บทที่ 5
ชุ่ยหรงเดินออกมาจากห้องครัวอย่างเจ็บแค้น นางรู้สึกว่าการที่ตนถูกตาต้องใจเสี่ยวลิ่วนั้นช่างเป็นเรื่องตาบอดโดยแท้ นึกถึงระยะนี้ที่เกี้ยวพาราสีกับเขาแล้ว นางก็แทบอาเจียน
ตอนที่นางเดินจากไปไกลแล้ว จึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้บังเอิญเจอกับเซี่ยฟั่งที่ระเบียงทางเดิน ถ้วยยาที่เขาขอให้นางนำกลับไปก็ยังอยู่ในมือ
เมื่อชิงชังคนคนหนึ่ง…ก็จะนึกถึงอีกคนหนึ่ง
เซี่ยฟั่งคนนั้นดีกว่าเสี่ยวลิ่วไม่รู้กี่เท่า ไยที่ผ่านมานางจึงหน้ามืดตามัวเสียได้
ต่อให้ยามนี้เซี่ยฟั่งดูผ่ายผอมลงไปบ้างแต่อย่างน้อยนิสัยเขาก็ยังดีอยู่ เพียงแค่ให้นางนำถ้วยยากลับไป น้ำเสียงที่เขาใช้ก็ยังนุ่มนวลยิ่งนัก ‘ข้าลืมให้เสี่ยวลิ่วเอาถ้วยกลับไป เจ้าช่วยเอากลับไปแทนได้หรือไม่’
พ่อบ้านมีฐานะสูงกว่าสาวใช้มาก แต่เขากลับไม่ผยองลืมตัวแม้แต่น้อย ทั้งการพูดการจาก็สุภาพ ชั่วขณะนั้นชุ่ยหรงจึงเขี่ยเสี่ยวลิ่วออกจากหัวใจไปอย่างไม่ลังเลและเริ่มคิดกับเซี่ยฟั่งแตกต่างไปจากเดิม
ในคฤหาสน์สกุลหานเอง นางก็จัดเป็นสาวใช้หน้าตาดีคนหนึ่ง ฐานะระหว่างสาวใช้กับพ่อบ้านก็นับว่าเหมาะสมกันพอดี
คิดแล้วนางก็ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดปาก ผุดรอยยิ้มพึงใจ
เสี่ยวลิ่วถูกหมอซ่งจับตัวไปขออภัยยอมรับผิดกับเซี่ยฟั่ง ทว่าไปสถานที่ที่เซี่ยฟั่งมักอยู่นานในยามปกติถึงสองแห่งแล้วก็ยังไม่พบตัวคน จนกระทั่งถามบ่าวรับใช้อีกคนหนึ่งจึงได้รับคำตอบว่า “พ่อบ้านไม่สบาย เหมือนอาการเก่ากำเริบ เขากลับไปพักผ่อนที่ห้องแล้ว”
หมอซ่งได้ยินแล้วก็ถลึงตาจ้องเสี่ยวลิ่วอย่างโกรธเกรี้ยว
เสี่ยวลิ่วรู้สึกว่าเซี่ยฟั่งไม่มีทางยกโทษให้เขาแน่ ซ้ำยังคิดจะเก็บข้าวของหนีความผิดไปให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าสัญญาทาสของเขายังอยู่ในมือของเจ้าบ้านสกุลหาน หากหนีแล้วจะหนีไปที่ไหนได้ ถึงตอนนั้นคงไม่มีโอกาสได้ทำงานหรือไปอยู่ที่ไหนแล้ว เขาจึงล้มเลิกความคิดนี้เสีย
เซี่ยฟั่งมีฐานะสูงกว่าบ่าวรับใช้คนอื่น ฉะนั้นจึงมีเรือนของตนเอง เรือนของเขามิได้มีขนาดใหญ่โต แต่ก็ยังกั้นห้องหนังสือไว้ห้องหนึ่ง ภายในห้องสะอาดเรียบร้อย เจือด้วยกลิ่นหอมจางๆ ของหนังสือ
หมอซ่งเคาะประตูแล้วเข้าไป เมื่อเขาเห็นการตกแต่งของห้องนี้แล้วว่าเรียบง่ายน่าอยู่ จึงยิ่งประทับใจในตัวเซี่ยฟั่งมากขึ้น
“ท่านหมอซ่ง” เซี่ยฟั่งลุกขึ้นนั่งบนเตียง พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นผู้มาเยือน “ท่านหมอซ่งช่างเป็นหมอมีเมตตา ก่อนหน้านี้เพิ่งดุด่าว่าข้าแอบกินกุ้งกินปลาและทำงานหนัก ครู่ต่อมาก็มาเยี่ยมเยียนข้าด้วยความเป็นห่วงแล้ว”
หมอซ่งยิ้มอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ข้ามิได้มาเพราะเรื่องนั้น ที่ข้ามาเพราะจะแจ้งว่าตำรับยาของข้าไม่ได้ผิดพลาด เจ้าเองก็ไม่ได้แอบกินของแสลง คนที่ทำให้เจ้าเจ็บตัวจริงๆ คือเจ้านี่” เขาหันหน้าตะคอกไปทางด้านหลัง “ยังไม่รีบเข้ามาอีก!”
เสี่ยวลิ่วก้าวออกมาจากด้านหลังอย่างหวาดๆ ทันทีที่เห็นเซี่ยฟั่งแล้วเขาก็พลันทรุดลงคุกเข่า ก่อนจะโขกหน้าผากกับพื้นแรงๆ สามครั้ง “พ่อบ้าน ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ใช่คน ข้าเป็นคนเปลี่ยนยาของท่านเอง ข้าทำให้ท่านเจ็บตัว จะฆ่าจะแกงข้าอย่างไรก็แล้วแต่ท่าน”
ในถ้อยคำทั้งประโยคมีความจริงอยู่เพียงไม่กี่คำ นอกนั้นล้วนเป็นวาจาตลบตะแลง
เซี่ยฟั่งไม่เข้าใจ “เสี่ยวลิ่ว เหตุใดเจ้าถึงต้องปองร้ายข้า”
“ข้าไม่ได้จะปองร้ายท่าน” เสี่ยวลิ่วปฏิเสธ “ข้าแค่หน้ามืดตามัวไปชั่วครู่ หลงผิดอยากล้อเล่นกับท่านเท่านั้น ใครจะคิดว่าจะล้อเล่นหนักเกินไป”
หมอซ่งแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ล้อเล่นหรือ การล้อเล่นของเจ้าคร่าชีวิตคนผู้หนึ่งได้เลย”
เสี่ยวลิ่วทั้งโขกหน้าผากกับพื้นทั้งร่ำไห้วิงวอน ร้องไห้ฟูมฟายจนน้ำตาผสมน้ำมูกอีกครั้ง เขางัดความสามารถในการเล่นละครทั้งชีวิตของตนเองออกมาใช้ยามนี้อย่างหมดเปลือก กระทั่งโพธิสัตว์ก็ยังต้องซาบซึ้งใจอ่อนให้แก่ขา
หมอซ่งเองก็มองเซี่ยฟั่ง ขอแค่อีกฝ่ายบอกว่าไม่ให้อภัย เขาก็จะลากคอเสี่ยวลิ่วไปพบเจ้าบ้านสกุลหานทันที อย่าว่าแต่ถูกไล่ออกจากสกุลหานเลย เสี่ยวลิ่วอาจจะถูกถลกหนังด้วยก็อาจเป็นได้
เซี่ยฟั่งนั่งอยู่บนเตียง ร่างกายส่วนล่างห่มผ้าห่มผืนบางไว้ เขาไม่ได้ก้าวลงจากเตียง อารมณ์บนใบหน้าของเขายากที่จะคาดเดา เหมือนขบคิดและคล้ายใจลอย จนกระทั่งเสี่ยวลิ่วร้องไห้จนเสียงแหบแห้งแล้ว เขาจึงกล่าวว่า “ต่อไปอย่าล้อเล่นเช่นนี้อีก”
บรรยากาศในเรือนเปลี่ยนไปทันที หมอซ่งตะลึงงัน เสี่ยวลิ่วเองก็นิ่งอึ้ง
ที่บอกมาคือ…ไม่เอาความหรือ
หมอซ่งร้อนรน “เซี่ยฟั่ง เขาจะเอาชีวิตเจ้าขนาดนี้แล้ว เจ้าเชื่อจริงหรือว่านี่เป็นแค่การล้อเล่น”
เสี่ยวลิ่วตะลึงจนพูดไม่ออก แม้กระทั่งคำวิงวอนก็ถูกกลืนลงท้องทั้งหมด
เซี่ยฟั่งกล่าว “ใครบ้างจะไม่เคยทำผิด ข้าเชื่อว่าวันหน้าเขาจะไม่ทำเช่นนี้อีก”
เสี่ยวลิ่วทั้งแปลกใจและดีใจ จึงรีบตบหน้าตนเองสองครั้งเป็นการแสดงความจริงใจ “ข้าจะไม่ทำเรื่องเช่นนี้อีกแน่นอน! ต่อไปจะทำแต่ความดี ไม่ทำร้ายใครอีก!”
“หากเจ้าทำได้ ก็ไม่เสียแรงที่ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว เพียงแต่เมื่อเทียบกับข้านั้น ความไม่เป็นธรรมที่ท่านหมอซ่งได้รับกลับมีมากกว่า ข้าเสียหายก็เพียงแค่มีบาดแผลเล็กๆ ทว่าเขากลับถูกเจ้าทำลายชื่อเสียง เจ้าควรขออภัยท่านหมอซ่งจึงจะถูก”
หมอซ่งคิดไม่ถึงว่าเรื่องที่เซี่ยฟั่งกังวลอยู่ตลอดจะเป็นเรื่องคนนอกอย่างเขา ส่วนเรื่องของตนเองเขากลับเหมือนไม่ใส่ใจ เขาเป็นหมอมาก็นาน เห็นคนพาลมาไม่น้อย ดังนั้นเมื่อเจ้าบ้านสกุลหานจะว่าจ้างเขามาที่คฤหาสน์ เพื่อตรวจอาการรักษาเฉพาะคนสกุลหานเท่านั้น เขาจึงตอบตกลงทันที เพียงเพราะผิดหวังกับโลกหล้านี้แล้ว จึงไม่อยากรักษาคนไม่เลือกอีก
ทว่าการกระทำเช่นนี้ของเซี่ยฟั่งกลับทำให้หัวใจที่แห้งแล้งมานานของเขาเสมือนมีน้ำพุพลันผุดขึ้นมา ก่อนจะเอ่อท่วมหัวใจของเขาให้เต็มตื้น
“เซี่ยฟั่ง…” หมอซ่งถอนหายใจหนักๆ เฮือกหนึ่ง “เจ้า…”
ถ้อยคำขึ้นมาถึงริมฝีปากแล้ว แต่เขากลับไม่รู้จะพูดอะไรดี
เวลานี้เสี่ยวลิ่วที่เพิ่งตื่นจากภวังค์ก็รีบคว้าโอกาสนี้ไว้ ก่อนโน้มเอาหน้าผากแตะพื้นอีกครั้ง พลางกล่าวสรรเสริญเยินยอเขาเป็นการใหญ่ ด้วยคำชมทั้งหมดทั้งมวลที่เขารู้ในชีวิตนี้
ทว่าในใจเขามีเพียงความคิดเดียว…คนผู้นี้ช่างโง่เง่าเสียจริง เฮอะ
“ท่านหมอซ่ง ตอนมาท่านบอกกับข้าว่าขอเพียงพ่อบ้านเซี่ยยอมยกโทษให้ข้าแล้ว ท่านก็จะไม่เอาเรื่องข้า เช่นนี้ท่านต้องรักษาคำพูดนะ”
หัวใจของหมอซ่งเหมือนถูกเสี่ยวลิ่วแทงด้วยมีดอย่างแรง ทว่าเมื่อตนเองเอ่ยปากออกไปแล้ว อย่างไรเขาก็เป็นคนที่รักษาสัจจะผู้หนึ่ง จึงได้แต่สะบัดแขนเสื้อจากไป ทิ้งไว้เพียงเสี่ยวลิ่วที่ลอบลิงโลดอยู่ที่เดิม
เขาปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้นยืน ก่อนจะโน้มตัวลงคลึงหัวเข่าที่คุกเข่าอยู่นานจนเจ็บแปลบ กำลังบอกกับเซี่ยฟั่งว่าตนก็จะไปแล้ว ทว่ายังไม่ทันเงยหน้าขึ้นมา ก็พลันมีเงาร่างหนึ่งสะท้อนสู่สายตาที่หลุบลงของเขาเข้าเสียก่อน เมื่อเหลือบตาขึ้นก็พบว่าเซี่ยฟั่งเดินมาอยู่ตรงหน้านี้แล้ว
เซี่ยฟั่งมีรูปร่างสูงใหญ่ สูงกว่าเสี่ยวลิ่วมาก ยิ่งเมื่อสายตาเขามองลงต่ำเช่นนี้ก็ทำให้เสี่ยวลิ่วรู้สึกได้ถึงบารมีข่มคนที่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามของอีกฝ่ายในทันที
เสี่ยวลิ่วฉีกยิ้ม “พ่อบ้าน ท่านกลับไปพักที่เตียงก่อนเถอะ ข้าก็จะออกไปแล้ว อีกเดี๋ยวจะไปซื้อยามาต้มให้ท่าน ครั้งนี้ข้ารับรองว่าไม่มีการล้อเล่นแล้ว”
“เจ้าคิดว่าข้ายังกล้าดื่มยาที่เจ้าต้มอีกหรือ” น้ำเสียงของเซี่ยฟั่งเย็นเยียบ นัยน์ตาปราศจากความอ่อนโยนอย่างสิ้นเชิง “ข้ายังไม่อยากตายด้วยน้ำมือของเจ้า”
เสี่ยวลิ่วเห็นท่าไม่ดีจึงไม่กล้าทำท่าทะเล้นอีก เขากลืนน้ำลายพลางถาม “พ่อบ้าน…ท่านจะทำอะไร เมื่อครู่ท่านเพิ่งบอกว่า…”
“บอกว่าอะไร” เซี่ยฟั่งย้อนถาม “ข้าพูดอะไรไปหรือ”
“ท่าน…” ทันใดนั้นเสี่ยวลิ่วก็เข้าใจแล้ว ก่อนหน้านี้เขาเพียงเล่นละคร! หนำซ้ำเขามิได้เล่นละครเพื่อตบตาตนแน่นอน แต่เพื่อตบตาหมอซ่ง ว่าแต่เขาจะต้องการความประทับใจจากหมอซ่งไปเพื่ออะไร
ด้านข้างเป็นโต๊ะเก้าอี้เรียบๆ เซี่ยฟั่งเบี่ยงร่างไปทางเก้าอี้แล้วนั่งลง พลางรินน้ำชาให้ตนเอง อิริยาบถผ่อนคลายอารมณ์ ไม่รีบไม่ร้อนเลยสักนิด ยิ่งเขาเอ้อระเหยมากเพียงไร เสี่ยวลิ่วก็ยิ่งรู้สึกใจคอไม่ดีมากเท่านั้น
“สกุลหานมีโรงเลี้ยงม้าแห่งหนึ่ง ได้ยินว่าที่นั่นขาดคนทำความสะอาดคอกม้าพอดี” จู่ๆ เซี่ยฟั่งก็มองเสี่ยวลิ่ว “ถ้าอย่างไรเจ้าไปทำงานที่นั่นดีหรือไม่”
เสี่ยวลิ่วพลันหน้าถอดสี งานที่โรงเลี้ยงม้าทั้งสกปรกทั้งเหนื่อย ซ้ำยังต้องทำความสะอาดคอกม้า ซึ่งคอกม้านั้นมิได้มีเพียงหญ้าแห้ง ยังมีสิ่งปฏิกูลของม้าคอยส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง ขนาดฤดูหนาวยังยากจะทานทน ฤดูร้อนนั้นยิ่งชวนได้กลิ่นแล้วก็คลื่นไส้
เพียงแค่คิดขึ้นมาเขาก็อยากอาเจียนแล้ว
“ข้าไม่ไป!”
เซี่ยฟั่งหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าคิดร้ายกับข้า แล้วคิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปหรือ เช่นนั้นข้าก็คงเป็นคนโง่แล้วจริงๆ”
ทันใดนั้นเสี่ยวลิ่วที่นึกว่าตนเองเคยมีความหวังอยู่ก็รู้ตัวแล้วว่าเซี่ยฟั่งตั้งใจจะ ‘เนรเทศ’ เขาไปล้างคอกม้าที่ทั้งสกปรกทั้งเหม็นและต่ำต้อยตั้งแต่แรกแล้ว
เซี่ยฟั่งน่าจะรู้ว่าข้าเป็นคนรักความสะอาด! แต่กลับทำเช่นนี้…
เสี่ยวลิ่วจึงเพิ่งรู้ว่าตนมองคนผิดไป อีกฝ่ายไม่เพียงไม่ใช่คนโง่เง่า หากแต่เป็นงูพิษชัดๆ
“เจ้าบอกหมอซ่งว่ายกโทษให้ข้าแล้ว ยามนี้กลับพูดอย่างทำอย่างเช่นนี้ แล้วหมอซ่งจะมองเจ้าอย่างไร”
“เพราะฉะนั้นข้าจึงให้เจ้าไปขอรับงานที่โรงเลี้ยงม้ากับนายท่านด้วยตนเอง ในเมื่อเจ้าสมัครใจที่จะไปเอง แล้วจะถือว่าข้าผิดคำพูดได้อย่างไร”
เสี่ยวลิ่วโกรธจนแทบระเบิด “ข้าจะไม่ไปที่แบบนั้น ตอนนี้เจ้าเองก็ไม่มีจุดอ่อนของข้าแล้ว ทำไมข้ายังต้องกลัวเจ้าด้วย”
เซี่ยฟั่งหัวเราะเสียงเบา “ตอนนี้อย่างไรเจ้าก็ยังต้องไปซื้อยาให้ข้าใช่หรือไม่ คนต้มยาก็เป็นเจ้า เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้ามีร้อยแปดวิธีที่จะทำให้หมอซ่งเชื่อว่าเจ้าเปลี่ยนยาข้าอีกครั้ง เจ้าเองก็รู้นิสัยเขาดี เมื่อไหร่ที่เขารู้คงไม่จบเพียงข้าบอกว่ายอมยกโทษให้แล้วกระมัง เมื่อเทียบกับเจ้าแล้ว นายท่านย่อมอยากให้หมอซ่งอยู่ที่นี่มากกว่า”
เสี่ยวลิ่วทรุดนั่งลงที่พื้น สีหน้าเขาพลันหมดอาลัยตายอยาก อยากสบถด่าเซี่ยฟั่งว่าเป็นคนถ่อย แต่เมื่อไตร่ตรองดูแล้วก็พบว่าหากมิใช่เขาที่ไปหาเรื่องเซี่ยฟั่งก่อน แล้วอีกฝ่ายจะบีบคั้นเขาเช่นนี้ได้อย่างไร
เขาอยากลองร้องไห้วิงวอนอีกครั้ง แต่เมื่อเจอกับสายตาของเซี่ยฟั่งที่เย็นยะเยือก ไม่มีความเมตตาแม้แต่น้อย ทั้งเฉียบขาดและไร้ซึ่งความปรานี ทำให้คนมองเข้าใจได้ทันทีว่าต่อให้ตนพูดหรือวิงวอนไปอีกสักแค่ไหน ก็ไร้ทางกลับคืน
นอกจากหงุดหงิดก็มีแต่หงุดหงิด เขาได้แต่เกลียดตนเองที่มองคนพลาดไป เห็นเซี่ยฟั่งเป็นคนดี
ผิดแล้ว ผิดมหันต์!
วันรุ่งขึ้น บ่าวรับใช้สกุลหานก็ได้ยินเรื่องหนึ่งกันถ้วนหน้า เสี่ยวลิ่วขออาสาไปทำความสะอาดคอกม้าที่โรงเลี้ยงม้าด้วยตนเอง ช่างชวนให้ผู้คนประหลาดใจเหลือแสน เนื่องจากเสี่ยวลิ่วเป็นคนรักความสะอาด ทั้งยังหลงตัวว่าเป็นบุรุษรูปงาม ไม่เคยยอมทำงานสกปรกเช่นนั้นง่ายๆ
และเพราะว่าเสี่ยวลิ่วเป็นบ่าวรับใช้คอยติดตามเจ้าบ้านสกุลหาน ด้วยเหตุนี้เจ้าบ้านสกุลหานจึงยังลังเลอยู่บ้าง พอดีกับที่เซี่ยฟั่งอยู่ด้วยจึงถามความเห็นเขา เซี่ยฟั่งครุ่นคิดครู่หนึ่งก็กล่าวตอบ “ใจไม่อยู่แล้ว จะรั้งตัวไว้เพื่ออะไรขอรับ”
เจ้าบ้านสกุลหานได้ยินเช่นนั้น จึงตอบตกลงให้เสี่ยวลิ่วไปทำความสะอาดที่โรงเลี้ยงม้าทันที
เสี่ยวลิ่วสุดแค้นใจ ขณะถือสัมภาระออกไปก็เห็นชุ่ยหรงอยู่ในกลุ่มคนที่มามุงดูเหตุการณ์เช่นกัน เขาอยากส่งสัญญาณบอกใบ้ให้นางไปพบกันที่เดิม อยากจะพูดอะไรกับนางสักนิด ทว่าใครเลยจะคิดว่าชุ่ยหรงเพิ่งสบตาเขาเท่านั้น นางก็เบนหลบไปทันที ทั้งสายตาของนางยังเย็นชาดุจคมมีด
เสี่ยวลิ่วยิ่งรู้สึกอัดอั้น พลันสบถคำหนึ่งว่า ‘หญิงแพศยา’ แล้วจากไปราวกับสุนัขจรจัด ไปทำความสะอาดคอกม้าชั่วชีวิต
ในกลุ่มบ่าวรับใช้ การไปของเสี่ยวลิ่วก็เป็นเพียงการเพิ่มหัวข้อสนทนาให้กับชีวิตช่วงหลายวันนี้เท่านั้น แต่อาเหม่ากลับรู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
เนื่องจากเสี่ยวลิ่วไม่เหมือนคนที่จะอาสาไปทำงานที่โรงเลี้ยงม้าเลยสักนิด
อาเหม่ารู้สึกได้รางๆ ว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับเซี่ยฟั่ง แต่นางก็ไม่กล้ามั่นใจ ตอนที่นางมองเซี่ยฟั่งอีกครั้งก็พบว่าบาดแผลที่มือของเขาค่อยๆ ดีขึ้น ร่างกายก็ไม่ซูบผอมแล้ว ยามคนรอบข้างเอ่ยถึงเรื่องเสี่ยวลิ่วต่อหน้าเขา เขาก็ไม่เคยพูดแทรกตัดบท บางครั้งที่มีคนถามถึง เขาก็จะครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “คนเรามีเป้าหมายต่างกัน”
ทำเอาเหล่าสาวใช้หัวเราะกันคิกคัก ที่แท้เป้าหมายของเสี่ยวลิ่วคนนั้นก็คือทำความสะอาดมูลม้า
เวลาผ่านไปครึ่งเดือน เสี่ยวลิ่วผู้นี้ก็สาบสูญไปจากสกุลหาน ราวกับไม่เคยมีคนผู้นี้มาก่อน และไม่มีใครเอ่ยถึงเขาอีก
พริบตาเดียวก็ถึงวันที่สิบห้าเดือนเจ็ดซึ่งเป็นวันสารท วันที่สรรพวิญญาณออกพเนจรแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าหานมีความเชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณ ด้วยเหตุนี้ทุกครั้งเมื่อถึงวันที่สิบห้าเดือนเจ็ด นางก็จะให้บ่าวรับใช้ไปเผากระดาษเงินกระดาษทองริมแม่น้ำ ลอยเรือพับกระดาษเพื่ออธิษฐานขอพร
ปีนี้ก็เช่นกัน ขณะที่กินมื้อเช้าอยู่นางก็บอกกับบุตรชายว่า “ปีนี้พับเรือให้มากหน่อย เพิ่มพวกโคมไฟด้วย และระหว่างทางต้องคอยเผากระดาษเงินกระดาษทอง”
เจ้าบ้านสกุลหานล้วนรับปาก “อีกเดี๋ยวข้าให้เซี่ยฟั่งไปจัดการ”
ฮูหยินผู้เฒ่าหานเมื่อได้ยินชื่อของเซี่ยฟั่งแล้วก็กล่าวว่า “อิ่มแล้ว อันหมัวมัวพยุงข้ากลับเรือน”
รอฮูหยินผู้เฒ่าไปแล้ว หานฮูหยินจึงบ่น “ท่านแม่ไม่ชอบเซี่ยฟั่ง ก็เพราะส่งตัวญาติห่างๆ ผู้นั้นออกไป แล้วให้เซี่ยฟั่งเป็นพ่อบ้านแทน ท่านแม่ก็ช่างเหลือเกิน ลุงฉางคนนั้นทั้งเลอะเลือนทั้งเชื่องช้า ไม่เหมาะจะเป็นพ่อบ้านสักนิด”
เจ้าบ้านสกุลหานชำเลืองมองนางแกมรำคาญแวบหนึ่ง เมื่อก่อนตอนที่แต่งงานกับนาง นางมิใช่คนช่างพูดช่างบ่นเช่นนี้ ยามนี้เขาจึงยิ่งรำคาญใจ กินไม่กี่คำก็ลุกออกไป
หานฮูหยินเห็นท่าทีหงุดหงิดของสามีแล้วก็มิได้รู้สึกตัวใดๆ นางยังคงกินจนอิ่มหนำเหมือนปกติ
เซี่ยฟั่งให้บ่าวรับใช้ในเรือนกว่าครึ่งไปพับเรือกระดาษตามคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่าหาน และเตรียมกระดาษเงินกระดาษทองให้พร้อม ขณะที่ตรวจงานเหล่าสาวใช้ก็ทยอยเงยหน้าขึ้นแล้วมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ ทว่ากลับไม่มีใครพูดอะไร เซี่ยฟังเองก็ไม่รู้ว่าพวกนางอยากบอกอะไรจึงมิได้เก็บมาใส่ใจ
เมื่อถึงช่วงพลบค่ำ สาวใช้เหล่านั้นก็ยิ่งปรากฏตัวต่อหน้าเขาถี่ขึ้น เซี่ยฟังสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงเอ่ยปากถามไป “พวกเจ้ามีเรื่องอะไรจะพูดกับข้าหรือ”
เหล่าสาวใช้มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ท้ายที่สุดก็ไม่มีใครได้เอ่ยปาก ต่างพากันแยกย้ายไปด้วยความผิดหวัง
พ่อบ้านผู้เฉียบขาดไม่เห็นแก่หน้าใครผู้นี้ ไม่ว่าจะขอร้องอะไรเขาก็ล้วนเปล่าประโยชน์
เซี่ยฟั่งเมื่อไม่ได้รับคำตอบก็รู้สึกประหลาดใจ ขณะคิดว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องที่ข้องใจของตนเองแล้ว จู่ๆ ชุ่ยหรงก็ยกมือขึ้นกุมหน้าอก ส่วนมืออีกข้างยกขึ้นปิดปากเดินเข้ามาใกล้ ท่าทางของนางดูอิดโรยอ่อนแรง เห็นเขาแล้วดวงตาคู่สวยก็สะท้าน น้ำตาเอ่อคลอเบ้า “พ่อบ้าน…ข้าอยากขอลากับท่าน วันนี้ขอไม่ออกไปลอยเรือพับแล้ว ข้า…ไม่สบาย”
เซี่ยฟั่งคิดแล้วกล่าวตอบ “เช่นนั้นเจ้าอยู่ที่คฤหาสน์”
ชุ่ยหรงคิดไม่ถึงว่าจะสำเร็จโดยง่ายดายเช่นนี้ ใครๆ ต่างก็บอกว่าเซี่ยฟั่งนิสัยประหลาดใจแข็ง ทว่าเขาที่อยู่ตรงหน้านางนี้ไหนเลยจะเป็นคนเช่นนั้นได้ หัวใจดวงน้อยของหญิงสาวจึงเสมือนลอยขึ้นจากธารน้ำเขียวใส “ขอบคุณพ่อบ้าน”
กล่าวจบนางก็ไม่ได้รีบร้อน ยังคงเยื้องย่างอย่างเชื่องช้า เดินไปเพียงสองก้าวก็หันกลับมามองเขา จนเซี่ยฟั่งมึนงง วันนี้สาวใช้ในสกุลหานทำตัวกันแปลกๆ ทั้งนั้น
คิดยังไม่ทันจบก็มีคนหิ้วตะกร้าใส่ธูปเทียนและกระดาษเงินกระดาษทองออกจากเรือนอีกฝั่ง เซี่ยฟั่งมองเห็นนางก่อน แต่เหมือนนางจะมองไม่เห็นเขา เขาอยากทักทายนาง ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุผลใดจึงยังลังเล
เวลาชั่วพริบตาที่เซี่ยฟั่งลังเลอยู่นั้น หางตาของอาเหม่าพลันเหลือบมาเห็นว่ามีคนยืนอยู่บนทางแต่กลับไม่พูดจา ทำเอานางสะดุ้งตกใจ ทว่าเมื่อพินิจมองอย่างละเอียดแล้วก็พบว่าเป็นเซี่ยฟั่ง
ความตื่นกลัวบนดวงหน้าสวยจึงหายไปทันที นางตบหน้าอกเบาๆ พลางกล่าว “ตกใจหมดเลย”
เซี่ยฟั่งอดกล่าวไม่ได้ “แสงไฟที่นี่ก็ออกจะสว่างไสว หน้าตาข้าก็ไม่ได้น่าเกลียดน่ากลัวขนาดนั้น”
อาเหม่าหลุดหัวเราะ นัยน์ตาเป็นประกายดุจคลื่นน้ำ “พ่อบ้านลืมแล้วหรือว่าวันนี้เป็นวันอะไร ต่อให้แมวตัวหนึ่งวิ่งผ่าน ข้าก็ยังตกอกตกใจ”
เซี่ยฟั่งถึงเพิ่งรู้สึกตัว เขาเข้าใจท่าทีบ่าวรับใช้วันนี้แล้ว “มิน่าวันนี้พวกเจ้าถึงพากันมองข้า ชุ่ยหรงเองก็แกล้งป่วยอยู่ในคฤหาสน์ เพราะไม่อยากออกไปข้างนอกใช่หรือไม่”
“ท่านเพิ่งมาเข้าใจตอนนี้หรอกหรือ” อาเหม่าตะลึง ที่แท้เซี่ยฟั่งไม่ได้เข้าใจกระจ่างแจ้งไปเสียทุกเรื่องหรอกหรือ แต่เมื่อมาคิดดูแล้ว เรื่องที่เกี่ยวกับหญิงสาวเช่นนี้…นางจึงอดมองสำรวจเขาแวบหนึ่งไม่ได้ ดูท่าทางก็อายุยี่สิบกว่าปีแล้ว เขาไม่เคยสนิทกับหญิงใดมาก่อนเลยหรือ
จู่ๆ เซี่ยฟั่งที่เข้าใจแล้วก็กล่าวถามขึ้น “เจ้ากลัวหรือไม่ ถ้ากลัวก็อยู่ที่คฤหาสน์เถอะ ในคฤหาสน์ยังต้องมีคนอยู่รับใช้ฮูหยินผู้เฒ่า นายท่าน และฮูหยินอีกหลายคน มีเพียงชุ่ยหรงที่ยังอยู่ เช่นนั้นจึงขาดคนที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่าอีกหนึ่งคน”
อาเหม่าย่อมกลัวแน่นอน นางกลัวสิ่งลี้ลับพิศวงเหล่านั้นจับใจ ธูปเทียนที่ถืออยู่ในมือก็สะท้อนกลิ่นอายวิเวกวังเวง ทว่านางยังคงกัดฟันตอบ “ไม่กลัว แต่ข้ารู้ว่าเถาฮวาเป็นคนขวัญอ่อนมาก ข้ากลัวว่านางจะตกใจจนเป็นลมล้มพับ…อีกเดี๋ยวกระดาษเงินกระดาษทองต้องปลิวว่อนฟ้า ซ้ำต้องมีแต่คนรำพึงรำพันเต็มถนนแน่ คิดแล้วก็น่ากลัว”
“เช่นนั้นข้าจะให้เถาฮวาอยู่” เซี่ยฟั่งไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่าคำพูดของอาเหม่าล้วนบรรยายจากความรู้สึกของนางเอง เขาเพียงหันกลับไปตัดชื่อของเถาฮวาออก
เข้ายามโหย่วเซี่ยฟั่งก็ให้บ่าวรับใช้นำธูปเทียนออกไปสักการะวันสารท
เดือนเจ็ดอากาศเปลี่ยน คืนนี้ลมจึงเย็นเยือกเป็นพิเศษ สายลมเย็นซู่ รอบด้านเงียบสงัดวังเวง บรรยากาศยังคงเป็นอย่างที่อาเหม่าเห็นมาในปีก่อนจริงๆ ปีนี้ถนนที่ไปสู่แม่น้ำสายเล็กยังคงเกลื่อนไปด้วยกระดาษเงินกระดาษทองและธูปเทียน ยังมีแม่หมอสวดพึมพำเสียงเบาตลอดทาง ฟังแล้วน่าขนลุกขนพองยิ่งนัก
คืนนี้สีหน้าของหญิงสาวทุกคนดูขาวซีดเป็นพิเศษจริงๆ
เหล่าสาวใช้จับกลุ่มกันกลุ่มละห้าคน เมื่อไปถึงริมแม่น้ำ เหล่าสาวใช้ก็พลิกมือเอียงตะกร้า เทเรือกระดาษลงไปทั้งหมด และไม่สนใจว่าเรือกระดาษเหล่านั้นจะจม เพียงขอทำภารกิจนี้ให้เสร็จอย่างขอไปทีแล้วก็วิ่งหน้าตั้งกลับไป วิ่งไปพลางผวาไปพลาง ราวกับหนีจากความตายที่กำลังไล่หลังอยู่
อาเหม่าผู้รอบคอบปล่อยเรือกระดาษทีละอันจนเรียบร้อยแล้ว เมื่อเงยหน้าขึ้นนางก็ไม่เห็นเหล่าสาวใช้ที่มาด้วยกันแล้ว ริมแม่น้ำในยามนี้มีแต่คนที่นางไม่รู้จัก!
หญิงสาวรู้สึกลำคอตีบตัน ทั้งแห้งผากจนเจ็บแปลบ ทันใดนั้นนางก็รู้สึกขนลุกขนพอง มือคว้าตะกร้าได้ก็ออกวิ่งทันที
ยามที่เดินกลับตามลำพัง สิ่งที่อาเหม่าพบเห็นระหว่างทางก็ยิ่งน่าหวาดผวา ไม่ว่าจะแม่หมอ หญิงชรา รวมถึงเด็กน้อยที่ลอบออกมายามวิกาล ล้วนกลายเป็นคนน่ากลัวในสายตาของนางทั้งสิ้น เห็นพวกเขาเข้ามาใกล้อาเหม่าก็จะรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน จำต้องเบี่ยงร่างหลบเข้าข้างทาง
หลบผู้คนอยู่หลายครั้ง รู้สึกตัวอีกทีนางก็พบว่าตนเองเดินมาผิดทางเสียแล้ว
คอของอาเหม่ายิ่งฝืดเจ็บ ร่างบางถือตะกร้ายืนนิ่งอยู่กับที่นานอึดใจใหญ่ จึงเรียกขวัญกำลังใจของตนเองกลับมาได้ แล้วตัดสินใจเดินไปอีกทิศทางหนึ่ง
“ไม่เป็นไร ผ่านตรอกนี้ก็จะเห็นถนนใหญ่แล้ว เลี้ยวขวาที่ถนนใหญ่ เดินอีกครึ่งเค่อก็ถึงแล้ว”
อาเหม่าอดปลอบใจตนเองไม่ได้ ทว่าบรรยากาศโดยรอบที่เงียบสงัดนี้ อีกทั้งใต้ฝ่าเท้าก็ล้วนมีแต่กระดาษเงินกระดาษทอง ช่วยกระตุ้นให้นางหวาดกลัว มีเสียงแปลกๆ ดังมาบ้างเป็นบางครั้ง ก็ล้วนเป็นเสียงพึมพำแหบแผ่วของสตรี
ทันใดนั้นเบื้องหน้าก็มีเงาคนไหววูบ หัวใจของนางพลันหยุดเต้นไปชั่วขณะ เมื่อมองไปตามทิศทางนั้นก็พบว่าบริเวณปากทางข้างหน้านั้นมีเงาร่างของคนสองคนยืนอยู่ ช่างคุ้นตาเป็นอย่างมาก นางยังไม่ทันมองให้ชัดเจน จู่ๆ ก็เห็นสองคนนั้นเงยหน้ามองมาที่นางแล้ว
เนื่องจากสองคนนั้นยืนย้อนแสง นางจึงมองเห็นหน้าของพวกเขาได้ไม่ชัด ส่วนนางที่ยืนรับแสงอยู่ ทำให้พวกเขามองเห็นนางได้อย่างชัดเจน
ร่างบางกุมตะกร้าในมือแน่น นางก้าวถอยหลังหวังจะจากไป ก็เห็นเงาร่างสูงหนึ่งในสองคนนั้นขยับมาทางนี้ก้าวหนึ่ง คล้ายจะเดินมาทางนาง แต่คนผู้นั้นเดินได้เพียงสองก้าว อีกคนก็วิ่งเข้ามาหานางแล้ว
“ข้าจำเจ้าได้ เจ้าชื่ออาเหม่า สาวใช้ของสกุลหาน”
อาเหม่าเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน แต่ยังนึกไม่ออก จนกระทั่งคนผู้นั้นวิ่งมาจวนจะถึงตรงหน้าแล้ว นางจึงนึกขึ้นมาได้ “คุณชายฉิน”
ฉินโหยวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าใจกล้าไม่เบา ถึงได้กล้าออกมาคนเดียวในคืนนี้”
“ไม่หรอกเจ้าค่ะ…ที่จริงข้ากลัวมาก” อาเหม่าเอ่ยปากเสียงเบา น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “คุณชายฉิน…ท่านช่วย…ท่านช่วยไปส่งข้าสักระยะได้หรือไม่”
ฉินโหยวประหลาดใจ “เจ้ากลัวหรือ”
“กลัวเจ้าค่ะ”
“เจ้าเซี่ยฟั่งก็เหลือเกิน ชั่วดีอย่างไรเจ้าก็เคยช่วยเขาไปครั้งหนึ่ง ไฉนพริบตาเดียวก็จัดงานนี้ให้เจ้าแล้ว ซ้ำยังต้องถือตะกร้าวิ่งมาที่นี่คนเดียวอีก”
อาเหม่าส่ายหน้า “พอดีข้าพลัดหลงกับพวกเพื่อนๆ เจ้าค่ะ จะมีสตรีสักกี่คนที่ไม่กลัวเรื่องเช่นนี้กัน หากพ่อบ้านเซี่ยคำนึงเรื่องนี้อย่างละเอียด เช่นนั้นใครจะเป็นคนทำงานนี้กัน”
“แต่สำหรับเขาเจ้าต่างจากคนอื่น”
อาเหม่าแก้มแดงปลั่งทันที รู้ทั้งรู้ว่าฉินโหยวหมายถึงเรื่องที่นางเคี้ยวสมุนไพรทำแผลให้เซี่ยฟั่ง ทว่านางที่ร้อนตัวอยู่แล้ว ครั้นได้ยินคำพูดเช่นนี้จึงยิ่งกระสับกระส่าย นางจึงอยากหาเรื่องอื่นมากลบเกลื่อน ก่อนจะพบว่าคนที่สนทนากับฉินโหยวเมื่อครู่นี้หายไปแล้ว นางชะเง้อมองแล้วเอ่ยถาม “สหายของคุณชายฉินไปแล้วหรือ”
ฉินโหยวเองก็หันไปมอง “ใช่…เจ้าไม่เห็นใช่หรือไม่ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร”
อาเหม่าย่นคิ้ว ฟังถ้อยคำประโยคนั้นแล้วคล้ายว่านางจะรู้จักกับคนผู้นั้น ด้วยเหตุนี้ฉินโหยวจึงไม่อยากให้นางรู้ “ไม่เห็นเจ้าค่ะ ทั้งอยู่ไกลและยังย้อนแสง ใบหน้าเขามืดไปหมด ข้ามองเห็นไม่ชัด”
ฉินโหยวผ่อนลมหายใจโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด “ไปเถอะ ข้าส่งเจ้ากลับคฤหาสน์เอง”
อาเหม่าปรารถนายิ่ง “ขอบคุณคุณชายฉิน”
“เรื่องเล็กน้อย” ตั้งแต่เรื่องม้าที่คลุ้มคลั่งวันนั้น ฉินโหยวก็ประทับใจอาเหม่าเป็นอย่างมาก เพราะนางยังคงสุขุมแม้ในยามที่มีเหตุร้ายได้ ทว่าเมื่อคิดว่านางเป็นสาวใช้ของสกุลหานแล้วจึงรู้สึกเสียดาย “นี่ อาเหม่า เจ้ามาที่สกุลฉินของเราดีหรือไม่”
“ข้าเป็นสาวใช้ของสกุลหาน สัญญาทาสขายขาด”
“เช่นนั้นข้าให้หานโหย่วกงมอบสัญญาทาสของเจ้าให้ข้าก็สิ้นเรื่อง”
อาเหม่าไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมากะทันหัน เพียงแต่นางเองก็รู้สึกว่ายิ่งนางอยู่ในสกุลหานนานวันขึ้นนางก็ยิ่งไม่ปลอดภัยขึ้นเรื่อยๆ หากไปที่สกุลฉินได้…นางยิ้มขื่น บ่าวรับใช้ไปที่ใดก็เหมือนกันอยู่ดี ถึงเวลาแม้ไม่มีนายท่านหานแล้ว ก็มีนายท่านฉินกับคุณชายฉินโผล่มาอีก
“บ่าวที่ดีพึงภักดีต่อนาย หากข้าตกลง คุณชายฉินก็คงเห็นข้าเป็นคนถ่อยกระมัง”
ฉินโหยวหลุดหัวเราะ “อย่างไรหานโหย่วกงก็ไม่ใช่คนดีอะไร ดังนั้นหากเจ้าออกจากสกุลหาน ถึงจะนับว่าเป็นการกระทำที่ฉลาด คนที่อยู่สกุลหานต่างหากเล่า ถึงจะกลายเป็นคนถ่อยอย่างแท้จริง”
พอเขาพูดเช่นนี้อาเหม่าก็พลันนึกถึงเซี่ยฟั่งขึ้นมา ครั้นนึกถึงเซี่ยฟั่งแล้ว จู่ๆ อาเหม่าก็เพิ่งนึกได้ว่าคนที่สนทนากับฉินโหยวเมื่อครู่นี้เงาร่างละม้ายกับเซี่ยฟั่งแทบไม่มีผิด นางเกือบโพล่งถามออกไปว่าใช่เซี่ยฟั่งหรือไม่ แต่ความคิดหนึ่งกลับแวบเข้ามาเสียก่อน หากเขาตอบว่าใช่…แล้วนางจะยังถามต่อไปอีกหรือไม่
หากเขาตอบว่าไม่ใช่ แล้วปรากฏว่าความจริงใช่ขึ้นมาเล่า เช่นนั้นเหตุใดเขาถึงต้องปิดบัง นางมิใช่ทำผิดอะไรอีกแล้วใช่หรือไม่
ความคิดแน่วแน่ในเวลาชั่วพริบตานี้ ทำให้อาเหม่าตัดสินใจไม่ถามเขาออกไป แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
ฉินโหยวเห็นอาเหม่าไม่ปริปาก เด็กหนุ่มเดิมก็มีนิสัยใจร้อนอยู่แล้ว จึงก้มร่างโน้มเข้าไปใกล้ใบหน้าของนาง “อาเหม่า เจ้าจะย้ายมาที่สกุลฉินหรือไม่”
อาเหม่าที่แทบจะรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากเสียงเรียกของเขา จึงรีบถอยห่างจากเขาสองก้าวทันที “ข้าไม่ทราบเจ้าค่ะ”
ฉินโหยวรู้สึกผิดหวัง “ความภักดีโง่ๆ”
“คุณชายฉินเคยพบนายท่านเพียงหนเดียว ไฉนจึงมีอคติเช่นนี้เจ้าคะ”
“ชื่อเสียงเล่าลืออยู่ภายนอกของเขาอย่างไรเล่า”
อาเหม่าครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “ชื่อเสียงภายนอกของนายท่านก็ดีนี่เจ้าคะ”
ฉินโหยวหลุดหัวเราะเสียงหนึ่ง เจือแววเยาะหยันเล็กน้อย
หลังจากเดินเข้าถนนสายหลักอยู่ครึ่งเค่อ ทั้งสองก็ใกล้ถึงคฤหาสน์สกุลหาน ฉินโหยวที่มาส่งนางถึงปากตรอกก็ตั้งใจว่าจะกลับ ยังไม่ทันไปก็เห็นหญิงสาวหลายคนออกันมาทางนี้ราวกับลูกนกที่หนาวเหน็บ เขากล่าวกลั้วหัวเราะ “ดูเหมือนจะออกมาตามหาเจ้า”
อาเหม่าเห็นพวกนางแล้วก็วิ่งก้าวเล็กๆ ไปหาพวกนางทันที ราวกับญาติที่ไม่ได้พบกันมานาน “ไฉ่เยวี่ย หรงหรง… ”
เหล่าสาวใช้เมื่อเห็นนางแล้วดวงหน้าซีดเผือดจึงกลับมามีสีเลือดอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยปากเครือด้วยเสียงสะอื้น “อาเหม่า ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว…พวกเรานึกว่าเจ้าถูกวิญญาณจับตัวไปแล้วเสียอีก…”
อาเหม่าหัวเราะ “คิดบ้าๆ”
“เอ๊ะ” หลังจากถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงแล้ว สาวใช้คนหนึ่งก็กดเสียงลงกล่าว “คนที่ส่งเจ้ากลับมาใช่คุณชายสกุลฉินหรือไม่ ข้าก็เคยเจอเขา”
ความสนใจของพวกนางถูกคนที่อยู่ห่างออกไปดึงดูด ว่าแล้วเหล่าสาวใช้ก็จับกลุ่มเพื่อพินิจมองเขา ฉินโหยวมิใช่คนทำอะไรโลเล จึงปล่อยให้พวกนางมองอย่างเต็มที่ ทว่าเมื่อถูกมองนานเข้า เขาก็เหมือนจะรู้แล้วว่าพวกนางกำลังจะพูดถึงเขากันจึงพลันร้อนผ่าวที่ใบหน้า ก่อนจะรีบหนีไปจากตรงนั้น
อาเหม่าอ่อนใจ “เลิกพูดเถอะ ข้ากับเขาแค่เจอกันโดยบังเอิญ ข้าจึงขอร้องให้เขาช่วยมาส่งข้าสักระยะเท่านั้น”
เหล่าสาวใช้เม้มปากหัวเราะ “บังเอิญหรือ วันเช่นนี้หากไม่มีธุระใครจะออกจากเรือน”
เงาของเซี่ยฟั่งแวบเข้ามาในหัวของอาเหม่าอีกครั้ง นางรู้สึกไม่หายว่าเงาร่างนั้นคือเซี่ยฟั่ง ขณะกำลังใช้ความคิด จู่ๆ เหล่าสาวใช้ก็กล่าวว่า ‘คำนับพ่อบ้าน’ อาเหม่าจึงตื่นจากภวังค์ เมื่อมองไปทางนั้นก็พบว่าเป็นเซี่ยฟั่ง
ไฉนเขาจึงออกมาข้างนอกด้วย
ฝีเท้าของเซี่ยฟั่งไม่เร็ว ยามเดินผ่านเหล่าสาวใช้ก็ก้าวอย่างเนิบช้า ซึ่งเขาเดินเฉียดผ่านอาเหม่าพอดีแต่กลับมิได้มองนาง เพียงแค่ผงกศีรษะกับพวกนางเล็กน้อยพร้อมกล่าวว่า “ทำงานเสร็จแล้วก็รีบกลับคฤหาสน์” แล้วก็ไป
อาเหม่าเองก็ไม่รู้ว่าตนไข้ขึ้นสมองหรือเป็นอะไร จู่ๆ ก็โพล่งเรียกเขาว่า “พ่อบ้าน!”
เซี่ยฟั่งหันกลับมาตามเสียงเรียก โคมไฟดวงใหญ่สองดวงที่แขวนอยู่บนประตูใหญ่โอ่อ่าของคฤหาสน์สกุลหานส่ายเบาๆ ตามแรงลมในเดือนเจ็ด ประกายแสงแสบตาถูกร่างสูงเพรียวของเขาบดบัง ทำให้อาเหม่าเห็นหน้าเขาไม่ชัดไปชั่วขณะ
ทว่าเงาร่างนี้นางเคยเห็น
เมื่อครู่นี้…ตอนที่สนทนากับฉินโหยว!
Comments
comments