บทที่ 11
อาเหม่าที่ถูกหลิ่วอิงปั่นหัวมาหนึ่งเดือนกลับรู้สึกว่าตนเองมิได้โกรธเคืองนางแต่อย่างใด หากไม่ใช่เพราะนางแล้ว ตนอาจจะยังไม่รู้ตัวว่าห่วงใยเซี่ยฟั่งถึงเพียงนี้
ความห่วงใยนี้ยังเจือด้วยบุญคุณ อาเหม่าเองก็ไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกขอบคุณที่เหนือกว่าหรือความรักระหว่างชายหญิงที่มากกว่า
ทว่าเรื่องที่ไม่ผิดแน่ก็คือนางรู้ว่านางชอบเซี่ยฟั่งแล้วแน่นอน
เนื่องจากมิต้องกังวลเรื่องเจ้าบ้านสกุลหานแล้ว ฉะนั้นยามที่นางเผชิญหน้ากับเซี่ยฟั่ง ในใจจึงยิ่งไร้ความพะวง และด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นในระยะนี้ก็ทำให้นางเข้าใจว่าเซี่ยฟั่งอ่านตัวตนของนางออกแล้ว จึงไม่ต้องระมัดระวังอีก เวลาสนทนากับเขาก็ยิ่งตรงไปตรงมา
การเปลี่ยนแปลงอันเล็กน้อยนี้มีเพียงอาเหม่าที่ไม่เฉลียวใจ ทว่าเหล่าสาวใช้ หลิ่วอิง หรือแม้กระทั่งเซี่ยฟั่งเองไม่ว่าใครก็ล้วนสัมผัสได้
เซี่ยฟั่งไม่รู้ว่าการปรากฏตัวของอาเหม่ามีสิ่งใดแอบแฝง แล้วนางจะทำให้แผนการของเขาวุ่นวายหรือไม่
ระหว่างที่เดินทางอยู่นั้นเจ้าบ้านสกุลหานเองก็เอะใจเล็กน้อย เขาไม่สบอารมณ์นัก หลิ่วอิงที่รู้ใจเขาก็กล่าวด้วยความหึงหวง “ที่แท้ท่านยังคิดถึงสาวใช้คนนั้นอยู่หรือ”
“เข้าใจผิดแล้ว” เจ้าบ้านสกุลหานแก้ตัวทันที “เรื่องที่ข้ารับปากเจ้า จะคืนคำได้เช่นไร”
หลิ่วอิงพลันซบร่างนุ่มบนตัวเขา ทั้งออดอ้อนเสียงหวาน “น้ำส้มนั้นข้าล้วนกินหมด* แล้ว แต่นายท่าน ท่านไม่คิดหรือว่าช่วยให้คนสมปรารถนานั้นดียิ่งกว่า ข้าดูออกว่าพ่อบ้านเซี่ยกับอาเหม่าล้วนชอบพอกัน หากนายท่านยกอาเหม่าให้เขา เช่นนั้นวันหน้าเขาก็จะยิ่งภักดี ลูกที่เกิดมาก็ต้องทำงานให้สกุลเซี่ย เช่นนี้ดีจะตายไป ท่านเป็นพ่อค้า ย่อมไม่ทำการค้าที่ขาดทุน”
เจ้าบ้านสกุลหานเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยทบทวนเรื่องนี้ ทว่าอิสตรีและผลประโยชน์นั้นล้วนเป็นสิ่งที่บุรุษยากจะเลือกเสมอมา เขามิได้รับปากในทันที เพียงกลบเกลื่อนเสียงหนึ่งแล้วก็ปล่อยผ่านไป
หลิ่วอิงฟังแล้วก็แค่นหัวเราะเสียงเย็น นางอยากเอามีดเสียบหัวใจของเขา แล้วควักออกมาดูเสียให้รู้แล้วรู้รอด
เจ้าบ้านสกุลหานเห็นคนในอ้อมกอดเงียบเสียง จึงเอ่ยถาม “คิดอะไรใจลอยเชียว”
หลิ่วอิงพลันยิ้มหวาน “ข้า…กำลังคิดอยากควักหัวใจของท่านออกมา ดูว่าข้างในมีข้าหรือไม่”
เจ้าบ้านสกุลหานได้ยินแล้วก็หัวเราะชอบใจ หลิ่วอิงเองก็หัวเราะตามไปด้วย ทว่านัยน์ตาคู่สวยกลับทอประกายเย็นเยือก
พวกเขาอยู่ในเมืองเล็กๆ ซึ่งไม่ไกลจากเหิงโจวแล้ว หลังจากพวกเขาพักแรมที่นั่นสองคืน รอให้หลิ่วอิงเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้วก็นั่งรถม้ากลับไปกับเจ้าบ้านสกุลหาน ก่อนไปเขาบอกให้หลิ่วอิงล้างแป้งชาดบนหน้าออกเพื่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าประทับใจ
แต่หลิ่วอิงไม่ยอม เจ้าบ้านสกุลหานจึงเกลี้ยกล่อม “เจ้าล้างเครื่องประทินโฉมบนหน้าแล้ว ดวงหน้าก็ยังสวยงามผุดผ่อง ทั้งยังดูอ่อนหวานเรียบร้อยกว่าด้วย เช่นนี้ถึงจะเข้าตระกูลได้ง่าย”
หลิ่วอิงแค่นเสียงเย็น “หญิงที่ถูกท่านเลี้ยงดูอยู่ข้างนอกถึงแปดปี ทั้งยังมีลูกคนหนึ่งแล้ว ต่อให้มีหน้าตาเหมือนเทพธิดาปานใดก็จะถูกด่าว่าเป็นหญิงแพศยาอยู่ดี”
เจ้าบ้านสกุลหานหมดคำจะกล่าว รู้ว่าตนผิดต่อนางมากนัก ทว่าถ้อยคำของนางก็มีเหตุผล ไม่ว่าอย่างไร กลับสกุลหานหนนี้ในเรือนคงโกลาหลไปอีกระยะหนึ่ง แต่เฉิงเอ๋อร์ก็โตแล้ว ได้เวลารับเขากลับบ้านเพื่อเข้าทำเนียบสกุลหาน ให้เขาเข้าสู่วงศ์ตระกูลสกุลหานจริงๆ เสียที
รถม้าที่ออกเดินทางยามเช้าตรู่ เดิมทีควรถึงคฤหาสน์สกุลหานในเวลาย่ำค่ำ แต่หลิ่วอิงกลับให้คนบังคับรถม้าเคลื่อนรถม้าไปช้าๆ โดยให้เหตุผลว่ารถม้าโคลงจนนางคลื่นไส้ ดังนั้นขบวนจึงเข้าสู่เมืองเหิงโจวเมื่อฟ้ามืดแล้ว
ยิ่งใกล้ถึงคฤหาสน์สกุลหาน บ่าวรับใช้ที่ติดตามอยู่ด้านหลังก็ยิ่งกระซิบกระซาบกัน ด้วยไม่รู้ว่าอีกเดี๋ยวจะเกิดเหตุวุ่นวายอะไรบ้าง
อาเหม่าสาวเท้าเร็วขึ้นอีกหลายก้าว กระทั่งเดินคู่อยู่กับเซี่ยฟั่ง นางเองก็ไม่พูดพล่าม เพียงบอกว่า “คุณชายรองเชื่อถือพ่อบ้าน เดินทางครั้งนี้เกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว น่ากลัวว่าคุณชายรองจะถือโทษที่ท่านมิได้แอบส่งข่าวบอกเขาก่อน”
เซี่ยฟั่งชะงักเล็กน้อย ก่อนหลุบตาลง “เจ้านึกถึงเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อครู่”
เซี่ยฟั่งพยักหน้าเบาๆ “ไม่ต้องห่วง”
พูดจบ เขาจึงเพิ่งรู้สึกว่าวาจานี้ออกจะเข้าข้างตนเองไปเสียหน่อยหรือไม่ เพราะรู้ว่านางจะเป็นห่วง ฉะนั้นเขาก็จะไม่ให้นางต้องกังวล ทว่าอาเหม่าเองก็มิได้แสดงออกแจ่มชัดว่านางกำลังเป็นห่วงเขา บุรุษหนุ่มจึงปั้นหน้าเหมือนตนมิได้พูดอะไร ดึงสายตากลับมามองที่ถนนเบื้องหน้า “ถ้าหลิ่วอิงถามเจ้าว่าจะไปรับใช้ที่เรือนของนางหรือไม่ เจ้าอย่าได้รับปาก”
“เพราะอะไรหรือ”
“อย่างไรภรรยาเอกก็คือภรรยาเอก อนุก็คืออนุอยู่วันยังค่ำ ต่อให้เป็นคนโปรดแค่ไหน วันหน้านายท่านก็คงเบื่อ เจ้าแปรพักตร์หนีไปที่เรือนอี๋เหนียงสี่ ก็เพียงช่วยให้เจ้ารอดตัวได้แค่ชั่วคราว แต่เมื่ออี๋เหนียงสี่หมดความโปรดปรานแล้ว ฮูหยินจะลงมือกับเจ้าเป็นคนแรก”
อาเหม่าไม่เคยคิดจะไปจากฮูหยิน นางไม่อยากเป็น ‘คนทรยศ’ แต่หลิ่วอิงมิใช่คนเลวและดีกับนางมาก ดังนั้นเมื่ออาเหม่าได้ยิน นัยน์ตาของนางก็พลันหม่นแสง หัวใจนั้นยิ่งหนักอึ้ง “เหมือนกับอี๋เหนียงใหญ่ อี๋เหนียงรอง…ที่ช้าเร็วก็จะมีอี๋เหนียงห้าอี๋เหนียงหกอีกใช่หรือไม่”
“ใช่” เซี่ยฟั่งพลางเอ่ยต่อไป “เพราะฉะนั้นการแสดงความจงรักภักดีกับฮูหยินในเวลานี้จึงสำคัญที่สุด หลังจากกลับไปแล้วเจ้านำเรื่องของหลิ่วอิงไปแจ้งแก่ฮูหยินได้เลย เช่นนี้ถึงจะปกป้องตัวเจ้าเองได้ มิฉะนั้นรอจนกลับถึงคฤหาสน์แล้ว ฮูหยินก็จะถือโทษเจ้า หาว่าเจ้าไม่บอกนางล่วงหน้า”
อาเหม่านิ่งอึ้ง “นี่ก็ถือว่าข้าเป็นคนทรยศแล้ว แม่นางหลิ่วดีกับข้า ข้าไม่อาจเนรคุณนางได้”
เซี่ยฟั่งหลุดหัวเราะ น้ำเสียงเจือแววเย้ยหยัน “โลกนี้ไม่มีใครดีกับใครโดยไร้สาเหตุหรอก นอกจากบิดามารดา”
วาจาของเซี่ยฟั่งทั้งเย็นชาและไร้ความปรานี อาเหม่ารู้ว่าเขามีนิสัยเช่นนี้ แต่ก้นบึ้งจิตใจก็ยังรู้สึกถึงไอเย็นเยือก นางเงียบเสียงลงทันใด เพราะไม่รู้ว่าเหตุใดเซี่ยฟั่งจึงมีนิสัยเย็นชาแล้งน้ำใจเช่นนี้
นางอยากรู้อดีตของเขา ทั้งอยากเข้าใจเขา แต่กลับไม่รู้จะเริ่มจากจุดใด เซี่ยฟั่งก็เหมือนกับรังไหมสีขาวที่ห่อหุ้มตัวเองไว้อย่างแน่นหนา ต่อให้สัมผัสกับเปลวไฟก็เลือกที่จะถูกแผดเผาจนตายอยู่ข้างในมากกว่าที่จะเผยกายออกมา
เซี่ยฟั่งเห็นนางนิ่งเงียบก็รู้ว่าตนไม่ควรพูดจาเช่นนี้ต่อหน้านาง แต่เขากลับไม่คิดอธิบาย
แม้สองคนจะเดินเคียงคู่กัน ทว่าหัวใจกลับไกลกันสุดขอบฟ้า ห่างกันสุดหล้า ต่อให้เงาทาบทับกัน แม้ยากจะตัดขาด แต่ก็ไร้ประโยชน์ต่อกันอยู่ดี
ขบวนรถม้าเดินทางมาถึงคฤหาสน์สกุลหานในที่สุด หานฮูหยินทราบข่าวแต่แรกแล้วจึงออกมารับ รอตั้งแต่บ่ายจนค่ำก็ยังคงยืนรอเจ้าบ้านสกุลหานพร้อมเหล่าอนุภรรยาและลูกๆ อยู่ที่หน้าประตู รอจนกระทั่งลูกๆ พร่ำบ่นโอดครวญและทยอยกันกลับเข้าเรือนไปแล้ว หานฮูหยินที่รู้ว่าตนวัยร่วงโรยโฉมโรยราแล้วก็ได้แต่ใช้ความผูกพันระหว่างสามีภรรยาเรียกความซาบซึ้งเห็นใจจากเจ้าบ้านสกุลหานแล้ว ด้วยเหตุนี้นางจึงมิได้กลับเข้าเรือนไปด้วย
ยามนี้เมื่อเห็นรถม้าเคลื่อนตัวมาจากไกลๆ แล้ว หานฮูหยินก็พลันผ่อนลมหายใจโล่งอก ขณะรถม้ากำลังจะหยุดนิ่ง นางก็รีบย่างเท้าไปรับที่ประตูรถ “นายท่าน”
“อืม…”
เสียงอ่อนหวานแผ่วเบาของสตรีราวกับอสนีบาตที่ฟาดใส่หานฮูหยินให้นิ่งงันอยู่กับที่ แม้กระทั่งมือที่กำลังจะเลิกม่านก็ชะงักไป
มือบางขาวผ่องข้างหนึ่งยื่นออกมาเลิกม่านของรถม้า เหมือนยิ่งขับให้มือที่วัยล่วงเลยครึ่งร้อยของหานฮูหยินดูเหี่ยวย่นดั่งไม้ใกล้ฝั่ง หานฮูหยินอับอายจนรีบดึงมือกลับ ก่อนจะเบิกตามองรถม้าเขม็ง
ครู่หนึ่งก็มีมืออีกข้างเลิกม่านให้นาง หญิงผู้นั้นจึงโน้มร่างออกมา หานฮูหยินได้กลิ่นหอมโชยมาปะทะจมูก จากนั้นก็เห็นใบหน้างดงามเย้ายวนที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมอย่างจัดจ้าน อายุอีกฝ่ายก็ไม่น้อยแล้ว ทว่าผิวพรรณกลับเกลี้ยงเกลาผุดผ่อง ทุกอิริยาบถของหญิงผู้นั้นล้วนมีมนตร์สะกดตรึงใจ
ฉับพลันนั้นหัวใจของหานฮูหยินแทบแหลกสลาย
สามีไม่เคยเลิกม่านให้นางมาก่อน
สามีพาอี๋เหนียงกลับมาให้นางก็จริง ทว่ากลับมิใช่อาเหม่า นั่นก็แสดงว่าอาเหม่าจะมาเป็นอี๋เหนียงห้าในวันหน้า! ต้องมีอนุอีกสักกี่คนเขาถึงจะพอใจ!
หานฮูหยินทั้งแค้นทั้งเศร้า นึกถึงเรื่องที่ตนสู้อุตส่าห์รออยู่ตรงนี้ถึงครึ่งวัน กลับกลายเป็นว่านางมายืนรอรับหญิงแพศยาเสียได้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าเยาะหยันสิ้นดี
หลิ่วอิงลงจากรถม้าแล้วจึงมองเห็นหานฮูหยิน นางปรายตามองสำรวจใบหน้าของอีกฝ่ายครู่หนึ่ง จึงค้อมร่างเคารพ “คำนับหานฮูหยิน”
หานฮูหยินโกรธขึ้งจนแทบเป็นบ้า
ครู่หนึ่งเจ้าบ้านสกุลหานก็ลงมา เมื่อเห็นภรรยาแล้วจึงกล่าวว่า “นี่คือหลิ่วอิง แล้วก็…”
หานฮูหยินเบิกตาโพลง…ยังมีอีกหรือ!
เจ้าบ้านสกุลหานโน้มตัวเข้าไป ก่อนจะอุ้มเด็กชายคนหนึ่งลงมา พลางเอ่ยเสียงเบา “นี่คือเฉิงเอ๋อร์ เขาหลับไประหว่างทาง รอเขาตื่นแล้วค่อยให้คำนับเจ้า”
หานฮูหยินมองเด็กชายคนนั้นด้วยความตะลึงงัน น่าจะอายุเจ็ดขวบแล้วกระมัง นางนิ่งอึ้งอยู่นานทีเดียวจึงเอ่ยว่า “นายท่าน นี่…นี่บุตรชายท่านหรือ”
เจ้าบ้านสกุลหานมิได้กริ่งเกรงในตัวภรรยาแต่อย่างใดจึงกล่าวว่า “ใช่ พวกเขาระหกระเหินอยู่ข้างนอกมานานแปดปี ข้าเจอพวกเขาตอนที่ไปไฮ่โจว ฉะนั้นจึงพาพวกเขากลับเรือน อีกเดี๋ยวไปหาท่านแม่ เจ้าก็ต้องช่วยพูดจาให้อิงอิงด้วย”
หานฮูหยินโกรธเกรี้ยวในใจ แต่ก็มิอาจระบายได้ “ข้าทราบแล้ว”
นางมองหลิ่วอิงกับเด็กชายคนนั้นอีกครั้ง ท่าทางไม่เคยลำบากตรากตรำ ไหนเลยจะเหมือนระหกระเหินอยู่ข้างนอกมาก่อน เรียกว่าอยู่ดีกินดีจึงจะถูก เมื่อเข้าใจกระจ่างแล้วหานฮูหยินก็พลันเจ็บในอก ที่แท้สามีของนางยังเลี้ยงดูหญิงผู้นั้นอยู่นอกตระกูล ซ้ำยังมีบุตรชายที่โตถึงเพียงนี้แล้ว
บอกว่าไปค้าขายที่ไฮ่โจว ความจริงคือไปขลุกอยู่กับหญิงผู้นี้มาเดือนหนึ่งกระมัง!
หานฮูหยินข่มความขุ่นเคืองใจไว้ หางตาของตนก็มองเห็นอาเหม่าได้โดยพลัน จึงถลึงตาจ้องนางอย่างดุดัน โยนความผิดทุกอย่างให้กับนาง
อาเหม่าเห็นสายตาที่หานฮูหยินตวัดมองมาก็รู้ว่าผู้เป็นนายมีไฟโทสะสุมทรวงไร้ที่ระบายอยู่เป็นแน่ ตรงกับที่เซี่ยฟั่งบอกนางไว้จริงๆ หานฮูหยินจะระบายความแค้นเคืองกับนางด้วยการเล่นงานนาง
เซี่ยฟั่งเองก็ชี้แนะทางหนีทีไล่ ด้วยการให้นางบอกเรื่องของหลิ่วอิงกับหานฮูหยินทั้งหมด เท่านี้ตนเองก็จะไม่ต้องถูกทำโทษ
…แต่อาเหม่าไม่ยินดี
นางเล่นงานชุ่ยหรงได้ นั่นเป็นเพราะชุ่ยหรงเป็นฝ่ายรังแกนางก่อน ทว่าหลิ่วอิงมิได้ทำร้ายนาง ซ้ำยังเรียกได้ว่าในช่วงสิบกว่าปีมานี้ความดีที่หลิ่วอิงมีต่อนางก็อยู่ในลำดับต้นๆ แล้ว
รอจนเจ้าบ้านสกุลหานไปพบฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว ก่อนจะไปเขายังแจ้งว่าอีกเดี๋ยวล้างหน้าล้างตาแล้วก็จะพาหลิ่วอิงมาพบ จากนั้นก็ให้เซี่ยฟั่งไปตามหานเฉิง
ด้านฉินอี๋เหนียงข่าวสารว่องไว ตั้งแต่เจ้าบ้านสกุลหานมาถึงคฤหาสน์ก็รู้ว่าเขาพานางจิ้งจอกกลับตระกูลมาด้วยจริงๆ นางขุ่นเคืองอยู่ครู่หนึ่งก็ทำใจยอมรับได้ อย่างไรเสียจะมีหรือไม่มีอี๋เหนียงสี่ เจ้าบ้านสกุลหานก็ไม่มาเรือนนางแล้ว แต่นางมีบุตรชายแล้วคนหนึ่งจึงไม่คิดใส่ใจ เพียงแต่วันหน้ายังต้องแบ่งสมบัติให้เจ้ามารหัวขนของอี๋เหนียงสี่อีกจำนวนหนึ่ง เรื่องนี้ทำให้นางไม่พอใจอยู่บ้าง
ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังตึงตังมาจากระเบียงนอกประตู เงาร่างหนึ่งก้าวมาที่หน้าประตู น้ำเสียงกราดเกรี้ยว “อี๋เหนียง!”
ฉินอี๋เหนียงตกอกตกใจ นางยกมือทาบอกพลางกล่าวว่า “โวยวายเสียงดังทำไม รีบเข้ามาเร็ว”
ทันทีที่ประตูเปิดออก หานกวงก็สบถอย่างเดือดดาล “ท่านพ่อพานางจิ้งจอกคนหนึ่งเข้าตระกูล ท่านรู้หรือไม่ ซ้ำยังพาลูกเต่ามาด้วย”
“ถุย! เรียกลูกชู้ของพ่อเจ้าว่าลูกเต่า เจ้าเองก็มิกลายเป็นลูกเต่าไปด้วยรึ” ฉินอี๋เหนียงกล่าว “พ่อเจ้ามักมากหลายใจ ช้าเร็วก็ต้องเป็นเช่นนี้”
“ข้าโมโหเซี่ยฟั่ง” หานกวงกัดฟันกรอด “ข้าปฏิบัติต่อเขาอย่างไรท่านก็รู้ ข้าทำทุกอย่าง ทั้งยังช่วยเรื่องการแต่งงานของเขา แต่ผลเป็นอย่างไร ไปไฮ่โจวหนึ่งเดือน แต่เขากลับไม่ส่งข่าวมาให้พวกเราเตรียมตัวล่วงหน้ากันเลย”
ฉินอี๋เหนียงผุดรอยยิ้ม ไม่อธิบาย
หานกวงกล่าวอีกว่า “และที่เหลวไหลกว่านั้นคือเขากลับมาขอให้ข้าไปเป็นคนกลางช่วยเกลี้ยกล่อมท่านย่า ให้ยอมเอาเจ้าเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้านั่นเข้าตระกูลรู้จักบรรพบุรุษ ท่านว่าเซี่ยฟั่งนั่นบัดซบหรือไม่ ข้าจะไปได้อย่างไร!”
“ไปสิ เหตุใดจึงไม่ไป” ฉินอี๋เหนียงมีสีหน้าเรียบเฉยสุขุม “กวงเอ๋อร์ เรื่องนี้เมื่อหนึ่งเดือนก่อนเซี่ยฟั่งได้ส่งจดหมายมาบอกกล่าวแม่แล้ว”
หานกวงได้ยินเช่นนั้นก็ตะลึงงัน
หานกวงคิดไม่ถึงว่าเซี่ยฟั่งจะส่งข่าวบอกกล่าวล่วงหน้าแล้ว เขาจึงสงบใจนั่งลง และหายเดือดดาลในทันที “เหตุใดเซี่ยฟั่งจึงไม่บอกข้า แต่บอกท่าน”
“บอกเจ้าก็ไม่มีประโยชน์ ด้วยนิสัยวู่วามของเจ้ารังแต่จะทำเสียเรื่อง” ฉินอี๋เหนียงกล่าว “ในจดหมายเซี่ยฟั่งบอกแล้ว นายท่านเลี้ยงสตรีคนหนึ่งไว้ข้างนอก ทั้งยังมีบุตรชายอายุเจ็ดขวบอีกหนึ่งคน ท่าทางพ่อเจ้าจะตัดสินใจแน่วแน่แล้ว การรับพวกเขากลับตระกูลจึงเป็นเรื่องที่แน่นอน”
หานกวงอดท้วงมิได้ “เช่นนั้นจะปล่อยให้พวกเขาเข้าสกุลหานหรือ”
“มิใช่หรอก แต่เพราะเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอนแล้ว ใครทัดทานไปก็ไร้ประโยชน์ แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่ช่วยพูดแทนพวกเขาเล่า พ่อเจ้าจะได้ยิ่งเห็นความสำคัญของเจ้า เซี่ยฟั่งพูดถูก ทำตามใจพ่อเจ้าก็คือหลักประกันในการสืบสกุลที่ดีที่สุด พ่อเจ้ายังจะตกรางวัลแก่เจ้าด้วย แต่เจ้าอย่ารับเด็ดขาด บอกแค่ว่า ‘เรื่องที่ท่านพ่อให้ข้าทำ ข้าจะทำอย่างแน่นอน’ ก็พอ”
หานกวงฟังแล้วตะขิดตะขวงใจอย่างบอกไม่ถูก ฉินอี๋เหนียงจึงเอ่ยโน้มน้าวอีก “หนึ่งเดือนนี้อี๋เหนียงเองก็ตรึกตรองทบทวนเป็นร้อยเป็นพันครั้งแล้ว คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าเซี่ยฟั่งพูดถูก กวงเอ๋อร์ แม้พี่ใหญ่เจ้าจะสติไม่สมประกอบจนไร้โอกาสหายเป็นปกติแล้ว แต่นั่นก็มิได้หมายความว่ากิจการของสกุลหานจะเป็นของเจ้าแน่ หากทำให้พ่อเจ้าโกรธ ภายหน้าเขาจะยกสมบัติให้เจ้าเด็กนั่นหรือไม่ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
“แต่ข้ารู้สึกว่ามันไม่เป็นธรรมกับท่าน”
“ข้ารู้” ยามนี้นัยน์ตาของฉินอี๋เหนียงทอประกายอ่อนโยน พลางกล่าวเสียงนุ่มนวลว่า “กวงเอ๋อร์ ต่อให้เจ้าได้รับความรักจากฮูหยินผู้เฒ่าเพียงใด แต่หากวันใดนางไม่อยู่แล้วเจ้าจะทำเช่นไร เอาแต่ยกท่านย่าเจ้ามาข่มพ่อเช่นนี้เรื่อยไป แต่หลังจากย่าเจ้าสิ้นแล้วเล่า เจ้าก็จะผิดใจบาดหมางกับพ่อเจ้าไปอีกนาน เป็นการได้ไม่คุ้มเสียจริงๆ”
หานกวงถูกนางชักจูงจนเริ่มคล้อยตาม จึงเอ่ยถาม “นี่ก็เป็นเรื่องที่เซี่ยฟั่งบอกท่านหรือ”
ฉินอี๋เหนียงพยักหน้า “อี๋เหนียงบอกตั้งนานแล้วว่าเซี่ยฟั่งผู้นี้สมาคมด้วยได้ คำชี้แนะของเขาล้วนเป็นเรื่องดี มีประโยชน์ต่อเจ้า”
แม้หานกวงจะยากทำใจยอมรับ แต่เมื่อมีมารดาคอยหว่านล้อมเขาเช่นนี้ ในที่สุดจึงวางทิฐิลง ก่อนจะถอนใจเฮือกหนึ่งแล้วกล่าว “เช่นนั้นข้าจะไปหาท่านพ่อเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าเขาจะยื่นเงื่อนไขใดแก่ข้า ข้าก็จะปฏิเสธ แล้วช่วยเขารับแม่ลูกคู่นั้นเข้าตระกูล”
ฉินอี๋เหนียงสบายใจทันที “ลำบากเจ้าแล้วกวงเอ๋อร์”
หานกวงส่ายหน้า “อี๋เหนียงต่างหากที่ลำบาก”
เมื่อมีคำสอนสั่งของฉินอี๋เหนียง หานกวงจึงไปพบบิดาอย่างรวดเร็วและไปพบท่านย่าด้วยกัน หานฮูหยินเมื่อได้ยินว่าเขารออยู่นอกประตูก็ก้าวพรวดออกมา พลางถลึงตาจ้องเขาอย่างบึ้งตึง “กวงเอ๋อร์เจ้าบ้าไปแล้วหรือ คนผู้นี้จะมาแย่งชิงสมบัติกับเจ้า เจ้ากลับช่วยพวกนั้นเสียได้”
หานกวงนิ่งเงียบชั่วขณะก่อนตอบ “ท่านแม่ ฟ้าดินคือราชันขุนนาง สำหรับข้าท่านพ่อก็คือราชัน ข้าเคารพและนับถือเขา เพราะฉะนั้นเรื่องที่ท่านพ่อให้ข้าทำ ข้าจะไม่ผลักไสเป็นอันขาด ขอท่านแม่โปรดอภัยด้วย”
หานฮูหยินคาดหวังว่าหานกวงที่มีนิสัยใจร้อนมุทะลุจะก้าวออกมาคัดค้านเป็นคนแรก แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะไร้ซึ่งความระแวง ซ้ำยังช่วยเหลือสองแม่ลูกนั่นด้วยความสัตย์จริง นางทั้งตะลึงและโกรธเกรี้ยว พลันฉุกคิดขึ้นมาได้ เมื่อก่อนหานกวงไหนเลยจะเป็นเช่นนี้ หรือว่าจะมีคนเก่งกล้าสามารถที่คอยให้คำชี้แนะ
หลังจากเจ้าบ้านสกุลหานออกมาแล้ว ระหว่างทางเขาได้รับปากตกรางวัลอย่างงามแก่หานกวงมากมาย ทั้งยังบอกว่าจะให้เงินก้อนใหญ่ด้วย หานกวงที่เงินขาดมืออยู่เสมอนั้นแทบข่มความโลภของตนไว้ไม่อยู่ ทว่าเมื่อคิดถึงมารดาแล้ว เขากลับอดทนไว้ได้ จึงกล่าวว่า “มิต้องหรอกขอรับ พ่อลูกพูดเรื่องเงิน รังแต่จะห่างเหิน ขอเพียงเป็นเรื่องที่ท่านพ่อต้องการให้ข้าทำ ข้าก็จะทำให้สำเร็จ ต่อให้เป็นการ…เพิ่มน้องสาวคนหนึ่งให้อี๋เหนียงข้า และเพิ่มน้องชายคนหนึ่งให้ข้าก็ตาม”
เจ้าบ้านสกุลหานประหลาดใจอย่างมาก จนอดมองบุตรชายไม่ได้ผู้นี้อีกครั้ง ในใจพลางนึกชื่นชม ทว่าสีหน้ากลับไม่แสดงออก เห็นหานกวงไม่รับรางวัล เขากลับยิ่งชอบใจ อย่างน้อยต่อไปก็มิต้องวางหมากชักใยบุตรชายแล้ว เป็นผลดีกันทั้งสองฝ่าย
เขาไปที่เรือนของหลิ่วอิงก่อน หานเฉิงอยู่ในเรือนจนรู้สึกอึดอัด ยามนี้จึงวิ่งออกมาเล่นที่สวนด้านหน้า เมื่อเห็นเจ้าบ้านสกุลหานแล้วก็รีบวิ่งเข้าไปหาทันที “ท่านพ่อ”
เจ้าบ้านสกุลหานโน้มร่างลูบศีรษะน้อยๆ ถามด้วยรอยยิ้ม “แม่เจ้าเล่า”
“ท่านแม่อยู่ข้างในขอรับ”
สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างกล่าวสำทับว่า “แม่นางหลิ่วกำลังล้างหน้าล้างตา บอกว่าเดินทางเหน็ดเหนื่อย ต้องอาบน้ำให้หมดจดจึงจะยอมออกมา ทั้งยังสั่งไว้ว่าหากนายท่านมาแล้วก็ให้เข้าไปรอในเรือนเจ้าค่ะ”
แต่เนื่องจากบุตรชายอยู่ด้านนอก เจ้าบ้านสกุลหานจึงไม่ได้เข้าเรือน เขานั่งรอที่ศาลากับบุตรชายคนเล็ก หานกวงเห็นบิดาถึงกับมีน้ำอดน้ำทนนั่งรอหญิงผู้หนึ่งเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าบิดาของตนโปรดปรานเอ็นดูหญิงคนนั้นเพียงใด นั่นก็ไม่แปลกที่เหตุใดบิดาจึงตั้งใจจะพานางกลับมาให้ได้ โปรดปรานมานานถึงแปดปีก็ยังไม่เบื่อหน่ายเช่นนี้…หญิงผู้นี้ช่างเป็นจิ้งจอกแพศยาจริงๆ
หานกวงนึกดูถูกดูแคลน
ผ่านไปครึ่งชั่วยามหลิ่วอิงจึงอาบน้ำเสร็จ นางนั่งอยู่หน้าคันฉ่องและให้สาวใช้ประจำตัวเปิดกล่องเครื่องประทินโฉม สาวใช้รับใช้นางมานานจึงเอ่ยถามว่า “คุณหนูจะทาแป้งชาดพวกนี้อีกหรือเจ้าคะ อย่าให้เข้มเกินไปจะดีกว่าเจ้าค่ะ”
หลิ่วอิงหัวเราะเสียงเบา “ก็ช่างฮูหยินผู้เฒ่าสิ นางเกี่ยวอะไรกับข้า พวกเขาจะให้ข้าเข้าตระกูล ข้ายังไม่อยากเข้าเลย ถ้าไม่ใช่เพื่อเฉิงเอ๋อร์…”
สาวใช้แววตาหม่นแสงลงตามนาง หากมิใช่เพราะคุณชายเฉิงเอ๋อร์ไปเล่นในตรอกแล้วถูกคนไล่ตะโกนเรียกว่าลูกไม่มีพ่อ ชาตินี้คุณหนูของนางคงไม่มีทางเข้าสกุลหานเป็นแน่
หลิ่วอิงทาแป้งชาด ดวงหน้าที่ผุดผาดอยู่แล้วยามนี้จึงยิ่งเป็นประกายงดงามขึ้นไปอีก
กระโปรงของนางล้วนเป็นสีสดใส สว่างและหรูหรา ทว่าส่วนที่ผู้อื่นมองในแวบแรกก็ยังคงเป็นดวงหน้าที่งามล่มเมืองของนาง
อย่างเช่น…หานกวง
เขามองหลิ่วอิงเดินผ่านระเบียงทางเดิน นางลัดเลาะผ่านพื้นหญ้าเขียวขจี เยื้องย่างอย่างเนิบช้า บนใบหน้าผุดรอยยิ้มบางที่สะกดตรึงใจ
ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าหญิงแบบใดที่ทำให้บิดารักใคร่มานานถึงแปดปี
ตึกตัก…ตึกตัก…
หัวใจเขาพลันเต้นโครมคราม
คืนนี้หานฮูหยินไม่มีเวลาเล่นงานอาเหม่า แต่อาเหม่ารู้ว่าตนคงยากจะพ้นโทษ
อาจเป็นเพราะรู้ อาเหม่าจึงไม่ลนลาน เซี่ยฟั่งเองก็เดาได้ว่าอาเหม่าจะไม่หักหลังหลิ่วอิง ดังนั้นตอนที่เจอนางในคฤหาสน์อีกครั้ง เขาจึงสำรวจใบหน้าของนางเป็นอย่างแรก เมื่อไม่เห็นรอยฝ่ามือ จึงมองลงไปที่มือและแขนของนาง แต่ก็ไม่พบร่องรอยการถูกเฆี่ยนตี
แค่ครู่เดียวเขาก็กวาดมองอาเหม่าจนถ้วนทั่ว จ้องเสียจนนางหน้าร้อนผ่าว “พ่อบ้าน”
เซี่ยฟั่งเพิ่งกลับถึงคฤหาสน์ เขายังมีหน้าที่ที่ต้องทำอีกมากมาย เดินไปได้สองก้าวก็กล่าวว่า “คืนนี้เจ้ามีเวลาว่างหรือไม่”
“ว่างเจ้าค่ะ” ยามนี้หานฮูหยินไม่มีแก่ใจทำอะไรทั้งสิ้น เจ้าบ้านสกุลหานเองก็ปลีกตัวมิได้ บ่าวรับใช้ในเรือนจึงต่างว่างกันถ้วนหน้า
“เช่นนั้นเจ้าก็มาช่วยงานข้าอย่างหนึ่ง”
อาเหม่ารับปากทันที แม้จะไม่รู้ว่าต้องช่วยอะไร ทว่าแค่ช่วยเซี่ยฟั่งได้ก็พอ
เซี่ยฟั่งไปที่ห้องบัญชี หยิบบัญชีของเดือนนี้แล้วกล่าวกับอาเหม่าว่า “เจ้าจดสิ่งของที่พวกบ่าวรับใช้ซื้อมาลงในนี้ ข้าจะไปดูของที่ฮูหยินกับพวกอี๋เหนียงจับจ่าย”
อาเหม่าชะงักอึ้ง มองพู่กันที่เขายื่นให้ด้วยความลังเล “งานนี้ เกรงว่าข้าคงช่วยท่านมิได้แล้ว”
“หืม?” เซี่ยฟั่งเข้าใจโดยพลัน “เจ้า…อ่านเขียนมิได้หรือ”
อาเหม่าพยักหน้า นี่เป็นเรื่องที่เซี่ยฟั่งคิดไม่ถึง แต่เมื่อคิดให้ดีนี่ก็มิใช่เรื่องประหลาดแต่อย่างใด ให้เป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมเพียงใดหากไม่เคยเข้าสำนักศึกษาและไร้ซึ่งคนสอนสั่งตำรา จะไม่รู้หนังสือก็ไม่นับว่าแปลกอะไร
“ข้ารู้จักสาวใช้ที่อ่านเขียนได้ นางน่าจะจดพวกนี้ได้ ข้าจะไปเรียกนางมา”
อาเหม่ากำลังจะไป เซี่ยฟั่งก็เรียกนางไว้ “ไม่ต้องแล้ว”
จะให้คนอื่นทำงานนี้เซี่ยฟั่งก็ไม่ไว้ใจ อาเหม่าเป็นคนละเอียดลออ หากเป็นนางแล้วเขาก็ไม่ต้องห่วงมาก สกุลหานมีภาระมากมาย แต่เจ้าบ้านสกุลหานก็ช่างตระหนี่ถี่เหนียวไม่ยอมจ้างคนเพิ่ม ทว่าเซี่ยฟั่งก็ยังอยากได้ผู้ช่วย เมื่อพิจารณาแล้วก็คิดว่าอาเหม่ารับหน้าที่นี้ได้
แต่จนใจด้วยนางอ่านเขียนมิได้
เซี่ยฟั่งคิดแล้วจึงกล่าวว่า “เจ้าอยากอ่านเขียนได้หรือไม่ ข้าจะสอนให้”
อาเหม่าคิดไม่ถึงว่าเซี่ยฟั่งจะสอนหนังสือให้นาง นางประหลาดใจเล็กน้อย คิดแล้วก็หยั่งเชิงถาม “ท่านเห็นว่าข้าเป็นคนเก็บปากเก็บคำ ทำงานก็ดี ท่านเองอยากหาผู้ช่วย ก็เลยมีเวลาสอนข้าอ่านเขียนหรือ”
เซี่ยฟั่งรู้สึกว่านางตรงไปตรงมากว่าเมื่อก่อนมาก จึงเลิกพูดจาอ้อมค้อม เพียงเอ่ยคำเปิดเผยซึ่งๆ หน้า ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย “ใช่”
เขาไม่ปิดบังจุดประสงค์ของตนเองเลยสักนิด ทำให้อาเหม่ารู้สึกผิดหวัง แต่เมื่อคิดถี่ถ้วนแล้วเขาตรงไปตรงมาเช่นนี้ก็ดี อย่างน้อยก็ไม่ได้หลอกนาง มิได้เป็นคนหน้าซื่อใจคด
“ข้าไม่เคยจับพู่กันมาก่อนด้วยซ้ำ อาจจะร่ำเรียนได้ช้า หรืออาจถึงขั้นโง่เง่า ท่านอย่าด่าข้าก็แล้วกัน” อาเหม่ากล่าว
เซี่ยฟั่งขบขันกับวาจาของนาง “ข้าไม่ด่าเจ้าหรอก”
“อีกอย่าง หากปุบปับข้าไปซื้อพู่กันกับหมึก พวกสหายร่วมห้องคงได้ถามแน่ว่าเอาไปใช้ทำอะไร ข้าไม่อยากให้พวกนางพูดเรื่องท่านกับข้าอีก เพราะฉะนั้นหากจะสอนก็ใช้กิ่งไม้เขียนบนพื้นเถอะ ข้าจะตั้งใจจดจำ”
เซี่ยฟั่งไม่ได้ตอบทันที เขานิ่งไปเล็กน้อยก่อนกล่าวถาม “เจ้าอยากเริ่มเรียนเมื่อไหร่”
อาเหม่ามองบัญชีที่กองพะเนินดุจภูเขาบนโต๊ะก่อนตอบ “อีกเดี๋ยวข้ายังมีงานต้องทำ อีกสองสามวันแล้วกัน”
ในเมื่ออีกเดี๋ยวจะมีงาน แล้วไยจึงต้องรออีกสองสามวัน
เซี่ยฟั่งรู้ว่านางคิดว่าเขาน่าจะงานยุ่งในหลายวันนี้ เนื่องจากออกจากคฤหาสน์ไปเป็นแรมเดือน กิจธุระในคฤหาสน์ย่อมกองเป็นภูเขา ฉะนั้นระยะนี้จึงยากจะมีเวลาว่าง
ไม่ต้องพูดถึงว่าคืนนี้หานฮูหยินย่อมไม่อยากเห็นหน้าอาเหม่า ดังนั้นยามนี้อาเหม่าจึงมีเวลาว่าง
นางมักจะละเอียดรอบคอบเช่นนี้เสมอ
เซี่ยฟั่งรอให้นางจากไปแล้วจึงสะสางจัดการบัญชีด้วยตนเอง ผ่านไปครึ่งชั่วยาม อาเหม่าก็วิ่งกลับมา ยืนมองเขาที่หน้าประตูก่อนเอ่ยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าถูกเกลี้ยกล่อมจนยอมแล้ว”
พู่กันในมือของเซี่ยฟั่งชะงัก ก่อนที่เขาจะขานตอบด้วยรอยยิ้ม “อืม”
อี๋เหนียงสี่เข้าตระกูล ทั้งยังพาคุณชายคนเล็กที่ตัวโตเช่นนั้นมาด้วย คาดว่าฮูหยินใหญ่ไม่น่าจะกล้ำกลืนโทสะนี้ได้ ยามนี้อาจเพียงยอมอดทนไม่ปริปาก แต่ด้วยนิสัยเถรตรงไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดินของอี๋เหนียงสี่แล้ว อีกไม่นานฮูหยินใหญ่ก็คงจะทนไม่ได้เป็นแน่
นัยน์ตาของเซี่ยฟั่งพลันเย็นชา แม้หานฮูหยินจะไม่ได้รับความโปรดปรานเพียงใด ทว่าอย่างไรนางก็เป็นภรรยาเอก ทั้งยังวางตัวเป็นนายหญิงที่ดี สุขุมเที่ยงตรง ฉะนั้นจึงมีอำนาจการดูแลในสกุลหานนี้ หากจะฉุดนางลงจากที่สูงก็ต้องมีคนที่พอจะคานอำนาจกับนางได้
ฉินอี๋เหนียงจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อนึกได้ว่าอาเหม่ายังยืนอยู่ที่หน้าประตู จึงเบนสายตามองนาง ครั้นมองนางแล้วก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงกล่าวว่า “เจ้ามานี่”
อาเหม่าลังเลชั่วครู่ก่อนจะก้าวเข้าไป
เซี่ยฟั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วจึงกล่าว “ช้าเร็วฮูหยินใหญ่ก็จะเล่นงานเจ้าเพื่อระบายความแค้น แต่เจ้าเองก็ไม่อยากทรยศอี๋เหนียงสี่ ฉะนั้นข้ามีวิธีหนึ่งที่จะทำให้ฮูหยินใหญ่หายโกรธลงครึ่งหนึ่ง อย่างน้อยก็จะไม่ทุบตีเจ้ารุนแรงเกินไป ให้เจ้าลองเก็บไปคิดดู”
อาเหม่าเองก็ไม่อยากถูกทุบตีเปล่าๆ จึงโน้มร่างไปข้างหน้า แทบจะข้ามไปครึ่งโต๊ะเพื่อเข้าใกล้เขา
“เจ้าอ่านไม่ออกมิใช่รึ เช่นนั้นก็ย่อมเขียนไม่ได้ด้วย เพราะฉะนั้นหากจะส่งข่าวให้ฮูหยินด้วยวิธีนี้แล้วย่อมเป็นไปไม่ได้ หนำซ้ำนายท่านเองก็ระแวงว่าเจ้าจะแอบส่งข่าวอยู่ก่อนแล้ว จึงสั่งให้เจ้าคอยอยู่รับใช้หลิ่วอิง หนึ่งคือเพื่อจับตาดูเจ้า สองคือแยกเจ้ากับบ่าวที่อ่านออกเขียนได้ออกจากกัน เพื่อที่เจ้าจะไม่อาจไหว้วานให้พวกเขาเขียนจดหมายส่งข่าวให้ฮูหยินได้”
อาเหม่ากระจ่างในทันที หากบอกไปเช่นนี้ ทุกอย่างก็สมเหตุสมผลแล้ว โดยเฉพาะเรื่องที่อยู่รับใช้หลิ่วอิงอย่างใกล้ชิดนั้นก็เป็นเรื่องจริง แม้จุดประสงค์ของนายท่านจะมิใช่เช่นนั้น ทว่าขอเพียงให้ใช้ได้ผลกับฮูหยินใหญ่ก็พอแล้ว
บางครั้งการโกหกผู้อื่นเพื่อปกป้องตนเองก็เป็นเรื่องที่กระทำได้ อีกทั้งก่อนหน้านี้นางก็เชื่อใจหานฮูหยินถึงเพียงนั้นแล้ว แต่เพื่อประโยชน์ของตนเอง ฮูหยินก็ยังจะยกนางให้เจ้าบ้านสกุลหานอยู่ดี
บัดนี้อาเหม่าที่ถูกผลักไสออกไป มิได้กลายเป็นสายคนสนิทที่คอยแจ้งข่าวแก่หานฮูหยิน ไม่เพียงเท่านั้นยังดึงแม่ลูกคู่หนึ่งกลับมาอีกต่างหาก น่ากลัวว่าหานฮูหยินจะไม่ปล่อยตนไว้แน่
เพื่อปกป้องตนเองแล้ว การโกหกเช่นนี้จึงมิได้เลวร้ายอันใด
อาเหม่ากำลังนึกเรียบเรียงวาจาที่อีกครู่จะนำไปใช้กล่าวอ้าง ก็พลันมีคนวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน ยืนหายใจหอบเหนื่อยที่ประตู “อา…อาเหม่า ฮูหยินเรียกเจ้าไปพบ” พูดจบนางก็กล่าวอีกว่า “ฮูหยินไปที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังให้เจ้าไปพบ ข้าได้ยินหมัวมัวบอกว่าจะให้เจ้าคุกเข่าคืนหนึ่งแล้วค่อยสอบสวน”
เหตุร้ายมาเยือนตามความคาดหมาย ทว่าอาเหม่ากลับมิได้ตระหนกตื่นกลัว ก่อนไปนางยังมองเซี่ยฟั่งอีกครั้ง
เขามิได้ขยับพู่กัน สายตายังคงมองนาง แม้ร่างสูงจะไม่ได้ลุกขึ้น ทว่าแววตากลับไม่ได้เย็นเฉียบและเรียบเฉยเหมือนอย่างเมื่อครู่นี้แล้ว
เพียงสายตาเช่นนี้ของเขา…อาเหม่าก็พอใจแล้ว
หลังจากเลือกเฟ้นฤกษ์งามยามดีให้อี๋เหนียงสี่เข้าตระกูลแล้ว หานฮูหยินในฐานะนายหญิงก็หารือกับสามีเรื่องรับหลิ่วอิงเข้าตระกูล ดูแล้วนางช่างแสนใจกว้าง ไร้ซึ่งแววขุ่นเคืองหมางใจ
แม้กระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าก็ตกลงแล้ว นางยังจะพูดอะไรได้อีก
เจ้าบ้านสกุลหานไม่แปลกใจกับนิสัยนี้ของนาง พูดคุยกันพักหนึ่งเขาก็รู้สึกเหนื่อยอ่อน จึงกล่าวว่า “มอบให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน ข้าง่วงแล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
หานฮูหยินชะงัก พลางข่มโทสะที่ระอุในอกก่อนกล่าว “นายท่านเดินทางรอนแรม คงเหน็ดเหนื่อยแล้ว อย่างไรท่านก็เข้านอนก่อนเถอะ”
นางกล่าวเกรงใจพอเป็นพิธีคำหนึ่ง เจ้าบ้านสกุลหานก็ไปจริงๆ ไม่มีแม้กระทั่งถ้อยคำปลอบโยนนางสักคำ ซ้ำยังตรงไปที่เรือนของหลิ่วอิงอีกต่างหาก ทำให้หานฮูหยินโกรธกริ้วเป็นอย่างมาก
เมื่อสามีไปแล้ว หานฮูหยินก็เดือดดาลจนปากระดาษและพู่กันลงพื้น
เสียงโครมครามดังขึ้นสองครั้งจนสร้างความอึกทึกไม่เบา เจ้าบ้านสกุลหานเองก็เพิ่งย่างออกจากเรือน เขาเพียงชะลอฝีเท้าแต่ไม่ได้ย้อนกลับไป ก่อนจะมองเห็นอาเหม่าคุกเข่าอยู่อีกทาง เดิมอยากให้นางลุกขึ้น ทว่าเมื่อนึกถึงความขุ่นเคืองของภรรยาแล้ว เขาชั่งใจแล้วก็ล้มเลิกที่จะช่วยอาเหม่า
อาเหม่าคุกเข่าอยู่ถึงค่อนคืน รอจนหานฮูหยินเข้านอนไปนานแล้ว ผู้เป็นนายก็มิได้สั่งให้ตนลุกขึ้น
พอถึงครึ่งคืนหลัง หานฮูหยินฝันร้ายติดกันจนตกใจตื่น เมื่อลูบหน้าผากก็ล้วนชื้นไปด้วยเหงื่อเย็นๆ นางฝันเห็นคำมั่นสัญญาชั่วฟ้าดินสลายที่หานโหย่วกงเคยให้ไว้กับนางในอดีต ยามนั้นนางจึงติดตามเขาอย่างสุดจิตสุดใจ ยอมทำทุกอย่างไม่ว่าเรื่องอะไร ทว่าพริบตาเดียวชายชั่วคนนั้นกลับจะฆ่านางปิดปาก เกือบจะบีบคอนางจนตายในความฝัน
นางยกมือลูบลำคอของตนเอง หมัวมัวที่ได้ยินเสียงจึงเข้ามาจุดเทียน พลางเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ฮูหยินฝันร้ายหรือเจ้าคะ”
“อืม”
หมัวมัวติดตามนางมาตลอด เมื่อเจ้าบ้านมิได้อยู่ในเรือนจึงพร่ำบ่น “ไม่แปลกที่คืนนี้ฮูหยินจะฝันร้าย นายท่านก็ทำเกินไปจริงๆ พาหญิงกลับมาคนหนึ่งก็แล้วไป แต่หญิงนั่นหามีประวัติที่สะอาดไม่ ท่าทางรึก็ยั่วยวน ทั้งยังมีบุตรชายโตเช่นนั้นแล้ว นายท่านก็ช่างทำร้ายจิตใจฮูหยินเหลือเกิน”
หานฮูหยินไม่ชอบฟังเรื่องเหล่านี้ ด้วยยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าตนไร้ความสามารถ นางยกมือลูบใบหน้าตนเอง หลังจากที่ความงามร่วงโรย บุรุษก็คงเป็นเช่นนี้กันหมดกระมัง ได้ใหม่มักลืมเก่า!
อันที่จริงการที่เขาพาอี๋เหนียงสี่กลับมานางก็ไม่ถึงกับต้องเดือดดาลเพียงนี้แล้ว อย่างไรเสียที่นี่ก็มีอี๋เหนียงถึงสามคน นางยังมีอะไรให้ชอกช้ำเรื่องที่เขาจะมีอนุภรรยาอีกเล่า
เพียงแต่ครั้งนี้เขากลับพาบุตรชายกลับมาด้วยคนหนึ่ง เด็กคนนั้นสุขภาพแข็งแรง ทั้งดูแล้วยังเป็นเด็กฉลาดหลักแหลม
พอเห็นเด็กชายคนนั้นนางก็นึกถึงบุตรชายคนโตผู้อาภัพของนางทันที
นางมีบุตรชายหนึ่งคนและบุตรีสองคน สิบกว่าปีก่อนบุตรชายคนโตเกิดล้มศีรษะกระแทกพื้นจนสมองมีปัญหา สติปัญญาสูญสิ้น ไม่อาจหายเป็นปกติและไม่สามารถสืบสกุลได้ บุตรีคนโตก็เสียชีวิตแต่เล็ก ส่วนบุตรีคนที่สามมีนิสัยร้ายกาจ ไม่เห็นใจความลำบากของผู้เป็นมารดา วันๆ เอาแต่ห่วงเล่นห่วงสนุก ไม่สมกับเป็นกุลสตรี
ยิ่งคิดหานฮูหยินก็ยิ่งรู้สึกเหนื่อยล้า ยิ่งคิดโทสะก็ยิ่งสุมทรวง “อาเหม่าเล่า”
“ยังคุกเข่าอยู่นอกประตูเจ้าค่ะ”
“ลากตัวนางเข้ามา”
ทันทีที่ประตูเปิดออกก็มีหมัวมัวสองคนเดินเข้าไปหิ้วปีกอาเหม่าเข้าไปในเรือน แทบจะโยนนางลงตรงหน้าหานฮูหยิน
อาเหม่าคุกเข่าอยู่ครึ่งคืน ขาทั้งสองข้างจึงชาจนไร้ความรู้สึก เมื่อถูกเหวี่ยงลงพื้นร่างบางก็พลันล้มคะมำไปด้านหน้า ใบหน้ากระแทกเข้ากับพื้นทันที ไม่รอให้ตนได้ทันลุกขึ้นคุกเข่า นางก็ได้ยินหานฮูหยินกล่าวเสียงเย็น “ตี!”
เรือนผมดำเงาถูกกระชากไปด้านหลังอย่างแรง แรงเสียจนนางเจ็บชาที่หนังศีรษะ จากนั้นก็ถูกตบหน้าติดกันไปหลายทีจนนางถึงกับตาลาย
ไม่รู้ว่าถูกตบไปกี่ครั้ง เมื่อหานฮูหยินสั่งให้พวกนางหยุด ใบหน้าของอาเหม่าก็บวมแดงจนเลือดซิบแล้ว
หานฮูหยินแค่นเสียงเย็น “อาหารก็มีจานเรียกน้ำย่อย จานรอง จานหลัก และจานเคียง การตบหน้านี้ถือเป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อยของเจ้า อาเหม่า ข้าผิดหวังในตัวเจ้าจริงๆ ข้าให้เจ้าปรนนิบัตินายท่านให้ดี แต่ปรากฏว่าเจ้ากลับมิได้ยินยอมเป็นของนายท่าน ซ้ำยังช่วยนายท่านปิดบังข้า หากมิใช่เพราะเจ้าไม่ส่งข่าว วันนี้ข้าก็คงไม่คับแค้นจนรู้สึกไร้ค่าถึงเพียงนี้!”
“เป็นความผิดของอาเหม่า ผิดที่อาเหม่าเขียนหนังสือมิได้เจ้าค่ะ!” อาเหม่าน้ำตาคลอเบ้า นางมิได้เล่นละคร แต่เป็นเพราะเจ็บมากจริงๆ
หมัวมัวตะคอกอยู่อีกทาง “เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เจ้าอ่านเขียนมิได้!”
เพียงอาเหม่าเอ่ยปาก น้ำตาก็พลันร่วงหยด แม้ใบหน้าจะถูกตบจนบวมแดง ทว่าท่าทางเสมือนดอกสาลี่ที่พร่างพรมด้วยสายฝนเช่นนี้ก็ชวนให้คนมองนึกสงสารแล้ว “หากอาเหม่ารู้หนังสือก็จะส่งข่าวให้ฮูหยินได้ แต่ที่เมืองเล็กๆ นั่น นายท่านสั่งให้ข้าคอยอยู่รับใช้แม่นางหลิ่ว เพราะกลัวว่าข้าจะแอบออกไปส่งข่าวถึงท่านกลางทาง คนในเรือนนั้นก็ต่างรู้เห็นเป็นใจกันหมด เฝ้าข้าราวกับข้าอยู่ในคุก จึงไม่มีโอกาสหาคนช่วยเขียนจดหมายถึงท่านได้เลยเจ้าค่ะ”
หานฮูหยินนิ่งอึ้ง นางรู้เรื่องที่อาเหม่าไม่รู้หนังสือ แต่คิดไม่ถึงว่าที่อีกฝ่ายจะส่งข่าวกลับมามิได้จะด้วยเหตุนี้ “นายท่านสั่งให้เจ้าอยู่รอ แล้วให้หลิ่วอิงคอยจับตาดูเจ้าจริงหรือ”
อาเหม่าคิดว่าคำตอบนี้ไม่เป็นผลเสียกับหลิ่วอิง แต่กลับมีส่วนช่วยตนเองอย่างใหญ่หลวง นางพยักหน้าทันใด “เจ้าค่ะ”
หานฮูหยินฟังแล้วยิ่งรู้สึกทดท้อเศร้าใจ วาจานี้ฟังแล้วมิใช่คำโกหก อาเหม่ามีไหวพริบ ไม่มีทางปล่อยให้ตนเองตกอยู่ในทางตัน แค่ถามบ่าวที่เดินทางไปด้วยก็รู้แล้วว่านางพูดจริงหรือไม่
หานฮูหยินเพียงแต่คิดไม่ถึงว่าสามีจะระแวงนางถึงเพียงนี้
ในฐานะภรรยา นางไม่รู้แม้กระทั่งเรื่องที่สามีจะมีอนุภรรยา ทั้งยังถูกเขาปิดบังป้องกันอย่างแน่นหนา
หานฮูหยินยิ่งรู้สึกวิงเวียนและปวดศีรษะ แทบอยากไล่บ่าวรับใช้ออกไป แล้วร่ำไห้ในห้องเสียให้สมใจ
“แล้วเมื่อครู่ที่ตีเจ้า เหตุใดเจ้าจึงไม่อธิบาย”
อาเหม่าหมอบกับพื้น “เพราะอาเหม่าละเลยหน้าที่จริงๆ เจ้าค่ะ”
หานฮูหยินนิ่งอึ้ง ในใจพลันรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาบ้าง หลังจากนางถูกเมินเฉยเย็นชาในสกุลหานมานาน ยามนี้มีอาเหม่าที่ซื่อสัตย์ภักดีอยู่ก็เหมือนอาทิตย์อบอุ่นในวันที่หนาวเหน็บ พาให้หัวใจของนางเต็มตื้นขึ้นมาทันใด
นางพรั่งพรูลมหายใจหนักๆ พลันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ายิ่งนัก “เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
เรื่องตกรางวัล อีกสองสามวันค่อยว่ากัน ตอนนี้นางรู้สึกเรี่ยวแรงของตนไม่เป็นใจสักนิด มีแต่ความเศร้าเสียใจอาเหม่าลุกออกมา รู้สึกอกสั่นขวัญหนีเสมือนเพิ่งรอดพ้นจากความตายมาได้ แรงตบหลายทีเมื่อครู่นี้ยังคงทำให้แก้มร้อนผ่าว คล้ายว่านางเอาหน้าไปอังใกล้ช่องเตาผิงที่ร้อนระอุ อาเหม่ายกมือขึ้นแตะใบหน้า แม้ยามนี้จะรู้สึกดีขึ้นบ้างแต่ก็ยังเจ็บเอาการ
คุกเข่าอยู่ครึ่งค่อนคืนหัวเข่าและขาทั้งสองข้างของอาเหม่าทั้งเจ็บทั้งชา หากมีคนเดินผ่านไปมาในตอนนี้ ไม่แน่อาจเห็นว่านางเป็นเต่าที่เดินเชื่องช้าตัวหนึ่ง
แต่วิธีของเซี่ยฟั่งก็ถือว่าใช้ได้ผล อย่างน้อยก็รักษาชีวิตของนางไว้ได้ เพียงแค่โดนตบไม่กี่ทีเท่านั้น เทียบกับการลงโทษที่นางคาดไว้ก่อนหน้านี้แล้วยังนับว่าเบามาก มิหนำซ้ำนางอยู่ที่คฤหาสน์สกุลหานนี้มานานก็ใช่ว่าจะไม่เคยถูกหมัวมัวสูงวัยตบตีเสียหน่อย
นางต้องหัดเรียนรู้การสังเกตสีหน้าและวาจาของคนมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นยามนี้นางจึงได้ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง
เซี่ยฟั่งบอกว่านางฉลาดเฉลียว แต่นางไม่คิดเช่นนั้น นี่เป็นแค่วิธีเอาตัวรอดของนางเท่านั้นเอง
ผ่านด่านฮูหยินใหญ่แล้ว อาเหม่าพลันรู้สึกสบายกายสบายใจขึ้นมาทันใด รอให้เซี่ยฟั่งสะสางภารกิจในหลายวันนี้แล้ว เขาก็จะสอนนางอ่านเขียนหนังสือ
มิใช่คนอื่นสอน…แต่เป็นเซี่ยฟั่ง
หลังจากย่าจากไป นางก็ไม่เคยถูกใครปกป้องเช่นนี้อีก
อาเหม่าจึงยิ่งชอบเซี่ยฟั่ง
ใบหน้าของนางร้อนผ่าว หัวใจก็พลันร้อนรุ่มไปด้วย
“อึก…อืม…อา…”
เสียงครางแผ่วลอยมากับม่านราตรี เคล้ากับเสียงผิวกายกระทบกันเบาบาง เสียงหายใจหอบของหญิงสาวสลับกับของบุรุษดึงสติอาเหม่ากลับมาทันที
นางเหลียวมองรอบๆ อย่างตระหนก ทว่ากลับไม่เห็นอะไรเลย
ตามหลักแล้วผู้คุ้มกันของคฤหาสน์สกุลหานจะผลัดเปลี่ยนกันลาดตระเวนทุกคืน ไม่อนุญาตให้มีคนลอยชายอยู่ในสวนยามค่ำคืน
แล้วใครอยู่ที่นี่ อยู่ตรงไหนกัน…
นับตั้งแต่วันสารท อาเหม่าก็กลายเป็นคนขวัญอ่อนตกใจง่าย สาวน้อยพยายามสงบสติอารมณ์ ไม่เชื่อว่าเป็นภูตผีวิญญาณ เมื่อเงี่ยหูฟังอีกครั้งก็ยิ่งได้ยินเสียงนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น
“อืม…อื้ม…”
หลังจากตั้งใจเงี่ยหูฟังแล้วก็ได้ยินเสียงที่ยากจะควบคุมของหญิงสาวอย่างชัดเจน ทันใดนั้นอาเหม่าก็นึกขึ้นได้ว่าตนเคยได้ยินเสียงแปลกๆ เช่นนี้ที่ไหนมาก่อน เมื่อครั้งอยู่เวรดึกนอกห้องของฮูหยินใหญ่ ซึ่งหลายปีกว่าจะได้ยินสักครั้ง…
อาเหม่าพลันหน้าซีดเผือด ที่หน้านางไม่แดงมิใช่เพราะหญิงที่ยังไม่ออกเรือนอย่างนางได้ยินแล้วไม่รู้สึกอาย แต่เป็นเพราะความตระหนกนั้นมีมากกว่าความอาย
เรือนนี้เป็นเรือนของนายท่านกับฮูหยินและบุตรจากภรรยาเอก ทว่านายท่านยามนี้ไปที่เรือนอี๋เหนียงสี่ ฮูหยินก็ยังอยู่ที่ห้อง คุณชายใหญ่รักษาตัวอยู่นอกตระกูล เช่นนั้นก็มีเพียง…
คุณหนูสามหานเยียน!
คุณหนูสามที่นิสัยร้ายกาจและกิริยาไม่เรียบร้อยผู้นั้น
อาเหม่าตะลึงเพราะรู้ว่าบ่าวรับใช้ต่างกำลังทำงานตามหน้าที่ของตน ฉะนั้นจึงไม่มีทางมาปรากฏตัวที่นี่ และยามนี้ก็เป็นเวลาผลัดเปลี่ยนเวรของผู้คุ้มกันพอดี ดังนั้นจึงมีเพียงผู้คุ้มกันเท่านั้นที่จะสามารถเข้ามาในบริเวณนี้โดยไม่ถูกใครพบเห็นหรือต่อว่าได้
จึงมีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวว่า…คุณหนูสามกำลังมีสัมพันธ์ลับกับผู้คุ้มกัน!
อาเหม่าไม่มีเวลาสนใจแล้วว่าเสียงครวญครางที่ทรมานเคล้าความสุขสมนี้ดังมาจากที่ใด นางหวังเพียงอยากไปจากที่นี่โดยเร็ว อย่าให้อีกฝ่ายรู้ตัวก็พอ นางสาวเท้าอย่างเร็วไว พยายามลงน้ำหนักเท้าให้เบาที่สุด ไม่อยากให้พวกเขารู้ตัวเข้า
เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่าหนทางเบื้องหน้าช่างยาวไกล ยาวยิ่งกว่าเส้นทางที่นางกลับคฤหาสน์สกุลหานในคืนวันสารทเสียอีก
แม้สถานการณ์คับขัน ทว่าอาเหม่าก็ไม่ได้ลนลาน ทั้งมิได้เร่งร้อนจนส่งเสียงตึงตังเพื่อจากไปอย่างเดียว แต่นางกลับผ่อนฝีเท้าให้เบาเสียงที่สุด ในที่สุดก็ออกจากประตูสวนมาได้ นางเข่าอ่อนจนทรุดลงที่พื้น ยกมือขึ้นลูบหน้าผากก็พบว่าชื้นไปด้วยเม็ดเหงื่อ
นางผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ทว่าลมหายใจยังไม่ทันจางหายไปกับลมราตรี ด้านหลังของนางก็พลันมีคนเรียก “อาเหม่า เจ้ารอเดี๋ยว”
ดั่งถูกฟ้าผ่าเปรี้ยง อาเหม่าตัวแข็งไปชั่วขณะ เหงื่อเย็นๆ ผุดพรายไหลหยดจากหน้าผากมนลงมา
คนเรียกมิใช่หานเยียน ทว่าชื่อที่อีกฝ่ายเรียกนั้นต้องมีคนได้ยินแน่แล้ว!
อาเหม่าพยายามข่มใจให้สงบ หมุนร่างไปมองหมัวมัวที่วิ่งเข้ามาหานาง แล้วฝืนใจแย้มยิ้ม “หมัวมัวมีอะไรหรือ”
หมัวมัวกล่าว “อาเหม่า เมื่อครู่ที่ข้าตบหน้าเจ้า เพราะไม่มีทางเลือกจริงๆ หมัวมัวเองก็ต้องฟังคำสั่งของฮูหยิน เจ้าอย่า…อย่าตำหนิหมัวมัวต่อหน้าพ่อบ้านเซี่ยเลย ข้าเองก็ลำบากใจ เฮ้อ…ดูเจ้าสิ แก้มบวมแดงหมดแล้ว เดี๋ยวข้าจะไปซื้อยามาให้”
“หมัวมัวทำตามหน้าที่ อาเหม่ามิกล้าโกรธท่านหรอก” อาเหม่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “อีกอย่างเกี่ยวอะไรกับพ่อบ้านเซี่ยหรือ”
หมัวมัวนึกว่าอาเหม่าคิดว่าตนพูดพล่าม เรื่องที่ยังไร้ความคืบหน้าไยจึงนำมาพูดต่อหน้าเช่นนี้ หมัวมัวจึงฉีกยิ้ม “ใช่ๆ หมัวมัวพูดมากเอง เจ้ารีบกลับไปพักเถอะ นี่ก็ดึกแล้ว กลับไปแล้วใช้น้ำอุ่นประคบหน้าก็จะไม่เจ็บแล้ว”
อาเหม่าแย้มยิ้ม มองส่งหมัวมัวเข้าสวนของเรือน จึงก้มหน้าก้มตาเดิน ยามนี้ยามตระหนกจนหัวใจเต้นรัว
หมัวมัวย้อนกลับไปที่เรือนแล้ว เดินสิบกว่าก้าวก็เลี้ยวผ่านบ่อเลี้ยงปลา ภูเขาจำลองขนาดใหญ่นั้นเงียบสงัดและมืดสลัว มิได้รับแสงสว่างจากโคมไฟบนระเบียงทางเดินแม้แต่น้อย
“ฉาดนั้นต้องเจ็บมากแน่ๆ มิฉะนั้นจะเหงื่อชื้นหน้าหรือ หน้าก็ซีดแล้วด้วย…เฮ้อ ไยฮูหยินจึงให้ข้าตบหน้านางเสียได้” หมัวมัวพึมพำต่อว่าตนเอง พลันพบว่าตนเองเดินมาผิดทาง จนใกล้จะเลี้ยวเข้าส่วนลึกของสวนแล้ว นางก็รีบกระวีกระวาดเดินกลับทางเดิม ไปรับใช้ที่เรือนของฮูหยิน
เสียงฝีเท้ายังไม่ทันจากไปจนเงียบ หญิงสาวที่อยู่ในถ้ำกว้างใต้ภูเขาจำลองก็โก่งร่างขึ้นสูง รู้สึกสุขสมทันใด ขาเรียวยาวขาวผ่องตวัดไขว้อยู่บนตัวบุรุษที่ทาบทับอยู่ด้านบน นางเอ่ยว่า “คราวนี้น่าจะไม่มีใครแล้ว”
บุรุษหนุ่มกล่าวปนกลุ้มใจ “ข้าบอกแต่แรกแล้วว่าอย่าเป็นที่นี่ เจ้าก็ยัง…”
“แล้วอย่างไร”
เขายังตกใจไม่หาย “อาเหม่าเป็นคนละเอียดรอบคอบ คิดว่านางน่าจะ…”
“มีอะไรน่ากังวลกัน” แขนเรียวสองข้างของหานเยียนพลันโอบรอบคอบุรุษร่างกำยำ สีหน้าเคลิบเคลิ้ม ทว่าน้ำเสียงกลับเย็นเยียบเหี้ยมเกรียม “นางไม่พูดพล่อยไปหรอก”
บุรุษหนุ่มมีสีหน้าเบาใจ ก่อนได้ยินนางหัวเราะคิกคัก “เพราะคนตายพูดไม่ได้”
* มาจากสำนวน ‘กินน้ำส้ม’ ซึ่งหมายถึงการหึงหวง
สามารถติดตามอ่านต่อได้ในหนังสือ ‘เซียมซีทายรัก 1-2’ วางจำหน่ายแล้วทั่วประเทศ
Comments
comments