X
    Categories: JamsaiPrincess Syndromeทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Princess Syndrome ตอนที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 5

อาการที่สาม

รู้สึกดีกับตัวเอง

 

ความอยากรู้อยากเห็นเป็นข้อเสียที่แย่ที่สุด

ย้อนไปยังเหตุการณ์ในตอนนั้น

หลังจากช็อปปิ้งไปได้สักพักท้องก็ร้องจ๊อกๆ ฉันถึงได้รู้สึกหิวขึ้นมานิดหน่อย ก้มดูนาฬิกาข้อมือ ใกล้จะหนึ่งทุ่มแล้ว นึกไม่ถึงว่าฉันจะช็อปปิ้งตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้โดยไม่ดื่มน้ำสักหยด ทั้งหมดนี้เพียงเพราะต้องการที่จะเอาชนะให้ได้ ช่างเหมือนกับตกนรกทั้งเป็นจริงๆ

“คุณหลินคะ อยากให้ไปทานข้าวเป็นเพื่อนมั้ยคะ” รอยยิ้มกับรองพื้นบนใบหน้าของพนักงานสาวที่เคาน์เตอร์ดูแข็งทื่อ เหมือนกับว่าใช้มือจิ้มเบาๆ ก็แตกร่วงกราวลงมาได้เลย

“ไม่ต้อง แค่เห็นหน้าคุณฉันก็คลื่นไส้แล้ว” ฉันดึงธนบัตรหนึ่งพันหนึ่งใบให้เป็นค่าทิปเพื่อไล่เธอไป

ฉันหิ้วถุงช็อปปิ้งพะรุงพะรัง แล้วเริ่มสอดส่ายสายตามองหาสถานที่ที่จะเติมท้องให้อิ่ม

สถานที่สกปรกและหนวกหูอย่างร้านอาหารริมทางหรือแผงขายอาหารว่างพวกนั้นไม่เหมาะสมกับตำแหน่งฐานะของฉัน ฉันยอมหิวตายดีกว่าจะพิจารณาร้านเหล่านี้ แล้วฉันก็นึกขึ้นได้ว่าแถวนี้มีร้านอาหารญี่ปุ่นที่คุณนายจูเลียเคยแนะนำ จึงโบกเรียกแท็กซี่ไป

บริเวณหน้าร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กๆ มีคนกลุ่มหนึ่งยืนอออยู่

ฉันขมวดคิ้ว ก่อนเดินแหวกกลุ่มคนไปยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ รอให้พนักงานพาไปยังที่นั่ง

“อิรัชชัยมะเซ (ยินดีต้อนรับค่ะ)” พนักงานหญิงวัยกลางคนในชุดกิโมโนโค้งคำนับเก้าสิบองศา “ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าได้จองไว้หรือเปล่าคะ”

“เปล่าค่ะ” ฉันตอบตามตรง

พนักงานพูดอย่างสุภาพว่า “ต้องขอโทษด้วยนะคะ ร้านเราไม่รับลูกค้าที่ไม่ได้จองไว้ล่วงหน้า ครั้งต่อไปรบกวนคุณลูกค้าโทรมาจองก่อนนะคะ”

“คุณรู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร” ฉันยัวะ “ฉันเป็นคุณหนูแห่ง ‘กลุ่มบริษัทดอลลี่’ ผู้สง่างามน่าเกรงขามนะ!”

“ขอโทษด้วยค่ะ ร้านเราต้องการจัดสรรอาหารญี่ปุ่นและการบริการที่ดีเยี่ยมให้กับลูกค้า ถึงได้ใช้วิธีการจองล่วงหน้าค่ะ” พนักงานกล่าวขอโทษและโค้งตัวเก้าสิบองศาอีกครั้ง “โปรดเข้าใจด้วยค่ะ”

“ฉันมาทานร้านอาหารพื้นๆ นี้ของคุณก็นับว่าให้เกียรติคุณแล้ว! ยังกล้าสั่งให้ฉันจองล่วงหน้าอีกเหรอ” ฉันมองค้อนตาเหลือกใส่เธอ ท่าทางไม่ยอมแพ้ “เรียกผู้จัดการมา!”

“ต่อให้เป็นคุณอวิ๋นอวิ๋นเจ้าของห้าง ‘บรีซ เซ็นเตอร์’ มาก็ไม่ยกเว้น แล้วคุณมีอภิสิทธิ์อะไร” ลูกค้าสาวสวยที่สวมชุดเอี๊ยมกระโปรงคอกว้างสีแดงคนหนึ่งยกมือสองข้างขึ้นเท้าเอว ผมดัดเป็นลอนสีน้ำตาลทำให้เธอดูเหมือนพูเดิ้ลขนสีน้ำตาลแดง “เดิมทีร้านอาหารมีระดับก็ล้วนใช้ระบบจองล่วงหน้าอยู่แล้ว คุณไม่เข้าใจเหรอ”

ฉันกวาดตามองผู้คนที่มามุงดูอย่างเย็นชา

ฉันคิดไปเองหรือเปล่านะ ทำไมทุกคนถึงมองฉันด้วยสายตาเหมือนมองคนบ้า

“ฉันฟังเข้าใจแต่ภาษาคน” ฉันยิ้มร่าเริง “ฉันจะถือเสียว่าหมาเห่า”

“คุณ…คุณมันบ้า!” สาวสวยกระทืบเท้าปึงปัง ดูท่าทางอยากจะกระโจนเข้ามากัดฉันเต็มที

“คุณหลินซิงเฉิน? จำผมได้มั้ยครับ ผมเป็นบรรณาธิการของนิตยสารเดอะเฟิร์สต์ วีกลี่ เราเคยเจอกันที่โรงแรม W…”

ดูเหมือนว่าผู้ชายที่สวมชุดสูทสไตล์สุภาพบุรุษจอมปลอมจะจำฉันได้ เขาเดินเข้ามายืนขวางตรงหน้าสาวพูเดิ้ลขนสีน้ำตาลแดง มือของเขาวางบนไหล่ฉันอย่างเป็นธรรมชาติ “ไหนๆ ก็บังเอิญมาเจอกัน ถ้าไม่รังเกียจก็มาทานด้วยกันกับเรานะครับ”

“ช่างเถอะค่ะ ไม่กินแล้ว” ฉันปัดมือสกปรกนั้นออก รู้สึกขยะแขยง “ร้านอาหารคุณภาพต่ำที่เต็มไปด้วยแมลงสาบแบบนี้ ฉันไม่อยากกินหรอก!”

ฉันออกจากร้านนั้นพลางคิดว่าฉันยังไปที่ไหนได้อีกนะ กลับบ้าน?

อย่าโง่หน่อยเลย

วันนี้เป็นวันสุดสัปดาห์ ไม่รู้ว่าคุณนายจูเลียกับกลุ่มเพื่อนจอมปลอมที่เป็นคุณหญิงคุณนายพวกนั้นไปเที่ยวเล่นที่ไหนกันอีก ส่วนแม่ใหญ่คิดว่าบ้านหลังใหญ่สวยงามหรูหราหลังนั้นเป็นโรงแรมไปตั้งนานแล้ว ครึ่งค่อนเดือนเธอถึงจะกลับมาที

คนที่เป็นห่วงว่าฉันจะเป็นหรือตายมีเพียงลุงเต๋อคนเดียว แต่เขาปวดท้องเรื้อรังมานาน เอาแต่ผัดผ่อนไม่ยอมไปหาหมอ ตอนที่ออกมาจากบ้านฉันกล่อมอยู่ตั้งนานกว่าเขาจะไปหาหมอ ถ้าฉันกลับบ้านตอนนี้ แล้วเขารู้ว่าฉันยังไม่ได้ทานมื้อเย็น เขาจะต้องยุ่งเหยิงวุ่นวาย จัดการนู่นจัดการนี่ให้ฉัน ไม่ได้พักผ่อนสบายๆ สักที

ฉันนั่งขี้เกียจอยู่ในร้านสตาร์บัคส์พลางดื่มกาแฟแฟรปปูชิโนไปด้วย แล้วทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือก็สั่นขึ้นมา

[คุณหนูครับ…] เป็นเสียงอันอ่อนโยนใจดีมาแต่ไหนแต่ไรของลุงเต๋อ

“ลุงเต๋อ ลุงดีขึ้นหรือยังคะ ยังปวดท้องอยู่หรือเปล่า”

[เหอะๆ ลุงเต๋อไม่เป็นไรแล้ว! โรคเดิมๆ น่ะ] เขาหยุดชะงักเล็กน้อยแล้วถามว่า [จริงสิ คุณหนูทานอาหารเย็นหรือยังครับ อยากทานอะไรครับ กลับมาแล้วลุงเต๋อจะทำให้…]

“กำลังทานอยู่เลยค่ะ”

[จริงเหรอครับ ห้ามโกหกลุงเต๋อนะ เด็กผู้หญิงต้องทานให้อ้วนๆ หน่อยถึงจะดูดี]

“ทราบแล้วค่ะ”

[ทานเสร็จแล้วจะให้ลุงบอกให้นายอู๋ไปรับคุณหนูมั้ยครับ]

“ไม่ต้องค่ะ” ฉันยกมือถือออกจากหู แล้วคุยกับอากาศสามสี่ประโยค จากนั้นถึงค่อยบอกชายชราที่เป็นห่วงเกินเหตุว่า “ลุงได้ยินแล้วนะคะ เจิ้งฉู่เย่าบอกว่าเขาจะไปส่งหนู ลุงไม่ต้องเป็นห่วง”

[อย่างนั้นเหรอ ยังไงก็รีบกลับบ้านด้วยนะครับ เป็นสาวเป็นนางอย่าอยู่กับผู้ชายดึกๆ ดื่นๆ ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นว่าที่สามีก็ไม่ได้ ต้องรู้ไว้ว่าผู้ชายวัยหนุ่มแน่นล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์ป่า อย่าหาว่าลุงเต๋อหัวโบราณเลยนะครับ คุณหนูมีชาติตระกูลสูงส่ง ไม่อาจทนคำครหาได้ ไม่อย่างนั้นลุงเต๋อคงจะปวดใจ…]

ผู้ชายวัยหนุ่มแน่นล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์ป่า…ฉันเม้มริมฝีปากล่างที่เจ็บนิดๆ สัตว์ป่าตัวนั้นยังกัดฉันทีหนึ่งด้วย

“อ๊ะ ลุงเต๋อเริ่มบ่นพึมพำอีกแล้ว หนูจะวางสายแล้วนะ”

[เดี๋ยวก่อนครับ คุณหนู…] ชายชราเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขากำชับอย่างไม่วางใจ [ต้องทานอาหารร้อนๆ นะครับ อย่าดื่มแต่กาแฟเย็นแล้วนับว่าเป็นมื้อเย็นล่ะ]

ฉันมองดูเครื่องดื่มในมือที่ละลายกลายเป็นช็อกโกแลตมิ้ลค์เชกไปเรียบร้อยแล้ว อดยิ้มไม่ได้ “โอเคค่ะ หนูจะเป็นเด็กดีทานข้าวค่ะ”

ฉันบอกลุงเต๋อว่าคืนนี้จะไปนอนค้างที่บ้านคุณนายจูเลีย โดยมี ‘ว่าที่คู่หมั้น’ ของฉันขับรถไปส่งอย่างปลอดภัย ลุงเต๋อไม่ต้องรอฉันกลับบ้าน จากนั้นฉันถึงค่อยวางสาย

ความสามารถในการโกหกของฉันพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ควรพิจารณาที่จะไปเป็นนักแสดงได้แล้วล่ะ

ฉันโบกเรียกแท็กซี่ คนขับรถถามฉันว่าต้องการไปที่ไหน นานๆ ทีฉันจะตอบอย่างสุภาพ “ไปที่ที่หาอะไรกินได้และสะอาดก็พอค่ะ” แล้วฉันก็มาครุ่นคิด ดูเหมือนว่าจะบอกสะเปะสะปะเกินไปไม่ได้ จึงพูดเสริมว่า “วัตถุดิบต้องดีมีคุณภาพ สภาพแวดล้อมต้องดีเลิศ ที่สำคัญคือห้ามเสียงดังหนวกหูเกินไป”

ลุงคนขับรถเหลือบมองฉันทางกระจกมองหลัง เขามองฉันด้วยสายตา ‘คุณพระช่วย ฉันได้เจอนางฟ้า…จอมเพี้ยน’

เขาขับรถพาฉันไปส่งที่ร้านหม้อไฟร้านหนึ่งที่ตกแต่งสวยงามมีรสนิยมซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับห้างสรรพสินค้า

“ไม่ต้องทอนนะ” ฉันโยนเงินให้ แล้วหิ้วของพะรุงพะรังลงจากรถ

ฉันยืนอยู่หน้าร้านหม้อไฟ แล้วพนักงานต้อนรับสาวคนหนึ่งก็เข้ามาทันที “ยินดีต้อนรับค่ะ ไม่ทราบว่ากี่ท่านคะ”

ฉันถลึงตาใส่เธอ แววตาดูน่ากลัวมาก พนักงานต้อนรับสาวลูบจมูกแล้วถามใหม่ “ไม่ทราบว่าสองท่านหรือเปล่าคะ”

ฉันหันไปมองข้างหลัง ลมหนาวพัดมาเป็นระยะ ช่างเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างเสียเหลือเกิน…

ฉันไม่สนใจเธอ แล้วมองหาที่นั่งริมหน้าต่างด้วยตัวเอง ฉันเปิดเมนูอาหารและเริ่มอ่าน แต่ว่ายิ่งดูเมนูสีหน้าก็ยิ่งหม่นหมองขึ้นเรื่อยๆ

ฉันกวาดตาดูทั้งเมนูก็มีแต่หม้อไฟยวนยาง จะรังแกคนหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างฉันเหรอไง

“คุณผู้หญิงคะ ไม่ทราบว่ามาสองท่านหรือเปล่าคะ”

“คุณก็ดูสิว่าตอนนี้ฉันอยู่คนเดียวหรือว่าสองคน”

พวกไม่กลัวตายอีกคนแล้ว ฉันเงยหน้าขึ้นด้วยความหงุดหงิด บริกรหญิงที่รวบผมหางม้ายืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าที่สะสวยดูคุ้นตาเล็กน้อย คนนี้คือ…

“อ๊ะ?” เธอเบิกตาโตแล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว ดูเหมือนว่าจะยังหวาดผวาฉันอยู่

“เรารู้จักกันเหรอ” ฉันเลิกคิ้ว

“เปล่า เปล่าค่ะ ไม่รู้จักกันค่ะ แค่รู้สึกว่าคุณดูคุ้นตานิดหน่อย” เธอก้มหน้าก้มตา สายตาดูหลุกหลิก แอบมองพิจารณาฉันผ่านผมหน้าม้า

แค่คุ้นตานิดหน่อยงั้นเหรอ

ฉันร้องฮัมในลำคอ ไม่ได้พูดอะไร เปิดเมนูไปเรื่อยเปื่อยพลางถามว่า “มีอาหารแนะนำบ้างมั้ย”

“เมนูเด็ดของร้านเราคือหม้อไฟยวนยางสำหรับบำรุงร่างกายสไตล์มองโกเลีย จะได้ลิ้มลองน้ำซุปสองแบบที่เคี่ยวด้วยพริกหม่าล่ากับยาจีนพร้อมกันในคราวเดียว แล้วก็ยังมีหม้อไฟยวนยางแผ่นดินและผืนน้ำ น้ำซุปทำจากผักดอง เนื้อหมู และสาหร่ายคอมบุ…” เธอพูดน้ำเสียงราบเรียบราวกับกำลังอ่านตำราเรียน

“ทำไมมีแต่หม้อไฟยวนยางล่ะ” พอถูกฉันดุ มือของอวี๋หยางหย่างที่ถือเมนูก็สั่นเทาเล็กน้อย

“ต้องขออภัยด้วยค่ะ ร้านเราขายแต่หม้อไฟยวนยางค่ะ”

สาบานได้ว่าฉันไม่ได้มีเจตนาจะก่อกวน แต่เนื่องจากอีกฝ่ายคือผู้หญิงมารยาสาไถยแสนบอบบางที่เจิ้งฉู่เย่าปกป้องเสียเหลือเกิน ถ้าไม่แผลงฤทธิ์สักหน่อยก็เสียชื่อคู่หมั้นจอมร้ายกาจอย่างฉันแย่เลย

“ฉันอยากทานแค่น้ำซุปเดียวไม่ได้เหรอ”

“ต้องขออภัยด้วยค่ะ” เสียงของเธอฟังดูไม่จริงใจเอาเสียเลย

“เห็นๆ อยู่ว่าฉันมาคนเดียว แล้วจะให้ฉันสั่งหม้อไฟยวนยางทำไมกัน ค่าอาหารอีกครึ่งหนึ่งเธอจะช่วยฉันจ่ายเหรอ”

“ขออภัยค่ะ คุณต้องจ่ายค่าหม้อไฟยวนยางทั้งหมด…”

“ไหนว่ามาซิ ทำไมฉันคนเดียวต้องจ่ายค่าอาหารสำหรับสองคนด้วย” ฉันพูดข่ม

“ขออภัยจริงๆ ค่ะ…” ขณะที่กล่าวขอโทษ ดวงตากลมโตไร้เดียงสาของอวี๋หยางหย่างก็สอดส่ายไปทั่ว ดูเหมือนว่ากำลังมองหาใครบางคน

ตรงมุมด้านในร้าน นักเรียนพาร์ตไทม์กลุ่มหนึ่งวุ่นอยู่กับการทายนิ้ว เป่ายิงฉุบกันอยู่สามสี่รอบ จนในที่สุดก็มีคนหนึ่งถูกผลักออกมาเป็นอัศวินดำ

อัศวินดำของซินเดอเรลล่า…เชอะ ผู้ชายตัวอ้วนเตี้ยที่ไว้ผมทรงกะลาครอบคนนี้รูปร่างหน้าตาอย่างกับซุยกะทาโร่* ดูท่าคงจะเป็นได้แค่สัตว์วิเศษข้างกายอัศวินเท่านั้นแหละ

“ขอโทษด้วยครับ ทางร้านเราขายแต่หม้อไฟยวนยาง ถึงแม้จะทานคนเดียวก็ต้องจ่ายค่าอาหารสำหรับสองท่าน หากคุณผู้หญิงไม่ต้องการจ่าย รบกวนคุณเปลี่ยนเป็นร้านอื่นดีกว่าครับ” ซุยกะทาโร่ยืดอกกว้างบึกบึน เขาดูแลหญิงสาวโดยดึงเธอให้ไปยืนอยู่ข้างหลัง แต่น่าเสียดายที่เขาตัวไม่สูง อวี๋หยางหย่างที่ยืนห่อตัวอยู่ข้างหลังเขายังสูงกว่าเป็นคืบ ภาพที่ออกมาจึงดูชวนขันทีเดียว

“ค่าหม้อไฟยวนยางน่ะ ไม่ใช่ว่าฉันจ่ายไม่ไหวหรอกนะ ถ้าฉันพอใจ ให้เหมาทั้งร้านก็ไม่มีปัญหา!” ฉันพูดอย่างเย็นชา “แต่พวกคุณดึงดันให้ลูกค้าที่ทานอาหารคนเดียวต้องจ่ายค่าอาหารสำหรับสองคน กฎแบบนี้ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย เรื่องไหนที่ไม่สมเหตุสมผล ฉันเห็นแล้วมันขัดหูขัดตา ฉันจะฟ้องร้องพวกคุณ!”

“เราเป็นแค่เด็กพาร์ตไทม์ตัวเล็กๆ ขอให้คุณได้โปรดเมตตา อย่ากลั่นแกล้งเราเลยนะครับ” ความยโสโอหังของซุยกะทาโร่มลายหายไปสิ้น เขาก้าวถอยหลังกึกๆๆ ไปสองสามก้าว

ฉันทำเสียงฮึดฮัดขึ้นจมูก “ใครกำลังกลั่นแกล้งใครกันแน่หา”

ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินกระฟัดกระเฟียดออกมาจากห้องครัว เขายื่นมือมาหวังจะดึงฉันขึ้นมาจากที่นั่ง “ถ้าไม่อยากโดนกลั่นแกล้ง คุณก็ไม่ต้องทานที่นี่สิ! ไป รีบไปเลย ร้านนี้ไม่ต้อนรับลูกค้าแบบคุณ!”

“สมัยนี้ร้านอาหารปฏิบัติกับลูกค้าแบบนี้ได้ด้วยเหรอ” ฉันเบี่ยงตัวหลบและยิ้มเย็นชา “อย่ามาแตะต้องฉัน ถ้าแตะต้องฉัน ฉันจะฟ้องคุณข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ!”

“พี่คะอย่าเพิ่งวู่วาม ผู้หญิงคนนี้เราล่วงเกินไม่ได้…” อวี๋หยางหย่างรั้งเขาไว้แล้วส่ายหัวพลางขยิบตาให้เขา เธอกระซิบที่ข้างหูเขา เป็นไปได้อย่างมากว่าเธอกำลังนินทาฉันอยู่ เขาตบบ่าเธอเบาๆ ด้วยความรักใคร่เอ็นดู แล้วถลึงตาใส่ฉันอย่างจงเกลียดจงชัง จากนั้นกลับไปที่ห้องครัวอีกครั้ง

ดูท่าว่าอัศวินดำของซินเดอเรลล่าจะมีหลายคนทีเดียว

พอชายวัยกลางคนเดินจากไป อวี๋หยางหย่างก็หันมาพูดกับฉันว่า “หลินซิงเฉิน อย่ามารังแกกันเกินไปนะ! งานบริการก็มีเกียรติมีศักดิ์ศรีเหมือนกัน!”

“ในที่สุดก็นึกได้แล้วเหรอว่าฉันคือใคร ใช้ได้นี่!” ฉันเหลือบดูป้ายชื่อตรงอกเธอ แล้วยิ้มอย่างร้ายกาจ “เธอชื่ออวี๋ยางยางใช่มั้ย คิดไม่ถึงว่าเธอก็ทำงานที่นี่ด้วย ทำไม ทำงานที่โรงแรม W ได้เงินไม่พอเหรอ เดี๋ยวฉันให้ฉู่เย่าเพิ่มเงินเดือนให้!”

“ใช่แล้ว บ้านฉันจน ฉันต้องทำงาน ฉันต้องทำควบหลายงานเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ไม่ว่างมาเป็นเพื่อนเล่นกับคุณชายคุณหนูตระกูลเศรษฐีอย่างพวกคุณหรอกนะ!” ใบหน้าขาวหมดจดของเธอโกรธจนแดงก่ำขึ้นมาทันที เธอกำหมัดแน่น ยืดอกเชิดหน้าจ้องมองฉันตรงๆ “คุณหลิน คุณฟังให้ชัดๆ นะ เจิ้งฉู่เย่ามาวอแวฉันเอง! ฉันไม่ได้เป็นฝ่ายวอแวเขาก่อน! แทนที่จะมาโมโหใส่ฉัน ทำไมคุณไม่ดูแลคู่หมั้นของตัวเองให้ดีๆ ล่ะ!”

เจิ้งฉู่เย่าเป็นฝ่ายวอแวอวี๋ยางยางก่อน?

ฉันงงงัน คิดไม่ถึงว่ารสนิยมของหมอนี่ช่างแปลกไม่เหมือนใครจริงๆ แต่ถ้าเป็นแบบนี้ไม่เท่ากับว่าฉันเข้าใจอวี๋ยางยางผิดหรอกเหรอ

“ฮึ เธอคิดว่าฉันจะเชื่อคำโกหกของเธองั้นเหรอ ผู้สืบทอดกลุ่มบริษัทรื่อเย่าจะมาสนใจผู้หญิงจนกรอบอย่างเธอได้ยังไงกัน”

ฉันยกสองมือขึ้นเท้าเอวและทำเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา ไม่เชื่อแต่อย่างใด “เธอเอา ‘หลักฐาน’ ออกมาสิ!”

“เรื่องแบบนี้จะให้พิสูจน์ยังไง…”

“นั่นมันเรื่องของเธอ! สรุปคือถ้าไม่มีหลักฐาน ฉันไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด!”

“หลินซิงเฉิน เธอ…!”

ซุยกะทาโร่อยู่ตรงกลางระหว่างเราสองคน เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ได้แต่ชูมือขึ้น เอ่ยปากอย่างขลาดกลัว “คือว่า…ขอโทษนะ…”

“มีอะไร” ฉันจ้องเขาตาเขียวปั้ด

“ผม…ผม…จะเรียก ‘พยาน’…” เขาพูดพลางดึงป้ายชื่อที่ติดอยู่ในไขมันสามชั้นตรงหน้าอกออกมา

“ไปให้พ้น!” ฉันตวาดใส่ด้วยความหงุดหงิด ดูเหมือนว่าเขากำลังรอประโยคนี้ของฉันอยู่พอดี ซุยกะทาโร่เผยสีหน้าโล่งอกออกมาทันใด แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

“ตกลงคุณจะเอายังไง” เมื่อไม่มีซุยกะทาโร่คอยปกป้องคุ้มครอง อวี๋ยางยางก็ดูลนลานเล็กน้อย ขณะที่ฉันจ้องมองด้วยสายตาดุร้าย เธอกัดริมฝีปากล่าง พูดเสียงสะอื้นนิดหน่อย “ฉันก็ลาออกจากโรงแรม W แล้ว ต้องทำยังไงคุณถึงจะปล่อยฉันไป”

“ฉันอยากให้เธอสาบานว่านับแต่นี้ไปจะไม่ติดต่อข้องเกี่ยวใดๆ กับคู่หมั้นฉันอีก!”

“หา?” ปากของอวี๋ยางยางเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบ “ฉัน…ฉัน…”

“ไม่กล้าสาบาน? พวกเธอสองคนมีลับลมคมในจริงๆ ด้วย!” ฉันพูดเหยียดว่า “ในใจเธอยังคิดหาวิธีที่จะยั่วยวนคู่หมั้นฉันอยู่ใช่มั้ย”

“ฉันเปล่า…” เธอส่ายหัวสุดชีวิต น้ำตาไหลออกมาทางหางตาหนึ่งหยด “คุณอย่าพูดจาน่าเกลียดแบบนี้จะได้มั้ย ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นจริงๆ…”

นี่ฉันยังไม่ได้พูดคำพูดที่น่าเกลียดเลยนะจะบอกให้!

ฉันเห็นท่าทางเหมือนลูกสะใภ้ขี้น้อยใจของเธอแล้วก็รู้สึกอึดอัด จึงตวาดด้วยความหุนหันพลันแล่น “ถ้าเธอไม่ได้คิดอย่างนั้น งั้นเธอก็หายไปจากชีวิตเราซะ!”

“หลินซิงเฉิน เธอทำเกินไปแล้วนะ…ฮือ…” ขนตายาวเป็นแพของอวี๋ยางยางกระพือเล็กน้อย แล้วน้ำตาก็ร่วงเหมือนสร้อยไข่มุกที่ขาดผึง

ร้องไห้…อย่างนั้นเหรอ คิดจะร้องก็ร้อง ตาเธอเป็นก๊อกน้ำเหรอไง

ร้องไห้น้อยอกน้อยใจขนาดนี้…เอ๊ะ ฉันทำเกินไปจริงๆ หรือเปล่านะ

ความรู้สึกผิดและละอายใจของฉันคงอยู่แค่ไม่กี่วินาที แล้วฉันก็ถูกสาดให้ตื่นด้วยชาเย็นทันที ฉันเงยหน้าขึ้นด้วยความตะลึงงัน มองไปที่มือซึ่งกุมแก้วชาไว้ข้างนั้น นิ้วมือเรียวยาวจับตัวแก้วไว้แน่น แต่ด้วยความที่ออกแรงมากเกินไป ข้อนิ้วจึงขาวซีดเล็กน้อย

ที่แท้เจิ้งฉู่เย่าก็เกลียดฉันมากขนาดนี้นี่เอง!

“เราไปกันเถอะ!” แล้วเจิ้งฉู่เย่าก็จูงอวี๋ยางยางเดินจากไป ดูเหมือนว่าแม้แต่จะหันมามองฉันอีกสักทียังรู้สึกเอือมระอา

ละครน้ำเน่าว่าด้วยคู่หมั้นที่เป็นลูกสาวเศรษฐีกับซินเดอเรลล่า ‘เกลียดขี้หน้ากัน’ เรื่องนี้จบลงอย่างคาดไม่ถึงด้วยสถานการณ์ที่พระเอกปรากฏตัวขึ้นและสาดน้ำใส่ลูกสาวเศรษฐีจนเปียกไปทั้งตัว

ถ้าฉันเป็นอวี๋ยางยางแล้วเห็นฉากสาดน้ำสุดคลาสสิกนี้ ฉันจะต้องดีใจจนตัวลอยแน่นอน

แต่ว่าฉันไม่ใช่ซินเดอเรลล่าอวี๋ยางยาง ฉันคือหลินซิงเฉินลูกสาวเศรษฐี นางร้ายที่ถูกพระเอกรังเกียจและถูกผู้ชมด่าสาดเสียเทเสีย

ฉันเห็นรถยนต์คันหรูของบ้านเจิ้งฉู่เย่าจอดรออยู่ที่ริมถนนผ่านทางหน้าต่างบานยาวของร้านหม้อไฟ คนขับรถเปิดประตูรถให้พวกเขาสองคน เจิ้งฉู่เย่าเข้าไปนั่งในรถ มือยังคงกุมมืออวี๋ยางยางไว้แน่น ตอนที่รถยนต์สตาร์ตเครื่อง มุมปากของอวี๋ยางยางแย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วเธอก็มองมาทางฉันเหมือนว่าไม่ได้ตั้งใจ ดวงตาใสแป๋วที่กลอกไปมาดูเปี่ยมไปด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องและโอ้อวด

การโอ้อวดชัยชนะของซินเดอเรลล่า!

ละครจบลงแล้ว ฉันนั่งแข็งทื่อเป็นหินอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน จนกระทั่งเครื่องปรับอากาศเป่าจนผมแห้งและรู้สึกแสบเคืองตา หยาดน้ำตาถึงค่อยไหลออกมาจากตาสองหยด ฉันหยิบผ้าเช็ดหน้าแบรนด์แอนนา ซุยออกมาซับที่หางตาเบาๆ และเช็ดออกโดยไม่เหลือคราบน้ำตาทิ้งไว้

เครื่องสำอางรอบดวงตาคงไม่เลือนหายไปหรอกใช่มั้ย ฉันรีบควักกระจกแบบพกพาแบรนด์โคชออกมา แล้วเช็กดูว่าหน้าตัวเองยังดูดีอยู่หรือเปล่า

ซุยกะทาโร่ไม่ลืมทำงานตามหน้าที่ของตัวเอง เขาเข้ามาใกล้ฉันอย่างระมัดระวังและถามเสียงอึกอักว่า “คุณครับ หม้อไฟนี้…คุณยังต้องการที่จะทานอยู่หรือเปล่าครับ”

จริงสิ ฉันมาทานหม้อไฟนี่นา

“วุ่นมาครึ่งค่อนวัน นึกไม่ถึงว่าตัวเองยังไม่ได้ทานอะไรเลย” ฉันโยนผ้าเช็ดหน้ากับกระจกแบบพกพาลงไปในกระเป๋า แล้วถูสองแขนที่โดนลมแอร์เป่าใส่จนรู้สึกหนาว ฉันไม่มีเรี่ยวแรงเหลือพอที่จะไปทานอาหารร้านอื่นแล้วจริงๆ งั้นทานที่นี่เลยก็แล้วกัน

“ไม่ทราบว่ากี่ท่านครับ” วกถามคำถามเดิมอีกแล้ว ฉันสงสัยว่าพนักงานทุกคนในร้านอาหารนี้คงจะถูกป้อนโปรแกรมให้พูดประโยคนี้

พระเอกกับนางเอกออกจากร้านไปแล้ว ฉันเองก็ไม่จำเป็นต้องแสดงบทนางร้ายอีกต่อไป ฉันเค้นรอยยิ้มที่แข็งทื่อและพูดอย่างจนปัญญาว่า “เดี๋ยวฉันหาเพื่อนมาทานด้วย แบบนี้คงจะได้แล้วใช่มั้ย”

ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง ตุ๊กตาคิตตี้ตัวใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่งเดินสะพายกระเป๋าเป้สีดำมาปรากฏตัวตรงหน้าฉัน นี่ไม่เรียกว่าพรหมลิขิตแล้วจะเรียกว่าอะไร

“เดี๋ยวก่อนนะ เพื่อนฉันมาแล้วล่ะ” พอพูดจบฉันก็วิ่งออกนอกร้านตามเจ้าคิตตี้ตัวนั้นไป

สิบนาทีต่อมา ภายในร้านหม้อไฟ หนึ่งคนกับหนึ่งแมวนั่งตรงข้ามกันและมองหน้ากันเงียบๆ

“เฮลโล! คิตตี้!” ฉันยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคางบนโต๊ะ แล้วส่งสายตาหวานให้เขา

คิตตี้ตัวเป็นๆ เลย ตัวการ์ตูนที่ดังที่สุดในโลกตอนนี้นั่งอยู่ตรงหน้าฉันและทานหม้อไฟด้วยกัน

“นี่เพื่อนฉันเอง นายคงรู้จักใช่มั้ย งั้นฉันขอไม่แนะนำนะ” ฉันกวักมือเรียกบริกรให้มารินชาร้อนใส่กาให้ฉันพลางบอก ฉันจิบหนึ่งคำ…น้ำชารสชาติแย่ที่ชงจากใบชาคุณภาพต่ำ

ฉันขมวดคิ้วและวางถ้วยชากลับลงบนโต๊ะตามเดิม ก่อนหยิบเมนูอาหารขึ้นมาดู

หวังว่าอาหารของร้านหม้อไฟร้านนี้จะไม่แย่เหมือนกับการบริการนะ ไม่อย่างนั้นฉันกลับไปฟ้องร้องแน่นอน!

“สั่งอาหารหน่อย เอาหม้อไฟยวนยางหม่าล่าแผ่นดินและผืนน้ำก็แล้วกัน แล้วก็เอาเนื้อลายหินอ่อนหนึ่งที่…ปูจักรพรรดิที่ขนส่งทางอากาศจากญี่ปุ่นมาไต้หวัน…อืม ท่าทางไม่เลว เอาอันนี้ด้วย รีบเสิร์ฟหน่อยนะ ฉันหิวแล้ว”

ซุยกะทาโร่เหลือบมองฉันแวบหนึ่ง ในแววตาเปี่ยมด้วยความระแวง เขาเก็บเมนูอาหารแล้วรีบเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว

ฉันยิ้มแย้มสดใสและพูดกับเพื่อนใหม่ของฉันว่า “คิตตี้ ฉันขอถ่ายรูปกับคุณหน่อยได้มั้ย”

คิตตี้ส่ายหัวเล็กน้อย “ถ่ายรูปแล้วก็จะปล่อยฉันไปใช่มั้ย” เสียงเล็ดลอดออกมาจากหัวตุ๊กตาที่หนักอึ้ง เสียงนั้นฟังดูอู้อี้เล็กน้อย

“แน่นอนๆ” แน่นอนว่าไม่ได้

มือข้างหนึ่งของฉันกอดกระเป๋าเป้เขาไว้แน่น ส่วนอีกมือหนึ่งชูโทรศัพท์มือถือขึ้น “เขยิบเข้ามาหน่อย ไม่งั้นถ่ายไม่ติด”

เจ้าคิตตี้ลุกขึ้นยืนอย่างไม่เต็มใจ หัวตุ๊กตาสีขาวขนาดใหญ่แนบชิดกับแก้มฉัน ฉันทำปากจู๋ “หนึ่ง สอง สาม Say cheese”

“ทีนี้ก็คืนกระเป๋าเป้ให้ฉันได้แล้วใช่มั้ย” หลังจากถ่ายรูปเสร็จ เขาก็รีบเอ่ยถาม

“จะรีบไปไหนล่ะ” ฉันรูดซิปเปิดกระเป๋าเป้เขา ในนั้นมีกระเป๋าหนังใบเล็กๆ โทรศัพท์มือถือ และเสื้อยืดกับกางเกงยีนผู้ชายหนึ่งชุด นี่คงเป็นอุปกรณ์สำคัญในการแปลงร่างกลับเป็นมนุษย์ของเขาสินะ

แล้วจู่ๆ ก็เกิดความคิดพิเรนทร์ขึ้นมา ก้นฉันนั่งทับบนกระเป๋าเป้เขา ฉันเสยผมยาวตรง กะพริบตาปริบๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนขนาดที่แม้แต่ฉันเองก็อยากจะตีตัวเองเหมือนกัน “ฉันสั่งหม้อไฟยวนยางมา ทานคนเดียวไม่หมด คิตตี้ทานเป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ~”

เจ้าแมวไร้ปากเบือนหน้าไปอีกทางทันที กิริยาท่าทางบ่งบอกว่า…เขารู้สึกขวยเขิน

“ฉันเห็นว่าคุณยืนแจกลูกโป่งกับกระดาษทิชชูอยู่ที่หน้าห้างทั้งวัน คงจะยังไม่ได้ทานอะไรเลยใช่มั้ย ไหนๆ ก็ถูกฉัน ‘เชิญ’ เข้าร้านมาแล้ว…” เมื่อพูดถึงคำว่า ‘เชิญ’ ฉันก็ร้อนตัวเล็กน้อย ที่จริงแล้วฉันแย่งกระเป๋าเป้เขาแล้ววิ่งหนีต่างหาก “ไม่ต้องเกรงใจ มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง ถือเสียว่าเป็นการขอบคุณที่ก่อนหน้านี้คุณให้กระดาษทิชชูฉันหนึ่งห่อ”

กระดาษทิชชูหนึ่งห่อแลกกับอาหารมื้อใหญ่หนึ่งมื้อ ฉันนี่ช่างใจป้ำจริงๆ!

ไม่นานนักหม้อไฟก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะ หม้อเหล็กหล่อใบหนึ่งกั้นด้วยแผ่นเหล็กแยกเป็นน้ำซุปใสกับน้ำซุปเผ็ดร้อน ต้มด้วยไฟอ่อน มีไอน้ำลอยโขมง กลิ่นหอมโชยมาแตะจมูก ฉันเห็นลูกกระเดือกเขาขยับอย่างชัดเจน

“จะใส่เต้าหู้หรือว่าเลือดเป็ดดี จะเอาข้าวเปล่าสักถ้วยมั้ย หรือจะเป็นหมี่ซั่ว” ฉันยิ้มตาหยีพลางถามเขา

“ไม่เอาทั้งนั้น” เขาเบือนหน้าจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง ปากไม่ตรงกับใจแบบนี้…น่ารักจัง!

ฉันหันไปกวักมือเรียกซุยกะทาโร่ที่อยู่ข้างหลัง “รบกวนขอเต้าหู้หม่าล่ากับเลือดเป็ดหม่าล่าอย่างละหนึ่งชุด แล้วก็เอาข้าวเปล่ามาอีกถ้วย”

จากนั้นฉันก็บุ้ยปากไปทางเขา “คิตตี้ คุณต้องสวมหัวตุ๊กตาตลอดเวลาเลยเหรอ แล้วแบบนี้จะทานยังไงล่ะ”

เจ้าคิตตี้ถอดถุงมืออุ้งเท้าแมวออก แล้วถอดหัวตุ๊กตาที่หนักอึ้งออกมาวางบนโต๊ะ เขามองฉันด้วยสีหน้าเรียบเฉย “อย่าเรียกฉันว่าคิตตี้”

“คิตตี้” ฉันไม่สนใจ หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเลือดเป็ดกินหนึ่งชิ้น “ตุ๋นได้อร่อยมากเลย ลองชิมดูสิ…” ฉันไม่พูดพร่ำทำเพลงป้อนเลือดเป็ดหนึ่งชิ้นใส่ปากเขาทันที

รสชาติเผ็ดร้อนทำเอาเขาสำลักไอเล็กน้อย ใบหน้ากลายเป็นสีแดงก่ำ เขาก้มหน้ารีบตักข้าวใส่ปากสามสี่คำ

คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้หัวตุ๊กตาแมวแสนน่ารักจะเป็นมาสคอตตัวจริงเสียงจริง!

หลินซิงเฉิน เธอเก็บสิ่งล้ำค่าได้ล่ะ!

ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าฉันดูอายุราวๆ สิบเจ็ดสิบแปดปี คิ้วเรียวยาว ที่แก้มซ้ายมีลักยิ้มเด่นชัด ด้านล่างจมูกที่โด่งเป็นสันคือริมฝีปากที่อวบอิ่มดังลูกเชอรี่ รูปปากสวยมาก ริมฝีปากบนบางกว่าริมฝีปากล่างเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นนิดหน่อยราวกับอมยิ้มอยู่ตลอดเวลา นี่เป็นใบหน้าหล่อเหลาที่ชวนให้กระทำความผิดชัดๆ

ในหัวฉันแวบขึ้นมาว่า…สินค้าเกรดเอ ฝ่ายรับ!

ดูเหมือนว่าจะสังเกตเห็นสายตาที่แฝงเจตนาไม่ดีของฉัน พ่อหนุ่มคิตตี้จึงเงยหน้าขึ้นถลึงตาใส่ฉันราวกับกำลังพูดว่า ‘มองอะไร’

พอถูกดวงตาที่ตาขาวกับตาดำแยกกันชัดเจนของเขาจ้องมอง หัวใจดวงน้อยของฉันก็เต้นตึกตักๆ ไม่หยุด เพื่อที่จะปกปิดอาการหน้าแดงและหัวใจเต้นแรง ฉันจึงชิงโวยวายก่อน “มองอะไรน่ะ รีบทานสิ!”

เขาเลิกคิ้ว “ไม่ใช่เธอหรอกเหรอที่เป็นฝ่ายจ้องมองฉันก่อนน่ะ”

ถูกจับได้แล้ว!

“คุณ…นายอย่าเอาแต่ทานซุปใสสิ” ฉันไอแห้งสองสามที แล้วตักเนื้อหมู เนื้อปลา และเครื่องหม้อไฟจากหม้อซุปเผ็ดใส่ลงในชามของเขา “ในเมื่อสั่งหม้อไฟยวนยางหม่าล่ามาก็ต้องทานซุปเผ็ดร้อนด้วยถึงจะสดชื่น”

พ่อหนุ่มคิตตี้เม้มปากเล็กน้อยและซี้ดปากไม่หยุด “เผ็ดจัง…” เขาเผ็ดจนริมฝีปากแดงแจ๋ ดูแล้วสีสวยน่าหม่ำมาก

“เผ็ดแต่สดชื่นมากเลยใช่มั้ยล่ะ เอ้านี่ ปูจักรพรรดิตัวนี้ฉันก็ให้นายด้วย…” ฉันคะยั้นคะยอ แล้วตักปูจักรพรรดิตัวมันวาววางลงบนจานตรงหน้าเขา “กินทิ้งกินขว้างเป็นพฤติกรรมที่น่าละอาย จะต้องทานให้หมดนะ”

ในที่สุดคิตตี้หนุ่มที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินก็ทนกับความกระตือรือร้นของฉันไม่ไหว “แล้วทำไมเธอไม่ทานบ้างล่ะ”

“ฉันก็กำลังทานอยู่นี่ไม่ใช่เหรอไง” ฉันคีบปลากะพงจากในซุปใสขึ้นมาหนึ่งชิ้น จากนั้นเป่าให้หายร้อนและเอาใส่ปากเคี้ยวสามสี่ที “อืม ไม่เผ็ดเลยสักนิด”

“สาเกญี่ปุ่นในราคาพิเศษ ซื้อหนึ่งแถมหนึ่งค่ะ ไม่ทราบว่าสองท่านรับมั้ยคะ” บริกรสาวเข็นรถเข็นมาขายที่โต๊ะ

มาสคอตที่อยู่ตรงหน้าช่างน่ากินเหลือเกิน ฉันกลัวว่าตัวเองเมาแล้วจะขาดสติเผลอกลืนกินเขา…ขณะที่กำลังจะปฏิเสธ คิตตี้หนุ่มก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อนว่า “กล้าดื่มสาเกหรือเปล่า” ในดวงตาเปี่ยมด้วยแววท้าทาย

หนุ่มน้อย นายท้าทายผิดคนแล้วล่ะ นายต้องไม่รู้แน่ว่าตอนอยู่ที่ญี่ปุ่น ฉันเป็นนักดื่มตัวยงในวงสังคมไฮโซเชียวนะ

“ทำไมจะไม่กล้า” ฉันเม้มปากยิ้ม คิดจะมอมเหล้าฉันแล้วถือโอกาสหนีไปงั้นหรือ ไม่มีทางซะหรอก!

 

หม้อไฟมีไอพวยพุ่ง เนื้อตัวร้อนผ่าวและเหงื่อไหลซึมไปทั่ว พอสาเกที่ผ่านการแช่เย็นไหลลงคอก็ช่วยบรรเทาความร้อนภายในกระเพาะอาหารลง และแล้วก็สั่งเพิ่มอีกสองขวด…พวกเราดื่มสาเกไปมากมายโดยไม่รู้ตัว

“ขอโทษนะ ขอตัวสักเดี๋ยว” ฉันใช้ทิชชูเช็ดมุมปาก ยังคงรักษาความสง่างามไว้จนกระทั่งก่อนที่จะเข้าห้องน้ำ จากนั้นฉันก็กอดชักโครกอาเจียนอยู่สองสามรอบ เมื่อกลับมาที่โต๊ะอีกครั้ง มาสคอตตัวนั้นก็หายไปแล้ว แน่นอนว่ากระเป๋าเป้สีดำของเขาก็หายไปด้วย

“หนีไปดื้อๆ แบบนี้เลยเหรอ ไม่บอกสักคำด้วย เสียมารยาทจริงๆ…” ฉันบ่นพึมพำแล้วหิ้วข้าวของพะรุงพะรังขึ้นมา แต่ตอนที่เตรียมจะจ่ายเงิน ฉันกลับหาบิลไม่เจอเลยสักใบ

ขณะที่ฉันเกือบจะพลิกโต๊ะหาอยู่นั้นเอง ซุยกะทาโร่ก็รีบวิ่งเข้ามาหา “คิตตี้ตัวนั้น เอ่อ…เพื่อนคุณ…จ่ายเรียบร้อยแล้วครับ”

“อย่างงั้นเหรอ ตกลงไว้แล้วว่าฉันจะเลี้ยงไม่ใช่เหรอ ไม่ไหวเลยจริงๆ” ฉันส่ายหัว ก่อนจะเหลือบเห็นหัวตุ๊กตาแมวอันคุ้นเคยที่ฝั่งตรงข้าม

ฉันพุ่งถลาออกไปโดยไม่แม้แต่จะคิด

ฉันไม่รู้แม้กระทั่งชื่อเขา ถ้าปล่อยเขาไปก็เท่ากับปล่อยปลาว่ายกลับไปในมหาสมุทร แล้วก็จะไม่ได้เจอกันอีก ฉันคงแจ้งความไม่ได้ด้วยสินะว่าฉันต้องการตามหาคิตตี้ ไม่อย่างนั้นฉันต้องถูกหาว่าเป็นคนบ้าแน่!

“นี่ คิตตี้! อย่าวิ่งนะ! รอฉันก่อน!” ฉันตะโกนเรียกเขาขณะข้ามถนนใหญ่ที่มีรถยนต์วิ่งขวักไขว่

เงาร่างสีขาวขนาดใหญ่ของเขาหยุดนิ่งทันที เขามองฉันอย่างงงๆ อยู่สามสี่วินาที ก่อนจะเดินตรงไปข้างหน้าต่อ ฉันมองดูสัญญาณไฟคนข้ามถนนที่เป็นสีแดงด้วยความร้อนใจ ยังเหลืออีกสิบวินาทีกว่าจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว ฉันจึงกัดฟันและเดินฝ่าฝูงรถอย่างไม่เสียดายชีวิต และแล้วในที่สุดฉันก็ไล่ตามเขาทันที่ป้ายรถเมล์ป้ายหนึ่ง

“หยุด! หยุดนะ!” ฉันหายใจหอบแฮก สองมือยันที่เข่า

“เธออยากตายเหรอไง” น้ำเสียงของชายหนุ่มฟังดูเกรี้ยวกราด

“ไม่ทำแบบนี้แล้วจะตามนายทันเหรอ” น้ำเสียงของฉันดุดันกว่าของเขาเสียอีก

“มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ” ทั้งที่เขาถามแบบนี้ แต่กลับฟังเหมือนกำลังถามว่า ‘เธอบ้าไปแล้วเหรอ’ มากกว่า

“คืนเงินนาย” ท่าทีของฉันดูจริงใจ “ฉันไม่เคยติดเงินใคร!”

“ฉันไม่เคยให้ผู้หญิงจ่ายเงินให้” เขาเป็นพวกซื่อสัตย์ยุติธรรม

ทั้งคู่ต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน ขณะนั้นเองรถเมล์คันหนึ่งก็หยุดจอดข้างๆ เรา ผู้คนที่ยืนรอรถพากันออขึ้นรถ เราแยกห่างจากกันเล็กน้อย เขาเอี้ยวร่างขนาดใหญ่ยักษ์แล้วถือโอกาสเบียดขึ้นรถไป ฉันสาวเท้ายาวเดินตามก้นเขา ทันใดนั้นก็มีเสียงบ่นดังลอยมาจากข้างหลังเป็นระยะๆ “นี่ คุณผู้หญิง อย่าแซงคิวสิ”

ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวสักหน่อยที่แซงคิว ไม่เห็นเหรอว่าข้างหน้ายังมีคิตตี้ตัวใหญ่เบ้อเร่ออีกตัวน่ะ

ฉันกวาดตามองไปข้างหลังด้วยสีหน้าถมึงทึง แล้วเสียงซุบซิบก็เงียบลงทันที มนุษย์เราช่างเป็น ‘พวกที่รังแกคนดี เกรงกลัวคนเลว’ เสียจริงๆ

เมื่อเผชิญกับสายตาที่จ้องมองมาของทุกคน เจ้าหญิงก็เชิดคางขึ้นแล้วก้าวขึ้นรถไปอย่างเย่อหยิ่ง แต่ถุงกระดาษที่ถือพะรุงพะรังอยู่ในมือทำให้ตัวฉันติดอยู่ระหว่างประตูรถกับทางเดินเล็กแคบซึ่งอยู่ข้างที่นั่งคนขับ ขยับไม่ได้เลยสักก้าว ฉันยันพนักเก้าอี้แล้วมองดูคิตตี้หนุ่มขยับเขยื้อนตัวเข้าไปยังที่นั่งแถวหลังสุดตาปริบๆ ขณะที่ฉันเตรียมจะเบียดตามเข้าไป คนขับรถก็ตะโกนขึ้นมาว่า “คุณครับ คุณยังไม่ได้แตะบัตร”

แตะบัตร?

ฉันงุนงง มองไปตามสายตาของคนขับรถ มันคืออุปกรณ์ที่ติดตั้งอยู่ข้างประตูรถ

ฉันร้อง “อ๋อ” ขึ้นมา ควักบัตรออกมาทาบลงบนเครื่อง เครื่องส่งเสียงดังตู๊ดที่ชวนให้รู้สึกอับอายเพื่อบอกว่า…แตะบัตรไม่ผ่าน!

ฉันเปลี่ยนบัตรครั้งแล้วครั้งเล่าไปหลายใบแต่ก็ล้วนออกมาอีหรอบเดิมหมด ความอดทนของฉันถูกใช้จนหมดสิ้น ฉันแผดเสียงดัง “คุณคนขับ เครื่องเสียแล้ว!”

“คุณใช้บัตรอะไรแตะ บัตรเครดิต?” คนขับรถเอี้ยวตัวมาดู แล้วถลึงตาใส่พลางพูดเสียงดังว่า “คุณไม่เคยนั่งรถเมล์เหรอ หยิบบัตรอีซี่การ์ดออกมาสิ!”

เมื่อคนขับรถเอ่ยถาม ฉันก็ครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง ตั้งแต่ที่ฉันจำความได้ ฉันไม่เคยนั่งรถเมล์เลย แม้ตอนที่ไปเรียนที่ญี่ปุ่นจะมีรถราง รถไฟใต้ดิน แล้วก็มีรถเมล์ ทว่าคุณหนูที่มีชีวิตสุขสบายอย่างฉัน เวลาไปไหนมาไหนก็มีคนขับรถขับรถยนต์คันหรูคอยรับส่งเสมอ แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะมีโอกาสได้โดยสารรถสาธารณะพวกนี้

“ใครบ้างที่ไม่เคยนั่งรถเมล์น่ะ เหอะๆ ฉันเคยนั่งอยู่แล้วล่ะ” ฉันยกมือขึ้นเสยผมและหัวเราะแห้งๆ สองที “ว่าแต่อะไรคือ ‘บัตรอีซี่การ์ด’ เหรอ มันเจ๋งกว่าบัตรเครดิตโกลด์ไดมอนด์ของฉันอีกงั้นเหรอ”

ใบหน้าของคุณลุงคนขับรถพลันดูยับย่นยิ่งกว่าชุดราตรีของอิซเซ่ มิยาเกะ “เฮ้อ ช่างเถอะๆ หยอดเหรียญก็ได้” เขาบุ้ยปากไปทางกล่องกระจกใบหนึ่งตรงข้างที่นั่ง บนกล่องติดข้อความว่า ‘กรุณาหยอดเหรียญ’ ซึ่งที่ก้นกล่องมีเหรียญอยู่เพียงไม่กี่เหรียญ

แสงไฟในรถเมล์มัวสลัว ฉันหรี่ตาพลางควานหาในกระเป๋าสายโซ่อยู่นานสองนาน จากนั้นดึงธนบัตรหนึ่งพันออกมาหนึ่งใบ

“หนึ่งพันพอมั้ย”

คนขับรถมองค้อนตาเหลือกใส่ฉัน แล้วบุ้ยปากอีกครั้ง ฉันมองไปตามสายตาเขาแล้วก็เห็นตัวหนังสือเล็กๆ อีกแถวหนึ่งบนกล่องกระจก…‘ขออภัย ไม่มีการทอนเงิน’

“ไม่เป็นไร เงินพอก็ดีแล้ว ไม่ต้องทอนหรอก” แค่เงินค่าจิบน้ำชายามบ่ายนิดๆ หน่อยๆ ฉันไม่คิดเล็กคิดน้อยหรอก

ตอนที่ฉันถือธนบัตรเตรียมจะหย่อนลงในกล่อง จู่ๆ ข้อมือฉันก็ถูกคว้าไว้อย่างแรง ฉันร้องตกใจด้วยความเจ็บ ธนบัตรใบละหนึ่งพันโดนดึงออกจากมือไปทันที จากนั้นเสียงแกร๊งก็ดังชัดเจนกังวาน เหรียญสามสี่เหรียญหล่นลงในกล่องกระจก

“เธอมีเงินเยอะนักเหรอไง” ไม่รู้ว่าเจ้าคิตตี้เบียดตัวมายืนอยู่ข้างฉันตั้งแต่เมื่อไร เสียงในหัวตุ๊กตาแมวฟังดูน่ากลัวมาก

ฉันประหลาดใจ “นายรู้ได้ยังไง” ที่แท้ต่อให้ฉันแต่งตัวธรรมดาๆ ก็ไม่อาจปิดซ่อนกลิ่นอายความร่ำรวยที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดได้อยู่ดี

คิตตี้หนุ่มไม่พูดอะไรอีก เขาสวมหัวตุ๊กตาแมวเอาไว้ ฉันก็เลยไม่เห็นสีหน้าเขา ได้ยินแค่เสียงถอนหายใจแว่วๆ

ร่างกายโยกเยกไปมาตามแรงสั่นสะเทือนของรถเมล์ ฉันยังคงไม่เลิกล้มที่จะคืนเงินให้เจ้าคิตตี้ ฉันติดนิสัยอวดรวยจนชินแล้ว เวลามีคนเลี้ยงข้าวแล้วรู้สึกเหมือนติดเงินคนอื่น รู้สึกไม่ดีเลย

“สำหรับฉันแล้วมื้อเมื่อครู่นี้เป็นแค่เงินเล็กน้อย แต่สำหรับนักเรียนที่แต่งตัวเป็นตุ๊กตายืนแจกใบปลิวอย่างนาย ต้องทำงานหาเงินนานแค่ไหนกัน” ฉันนึกขึ้นได้ว่าอวี๋ยางยางเคยบอกว่าเธอทำงานที่โรงแรม W ได้ค่าจ้างแค่ชั่วโมงละร้อยกว่าเหรียญไต้หวัน นอกจากจะทำงานหนักแล้วยังต้องถูกผู้หญิงอย่างฉันทำให้อับอายขายหน้าอีก ความจริงฉันเองก็รู้สึกไม่สบายใจมากเหมือนกัน

“…”

“คิตตี้ การที่คนหนุ่มคนสาวมีศักดิ์ศรีเป็นเรื่องที่ดี แต่ศักดิ์ศรีมันกินไม่ได้หรอก” วันนี้องค์พระโพธิสัตว์ลงประทับร่างฉันจริงๆ “ในเมื่อฉันบอกว่าจะเลี้ยงนายก็ต้องเลี้ยง! เลิกบอกปัดสักทีเถอะ!”

“ไม่ต้อง” เขาพูดอย่างเย็นชา “แล้วก็อย่าเรียกฉันว่า ‘คิตตี้’!”

ฉันไม่สนใจคำพูดประโยคหลังของเขา จะว่าไปแล้วผู้ชายล้วนแล้วแต่รักศักดิ์ศรีทั้งนั้น ฉันจึงพูดอย่างเอาใจใส่ว่า “ถ้านายรู้สึกเสียหน้ามากที่ให้ผู้หญิงเลี้ยงข้าว ถ้างั้นก็คิดเสียว่านายมาทานข้าวเป็นเพื่อนฉันหนึ่งมื้อ แล้วฉันจ่ายเงินให้นาย…”

ไม่สิ คำพูดนี้ฟังดูเหมือนเขาทำอาชีพอย่างว่าเลย ฉันครุ่นคิดครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่อาจสรรหาคำพูดที่เหมาะสมมาใช้แทนได้ คิดในใจว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้เอาใจยากแบบนี้นะ เลี้ยงข้าวก็ไม่เอา ให้เงินก็ไม่เอา เอาใจอะไรยากแบบนี้หนอ

ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห สุดท้ายฉันก็ยื่นกรงเล็บออกไปลูบๆ คลำๆ ตัวเขาอยู่พักหนึ่ง เขาตกใจและอดเอี้ยวตัวหลบไม่ได้ “จะทำอะไรน่ะ”

“ให้เงินนายไง” ฉันเหลือบมองเขาทีหนึ่ง “นายไม่รับ ฉันก็เลยจะยัดใส่กระเป๋าเสื้อนายซะเลย!”

“ก็บอกแล้วว่าไม่ต้อง!”

“ไม่ได้! ยังไงฉันก็จะให้!” นอกจากจะชอบของแบรนด์เนมแล้วหลินซิงเฉินคนนี้ชอบดื้อดึงเสียยิ่งกว่า เมื่อตัดสินใจที่จะทำแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด!

หลังจากสิ้นเปลืองแรงไปมาก ในที่สุดฉันก็คลำเจอช่องที่คล้ายกระเป๋าในชุดเอี๊ยมกางเกงสีน้ำเงินของคิตตี้ ฉันยัดธนบัตรลงไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

แผ่นหลังของชายหนุ่มตรงทื่อขึ้นมาทันที

นิ่มๆ อุ่นๆ…แล้วก็เปลี่ยนเป็น…แข็งๆ แถมยัง…ดีดเด้ง…

ฉันคลำเจอ…อะไรน่ะ

‘ฉ่า’ ใบหน้าฉันแดงก่ำทันที ถึงแม้จะมีผ้าบางๆ กั้นกลาง แต่ไอ้ที่อยู่ในมือก็ให้ความรู้สึกที่ชัดเจน บอกให้ฉันรู้ว่าคิตตี้ก็มีเพศเหมือนกัน!

“อันที่จริงฉันสงสัยใคร่รู้มาตลอดว่าสวมชุดตุ๊กตาแบบนี้แล้วจะเข้าห้องน้ำยังไง” ฉันมีสีหน้าสงบนิ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเชิงเข้าใจในทันที “อืม ที่แท้ก็จากตรงนี้นี่เอง”

“เอามือสกปรก-ของเธอ-ออกไป” เขาพูดเว้นเป็นจังหวะโดยเค้นเสียงออกมาจากซอกฟัน แล้วก็ตวาดว่า “ตอนนี้! เดี๋ยวนี้! ทันทีเลย!”

“เข้าใจแล้วๆ”

พอถูกเขาตวาดใส่ ฉันก็เครียดขึ้นมา เมื่อกวาดตามองไปรอบๆ ก็พบว่าแม้ชุดคิตตี้ของเขาจะเด่นสะดุดตามาก แต่มินิสเกิร์ตลายตารางของเหล่านักเรียนหญิง ม.ปลาย ที่อยู่ข้างหลังเรานั้นสะดุดตามากกว่า สายตาของพวกผู้โดยสารผู้ชายล้วนจับจ้องวิวสวยที่อยู่ใต้กระโปรงสั้นของเด็กผู้หญิงกลุ่มนั้นอย่างไม่วางตา ส่วนคนอื่นบ้างก็สไลด์โทรศัพท์มือถือ บ้างก็สัปหงก บ้างก็คุยกัน…ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าฉันกำลังทำลามกอนาจารกับคิตตี้หนุ่มอย่างโจ่งแจ้งบนรถเมล์

ทำลามกอนาจารอย่างโจ่งแจ้ง…ทำไมจู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนกับตัวเองเป็นพวกโรคจิตยังไงยังงั้นเลย

ใจเย็นๆ นะ หลินซิงเฉิน รีบไล่ความคิดสกปรกโสมมพวกนี้ออกไปจากสมองซะ คุณหนูผู้สูงส่งสง่างามจะมีความคิดที่ไม่สะอาดบริสุทธิ์แบบนี้ได้อย่างไร!

“พี่สาวครับ ทำไมพี่เอามือสอดเข้าไปในกางเกงของคิตตี้แบบนั้นล่ะครับ”

เราสองคนต่างก็ตัวแข็งทื่อพร้อมกัน

เอาแล้วไง ถูกเด็กน้อยที่ไม่มีอะไรทำจับพิรุธเอาจนได้

หายไปซะ! หายไปซะ! ใครก็ได้ช่วยเตะเจ้าคิตตี้ไปยังหลุมดำในจักรวาลให้ฉันที ไม่ต้องให้เขามาปรากฏตัวบนโลกนี้อีกตลอดกาล ฉันยินดีมอบกระเป๋าแบรนด์เนมทั้งหมดของฉันให้เขาเลย!

อีกาสามสี่ตัวร้องเสียงดังพลางบินผ่านไป เจ้าคิตตี้ยังอยู่ไม่หายไปไหน มือเล็กบอบบางของฉันก็ยังคงคาอยู่ตรงเป้ากางเกงเขา ส่วนเด็กน้อยก็ยังคงกะพริบตาอันใสซื่อพลางรอคำตอบจากฉัน

“หนูจ๊ะ หนูรู้จักกระเป๋าวิเศษของโดราเอมอนมั้ย” ฉันคิดขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน “สามารถหยิบอุปกรณ์ออกมาจากในนั้นได้มากมายเพื่อช่วยแก้ปัญหาให้กับโนบิตะ”

“รู้จักครับ” เด็กน้อยพยักหน้า

“ในกางเกงของคิตตี้ก็มีกระเป๋าวิเศษด้วยเหมือนกันนะ สามารถหยิบอุปกรณ์จากในนี้ได้เยอะแยะเลย”

เด็กน้อยตื่นเต้นสุดขีด “จริงเหรอครับ แล้วหยิบอุปกรณ์อะไรออกมาได้บ้างครับ”

หยิบอะไรออกมาได้บ้าง? ฉันเกือบสำลักน้ำลายตัวเองตาย ในเป้ากางเกงของคิตตี้ตัวผู้จะหยิบอุปกรณ์อะไรออกมาได้อีกล่ะ

“หยิบ…เอิ่ม หยิบปืน…ออกมาได้…” ฉันอธิบายเสียงเอื่อย แล้วจู่ๆ ก็ถูกศอกเข้าที่บั้นเอวอย่างแรง ฉันจึงรีบพูดให้จบประโยคว่า “ใช้โจมตีเหล่าร้าย รักษาสันติภาพของโลก!”

“ว้าว!” เด็กน้อยตาเป็นประกายวาวและมองพวกเราด้วยสีหน้าเลื่อมใส

“นี่เป็นความลับระหว่างพี่กับหนูนะจ๊ะ” ฉันใช้มือซ้ายที่ว่างอยู่ชูนิ้วชี้ขึ้นแตะที่ริมฝีปาก “ชู่ว์ เป็นความลับนะ ห้ามบอกให้คนอื่นรู้”

เด็กน้อยหัวเราะคิกคักพลางชูนิ้วชี้ขึ้นทำเสียงชู่ว์ตามฉัน จากนั้นก็หันศีรษะไปซุกอยู่ข้างคุณแม่แต่โดยดี

หลังจากไล่เด็กน้อยไปได้ฉันก็ถอนหายใจโล่งอก หันมาบอกชายหนุ่มที่ตกใจจนแข็งทื่อไปทั้งตัวเรียบร้อยแล้วว่า “ทนหน่อยนะ ฉันจะเอามือออกมาล่ะ”

“ช่วย…เร็วๆ หน่อย” เขาหายใจหอบอย่างอ่อนแรง

ชายหนุ่มที่อยู่ในชุดตุ๊กตาคิตตี้หดตัวลีบและกลั้นหายใจ ไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย มือเล็กๆ ของฉันขยับอยู่ในเป้ากางเกงของเขาอย่างช้าๆ พยายามหลบเลี่ยงจุดสงวนนั้นด้วยความระมัดระวัง ขณะที่กำลังจะดึงมือออกมานั้นก็พบว่ามีแรงดึงบางอย่างดึงรั้งข้อมือฉันไว้เบาๆ แล้วฉันก็ออกแรงดึงอีก

“เร็วหน่อย!” แผงอกของชายหนุ่มกระเพื่อมแรง ดูเหมือนว่าความอดทนของเขาใกล้จะถึงขีดสุดแล้ว

“ฉันเองก็อยากเร็วอยู่เหมือนกัน!” ฉันพยายามดึงมือออกมา แต่มือยังคงคาอยู่ที่ช่องกระเป๋าเหมือนเดิม ฉันบิดข้อมืออยู่หลายครั้ง ทว่าแรงดึงประหลาดนั้นยิ่งบิดก็ยิ่งแน่นขึ้น แล้วฉันก็นึกขึ้นมาได้ “…สงสัยสร้อยข้อมือบุลการีของฉันคงจะพันกับด้ายที่อยู่ข้างในแล้วล่ะ”

บุลการีเป็นสร้อยข้อมือที่ฉันชอบที่สุด ทำจากทองคำสีกุหลาบ 18K เลี่ยมด้วยเปลือกหอยกระจกสีขาว เส้นหนึ่งราคาเกือบแสนเหรียญ สำหรับฉันแล้วสร้อยข้อมือนี้สำคัญยิ่งกว่าชีวิตเสียอีก

ไม่ใช่เพราะว่าเป็นของดีราคาแพง แต่เพราะเป็นของขวัญวันเกิดที่คุณพ่อให้ แล้วก็เป็นของขวัญเพียงชิ้นเดียวจากเขา

“ทำยังไงดีล่ะ” หญิงสาวถามอย่างเคอะเขิน

“ดึงให้ขาดเลย!” ชายหนุ่มแสดงความเห็นอย่างสั้นกระชับ

“ไม่ได้!” ฉันเงยหน้าจ้องเขาเขม็ง “ฉันจะให้บุลการีของฉันได้รับความเสียหายใดๆ ไม่ได้ทั้งนั้น!”

“แม่ง!” ปากเขาพ่นคำหยาบออกมา ในที่สุดความอดทนก็พังทลายลง “งั้นฉันก็จะตัดมือสกปรกของเธอทิ้งซะ!”

“ตัดเลย! กลัวที่ไหน!” ใจกล้าขนาดนี้ แต่เมื่อกี้ตอนที่อยู่ต่อหน้าเด็กน้อยทำไมไม่พูดอะไรเลยสักแอะ ฉันไม่ยอมอ่อนข้อ พูดปากแข็งว่า “บนรถเมล์ ในที่สาธารณะแบบนี้ นายไม่กล้าทำอะไรฉันหรอก”

ได้ยินดังนั้นคิตตี้หนุ่มจึงกดกริ่งทันที แล้วลากฉันลงจากรถ

มือเล็กบอบบางของหญิงสาวผู้เขินอายคาอยู่ในเป้ากางเกงเอี๊ยมสีน้ำเงินของคิตตี้ หนึ่งคนกับหนึ่งแมวยักษ์จึงดูเหมือนกับแฝดตัวติดกัน พวกเราเชื่อมติดกันด้วยท่าทางแปลกประหลาด แล้วเคลื่อนที่ไปบนถนนใหญ่อย่างเชื่องช้า มือซ้ายของฉันหิ้วถุงช็อปปิ้งพะรุงพะรัง ฉันต้องยกขึ้นมาบังปิดอยู่ตลอดเวลาเพื่อหลบเลี่ยงสายตาอยากรู้อยากเห็นของผู้คนที่สัญจรไปมา

ฉันข่มอาการหน้าแดงและหัวใจเต้นแรงเอาไว้ ‘จระเข้น้อย’ นับหมื่นตัวแผดเสียงก้องอยู่ในใจ พวกมันเกือบจะวิ่งตะบึงออกมาจากลำคอของฉัน แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นการไถ่ถาม

“เราจะไปไหนกัน”

“ห้องน้ำ”

“ห้องน้ำชายหรือว่าห้องน้ำหญิง” คำถามของฉันทำเอาเขานิ่งเงียบไปพักหนึ่ง

“ได้หมด” สายตาเขาหยุดอยู่ที่ป้ายร้านที่มีตัว M สีเหลืองซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก “แมคโดนัลด์?”

“ไม่ได้ๆ” ฉันส่ายหัวอย่างแรง เขามีหัวตุ๊กตาคิตตี้ ถ้าไม่ถอดออกก็ไม่มีใครจำเขาได้ แต่ฉันเป็นใคร ฉันเป็นสาวสวยไฮโซผู้สง่างามน่าเกรงขาม (สาวสวยคนดังในแวดวงไฮโซย่อเป็น ‘สาวสวยไฮโซ’) แถมในอนาคตยังอาจจะเป็นหลานสะใภ้แห่งกลุ่มบริษัทรื่อเย่าอีกด้วย ถ้าถูกถ่ายภาพ ‘สำเร็จความใคร่ด้วยมือกับคิตตี้’ แล้วเกิดแพร่สะพัดออกไป ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ฉันยังจะโค่นล้มอวิ๋นอวิ๋น เจ้าของห้างสรรพสินค้า ‘บรีซ เซ็นเตอร์’ แล้วขึ้นนั่งบัลลังก์สุดยอดเซเลบริตี้ได้อยู่ไหม

“ไม่ได้นะ ไม่ได้ ต้องหาที่ที่ไม่มีคน” ศีรษะฉันส่ายไปมาอย่างกับของเล่น ข้ออ้างกระเป๋าวิเศษเอาไว้ใช้หลอกเด็กน้อยได้เท่านั้น ถ้าเจอเข้ากับปาปารัซซี่ ชื่อเสียงดีๆ ที่ฉันสั่งสมมาต้องพังย่อยยับแน่นอน

แม้จะซ่อนอยู่ใต้หัวตุ๊กตาที่หนาหนัก แต่ฉันก็รู้สึกได้ถึงสายตาพิฆาตที่ออกมาจากสองตาของเขา…เห็นว่าเสือไม่แสดงอานุภาพ เธอเลยคิดว่าฉันเป็นแมวคิตตี้ไปจริงๆ งั้นเหรอ

“ตรงนั้นเป็นไง” มือซ้ายฉันชี้ไปที่ซอยมืดสลัวซอยหนึ่ง

“…”

พวกเรายื้อยุดกันอยู่สักพักหนึ่ง แล้วคิตตี้ที่น่ารักก็สบถคำหยาบออกมาอีกครั้ง คาดว่าเด็กๆ ได้ยินเข้าคงจะใจสลาย สุดท้ายเขาก็ต้องยอมอ่อนข้อให้อย่างจนปัญญา ปล่อยให้ฉันลากเขาไปที่ซอยมืดสลัวนั้น

จะไม่ยอมอ่อนข้อให้ก็ไม่ได้ ใครใช้ให้ ‘ไอ้นั่น’ ของเขาตกอยู่ในกำมือของฉันล่ะ

ซอยมืดนี้ไม่มีป้ายชื่อถนน มันเป็นซอยที่คดเคี้ยว ทั้งลึกทั้งแคบทั้งยาว ท่าทางจะเป็นซอกแคบที่เกิดจากการตัดสลับกันของอาคารเก่าแก่สามสี่หลังที่อยู่ใกล้เคียงกัน เมื่อเดินเลี้ยวไปสองสามหัวมุม เสียงผู้คนและรถยนต์บนถนนใหญ่ก็ดูเหมือนจะอยู่ไกลออกไปมาก แล้วเมื่อเดินไปจนสุดซอยถึงได้รู้ว่านี่เป็นซอยตัน ที่ท้ายซอยมีประตูเหล็กบานหนึ่งที่คราบสนิมขึ้นเป็นจุดๆ ไม่รู้ว่าเป็นประตูหลังบ้านใคร

สัญญาณเตือนภัยส่งเสียงดังขึ้นในใจฉัน ดูท่าว่าจะไม่ดีเสียแล้ว จากประสบการณ์การศึกษา ‘การ์ตูนยอดนักสืบจิ๋วโคนัน’ มาหลายปีของฉัน ซอยที่มืดสลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งซอยตัน เป็นแหล่งเกิดอาชญากรรมประเภทต่างๆ…

เขาพูดเสียงเบา “ตรงนี้คงไม่มีใครเดินผ่านไปมาแล้วล่ะมั้ง”

ฉันขานตอบหนึ่งที ฉันเป็นคนเลือกสถานที่เองจึงพูดอะไรมากไม่ได้

ชายหนุ่มถอดหัวตุ๊กตากับถุงมืออุ้งเท้าแมวออกและวางบนตู้แปลงไฟฟ้าที่อยู่ข้างๆ จากนั้นอาศัยแสงไฟอันริบหรี่เช็กดูบริเวณนั้นที่ควรเบลอภาพโดยการใส่เอฟเฟ็กต์โมเสกเข้าไป

ฉันเบือนหน้าไปอีกทาง รู้สึกขวยเขินอย่างหนัก

หลอดไส้ที่มีคราบน้ำมันเป็นจุดๆ แขวนอยู่ที่ซุ้มประตู แสงไฟติดๆ ดับๆ เงาที่บ้างยาวบ้างสั้นทอดลงบนใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่ม แสงสะท้อนทำให้แววตาของเขาดูลุ่มลึกยิ่งขึ้น

เขาขมวดคิ้วมุ่น แล้วก้มหน้าลงอย่างช้าๆ จากนั้นโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย เพื่อที่จะปรับตัวไปตามท่าทางของเขาฉันก็อดไม่ได้ที่จะค่อยๆ เอนตัวไปข้างหลัง จนกระทั่งแผ่นหลังชนติดกับกำแพงปูนซีเมนต์ ไม่มีทางให้ถอยได้อีก

ลมหายใจอุ่นๆ ระคนกับกลิ่นเหล้าของเขารินรดลงที่กระดูกไหปลาร้าอันแสนจะอ่อนไหวของฉัน เลือดลมที่ร้อนวูบวาบอยู่ในทรวงอกพุ่งปรี๊ดไปยังหน้าผาก ฉันกัดฟันแน่น พยายามข่มใจไม่ให้จับชายหนุ่มกระแทกกับกำแพงแล้วก็ ‘ทำนั่น’ ‘ทำนี่’ กับเขา…

นี่! ในเรื่อง ‘ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน’ ไม่มีฉาก 18+ ประเภทผลักล้มลง กระโจนเข้าใส่ แล้วก็คร่อมบนตัวหรอกนะ!

“นายดูตั้งนานแล้วนะ เร็วหน่อยสิ” ฉันกัดฟันเสียงดังกึกๆ “ลงมือจริงจังซะที!”

ชายหนุ่มแววตามืดหม่นลง เขาถอยออกไปเล็กน้อย แล้วหยิบคัตเตอร์ออกมา

“คิดจะทำอะไรน่ะ” ฉันตัวสั่นเล็กน้อย “ฆ่าปิดปากเหรอ”

แค่เพราะฉันจับ ‘ไอ้นั่น’ ของเขาน่ะเหรอ

“เงียบปาก” หางคิ้วเรียวสวยของเขาเลิกขึ้น มุมปากเม้มเป็นรอยยิ้มที่ทำเอาฉันกลัวขนลุกซู่ไปหมด “ไม่อย่างนั้นฉันจะทำให้เธอพูดไม่ได้ไปตลอดชีวิต”

ฉันหุบปากแต่โดยดี

เขาถือคัตเตอร์พลางจัดการอย่างเงียบๆ อยู่พักใหญ่ ฉันหาวหวอดหนึ่งที แล้วเอนศีรษะพิงบนไหล่เขา จากนั้นความง่วงงุนก็ค่อยๆ เข้าจู่โจม ขณะที่สะลึมสะลืออยู่นั้นเอง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงซุบซิบดังลอยมาจากด้านหลังประตูเหล็กแบบขาดหายเป็นห้วงๆ

เสียงที่แหบแห้งพูดอย่างเร่งร้อน “สินค้าล็อตนี้มีอะไรบ้าง”

เสียงที่มีสำเนียงแปลกๆ พูดว่า “หลุยส์ วิตตอง อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ ซิลเวีย…”

พอได้ยินชื่อแบรนด์เนมต่างๆ ฉันก็หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง แล้วยื่นหน้าไปดูที่ร่องประตูด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่อัดแน่นเต็มอก ด้านในเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ อยู่ราวๆ สี่คนกำลังคุยกัน

“ปริมาณล่ะ”

“อย่างละร้อยกรัม”

กรัม? หน่วยวัดประหลาดนี้ทำให้ฉันรู้สึกแปลกใจ ดูเหมือนว่าชายหนุ่มเองก็เกิดความอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน เขาวางงานในมือลงและเงี่ยหูตั้งใจฟัง

เสียงที่แหบแห้งถามต่ออีกว่า “ข้างล่างประเมินว่ายังไงบ้าง”

เสียงที่เคร่งขรึมอีกเสียงพูดว่า “ซิลเวียใส่ไม่สบาย”

“ครั้งต่อไปก็เอามาน้อยหน่อย” เสียงนี้ฟังดูค่อนข้างมีอำนาจน่าเกรงขาม คงจะเป็นหัวหน้าหรือไม่ก็เจ้านาย “ไม่งั้นก็ให้พวกเขาเอาอีฟส์ แซงต์ โลรองต์มาแทน”

“ครับ”

ซิลเวีย โทเลอดาโนเป็นแบรนด์ที่สร้างขึ้นโดยศิลปินชื่อซิลเวีย กระเป๋าแต่ละรุ่นล้วนตกแต่งด้วยคริสตัลสวารอฟสกี้ในธีมและลวดลายที่แตกต่างกันไป เป็นงานแฮนด์เมดล้วนและผลิตจำนวนจำกัด นับเป็นสุดยอดของคุณภาพดี บรรดาคุณหนูและเซเลบริตี้ในแวดวงไฮโซฝั่งตะวันตกต่างเข้าแถวยื้อแย่งกันสุดชีวิต แต่ฟังจากน้ำเสียงของคนที่อยู่ข้างใน คิดไม่ถึงว่าผู้ชายจะยังจู้จี้จุกจิกกับสินค้า…หรือว่าจะมีคนขายของก๊อปเกรดเอกันนะ

ทว่าเห็นได้ชัดว่าคนที่ขายสินค้าเลียนแบบไม่ค่อยขยันขันแข็งนัก ซิลเวียเป็นแบรนด์กระเป๋า พวกเขาขายเสื้อผ้าตั้งแต่เมื่อไรกัน หนำซ้ำยังบอกว่าสวมใส่ไม่สบายอีก

มือข้างที่ถูกด้ายพันไว้คลายออกมา ในที่สุดมือขวาก็เป็นอิสระสักที ฉันถอนหายใจยาว ส่วนชายหนุ่มค่อยๆ ผละออกจากฉันแล้วโบกไม้โบกมือบอกให้ฉันเดินกลับออกไปอย่างเงียบๆ แต่ฉันยังอยากแอบฟังต่อจึงส่ายหัวให้เขา

สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นเขียวปั้ด เขายื่นมือมาดึงตัวฉัน ฉันร้อง ‘อ๊ะ’ ออกมาเบาๆ เขาตั้งใจจะปิดปากฉัน แต่ไม่ทันเสียแล้ว

แย่แล้ว…

ทันใดนั้นเสียงตวาดก็แผดก้องมาจากข้างใน “ใครน่ะ!”

ชายหนุ่มหยิบท่อนไม้ไผ่บนพื้นขึ้นมาแล้วพาดขวางบนสลักประตูอย่างรวดเร็ว จากนั้นเสียงทุบประตูปังๆ ก็ดังลอยมา ท่อนไม้ไผ่งอเป็นทรงคันธนู ประตูถูกแง้มออกเป็นช่องเล็กๆ มือข้างหนึ่งที่มีกล้ามเป็นมัดๆ ลอดออกมาจากด้านหลังประตูและคว้าจับผมฉันไว้แน่นทันที!

“กรี๊ด!” คราวนี้เสียงกรีดร้องดังลั่นไปทั่ว!

ชายหนุ่มคว้าหัวตุ๊กตาคิตตี้ที่อยู่บนตู้แปลงไฟฟ้ามาอย่างรวดเร็วและรัวทุบกรงเล็บปีศาจนั้นอยู่พักหนึ่งเพื่อบีบให้ชายรูปร่างสูงใหญ่คนนั้นปล่อยมือ ก่อนหันมาตะเบ็งเสียงใส่ฉันว่า “หนีเร็ว!”

ฉันสวมรองเท้าส้นสูงจึงวิ่งไปข้างหน้าได้สามสี่ก้าวแบบข้างหนึ่งเอียงข้างหนึ่งกะเผลก แล้วคิดขึ้นได้ว่าแบบนี้ออกจะไร้ซึ่งความยุติธรรมเกินไป ก็เลยย้อนกลับไปอีกครั้ง ฉันถอดรองเท้าส้นสูงออก ก่อนใช้ส้นรองเท้าทุบตีแขนกำยำข้างนั้นอย่างแรงจนเป็นรูเลือดไหล คราวนี้เสียงกระแทกประตูเหล็กดังขึ้นกว่าเดิม ฉันเห็นบรรดาใบหน้าอันดุร้ายน่ากลัวกำลังจะเบียดดันออกมาจากประตูเหล็ก

“หนี!” ชายหนุ่มจับมือฉันไว้แน่นแล้ววิ่งสุดฝีเท้า

ระหว่างที่วิ่งฉันอดหันกลับไปไม่ได้ หลอดไฟมัวสลัวสะท้อนเงาร่างของชายรูปร่างกำยำล่ำสันสามสี่คนนั้น ซึ่งหนึ่งในนั้นยังถือปืนหนึ่งกระบอกไว้ในมือด้วย!

นั่นมันปืนของจริงนี่นา!

ฉันวิ่งโซเซจนเกือบจะหกล้ม เหงื่อเย็นๆ ซึมออกมาจากทุกรูขุมขนบนร่างกายทันที

“ปืน…” ฉันสั่นเทิ้มไปทั้งตัว แม้แต่เสียงก็แตกพร่า “คน…คนพวกนั้นมีปืน…เราต้อง…ต้องถูกฆ่าทิ้งแน่…”

“อย่าหันกลับไป!” ชายหนุ่มกุมมือฉันแน่น มุมปากอมยิ้มบางๆ “ถ้ากลัวก็มองฉันไว้!”

พวกเราวิ่งในซอยเล็กๆ ที่คดเคี้ยวไปมานี้กันอย่างสุดชีวิต เสียงลมพัดผ่านข้างหูไป ขณะที่หายใจหอบ ทรวงอกและปอดรู้สึกเจ็บราวกับไฟลุกไหม้แผดเผา บริเวณไกลออกไปดูมืดมิดเหมือนกับว่าไม่มีจุดสิ้นสุด เราทั้งคู่ต่างไม่รู้ว่าต้องวิ่งอีกไกลแค่ไหน วิ่งนานแค่ไหนถึงจะหนีพ้นจากการตามไล่ฆ่าอย่างไม่ลดละของชายชุดดำที่อยู่ข้างหลัง

นี่เหมือนกับฝันร้ายที่ไม่อาจลืมตาตื่นขึ้นมาได้

ที่น่าแปลกคือฉันไม่ค่อยรู้สึกหวาดกลัวสักเท่าไร เพราะมีมือข้างหนึ่งกุมมือฉันไว้แน่นตลอดเวลาไม่ยอมปล่อย ราวกับว่ามีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับฉัน

‘ถ้ากลัวก็มองฉันไว้!’

ใช่แล้ว! ฉันมองแต่เขา เพราะเห็นรอยยิ้มของเขาฉันก็เลยไม่กลัวอะไรทั้งนั้น!

ทันใดนั้นเอง แสงกะพริบสีแดงกับน้ำเงินก็ช่วยให้มองเห็นทางข้างหน้าได้ชัดเจน ฉันหรี่ตามอง แต่ยังไม่ทันจะปรับสายตาให้คุ้นชินกับแสงไฟก็ได้ยินชายหนุ่มตะโกนเสียงแหบแห้งว่า “ตำรวจ!”

เขาปล่อยมือฉัน สองมือโบกไปมา แล้วตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ ในที่สุดรถตำรวจก็หยุดจอดอยู่ข้างๆ เรา

ฉันแข้งขาอ่อนยวบ เรี่ยวแรงมลายหายไปหมดตั้งนานแล้ว ฉันนั่งนวดส้นเท้าอยู่บนพื้น นวดไปนวดมา ในดวงตาก็มีของเหลวอุ่นๆ ไหลรินลงมาแล้วหยดลงบนข้อเท้า หนึ่งหยด สองหยด กลั้นอย่างไรก็กลั้นไม่อยู่

มีคนออกแรงฉุดดึงฉันขึ้นมา จัดแจงให้ฉันอยู่ในอ้อมกอดเขา ฉันร้องไห้จนหน้าตายับย่น เขาก็ช่วยเช็ดน้ำตาให้ฉันอย่างงุ่มง่าม ร่างกายเขาสั่นเทิ้มเล็กน้อย คล้ายกับจะบอกฉันว่าเขาเองก็กำลังข่มความหวาดกลัวอันมหาศาลอยู่เช่นกัน

มือเขาตบแผ่นหลังฉันเบาๆ แล้วพูดที่ข้างหูฉันว่า “ไม่เป็นไรแล้ว ปลอดภัยแล้ว…” เสียงทุ้มต่ำระคนเสียงหายใจเล็กน้อย เหมือนกับน้ำพุที่เย็นสดชื่นไหลละล่องเข้าไปในหูฉัน ปลอบประโลมให้ฉันหายตื่นตกใจอย่างน่าประหลาด

เสียงนี้…เหมือนเคยรู้จัก เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ฉันรู้สึกสบายใจ เส้นประสาทที่เครียดขึงก็ค่อยๆ คลายลง จากนั้นฉันก็หลับตาลงอย่างช้าๆ แล้วผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้น ฉันจำอะไรไม่ได้เลย

ความรู้สึกวิตกกังวลขณะที่วิ่งหนีเหมือนกับว่าจะดำเนินต่อไปในดินแดนแห่งความฝัน หลายครั้งทีเดียวที่ฉันกรีดร้องตื่นขึ้นมา แต่ยังไม่ทันที่จะลืมตาก็มีคนลูบบ่าฉันเบาๆ พลางพูดพึมพำ

ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องกลัวนะ ฉันอยู่นี่…

“โอย…กี่โมงแล้วเนี่ย…”

ฉันทุบหัวที่ปวดจนแทบระเบิดจากการเมาค้าง หลังจากได้สติกลับมาเล็กน้อยฉันก็ขยี้ตาอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“กรี๊ด!”

หัวของแมวไร้ปากขนาดใหญ่ยักษ์ที่สกปรกหัวหนึ่งอยู่ประชิดตรงหน้าฉัน โบสีชมพูเอียงกระเท่เร่อยู่ที่หูแมว ที่น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้นคือลูกตาของแมวยักษ์หลุดออกมาหนึ่งข้าง ส่วนอีกข้างห้อยต่องแต่งอยู่นอกเบ้า ฉันตกใจกลัวจนส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน

“กรี๊ด!”

“อืม…ปลอดภัยแล้วล่ะ” เสียงของสิ่งมีชีวิตตัวผู้ดังขึ้นที่เหนือศีรษะฉัน สุ้มเสียงฟังดูเกียจคร้านเหมือนยังไม่ตื่นดี

พูด…พูดภาษาคนเป็นด้วย?

“กรี๊ดๆ!” ฉันกรีดร้องต่อ

“หยุดร้องได้แล้วน่า…” อุ้งเท้าแมวสีขาวขนาดใหญ่ที่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่มือมนุษย์แตะที่ปากฉัน แม้แต่จมูกฉันก็ถูกปิดไปด้วย ทำให้ฉันไม่สามารถหายใจเอาอากาศสดชื่นเข้าไปได้ ฉันทั้งเตะทั้งถีบไปที่ท้องอ้วนกลมของเขา เขาครางเสียงต่ำอย่างไม่พอใจ แล้วเพื่อที่จะควบคุมฉัน นึกไม่ถึงว่าเขาจะออกแรงกอดฉันแน่นกว่าเดิม

ฉันดิ้นรนขัดขืนสุดแรงเกิด สองมือคลำหาหัวของแมวไร้ปาก จากนั้นออกแรงดึงแล้วใช้ฝ่ามือปัดออกอีกที หัวแมวหลุดกระเด็นออกจากคอเขาอย่างรวดเร็วและกลิ้งหลุนๆ ลงบนพื้น

อ๊ากๆๆ ฉันฆ่าแมวปีศาจ!

“ตื่นแล้วเหรอ”

ในที่สุดเสียงกรีดร้องของฉันก็ดึงดูดมนุษย์มา เขาแต่งตัวเป็นตำรวจ…ไม่สิ เป็นคุณตำรวจท่านหนึ่งเดินเข้ามาหาเรา

“คือว่า…ฉัน…เขา…” ฉันตัวสั่น นิ้วชี้สั่นระริกพลางชี้ไปที่แมวไม่มีหัวตัวนั้น “เขา…”

“อ๋อ เขาน่ะเหรอ” คุณตำรวจผลักไหล่เจ้าแมวปีศาจเบาๆ “พ่อหนุ่ม ตื่นๆ”

เขาไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ มีเพียงแผงอกที่ขยับขึ้นลงเล็กน้อย

คุณตำรวจเพิ่มระดับเสียงขึ้นด้วยความจนปัญญา เขย่าบ่าเขาพลางเรียกอีกสองสามที “พ่อหนุ่ม ตื่นได้แล้ว เรารอที่จะบันทึกคำให้การอยู่!”

แมวปีศาจตัวสั่นเล็กน้อยเหมือนกับกำลังบิดขี้เกียจ จากนั้นศีรษะของชายหนุ่มก็ลอดออกมาจากรอยฉีกขาดตรงคอแมวราวกับเล่นกล เขาหาวหวอดอย่างไม่สนใจใคร ยกอุ้งเท้าแมวขึ้นมาเช็ดใบหน้า แล้วถึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าความง่วงงุนในดวงตายังไม่จางหายไป

เขาเหม่อมองไปรอบๆ สุดท้ายสายตาก็ปรับโฟกัสได้ เขาจับจ้องที่ฉันราวกับกำลังถามว่าเรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

จริงด้วย เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงนะ

ฉันเอามือเท้าแก้ม แล้วเริ่มพยายามย้อนนึกถึงความชุลมุนวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้

ประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง คุณลุงตำรวจที่ศีรษะล้านเล็กน้อยเดินถือนมสดเข้ามาสองแก้ว “หิวแล้วสินะ ดื่มนมสักหน่อยสิ”

แสงแดดเจิดจ้าส่องเข้ามาทางประตูที่เปิดกว้างแล้วตกกระทบลงบนตัวชายหนุ่มเพียงคนเดียวในห้อง เขารับแก้วนมมาและกล่าวขอบคุณอย่างมีมารยาท ก้มหน้าดื่มนม บริเวณแก้มซ้ายปรากฏรอยลักยิ้มจางๆ ดูแล้วเหมือนลูกแมวเหมียวที่น่ารักน่าเอ็นดู

แน่นอนว่าไม่นานนักฉันก็พบว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงภาพลวงตา ภาพที่เขากำลังงัวเงียนี้ก็เหมือนกับเวทมนตร์ในเรื่องซินเดอเรลล่า พอถึงเวลาทุกอย่างก็จะค่อยๆ มลายหายไปโดยอัตโนมัติ

“เมื่อวานนี้อันตรายมากจริงๆ โชคดีที่มีสายตรวจผ่านไปทางนั้น ไม่อย่างนั้นพวกเธอสองคนคงจะเอาชีวิตไม่รอด” คุณลุงตำรวจขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าดูเคร่งขรึม

เอาชีวิตไม่รอด?

ฉันเกือบจะพ่นนมออกมา ทันใดนั้นศีรษะที่วิงเวียนก็ปรากฏภาพอันน่าหวาดเสียวขึ้นมาภาพแล้วภาพเล่า ซอยมืดสลัวที่ทั้งเงียบวังเวงและคดเคี้ยว ธุรกิจที่น่าสงสัยของชายชุดดำ เสียงหายใจหอบที่แหวกผ่านท้องฟ้ายามราตรี การวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิต…ฉันพอจะเข้าใจขึ้นมาแล้ว เหงื่อเย็นๆ ซึมออกมาทั่วตัวทันที

ใช่ เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดจริงๆ!

“พวกเธอสองคนเป็นเด็กเป็นเล็ก ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเสียเลย ค่ำมืดดึกดื่นยังเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอก มันอันตรายมากนะ!” คุณลุงตำรวจตำหนิและตักเตือนเราอยู่พักหนึ่ง ยิ่งพูดก็ยิ่งจริงจัง จนในที่สุดเขาก็หยิบสมุดกับปากกาบันทึกเสียงออกมาวางบนโต๊ะยาว “ในเมื่อพวกเธอตื่นกันแล้ว เราขอบันทึกคำให้การหน่อย พอบันทึกเสร็จแล้วก็กลับบ้านได้”

ในเมื่อพวกเธอตื่นกันแล้ว…ฉันเหลือบมองชายหนุ่มที่นั่งคอเอียงอยู่บนม้านั่งยาว เขาผล็อยหลับไปอีกแล้ว

เอ่อ คนที่ตื่นดูเหมือนจะมีแค่ฉันคนเดียว

“คุณตำรวจคะ คือว่าเมื่อวาน…ดูเหมือนว่าเราจะเจอ…” ฉันตัวสั่นอยู่นานและกลืนน้ำลาย จากนั้นลดเสียงเบาลง พูดออกมาเหมือนกำลังบอกความลับ “เจอเข้ากับชายชุดดำในเรื่อง ‘ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน’ น่ะค่ะ”

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ช่างเหมือนฝันเสียเหลือเกิน มันเหมือนกับได้ทะลุมิติเข้าไปในเรื่อง ‘โคนัน’ แล้วประสบกับเหตุอาชญากรรมหนึ่ง

ฉันเล่าบทสนทนาตอนที่ชายชุดดำคุยธุรกิจกันให้กับคุณลุงตำรวจฟังอย่างครบถ้วนไม่มีตกหล่น แน่นอนว่าฉันตัดเรื่องน่าขายหน้าระหว่างฉันกับแมวคิตตี้ออกไป

คุณลุงตำรวจครุ่นคิดอยู่นานแล้วพูดว่า “พวกเธอเจอเข้ากับแก๊งค้ายาชัวร์ ชื่อแบรนด์เนมพวกนั้นคงจะเป็นรหัสลับของพวกมัน ‘ใส่ไม่สบาย’ น่าจะหมายถึงคุณภาพไม่ดี”

แก๊งค้ายา? ช่างบังเอิญจริงๆ เลย น่าหวาดเสียวอะไรเช่นนี้! มิน่าล่ะคนพวกนั้นถึงคิดจะฆ่าพวกเราปิดปาก!

“ไม่แน่ว่า…รังของพวกมันอาจซ่อนอยู่หลังบานประตูเหล็กบานนั้นก็ได้” เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเกือบจะถูกลากเข้าไปหลังบานประตูเหล็ก ฉันก็ตกใจกลัวจนเหงื่อเย็นซึมทั่วตัวอีกครั้ง

“เธอยังจำหน้าของคนพวกนั้นได้อยู่มั้ย แล้วก็ตำแหน่งที่แน่ชัดที่พวกมันคุยธุรกิจกัน”

ฉันส่ายหัวอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย ฉันไม่คุ้นเคยกับละแวกนั้นเลย ถ้าไม่ใช่เพราะนั่งรถเมล์โคลงเคลงตามคิตตี้หนุ่มไป ฉันก็ไม่มีทางไปแถวนั้นหรอก

ไม่รู้ว่าคิตตี้หนุ่มตื่นขึ้นมาตอนไหน เขาพูดเสียงเบาว่า “ผมยังจำได้…” นัยน์ตาเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือด แต่ลูกตาดำกลับทั้งดำขลับและเป็นประกาย

จากการบันทึกคำให้การทำให้ฉันรู้แล้วว่าคิตตี้หนุ่มไม่ได้ชื่อว่าคิตตี้ เขามีชื่อที่ไพเราะซึ่งไม่เหมือนกับชื่อผู้ชายเลย เขาชื่อว่าเจียงเนี่ยนอวี่ อายุสิบเก้าปี

หลังจากบันทึกคำให้การเสร็จเรียบร้อย คุณลุงตำรวจก็จับมือเจียงเนี่ยนอวี่กับฉันแล้วพูดว่า “แก๊งนี้เงียบหายไปนานมากแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะมาซ่อนตัวอยู่ในบ้านของชาวบ้าน ขอบใจนะที่ให้ข้อมูลกับทางเรา มันช่วยในการไขคดีได้เป็นอย่างมาก”

“ไม่หรอกค่ะๆ เราก็แค่บังเอิญไปเจอเท่านั้นเอง” ฉันเม้มปากอมยิ้มอย่างอ่อนโยนและพูดจาสุภาพ “เราเองก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีส่วนได้ช่วยเหลือทางตำรวจ หวังว่าพวกคุณจะสามารถจับตัวคนร้ายพวกนี้มาลงโทษตามกฎหมายได้ในเร็ววันนะคะ”

“เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว” แล้วหัวข้อการสนทนาก็เปลี่ยนไป คุณลุงตำรวจที่ผ่านการทำคดีมานับไม่ถ้วนได้กลิ่นผิดปกติจริงๆ ด้วย “ว่าแต่ตอนนั้นทำไมพวกเธอสองคนถึงไปปรากฏตัวอยู่ที่ซอยนั้นพร้อมกันได้ล่ะ”

รอยยิ้มของฉันนิ่งค้างอยู่ที่มุมปากทันที

เจียงเนี่ยนอวี่เหลือบมองมาทางฉัน นานทีเดียวกว่าจะได้ยินเขาพูดออกมาเบาๆ ว่า “เพราะว่ามีเรื่องต้องคุยกันกะทันหัน เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะส่วนตัวหน่อย…”

“พวกเธอสองคนเป็นอะไรกัน” คุณลุงตำรวจถามต่อ

“ไม่รู้จักกันค่ะ” ฉันตอบ

“แฟนกันครับ” เขาตอบ

เราตอบออกมาพร้อมกันอย่างรู้ใจกันมาก แต่คำตอบกลับไม่มีความรู้ใจกันแม้แต่น้อย

ฉันดึงแขนเจียงเนี่ยนอวี่เล็กน้อย แต่เขามองฉันด้วยสีหน้าไร้เดียงสา

“ที่แท้ก็เป็นคู่รักทะเลาะกัน…” คุณลุงตำรวจหัวเราะพรืดอย่างมีเลศนัย “ดูซิว่าต่อไปพวกเธอยังจะกล้าจู๋จี๋กันกลางแจ้งอีกมั้ย!”

พวกคู่รักที่หลบอยู่ในซอยมืดๆ ล้วนแต่กำลังจู๋จี๋กันกลางแจ้งอย่างนั้นเหรอ

ฉันกับเจียงเนี่ยนอวี่มองหน้ากัน เราต่างอึ้งพูดไม่ออกทันที

“พวกเธอรออยู่ที่นี่แป๊บนึง ฉันจะไปรายงานสักหน่อย พอพวกเธอเซ็นชื่อกันเสร็จแล้วก็บอกให้คนที่บ้านมารับได้” เมื่อคุยเรื่องงานจบ สีหน้าของคุณลุงตำรวจก็ดูผ่อนคลายขึ้น มือใหญ่ตบบ่าเจียงเนี่ยนอวี่เบาๆ แล้วขยิบตาให้ฉัน “สมัยนี้ไม่เห็นมีอะไรต้องเขินอายนี่นา เมื่อวานเขาปกป้องดูแลเธอทั้งคืน เธอเองก็กอดเขาเสียแนบแน่น ไม่ใช่แฟนแล้วเรียกว่าอะไรล่ะ!”

ฉันยิ้มอย่างเคอะเขิน เจียงเนี่ยนอวี่เหลือบมองฉันแวบหนึ่ง เขาอมยิ้มคลุมเครือเล็กน้อย

เมื่อคุณลุงตำรวจเดินออกไปแล้ว เขาก็ยื่นมือออกมาทันที “กระเป๋าเป้ฉัน”

ฉันขยับตัวแล้วถึงได้รู้ว่ากระเป๋าเป้สีดำของเขาถูกฉันนั่งทับไว้ตลอดเวลา ฉันรีบดึงออกมาให้เขา

“ทำไมต้องบอกว่าฉันเป็นแฟนนายด้วย” ฉันเสยผมและพูดอย่างจีบปากจีบคอ “ฉันรู้ว่าตัวเองมีเสน่ห์เหลือร้าย แต่เราเพิ่งรู้จักกันไม่ถึงวัน หรือว่านายจะตกหลุมรักฉันแล้วอย่างนั้นเหรอ”

“ไม่งั้นจะให้บอกตำรวจว่าเธอทำอนาจารฉัน แล้วลากฉันไปที่ซอยมืดเหรอไง” เขาขัดจังหวะการพูดจาหลงตัวเองของฉันอย่างรวดเร็ว

ก็ได้ ถือเสียว่าฉันไม่ได้ถามละกัน

เจียงเนี่ยนอวี่หยิบเสื้อกับกางเกงที่สะอาดออกมาจากกระเป๋าและวางบนม้านั่งยาวด้านข้าง จากนั้นเขาก็ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นลูบๆ คลำๆ ที่แผ่นหลัง คลำอยู่นานสองนานไม่รู้ว่าคลำหาอะไรอยู่ พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นฉันกำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า เขาก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ช่วยมารูดซิปให้ฉันหน่อย”

“หา?”

ฉันเพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้ว่าเขาจะเปลี่ยนเสื้อผ้าที่นี่!

เทพแห่งความสำรวมเอย เทพแห่งจริยธรรมเอย…กรุณาหลบไป ฉันกลืนน้ำลายแล้วเดินไปข้างหน้า ความสุขที่มาประเคนถึงที่แบบนี้ ฉันไม่เกรงใจล่ะนะ!

เมื่อชุดตุ๊กตาตัวใหญ่ร่วงลงบนพื้น ฉันก็เห็นรูปร่างของเจียงเนี่ยนอวี่ที่แม้จะผอมแต่ก็มีมัดกล้ามชัดเจน กล้ามท้องแน่นได้สัดส่วน ตั้งแต่ช่วงบ่าไล่ลงมาจนถึงเอวบางคอดนั้น หุ่นของเขาดูสวยงามมาก ส่วนร่างกายท่อนล่าง…เมื่อคำนึงถึงเส้นเลือดฝอยในโพรงจมูกที่เปราะบางแล้ว ฉันก็เบนสายตาไปทางอื่นด้วยความเคอะเขิน

เขาเองก็คงจะตระหนักได้ว่าไม่เหมาะสม เขาหยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นหันหลังให้และสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว

“เอ่อ เจียงเนี่ยนอวี่…” ฉันมองดูรอยฟกช้ำต่างๆ ตามตัวเขา แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานตอนที่วิ่งหนี มีหลายครั้งที่ฉันหกล้มแล้วดึงตัวเขามาเป็นเบาะรอง ฉันรู้สึกไม่สบายใจมาก แต่ยังไม่ทันจะคิดใคร่ครวญฉันก็พูดโพล่งออกมาว่า “ขอบคุณนะ”

ฉันเอามือปิดปาก รู้สึกประหลาดใจที่ตัวเองก็รู้จักกล่าวขอบคุณ ถ้าเป็นหลินซิงเฉินคนก่อนคงจะขอโยนธนบัตรปึกหนึ่งให้เขา แต่จะไม่ยอมพูดคำว่า ‘ขอบคุณ’ เด็ดขาด

“ไม่เป็นไร” เขาหันหน้ามาแล้วยิ้มบางๆ ให้ฉัน

เมื่อเดินออกมาจากสถานีตำรวจ ท้องฟ้าทั่วทั้งเมืองก็สว่างไสวด้วยแสงอาทิตย์ยามเช้า ดูเหมือนว่าเมื่อสักครู่นี้จะมีฝนตกลงมาพักหนึ่ง อากาศยังคงชื้นอยู่ นกกระจอกตัวหนึ่งเกาะอยู่บนสายไฟอย่างงกๆ เงิ่นๆ ดวงตาดำขลับของมันกลอกไปมาไม่หยุด

ลุงเต๋อขับรถมารับฉัน เขาจู้จี้จุกจิกกับฉันเหมือนเช่นเคย แต่ฉันไม่ค่อยได้ฟังสักเท่าไร เอาแต่เออออทราบแล้วลูกเดียว ฉันมองเห็นเงาร่างหนึ่งยืนแกร่วอยู่หน้ากำแพงอิฐสีแดงหม่นในสถานีตำรวจผ่านทางกระจกรถ เงาร่างสูงเพรียวที่เด่นสะดุดตาเป็นพิเศษนั้นดูเย็นสบายสดชื่นเหมือนสายฝน

ดูเหมือนว่าเจียงเนี่ยนอวี่กำลังรอใครอยู่ ใครจะมารับเขากันนะ

“เสี่ยวอวี่!”

เสียงหวานไพเราะของผู้หญิงดังกังวานขึ้น รอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าของชายหนุ่มฉีกกว้างขึ้นมาทันที ส่งผลให้ลักยิ้มบนแก้มดูบุ๋มลึกยิ่งขึ้น

ฉันมองไปตามที่มาของเสียง เมื่อเห็นใบหน้าด้านข้างของหญิงสาวที่รวบผมหางม้าคนนั้น หัวใจฉันก็เหมือนถูกหยิกไปหนึ่งที

“ลุงเต๋อ รีบออกรถเถอะค่ะ” ฉันถอนสายตากลับมา จู่ๆ ก็รู้สึกหมดความสนใจ

 

หลังจากกลับมาถึงบ้าน ฉันเข้าห้องไปนอนโดยไม่สนใจเสียงเรียกของลุงเต๋อ

เหนื่อยสุดๆ เลย ฉันรู้สึกงัวเงียตลอดเวลา และฝันนู่นนี่มากมาย ดินแดนแห่งความฝันกับความเป็นจริงดูเหมือนจะเชื่อมต่อกัน…เหมือนกับว่าฉันย้อนกลับไปสมัยเด็ก ช่วงก่อนอายุหกขวบ ฉันไม่ใช่เจ้าหญิงคริสตัล แต่ยังเป็นหลินซิงเฉินลูกนอกสมรสอยู่

ส่วนคุณนายจูเลียเองก็ไม่ใช่เมียน้อยเศรษฐีที่แต่งตัวสวยหรูอย่างเช่นทุกวันนี้ เธอเป็นเพียงผู้หญิงโชคร้ายคนหนึ่งที่ถูกคุณชายผู้ร่ำรวยหลอกจนตั้งท้องคลอดลูกนอกสมรส ซ้ำยังถูกทิ้งขว้าง

เมื่อไม่มีวุฒิการศึกษาที่น่าเชื่อถือ แถมยังพ่วงด้วยตัวภาระอีกหนึ่ง แน่นอนว่าแม่หางานดีๆ ทำไม่ได้ คุณลุงคุณป้าที่ขายไก่ทอดอยู่ในซอยเล็กๆ เห็นพวกเราดูน่าสงสารจึงจ้างแม่ให้มาช่วยจัดการเรื่องวัตถุดิบอาหารและให้เงินเดือนเล็กๆ น้อยๆ กับแม่

บางครั้งคุณลุงคุณป้าก็ให้แม่ไปหาซื้อวัตถุดิบที่ตลาดสด แม่เดินนำหน้า เด็กตัวเล็กๆ อย่างฉันเดินตามไม่ทันแล้วก็มักจะเหยียบลงไปในแอ่งน้ำอยู่บ่อยๆ

แม่หันกลับมามองฉัน ใบหน้าเปี่ยมด้วยความปวดใจ แต่ปากกลับพูดว่า ‘รีบเดินหน่อย ถ้าสายจะไม่ได้ของราคาพิเศษ’

ดังนั้นตอนที่ยังไม่ได้เป็นเจ้าหญิงจริงๆ ไม่ว่าใต้ฝ่าเท้าจะเต็มไปด้วยโคลนแค่ไหน ฉันก็รู้จักที่จะรักษาท่วงท่าอันสง่างามเอาไว้โดยยืดอกเชิดหน้าและเดินตรงไปข้างหน้า

ที่ตลาดสดมีคนขายเนื้ออยู่คนหนึ่ง ลูกชายตัวอ้วนตุ้ยนุ้ยที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นของเขาถือโอกาสตอนที่แม่ฉันต่อราคากับพ่อเขา ชอบยื่นมือมันแผล็บออกมาแตะเนื้อต้องตัวฉันอยู่เรื่อย

แม่ฉันเห็นแต่ก็ไม่ห้ามอะไร เพราะเมื่อจ่ายเงินเสร็จคนขายเนื้อคนนั้นมักจะแอบยัดเงินเล็กๆ น้อยๆ ใส่ในมือแม่ แล้วบอกว่าการที่เธอต้องกระเตงลูกทำมาหากินไม่ใช่เรื่องง่าย

ตอนนั้นฉันกับแม่อาศัยอยู่ในห้องเก็บของเล็กๆ ซึ่งอยู่ชั้นบนของแผงขายไก่ทอด ส่วนที่ว่ามีข้าวของอะไรบ้างนั้นฉันจำไม่ได้แล้ว จำได้แค่ว่าฝนตกทีไรมีน้ำซึมลงมาทุกที แล้วก็มีกลิ่นเชื้อราคละคลุ้งกับกลิ่นเขม่าควันที่สะสมมาหลายปีของแผงขายไก่ทอด จนถึงตอนนี้ดูเหมือนว่ากลิ่นนั้นก็ยังคงติดอยู่ในโพรงจมูกฉันไม่หายไปไหน

จนกระทั่งดึกดื่นคืนหนึ่ง มีคนเคาะประตูห้องก๊อกๆๆ ทั้งแรงและเร็ว ราวกับว่าจะเร่งเอาชีวิตยังไงยังงั้น ฉันกอดแม่พลางตัวสั่นงันงก แยกไม่ออกว่าหิวหรือว่ากลัวกันแน่

แม่เดินไปเปิดประตู ส่วนฉันซ่อนอยู่ในผ้านวม ไม่กล้าโผล่หัวออกมา แค่ได้กลิ่นหอมจางๆ ซึ่งไม่ควรมีอยู่ในโลกอันยากจนข้นแค้นนี้ของเรา

จากนั้นแม่ก็กลับมาที่ผ้าห่ม ฉันรีบโผเข้าไปจับมือแม่ แต่กลับพบว่ามือคู่นั้นเย็นเฉียบและชุ่มเหงื่อ

‘ซิงเฉิน แม่พาลูกไปหาคุณพ่อดีมั้ย’

‘คุณพ่อ? ซิงเฉินก็มีคุณพ่อเหรอ’ ฉันมีสีหน้ามึนงง

‘มีสิ ซิงเฉินมีคุณพ่อ’ แม่พูดพึมพำราวกับว่ากำลังเล่านิทานที่เกิดขึ้นในที่ที่ไกลแสนไกล ‘คุณพ่อของซิงเฉินรวยมาก อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่มีสวนดอกไม้สวยๆ ที่บ้านคุณพ่อมีของกินอร่อยๆ เยอะแยะเลย แล้วก็ยังจะซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ให้ซิงเฉินอีกเพียบ…’

‘คุณพ่อเป็นพระราชาเหรอ ทำไมถึงมีเงินเยอะจัง’

‘อืม’

‘แล้วซิงเฉินใช่เจ้าหญิงตัวน้อยหรือเปล่า’

‘อืม ซิงเฉินเป็นเจ้าหญิงตัวน้อย เป็นเจ้าหญิงตัวน้อยของคุณพ่อ’ แม่พูดเสียงเบา ‘แล้วก็เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของทายาท ‘กลุ่มบริษัทดอลลี่’ ’

‘ดีค่ะ ซิงเฉินอยากไปหาคุณพ่อ’ พอได้ยินประโยคแรก ฉันก็ยิ้มมีความสุข

‘แต่ไปถึงบ้านคุณพ่อแล้วซิงเฉินจะอยู่กับแม่ไม่ได้ แล้วก็เรียกแม่ว่าแม่ไม่ได้ด้วยนะ…’ ใบหน้าของแม่แทบจะไม่มีความเศร้าเสียใจใดๆ บางทีอาจจะมี เพียงแต่ตอนนั้นฉันยังเด็กมากจึงดูไม่ออก

‘ทำไมถึงเรียกแม่ไม่ได้ล่ะ’

‘เพราะซิงเฉินจะมีแม่ใหม่คนสวย…’

‘แม่ใหม่? ซิงเฉินต้องอาศัยอยู่กับแม่ใหม่คนสวยเหรอ’ ฉันเอียงศีรษะและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ‘งั้นแม่ก็อยู่ด้วยกันกับเราก็ได้นี่นา! คุณครูบอกว่าเด็กๆ ทุกคนต้องอยู่กับพ่อแม่’

แม่ส่ายหัว ‘ไม่ได้หรอก แม่ไม่ได้แต่งงานกับคุณพ่อ’

‘ทำไมแม่ไม่ได้แต่งงานกับคุณพ่อ แม่ทะเลาะกับคุณพ่อเหรอ หรือว่าแม่ไม่ชอบคุณพ่อ’ ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกงุนงงยิ่งกว่าเดิม ‘แต่ว่าคุณลุงคุณป้าร้านไก่ทอดก็ทะเลาะกันทุกวันเหมือนกัน คุณป้าชอบด่าทอคุณลุงว่าหมูตอน หมูขึ้นอืด หมูน่ารังเกียจ แต่พวกเขาก็ยังคงอยู่ด้วยกันนี่นา!’

‘เราไม่ได้ทะเลาะกัน แล้วแม่ก็ไม่ได้ไม่ชอบคุณพ่อของซิงเฉิน…’ แม่นิ่งเงียบไปพักใหญ่ แล้วยื่นมือที่เต็มไปด้วยหนังด้านมานวดคลายรอยย่นเล็กๆ ตรงหว่างคิ้วของฉัน ‘คุณพ่อของซิงเฉินเป็นฝ่ายทิ้งพวกเราก่อน แล้วไปแต่งงานกับผู้หญิงอื่น…’

ฉันเหม่อมองเพดานในห้องที่ดูต่ำจนชวนให้รู้สึกกดดันเล็กน้อย ด้านบนมีคราบเชื้อราอยู่สามสี่ที่ มันดูเหมือนมีดอกกุหลาบสีดำบานอยู่เหนือศีรษะ ฉันมองไปมองมา พอมองนานๆ เข้าก็รู้สึกว่ามันสวยดี ฉันจึงบอกแม่ว่า…

‘ซิงเฉินไม่ต้องการแม่ใหม่ แล้วก็ไม่อยากเป็นเจ้าหญิงแล้วได้หรือเปล่า’

‘ไม่ได้’ แม่บอกว่าไม่ได้ และยังพูดว่า ‘ซิงเฉินจ๊ะ แม่เองก็อยากมีชีวิตที่สุขสบาย นี่เป็นสิ่งที่คุณพ่อติดค้างเราไว้ แล้วตอนนี้เขาก็อยากจะชดเชยให้…’

วันรุ่งขึ้นแม่จับฉันอาบน้ำแต่งตัวและพาฉันเข้าไปในคฤหาสน์สกุลหลิน แม่บอกฉันว่านี่คือคุณพ่อฉัน นี่คือภรรยาของคุณพ่อ ส่วนนี่คือคุณปู่กับคุณย่าฉัน นั่นคืออาผู้หญิงคนเล็กกับสามี แล้วนั่นก็อาผู้ชายคนเล็กกับภรรยา…

ทุกคนสวมเสื้อผ้าสวยงามแตกต่างกันไป แต่หน้าตากลับเคร่งขรึมเหมือนกันหมด คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเครือญาติที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับฉัน

ในที่สุดฉันก็ได้เจอกับพ่อบังเกิดเกล้าของตัวเอง แล้วก็ได้เจอกับผู้หญิงที่ฉันเรียกว่า ‘แม่ใหญ่’

แม้แต่ตัวอักษรภาษาอังกฤษยี่สิบหกตัวฉันก็ยังท่องไม่ได้ แต่ที่นั่นฉันได้เรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ยากมากคำหนึ่ง คำนั้นคือ Illegitimate child

‘Illegitimate child…’ แม่ใหญ่จับมือฉัน แล้วใช้นิ้วชี้ออกแรงเขียนลงบนฝ่ามือที่อ่อนนุ่มของฉันครั้งแล้วครั้งเล่า เล็บที่ทาน้ำยาทาเล็บสีแดงนั้นขูดขีดจนฉันรู้สึกเจ็บ เหมือนกับว่าจะกัดกินเข้าไปถึงเลือดถึงกระดูกฉัน แต่ฉันกลับไม่กล้าหดมือกลับ เมื่อฉันถามเธอว่าแปลว่าอะไร แม่ใหญ่ก็ยิ้มสวยสง่า ‘เธอจำไว้ก็พอ แล้วค่อยไปค้นพจนานุกรมเอาเองทีหลัง’

Illegitimate child ลูกนอกกฎหมาย หรือก็คือลูกนอกสมรสนั่นเอง

เพียงชั่วข้ามคืนฉันก็เปลี่ยนจากลูกนอกสมรสในตลาดสดกลายเป็นคุณหนูตระกูลเศรษฐีที่ใครๆ ต่างพากันอิจฉา

พวกเขาจัดงานเลี้ยงใหญ่โตต้อนรับฉัน ฉันสวมกระโปรงผ้าโปร่งสีชมพู ถูกจับแต่งตัวเหมือนเจ้าหญิงตัวน้อย แล้วก็ได้ดื่มได้กินอาหารกับขนมที่ชีวิตนี้ไม่เคยกินมาก่อน

เมื่องานเลี้ยงใกล้จะจบ ฉันถูกพาไปที่สวนดอกกุหลาบที่สวยงามแห่งหนึ่ง ดอกไม้ที่แน่นขนัดตัดสลับกันไปมาจนสุดสายตา แสงแดดแทบจะส่องลอดเข้ามาไม่ได้เลย แล้วบรรดาลูกพี่ลูกน้องทั้งฝั่งพ่อและฝั่งแม่ที่ฉันไม่รู้จักชื่อต่างก็เข้ามาห้อมล้อมฉัน พวกเขายื่นมือมาผลักฉันบ้าง ใช้นิ้วชี้จิ้มฉันบ้าง หัวเราะเยาะฉันบ้าง…

ที่แท้ ‘อดีต’ ที่เลวร้ายพวกนั้นก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม ไม่ว่าฉันอยากจะลืมสักแค่ไหนมันก็ยังคงฝังลึกอยู่ในก้นบึ้งหัวใจเหมือนเดิม

มือที่อยากลากฉันเข้าไปหลังบานประตูเหล็กที่ซอยมืดนั้น มือมันแผล็บของลูกชายคนขายเนื้อในตลาดสด แล้วก็ยังมีมือที่ไม่ประสงค์ดีเหล่านี้…มือทั้งหมดพันกันอีนุงตุงนัง ฉันแยกแยะไม่ออกว่ามือไหนชั่วร้ายกว่ามือไหน

บางทีมือเหล่านี้อาจล้วนมาจากขุมนรก แล้วมือทั้งหมดนี้ก็อยากจะลากฉันลงไปในอเวจีที่ลึกจนยากที่จะหยั่งถึง!

ในนิทาน เจ้าหญิงผู้มีจิตใจงดงามมักจะมีเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยให้รอดพ้นจากอันตราย แล้วในชีวิตจริงจะมีเจ้าชายมาช่วยฉันไหมนะ

ช่วย ‘เจ้าหญิงกำมะลอ’ อย่างฉัน

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

sangdow Marcom: