ทางเซี่ยฟั่งหลังออกจากสวนแล้ว เขาตั้งใจจะไปสำรวจภายในคฤหาสน์ ขณะใกล้ถึงเรือนใหญ่แล้ว กลับเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายามนี้อาเหม่าน่าจะอยู่ที่นั่น จึงขยับฝีเท้าเลี้ยวไปอีกทาง…หวังเลี่ยงอาเหม่า
ตัวเขานั้นไม่ตะขิดตะขวงใจ กลัวแต่อาเหม่าจะรู้สึกอาย
ไหนเลยจะคิดว่าเขาเพิ่งหันร่างก็เห็นอาเหม่าถือกะละมังล้างหน้ากำลังจะเดินเข้าไปด้านในพอดี นางหยุดฝีเท้าอยู่ตรงนั้น คล้ายยืนอยู่สักพักแล้ว ทั้งสองสบประสานสายตา บรรยากาศเปลี่ยนเป็นอึดอัดขึ้นมาทันตา
อาเหม่าเข้ามาแล้วก็เห็นเขาทันที เดิมตั้งใจจะเดินผ่อนฝีเท้าตามหลัง รอให้เขาเข้าไปเงียบๆ แล้วค่อยตามเข้าไป แต่คิดไม่ถึงว่าปุบปับเขาจะหันร่างกลับมาเช่นนี้
กะละมังถูกตักน้ำใส่จนเต็ม นางถือนานแล้วย่อมเมื่อยมือ ความชาแปลบแล่นจากมือไปถึงหัวใจ นางผงกศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าเดินผ่านเขาไป
เซี่ยฟั่งยืนตระหง่านแล้วเบี่ยงร่างให้นางเดินผ่านไป ขณะที่หญิงสาวผ่านพร้อมลมโชย เขาได้กลิ่นหอมเย็นเจือจาง ไม่รู้ว่ามาจากเรือนผมหรือเรือนร่างของนาง
“รอเดี๋ยว”
เซี่ยฟั่งเรียกนางไว้ อึดใจหนึ่งจึงกล่าวว่า “แป้งชาดนั้นคุณชายรองให้เจ้าแทนข้าโดยพลการ ทำให้เจ้าถูกคนอื่นนินทา ถือเป็นความผิดของข้าด้วย”
ผลสรุปเรื่องนี้อาเหม่าเดาได้แต่แรกแล้ว เนื่องจากด้วยนิสัยของเซี่ยฟั่งนั้นไม่มีทางทำเช่นนี้ ตรงกันข้ามกลับคล้ายนิสัยของคุณชายรองมากกว่า
“ข้ารู้”
เซี่ยฟั่งประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้ารู้หรือ”
“เจ้าค่ะ” อาเหม่าเงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “พ่อบ้านนิสัยเย็นชา จึงไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้”
เย็นชา…
เซี่ยฟั่งฟังแล้วก็ผ่อนเสียงกล่าว “อืม ต่อไปคุณชายรองก็จะไม่ทำเรื่องเช่นนี้อีกแล้ว”
อาเหม่าโค้งตัวให้เขา “หากพ่อบ้านไม่มีงานอะไรจะสั่ง อาเหม่าขอตัวก่อน”
เป็นเพราะนางถือน้ำนานเกินไป น้ำในกะละมังพลันไหวกระเพื่อม อาเหม่าเริ่มเมื่อยมือมากขึ้นแล้ว จึงคิดแต่อยากจะไปจากที่นี่โดยเร็ว
เซี่ยฟั่งมิได้รั้ง แต่หลังจากอาเหม่าไปแล้ว เขาก็พึมพำคำว่า ‘เย็นชา’ ด้วยความรู้สึก…ไม่สบอารมณ์นัก
อาเหม่ายังไม่ได้เดินไปไกลนัก ก็มีเสียงไม้เท้าเคาะกระทบพื้นหนักๆ ดังขึ้นเป็นจังหวะเสียงแล้วเสียงเล่า
เซี่ยฟั่งมองไปยังต้นเสียง ฮูหยินผู้เฒ่าอายุราวหกสิบปีคนหนึ่งกำลังเดินถือไม้เท้าตรงมาทางเขา
หน้าตาของฮูหยินผู้เฒ่ามิได้อ่อนโยนมีเมตตา อีกทั้งเต็มไปด้วยความเข้มงวดที่เกินไป จึงทำให้ดวงตาหงส์ดูดุดัน ไม่ชวนให้ผู้คนเข้าใกล้ แม้จะมีบ่าวรับใช้พยุงนางขนาบทั้งสองข้าง นางก็ยังจะถือไม้เท้าเดินเอง เห็นได้ว่าเป็นหญิงชราที่มีนิสัยดื้อรั้นเพียงไร
แต่เซี่ยฟั่งคิดว่านางคงไม่ไว้ใจคนรอบข้าง กลัวว่าพวกเขาจะทำให้ตนล้ม เหตุนี้จึงต้องถือไม้เท้าด้วยตนเอง
คนยังอยู่ไกล เขาจึงถอยหลบไปอีกทาง ก่อนจะค้อมศีรษะมองส่งนางเดินผ่านไป เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเดินใกล้เข้ามา เขาก็กล่าวว่า “วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าจะไปนั่งเล่นที่ศาลาพักร้อนหรือ ข้าจะให้คนไปเตรียมผลไม้กับของว่างเดี๋ยวนี้ขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่แม้แต่จะมองเขา และไม่ได้พูดจากับเขาแม้แต่คำเดียว นางเพียงเดินถือไม้เท้าของตนเองต่อไป ทิ้งห่างเซี่ยฟั่งไว้ด้านหลังทีละก้าว พร้อมกับเสียงไม้เท้ากระทบพื้นหินเสียงหนักทุ้ม
สีหน้าเรียบเย็น…แววตารังเกียจ…
* มาจากสำนวน อักษร ‘色 (เซ่อ)’ ด้านบนมีมีด (刀) อยู่เล่มหนึ่ง โดยทั่วไป ‘เซ่อ’ หมายถึงสีสัน สีหน้า ตัณหา ความใคร่ และความงามของอิสตรี ในบริบทนี้จึงเป็นการเปรียบเปรยว่าผู้ใดลุ่มหลงในตัณหาความใคร่ย่อมประสบหายนะ
** คำว่า ‘กตัญญู’ ในภาษาจีนคืออักษร ‘孝 (เซี่ยว)’ แท้ที่จริงไม่ได้มีอักษรมีดอยู่ด้านบน แต่ประกอบด้วยรากอักษรคำว่า ‘老 (เหล่า)’ ผู้อาวุโส อยู่ตำแหน่งบน และคำว่า ‘子 (จื่อ)’ บุตร อยู่ด้านล่าง คอยแบกพาบุพการีไปทุกที่ จึงเป็นที่มาของคำว่ากตัญญู
* เผือกร้อนที่ลวกมือ หมายถึงเรื่องราวหรือปัญหาที่แก้ไขยาก รับมือยากประหนึ่งเผือกร้อนๆ ถือเอาไว้ก็มีแต่จะลวกมือให้พองเสียเปล่า
* จั้ง เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้ระยะประมาณ 3.33 เมตร