X
    Categories: ทดลองอ่านบันไดหยกงามมากกว่ารัก

ทดลองอ่านนิยาย บันไดหยกงาม บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 18

บทที่สี่

 

ไม่มีใครรู้ฮ่องเต้ทรงมีข้อคิดเห็นต่อบุคคลที่ได้รับเลือกเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ตั้งแต่เมื่อไร เป็นช่วงฤดูร้อนรัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สิบห้า ตอนจิ้นอ๋องแต่งบุตรสาวชุยหมิงหลี่ หัวหน้าสำนักตรวจสอบ เป็นพระชายา หรือตอนฤดูใบไม้ผลิปีถัดมา

ที่หร่านซวิ่น หัวหน้าสำนักราชเลขาธิการและที่ปรึกษาในองค์รัชทายาทล้มป่วยถึงแก่กรรม แต่ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย ในช่วงเวลาหนึ่งปีฮ่องเต้เริ่มมีความรู้สึกที่แตกต่างต่อท่าทีการแสดงออกของพระโอรสทั้งสองชัดเจนขึ้นทุกวัน

ไม่เพียงฮ่องเต้ เหล่าขุนนางทั้งหลายก็แอบวิพากษ์วิจารณ์ถึงสติปัญญาความสามารถของจิ้นอ๋องกับรัชทายาทกันอยู่ไม่น้อย ชื่อเสียงของจิ้นอ๋องเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว รัชทายาทกลับยังว่าไปตามเรื่องของตน กระทั่งกำเริบเสิบสานหนักขึ้น ถึงกับทำเรื่องเสียมารยาทต่อพระเชษฐาและเหล่าขุนนาง มาถึงวันนี้การประเมินค่าของคนทั้งสองแตกต่างกันมาก ที่แย่กว่านั้นก็คือในขณะที่รัชทายาทตกอยู่ในฐานะลำบาก หัวหน้าสำนักราชเลขาธิการหร่านซวิ่นกลับล้มป่วยถึงแก่กรรมลง

เดิมหัวหน้าสำนักราชเลขาธิการมีคุณธรรมบารมีสูง ทั้งแต่ไรมาก็คอยปกป้องรัชทายาท แม้คนทั่วไปจะมีคำถามต่อสติปัญญาความสามารถของรัชทายาท แต่ก็ไม่เหมาะจะแสดงออกมาอย่างเปิดเผย มาบัดนี้หร่านซวิ่นจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่เพียงบ้านเมืองต้องสูญเสียขุนนางดี ยังทำให้เหล่าผู้สนับสนุนจิ้นอ๋องไม่มีอะไรต้องหวั่นเกรงอีก ด้วยเหตุนี้หร่านซวิ่นเพิ่งจะลงฝัง ก็มีเจ้าหน้าที่แจ้งวินัยร้องเรียนว่ารัชทายาทแอบประดิษฐ์อาวุธขึ้นมาเล่น สุรุ่ยสุร่ายเกินไป

ถ้าเพียงแค่นั้นก็คงแค่เพิ่มความผิดของรัชทายาทขึ้นอีกกระทงหนึ่งท่ามกลางความผิดน้อยใหญ่ต่างๆ ในช่วงหลายปีมานี้ ทว่าหลังจากนั้นเพียงสองวัน เรื่องราวกับเลวร้ายลงทันที วันนั้นหลังเสร็จจากการประชุมขุนนางในช่วงเช้า ขุนนางทั้งหลายกินอาหารเช้าแล้วกำลังจะแยกย้ายกันไปตามสังกัดของตน พลันมีของสิ่งหนึ่งปลิวมากลางอากาศ และพุ่งมาถูกศีรษะขุนนางคนหนึ่ง ทุกคนเพียงได้ยินขุนนางผู้นั้นร้องด้วยความเจ็บปวด ตอนโอบล้อมเข้าไปดู ก็เห็นคนผู้นั้นเอามือข้างหนึ่งกุมหน้าผากที่มีโลหิตไหลอาบ มืออีกข้างหนึ่งคีบลูกกระสุนทองอยู่ลูกหนึ่ง เมื่อมองอย่างละเอียด คนผู้นั้นก็คือเจ้าหน้าที่แจ้งวินัยที่ทูลร้องเรียนเรื่องรัชทายาทฟุ่มเฟือยเมื่อวันก่อน

ขุนนางในราชสำนักถึงกับถูกลอบทำร้ายในวัง ย่อมก่อให้เกิดความสั่นสะเทือนไปทั้งราชสำนักและราษฎร ฮ่องเต้มีพระบัญชาให้ตรวจสอบอย่างถึงที่สุด ไม่นานก็ค้นได้หน้าไม้สองคันกับลูกกระสุนทองหลายถุงจากตำหนักเซ่าหยางที่พำนักของรัชทายาท เมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน ลูกกระสุนจากวังรัชทายาทกับลูกกระสุนที่ยิงมาถูกศีรษะเจ้าหน้าที่แจ้งวินัยเหมือนกันทุกอย่าง ลูกกระสุนนี้ทำขึ้นมาจากในวังโดยเฉพาะ คนอื่นยากจะทำเลียนแบบได้ คนในวังต่างก็ยืนยันว่ารัชทายาทมักใช้กระสุนชนิดนี้ยิงนกบนต้นไม้

ครั้งนี้ไม่เพียงฮ่องเต้จะพิโรธ ในราชสำนักยิ่งวิพากษ์วิจารณ์กันวุ่นวาย กราบทูลเสนอข้อคิดเห็นเป็นหน้าที่ของขุนนางฝ่ายตรวจสอบ รัชทายาทไม่รับฟังก็แล้วไปเถิด ถึงกับยังตอบโต้หลังมีคนกราบทูล เห็นชัดว่าคนผู้นี้อุปนิสัยใช้ไม่ได้ เมื่อคิดถึงว่าโอรสสวรรค์ที่จะต้องบริหารราชการแผ่นดินต่อไปในวันข้างหน้าเป็นคนเช่นนี้ เหล่าขุนนางต่างก็อดจะร้อนรนใจไม่ได้ เมื่อเปรียบกับรัชทายาทที่โง่เขลาชั่วร้ายแล้ว จิ้นอ๋องกลับไม่ถือยศถือศักดิ์ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างมีมารยาท บุคลิกลักษณะไม่ธรรมดา ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้คนอยากฝากความหวังไว้

แต่การจะเปลี่ยนรัชทายาทไม่ใช่เรื่องง่าย

ถึงความประพฤติและคุณธรรมของจิ้นอ๋องจะคู่ควรแก่การยกย่องก็ตาม แต่จะอย่างไรเขาก็เป็นเพียงโอรสที่เกิดจากพระชายา ปลดโอรสของฮองเฮาแต่งตั้งโอรสของพระชายาเดิมก็ผิดต่อราชประเพณีอยู่แล้ว ทั้งฮ่องเต้องค์ปัจจุบันตอนนั้นก็บีบบังคับให้อดีตฮ่องเต้สละราชสมบัติ สาเหตุก็เพราะอดีตฮ่องเต้มีพระดำริจะถอดถอนรัชทายาท ด้วยเหตุนี้แม้เหล่าขุนนางจะเคียดแค้นชิงชังรัชทายาทที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่กลับไม่มีใครกล้าก้าวข้ามแม่น้ำหงโกว* สายนี้ ทูลเสนอแนะให้ฮ่องเต้เปลี่ยนมาแต่งตั้งจิ้นอ๋องแทน กลับไปปล่อยข่าวลือขึ้นในวังก่อน บอกว่าฝ่าบาทเคยตรัสเป็นการส่วนพระองค์เรื่องเปลี่ยนรัชทายาท

* ในสมัยโบราณแคว้นฉู่กับแคว้นฮั่นสู้รบกัน โดยมีแม่น้ำหงโกวเป็นเส้นแบ่งแดนของทัพทั้งสอง ต่อมาจึงเกิดสำนวนที่หมายถึงการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจนตามมาหลายสำนวน

ข่าวลือยิ่งพูดก็ยิ่งขยายวงกว้างขึ้น ในที่สุดก็มีขุนนางในราชสำนักรวบรวมความกล้ายื่นสารกราบทูล ขอให้ทรงแต่งตั้งผู้มีคุณธรรมปัญญาเป็นรัชทายาท ถ้าเป็นช่วงปกติ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรื่องนี้จะเป็นการล่วงละเมิดข้อห้ามของฮ่องเต้และต้องถูกตำหนิอย่างหนัก แต่การยื่นสารกราบทูลในครั้งนี้ ฮ่องเต้กลับชะลอเรื่องไว้ไม่ได้แทงหนังสือตอบกลับมาในทันที

เรื่องต้องห้ามถูกละเมิดกลับไม่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่โต เรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นถึงท่าทีของฮ่องเต้ เรื่องถอดถอนแต่งตั้งมีลางบอกเหตุชัดเจนเช่นนี้แล้ว ตำหนักฝ่ายในย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สังเกตเห็น ไม่นานคนในวังก็ได้เห็นสตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งสวมชุดสีขาวไร้เครื่องประดับนั่งหมอบกราบอยู่หน้าตำหนักที่ประทับของไท่ซั่งหวงในวังตะวันตก

เวลานี้แม้จะอยู่ในช่วงเดือนที่สองของฤดูใบไม้ผลิ แต่ตกกลางคืนก็ยังคงหนาวเย็น คนในวังที่เดินผ่านไปมาเห็นเงาร่างนี้แล้วต่างอดรู้สึกเวทนาสงสารไม่ได้ ต้องแอบทอดถอนใจให้กับนาง

สตรีผู้นี้มาหมอบกราบอยู่หน้าตำหนักไท่ซั่งหวงทุกวัน ยืนหยัดมาแล้วสี่วัน นางกำนัลชั้นสูงตู้ซื่อจึงได้เดินออกมาจากในตำหนัก กล่าวกับนางว่า “ไท่ซั่งหวงเชิญเข้าพบ”

สตรีผู้นี้เงยหน้าขึ้น นางคือฮองเฮาอย่างไม่ต้องสงสัย พอได้ยินว่าในที่สุดไท่ซั่งหวงก็ยอมพบตน ฮองเฮาจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ลุกขึ้นตามตู้ซื่อเข้าไปในตำหนัก

ไท่ซั่งหวงหลี่เหยียนชิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนตั่ง มือขวาวางอยู่บนที่เท้าแขน มองฮองเฮากราบคารวะตนด้วยแววตาเฉยเมย

“หลังจากอาเนี่ยนตาย นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าเป็นฝ่ายมาหาข้าที่นี่กระมัง” ผ่านไปครู่ใหญ่ ไท่ซั่งหวงจึงตรัสขึ้นช้าๆ

อาเนี่ยนคือชื่อเล่นของหลี่เฉิงเฟิง พระโอรสองค์โตที่เสียชีวิตไปแล้วของฮองเฮา

ฮองเฮาก้มหน้าอยู่นาน แล้วจึงตอบคำ “สะใภ้อกตัญญู ไท่ซั่งหวงโปรดลงโทษ”

“เรื่องนี้ไม่ตำหนิเจ้า เป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของข้าในตอนนั้น ไม่ได้คุ้มครองอาเนี่ยนให้ดี” ไท่ซั่งหวงพริ้มตาตรัส “ข้ารู้หลายปีมานี้เจ้าแค้นข้ามาตลอด หากไม่ใช่เพราะเฉิงเพ่ย น่ากลัวว่าจนตายเจ้าก็คงไม่ย่างเท้ามาที่นี่”

“หลายปีมานี้ที่สะใภ้ละเลยต่อไท่ซั่งหวง เพราะไม่มีหน้าจะมาที่นี่” ฮองเฮาหมอบลงกับพื้น “ทว่าเวลานี้รัชทายาทตกอยู่ในอันตรายล่อแหลม แต่ไรมาไท่ซั่งหวงทรงรักและเอ็นดูรัชทายาท สะใภ้ใคร่จะขอวิงวอนให้ไท่ซั่งหวงทรงเมตตาช่วยเหลือ”

ไท่ซั่งหวงตรัสตอบทันที “เรื่องนี้ข้าได้ข่าวแล้ว ยาก ยากมาก!”

ฮองเฮาคลานเข่าเข้าไปสองก้าว ร้องเรียกทั้งน้ำตา “อาเวิง”

เพียงร้องเรียกเบาๆ คำหนึ่ง กลับทำให้ไท่ซั่งหวงมีสีหน้าซาบซึ้งพระทัย

ตอนนั้นความสัมพันธ์ของพระองค์กับพระโอรสองค์โตหาได้ใกล้ชิดสนิทสนมกัน ล้วนอาศัยสะใภ้ที่มาจากครอบครัวที่มีชื่อเสียงและบารมีผู้นี้พยายามเชื่อมความสัมพันธ์อย่างเต็มที่ ตอนนั้นที่พระองค์หน่วงเหนี่ยวเรื่องเปลี่ยนรัชทายาทถ่วงเวลาแล้วถ่วงเวลาอีก นอกจากเป็นกังวลเรื่องที่รัชทายาทไม่มีความผิดแล้ว ก็ยังเพราะชายารัชทายาทมีความนอบน้อมกตัญญู เป็นเหตุให้พระองค์ไม่อาจตัดพระทัยทำได้ลง

ตอนนั้นชายารัชทายาทมักพาหลี่เฉิงเฟิงมาปรนนิบัติแสดงความกตัญญูต่อพระองค์เสมอ อาศัยโอกาสนั้นมาอุดรอยร้าวระหว่างพระองค์สองพ่อลูก เห็นสะใภ้และหลานชายคนโต พระองค์ก็อดพระทัยอ่อนไม่ได้ พอจะอดทนอดกลั้นต่อสิ่งที่พระโอรสทำไม่ได้ดังใจไปได้บ้าง แต่แล้วนึกไม่ถึงว่าหลานชายคนโตจะตายจากไปในสนามรบ แม้สะใภ้จะไม่ได้เอ่ยคำพูดแค้นเคือง แต่ก็ไม่ยอมมาพบพระองค์อีกเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความใกล้ชิดสนิทสนมเช่นคนในครอบครัวแล้ว พระองค์เข้าพระทัยดี สะใภ้โทษพระองค์แล้ว วันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะลูกชายคนเล็ก นางย่อมไม่มีทางจะวางเกียรติภูมิของความเป็นมารดาของแผ่นดินลงและมาวิงวอนขอร้องพระองค์

พอคิดถึงเรื่องในอดีต ไท่ซั่งหวงรู้สึกสับสนว้าวุ่นใจขึ้นมา สุดท้ายกลับทอดถอนหายใจยาวออกมาคราหนึ่ง “ไม่ใช่ข้าไม่อยากช่วยรัชทายาท แต่เพราะไม่อาจช่วย”

ฮองเฮาน้ำตาไหลอาบหน้า หมอบกราบลงอีกครั้ง “หม่อมฉันมีฐานะสูงสุดในตำหนักฝ่ายใน แต่ไม่เคยก้าวก่ายราชกิจ และไม่เคยโอบอุ้มพวกพ้องญาติมิตรคนใด รัชทายาทตกอยู่ในอันตราย หม่อมฉันทำได้เพียงวิงวอนขอความเมตตาจากอาเวิง ช่วยปกป้องรัชทายาทด้วย ขออาเวิงได้โปรดช่วยรัชทายาทด้วยเถิดเพคะ”

ไท่ซั่งหวงโน้มพระวรกายไปข้างหน้าเล็กน้อย ตรัสกับฮองเฮาช้าๆ “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ชอบเฉิงเพ่ย ข้าก็ไม่กลัวที่จะบอกเจ้าตามความเป็นจริง รัชทายาทในฐานะผู้สืบทอดราชบัลลังก์ แม้จะมีข้อบกพร่อง แต่ถ้ามีคนที่เหมาะสมคอยโน้มนำ ก็ไม่แน่ว่าจะไม่สามารถเป็นฮ่องเต้ที่รักษาบ้านเมืองของบรรพบุรุษไว้ได้ แต่เรื่องมาถึงวันนี้ ชื่อเสียงและบารมีของรัชทายาทไม่เหลือแล้ว เหล่าขุนนางคั่งแค้นยิ่ง ถ้าระหว่างพี่น้องเกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้นอีกย่อมไม่ส่งผลดีต่อใต้หล้า ฮองเฮา เจ้าเข้าใจความหมายของข้าหรือไม่”

ฮองเฮาเงยหน้าขึ้นช้าๆ “ขออาเวิงได้โปรดให้ความกระจ่าง”

ไท่ซั่งหวงตรัสอย่างเน้นย้ำทีละคำ “ฮองเฮามีหัวอกของคนเป็นแม่ ข้าเข้าใจและเห็นใจ แต่ฮองเฮาก็ต้องอย่าลืมว่าเจ้าไม่เพียงเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดรัชทายาท แต่ยังเป็นมารดาของแผ่นดิน ย่อมต้องเห็นแก่ส่วนรวมเป็นสำคัญ”

คำพูดนี้สำหรับฮองเฮาแล้วไม่ต่างอะไรกับฟ้าผ่าลงมากลางวันแสกๆ ไท่ซั่งหวงเป็นความหวังสุดท้ายของนาง หากพระองค์ไม่ยอมช่วย บทลงเอยของรัชทายาทจะเป็นเช่นไรก็พอคาดเดาได้ นางในฐานะมารดาย่อมไม่ยอมวางมือแต่เพียงเท่านี้ จึงได้แต่คุกเข่าอยู่กับพื้นน้ำตาไหลรินไม่หยุด

ไท่ซั่งหวงมีหรือจะไม่รู้ถึงจิตใจของนาง จึงทอดถอนพระทัยแล้วเอ่ยเตือน “เรื่องนี้คงต้องให้ฮ่องเต้เป็นผู้ตัดสินใจ เขาเป็นประมุขของบ้านเมือง ใครก็ไม่อาจตัดสินใจแทนเขาได้”

ไท่ซั่งหวงตรัสชัดเจนเช่นนี้ ฮองเฮาทราบดีว่าไม่มีทางแล้ว นางกราบคารวะไท่ซั่งหวงเงียบๆ แล้วล่าถอยออกไป

“ฮองเฮา” ไท่ซั่งหวงพลันร้องเรียกขึ้น “เจ้าเคยคิดหรือไม่ ไม่เป็นรัชทายาท บางทีอาจจะเป็นเรื่องดีสำหรับหลี่เฉิงเพ่ย”

ฮองเฮาหมุนตัวกลับมาอย่างลังเล ก้มหน้าไม่พูดอะไร

ไท่ซั่งหวงตรัสต่อไป “เป็นประมุขของใต้หล้า บนบ่าก็จะมีภาระที่หนักอึ้ง รัชทายาทมีจิตใจบริสุทธิ์ดีงาม ทว่าไร้เดียงสาเกินไป หากเขาเป็นฮ่องเต้ ย่อมต้องสละทิ้งข้อดีของเขาไป ไม่อาจเป็นฮ่องเต้แม้จะน่าเสียดาย แต่นับแต่นี้เขาอาจสามารถวางภาระเหล่านี้ลง ไม่แน่อาจจะเป็นเรื่องดีต่อเฉิงเพ่ยก็ได้”

ฮองเฮาร่างสะท้านเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองไท่ซั่งหวงอย่างพินิจพิเคราะห์

ไท่ซั่งหวงไม่สะทกสะท้านต่ออากัปกิริยาที่ออกจะเสียมารยาทของฮองเฮา กลับมองนางด้วยแววตาอ่อนโยน

ผ่านไปครู่ใหญ่ ฮองเฮาทำความเคารพไท่ซั่งหวงอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง

“ฮองเฮา นี่หมายความว่าอย่างไร” ไท่ซั่งหวงยื่นมือมาทำท่าจะพยุงให้ลุกขึ้น

“หม่อมฉันไม่ดึงดันให้เฉิงเพ่ยเป็นรัชทายาทก็ได้เพคะ” ฮองเฮากล่าวตรงไปตรงมา “แต่เวลานี้หม่อมฉันเหลือบุตรชายเพียงคนเดียว ไม่อาจทนเห็นเขาก้าวไปสู่ความตายได้ ถ้าเฉิงเพ่ยถูกปลดจริง ไท่ซั่งหวงทรงช่วยรักษาชีวิตเขาไว้จะได้หรือไม่”

ไท่ซั่งหวงไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงตรัสขึ้น “ฮองเฮาเป็นทุกข์มาหลายวัน คงจะเหน็ดเหนื่อยแล้ว กลับไปก่อนเถิด เอาคำพูดของข้าบอกกับรัชทายาท บอกเขาอย่าเที่ยวคิดอะไรเหลวไหล”

ฮองเฮาไม่ได้รับการตอบรับ ทำท่าคล้ายจะพูดอะไรอีก แต่ไท่ซั่งหวงไม่ต้องการจะพูดคุยต่อ พลิกตัวเข้าด้านในตั่ง ฮองเฮาอับจนปัญญา หลังจากนั่งเฝ้าอยู่ครู่หนึ่งก็ออกไปด้วยความผิดหวัง

ตู้ซื่อเห็นฮองเฮาก้าวออกมาก็ก้าวเข้าไปทำความเคารพ แล้วส่งนางออกจากประตูวัง หลังเห็นฮองเฮาเสด็จเข้าไปในวังกลางกับตาตนเองแล้วจึงกลับมาที่วังของไท่ซั่งหวง

ไท่ซั่งหวงเพียงแสร้งหลับ รอฮองเฮาจากไปแล้วก็ทรงลุกขึ้นมานั่ง ยามนี้กำลังเหม่อมองเปลวเทียนในตำหนักอย่างใจลอย พอทรงเห็นตู้ซื่อเข้ามา ไท่ซั่งหวงก็ทอดถอนพระทัยเบาๆ แล้วตรัสถาม “ฮองเฮาไปแล้วหรือ”

ตู้ซื่อผงกศีรษะก่อนเอ่ยขึ้น “วังกลางทรงอกสั่นขวัญหายเพียงนั้น หม่อมฉันอดสงสารไม่ได้”

ไท่ซั่งหวงตรัสตอบ “แล้วเจ้าคิดว่าข้าสบายใจหรือ แต่ในเมื่อเป็นคนในราชวงศ์ ก็ควรเห็นแก่ใต้หล้าเป็นสำคัญ อาตู้ เจ้าเข้าใจความหมายของข้าหรือไม่”

ตู้ซื่อทูลตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ความตั้งใจดีของไท่ซั่งหวง หม่อมฉันเข้าใจทั้งหมดเพคะ ทว่า…ไท่ซั่งหวงก็ทรงเห็นรัชทายาทเติบโตมา ไท่ซั่งหวงจะแข็งพระทัยได้จริงหรือเพคะ”

ไท่ซั่งหวงทอดถอนพระทัย “ข้าเคยแข็งใจได้หรือ หรือเฉิงเพ่ยไม่ใช่หลานของข้า” ไท่ซั่งหวงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วตรัสกับตู้ซื่อ “พรุ่งนี้ไปเชิญฮ่องเต้กับเฉิงฮ่วนมา ข้ามีคำพูดจะพูด”

ตู้ซื่อมีท่าทีดีใจ ดูเหมือนไท่ซั่งหวงยังมีพระทัยจะปกป้องหลี่เฉิงเพ่ย เพียงแต่ไม่มั่นใจนักจึงไม่กล้ารับปากฮองเฮา แต่ตู้ซื่อรู้ถึงความสามารถของไท่ซั่งหวงดี พระองค์อาจไม่สามารถทำให้หลี่เฉิงเพ่ยอยู่ในตำแหน่งรัชทายาทต่อไปได้ แต่เรื่องรักษาชีวิตของเขาเอาไว้อาจมีทางเป็นไปได้ ในที่สุดคำวิงวอนของฮองเฮาก็ไม่สูญเปล่าแล้ว

ฮองเฮากลับไม่ได้ทรงมองโลกในแง่ดีเหมือนตู้ซื่อ ตอนเสด็จกลับมาถึงวังกลาง ฉีซู่กับหร่านเซียงพานางกำนัลในตำหนักมาเฝ้ารออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นฮองเฮาทรงมีท่าทีเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า ฉีซู่กับหร่านเซียงก็รีบกุลีกุจอเข้ามา คนหนึ่งอยู่ซ้ายคนหนึ่งอยู่ขวาเข้ามาพยุงฮองเฮาเข้าตำหนัก

หลังจากเข้ามาในตำหนัก หร่านเซียงก็สั่งนางกำนัลให้ไปเอาน้ำร้อนและพระภูษามา ก่อนที่ฉีซู่จะเข้าไปช่วยเปลี่ยนพระภูษาให้ฮองเฮาด้วยตนเอง

ช่วงระหว่างนี้ฮองเฮาทรงนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา ปล่อยให้พวกนางปรนนิบัติไป หลังจากทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ฉีซู่ก็ขยิบตาให้หร่านเซียง หร่านเซียงเข้าใจความหมายและพาเหล่านางกำนัลล่าถอยออกไป

“พระมารดา” ฉีซู่เอ่ยถามเสียงแผ่ว “ไท่ซั่งหวงทรงรับปากจะช่วยพูดให้รัชทายาทหรือไม่เพคะ”

ฮองเฮาไม่ทรงตอบ แต่น้ำตากลับรินไหลลงมาไม่ขาดสาย

ฉีซู่เห็นท่าทางของฮองเฮาก็อดตื่นตระหนกตกใจไม่ได้ “ไท่ซั่งหวงทรงรักใคร่โปรดปรานรัชทายาทถึงเพียงนั้น กลับไม่ทรงยอมช่วยเหลือ”

ฮองเฮาโบกมือไม่ให้นางพูดต่อ ผ่านไปครู่หนึ่งฮองเฮาจึงทรงเช็ดน้ำตาตรัสเสียงแผ่ว “เรื่องมาถึงขั้นนี้ ก็แล้วแต่ฟ้าลิขิตเถิด”

ฉีซู่อดผิดหวังไม่ได้ ฟ้าลิขิตหรือ จิ้นอ๋องมาอย่างองอาจเหิมเกริม ใครจะรับรองได้ว่าฟ้าลิขิตจะอยู่ข้างรัชทายาท

ความวิตกกังวลของนางไม่นานก็กลายเป็นความจริง

คล้ายฮ่องเต้ตัดสินพระทัยแน่วแน่แล้ว เพิ่งย่างเข้าฤดูร้อนพระองค์ก็ทรงมีราชโองการปลดหลี่เฉิงเพ่ยออกจากตำแหน่งรัชทายาท ลดขั้นลงมาเป็นผิงเอินอ๋อง ย้ายไปอยู่หย่งโจว จิ้นอ๋องมีคุณธรรมเหมาะสมที่จะเป็นรัชทายาท ย้ายเข้าพำนักในวังตะวันออก

 

วันที่มีราชโองการเปลี่ยนรัชทายาท ในเมืองหลวงเมฆดำแผ่กระจายมืดครึ้มไปหมด คล้ายพายุฝนกำลังจะมา

ฉีซู่ได้ยินข่าวรัชทายาทถูกถอดถอน เพียงรู้สึกจุดไท่หยาง* เต้นตุบๆ ไม่อาจมัวมาคำนึงถึงคำอบรมสั่งสอนเรื่องความเป็นกุลสตรี ยกชายกระโปรงขึ้นได้ก็วิ่งตะบึงไปตำหนักเซ่าหยางทันที

ระหว่างทางเพียงเห็นก้อนเมฆดำทะมึนพัดม้วน ได้ยินเสียงฟ้าร้องคำราม ทำให้คนอึดอัดหายใจไม่ออก

ฉีซู่วิ่งกระหืดกระหอบมาถึงวังตะวันออก เห็นประตูตำหนักเซ่าหยางเปิดกว้าง วังตะวันออกที่ปกติเฝ้าระวังป้องกันแน่นหนา มีองครักษ์อยู่จำนวนมาก วันนี้กลับว่างเปล่าไม่มีคนอยู่สักคน ฉีซู่พยายามควบคุมลมหายใจที่สับสนของตน ยกเท้าก้าวเข้าไปในตำหนักเซ่าหยาง

เพิ่งจะเข้ามาในตำหนักก็เห็นสิ่งของปลิวมาตกกระแทกลงที่ข้างเท้าฉีซู่พอดี เป็นแท่นเทียนเงินอันหนึ่ง

“ไสหัวไป!” สิ่งที่ตามมาหลังแท่นเทียนร่วงลงสู่พื้น คือเสียงตวาดกราดเกรี้ยวดังมาจากด้านในของตำหนัก

นี่เป็นเสียงของหลี่เฉิงเพ่ย

ในตำหนักยังไม่ได้จุดโคมไฟดูมืดสลัว ฉีซู่ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งจึงหาตำแหน่งที่หลี่เฉิงเพ่ยอยู่พบ เขาหันหลังออกนอกตำหนัก นั่งซึมเซาอยู่ที่โต๊ะหนังสือ ในตำหนักมีแต่ข้าวของแตกหักเสียหายตกเรี่ยราด ฉีซู่เดินเข้าไปช้าๆ พูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “รัชทายาท ข้าเอง”

หลี่เฉิงเพ่ยไม่ได้หันมา เพียงหัวเราะเยาะหยันออกมาคำหนึ่ง “ยังจะเรียกข้ารัชทายาท ข้าไม่ใช่แล้ว!” เขาหัวเราะบ้าคลั่งขึ้นมา “ไม่ใช่แล้ว! ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว!”

“รัชทายาท อย่าทำเช่นนี้!” ฉีซู่คุกเข่าอยู่ข้างหลังเขาพลางร้องเรียก

จู่ๆ หลี่เฉิงเพ่ยก็หันมา มือขวาบีบไปที่ลำคอฉีซู่ ดันนางไปที่ด้านหน้าเสาพลางตวาดเสียงลั่น “พวกเขาต่างไปกันหมดแล้ว เจ้ายังจะมาทำอะไร หา เจ้ามาทำอะไร”

ฉีซู่ถูกเขาบีบคอ เริ่มรู้สึกหายใจติดขัด แล้วก็เห็นนัยน์ตาทั้งสองของเขาแดงฉาน มีท่าทีใกล้จะคลุ้มคลั่ง ในใจรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาเป็นริ้วๆ อดไม่ได้ที่จะมองหน้าเขาแล้วหลั่งน้ำตาเงียบๆ

หลี่เฉิงเพ่ยคล้ายถูกสีหน้าท่าทางของนางทิ่มแทงจนเจ็บปวดแล้ว เขาสะบัดนางออก ตะโกนออกไปทางนอกตำหนัก “พวกเจ้าต่างไม่เชื่อข้า! ไม่เชื่อข้า!”

ฉีซู่โถมตัวเข้ากอดเขา ร้องไห้พลางว่า “ข้าเชื่อ! เชื่อมาโดยตลอด!”

ขอบฟ้ามีสายฟ้าแลบผ่าน มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นราวกับอยู่ข้างหู

ร่างของหลี่เฉิงเพ่ยแข็งทื่อ คล้ายถูกอะไรบังคับควบคุมเอาไว้ในทันทีทันใด ผ่านไปพักใหญ่เขาก็สงบนิ่งลง ยิ้มอย่างฝาดฝืน “เจ้าเชื่อข้า เพราะอะไร เพราะอะไรเจ้าจึงยังเชื่อข้า”

น้ำเสียงของเขาแผ่วต่ำไร้พลัง แต่กลับคืนสู่ความมีสติสัมปชัญญะแล้ว

ฉีซู่หยัดร่างขึ้น พักหนึ่งจึงเอ่ยเสียงต่ำ “ข้ารู้ท่านไม่ใช่คนเช่นนั้น ข้า…ข้าชอบท่าน”

หลี่เฉิงเพ่ยร่างสะท้านไหว คล้ายไม่อยากเชื่อ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยถาม “เจ้าพูดอะไร เจ้า…พูดใหม่อีกทีซิ”

* จุดไท่หยาง คือจุดชีพจรบริเวณขมับทั้งสองข้าง

คำพูดที่ไม่เคยเอ่ยจากปาก เวลานี้กลับพูดได้อย่างคล่องแคล่ว คล้ายพันติดอยู่ปลายลิ้นมาหลายร้อยหลายพันครั้งนานแล้ว “ข้าชอบท่าน ชอบมาโดยตลอด”

 

หลังเสียงฟ้าคำราม ในที่สุดฝนก็ตกลงมา

เม็ดฝนดุจเมล็ดถั่วแตกกระจาย สาดลงมาใส่หลังคาวังตะวันออกถี่ยิบ เสียงเปาะแปะๆ ดังไม่หยุด เม็ดฝนไหลลงมาจากชายคา มองจากในตำหนักออกไป คล้ายฉากบังลมธรรมชาติฉากหนึ่ง

หลี่เฉิงเพ่ยกับฉีซู่นั่งเคียงข้างกันอยู่ในตำหนัก มองม่านน้ำฝนหน้าตำหนักอยู่เงียบๆ

“ซู่ซู่ ข้าไม่ใช่รัชทายาทอีกแล้ว” ขณะนี้เวลานี้ หลี่เฉิงเพ่ยถึงกับออกจะขลาดๆ “เจ้ายังจะชอบข้าหรือไม่”

ฉีซู่พยักหน้า “ที่ข้าชอบคือท่าน ไม่ว่าท่านจะเป็นรัชทายาทหรือไม่”

“อย่าเรียกข้ารัชทายาทอีกเลย”

“เพคะ ท่านอ๋อง” ฉีซู่เปลี่ยนคำเรียกหาอย่างเชื่อฟัง

“เจ้าชอบข้าได้อย่างไรกัน” หลี่เฉิงเพ่ยรู้สึกนึกไม่ถึง “ทุกคนต่างเห็นข้าเป็นคนเลว เหตุใดเจ้ายังจะมาชอบข้า”

ฉีซู่นิ่งคิด แล้วสั่นศีรษะ “ข้าไม่รู้ ข้ารู้เพียงข้าชอบท่านอ๋อง”

“เจ้าเป็นตัวโง่งมอย่างแท้จริง!” หลี่เฉิงเพ่ยหัวเราะออกมาคำหนึ่ง ใช้สายตาอ่อนโยนมองนาง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพึมพำขึ้น “แปลกจริง เพราะอะไรข้าจึงไม่รู้เลยว่าเจ้าชอบข้า”

ฉีซู่เอ่ยเสียงกระซิบ “ข้ารู้ เพราะข้าหน้าตาไม่สะสวย ท่านอ๋องจึงไม่เคยมองข้า”

“ไม่ถูก” หลี่เฉิงเพ่ยกล่าวเสียงดัง “เพราะพระมารดาให้ข้าเห็นเจ้าเป็นน้องสาว ดังนั้นข้าจึงไม่มีความคิดเช่นนั้น”

“ไม่ใช่ เป็นเพราะข้าไม่สะสวย”

“ไม่ใช่ๆ เป็นเพราะเมื่อก่อนข้าเห็นเจ้าเป็นน้องสาวมาโดยตลอด!”

“แต่ไรมาท่านอ๋องไม่เคยเห็นนางกำนัลที่หน้าตางดงามเป็นน้องสาว”

“พวกนางเดิมก็ไม่ใช่น้องสาวของข้าอยู่แล้ว”

“นั่นเพราะพวกนางหน้าตางดงาม”

“ข้าเป็นคนมองอะไรตื้นเขินถึงเพียงนั้นหรือ”

“ใช่ ท่านเป็น”

“ไม่ ข้าไม่ได้เป็น!”

ทั้งสองโต้เถียงกันขึ้นมา ต่างไม่ยอมอ่อนข้อ มองจ้องหน้ากันอยู่พักใหญ่จึงตระหนักว่าคำพูดของตนไร้เดียงสาเพียงใด ก็อดที่จะหัวเราะออกมาพร้อมกันไม่ได้

หลี่เฉิงเพ่ยเอ่ย “ช่างมันเถิด เวลานี้ข้าชอบเจ้าก็พอแล้ว”

ฉีซู่ไม่เอ่ยวาจา เพียงขยับร่างเข้าไปแนบชิดเขาเงียบๆ

หลี่เฉิงเพ่ยยื่นมือให้นาง ฉีซู่วางมือของตนลงบนฝ่ามือของเขา หลี่เฉิงเพ่ยกุมมือนางไว้ ลูบไล้ไปมา ด้านนอกลมฝนโหมกระหน่ำ แต่กลับถูกคนสองคนที่อยู่ในตำหนักมองข้ามไปอย่างสิ้นเชิง ในสายตาของพวกเขา ห้วงเวลานี้ได้กลายเป็นห้วงเวลาที่อบอุ่นที่สุดในชีวิตแล้ว

“ซู่ซู่” หลี่เฉิงเพ่ยพูดด้วยท่าทางลังเล “พระบิดาจะให้ข้าไปหย่งโจว เจ้า…เจ้ายินดีจะไปกับข้าหรือไม่”

ฉีซู่ซุกตัวอิงแอบอยู่ข้างกายเขา บอกอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “ท่านอ๋องไปที่ใด ฉีซู่ก็จะไปที่นั่น”

หลี่เฉิงเพ่ยรวบตัวนางเข้ามากอดอยู่ในอ้อมอก จุมพิตไปที่ใบหน้านางเร็วๆ หนึ่งครั้ง “เช่นนั้นก็ตกลงแน่นอนแล้ว พอฝนหยุดเราก็ไปเฝ้าพระมารดา ใครกลับคำคนนั้นเป็นลูกหมา!”

ฉีซู่ถูกการกระทำอย่างฉับพลันกะทันหันของเขาทำให้ตกใจ พอได้สติกลับคืนมาก็ขวยอายหน้าแดงฉานไปทั้งหน้า แต่หลี่เฉิงเพ่ยกลับหัวเราะชอบใจ ความหงอยเหงาเศร้าซึมก่อนหน้านี้เลือนหายไปหมดสิ้น

 

ฝนในฤดูร้อนมาเร็วไปเร็วยิ่ง พอพลบค่ำฝนก็หยุดตก ทิ้งไว้เพียงความชื้นที่สดชื่นเย็นสบายและเม็ดฝนที่ร่วงหล่นจากใบไม้ในลานดังเปาะแปะ หลี่เฉิงเพ่ยกับฉีซู่จับมือกันนั่งคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักฮองเฮา

หลังเวลาผ่านไปนานโข ฮองเฮาจึงเสด็จออกมานอกตำหนักโดยมีหร่านเซียงช่วยพยุง ก่อนประทับยืนบนแท่นบันไดหินจ้องมองชายหญิงคู่หนึ่งที่อยู่ตรงหน้า ทรงพอจะคาดเดาได้ถึงจุดประสงค์ในการมาของคนทั้งสอง ผ่านไปครู่หนึ่งฮองเฮาทรงก้าวลงจากขั้นบันไดช้าๆ แล้วตรัสกับฉีซู่ “ฉีซู่ เขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของข้า เจ้ายินดีติดตามเขา เป็นวาสนาของเขาและของข้าด้วย แต่เจ้าก็เป็นลูกของข้าเช่นกัน ข้าไม่ปรารถนาให้เจ้าต้องโชคร้ายเพราะเรื่องนี้เป็นเหตุ เจ้าต้องคิดให้ดี อย่าทำลายอนาคตของตนเองเพราะเห็นใจเราสองแม่ลูก”

ฉีซู่หันไปมองหลี่เฉิงเพ่ยแวบหนึ่ง แล้วหมอบกราบลง “ฉีซู่คิดดีแล้วเพคะ พระมารดาโปรดช่วยให้เราสมปรารถนาด้วย”

หลี่เฉิงเพ่ยก็หมอบกราบลงกับพื้นตามไปด้วย “พระมารดาโปรดช่วยให้เราสมปรารถนาด้วย”

พักใหญ่จึงมีคำพูดเจือเสียงทอดถอนใจดังขึ้นเหนือศีรษะคนทั้งสอง “ตกลง ข้าจะส่งเสริมพวกเจ้า”

ทว่าเรื่องนี้กลับถูกคัดค้านอย่างรุนแรงจากฮ่องเต้

ไม่รอให้ฮองเฮาได้บอกเล่าถึงความคิดของพระนางจนจบ ฮ่องเต้ก็ทรงตำหนิ “เจ้าช่างเลอะเลือน! เจ้าจะให้เด็กคนนั้นตามไปอยู่ที่หย่งโจวได้อย่างไร”

“เด็กสองคนต่างเต็มใจ เหตุใดจึงไม่ได้เพคะ” ฮองเฮาย้อนถามด้วยท่าทีสงบนิ่ง

“หรือว่าเจ้าลืมไปแล้ว เพราะเหตุใดเราจึงเอาฉีซู่มาเลี้ยงอยู่ข้างตัว”

“หม่อมฉันไม่ได้ลืม หม่อมฉันบอกกับฉีซู่ ขอเพียงนางยินดี บุตรหลานวงศ์สกุลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงสุดแท้แต่นางจะเลือกเฟ้น หม่อมฉันจะไม่ยอมให้นางไม่ได้รับความไม่เป็นธรรมแม้แต่น้อย ทว่าเด็กคนนั้นยืนกรานจะทำเช่นนี้ นอกจากทำตามความปรารถนาของนางแล้ว หม่อมฉันก็ไม่มีทางอื่น”

ฮ่องเต้ทรงเดินกลับไปกลับมาด้วยความร้อนพระทัย สุดท้ายก็ตรัสขึ้น “ไม่ได้ นอกจากเรื่องนี้แล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรเราก็รับปากได้”

ฮองเฮากลับหมอบกราบลงกับพื้นอย่างสงบนิ่ง “นอกจากเรื่องนี้แล้ว หม่อมฉันก็ไม่ต้องการอะไรอีก”

“เจ้า! เฮ้อ…จะให้เราพูดกับเจ้าอย่างไรดี”

“ลูกชายของหม่อมฉัน คนหนึ่งตายในสนามรบ คนหนึ่งถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งรัชทายาท เฉิงเพ่ยมีคุณสมบัติไม่พอจะสืบทอดราชบัลลังก์ ฝ่าบาทจะปลดเขา หม่อมฉันไม่กล้าบ่นว่า หม่อมฉันเพียงหวังว่าฝ่าบาทจะทรงเห็นแก่ความเป็นสามีภรรยากันมานานปี เห็นแก่ที่จะอย่างไรเขาก็เป็นเลือดเนื้อของฝ่าบาท ขอทรงส่งเสริมเด็กทั้งสองให้สมปรารถนาด้วยเพคะ”

รัชทายาทถูกปลด ฮ่องเต้รู้สึกผิดต่อฮองเฮาอยู่แล้ว เวลานี้นางยังเอ่ยถึงบุตรชายคนโตที่เสียชีวิตก่อนวัยอันควรอีก คำปฏิเสธก็ยิ่งกล่าวไม่ออก ผ่านไปครู่ใหญ่ฮ่องเต้จึงทอดถอนพระทัยยาว “เอาเถิด เจ้าก็จัดการไปแล้วกัน”

“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงส่งเสริม”

ฮองเฮากลับมาถึงตำหนักของตน ก็เรียกตัวหลี่เฉิงเพ่ยกับฉีซู่มากำชับกำชา เมื่อทั้งสองทราบเรื่องที่ฮ่องเต้ทรงอนุญาตก็สวมกอดกันอย่างห้ามใจไม่อยู่ ฮองเฮาที่เดิมพระพักตร์เต็มไปด้วยความวิตกกังวล เห็นท่าทางของทั้งสองแล้วก็อดแย้มพระสรวลไม่ได้ ชี้มือมาที่ตนเองแล้วว่า “เอาล่ะๆ เวลานี้ยังมีคนอื่นอยู่ด้วยนะ”

ฉีซู่กับหลี่เฉิงเพ่ยแยกออกจากกันอย่างขวยเขิน แล้วลงนั่งสองฟากข้างของฮองเฮา แม้จะมีฮองเฮาขวางอยู่ตรงกลาง แต่ทั้งสองก็ยังอดมองสบตากันบ่อยๆ ไม่ได้

ฮองเฮาทั้งโมโหทั้งนึกขำ “เจ้าสองคนเล่นด้วยกันตั้งแต่เล็กจนโต เมื่อก่อนก็ไม่เห็นพวกเจ้าสนิทสนมกันสักเท่าไร เวลานี้กลับเกาะติดกันแจแทบแยกไม่ออกขึ้นมาแล้ว”

“พระมารดาอย่าหัวเราะเยาะพวกเราเลย” หลี่เฉิงเพ่ยพูดยิ้มๆ “ตอนเด็กข้าจะไปเข้าใจอะไร อย่าว่าแต่ไปวังเสด็จปู่คราวก่อน เสด็จปู่ทรงเล่าว่าเมื่อก่อนท่านกับพระบิดาเปรียบกับพวกเราแล้วยังน่าขนลุกขนพองยิ่งกว่า ท่านยังจะมาหัวเราะพวกเราอีก”

ฮองเฮาหยิกปากหลี่เฉิงเพ่ย ด่าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ถึงกับกล้ายกเรื่องพระบิดาพระมารดาของเจ้ามาเอ่ยอ้างแล้ว ดูว่าข้าจะสั่งสอนเจ้าอย่างไร”

“โอ๊ยๆ พระมารดาเบาหน่อย! ลูกผิดไปแล้ว ต่อไปไม่กล้าแล้ว”

ฉีซู่มองพวกเขาสองแม่ลูกต่อปากต่อคำกันด้วยสีหน้ายิ้มๆ ทั้งพอใจและเศร้าใจ หลังจากรัชทายาทถูกปลด นับเป็นครั้งแรกที่ทั้งสามคนมีช่วงเวลาเบิกบานใจเช่นนี้

หลังจากพูดคุยหัวเราะพอแล้ว ฮองเฮาจึงลูบศีรษะเด็กทั้งสองกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ไม่ใช่รัชทายาทก็ไม่ใช่รัชทายาทเถิด ขอเพียงพวกเจ้ามีความสุข แม่ก็วางใจแล้ว”

ฉีซู่กับหลี่เฉิงเพ่ยมองสบตากันวาบหนึ่ง แล้วกราบลงกับพื้นพร้อมกัน ทำความเคารพฮองเฮาอย่างเต็มรูปแบบ หลี่เฉิงเพ่ยกล่าว “ลูกอกตัญญู ทำให้พระมารดาทุกข์ใจแล้ว”

ฮองเฮาดึงทั้งสองให้ลุกขึ้น จับมือพวกเขามาวางซ้อนกันเหมือนตอนพบกันครั้งแรก “รักษาตัวให้ดี”

 

เดือนสี่เปลี่ยนรัชทายาท เดือนห้ารัชทายาทองค์ใหม่และชายารัชทายาทก็เข้าพำนักในตำหนักเซ่าหยาง วังตะวันออก หลี่เฉิงเพ่ยที่ถูกลดตำแหน่งเป็นผิงเอินอ๋องก็ย้ายไปอยู่นอกวังหลวง เตรียมโยกย้ายไปอยู่หย่งโจว

หลังจากผิงเอินอ๋องย้ายออกจากวังตะวันออก ฮ่องเต้และฮองเฮาทรงเป็นคนจัดการ ประทานบุตรสาวของหานหล่างผู้บัญชาการทหารเมืองเจิ้นโจวผู้ล่วงลับให้เขาเป็นชายา เนื่องจากคนในเมืองหลวงจิตใจยังไม่สงบ พิธีสมรสจึงไม่ได้ประกาศใหญ่โต ทุกอย่างจัดอย่างเรียบง่าย แม้แต่ราชนิกุลเชื้อพระวงศ์ก็มีน้อยคนที่ได้รับเชิญมาร่วมงาน

หลังแต่งงานสามวัน ผิงเอินอ๋องก็พาพระชายามาที่คฤหาสน์ของเจ้าเมืองนครหลวงซูมู่เงียบๆ เพื่อเยี่ยมคำนับซูอิ่นมารดาผู้ให้กำเนิดฉีซู่

เดิมซูอิ่นไม่ค่อยเห็นด้วยกับการแต่งงานในครั้งนี้ แต่เพราะฮ่องเต้ฮองเฮาเป็นผู้ประทานสมรส จึงไม่กล้าเอ่ยปากบ่นว่า เวลานี้เห็นหลี่เฉิงเพ่ยท่วงทีกิริยางดงาม ไม่ได้หยาบคายเจ้าอารมณ์เหมือนดังคำเล่าลือ แม้การวางตัวการเข้าสังคมจะยังเก้งก้างไม่คล่องแคล่ว แต่เขาก็ดูแลเอาใจใส่บุตรสาวของตนเป็นอย่างดี ทั้งฉีซู่เองก็รักใคร่เขาอย่างจริงใจ ซูอิ่นแม้จะยังสองจิตสองใจ แต่ในที่สุดก็ถูกความรักของหนุ่มสาวที่อยู่ตรงหน้าทำให้ซาบซึ้งใจ และยอมรับการแต่งงานในครั้งนี้อยู่ในใจ รู้ว่าบุตรสาวบุตรเขยจะต้องไปจากเมืองหลวงเร็ววันนี้ ซูอิ่นลาจากกันด้วยความอาลัยอาวรณ์ สั่งกำชับแล้วกำชับอีกให้ทั้งสองคนดูแลตนเองให้ดี

ใกล้ถึงกำหนดเดินทาง ผิงเอินอ๋องสองสามีภรรยาเข้าวังถวายบังคมลาฮ่องเต้และฮองเฮา ฮ่องเต้แม้จะทรงแค้นเคืองที่หลี่เฉิงเพ่ยไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่เมื่อนึกถึงว่าพระโอรสจะต้องจากไปไกลก็อดเศร้าพระทัยไม่ได้

ฮ่องเต้ยังทรงเป็นเช่นนี้ ฮองเฮายิ่งยากจะระงับความเศร้าเสียใจที่จะต้องแยกจากกันไว้ได้ ดึงมือลูกทั้งสองไว้น้ำตารินไหลไม่หยุด

ฉีซู่ปลอบใจให้คลายทุกข์โศกอยู่เป็นนาน ฮองเฮาจึงปาดน้ำตาพลางตรัสกับทั้งสอง “ไท่ซั่งหวงที่วังตะวันตกก็ต้องไปถวายบังคมลา”

สองสามีภรรยาพยักหน้ารับคำ หลังออกจากตำหนักฮองเฮาก็ตรงไปวังตะวันตก ขณะเดินผ่านตำหนักเซียนจวี พลันได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้น เหล่านางกำนัลกำลังรุมล้อมรัชทายาทกับชายารัชทายาท เดินกรีดกรายมา

ด้วยฐานะของรัชทายาทองค์ปัจจุบันกับอดีตรัชทายาทจะมากน้อยย่อมมีความประดักประเดิด หลังจากเปลี่ยนรัชทายาท พี่น้องทั้งสองต่างพยายามหลีกเลี่ยงการพบหน้า คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญมาพบกันเข้าที่นี่ ฉีซู่ทั้งเป็นห่วงว่าหลี่เฉิงเพ่ยจะไม่สบายใจ และกลัวเขาจะพูดจาไม่เข้าหู จึงจับมือเขาไว้แน่น หลี่เฉิงเพ่ยย่อมเข้าใจความหมายของภรรยา หันมามองนางทีหนึ่งคล้ายไม่มีทางเลี่ยง

รัชทายาทหลี่เฉิงฮ่วนก็เห็นผิงเอินอ๋องสองสามีภรรยาเช่นกัน จะหลบเลี่ยงตอนนี้ก็ดูจะจงใจเกินไป ด้วยเหตุนี้รัชทายาทสองสามีภรรยาจึงไม่หยุดฝีเท้า กลับเดินตรงเข้ามาหา

แม้จะมีฐานะสูงส่งเป็นรัชทายาท แต่การแต่งเนื้อแต่งตัวของหลี่เฉิงฮ่วนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เวลาส่วนตัวยังคงสวมหมวกผ้า สวมเสื้อคลุมยาวคอกลม ชายารัชทายาทชุยซื่ออายุสิบหก วันนี้ทำผมเกล้ามวยสูงด้านบนสุดบิดเอียงไปข้างหนึ่ง ช่วงบนสวมเสื้อผ้าแพรสีขาวแขนสั้น กระโปรงผ้าแพรสูงถึงช่วงอกสีเดียวกัน ด้านนอกคลุมด้วยเสื้อแขนครึ่งท่อนสีชมพูอ่อน หัวไหล่คลุมทับด้วยผ้าไหมโปร่งสีเขียวอ่อน เท้าสวมรองเท้าพื้นหนา แม้นางจะเอาพัดทรงกลมในมือขึ้นมาปิดบังใบหน้าไปกว่าครึ่ง แต่ยังคงเห็นเค้าหน้าที่สดใสงดงามได้รำไร ด้านหลังพัดยิ่งมีดวงตาสุกใสหยาดเยิ้มแวววาวคู่หนึ่ง ทั้งสองยืนเคียงคู่กัน ดูเหมาะสมราวกิ่งทองใบหยก

หลังจากทั้งสองฝ่ายต่างทำความเคารพกัน ฉีซู่ก็พูดขึ้นก่อน “ชายารัชทายาทงดงามเพียงนี้ รัชทายาทช่างมีโชควาสนา”

หลี่เฉิงฮ่วนมองฉีซู่แวบหนึ่ง ยิ้มอย่างเกรงใจ “โชควาสนาของผิงเอินอ๋องดูเหมือนจะไม่ด้อยกว่าข้า” นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างลังเล “พวกเจ้า…”

ฉีซู่กล่าว “วันพรุ่งนี้ท่านอ๋องกับหม่อมฉันจะออกเดินทางไปหย่งโจว วันนี้จึงเข้าวังมากราบบังคมลา”

หลี่เฉิงฮ่วนพยักหน้า “เดินทางปลอดภัย”

ฉีซู่พูดยิ้มๆ “ขอบพระทัยในคำอวยพรของรัชทายาท ท่านอ๋องกับหม่อมฉันยังต้องไปวังตะวันตกกราบบังคมลาไท่ซั่งหวง ต้องขอตัวก่อน”

หลี่เฉิงฮ่วนผงกศีรษะ เขามองส่งหลี่เฉิงเพ่ยสองสามีภรรยาเดินจากไป กระทั่งเงาร่างคนทั้งสองหายลับไปกับกำแพงวัง เขาก็ยังคงจ้องมองทิศทางที่คนทั้งสองเดินจากไป

“รัชทายาทเพคะ” ชายารัชทายาทร้องเรียกเบาๆ

หลี่เฉิงฮ่วนได้สติ เอ่ยเสียงอ่อนโยน “ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ อีกประเดี๋ยวหย่วนเอ่อร์ยังมีเรื่องจะมาปรึกษาข้า เจ้ากลับไปก่อนเถิด วันหลังข้าค่อยมาเที่ยวเล่นเป็นเพื่อนเจ้าใหม่”

อีกด้านหนึ่งฉีซู่กับหลี่เฉิงเพ่ยเข้าไปในวังตะวันตกโดยมีผู้รับใช้ในวังติดตามมา ฉีซู่ถึงได้ระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก หลี่เฉิงเพ่ยหัวเราะแล้วว่า “ที่แท้เจ้ากังวลถึงเพียงนี้”

ฉีซู่ค้อนผู้เป็นสามีไปทีหนึ่ง ทำปากยื่นพลางว่า “ไม่ใช่เพราะกลัวท่านจะหุนหันขึ้นมา แล้วเอ่ยคำพูดที่ไม่น่าฟังหรือไร จะอย่างไรเวลานี้ก็ไม่เหมือนเมื่อก่อน…” พูดมาถึงตรงนี้นางก็รู้ตัวว่าพลั้งปาก แอบมองประเมินสีหน้าสามี

หลี่เฉิงเพ่ยกลับไม่ได้อ่อนไหวเช่นภรรยา เขายิ้มพลางประสานมือให้ฉีซู่ “พระชายาอ๋องสั่งกำชับถึงสามครั้งสามคราผู้น้อยจะบุ่มบ่ามมิได้ ผู้น้อยหรือจะกล้าไม่เชื่อฟัง ถ้าฝ่าฝืนคำสั่งภรรยา ตกค่ำถูกลงโทษให้คุกเข่าขึ้นมา หัวเข่าของผู้น้อยคงรับไม่ไหวเป็นแน่”

ฉีซู่อดใจไม่ไหวเตะเขาเบาๆ ไปทีหนึ่ง มุมปากกลับหยักยิ้มอย่างกลั้นไม่อยู่

หลี่เฉิงเพ่ยประสานมือคำนับไม่หยุด “ผู้น้อยผิดไปแล้ว พระชายาโปรดไว้ชีวิตด้วย”

ฉีซู่เห็นคนรับใช้ในวังที่ติดตามมาซ้ายขวาต่างยกมือปิดปากอย่างห้ามไม่อยู่ก็รู้สึกขวยเขินขึ้นมา ขยี้เท้าเร่าๆ “ยังไม่รีบเดินอีก”

ทั้งสองเดินจูงมือกันมาถึงตำหนักที่พักของไท่ซั่งหวง ตู้ซื่อออกมาต้อนรับ พอเห็นคนทั้งสอง รอยยิ้มก็ผุดขึ้นที่มุมปาก หลังจากทำความเคารพแล้ว ตู้ซื่อก็เอ่ยขึ้น “ไท่ซั่งหวงรอท่านทั้งสองอยู่นานแล้ว”

สองสามีภรรยาเข้าไปข้างใน วันนี้ในตำหนักไม่มีใครอื่น มีเพียงตู้ซื่อยืนคอยรับใช้อยู่ข้างใน ไท่ซั่งหวงมองหลานชายกับหลานสะใภ้ทำความเคารพตนอย่างเต็มรูปแบบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หลังจากลุกขึ้นมา หลี่เฉิงเพ่ยกับภรรยาก็ยืนเคียงคู่กันอยู่เบื้องหน้าไท่ซั่งหวง

ไท่ซั่งหวงเลิกคิ้วเล็กน้อย “ตอนเป็นรัชทายาทไม่รู้ว่ามารยาทคืออะไร อย่างไรกัน ถูกปลดแล้วกลับรู้จักมีมารยาทขึ้นมาแล้ว”

หลี่เฉิงเพ่ยหัวเราะฮ่าๆ “ผู้เฒ่า ยากนักที่ข้าจะมีมารยาทสักครั้ง ท่านกลับไม่เคยชินเสียแล้ว”

เขาสะบัดรองเท้าหุ้มข้อออกอย่างไม่ยี่หระ ปีนขึ้นไปบนตั่งยาวที่ไท่ซั่งหวงประทับอยู่ ทั้งยังดึงฉีซู่ขึ้นไปนั่งบนตั่งด้วยกัน

ฉีซู่ไม่ชินต่อการเสียมารยาทต่อเบื้องพระพักตร์ไท่ซั่งหวง จึงออกจะหวั่นหวาด ไท่ซั่งหวงกลับตรัสอย่างนุ่มนวล “เจ้านั่งเถิด มีบัญชีอะไรข้าก็คิดกับเจ้าหนุ่มหน้าเหม็นนี่คนเดียว”

หลี่เฉิงเพ่ยแค่นเสียงฮึ โอบฉีซู่แล้วถาม “ผู้เฒ่า ท่านดูซิเจ้าสาวของข้าเป็นอย่างไร”

ไท่ซั่งหวงทอดพระเนตรดูฉีซู่ ตรัสขึ้นช้าๆ “สวยสู้ของเฉิงฮ่วนไม่ได้”

หลี่เฉิงเพ่ยหัวคิ้วกำลังจะชี้ชัน พลันได้ยินไท่ซั่งหวงตรัสเสริมขึ้นมาอีกประโยค “แต่มองแล้วสบายตากว่าของคนผู้นั้นมาก”

หลี่เฉิงเพ่ยเปลี่ยนจากไม่พอใจมาเป็นดีใจ “แน่นอน ท่านไม่ดูเล่าว่าใครเป็นคนเลือก”

ไท่ซั่งหวงด่ายิ้มๆ “เจ้าคนปากพล่อย เวลานี้ผู้อื่นเป็นถึงรัชทายาทแล้ว!”

“ข้ายอมรับว่าเขาร้ายกาจ” หลี่เฉิงเพ่ยกุมมือฉีซู่ “แต่ร้ายกาจแล้วอย่างไร เขาสามารถแต่งเจ้าสาวดีได้อย่างข้าหรือไม่”

ไท่ซั่งหวงไม่สนใจเขา หากแต่มองมาทางฉีซู่ด้วยแววตาอ่อนโยน “เจ้าชื่ออะไร”

ฉีซู่กำลังจะตอบ แต่ถูกหลี่เฉิงเพ่ยชิงตอบไปเสียก่อน “ผู้เฒ่า เมื่อก่อนใช่ว่าท่านไม่เคยพบนาง เหตุใดยังถามอีก นางเป็นบุตรสาวของหานหล่างอย่างไรเล่า”

ไท่ซั่งหวงร้องอ้อออกมาคำหนึ่ง แล้วพินิจพิจารณาฉีซู่อยู่ครู่หนึ่ง “ต่างพูดกันว่าหญิงสาวกว่าจะโตหน้าตาต้องเปลี่ยนแปลงสิบแปดครั้ง ข้าถึงได้จำเจ้าไม่ได้”

หลี่เฉิงเพ่ยรีบเข้ามาขวางอยู่ตรงกลางระหว่างฉีซู่กับไท่ซั่งหวง โวยวายขึ้น “ผู้เฒ่า นี่คือเจ้าสาวของข้า ท่านจะเพ่งพิศละเอียดเพียงนั้นด้วยเหตุใด”

ไท่ซั่งหวงถีบเขาไปทีหนึ่ง “เจ้าหนุ่มหน้าเหม็น ถึงกับกินน้ำส้ม* ปู่ของเจ้าขึ้นมาแล้ว พบหน้าหลานสะใภ้เป็นครั้งแรก ข้าจะไม่พินิจดูให้ดีได้หรือ” พูดถึงตรงนี้ไท่ซั่งหวงก็มีท่าทีเศร้าใจขึ้นมา “ข้าแก่แล้ว พวกเจ้าไปครั้งนี้ คราวหน้าจะได้พบพวกเจ้าอีกครั้งก็ไม่รู้เมื่อไรแล้ว กระทั่งจะมีคราวหน้าอีกหรือไม่ก็ไม่รู้”

“ผู้เฒ่า อย่าพูดจาไม่เป็นมงคลเช่นนี้ ข้าดูท่านยังแข็งแรงอยู่มาก อย่างน้อยก็ต้องอยู่ได้อีกแปดปีสิบปี” หลี่เฉิงเพ่ยกล่าวตอบ

ไท่ซั่งหวงปรายหางตามองหลี่เฉิงเพ่ย ไม่ได้โต้ตอบอะไร เพียงหันไปทางฉีซู่ “เจ้าแต่งกับเจ้าหนุ่มที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ วันข้างหน้าต้องได้พบความทุกข์ยากแน่”

ฉีซู่ได้ยินดังนั้นกลับเพียงยิ้มๆ “ได้แต่งกับท่านอ๋อง เป็นบุญวาสนาของหม่อมฉันเพคะ”

ไท่ซั่งหวงยื่นมือมาลูบศีรษะฉีซู่ด้วยความรักและเมตตา “เจ้าเป็นเด็กดี เขามีเจ้าอยู่เป็นเพื่อน เป็นโชควาสนาของเขา”

ไท่ซั่งหวงผงกศีรษะให้ตู้ซื่อ ตู้ซื่อเข้าใจทันที หมุนตัวเดินเข้าไปด้านในตำหนัก ไม่นานก็ประคองถาดออกมาใบหนึ่ง นางยื่นถาดมาตรงหน้าหลี่เฉิงเพ่ยกับฉีซู่ ทั้งสองมองไปในถาด เป็นยันต์คุ้มครองที่ทำมาจากทองคำสองเหรียญ

ในเวลานี้เองไท่ซั่งหวงก็ตรัสขึ้น “ของสิ่งนี้ข้าให้คนทำขึ้นเมื่อหลายปีก่อน และให้พระภิกษุในวัดปลุกเสกมาแล้ว เก็บรักษาไว้อย่างดี รอเจ้าแต่งภรรยาก็จะมอบให้พวกเจ้า ในที่สุดวันนี้ก็มีโอกาสมอบให้แล้ว”

หลี่เฉิงเพ่ยกับฉีซู่ขอบพระทัยเสด็จปู่ แล้วรับยันต์คุ้มครองมา

“เฉิงเพ่ยเอ๋ยเฉิงเพ่ย” ไท่ซั่งหวงกำชับหลี่เฉิงเพ่ยด้วยถ้อยคำที่เปี่ยมไปด้วยน้ำใสใจจริงและแฝงความหมายลึกซึ้ง “เรื่องถอดถอนแต่งตั้งข้ารู้เจ้าไม่สบายใจ แต่ข้าก็ยังคงพูดคำเดิม ในฐานะของคนในราชวงศ์ ต้องเห็นแก่ส่วนรวมเป็นสำคัญ เจ้าคงคิดตกบ้างแล้วกระมัง!”

“พ่ะย่ะค่ะ” ยากนักที่หลี่เฉิงเพ่ยจะไม่โต้แย้งเสด็จปู่ เพียงรับคำสั้นๆ เช่นวันนี้

“พรุ่งนี้พวกเจ้าจะต้องออกเดินทางแต่เช้าตรู่ ข้าก็จะไม่รั้งพวกเจ้าอยู่นาน”

สองสามีภรรยาทำความเคารพเสด็จปู่อีกครั้ง หมอบกราบแล้วล่าถอยออกไป

ส่งหลานชายหลานสะใภ้แล้ว ไท่ซั่งหวงก็ตรัสเรียกตู้ซื่อ “อาตู้”

ตู้ซื่อก้าวเข้ามา “ไท่ซั่งหวงมีอะไรจะสั่งเพคะ”

ไท่ซั่งหวงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ถอนพระทัยแล้วตรัสขึ้น “หลายปีมานี้ข้าเอาแต่สั่งให้เจ้าคอยชี้แนะตักเตือนลูกสาวของหานหล่างให้มาก นางจะได้ไม่ดื้อรั้นหัวแข็งเหมือนพ่อของนาง คิดไม่ถึงว่านางยังคงเป็นเด็กที่ดื้อรั้นคนหนึ่ง”

ตู้ซื่อยิ้ม “จะอย่างไรก็เป็นพ่อลูก นิสัยใจคอคล้ายกันก็เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงได้ยาก ทว่าหม่อมฉันเห็นว่าพระชายาภายนอกอ่อนโยนภายในแข็งแกร่ง จัดการเรื่องราวได้เหมาะสม ไม่เพียงไท่ซั่งหวงคอยปกป้อง วังกลางรักและเอ็นดู แม้แต่ฝ่าบาทก็ชื่นชมอย่างมาก คงไม่ถึงกับมีจุดจบเช่นเดียวกับรองหัวหน้าหานหรอกเพคะ”

ไท่ซั่งหวงก็ผงกศีรษะ “เรื่องนี้ก็จริง มีคนเฉลียวฉลาดรู้เหตุรู้ผลเช่นนี้อยู่กับเฉิงเพ่ย ข้าก็วางใจ พวกเขาสองสามีภรรยาถ้าสามารถอยู่ด้วยกันได้ยาวนาน ข้าก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจแล้ว”

“เพคะ”

* กินน้ำส้ม เป็นสำนวนจีน หมายถึงหึงหวง

“อาตู้” หลังจากไท่ซั่งหวงครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก็ตรัสขึ้นอีก “เจ้าเข้าวังมาก็นานหลายปีแล้วกระมัง เคยคิดจะออกจากวังไปใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างสงบหรือไม่”

ตู้ซื่อนิ่งคิด แล้วเอ่ยตอบขึ้นช้าๆ “หม่อมฉันยังคงอยู่ในวังต่อไปดีกว่า ผิงเอินอ๋องกับพระชายาอาจมีอะไรให้หม่อมฉันรับใช้เข้าสักวัน”

“ก็ดี” ไท่ซั่งหวงตรัสจบก็หลับพระเนตรลงด้วยสีพระพักตร์อ่อนระโหย ตู้ซื่อเห็นแล้วก็ทำความเคารพแล้วล่าถอยออกไปเงียบๆ

 

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ผิงเอินอ๋องสองสามีภรรยาออกเดินทางไปหย่งโจว

หลังจากรถม้าวิ่งพ้นเมืองซีจิงก็ค่อยๆ หยุดลง ฉีซู่ให้สาวใช้เลิกม่านขึ้น นางจะได้หันกลับไปมองหอสูงบนประตูกำแพงเมืองอีกครั้ง หลี่เฉิงเพ่ยนั่งอยู่บนหลังม้า เหยาะย่างมาถึงข้างกายฉีซู่ แล้วหันกลับไปมองด้วยกันกับนาง

ฉีซู่เพ่งมองหอสูงบนประตูกำแพงเมืองที่อยู่ไกล ครั้งแรกที่นางเห็นเมืองแห่งนี้คือตอนนำโลงศพของบิดากลับมาเมืองหลวง หนทางไกลนับพันลี้ ความยากลำบากในตอนนั้นไม่ต้องพูดถึง ยังมีความหวาดหวั่นอย่างลึกล้ำต่ออนาคตข้างหน้าที่ยังไม่รู้อีกด้วย หนทางถอยไม่มี เบื้องหน้าก็มีแต่ความว่างเปล่าเลือนราง ทำให้คนอดที่จะวิตกกังวลไม่ได้ แต่การจากไปในครั้งนี้ แม้จะไม่รู้ถึงหนทางข้างหน้าเช่นกัน แต่นางกลับไม่รู้สึกหวาดหวั่นตื่นตระหนก

“เสียดายหรือ เดิมทีเจ้ามีโอกาสที่จะได้เป็นเจ้าของเมืองแห่งนี้” เสียงหลี่เฉิงเพ่ยดังขึ้นมาที่ข้างหูนาง น้ำเสียงเจือความเสียใจ

ฉีซู่ดึงสายตากลับ ยิ้มน้อยๆ ให้สามี “ไม่เสียดายแม้แต่น้อย ที่ที่มีท่านอยู่จึงจะเป็นบ้านเมืองของข้า”

หลี่เฉิงเพ่ยยื่นมือมาปาดจมูกฉีซู่เบาๆ “มีเจ้าอยู่ ข้าจึงไม่สนใจบ้านเมืองอะไร”

สองสามีภรรยามองสบตากันเงียบๆ ครู่หนึ่ง หลี่เฉิงเพ่ยจึงกล่าวขึ้น “ไปเถิด”

ฉีซู่พยักหน้า ม่านรถขยับไหวไปมาระหว่างรถวิ่งไปข้างหน้า ทำให้นางแอบมองเงาร่างของสามีที่นั่งอยู่บนหลังม้าจากรอยแยกได้ หลี่เฉิงเพ่ยอาจพูดไม่ได้ว่าสูงใหญ่ แต่ก็คล่องแคล่วปราดเปรียว เปี่ยมไปด้วยกำลังวังชาในวัยหนุ่มแน่น ฉีซู่อดยิ้มไม่ได้ ต่อให้สุดหล้าฟ้าเขียว นางก็ยินดีจะไปกับเขา

 

หย่งโจวแม้จะห่างไกลความเจริญเช่นซีจิง ทว่าภูเขาแม่น้ำสวยวิจิตรตระการตา มีเสน่ห์อย่างประหลาด

สำหรับหลี่เฉิงเพ่ยแล้ว ที่นี่กลับเป็นที่ที่เขามีอิสระยิ่งกว่า เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาสามารถเดินชมสายน้ำภูเขาอย่างเอ้อระเหยลอยชายมีอิสระไม่มีอะไรต้องห่วงกังวล เขากับฉีซู่เหยียบย่างไปทั่วผืนแผ่นดินเมืองหย่งโจว ดื่มสุราที่ริมทะเลสาบกู่หมู่ ต้มชาที่กลางป่าบนภูเขาซีซาน…

ใช้ชีวิตเอ้อระเหยและสบายใจนานวันเข้า ทุกอย่างที่ซีจิงก็ดูจะอยู่ไกลโพ้น เมืองหลวงคล้ายเป็นสถานที่ที่อยู่ในตำนานไปแล้ว บ่อยครั้งหลายเดือนจึงจะมีข่าวใหม่บางอย่างเล่าลือมาจากปากผู้คนสักครั้ง ชิวลี่สิงรับราชโองการยกทัพออกไปอีกครั้ง จับเชลยยึดวัวแพะได้เกินหมื่น ข่านแห่งชนเผ่าตี๋อภิเษกกับองค์หญิง โอรสสวรรค์ถือโอกาสนี้เอาม้าฝีเท้าดีจากชนเผ่าตี๋จำนวนมาก รัชทายาทยื่นหนังสือกราบทูล บ้านเมืองสงบสุข ยุ้งฉางเต็มไปด้วยข้าว ขอให้ละเว้นภาษีอากรให้ราษฎรหนึ่งปี…ทุกครั้งที่มีข่าวเมืองหลวง หลี่เฉิงเพ่ยก็จะหมดอาลัยตายอยากอยู่พักหนึ่ง โชคดีที่เขาไม่ใช่คนที่มีความคิดซับซ้อน เศร้าใจอยู่เพียงเล็กน้อยก็โยนออกจากสมองไป ฉีซู่เองก็ค่อยๆ โล่งใจขึ้น

กาลเวลาผ่านไปรวดเร็วดุจสายน้ำไหล ชั่วพริบตาเดียวผิงเอินอ๋องสองสามีภรรยาก็มาใช้ชีวิตอยู่ที่หย่ง โจวได้ห้าปีแล้ว โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวฤดูร้อนของรัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่ยี่สิบเอ็ดก็มาถึง

หย่งโจวอากาศกำลังร้อนอบอ้าว ฉีซู่ใช้ผ้าเช็ดหน้าไหมซับเหงื่อที่หน้าผากเบาๆ ง่วนอยู่กับโต๊ะฝึกเขียนพู่กันจีน พลันได้ยินเสียงโครมครามดังมาจากระเบียงด้านนอก นางก็รู้ว่าหลี่เฉิงเพ่ยกลับมาแล้ว จึงวางพู่กันในมือลงเดินไปที่ระเบียงวน ไม่ผิดจากที่คิด นางเห็นเงาร่างของสามี ศีรษะสวมหมวกงอบไม้ไผ่ มือถือคันเบ็ดเดินเข้ามา

หลี่เฉิงเพ่ยสวมเสื้อตัวสั้น พับขากางเกงขึ้น เดินเท้าเปล่า มองเผินๆ เหมือนชาวประมงไม่มีผิด ใบหน้าหล่อเหลาถูกอากาศที่ร้อนอบอ้าวอบจนแดงฉาน

พอเห็นฉีซู่ ดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย “ซู่ซู่ รีบไปเอาน้ำแข็งมา ข้าร้อนแทบตายแล้ว”

ในจวนมีน้ำแข็งเก็บอยู่ แต่ฉีซู่กลัวว่าหากร่างกายเขาเดี๋ยวเย็นเดี๋ยวร้อนจะไม่ดีกับกระเพาะ สุดท้ายจึงไปยกน้ำชามา หลี่เฉิงเพ่ยยกน้ำชาขึ้นซดในคราเดียว จึงรู้สึกว่าความร้อนในร่างกายค่อยคลายลง เขายกชายแขนเสื้อจะเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก แต่พอเห็นสีหน้าของภรรยา ก็ยิ้มแหยแล้วเอามือลง

ฉีซู่หยิบผ้าเช็ดหน้าไหมจากหีบทองแดงออกมา แล้วเดินเข้าไปช่วยเช็ดเหงื่อให้เขา จากนั้นก็เอาเสื้อคลุมแห้งสบายให้เขาผลัดเปลี่ยน รอจนจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย หลี่เฉิงเพ่ยก็นั่งเท้าเปล่าอยู่บนระเบียง กินแตงและผลไม้ดับร้อน ฉีซู่หยิบพัดทรงกลมมาช่วยพัดวีให้เขา ทั้งช่วยเขาเช็ดเหงื่อที่มือให้อยู่ตลอดเวลา

“วันนี้ไปสระน้ำเสี่ยวสือ ตกปลาไม่ได้สักตัว” หลี่เฉิงเพ่ยกินแตงไปพลางพูดอย่างจริงจัง “พระชายา คืนนี้ไม่มีปลากินแล้ว”

ฉีซู่หัวเราะ ทุกครั้งที่หลี่เฉิงเพ่ยพูดจาล้อเล่นกับนาง ก็ชอบเรียกนางเช่นนี้

“แต่ข้าเดาว่าเจ้าก็คงไม่ได้มุ่งหวังจะอาศัยข้ากินข้าวหรอกกระมัง” หลี่เฉิงเพ่ยกล่าวยิ้มๆ

ฉีซู่ยกพัดขึ้นเคาะหน้าผากเขาเบาๆ ทีหนึ่ง

หลี่เฉิงเพ่ยเหลือบเห็นตัวอักษรที่ฉีซู่ฝึกเขียนบนโต๊ะก็โคลงศีรษะไปมาแล้วว่า “วันนี้พระชายาเขียนตัวอักษรอะไรหรือ รีบส่งขึ้นมา เราจะพิจารณาดูสักหน่อย”

ฉีซู่ผลักเขาเบาๆ ทีหนึ่ง หมุนตัวไปหยิบตัวอักษรที่เขียนไว้มาให้เขาดูจริงๆ

หลี่เฉิงเพ่ยรับกระดาษสองสามแผ่นมาพลิกไปพลิกมาอยู่หลายตลบ แล้วลากเสียงยาวเอ่ยชมไม่หยุด “ดี ตัวอักษรยอดเยี่ยม ตัวอักษรยอดเยี่ยมจริงๆ”

“ขอบังอาจถามท่านอ๋อง ตัวอักษรนี้ยอดเยี่ยมตรงที่ใดหรือ” ฉีซู่ถามอย่างยั่วเย้า

“ยอดเยี่ยมตรง…” หลี่เฉิงเพ่ยขยับเข้ามาชิดข้างหูฉีซู่ “ยอดเยี่ยมตรงตัวอักษรหวัดไปมา เราอ่านไม่ออกเลย”

ฉีซู่อยากหัวเราะ แต่ก็รู้สึกทั้งสองคนอยู่ใกล้กันเกินไป ขณะคิดจะถอยออกมาก็ถูกหลี่เฉิงเพ่ยรวบตัวเข้าไปกอด “ซู่ซู่ เรามีลูกกันอีกสักคนเถิด”

ฉีซู่แววตาหม่นลง ตอนมาอยู่หย่งโจวปีที่สอง พวกนางมีลูกสาวด้วยกันคนหนึ่ง เสียดายเด็กคนนั้นร่างกายไม่สมบูรณ์มาแต่กำเนิด ไม่สามารถเลี้ยงจนโตได้ สองสามีภรรยาต่างเศร้าโศกเสียใจ จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีลูกอีก

หลี่เฉิงเพ่ยเห็นนางขอบตาแดงระเรื่อ ก็รู้ว่านางคิดถึงลูกที่ตายไปตั้งแต่ยังเยาว์วัย รีบกล่าวปลอบใจ “อย่าร้องไห้ๆ เราอายุยังน้อย ย่อมมีลูกอีกได้”

ฉีซู่ก้มหน้าอยู่พักใหญ่ จึงได้ส่งเสียงอืมขึ้นมาเบาๆ

หลี่เฉิงเพ่ยรีบเปลี่ยนเรื่องพูด “ปีนี้หย่งโจวดูเหมือนจะร้อนเป็นพิเศษ”

ฉีซู่พูดอย่างคล้อยตาม “ใช่ ครั้งก่อนซุนเหนียงจื่อ* บอกว่าระยะนี้มีราษฎรมากมายเป็นไข้เพราะตากแดดมากเกินไป ราคาน้ำแข็งก็เพิ่มสูงกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย”

* เหนียงจื่อ เป็นคำเรียกสตรีสาวหรือวัยกลางคนด้วยความเคารพนับถือ

ซุนเหนียงจื่อที่นางพูดถึงคือภรรยาของจางฉี่ไท่ ผู้ตรวจการเมืองหย่งโจว ฮ่องเต้แม้จะไม่พอพระทัยที่หลี่เฉิงเพ่ยก้าวก่ายการตรวจสอบขุนนาง แต่ก็หาได้เปลี่ยนแปลงผลในการตรวจสอบครั้งนั้น หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นเส้นทางในการเป็นขุนนางของจางฉี่ไท่ก็ราบรื่นมาก ปลายรัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สิบห้าก็โยกย้ายมาเป็นผู้ตรวจการเมืองหย่งโจว

เรื่องนี้ผิงเอินอ๋องสองสามีภรรยามาถึงเมืองหย่งโจวแล้วถึงรู้ หลี่เฉิงเพ่ยมีบุญคุณต่อจางฉี่ไท่ ฮ่องเต้ส่งพระโอรสมาอยู่ที่หย่งโจวนี่ เห็นชัดว่าทรงมีเจตนาจะปกป้องพระโอรส ฉีซู่แอบสำนึกในพระกรุณาธิคุณของฮ่องเต้อยู่ในใจ กลับเป็นหลี่เฉิงเพ่ยที่ลืมจางฉี่ไท่ผู้นี้ไปโดยสิ้นเชิง กระทั่งภรรยาเตือนแล้วเตือนอีก จึงนึกถึงเรื่องเก่าในครั้งนั้นขึ้นมาได้

หลี่เฉิงเพ่ยได้ยินฉีซู่พูดเช่นนี้ก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจราษฎรมาก คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามขึ้น “ในบ้านเรายังมีน้ำแข็งเก็บอยู่อีกเท่าไร”

“ปีที่แล้วขยายอุโมงค์เก็บน้ำแข็งให้กว้างขึ้น หน้าหนาวปีนี้เก็บน้ำแข็งไว้ค่อนข้างมาก ยังมีอีกกว่าครึ่งที่ไม่ได้ใช้”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เอาน้ำแข็งที่มีเหลือเฟือออกมาแจกจ่ายให้ราษฎรเถิด” หลี่เฉิงเพ่ยกล่าว “ในบ้านถ้ายังมีเงินเหลือ ก็เอาไปซื้อยาดับพิษไข้ไปแจกด้วยเลย”

ฉีซู่คำนวณดูค่าใช้จ่ายในบ้าน แล้วพยักหน้าเห็นด้วยกับข้อเสนอของสามี สองสามีภรรยากำลังพูดคุยสัพเพเหระกันอยู่ คนรับใช้ในบ้านก็นำเทียบเยี่ยมคำนับของผู้ตรวจการจางฉี่ไท่มามอบให้

ฉีซู่รีบสั่งคนให้ไปเชิญจางฉี่ไท่เข้ามาในจวน แล้วช่วยจัดเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายให้หลี่เฉิงเพ่ยใหม่ จากนั้นจึงออกไปรับรองแขกพร้อมกับเขา

จางฉี่ไท่รู้จวนของผิงเอินอ๋องไม่ใส่ใจเรื่องพิธีรีตองที่ทำเพื่อเอาหน้า เห็นพระชายาออกมาพร้อมกับผิงเอินอ๋องก็ไม่รู้สึกแปลกใจ เดินเข้าไปสองสามก้าวทำความเคารพผิงเอินอ๋องสองสามีภรรยา

จางฉี่ไท่อายุสี่สิบกว่า ร่างกายสมบูรณ์เล็กน้อย แต่หน้าตายังนับว่าดูดี เขาเป็นขุนนางมือสะอาดตรงไปตรงมา เป็นขุนนางที่มีชื่อเสียงดีในเมืองหย่งโจว หลี่เฉิงเพ่ยเคยเป็นรัชทายาท ฐานะค่อนข้างละเอียดอ่อน จางฉี่ไท่กลับไม่กลัวที่จะไปมาหาสู่ด้วย ฉีซู่มีความรู้สึกที่ดีต่อเขาอย่างมาก แขกและเจ้าบ้านเข้านั่งประจำที่ หลังจากทักทายถามสารทุกข์สุกดิบกันแล้ว จางฉี่ไท่ก็พูดเข้าเรื่อง “ระยะนี้ในเมืองหลวงโจษจันกันว่าฝ่าบาทประชวร”

ฉีซู่กับหลี่เฉิงเพ่ยหันมามองสบตากัน หลี่เฉิงเพ่ยกล่าวขึ้น “เป็นอะไรมากหรือไม่”

จางฉี่ไท่สั่นศีรษะ “ยังไม่ทราบรายละเอียดแน่ชัด ทว่าตั้งแต่ปีก่อนเป็นต้นมา ฝ่าบาทต้องทรมานด้วยโรคลมอยู่เสมอ ได้ยินว่าหลายเดือนก่อนรัชทายาทยังเคยทูลแนะนำนักพรตผู้ปรุงยาให้ฝ่าบาท”

“นักพรต” หลี่เฉิงเพ่ยขมวดหัวคิ้ว “พระบิดาไม่เคยเชื่อเรื่องนี้”

“ทว่าครั้งนี้ฝ่าบาทกลับเสวยยาที่นักพรตปรุงขึ้นมา”

พ่อลูกจิตใจสื่อถึงกัน หลี่เฉิงเพ่ยตบโต๊ะแล้วว่า “ไม่ได้ ข้าต้องกลับเมืองหลวงเดี๋ยวนี้!”

จางฉี่ไท่กล่าว “ท่านอ๋องโปรดอย่าใจร้อน อ๋องทั้งหลายต้องอยู่ในที่ศักดินาของตน ไม่มีราชโองการไม่อาจจากไปโดยพลการ กระหม่อมคาดการณ์ว่าท่านอ๋องกับฝ่าบาทเป็นพ่อลูกที่ใกล้ชิดกันที่สุด หากพระอาการประชวรหนักจริง ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่มีราชโองการให้ท่านอ๋องกลับเมืองหลวง เมืองหลวงอยู่ห่างไกล การส่งข่าวไม่สะดวก เวลานี้ฝ่าบาทอาจพระอาการดีขึ้นแล้วก็ไม่แน่”

หลี่เฉิงเพ่ยได้ยินแล้วก็ค่อยๆ สงบลง ผงกศีรษะแล้วว่า “มีเหตุผลๆ”

จางฉี่ไท่มาครั้งนี้เพียงต้องการแจ้งข่าวนี้ให้ทราบ เพื่อให้พวกเขาสองสามีภรรยาได้เตรียมตัวเตรียมใจ เขายังมีงานรัดตัว ไม่สะดวกจะอยู่นาน ไม่นานเขาก็ลุกขึ้นกล่าวลา ตอนเดินไปส่ง จางฉี่ไท่ฉวยจังหวะที่หลี่เฉิงเพ่ยไม่ทันได้สนใจ กล่าวกับฉีซู่ “พระชายาต้องอย่าให้ท่านอ๋องทูลขอกลับเมืองหลวงกับฝ่าบาท”

ฉีซู่งงงัน ไม่ได้พูดอะไรออกมาทันที

“อย่าว่าแต่ฝ่าบาทไม่มีทางมีราชโองการเรียกท่านอ๋องกลับเมืองหลวง” จางฉี่ไท่กล่าวต่อ “ต่อให้มีราชโองการจริง ทางที่ดีก็ควรหาข้ออ้างบอกปัด”

ฉีซู่พยักหน้า “ขอบคุณผู้ตรวจการที่ช่วยชี้แนะตักเตือน”

จางฉี่ไท่รีบบอก “มิกล้า” จากนั้นก็ขึ้นม้าควบจากไป

 

ตกค่ำในจวนก็เงียบสงัด มีเพียงเสียงนกเสียงจักจั่น ลานบ้านมีแต่ความมืดมิด บางครั้งบางคราวจึงจะมีแสงไฟวาบผ่านแล้วก็เลือนหาย

หลี่เฉิงเพ่ยนั่งอยู่ที่พื้นระเบียง เหม่อมองลานบ้านที่มืดมิดอย่างเบื่อหน่าย

ฉีซู่เดินมาข้างกายเขาแล้วนั่งลง ถามขึ้นเบาๆ “ยังเป็นห่วงอาการประชวรของฝ่าบาทอยู่หรือ”

“เมื่อครั้งเสด็จปู่สิ้นพระชนม์ ข้าไม่อาจกลับเมืองหลวงไปส่ง มาวันนี้พระบิดาประชวรแล้ว ข้ายังคงไม่อาจพบหน้า…” หลี่เฉิงเพ่ยถอนหายใจ “ซู่ซู่ ข้าอกตัญญูมากใช่หรือไม่”

ไท่ซั่งหวงสิ้นพระชนม์เมื่อสามปีก่อน พระนามในศาลบรรพชนคืออู่จง ตอนไท่ซั่งหวงสิ้นพระชนม์ หลี่เฉิงเพ่ยเคยทูลขอกลับเมืองหลวงร่วมพระราชพิธีศพ แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาตจากฝ่าบาท

ฉีซู่กอดสามีราวกับกำลังกอดเด็กเล็กๆ เอ่ยเสียงอ่อนโยน “นี่ไม่ใช่ความผิดของท่านอ๋อง”

“ห้าปีแล้ว ซู่ซู่” หลี่เฉิงเพ่ยเงยหน้าขึ้นมาจากอ้อมกอดของฉีซู่ “เจ้าคิดถึงซีจิงหรือไม่”

ฉีซู่สั่นศีรษะก่อน จากนั้นก็ผงกศีรษะ สุดท้ายก็บอกด้วยความฉงน “ไม่รู้”

หลี่เฉิงเพ่ยหัวเราะแล้วว่า “ข้าก็เช่นกัน” นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “ข้าไม่คิดถึงเมืองแห่งนั้น แต่ข้าคิดถึงคนที่อยู่ที่นั่น คิดถึงอาเวิง คิดถึงพระบิดาพระมารดา ซู่ซู่ เจ้าคิดถึงพวกเขาหรือไม่”

ฉีซู่นึกถึงช่วงเวลาที่อยู่ข้างพระวรกายฮองเฮา กลิ่นหอมที่อบอวลอยู่ในตำหนัก ฮองเฮาทรงกุมมือนางด้วยความเมตตาอ่อนโยนและเยือกเย็น สอนให้นางรู้หนังสือ สอนนางอ่านบทกวี ฉีซู่พลันปวดแปลบในใจ ฮองเฮาทรงรักใคร่โอรสธิดาเพียงนั้น ห้าปีมานี้ไม่รู้ทรงใช้ชีวิตท่ามกลางความคิดถึงมาได้อย่างไร ยังมีซูอิ่น มารดาผู้ให้กำเนิดนาง หลายปีมานี้นางไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับมารดาอีกเลย มารดาอาศัยอยู่บ้านท่านลุงมาโดยตลอด คงจะโดดเดี่ยวมากกระมัง…

“ซู่ซู่ เหตุใดเจ้าจึงร้องไห้แล้วเล่า” หลี่เฉิงเพ่ยยื่นนิ้วมาแตะใบหน้านาง ปาดน้ำตาไม่กี่หยดนั่นออกไป

ฉีซู่พบว่าบนใบหน้าของตนไม่รู้มีน้ำตาไหลรินลงมาตั้งแต่เมื่อไร นางรีบเช็ดออก แล้วพูดกลบเกลื่อนขึ้น “ไม่มีอะไร เมื่อครู่มีผงเข้าตา”

แม้จะไม่มีช่วงใดเวลาใดที่ไม่ทรงคิดถึงและเป็นห่วง ทว่าฮองเฮาก็ส่งคนมาหย่งโจวเพื่อถามสารทุกข์สุกดิบน้อยมาก ฉีซู่สังเกตและรับรู้ได้ถึงเจตนาของฮองเฮา เวลานี้ขณะนี้ยิ่งมีคนสนใจหย่งโจวน้อยเท่าไร พวกนางก็ยิ่งมีโอกาสที่จะปลอดภัยสูง นางสงบใจลง ไม่อาจไปกระตุ้นความคิดถึงที่สามีมีต่อซีจิงอีก

นับแต่วันนั้นมานางก็ปิดปากเงียบไม่เอ่ยถึงเรื่องในเมืองหลวงอีกเลย แต่ทุกวันมีเรื่องที่ต้องทำเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเรื่อง นั่นคือแอบภาวนาต่อหน้าพระพุทธรูปขอให้ฮ่องเต้พระวรกายแข็งแรง

นางพำนักอยู่หย่งโจวมานาน นานจนความทรงจำสมัยอยู่ในวังหลวงที่ซีจิงออกจะเลือนรางแล้ว คำตักเตือนในวันนั้นของจางฉี่ไท่คล้ายเสียงตวาดที่ฟาดลงมา ทำให้นางได้สติกลับคืนมาอีกครา

หลี่เฉิงเพ่ยเป็นผิงเอินอ๋อง และเป็นรัชทายาทที่ถูกถอดถอน หากฮ่องเต้เสด็จสวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่จะปฏิบัติต่อหลี่เฉิงเพ่ยผู้เคยเป็นรัชทายาทอย่างไรก็ยังไม่รู้ แม้รัชทายาทองค์ปัจจุบันจะมีความประพฤติและคุณธรรมเหนือผู้อื่นและได้รับการยกย่องจากผู้คน แต่ฉีซู่ก็รู้สึกเสมอว่ามองเขาไม่ออก ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาปรากฏตัวต่อหน้านาง ฉีซู่ก็รู้สึกว่าจิตใจของคนผู้นี้ถูกห่อหุ้มอยู่เป็นชั้นๆ ใครก็ไม่อาจสัมผัสถึง

แน่นอน นางไม่เคยพูดถึงความรู้สึกที่มีต่อจิ้นอ๋องต่อหน้าผู้อื่น ยกเว้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

นั่นเป็นตอนที่ตู้ซื่อเพิ่งเสร็จสิ้นการบรรยายในสถานศึกษาของตำหนักฝ่ายใน และรั้งนางให้อยู่ดื่มชาด้วยเพียงคนเดียว ในเมืองหลวงไม่นิยมดื่มชาสักเท่าไร แต่ตู้ซื่อเติบโตที่เจียงหนาน ทั้งเลื่อมใสศรัทธาในศาสนาพุทธ ดังนั้นจึงมีความเคยชินต่อการดื่มชา ขณะน้ำในหม้อกำลังเริ่มเดือด ตู้ซื่อก็เอ่ยถามนางคล้ายไม่ได้ตั้งใจ “ข้าเห็นคนในวังต่างเลื่อมใสศรัทธาจิ้นอ๋องมาก เหตุใดจึงไม่เคยได้ยินแม่นางน้อยเอ่ยถึงเลย”

แต่ไรมาฉีซู่ก็ให้ความเคารพนับถือต่อตู้ซื่อ จึงตอบตามความสัตย์จริง “จิ้นอ๋องจัดการเรื่องราวอย่างเอาใจใส่ ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความกระตือรือร้นใส่ใจ เป็นบุรุษที่สุภาพงดงาม ทว่าท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ ‘คนไม่มีข้อเสียคบไม่ได้’ ข้าเห็นว่าจิ้นอ๋องเป็นเช่นนั้น ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องแม้แต่ด้านเดียว ออกจะทำให้คนรู้สึกเป็นคนกลอกกลิ้งเป็นน้ำบนใบบอนมากเกินไป”

ตู้ซื่อยิ้มน้อยๆ ไม่ได้พูดอะไร กระทั่งก่อนที่นางจะติดตามหลี่เฉิงเพ่ยมาหย่งโจว ตู้ซื่อจึงไหว้วานคนนำสารมาให้นาง

 

‘พระชายาอ๋องเข้าใจหลักทำนองคลองธรรมอย่างทะลุปรุโปร่ง หม่อมฉันไม่มีเรื่องอะไรจะสั่งสอนอีก เพียงหวังว่าวันหน้าจะดูแลทะนุถนอมตนเองด้วยดี’

 

แต่พลังอำนาจไม่เพียงพอ จะดูแลทะนุถนอมอย่างไรได้ เรื่องในโลกนี้ที่เป็นไปได้ดังใจหวังมีสักกี่เรื่องกัน

แม้ฉีซู่จะอธิษฐานด้วยความนอบน้อมและจริงใจทุกวัน แต่ยังคงไม่อาจทำให้สวรรค์คุ้มครองฮ่องเต้มากขึ้น หลังจากนั้นไม่นานก็มีข่าวจากเมืองหลวงมาอีกครั้ง วันที่ห้าเดือนแปดรัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่ยี่สิบเอ็ด ฮ่องเต้เสด็จสวรรคต ณ ตำหนักชิงซือ วังตะวันออก

หลังจากคณะขุนนางได้กราบบังคมทูลเชิญครั้งแล้วครั้งเล่า รัชทายาทจึงยอมขึ้นสืบราชบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ฮองเฮาของฮ่องเต้องค์ก่อนได้รับการยกย่องขึ้นเป็นไทเฮา ชายารัชทายาทชุยซื่อได้รับการแต่งตั้งเป็นฮองเฮา บิดาของฮองเฮาชุยหมิงหลี่ ย้ายตำแหน่งจากหัวหน้าสำนักตรวจสอบมาเป็นหัวหน้าสำนักราชเลขาธิการ

ตามระบอบของบ้านเมืองที่วางไว้ สำนักราชเลขาธิการจะควบคุมกองกำลังทหารและกิจการของราชสำนัก รวมถึงร่างราชโองการ ส่วนสำนักตรวจสอบทำหน้าที่รับและจ่ายพระบัญชาของฮ่องเต้ มีอำนาจในการทูลเสนอข้อคิดเห็นแย้งและตีกลับหนังสือราชการที่ไม่ถูกต้อง ทั้งสองสำนักต่างเป็นแกนกลางสำคัญ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของทั้งสองสำนักแยกเป็นหัวหน้าสำนักราชเลขาธิการ หัวหน้าสำนักตรวจสอบ สำนักละสองคน หัวหน้าสำนักตรวจสอบได้ชื่อว่าเป็นอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย หัวหน้าสำนักราชเลขาธิการก็ถูกเรียกหาเป็นอัครเสนาบดีฝ่ายขวา ถ้าดูจากชื่อตำแหน่งหัวหน้าสำนักตรวจสอบสูงศักดิ์กว่า ทว่าสมัยหลังๆ มานี้ ถ้าดูจากอำนาจที่แท้จริง หัวหน้าสำนักราชเลขาธิการกลับมีตำแหน่งสูงกว่า

ชุยหมิงหลี่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักตรวจสอบมาหลายปี ขุนนางในสำนักตรวจสอบส่วนใหญ่เป็นคนในหน่วยงานเก่าของเขา จึงไม่กล้าโต้แย้งเขาง่ายๆ ชุยหมิงหลี่เป็นบิดาของฮองเฮา ทั้งมีตำแหน่งหน้าที่สำคัญ นอกจากนี้ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังทรงให้เขาเป็นผู้ควบคุมในที่ประชุมสภาขุนนางโดยเฉพาะ เรียกได้ว่ามีหน้ามีตาอย่างที่สุด เพียงชั่วเวลาอันสั้นราชโองการที่ออกจากสำนักราชเลขาธิการก็ราบรื่นปลอดโปร่งไร้อุปสรรค

เดือนหนึ่งปีถัดมา ฮ่องเต้องค์ใหม่มีราชโองการ เปลี่ยนรัชศกเป็น ‘กวงเย่า’

ฮ่องเต้องค์ใหม่เพิ่งขึ้นสืบราชบัลลังก์ ราชกิจรัดตัว ดูเหมือนไม่มีเวลาจะมาสนใจราชนิกุล เว้นก็แต่ผิงเอินอ๋อง เพื่อจะหลีกเลี่ยงตัวอักษรที่ตรงกับพระนามฮ่องเต้ จึงมีรับสั่งให้เปลี่ยนชื่อตัวกลางจาก ‘เฉิง’ เป็น ‘หยวน’ หลังจากนั้นเมืองหลวงกับหย่งโจวก็ไม่มีข่าวคราวติดต่อกันอีก

ฉีซู่แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก คิดว่าบางทีซีจิงทางโน้นคงลืมเลือนพวกนางสองสามีภรรยาไปแล้ว ทว่าหลังจากนั้นไม่กี่เดือนความหวังว่าจะโชคดีของฉีซู่ก็ถูกการมาเยี่ยมเยียนของจางฉี่ไท่ทำลายจนหมดสิ้น

เวลาล่วงเลยมาถึงเดือนสามรัชศกกวงเย่าปีที่หนึ่ง เมืองหย่งโจวเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา บุปผานานาพรรณกำลังเบ่งบาน สีหน้าเครียดขรึมของจางฉี่ไท่เมื่อเปรียบกับทัศนียภาพของฤดูใบไม้ผลิในสวนแล้วดูขัดกันอย่างรุนแรง

“ผู้ตรวจการจาง” ฉีซู่ไม่มีเวลาจะมาคำนึงถึงการแสดงความเคารพ รีบถามด้วยความร้อนใจ “มีข่าวจากเมืองหลวงเช่นนั้นหรือ”

จางฉี่ไท่พยักหน้า ตอบด้วยความเคารพนบนอบ “กระหม่อมได้รับราชโองการจากฝ่าบาท ให้ไปรับตำแหน่งเจ้าเมืองนครหลวงที่เมืองหลวง”

ฉีซู่กับหลี่หยวนเพ่ยต่างหันมามองหน้ากันแล้วไม่พูดอะไร ตามกฎเกณฑ์ของราชสำนัก ผู้ตรวจการหลังผ่านการตรวจสอบสี่ครั้งก็ต้องโยกย้าย ระยะเวลาที่จางฉี่ไท่รับตำแหน่งที่หย่งโจวเกินจากกำหนดเวลาไปแล้ว การโยกย้ายเป็นเรื่องที่ถูกจังหวะและเป็นไปตามขั้นตอน เจ้าเมืองนครหลวงเป็นตำแหน่งขุนนางขั้นสาม ปฏิบัติภาระหน้าที่ในเมืองหลวง ฐานะไม่ด้อยกว่าขุนนางสำคัญในกรมกอง แต่ไรมาก็จะเลือกเฟ้นผู้มีสติปัญญาความสามารถมาดำรงตำแหน่ง จางฉี่ไท่อยู่ที่เมืองหย่งโจวมีผลงานโดดเด่น ไปรับตำแหน่งดังกล่าวก็นับว่าสมเหตุสมผลแล้ว

หลี่หยวนเพ่ยฝืนยิ้ม “ข้าเคยพูดแล้วว่าพี่จางเป็นผู้มีความสามารถสูง ย่อมไม่ถูกจำกัดอยู่เพียงตำแหน่งนี้แน่นอน พี่จางได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง ข้าสองสามีภรรยาสมควรเตรียมงานเลี้ยงฉลอง เพื่อเป็นการแสดงความยินดีที่ได้เผาหาง*

จางฉี่ไท่ได้ฟังคำพูดแสดงความยินดีของหลี่หยวนเพ่ยแล้ว กลับไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือหัวเราะดี

ตอนตรวจสอบขุนนางในปีนั้นหลี่หยวนเพ่ยช่วยพูดแทนเขา แม้เขาจะไม่ได้เผยอารมณ์ความรู้สึกอะไรออกมา แต่กลับจดจารอยู่ในใจมาโดยตลอด อดีตฮ่องเต้ทรงให้รัชทายาทที่ถูกปลดจากตำแหน่งมาอยู่ในเขตปกครองของเขา เขาเองก็รู้ถึงเจตนาของอดีตฮ่องเต้ดี และคอยดูแลเอาใจใส่หลี่หยวนเพ่ยเป็นอย่างดีมาตลอด หลังจากเฝ้าสังเกตดูมาหลายปี เขามองออกว่าหลี่หยวนเพ่ยจิตใจบริสุทธิ์ดีงาม จึงตั้งใจจะคบหาด้วยความจริงใจ

ไปรับตำแหน่งเจ้าเมืองนครหลวงเป็นการเลื่อนขั้นนั้นไม่ผิด แต่จางฉี่ไท่ออกจะไม่มั่นใจว่าที่แท้แล้วเป็นการโยกย้ายตามปกติหรือฮ่องเต้องค์ใหม่ทรงมีแผนการอื่นใด เขายิ่งไม่แน่ใจว่าควรจะบอกถึงความกังวลในใจของตนกับสองสามีภรรยาหนุ่มสาวที่อยู่ตรงหน้าคู่นี้ดีหรือไม่

“เมื่อผู้ตรวจการจากไปแล้ว เราสองสามีภรรยา…” ฉีซู่อดที่จะขอบตาร้อนผ่าวไม่ได้

แม้นางจะไม่เคยพูดออกมาอย่างกระจ่างชัด จางฉี่ไท่ก็เข้าใจความหมายของนาง พระชายาอ๋องผู้นี้มองเรื่องราวได้ชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิงเอินอ๋องเทียบไม่ได้ บางทีหลี่หยวนเพ่ยอาจยังนึกไม่ถึง แต่นางน่าจะรู้ถึงความพะว้าพะวังของตนแล้ว

“พระชายาไม่ต้องเป็นกังวลแทนกระหม่อม” หลังจากลังเลเล็กน้อย จางฉี่ไท่ก็เอ่ยปากขึ้นช้าๆ “เหมือนดังที่ท่านอ๋องตรัสเมื่อครู่ ไปรับตำแหน่งครั้งนี้เป็นการเลื่อนขั้น อีกทั้ง…มีข่าวจากทางเมืองหลวงว่าฮ่องเต้องค์ใหม่มีพระประสงค์จะอนุญาตให้ท่านอ๋องกลับเมืองหลวง วันหน้าเมื่อท่านอ๋องกับพระชายากลับเมืองหลวง กระหม่อมยังสามารถไปพบปะสนทนากับท่านอ๋องและพระชายาได้อีก”

* เผาหาง หมายถึงเจริญรุ่งเรืองขึ้น มีตำนานเล่าว่าปลาไน (ปลาหลีฮื้อ) ได้กระโดดผ่านประตูมังกร ขณะข้ามผ่านประตูมังกร ฟ้าได้ผ่าลงมาที่หางทำให้หางถูกเผาขาด และปลาไนก็ได้กลายร่างเป็นมังกร

ฉีซู่มองจางฉี่ไท่ด้วยความฉงนสนเท่ห์ รู้สึกว่าเขาเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ออกมาในเวลานี้ดูจะแปลกประหลาด ตอนเขามาครั้งก่อนยังบอกพวกนางว่าอย่ากลับเมืองหลวง เพราะเหตุใดเวลานี้จู่ๆ จึงเปลี่ยนน้ำเสียงเสียแล้ว

จางฉี่ไท่เอ่ยเสริมขึ้นอีกประโยค “เมื่อกลับไปเมืองหลวง กระหม่อมย่อมต้องไปเยี่ยมคำนับหัวหน้าซู”

ฉีซู่กลอกนัยน์ตา ความคิดพลันเปิดโล่ง ตอนอดีตฮ่องเต้ยังมีพระชนม์ หย่งโจวฟ้าสูงฮ่องเต้อยู่ไกล ขอเพียงผู้ตรวจการเมืองนี้ไม่มีเจตนากลั่นแกล้ง พวกนางสองสามีภรรยาย่อมใช้ชีวิตอย่างไม่ยากลำบาก มาบัดนี้ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ สถานการณ์ย่อมซับซ้อนขึ้นมาก จางฉี่ไท่จากไปครั้งนี้ ประหนึ่งถอนฟืนใต้กระทะ* ถ้าฮ่องเต้องค์ใหม่มีเจตนาจะเล่นงานหลี่หยวนเพ่ย เพียงส่งคนที่มีความสนิทสนมกับหลี่หยวนเพ่ยและรู้จักมองแววตาของฮ่องเต้มาแทน พวกนางก็ไม่มีทางจะฟื้นคืนได้ตลอดไปแล้ว

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ถ้าฮ่องเต้อนุญาตให้หลี่หยวนเพ่ยกลับเมืองหลวงจริง ไม่สู้พายเรือตามน้ำ อย่างน้อยการอยู่ภายใต้สายตาฮ่องเต้ ฮ่องเต้ย่อมรู้สึกวางใจมากกว่า พวกนางจะสืบข่าว หาคนช่วยพูดจาขอร้องก็ง่ายกว่า อีกทั้งฮ่องเต้องค์ใหม่ดูเหมือนจะให้ความสำคัญต่อชื่อเสียง คิดดูแล้วคงไม่ถึงกับทำร้ายพี่น้องอย่างโจ่งแจ้ง ขอเพียงหลังกลับไปเมืองหลวงพวกนางเจียมเนื้อเจียมตัวไม่ออกนอกลู่นอกทาง ไม่ให้ฮ่องเต้จับผิดได้ กลับน่าจะปลอดภัยกว่าอยู่ที่เมืองหย่งโจว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลี่หยวนเพ่ยเคยอยู่วังตะวันออก ในหมู่ขุนนางผู้ใหญ่ยังมีบางคนที่เป็นขุนนางผู้ช่วยในวังตะวันออกในตอนนั้น ฉีซู่ยังได้ทราบจากจดหมายของมารดาซูอิ่น ท่านลุงซูมู่สองปีก่อนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าสำนักตรวจสอบภายใต้การแนะนำของรัชทายาท ญาติผู้พี่สองคนต่างก็เข้าเป็นขุนนางในราชสำนัก ถ้าในเมืองหลวงมีภัยพิบัติขึ้นมาจริง ก็ไม่ขาดแคลนคนที่จะช่วยวิ่งเต้นให้พวกนาง

ฉีซู่เข้าใจความหมายนอกคำพูดของจางฉี่ไท่แล้ว นางยอบตัวทำความเคารพเขา จางฉี่ไท่เบี่ยงตัวไม่กล้ารับการเคารพจากนาง ฉีซู่ยังคงยืนหยัดที่จะคารวะเพื่อแสดงการขอบคุณ “ขอบคุณท่านผู้ตรวจการที่ชี้แนะ วันหน้าย่อมต้องตอบแทนบุญคุณ”

 

* ถอนฟืนใต้กระทะ หนึ่งในสามสิบหกกลยุทธ์ตำราพิชัยสงครามซุนวู (ซุนอู่) หมายถึงการตัดกำลังคู่ต่อสู้โดยไม่ปะทะโดยตรงเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียของฝ่ายตนซึ่งมีกำลังน้อยกว่า

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 18

Comments

comments

Jamsai Editor: