจ้าบ้านสกุลหานกลับลุกเดินเข้ามาหานาง อาเหม่าพลันตกใจ ไม่รู้ว่าเหตุใดเซี่ยฟั่งจึงยังไม่มา เพราะอะไรถึงยังไม่พาอี๋เหนียงสี่มา

หรือเซี่ยฟั่งไม่ได้ไปตามอี๋เหนียงสี่

ที่จริงแล้วเขากับเจ้าบ้านสกุลหานกำลังเล่นละครด้วยกันหรอกหรือ

อาเหม่าข่มความหวาดกลัวไว้ พลางถอยหลังไปทีละก้าว

ยิ่งนางหวาดกลัว เจ้าบ้านสกุลหานก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น ทันใดนั้นก็ปราดเข้าไปคว้ามือของนาง อาเหม่าตกใจจนส่งเสียงกรีดร้อง นึกเสียใจทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องนี้

เหตุใดจึงไม่หนีไป ต่อให้ต้องใช้ชีวิตอยู่ในป่าลึก แต่อย่างน้อยก็มีอิสระ…

ยามที่เจ้าบ้านสกุลหานออกแรงกระชาก ข้อมือของอาเหม่าก็แทบจะหลุด นางเจ็บจนทรุดลงไปคุกเข่าที่พื้น เจ้าบ้านสกุลหานดึงร่างบางขึ้นหมายลากนางขึ้นเตียง ทว่ามืออีกข้างหนึ่งของอาเหม่ากลับจับขาโต๊ะไว้แน่น อย่างไรก็ไม่ยอมไป

เจ้าบ้านสกุลหานหมดความอดทนไปนานแล้ว จึงตวัดฝ่ามือตบหน้านาง อาเหม่าถึงกับตาลาย วิงเวียนจนต้องปล่อยมือจากขาโต๊ะ

อาเหม่ารู้สึกสิ้นหวังทันที

ทันใดนั้นก็มีคนแค่นหัวเราะเสียงเย็นที่ประตู น้ำเสียงแหลมสูงนั้นยิ่งหัวเราะเสียงก็ยิ่งแหลมมากขึ้น

“ดีมาก ข้าสงสัยอยู่เชียวว่าเหตุใดคืนนี้ท่านจึงไม่ไปหาเขา ที่แท้ก็มีคนใหม่แล้วนี่เอง”

เจ้าบ้านสกุลหานชะงักงัน จู่ๆ ก็มีปิ่นทองเสียบทะลุประตูบุกระดาษ แล้วกรีดจนกระดาษขาดทันที เผยให้เห็นดวงตาสวยข้างหนึ่ง ซึ่งเห็นภาพเหตุการณ์ในห้องอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง

อาเหม่าดิ้นสะบัดหลุดจากเจ้าบ้านสกุลหานแล้ววิ่งออกไปเปิดประตู ทันทีที่เห็นหญิงสาวเย้ายวนตรงหน้าแล้ว นางก็เอ่ยเสียงสั่น “ช่วยข้าด้วย…”

แววตาที่ฉายแววไร้ที่พึ่งและสิ้นหวังทำให้หลิ่วอิงอึ้งงัน สายตาเช่นนี้นางเคยเห็นมาก่อน หลายปีนั้น ตอนที่ตนถูกขายให้หอนางโลม นางก็มักเห็นในคันฉ่องเสมอ

ไร้ที่พึ่งและสิ้นหวัง…มีเพียงน้ำตาเท่านั้น…

หลิ่วอิงยื่นมือรั้งอาเหม่าไว้ด้านหลัง ราวกับมาช่วยตัวนางที่สิ้นหวังในยามนั้น

 

เจ้าบ้านสกุลหานเห็นหลิ่วอิงแล้วก็หมดท่าทันที หลิ่วอิงถลึงตาจ้องอย่างดุดัน โกรธจนตัวสั่น “ข้ายังไม่ทันเข้าตระกูล ท่านก็อยากได้ตัวสาวใช้คนนี้แล้ว ทำไม ท่านเบื่อที่ข้าโรยราเหี่ยวเฉา นึกอยากกลับคำแล้วสิ ปีหนึ่งพวกเราเจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง อยู่ด้วยกันอย่างมากที่สุดก็หนึ่งเดือน ท่านก็…”

นางโกรธจนน้ำตาร่วงเผาะ “ข้าจะพาเฉิงเอ๋อร์ไป อี๋เหนียงสกุลหานอะไรนั่น ช่างหัวปะไร”

เจ้าบ้านสกุลหานลนลาน รีบดึงนางไว้ “อย่าโวยวายเสียงดังตรงนี้ เข้ามาข้างในก่อน ข้าจะอธิบายกับเจ้าเอง”

หลิ่วอิงไม่ยอม เจ้าบ้านสกุลหานพลันเกลี้ยกล่อมเสียงนุ่ม เช่นนั้นนางจึงยอม ขณะย่างเท้าเข้าห้องยังดันอาเหม่าที่เดินไม่ไหวเป็นเชิงให้รีบจากไปเสีย

อาเหม่าถูกนางผลักทีหนึ่งจึงตื่นจากภวังค์ ก้าวเท้าที่เสมือนหนักเป็นพันชั่ง* ลงบันได และไม่รู้ว่าใช้เวลาไปเท่าไหร่กว่าจะลงมาจนถึงชั้นล่าง เมื่อเดินจนถึงชั้นล่างแล้วนางก็เห็นเซี่ยฟั่ง

อาเหม่าจดจ้องเซี่ยฟั่ง ยามนี้นางเข้าใจจุดประสงค์ของเขาแล้วว่าเหตุใดจึงต้องมาช่วงเวลาสามเค่อครึ่ง เพราะนางต้องให้เวลาครึ่งเค่อนั้นกับนายท่าน ให้อีกฝ่ายลวนลามนาง ถึงจะให้อี๋เหนียงสี่ที่เชิญมาเห็นเข้าพอดี

หลังจากนางเข้าใจแล้ว ที่เกลียดเขาในตอนแรก ภายหลังก็ไม่เกลียดแม้แต่น้อย

เพราะนางรู้แล้วว่าต่อให้หลิ่วอิงมาถึงพอดี ก็จะเห็นเพียงสาวใช้ที่ยกมื้อเย็นเข้าไปในห้อง ฝ่ายนั้นก็เพียงแค่สั่งให้นางออกจากห้องก็พอ ทว่ารอดตัวครั้งนี้ไปได้ ครั้งหน้าก็ยังมีอันตรายอยู่ดี

ด้วยเหตุนี้เซี่ยฟั่งจึงให้นางมาก่อนเวลาครึ่งเค่อ ขอเพียงให้หลิ่วอิงเห็นภาพนั้น อย่างน้อยมีหลิ่วอิงที่นิสัยดื้อรั้นและร้ายกาจอยู่ทั้งคน เจ้าบ้านสกุลหานก็จะไม่แสดงกิริยาล่วงเกินนางไปอีกระยะหนึ่ง หนำซ้ำยังมีคุณชายเฉิงอีกคน ในสายตาของเจ้าบ้านสกุลหาน สองแม่ลูกคู่นั้นย่อมสำคัญกว่านางมาก เขาไม่อาจทำร้ายจิตใจพวกเขาสองแม่ลูกเพื่อนางอย่างแน่นอน

โทสะในแววตาของอาเหม่าค่อยๆ จางหายและสลายไปในที่สุด รอดพ้นจากภยันตรายแล้ว หากต่อไปขอเพียงสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบได้ ไม่ถูกเจ้าบ้านสกุลหานตอแยอีก เช่นนั้นเหตุการณ์ในคืนนี้ก็มิใช่เรื่องใหญ่อะไร

เรื่องราวมีได้มีเสีย…แค่ได้มากกว่าเสียก็พอแล้ว

อาเหม่าหมดเรี่ยวแรงไปไม่น้อย จึงอยากกลับไปพักที่ห้อง เดินเพียงไม่กี่ก้าวก็ได้ยินว่ามีคนตามมาด้านหลัง นางพอเดาได้ว่าเป็นใคร เมื่อเลี้ยวเข้ามุมก็ไม่เดินต่อแล้ว นางอิงกำแพงรอให้เขาเดินมา

ครู่เดียวเงาร่างสูงเพรียวของเซี่ยฟั่งก็กำลังจะพ้นปากทาง ทว่าเลยไปสองก้าวเขาก็ย้อนกลับมา เดินไปที่ปากทางเดิน มองอาเหม่าที่ใบหน้าปราศจากสีเลือด

อาเหม่าเอ่ยเสียงเบา “ขอบคุณ”

เซี่ยฟั่งนิ่งเงียบชั่วครู่จึงกล่าวถาม “เหตุใดจึงยังเลือกที่จะเชื่อข้า”

อาเหม่าแย้มยิ้ม พลางช้อนตาขึ้นมองเขา “ถ้าข้าบอกว่าเพราะไม่มีทางเลือกอื่น พ่อบ้านจะเสียใจหรือไม่”

เมื่อเถรตรงเกินไปก็เหมือนหนาม ความคิดที่เซี่ยฟั่งเคยมีต่อนางยิ่งถูกลบล้าง ที่เถาฮวาบอกว่านางไม่สู้คนเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น นางแค่แสร้งทำได้อย่างแนบเนียน อาเหม่าที่เขารู้จักในยามนี้ แท้จริงทั้งใจกล้าและปราศจากซึ่งความกลัว

อาเหม่าอยากรอคำตอบจากเขา แต่เซี่ยฟั่งไม่ตอบ เขานิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “เจ้ากลับห้องเถอะ ข้าคิดว่าเจ้ายังต้องอยู่ที่นี่ รอให้นายท่านกลับจากไฮ่โจวก่อน แล้วจึงกลับสกุลหานพร้อมกัน”

อาเหม่าถาม “ทำไมเล่า”

“เพราะหลิ่วอิงไปด้วยไม่ได้ ฉะนั้นนางไม่มีทางไว้ใจที่จะให้เจ้าไป ดังนั้นก็จะขอนายท่านให้เจ้าอยู่ที่นี่ ที่จริงหลิ่วอิงผู้นั้นเนื้อแท้มิใช่คนชั่ว เจ้าก็อยู่รับใช้นางที่นี่อย่างสบายใจได้ หากเจ้ายินดีก็ดีกับนางหน่อย รับใช้อย่าให้ขาดตกบกพร่อง ต่อให้กลับถึงสกุลหานแล้ว นางก็จะปกป้องเจ้า”

อาเหม่าคิดไม่ถึงว่าเขาจะหาทางหนีทีไล่ไว้ให้นางเรียบร้อยแล้ว หัวใจนางพลันเต้นตึกตักอีกครั้ง ทันใดนั้นนางก็อยากถามเขาเหลือเกินว่าหากตอนนั้นหลิ่วอิงไม่ยอมมา เขาจะเข้ามาช่วยตนเองหรือไม่

หรือจะทำเป็นไม่รู้เรื่องราว แล้วปล่อยให้เจ้าบ้านสกุลหานย่ำยีนางไปเช่นนั้น

แต่อาเหม่ามิได้ถามออกไป อันที่จริงระหว่างนางกับเซี่ยฟั่งก็มิได้มีความสัมพันธ์อะไรต่อกันอยู่แล้ว

เป็นไปตามที่เซี่ยฟั่งคาดการณ์ หลิ่วอิงขอให้อาเหม่าอยู่กับนาง เจ้าบ้านสกุลหานเข้าใจเจตนาของนาง จึงรับปากทันที ด้วยเหตุนี้เซี่ยฟั่งกับบ่าวรับใช้คนอื่นๆ จึงต้องติดตามเจ้าบ้านสกุลหานไปไฮ่โจวต่อ ส่วนอาเหม่าก็อยู่ที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้

หลิ่วอิงส่งเจ้าบ้านสกุลหานออกเดินทางแล้วก็ให้แม่นมพาหานเฉิงกลับเรือน ส่วนนางก็พาอาเหม่าไปเที่ยวชมร้านค้า เห็นอะไรก็ซื้อ นางคิดจะซื้อให้อาเหม่า ทว่าอาเหม่ากลับไม่ยอมรับ หลิ่วอิงพลันหัวเราะเสียงเบา “อย่างไรเงินนี่ก็เป็นของหานโหย่วกง ใช้เงินของเขาชดเชยเจ้าเสียหน่อย”

“มิต้องหรอกเจ้าค่ะ อี๋เหนียงสี่” อาเหม่ากล่าวอีกว่า “ข้าเองก็ไม่ได้ต้องการเงินของนายท่าน”

หลิ่วอิงหัวเราะคิกคัก “โง่จริง เงินเดือนของเจ้ามิใช่นายท่านให้หรอกหรือ”

“แต่นั่นเป็นเงินเดือน ข้าทำงานแลกมาเจ้าค่ะ”

หลิ่วอิงมองนางหลายแวบ ก่อนกล่าวทิ้งทวนว่า ‘คนโง่’ จากนั้นก็ไปจับจ่ายสิ่งของให้ตนเอง แล้วยกให้อาเหม่าหอบหิ้วทั้งหมด ส่วนนางก็เดินตัวเบา แสนสบายอารมณ์ ยังไม่ถึงเที่ยงนางก็เข้าเหลาสุราและขอห้องเดี่ยว แต่หลิ่วอิงยังไม่ทันได้สั่งอาหาร คนงานก็ทยอยยกอาหารมาวางจนเต็มโต๊ะแล้ว อาเหม่าเห็นเช่นนั้นก็รู้ว่านางเป็นแขกประจำของที่นี่

หลิ่วอิงรูปลักษณ์งดงาม ท่วงท่าดื่มสุราแผ่วเบาและเนิบช้า ทั้งนุ่มนวลทว่าเย้ายวน ราวกับสุราที่ดื่มอยู่เป็นสุรารสเลิศในจอกหยก นางดื่มติดกันไปหลายจอก กระทั่งอาเหม่ายังอดปรามไม่ได้ “อย่าดื่มมากเจ้าค่ะอี๋เหนียงสี่ อย่างน้อยก็กินอาหารเสียหน่อยแล้วค่อยดื่ม”

“อะไรกัน ในบรรดาหญิงสาวที่เจ้ารู้จักล้วนดื่มเหล้ากันเช่นนี้รึ ต้องดื่มกับกับแกล้มเท่านั้นหรือ นั่นเป็นพวกคุณหนูผู้ดี มิใช่คนอย่างข้าหรอก” หลิ่วอิงแย้มยิ้ม นิ้วเรียวสวยเช็ดหยดสุราที่มุมปาก “ข้าดื่มเช่นนี้ได้หลายกาเชียว”

อาเหม่ามองนาง ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร ไม่ว่านางจะถูกเซี่ยฟั่งเชิญมาหรือไม่ อย่างน้อยหลิ่วอิงก็ช่วยรักษาความบริสุทธิ์ของนางไว้ ดังนั้นนางจึงเป็นห่วงหลิ่วอิงจากใจจริง

“อาเหม่า เจ้ามีคนที่ชอบแล้วใช่หรือไม่” จู่ๆ หลิ่วอิงก็ถามนาง “สาวใช้น่ะ มีพวกที่ใฝ่สูงอยากเป็นเจ้านายกันไม่น้อย เพราะเทียบกับออกเรือนกับใครก็ไม่รู้ในภายหน้าแล้ว สู้เป็นอนุไม่ดีกว่าหรือ อย่างน้อยก็ยังร่ำรวย แต่ข้าดูออกว่าเจ้ามีคนที่ชอบแล้ว”

อาเหม่าไม่ปริปาก กลัวอีกฝ่ายจะยิ่งดูออก

หลิ่วอิงพลันหัวเราะ แววตาเป็นประกาย “ใช่พ่อบ้านเซี่ยคนนั้นหรือไม่”

เมื่อถูกพูดแทงใจ อาเหม่าอดทนอย่างนิ่งสงบ ทว่าสีหน้าที่สะท้อนวูบผ่านไปเมื่อครู่นี้ก็ได้เปิดโปงนางเสียแล้ว หลิ่วอิงหัวเราะคิกคักอีกครั้ง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าพ่อบ้านเซี่ยยื่นเงื่อนไขอะไรให้ข้าไปช่วยเจ้า”

อาเหม่านิ่งเงียบครู่หนึ่งจึงเอ่ยถาม “เงื่อนไขอะไรหรือเจ้าคะ”

หลิ่วอิงไม่เคยเห็นอาเหม่ากับเซี่ยฟั่งพูดคุยกันมาก่อน ฉะนั้นจึงยังไม่มั่นใจว่าอาเหม่าชอบเซี่ยฟั่งหรือไม่ ทว่าดูจากยามนี้แล้ว อาเหม่าเองก็ชอบเขา หลิ่วอิงจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่บอกเจ้าหรอก มา นั่งลงกินข้าวกับข้า”

อาเหม่าเหลือบตามองนาง สายตาที่ลังเลชั่งใจอยู่นั้นทำให้หลิ่วอิงหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง หัวเราะจนอาเหม่าใจสั่น

แท้จริงเซี่ยฟั่งตกลงเงื่อนไขอะไรกับนางกันแน่

ใช่เป็นเงื่อนไขที่เกินเหตุหรือไม่

จะมีผลเสียกับเซี่ยฟั่งหรือไม่

อาเหม่ากังวลใจ

และความพะวงนี้ดำเนินอยู่เกือบหนึ่งเดือน จวบจนได้พบกับเซี่ยฟั่งอีกครั้ง ซึ่งก็เป็นสิ้นเดือนเก้าแล้วหลังเดินทางรอนแรม บรรดาบ่าวรับใช้ที่เดินเท้าล้วนดูซูบผอมลง แม้แต่เซี่ยฟั่งเองก็ไม่เว้น มีเพียงอาเหม่าที่อยู่กับหลิ่วอิงที่ไม่ต้องทำงานหนัก หนำซ้ำอีกฝ่ายยังพานางกินดื่มอย่างดีทุกวัน ดังนั้นสีหน้าจึงยิ่งแดงระเรื่อขาวใส จนขับให้นางยิ่งดูผุดผ่องไปทั้งตัว

เจ้าบ้านสกุลหานหลังจากเห็นอาเหม่าแล้วก็อดมองนางตาเป็นมันไม่ได้ นางกับหลิ่วอิงอย่างไรก็ต่างกัน อย่างน้อยเขาก็มั่นใจได้ว่าอาเหม่ายังเป็นสาวบริสุทธิ์ ส่วนหลิ่วอิงนั้นก่อนที่จะพบเขาก็เป็นดาวดังของหอนางโลมแล้ว คลุกคลีกับบุรุษมาแล้วไม่รู้ตั้งเท่าไหร่

ทว่ายามนี้หลิ่วอิงกับบุตรชายล้วนสำคัญกว่า เขาจึงหักห้ามความคิดนี้ไว้ก่อน

เซี่ยฟั่งเองก็เห็นอาเหม่าแล้ว เมื่อเห็นว่านางสบายดี หัวใจของเขาก็แช่มชื่นเสมือนแสงแดดสาดส่อง ดูแล้วหลิ่วอิงดูแลนางได้ไม่เลวเลย

เขามองอาเหม่า อาเหม่าเองก็มองเขา ไม่เจอกันหนึ่งเดือน นัยน์ตาก็สะท้อนความรู้สึกที่ต่างออกไป

เรื่องการดูแลต้อนรับล้วนได้หลิ่วอิงเป็นผู้จัดการ ไม่ต้องให้อาเหม่ามาปรากฏตัว ทั้งยังให้นางออกไปห่างๆ อาเหม่ามีความสุขที่เป็นอิสระยิ่งนัก จึงอยู่แต่ที่ชั้นล่างไม่ย่างกรายแม้กระทั่งบันไดขึ้นชั้นสอง สาวใช้คนอื่นเห็นแล้วต่างพากันอิจฉา กระซิบกระซาบกันว่า ‘ดูสิ พ่อบ้านเพิ่งกลับมา อาเหม่าก็มิต้องทำงานแล้ว’

คนอื่นไม่รู้เรื่องระหว่างอาเหม่ากับเจ้าบ้านสกุลหานและหลิ่วอิง ฉะนั้นจึงยก ‘ความดีความชอบ’ ที่นางสบายได้อยู่ว่างเช่นนี้ให้แก่เซี่ยฟั่ง พ่อบ้านหนุ่มปฏิบัติกับอาเหม่าต่างจากคนอื่น เรื่องนี้เหล่าสาวใช้ได้ยินกันมานาน แม้แต่ชุ่ยหรงที่เอาแต่รังแกอาเหม่าสุดท้ายก็ยังถูกย้ายให้ไปทำงานหนักอย่างซักผ้าแล้วมิใช่หรือ

เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกนางจึงยิ่งทำดีกับอาเหม่า หนึ่งคือกลัวเซี่ยฟั่ง สองเพื่อประจบอาเหม่า

อาเหม่ายืนอยู่บนทางเดินชั้นล่าง เงยหน้ามองทางขึ้นบันไดเป็นระยะ นางไม่อยากขึ้นไป ทว่าบนนั้นกลับมีคนผู้หนึ่งที่นางอยากพบ และอยากพูดคุยกับเขา แต่เขาก็อยู่บนชั้นสองตลอด ยังไม่มีเวลาว่างลงมา

ผ่านไปครึ่งวันแล้ว อาเหม่าก็ง่วงจนหาว ร่างบางจึงพิงเสาเป็นการผ่อนแรง

เมื่อถึงยามไฮ่ นอกจากเงาร่างของคนงานที่เดินขึ้นลงแล้ว นางก็ไม่เจอคนอื่น หากมิใช่เพราะอาเหม่าเห็นเซี่ยฟั่งขึ้นไปกับตาตนเอง ก็อาจจะนึกว่าเขาไม่ได้อยู่ข้างบนเสียด้วยซ้ำ

นางง่วงจนหนังตาหนักอึ้ง ขาก็เริ่มชา จึงเดินไปมาอยู่กับที่ พลันยืดเส้นยืดสาย ขาจะได้ไม่เป็นเหน็บชา

ดังนั้นเมื่อเซี่ยฟั่งเดินลงจากบันไดมา เขาก็เห็นสาวน้อยคนหนึ่งกำลังเดินวนอยู่กับที่รอบแล้วรอบเล่า เดินวนไปพลางหาวไปพลาง ทั้งยังขยี้ตาไปด้วย ใบหน้าที่เย็นชาอยู่เป็นนิตย์ของเขาสะท้อนรอยยิ้มเบาบาง ร่างสูงมองนางอยู่อย่างนั้น

รอกระทั่งอาเหม่าเดินจนเหนื่อยแล้ว นางก็กลับมาพิงเสาเช่นเดิม ทันใดนั้นนางก็นึกได้ว่าไม่ได้มองทางขึ้นบันไดพักใหญ่แล้ว จึงเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเซี่ยฟั่งและไม่รู้ว่าเขายืนอยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่แล้ว แต่ดูจากสีหน้าของเขา ต้องยืนมองนานมากแล้วแน่นอน

อาเหม่าพลันหน้าแดงปลั่ง “พ่อบ้าน”

เซี่ยฟั่งเดินเข้ามาช้าๆ ก่อนเอ่ยถาม “พรุ่งนี้ต้องกลับคฤหาสน์แต่เช้า ทำไมเจ้ายังไม่นอน”

อาเหม่าไม่ได้บอกว่ากำลังรอเขา “ข้า…นอนไม่หลับ”

ท่าทางของอาเหม่าบ่งบอกว่าเหนื่อยอ่อนแล้ว ทว่ากลับบอกว่านอนไม่หลับ ทันใดนั้นเซี่ยฟั่งก็เข้าใจแล้ว…นางกำลังรอข้า

“พ่อบ้าน ข้าอยากถามท่านเรื่องหนึ่ง” อาเหม่าทุกข์ใจมาเกือบเดือน กลัวจับใจว่าเขาจะรับปากอะไรกับอี๋เหนียงสี่ “ตอนที่ท่านไปเชิญอี๋เหนียงสี่มา ท่านรับปากอะไรนางไว้หรือ”

เซี่ยฟั่งแปลกใจ “เหตุใดจู่ๆ จึงถามเรื่องนี้”

“ตอนนั้นหลังจากท่านไปไฮ่โจวแล้ว อี๋เหนียงสี่บอกว่าท่านรับปากนางเรื่องหนึ่ง…นางจึงมา”

เซี่ยฟั่งหลุบตาครุ่นคิด ไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลิ่วอิงจึงกล่าวเช่นนั้น เขาเอ่ยตอบ “ข้ามิได้รับปากอะไร”

อาเหม่ากะพริบตา “แล้วท่านเชิญนางมาได้อย่างไร”

“ตอนที่ข้าไปคุณชายเฉิงเอ๋อร์กำลังงอแงจะพบนายท่านพอดี ข้าก็เลยถือโอกาสรับพวกเขามา”

อาเหม่านิ่งอึ้ง นึกถึงท่าทีของหลิ่วอิงที่เอ่ยถามนางวันนั้น ทันใดนั้นก็พลันตาสว่าง หลิ่วอิงแกล้งหยอก ให้ข้ากังวลเป็นห่วงเซี่ยฟั่งถึงหนึ่งเดือน!

แล้วนางก็เพิ่งรู้ตัวว่านางร้อนใจมาเป็นเดือนจริงๆ

ใช้ชีวิตอย่างไร้ห่วงไร้กังวลมาสิบกว่าปี ยามนี้กลับเป็นห่วงบุรุษคนหนึ่งที่ชื่อว่าเซี่ยฟั่งจนได้

 

* ชั่ง (ชั่งจีน) หรือจิน เป็นหน่วยชั่งของจีน ที่มีน้ำหนักประมาณครึ่งกิโลกรัม และยังนิยมใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

Editor Jamsai: