สามารถอ่านบทก่อนหน้าได้ที่ >> บทที่ 1.1
โหยวเหมี่ยวพอใจในตัวอีกฝ่ายมาก แม้แต่สือฉีก็ยังไล่ออกไป เหลือหลี่จื้อเฟิงไว้ค่อยปรนนิบัติคนเดียว ด้านหลังฉากกั้นก็ปูผ้านวมเพิ่มอีกหลายชั้นและให้หลี่จื้อเฟิงนอนในที่แคบๆ นั่นเหมือนรังที่ห่อพันด้วยผ้านวม หลี่จื้อเฟิงเหมือนสุนัขที่เรียกก็มา โบกมือไล่ก็ไป ไม่สิ เปรียบดั่งสุนัขยังไม่ตรงเท่าไรนัก เพราะกระทั่งเรียกก็ยังไม่ต้องเอ่ยปากด้วยซ้ำ ทั้งสองคนมองสบตากันแวบหนึ่ง หลี่จื้อเฟิงก็รู้ทันทีว่าโหยวเหมี่ยวกำลังเรียกเขาหรือมองดูเขาเฉยๆ
ตัวคนน่าพอใจ แต่พูดน้อยเกินไป ถ้าพูดมากกว่านี้อีกสักนิด กล้าคุยเล่นกับเขาอีกสักหน่อยก็สมบูรณ์แบบแล้ว โหยวเหมี่ยวไม่ได้ออกจากบ้านเกือบครึ่งเดือน เอาแต่อ่านหนังสืออยู่ในบ้าน ตั้งใจว่าจะตามชดเชยบทเรียนที่ล้าหลังให้ทัน ช่วงนี้โหยวเต๋อโย่วแวะเวียนมาดูหลายครั้งก็พบว่าหลานชายอยู่ในร่องในรอยดี ทุกครั้งที่โหยวเหมี่ยวได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ จะรีบสั่งให้หลี่จื้อเฟิงไปหลบหลังฉากกั้นทันที
โหยวเต๋อโย่วคิดว่าหลานชายเปลี่ยนแปลงนิสัยใหม่แล้ว มีแต่โหยวเหมี่ยวเท่านั้นที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าที่จริงเป็นเพราะตอนนี้ตัวเองไม่มีเงินแล้ว เขาเหลือเงินไม่ถึงหกสิบตำลึง และต้องกระเหม็ดกระแหม่ใช้ไปจนกว่าจะขอเงินจากบิดาได้อีก แต่นี่เพิ่งจะผ่านไปสามเดือนเท่านั้น คงต้องรอให้พ้นปีใหม่แล้วค่อยขบคิดหาวิธีหว่านล้อมขอเงินมาจับจ่ายใช้สอย
ขณะที่โหยวเหมี่ยวกำลังนั่งอุดอู้อยู่ในบ้าน หลี่เหยียนกลับแวะมาหาเขาถึงบ้านด้วยตัวเอง
“โหยวเหมี่ยว!” หลี่เหยียนยืนตะโกนอยู่ในลานบ้าน พาเด็กรับใช้เดินส่ายอาดๆ เข้าไปโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะอยู่บ้านหรือไม่ โหยวเหมี่ยวจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วเดินออกไปรับหน้า เคราะห์ดีว่าโหยวเต๋อโย่วไม่อยู่บ้านพอดี อนุนามเยียนหงชะโงกหน้าแอบดูอยู่แถวๆ ทางเดิน หลี่เหยียนตั้งใจมาหาถึงบ้านเช่นนี้เป็นเรื่องแปลกมาก โหยวเหมี่ยวจึงเกิดอาการแตกตื่นเล็กน้อย
“เป็นอะไรหรือ”
“ข้าต่างหากที่ต้องถามเจ้าว่าเป็นอะไร เอาแต่หลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านทั้งวัน” หลี่เหยียนเดินเข้าไปผลักโหยวเหมี่ยวแล้วซักถาม
“กำลังอ่านหนังสือ” โหยวเหมี่ยวหัวเราะแหะๆ แล้วกล่าวตอบกลับไป
“เชื่อก็น่าขัน ฐานะบ้านเจ้าร่ำรวยปานนั้น ทั้งยังไม่เคยเห็นเจ้ามีแก่ใจจะจับตำรามาก่อน จู่ๆ มาตั้งใจอ่านหนังสืออะไร” หลี่เหยียนค่อนแคะ
โหยวเหมี่ยวทราบดีว่าหลี่เหยียนยอมวางมาดคุณชายและมาขอโทษด้วยตัวเองแล้ว ทั้งยังกอดไหล่เขาอย่างสนิทสนม สองพี่น้องจึงพากันเดินเข้าไปในเรือน
“บอกตามตรง ข้าเอาแต่ใช้เงินไม่ยอมอ่านหนังสือหนังหาจนตาแก่ใกล้เดือดดาลเต็มทน” โหยวเหมี่ยวตอบยิ้มๆ “ถ้าขืนยังไม่อ่านหนังสืออีกคงตัดเบี้ยเลี้ยงข้าเป็นแน่”
“เอ้า คืนให้เจ้า” หลี่เหยียนนึกอะไรขึ้นมาได้ ล้วงมือเข้าไปหยิบตั๋วเงินสองร้อยตำลึงออกจากอกเสื้อแล้วโยนให้โหยวเหมี่ยว
คราวนี้โหยวเหมี่ยวรู้สึกตื้นตันใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว แต่จะรับคืนก็ไม่ค่อยสะดวกใจจึงรีบโพล่ง “ไม่ได้ๆ ทำการค้าตกลงเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว จะเอาคืนได้อย่างไร”
“คืนให้เจ้าแล้วก็เก็บไปสิ” หลี่เหยียนขยุ้มคอเสื้อโหยวเหมี่ยวแล้วผลักเข้าห้อง
“บ้านข้าทำการค้า แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยรับเงินคืนของ”
“เจ้าอยากโดนด่าอีกอย่างนั้นหรือ”
“คนรอดมาได้แล้ว คิดเสียว่าข้าซื้อต่อจากเจ้าก็แล้วกัน…”
หลี่เหยียนกับโหยวเหมี่ยวยื้อยุดฉุดกระชากกันไปมา สุดท้ายหลี่เหยียนก็ทนไม่ไหวกดโหยวเหมี่ยวตรึงประตู แต่จู่ๆ ประตูห้องก็เปิดออก โหยวเหมี่ยวรู้สึกว่าตัวเองกำลังเอนไปพิงร่างใครคนหนึ่ง พอหันไปมองก็พบว่าเป็นหลี่จื้อเฟิงนั่นเอง
ครั้นหลี่เหยียนเห็นหลี่จื้อเฟิงก็หน้าเขียวหน้าดำทันที
หลี่จื้อเฟิงไม่ได้พูดอะไร แค่ดึงโหยวเหมี่ยวไปหลบหลังตัวเอง ปากขยับเล็กน้อยเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง โหยวเหมี่ยวกำลังถูกใจคนที่ใช้งานง่ายเลยเกรงว่าหลี่เหยียนจะทวงคืนไปทุบตีจนตายจึงรีบร้อนเอ่ยว่า “ซื้อก็ซื้อมาแล้ว เจ้าคนนี้เป็นของข้า”
“บังอาจ เจ้ามันก็แค่สุนัขตัวหนึ่ง ยังไม่คุกเข่าลง!” หลี่เหยียนบันดาลโทสะ ตะคอกใส่
หลี่จื้อเฟิงไม่สะทกสะท้าน โหยวเหมี่ยวเห็นสีหน้าหลี่เหยียนไม่ค่อยดีก็รีบละล่ำละลักพูด “คุกเข่าๆ หลี่จื้อเฟิง คุกเข่า”
หลี่จื้อเฟิงคุกเข่าลงข้างหนึ่งโดยไม่ได้กล่าววาจาใดๆ ออกมา วางมือซ้ายบนหัวเข่า ส่วนกำปั้นขวายันพื้น ค้อมตัวหันไปทางโหยวเหมี่ยว
“เอาอย่างนี้แล้วกัน” โหยวเหมี่ยวรับตั๋วเงินสองร้อยตำลึงมาจากมือหลี่เหยียน เก็บไว้เองหนึ่งร้อยตำลึงแล้วยัดอีกหนึ่งร้อยตำลึงใส่อกเสื้อหลี่เหยียนพร้อมถามต่อว่า “เขาแซ่หลี่ เจ้าคงเป็นคนตั้งชื่อให้เขาสินะ”
หลี่เหยียนแค่นเสียง โหยวเหมี่ยวรีบกล่าวต่อว่า “ข้าจะไม่เปลี่ยนชื่อ ทาสเฉวี่ยนหรงก็คิดเสียว่าเจ้ายกให้ข้า ส่วนเงินนี่ถือเสียว่าข้าเลี้ยงสุราเจ้าเป็นอย่างไร”
“ตอนนี้กลายเป็นทาสของเจ้าแล้ว จะอนุญาตให้ข้าทุบตีมันหรือไม่”
“ได้แน่นอน เจ้าทุบตีได้เลย”
หลี่เหยียนยกเท้าถีบหลี่จื้อเฟิงล้มโครมลงกับพื้น จากนั้นคว้าแจกันมาฟาดหัวซ้ำ เสียงกระเบื้องแตกดังกังวาน แจกันดอกไม้แตกกระจายเต็มพื้น เลือดพุ่งกระฉูดออกมาจากหน้าผากหลี่จื้อเฟิง แต่เขายังพยายามฝืนลุกขึ้นมาคุกเข่า
โหยวเหมี่ยวเห็นดังนั้นกล้ามเนื้อบนใบหน้าพลันกระตุก ขยุ้มแขนเสื้อแน่น หลี่เหยียนเอ่ยว่า “เจ้าสุนัขบัดซบ สบายเจ้าแล้วสินะ”
“พอเถอะ ยังไม่พออีกหรือ”
“เห็นแก่หน้าเจ้า พอแค่นี้ก็ได้”
โหยวเหมี่ยวไม่รู้ว่าหลี่เหยียนกับทาสเฉวี่ยนหรงมีความแค้นอันใดต่อกัน แต่อีกฝ่ายออกปากเช่นนี้แล้วต่อไปน่าจะไม่หาเรื่องเขาอีก คราวหน้าคงพาออกจากบ้านได้แล้ว
หลี่เหยียนหมุนตัวเดินเข้าไปในเรือน โหยวเหมี่ยวดีใจมากที่จบเรื่องเสียที เรื่องของหลี่เหยียนก็ตกลงกันได้แล้วจึงถามว่า “วันนี้จะไปเล่นที่ไหนดี”
“เจ้าคนแซ่หลินได้ม้าดีมาจากซีอวี้* ลองไปดูกันเถอะ ไป”
หลี่จื้อเฟิงคุกเข่านิ่งอยู่ในห้อง โหยวเหมี่ยวกับหลี่เหยียนเดินกอดไหล่ผ่านทางเดินออกไป
หลังจากหลี่เหยียนกับโหยวเหมี่ยวจากไป อนุภรรยาของโหยวเต๋อโย่วนามเยียนหงก็เดินออกมาจากหลังเสาตรงทางเดินแล้วชะเง้อชะแง้มองเข้าไปในห้องโหยวเหมี่ยวด้วยความอยากรู้อยากเห็น จึงเห็นหลี่จื้อเฟิงที่มีเลือดท่วมหน้านั่งคุกเข่าเก็บเศษซากกระเบื้องบนพื้น
“เจ้าเป็นคนของคุณชายโหยวหรือ” เยียนหงถาม “ทำไมไม่เคยเห็นหน้าเจ้ามาก่อน”
* ซีอวี้ หรือดินแดนตะวันตก เป็นคำที่ชาวจีนสมัยฮั่นใช้เรียกดินแดนนอกด่านทางตะวันตก ซึ่งได้แก่บริเวณซินเจียงไปจนถึงแถบตะวันออกกลาง
หลี่จื้อเฟิงเงยหน้ามองนางแวบหนึ่ง
“เจ้าเป็นใบ้หรือ”
วันนั้นโหยวเหมี่ยวกับหลี่เหยียนเดินคุยกระเซ้าเย้าแหย่ไปที่จวนรองเสนาบดีกรมพิธีการเพื่อดูม้าดีที่สหายได้มา โหยวเหมี่ยวขี่ม้าไม่เป็น หลี่เหยียนจึงบอกว่าจะสอนเขาขี่ม้า ขณะกำลังหารือกันว่าจะออกไปขี่ม้ากันนอกเมือง บ่าวรับใช้ของสกุลโหยวก็มาส่งจดหมายบอกให้เขารีบกลับคฤหาสน์ด่วน
โหยวเหมี่ยวหมดอารมณ์สนุก จำใจบอกลาสหายกลับบ้าน พอก้าวเข้าไปในคฤหาสน์ก็เห็นหลี่จื้อเฟิงนั่งคุกเข่าอยู่ในห้องโถงและมีหนังสือสัญญาขายตัวของเขาวางอยู่บนโต๊ะ โหยวเต๋อโย่วที่นั่งตัวสั่นด้วยความเดือดดาลอยู่บนเก้าอี้ดูคล้ายภูเขาก้อนเนื้อขนาดมหึมา โหยวเหมี่ยวเห็นดังนั้นก็คาดเดาสาเหตุได้ทันที
“คนนี้…” โหยวเหมี่ยวอธิบาย “เป็นทาสที่สหายยกให้ข้า”
“แค่บอกว่าเป็นทาสก็รับมาแล้ว! เจ้าคิดว่าเขาเป็นทาสธรรมดาอย่างนั้นหรือ ทาสนี่เลี้ยงยากมากเพียงใด เจ้ารู้หรือไม่! รีบไล่เขาไปเดี๋ยวนี้ ไล่ไปๆ อย่าก่อเรื่องเด็ดขาด!”
หัวใจของโหยวเหมี่ยวเต้นรัวกระหน่ำ เขาหันไปมองหลี่จื้อเฟิง “เจ้าก่อเรื่องหรือ”
หลี่จื้อเฟิงไม่ได้พยักหน้าหรือส่ายหน้า
“ท่านอา ให้ข้าเก็บไว้เถอะ บ่าวคนนี้ใช้งานได้ดั่งใจกว่าสือฉีเสียอีก” โหยวเหมี่ยวหัวเราะแห้งๆ
“ไม่ได้!” โหยวเต๋อโย่วตวาดเสียงดังลั่น
ภรรยาเอกที่นั่งอยู่ด้านข้างสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจจนเผลอทำน้ำชาหกรดตัว รีบร้อนเอ่ยว่า “ท่านพี่โปรดระงับโทสะ ท่านพี่โปรดระงับโทสะ…เหมี่ยวเอ๋อร์ นี่ไม่ใช่ทาสธรรมดาทั่วไป แต่เขาเป็นชาวเฉวี่ยนหรงเชียวนะ เราไม่อาจเก็บทาสเฉวี่ยนหรงไว้ในบ้าน เพราะจะเกิดเรื่องขึ้นได้”
“ชาวเฉวี่ยนหรงหรือ”
โหยวเหมี่ยวยังไม่ค่อยเข้าใจนัก ทาสเฉวี่ยนหรงแล้วอย่างไร
“เหมี่ยวจื่อเอ้ยเหมี่ยวจื่อ เจ้าไม่รู้หรือว่าราชสำนักเกลียดชังชาวเฉวี่ยนหรงมากแค่ไหน ปีนั้นข้าส่งสินค้าออกไปนอกด่าน พวกเราชาวฮั่นต่อสู้กับชาวเฉวี่ยนหรง ผู้คนล้มตายเป็นเบือ ชาวเฉวี่ยนหรงข่มเหงสตรีชาวฮั่น วางเพลิงเผาบ้านเรือนชาวฮั่น เข่นฆ่าลูกเด็กเล็กแดง เรื่องพวกนี้ยังไม่ร้ายแรงอีกหรือ!” โหยวเต๋อโย่วสั่งสอนด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“อ้อ”
“…” ทุกคนต่างพูดไม่ออก
โหยวเต๋อโย่วชี้หลี่จื้อเฟิงที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น เนื้อตัวสั่นระริกด้วยความโกรธจัด “พวกนอกด่านจับตัวชาวเฉวี่ยนหรงได้ล้วนเคียดแค้นชิงชังจนอยากถลกหนังกระชากเส้นเอ็นพวกเขา แต่เจ้ากล้าดีพาหมาป่าชั่วร้ายตัวนี้เข้ามาอยู่ในบ้าน เจ้าไม่กลัว…”
“แต่ในหนังสือสัญญาขายตัวเขียนระบุไว้แล้วไม่ใช่หรือ ท่านอา ท่านดูสิ เจ้าคนนี้กินยาอะไรสักอย่าง ตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกเรา…”
“ไม่ได้ๆ เจ้าไม่เข้าใจ รีบไล่เขาไปตามที่ข้าสั่งเดี๋ยวนี้ ข้าบอกว่าเดี๋ยวนี้…!” เสียงตวาดของโหยวเต๋อโย่วดังสนั่นหวั่นไหวจนฝุ่นร่วงกราวลงมาจากหลังคา
โหยวเหมี่ยวหัวเราะแห้งๆ โหยวเต๋อโย่วจึงตะคอกซ้ำว่า “หัวเราะ! หัวเราะอะไร!”
“เขาเคยได้รับการสั่งสอนมาแล้ว หลายวันก่อนโดนหลี่เหยียนทุบตีปางตาย ข้าลำบากแทบแย่กว่าจะช่วยชีวิตเขาได้ ซ้ำยังมาป่วยหนัก เสียเงินเสียทองไปตั้งสองร้อยห้าสิบตำลึง…”
คำพูดหลุดออกจากปาก ทุกคนในห้องต่างตาเหลือกขาวกันหมด โหยวเต๋อโย่วนั่งเบิกตาโพลงอยู่บนเก้าอี้ ฮูหยินตกใจจนตัวอ่อนยวบ ลื่นไถลตกจากเก้าอี้ อนุที่แอบฟังอยู่ด้านนอกก็อุทานก่อนเป็นลมหมดสติ
สองร้อยห้าสิบตำลึง?! ค่ากินค่าอยู่รวมค่าใช้จ่ายของบ่าวไพร่ในคฤหาสน์ของโหยวเต๋อโย่วหนึ่งปียังแค่แปดสิบตำลึงเท่านั้น!
“เอาเขาชั่งน้ำหนักขายยังได้ไม่ถึงสองร้อยห้าสิบตำลึงเลย ท่านอา ท่านว่าจริงหรือไม่”
“จะ…เจ้า…ทำเรื่องดีนักนะ ข้าจะเขียนจดหมายฟ้องบิดาเจ้า ดูสิว่าเขาจะสั่งสอนเจ้าอย่างไร…เจ้าเดรัจฉาน!” โหยวเต๋อโย่วพูดอะไรไม่ออก
“ท่านอาระงับโทสะด้วย อีกอย่างจะว่าไปแล้ว เขาก็เป็นคนที่คุณชายท่านอัครเสนาบดีขายให้ข้า…” โหยวเหมี่ยวลนลานพูดแก้ตัว
“ต่อให้รัชทายาทประทานให้ เจ้าก็รับไม่ได้! รีบไล่เขาไปเสีย ข้าจะเขียนจดหมายบอกบิดาเจ้า…”
โหยวเหมี่ยวคิดไม่ถึงว่าทาสเฉวี่ยนหรงจะสร้างเรื่องยุ่งยากถึงเพียงนี้ ขอเพียงเกี่ยวพันถึงบุญคุณความแค้นของบ้านเมืองย่อมไม่ใช่เรื่องที่จะจัดการได้โดยง่าย อ่านตำราปราชญ์พื้นฐานยังรู้จักตรรกะที่ว่าคนต่างเผ่าพันธุ์ จิตใจย่อมแตกต่างกัน ตอนเหลือบมองหลี่จื้อเฟิงที่คุกเข่าอยู่ด้านข้าง ในใจของโหยวเหมี่ยวพลันเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้นมา
ไม่ใช่ว่าเขาอาลัยอาวรณ์ทิ้งไม่ลง แต่อย่างไรเสียคนคนนี้ก็เป็นคนที่เขาช่วยชีวิตมาด้วยมือของตัวเอง ข้าวของที่เก็บได้จากข้างทาง กระทั่งรักษาสุนัขหรือแมวจนหายดีสักตัวยังรู้สึกผูกพัน แล้วคนเล่า
โหยวเหมี่ยวมองหลี่จื้อเฟิงแล้วนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ไม่รู้ว่าทาสเฉวี่ยนหรงมีความรู้สึกใดๆ ต่อตัวเองบ้างหรือไม่ น่าจะมีกระมัง มิฉะนั้นคงไม่พูดว่าหากสั่งให้เขามีชีวิตอยู่ก็จะมีชีวิตอยู่ สั่งให้เขาตายก็จะตาย
แต่บางครั้งคำพูดกับการกระทำก็เป็นคนละเรื่อง
“นี่เจ้า!” โหยวเต๋อโย่วถลึงตาใส่
โหยวเหมี่ยวได้สติกลับมา หัวเราะแห้งๆ โหยวเต๋อโย่วไม่หลงกลลูกไม้ของเขา รวบรวมกำลังทำท่าจะตะคอกใส่อีกรอบ แต่โหยวเหมี่ยวชิงโพล่งปิดปากท่านอาก่อน
“แล้วจะให้ทำอย่างไร ข้ากำลังทะเลาะกับหลี่เหยียน รออีกสักหลายวันจนกว่าเขาจะยอมมาหาข้าถึงบ้าน ค่อยส่งบ่าวคนนี้กลับคืนไปเป็นอย่างไร”
หลี่จื้อเฟิงได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองโหยวเหมี่ยวแวบหนึ่ง
“เจ้าต้องรีบจัดการโดยเร็ว รีบจัดการให้ข้าโดยเร็วที่สุด” โหยวเต๋อโย่วกล่าวว่า
โหยวเหมี่ยวรับคำได้ๆๆ แล้วถีบหลี่จื้อเฟิงทีหนึ่งเพื่อให้ตามตัวเองออกไป ฮูหยินรีบร้อนกล่าวว่า “เหมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าอย่าเก็บคนผู้นี้ไว้ในห้องอีกเลย เผื่อเขาคิดแก้แค้นขึ้นมา…”
“ได้ๆๆ” โหยวเหมี่ยวตอบรับ “ข้าทราบดี อาสะใภ้”
วันนั้นพอกลับไปที่ห้อง พ่อบ้านแวะมาดูให้หลี่จื้อเฟิงย้ายไปพักที่ห้องเก็บฟืน โหยวเหมี่ยวทราบดีว่าจะก่อเรื่องไม่ได้จึงปล่อยให้เขาย้ายไปก่อน พ่อบ้านจัดหาที่นอนเก่าๆ ให้หลี่จื้อเฟิงแล้วทำท่าจะใส่กลอนห้องเก็บฟืน โหยวเหมี่ยวเห็นดังนั้นก็บันดาลโทสะ ตวาดว่า “จะทำอะไร”
“นายท่านกำชับไว้ เพราะเกรงว่าเขาอาจจะก่อเรื่องขึ้นมา” พ่อบ้านละล่ำละลักตอบ
“ข้าเก็บเขาไว้ในห้องมาครึ่งเดือน เขายังไม่เคยทำอะไรข้าสักอย่าง เจ้ายังกลัวเขาก่อเรื่องอีกหรือ”
“นะ…นี่…คุณชาย นี่เป็นคำสั่งของนายท่าน…”
“ข้าเสียเงินซื้อเขาตั้งสองร้อยตำลึงเชียวนะ เขายังต้องปรนนิบัติข้า ถ้าขังเขาไว้ เจ้าจะชดใช้ให้ข้าหรือ” โหยวเหมี่ยวไม่สนใจ
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะมอบกุญแจให้คุณชายแทน เป็นอย่างไร” พ่อบ้านลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ
“เอามา”
พ่อบ้านใส่กลอนประตู โหยวเหมี่ยวรับกุญแจมาแล้วเปิดประตูต่อหน้าต่อตา พ่อบ้านจึงทำได้เพียงเดินฮึดฮัดจากไป โหยวเหมี่ยวมองเข้าไปในห้องเก็บฟืน หลี่จื้อเฟิงที่นั่งกอดเข่าพิงผนังเงยหน้ามองเขา
โหยวเหมี่ยวเดินจากไป หลายวันต่อมาหลี่จื้อเฟิงก็ทำทุกอย่างเช่นเดิม แค่ต้องอาศัยอยู่ในห้องเก็บฟืนหลังบ้านเท่านั้น ทุกวันต้องตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง จากนั้นไปนั่งอยู่หน้าห้องโหยวเหมี่ยว รอให้เขาตื่นมาเปิดประตู เพื่อจะได้เข้าไปปรนนิบัติ
สาวใช้บ่าวคนสนิทต่างชี้ชวนกันดูคนที่มาอยู่ใหม่ แต่หลี่จื้อเฟิงไม่ได้ปริปากพูดกับคนอื่นเลย อนุแสดงท่าทีชื่นชมบุรุษหนุ่มร่างสูงใหญ่คนนี้ แต่ฮูหยินคิดว่าหลี่จื้อเฟิงแสร้งทำเป็นซื่อสัตย์ภักดี
หลายวันผ่านไป โหยวเหมี่ยวเหลือเงินติดตัวแค่ไม่กี่สิบตำลึงจึงออกจากบ้านไปหาหลี่เหยียนเพื่อถามเรื่องทาสเฉวี่ยนหรงว่าจริงเท็จอย่างไร เขาจำต้องรู้ให้ชัดเจน จะได้ตัดสินใจถูกว่าควรทำอย่างไรกับเจ้านั่น
วันนั้นระหว่างที่โหยวเหมี่ยวกับหลี่เหยียนกำลังนั่งชมการแสดงงิ้วด้วยกัน โหยวเหมี่ยวก็เอ่ยปากถามอีกฝ่าย “นี่”
หลี่เหยียนเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง โหยวเหมี่ยวโอบไหล่อีกฝ่ายแล้วชะโงกหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูอย่างใกล้ชิดสนิทสนม “ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า ทาสเฉวี่ยนหรงนั่น…”
“เขาเปิดบริสุทธิ์เจ้าแล้วหรือ”
“ไม่ใช่ๆ…เจ้าพูดอะไรกัน หา แปลว่าเจ้าเคยโดนเขาเปิดบริสุทธิ์แล้วหรือ ฮ่าๆๆ…”
โหยวเหมี่ยวชี้หลี่เหยียนแล้วหัวเราะลั่น หลี่เหยียนตะคอกด้วยความโกรธจัด “ถ้าขืนเจ้ายังกล้าพูดจาเหลวไหลอีก ข้าจะตัดลิ้นเจ้า!”
“ทาสเฉวี่ยนหรงของเล่นชิ้นนี้…เลี้ยงไว้ในเมืองหลวงไม่ได้หรือ” โหยวเหมี่ยวกลับมาทำท่าจริงจังใหม่แล้วถามต่อ
“เจ้าตอบไปว่าข้ายกให้เจ้าก็พอ ถึงจะบอกกันอย่างเปิดเผยว่าเลี้ยงไว้ไม่ได้ แต่ข้าเคยกลัวเจ้าพวกสุนัขกรมอาญาด้วยหรือ”
“ทำไมถึงเลี้ยงไว้ไม่ได้”
“เพราะเป็นศัตรูของบ้านเมืองอย่างไรเล่า มิฉะนั้นจะมีกฎเกณฑ์มากมายเช่นนี้หรือ” หลี่เหยียนตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“ร้ายแรงขนาดนั้นเชียวหรือ”
“พวกเจ้าคนทางใต้ไม่รู้อะไร…”
บนเวทีกำลังแสดงเรื่องหวังเจาจวินเดินทางออกนอกด่าน* ส่วนหลี่เหยียนก็อธิบายให้โหยวเหมี่ยวฟังว่าทำไมถึงเลี้ยงทาสเฉวี่ยนหรงเอาไว้ไม่ได้ ที่แท้แคว้นเทียนฉี่มีปัญหาตรงชายแดนมาโดยตลอด เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนทำสัญญากับชน
* หวังเจาจวิน หนึ่งในสี่ยอดหญิงงามแห่งประวัติศาสตร์จีน ได้รับฉายาว่าปักษีตกนภา เพราะงดงามมากจนฝูงนกยังร่วงหล่นจากท้องฟ้า แต่ตอนเข้าวังไม่ยอมติดสินบนจิตรกรที่วาดภาพหญิงสาวทั้งหมดให้ฮ่องเต้เลือกทำให้รูปของนางวาดออกมาไม่เหมือนตัวจริง ฮ่องเต้จึงไม่เคยเลือกนางเข้าเฝ้า ต่อมาเผ่าซยงหนูเดินทางมาผูกสัมพันธ์กับราชวงศ์ฮั่น หวังเจาจวินอาสาแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรี ครั้งแรกที่ปรากฏตัวต่อหน้าพระพักตร์ก็ทำให้ฮ่องเต้ตกตะลึงในความงามและเสียดายยิ่งนัก แต่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วจึงจำใจปล่อยให้นางเดินทางออกนอกด่านไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีกับเผ่าซยงหนูตามเดิม
เผ่านอกด่าน ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างสงบสุขร่มเย็นมานานหลายสิบปี จนกระทั่งเมื่อสิบปีก่อน ชนเผ่าทางเหนือค่อยๆ แข็งกร้าวขึ้นมาทำให้เกิดสงครามวุ่นวายแถวๆ ชายแดนเป็นครั้งคราว
เวลานั้นเผ่าเฉวี่ยนหรง เซียนเปย เจี๋ย เชียง และตี รวมตัวกันรุกรานแคว้นเทียนฉี่เป็นระยะ ศึกใหญ่ที่ภูเขาเจวี๋ยเยวี่ย เทียนฉี่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้จนต้องล่าถอยทัพ เจ็ดเมืองแถวชายแดนล้วนหลั่งเลือดท่วมแผ่นดินด้วยฝีมือคนเถื่อน บ่มเพาะจนกลายเป็นทะเลเลือดแห่งความเคียดแค้นชิงชังอันลึกล้ำระหว่างชาวฮั่นกับชนเผ่าเหล่านั้น ทั้งสองฝ่ายต่างมีสงครามปะทะกันมายาวนานหลายปี ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ
ต่อมากษัตริย์เผ่าเฉวี่ยนหรงสิ้นใจ เหล่าองค์ชายแก่งแย่งช่วงชิงบัลลังก์ไม่หยุด เพลิงสงครามลุกลามขยายวงกว้างจนส่งผลกระทบต่อชนเผ่าทั้งหมด ชาวฮั่นฉวยโอกาสยกทัพบุกภูเขาเจวี๋ยอิ่น หลังจากเปิดศึกนองเลือดครั้งใหญ่ ชาวเฉวี่ยนหรงจำต้องล่าถอยกลับนอกด่าน ช่วงที่บ้านเมืองบอบช้ำหนักจากศึกสงคราม อิทธิพลของเผ่าเฉวี่ยนหรงก็ค่อยๆ เสื่อมโทรมลงจนสูญเสียตำแหน่งผู้นำชนเผ่าทั้งหมดในที่สุด
ปีนั้นหลังจากสงครามครั้งใหญ่สิ้นสุดลง เชลยศึกถูกกวาดต้อนเข้าเมืองหลวง ได้ยินว่าองค์ชายเล็กของกษัตริย์เฉวี่ยนหรงหายสาบสูญไร้ร่องรอย ส่วนองค์ชายใหญ่รับสืบทอดตำแหน่งกษัตริย์ต่อแต่ไม่ได้มาร้องขอเชลยศึกคืน ดังนั้นชาวเฉวี่ยนหรงเหล่านี้บ้างโดนคุมขัง บ้างถูกส่งตัวไปใช้แรงงาน บ้างก็โดนขายเข้าหอสังคีต ชาวเฉวี่ยนหรงแต่ละคนล้วนเป็นนักรบมือดี สามารถสู้ศึกหนึ่งต่อร้อยได้สบายๆ ตอนกองทัพกวาดต้อนเชลยศึกกลับมาจึงจำเป็นต้องเอาผงสลายเส้นเอ็นบังคับให้พวกเขากินจนสิ้นไร้เรี่ยวแรง กลายเป็นปลาบนเขียงที่นึกจะทำอะไรหรืออย่างไรกับพวกเขาก็ได้
โหยวเหมี่ยวฟังจบก็ตกตะลึงอย่างมาก
“ถ้าเจ้านั่นมีวรยุทธ์จริง สิ่งแรกที่มันคิดจะทำก็คือสังหารพวกเรา เจ้าเชื่อหรือไม่ พวกเขาชาวเฉวี่ยนหรงเจอพวกเราชาวฮั่น ไม่พูดไม่จาก็เปิดฉากโจมตีทันที ชาวเฉวี่ยนหรงข่มเหงสตรีชาวฮั่นของเรา ชาวฮั่นฆ่าล้างหมู่บ้านพวกเขา นี่ไม่ใช่เรื่องที่แค่พูดคุยเจรจากันไม่กี่ประโยคก็เลิกแล้วต่อกันได้” หลี่เหยียนอธิบายต่อ
โหยวเหมี่ยวกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย แต่พอลองขบคิดดูแล้ว ถ้าตัวเองโดนหลี่เหยียนกลั่นแกล้งทรมานจนร่อแร่ปางตายขนาดนั้นย่อมต้องคิดสังหารเขาล้างแค้นแน่นอน
“ถ้าอย่างนั้น ทำไมเจ้าไม่…” โหยวเหมี่ยวลองหยั่งเชิง “ลองหาวิธีที่ปลอดภัยกว่านี้?”
“ข้าถึงได้คิดสังหารเขาอย่างไรเล่า แต่เจ้าขอตัวไปแล้วไม่ใช่หรือ”
โหยวเหมี่ยวไม่ได้ปฏิเสธ แค่หัวเราะอย่างกระดากใจ
“เหอๆๆ” โหยวเหมี่ยวกล่าวต่อว่า “ข้าไม่รู้นี่นา”
“เดิมทีข้าตั้งใจพากลับบ้านมาเล่นเฉยๆ แต่เจ้าทาสนั่นดื้อดึงนัก…ช่างเถอะๆ เจ้าก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน เล่นสนุกแค่ไม่กี่วันแล้วสังหารเขาเสีย แต่เรื่องสังหารฆ่าฟัน ถ้าเจ้าไม่กล้าลงมือก็ส่งตัวกลับมา ข้าจะจัดการแทนเจ้าเอง”
โหยวเหมี่ยวได้ยินดังนั้นก็รู้สึกใจคอไม่ดี ขณะพวกเขากำลังชมการแสดงงิ้วอย่างออกรสออกชาติ บ่าวรับใช้ก็มาหา บอกว่าจดหมายของนายท่านจากอำเภอชิงเฉิง เมืองหลิวโจวส่งมาถึงแล้ว โหยวเหมี่ยวหัวใจเต้นรัวกระหน่ำ รีบร้อนบอกลาหลี่เหยียนแล้วเดินทางกลับบ้านทันที
ลมเหนือพัดกรูเข้ามาในลานบ้าน โหยวเหมี่ยวถูฝ่ามือให้อบอุ่นพลางก้าวลงจากเกี้ยว ตอนเดินไปที่ห้องหนังสือเหลือบเห็นหลี่จื้อเฟิงกวาดหิมะในเรือนปีกตะวันออก โหยวเหมี่ยวพลันชะงักฝีเท้า หลี่จื้อเฟิงสังเกตเห็นเขาก็หยุดกวาดพื้น ทำท่าเหมือนอยากจะเดินมาหาแต่ไม่กล้า อากาศหนาวเหน็บ หลี่จื้อเฟิงสวมเสื้อบางๆ แค่ตัวเดียว แต่ไม่มีท่าทีหวาดกลัวต่อความหนาวเย็นเลยแม้แต่น้อย เสื้อเนื้อหยาบที่สวมทับอยู่บนเรือนร่างสูงใหญ่แค่เพียงตัวเดียวให้ความรู้สึกคล้ายแพรพรรณห่อหุ้มแท่งเหล็กกล้า
“เข้าไปผิงไฟ” โหยวเหมี่ยวเอ่ย
หลี่จื้อเฟิงทำท่าเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง โหยวเหมี่ยวยกมือสั่งให้เขาเข้าไปข้างใน จากนั้นหมุนตัวเดินเข้าห้องหนังสือ
โหยวเต๋อโย่วถลึงตามองหลานชาย โหยวเหมี่ยวรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มร่า “ท่านพ่อว่ากระไรหรือ”
“เจ้าดูเองเถอะ” โหยวเต๋อโย่วโยนจดหมายให้ โหยวเหมี่ยวรับมาฉีกอ่านทันที
โหยวเต๋อโย่วจ้องหน้าหลานชายพลางสังเกตสีหน้า
ในจดหมายไม่ได้พูดถึงเรื่องที่โหยวเหมี่ยวทำตัวเหลวไหลในเมืองหลวงแม้แต่คำเดียว แค่บอกว่าโหยวเหมี่ยวถึงวัยสมควรสร้างครอบครัวแล้ว ปีนั้นบิดาอายุสิบสี่ปีก็เริ่มก่อร่างสร้างตัวแยกครอบครัวออกมาจากพี่น้อง แม้วันนี้โหยวเหมี่ยวกำลังศึกษาร่ำเรียนอยู่ในเมืองหลวง แต่ก็สมควรพิจารณาชีวิตในภาคภายหน้าของบุรุษได้แล้ว
เนื่องจากปีนี้อากาศหนาวเย็นกว่าปีก่อนๆ และได้ยินว่าชายแดนทางเหนือเริ่มมีสถานการณ์ไม่ค่อยดี อีกทั้งยังคิดถึงโหยวเหมี่ยวจึงขอให้เขาเดินทางกลับบ้านสักครั้ง ถ้าหากไม่มีอะไรขัดข้องก็ให้โหยวเต๋อโย่วจัดขบวนสินค้าล่องจากเหนือลงใต้ เดินทางผ่านเมืองชางโจวเข้าสู่เมืองหลิวโจว
ช่างประจวบเหมาะพอดี โหยวเหมี่ยวขบคิด ลองกลับบ้านสักครั้งจะได้ถือโอกาสขอเงินด้วย แต่จะให้สร้างครอบครัวอะไรกัน ไร้สาระทั้งเพ หนังสือตำราในเมืองหลวงยังศึกษาร่ำเรียนไม่จบ มาสั่งให้เขากลับบ้านเวลานี้คงคิดจะสู่ขอลูกสะใภ้ให้ลูกชายเป็นแน่
“หึ” โหยวเต๋อโย่วหัวเราะเจ้าเล่ห์ “เจ้าเดาสิว่าบิดาเจ้าคิดจะทำอะไร”
“แหะๆๆ” โหยวเหมี่ยวทราบดีว่าข้อความในจดหมายของบิดาคงปิดบังคนผู้นี้ไม่ได้จึงตอบว่า “คงคิดสู่ขอภรรยาให้ข้า จะได้ให้ภรรยาคอยควบคุมดูแลข้ากระมัง”
โหยวเหมี่ยวพับจดหมายแล้วสอดเข้าอกเสื้อ
“เจ้าก็รู้หรือว่าควรมีภรรยาคอยควบคุมดูแล อย่าเพิ่งรีบร้อนไป ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า เมื่อไรจะไล่ทาสเฉวี่ยนหรงไปเสีย คนผู้นี้ห้ามพากลับบ้านเด็ดขาด!” โหยวเต๋อโย่วกล่าวต่อ
โหยวเหมี่ยวส่งเสียงอ้อคำหนึ่ง ผู้เป็นอายังกล่าวต่ออีกว่า “ก่อนกลับบ้านต้องขับไล่เขาไปเสีย มาทางไหนไปทางนั้น”
ทว่าโหยวเหมี่ยวยังตัดใจปล่อยไปไม่ได้ โหยวเต๋อโย่วก็สั่งสอนย้ำเตือนอีก “กลับหลิวโจวแล้ว คนอย่างบิดาเจ้ามีหรือจะให้เจ้าน้อยกว่าสองร้อยตำลึง”
“ขอรับๆๆ”
ปากโหยวเหมี่ยวตอบเช่นนี้ แต่ในใจไม่ค่อยเต็มใจนักเพราะยังอยากรั้งอยู่ต่ออีกหลายวัน ไม่แน่ว่าคนในคฤหาสน์อาจจะรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาก็เป็นได้ แต่ในเมื่อบิดาเรียกเขากลับบ้าน ทาสเฉวี่ยนหรงย่อมทิ้งไว้ที่บ้านท่านอาไม่ได้ มิฉะนั้นเท้าหน้าตัวเองก้าวออกจากบ้าน หลี่จื้อเฟิงที่อยู่เท้าหลังคงโดนขายทิ้งเป็นแน่
จะส่งตัวกลับไปที่จวนหลี่เหยียนก็ยิ่งไม่ได้ใหญ่ หลี่เหยียนคงฆ่าทิ้งทันทีโดยไม่แม้แต่จะหยุดมองหน้าสักแวบ
พาไปด้วย? แต่พากลับบ้านไม่ได้แน่ คงทำได้เพียงปล่อยตัวไปในระหว่างทางแล้วปล่อยให้ไปแสวงหาหนทางทำมาหากินเอง ถึงแม้ว่าจะเสียเงินซื้อมาตั้งสองร้อยตำลึง แต่ความรู้สึกที่โหยวเหมี่ยวมีต่อหลี่จื้อเฟิงก็ไม่ได้มีแค่เรื่องเงินเท่านั้น
โหยวเต๋อโย่วบอกให้โหยวเหมี่ยวกลับไปเตรียมตัว ประจวบกับช่วงนี้ขบวนสินค้าหน้าหนาวกำลังจะออกจากเมืองหลวง จากเมืองหลวงเดินทางลงหลิวโจวในแถบเจียงเป่ยมีเส้นทางไปได้สองสาย หนึ่งคือเลียบแม่น้ำหวงเหอลงไปถึงแถบ
ตงซาน จากนั้นตรงเข้าชางโจว ทว่าต้องนั่งรถม้าโขยกเขยกอีกทั้งยังไม่ปลอดภัย ขึ้นภูเขาข้ามสันเขาต้องใช้เวลาเดินทางสี่สิบกว่าวัน
ส่วนอีกเส้นทางหนึ่ง หลังออกจากเมืองหลวงก็เดินทางขึ้นเหนือ ลัดเลาะนอกด่านมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก จากนั้นเลี้ยววกลงใต้ตรงด่านซานไห่ เส้นทางนี้เดินตามเส้นทางหลวงจึงปลอดภัยกว่ามาก แต่ด่านตรงชายแดนมักจะมีหิมะตกหนักลมพัดกระโชกแรง จึงต้องใช้เวลาเดินทางนานถึงหนึ่งเดือนกว่า โหยวเหมี่ยวฉุกคิดขึ้นมาได้จึงรีบบอกว่า “ข้าไปกับขบวนสินค้าทางเหนือแล้วกัน”
“ตามใจเจ้า” โหยวเต๋อโย่วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“ข้าจะพาทาสเฉวี่ยนหรงไปด้วยแล้วค่อยหาที่ปล่อยตัวเขา ท่านอาจะได้ไม่ต้องกังวลอะไรอีก” โหยวเหมี่ยวกล่าวต่อ
จากนั้นก็เห็นโหยวเต๋อโย่วทำหน้าโล่งใจเหมือนเพิ่งส่งเทพโรคระบาดออกจากบ้านสำเร็จ โหยวเหมี่ยวเดินกลับห้องพลางครุ่นคิดในใจ การเลือกเส้นทางทางเหนือเกิดจากการตัดสินใจชั่ววูบ แค่ทาสเฉวี่ยนหรงคนหนึ่งเท่านั้น รอถึงด่านตรงชายแดน มอบเงินให้อีกฝ่ายเล็กน้อยแล้วขับไล่ไปเสีย มอบอิสระให้และเผาหนังสือสัญญาขายตัวทิ้ง คิดเสียว่าทำความดีแล้ว
โปรดติดตามตอนต่อไป…
สามารถอ่านบทอื่นๆได้ที่ >> บทที่ 1.1 | บทที่ 1.2 | บทที่ 2.1 | บทที่ 2.2 | บทที่ 3.1 | บทที่ 3.2 | บทที่ 4.1 | บทที่ 4.2 | บทที่ 5.1 | บทที่ 5.2
Comments
comments