ภาคที่หนึ่ง คลำมัจฉา
บทที่ 1
ดวงตะวันทอรัศมีจับขอบฟ้าทางบูรพา หิมะแรกฤดูโปรยปรายลงมาจับตัวเป็นชั้นน้ำแข็งบางๆ สะท้อนรัศมีสีทองอร่ามของแสงอาทิตย์ทั่วทั้งเมืองหลวง ในตลาดมีผู้คนเดินกันขวักไขว่ รถม้าแล่นสวนไปมาพลุกพล่าน เสียงระฆังตีสี่สิบเก้าครั้งปลุกทั้งเมืองให้ตื่นรับอรุณ นับเป็นยุคสมัยแห่งความสงบสุขร่มเย็น บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง
โหยวเหมี่ยวตื่นแต่เช้าตรู่เป็นครั้งแรกในรอบสามเดือน หมายมั่นปั้นมือว่าวันนี้จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเสียใหม่และจะเริ่มตั้งใจศึกษาเล่าเรียน หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ โหยวเหมี่ยวก็ก้าวขึ้นรถม้าด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย รถม้าแล่นโขยกเขยกตรงไปยังสำนักไท่เสวีย* ทว่าตอนผ่านสะพานจูเชวี่ย จู่ๆ โหยวเหมี่ยวก็หมดความสนใจ ร้องสั่งคนขับรถม้าให้หยุดรถและบอกว่าวันนี้ไม่อยากไปเรียนแล้ว แต่จะแวะไปชวนสหายเที่ยวเล่นแทน
รถม้าแล่นมาถึงตรอกฉางหลงฝั่งตะวันตก โหยวเหมี่ยวนั่งยกเท้าขึ้นวางพาดบนหัวเข่าอีกข้าง เมื่อมาถึงก็พบว่าประตูใหญ่จวนอัครเสนาบดียังไม่เปิด ส่วนประตูข้างก็ร้างไร้ผู้คน ถ้าผลีผลามเข้าไปเคาะประตูแล้วเผชิญหน้ากับท่านอัครเสนาบดีที่กำลังจะออกจากจวนคงไม่ดีแน่ ดังนั้นจึงสั่งให้คนขับรถม้าขับอ้อมไปทางประตูหลังแทน จากนั้นจึงเดินเข้าไปตามหาหลี่เหยียนข้างใน
มีเพียงสหายสนิทเท่านั้นที่สามารถเดินเข้าทางประตูหลังจวนอัครเสนาบดี บ่าวไพร่ในจวนล้วนจดจำโหยวเหมี่ยวได้จึงผงกศีรษะให้พร้อมค้อมกายเชิญเขาเข้ามาด้านใน ลานด้านหลังมีคนอยู่ไม่มาก โหยวเหมี่ยวเข้ามาในจวนแล้วก็เดินตรงไปยังเรือนปีกตะวันออก แต่แล้วเมื่อผ่านโรงม้า จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงแผดร้อง มีตัวประหลาดผลุนผลันออกมาจากห้องเก็บฟืนและล้มกลิ้งตรงหน้าเขา
โหยวเหมี่ยวที่เดินผ่านมาพอดีสะดุดล้มเพราะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน บ่าวคนสนิทซึ่งติดตามมาด้วยตกใจมาก รีบสะบัดแขนเสื้อตวาดเสียงดัง
“ทำอะไรของเจ้า!”
“ระวังชนคุณชายข้า ถ้าทำให้คุณชายตกใจเสียขวัญ ข้าจะถลกหนังเจ้าให้ดู”
“บังอาจ! จะฆ่ากันหรืออย่างไร!”
บ่าวไพร่ในจวนอัครเสนาบดีต่างแตกตื่นตกใจ รีบคว้าแส้ออกมาตวัดฟาดขวับๆ
โหยวเหมี่ยวตั้งสติเพ่งมองดูให้ดีก็เห็นว่าเป็นเศษผ้าเก่าขาดปรุประและสกปรกโสโครกกลุ่มหนึ่ง
ตอนแรกคิดว่าบ้านของสหายเลี้ยงตัวอะไรสักอย่าง แต่พอเห็นบ่าวไพร่กลุ้มรุมเอาแส้และไม้กระบองทุบตีเจ้าตัวโสโครก ค่อยมองเห็นชัดถนัดตาว่าสิ่งนั้นเป็นมนุษย์ ทั้งยังเป็นบุรุษเพศ โหยวเหมี่ยวได้ยินเสียงแส้ฟาดขวับๆ คนผู้นั้นเนื้อแตกหนังถลอกทันที เลือดสดๆ สาดกระเซ็นเต็มพื้น
ผมเผ้าของคนผู้นั้นกระเซอะกระเซิงคล้ายคนเสียสติ เนื้อตัวสกปรกโสโครก สองมือถูกผูกมัดไว้แน่น ทั้งยังโดนกลุ้มรุมฟาดตีจนส่งเสียงร้องโอดโอยพลางหลบหัวซุกหัวซุนอยู่ตรงมุม เขาสบตากับโหยวเหมี่ยวโดยไม่ตั้งใจ สายตาทั้งคู่มองสบประสานกัน ดวงตาของเจ้านั่นใสกระจ่างแต่แฝงประกายดุดันแกมกระหายเลือดคล้ายสัตว์เดรัจฉาน
* สำนักไท่เสวียหรือสำนักศึกษาหลวง เป็นสถาบันการศึกษาสูงสุดของจีนโบราณ
โหยวเหมี่ยวเพิ่งเคยเห็นภาพเช่นนี้เป็นครั้งแรก ครั้นบ่าวไพร่สิบกว่าคนรุมทุบตีคนผู้หนึ่งจนปางตาย ฟาดจนไม้กระบองหักคามือ เขาจึงรีบร้อนกล่าวว่า “อย่าตีอีกเลยๆ เกิดอะไรขึ้น”
“คุณชายสั่งให้พวกเจ้าหยุดตี” บ่าวคนสนิทตะโกนตาม
พวกบ่าวไพร่รีบหยุดมือทันที เจ้าคนนั้นโดนทุบตีจนลมหายใจรวยริน และยังถูกไม้กระบองสิบท่อนหนีบตัวโยนเข้าไปในห้องเก็บฟืน เสียงร่างหนักๆ หล่นกระทบพื้นดังมาจากด้านใน
“ไอ้ลูกเต่าบัดซบ ยังดีว่าไม่ได้ชนคุณชายโหยว” พ่อบ้านรองของเรือนปีกตะวันออกรีบร้อนวิ่งเข้ามาใส่กลอนประตูห้องเก็บฟืนพลางด่าทอ
โหยวเหมี่ยวไม่รู้ว่าคนผู้นี้ทำผิดอะไรและไม่ได้มีแก่ใจจะซักถามให้มากความ จึงเดินตรงไปที่เรือนปีกตะวันออก เวลานี้หลี่เหยียนตื่นนอนแล้วและกำลังนั่งกินอาหารเช้าด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ข้างกายมีสาวใช้ยืนเรียงรายเป็นแถว เมื่อเห็นโหยวเหมี่ยวแวะมาก็ขยับตะเกียบกวักมือเรียกเขาเข้ามากินด้วยกัน โหยวเหมี่ยวนั่งลงดื่มชา ทั้งสองคนกินพลางสนทนากันพลางว่าวันนี้จะไปเที่ยวเล่นที่ไหน จะไปหาใครบ้าง
หลี่เหยียนผู้นี้เป็นใคร ที่แท้แล้วเป็นสหายสนิทที่โหยวเหมี่ยวรู้จักในสำนักไท่เสวีย และเป็นคุณชายน้อยของจวนอัครเสนาบดีนั่นเอง
ฮ่องเต้ในเวลานี้เกียจคร้านสันหลังยาว หมกมุ่นแต่กับบทกวีกาพย์กลอน บุปผาวิหคแมลงมัจฉา ดังนั้นเบื้องบนเป็นเช่นไรเบื้องล่างก็เป็นเช่นนั้น ขุนนางในราชสำนักล้วนเกียจคร้านไปตามๆ กัน เหล่าเสนาบดีไม่ยอมเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในเวลาออกว่าราชการยามเช้า คานบนไม่ตรง เสาล่างย่อมเอนเอียง คุณชายของบรรดาเสนาบดีก็ไม่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเช่นกัน วันๆ เอาแต่หมกตัวอยู่ในจวน เลี้ยงนกอินทรี จับสุนัขมากัดกัน คบหาแต่สหายที่เป็นคนประเภทเดียวกัน สองปีก่อนตอนโหยวเหมี่ยวเข้ามาศึกษาในสำนักไท่เสวีย ทั้งเขาและหลี่เหยียนล้วนเป็นหนุ่มน้อยเลือดร้อน หลังจากรู้จักกันแล้วก็มักจะพากันออกเที่ยวสำมะเลเทเมา หลี่เหยียนใช้สอยเงินทองของโหยวเหมี่ยว ส่วนโหยวเหมี่ยวก็อาศัยความสัมพันธ์ที่มีกับหลี่เหยียนทำความรู้จักกับพวกคุณชายในเมืองหลวง ยามว่างก็ข่มเหงรังแกชาวบ้านด้วยความสนุกสนาน
กล่าวถึงโหยวเหมี่ยว คนผู้นี้ก็ไม่ใช่ธรรมดาสามัญ ครอบครัวเป็นพ่อค้าเกลือจากชางโจว บรรพบุรุษลักลอบค้าเกลือจนร่ำรวยกลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่ง เมื่อยี่สิบหกปีก่อนบิดาแต่งงาน แยกตัวออกมาสร้างครอบครัวและริเริ่มปลูกต้นชาในแถบเจียงเป่ยจนร่ำรวยเป็นเศรษฐี มีไร่ชาในครอบครองนับพันฉิ่ง* นับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ
ทว่าบัณฑิต ชาวนา ช่างฝีมือ และพ่อค้า อาชีพพ่อค้าจัดเป็นชนชั้นต่ำสุด โหยวเต๋อชวนจึงหมายมั่นปั้นมือจะให้บุตรชายเป็นขุนนาง สมัยนี้ขอแค่มีเงินทอง คิดซื้อตำแหน่งขุนนางก็เป็นเรื่องง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ แต่ตำแหน่งขุนนางที่ซื้อมาย่อมสู้ลมปากคนไม่ไหว ดังนั้นบิดาของโหยวเหมี่ยวจึงมอบเงินให้บุตรชายจำนวนหนึ่ง เพื่อให้เดินทางเข้ามาศึกษาเล่าเรียนในเมืองหลวง เตรียมตัวสอบให้ติดสามอันดับแรกของการสอบคัดเลือกขุนนางเคอจวี่** เมื่อเป็นเช่นนั้นสกุลโหยวย่อมกลายเป็นตระกูลบัณฑิตอย่างสมภาคภูมิ
ตอนโหยวเหมี่ยวเดินทางเข้าเมืองหลวงเพิ่งอายุสิบสองปีเท่านั้น ตั้งแต่เล็กเขาได้รับการเลี้ยงดูเอาอกเอาใจจนเคยตัว เมื่อออกจากบ้านก็นำของกินของใช้ติดตัวไปถึงสิบคันรถด้วยกัน ทั้งยังพาสาวใช้กับบ่าวไพร่อีกกลุ่มใหญ่เดินทางเข้ามาศึกษาเล่าเรียนในเมืองหลวงซึ่งอยู่ใต้เบื้องพระบาทฮ่องเต้
โหยวเต๋อชวนผู้เป็นบิดาตระเตรียมทุกอย่างให้โหยวเหมี่ยวอย่างรอบคอบและครบถ้วน พอโหยวเหมี่ยวเข้าเมืองหลวงก็มาพักอาศัยที่บ้านท่านอาซึ่งเป็นญาติกัน หลังจากได้รู้จักกับลูกผู้ดีมีตระกูลกลุ่มใหญ่ในห้องเรียน แค่ปีแรกก็ใช้ตั๋ว
* ฉิ่ง คือหน่วยวัดพื้นที่ของจีน โดย 1 ฉิ่ง เท่ากับ 100 ไร่จีน (หมู่)
** ระบบการสอบเข้ารับราชการของจีน จัดขึ้นทุกๆ สามปี โดยสอบเลื่อนทีละระดับ เริ่มจากถงซื่อ เซียงซื่อ ฮุ่ยซื่อ เมื่อสอบผ่านทั้งสามระดับจะได้เข้าสอบหน้าพระที่นั่งหรือเตี้ยนซื่อ
เงินสามพันตำลึงที่บิดามอบให้ติดตัวจนหมดสิ้น เมื่อใช้เงินหมดแล้วก็แบมือขอทางบ้าน บิดาเขียนจดหมายมาด่าทอแต่ก็มอบเงินให้อีกห้าร้อยตำลึง ถ้าสิ้นปีใช้หมดก็ให้กินลมต่างข้าว
“เจ้าเด็กแซ่โหยว” คุณชายจวนอัครเสนาบดีหลี่เหยียนเหลือบตามองเขาขึ้นลง
“มีอะไรหรือ”
โหยวเหมี่ยวขยับตะเกียบแต่ไม่ได้คีบอะไร หลี่เหยียนตักโจ๊กกินพลางเอ่ยอย่างเนิบช้า “ได้ยินว่าองค์ชายสามเรียกเจ้าเข้าวังไปเป็นสหายร่วมเรียนของเขาอย่างนั้นหรือ”
แม้ว่าโหยวเหมี่ยวจะไม่รู้เรื่องแต่ได้ฟังแค่นั้นก็พอจะเข้าใจ… ‘องค์ชายสาม’ ย่อมหมายถึงโอรสองค์เล็กของจ้าวเม่า ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน อัครเสนาบดีหลี่บิดาของหลี่เหยียนและสี่ในหกเสนาบดีล้วนยืนอยู่ฝ่ายรัชทายาท สมัยยังเด็กองค์ชายสามผู้นี้เคยได้รับความโปรดปรานอย่างมาก แต่เพราะมิได้ถือกำเนิดจากฮองเฮาและมิใช่โอรสองค์โตจึงไม่มีอำนาจในวัง
โหยวเหมี่ยวไม่ได้รีบร้อนตอบคำถามทันที แค่เอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “มีเรื่องเช่นนั้นด้วยหรือ เกรงว่าคงเป็นเรื่องล้อเล่นกระมัง”
“ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่วันอาจจะมีคนมาจากราชสำนักก็เป็นได้ ได้ยินว่าองค์ชายสามมีนิสัยรักสนุกอยู่นิ่งไม่ได้ ตอนพรรคพวกของเราไปเที่ยวชมโคมไฟในช่วงเทศกาลหยวนเซียว* ของปีนี้ เจ้ายังจำได้หรือไม่” หลี่เหยียนกล่าว
โหยวเหมี่ยวพยักหน้าอย่างลังเล จำได้รางๆ ว่าเทศกาลหยวนเซียวมีโคมไฟติดเต็มท้องถนน ผู้คนมหาศาล เดินเบียดเสียดไหล่ชนไหล่ ใครจะไปจำได้ว่าใครเป็นใครบ้าง
“ได้ยินว่าเขามองเห็นเจ้าไกลๆ แค่ครั้งเดียวก็ถูกตาต้องใจ และสั่งให้อาจารย์เรียกตัวเจ้าเข้าวัง” หลี่เหยียนกล่าวต่อ
โหยวเหมี่ยวหน้าตางดงามหมดจด สวมเสื้อแพรปักดิ้นหรูหรา คิ้วโก่งเรียว ดวงตาทอประกายระยับ นิสัยใจคอดี อีกทั้งครอบครัวมีฐานะร่ำรวย พวกลูกผู้ดีมีตระกูลล้วนชมชอบคบหากับเขา บางครั้งยังแกล้งปล้ำจุมพิตเขาที่ปากด้วย องค์ชายสามจะถูกตาต้องใจเขาก็เป็นเรื่องธรรมดา
“อ้อ” โหยวเหมี่ยวรับคำเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อว่า “แล้วองค์ชายสามเป็นคนเช่นไร”
หลี่เหยียนตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาเหมือนไม่พอใจ “เจ้าจะสนใจทำไมว่าเขาเป็นคนเช่นไร ข้ากำลังถามเจ้าว่าเจ้าจะไปหรือไม่”
โหยวเหมี่ยวยกขาไขว่ห้างพลางหัวเราะคิกคัก จู่ๆ องค์ชายสามก็มาถูกตาต้องใจตนเองโดยไม่มีสาเหตุ ทั้งยังจะให้เขาเข้าวังไปเป็นสหายร่วมเรียน ถ้าเปลี่ยนเป็นคนปกติทั่วไปคงตื่นเต้นยินดีกับเรื่องนี้อย่างมาก แต่โหยวเหมี่ยวยังรู้จักแยกแยะ เขาเคยได้ยินพวกที่ถือหางรัชทายาทอย่างหลี่เหยียนกล่าวอยู่บ่อยๆ ว่าในภายภาคหน้าอย่างมากองค์ชายสามก็ได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋องเท่านั้น ส่วนคนที่ขึ้นครองบัลลังก์จริงๆ คือรัชทายาทต่างหาก
ถ้ายืนอยู่ฝ่ายองค์ชายสามย่อมไม่สามารถผูกไมตรีกับรัชทายาทอีกต่อไป บิดาส่งเขามาศึกษาเล่าเรียนในเมืองหลวงก็เพื่อให้เขาเป็นขุนนางราชสำนัก ดังนั้นจะกระทำเรื่องที่อาจทำลายแผนการในภายภาคหน้าของตัวเองเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด คงต้องปล่อยให้องค์ชายสามที่อุตส่าห์โปรดปรานเขาผิดหวังเสียแล้ว
“เจ้าว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น เรื่องนี้ก็ต้องฟังเจ้าอยู่แล้วไม่ใช่หรือ” โหยวเหมี่ยวหัวเราะตอบ
สีหน้าของหลี่เหยียนค่อยดีขึ้น “ถ้าเจ้าติดตามเขา มิตรภาพระหว่างเราสองพี่น้องย่อมขาดสะบั้น เจ้าต้องคิดตรองดูให้ดีๆ ใครดีกับเจ้ามากกว่ากัน ข้าหรือองค์ชายสามที่ไม่เคยพบหน้านั่น”
* เทศกาลหยวนเซียว ตรงกับวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนอ้าย มีประเพณีประดับโคมซึ่งเริ่มมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น จึงอาจเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเทศกาลโคมไฟ
“ย่อมต้องเป็นเจ้าอยู่แล้ว มิตรภาพของเราสองพี่น้องยังต้องพูดเช่นนี้ด้วยหรือ” โหยวเหมี่ยวหัวเราะฮ่าๆ แล้วเอ่ยต่อ
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จพวกคุณชายก็ทยอยมาอีกสองสามคน สภาพแต่ละคนเหมือนยังตื่นไม่เต็มตา หลี่เหยียนซื้อภาพวาดทิวทัศน์ราคาสี่สิบตำลึงมารูปหนึ่งจึงหยิบมาคลี่ให้โหยวเหมี่ยวดู โหยวเหมี่ยวเห็นตราประทับก็รู้ทันทีว่าของปลอม ปากเอ่ยว่า “โธ่ ของปลอม”
“เจ้ารู้อีกแล้วหรือว่าอันไหนของจริง อันไหนของปลอม” หลี่เหยียนโพล่งแทรก
“ท่านพ่อข้ามีภาพของจริงแขวนอยู่ในห้อง เจ้าดูสิ ตราประทับตรงนี้…” โหยวเหมี่ยวโต้กลับ
คุณชายคนอื่นลอบขบขัน คุณชายเสนาบดีกรมอากรช่วยพูดประนีประนอมว่า “แค่ชอบก็พอแล้ว” แต่หลี่เหยียนกับโหยวเหมี่ยวกลับเปิดฉากถกเถียงกันขึ้นมา หลี่เหยียนโยนภาพทิ้ง ถลึงตามองด้วยความโกรธจัด แต่โหยวเหมี่ยวกลับหัวเราะเหมือนไม่ใส่ใจ นั่งไขว่ห้างดื่มชาต่อ
“วันนี้จะไปทำอะไรกันดี” ครู่ใหญ่กว่าผิงเอ้อร์คุณชายเสนาบดีกรมทหารจะถามขึ้นมา คนผู้นี้จัดอยู่อันดับสองในตระกูล พวกที่ถือหางรัชทายาทจึงเรียกเขาว่า ‘ผิงเอ้อร์’ คุณชายลูกผู้ดีเหล่านี้ล้วนรู้จักยกย่องผู้มีฐานะสูงและเหยียบย่ำคนที่มีฐานะต่ำกว่า ประจบสอพลอผู้มีอำนาจ คุณชายอัครเสนาบดีย่อมต้องผูกไมตรีด้วย ทว่าลูกพ่อค้าเกลือกลับดูเหมือนมีภาษีดีกว่า เพราะถึงแม้ว่าจะไม่มีตำแหน่งฐานะในเมืองหลวงแต่ก็เหนือกว่าตรงที่มีเงินทองมากมาย
คุณชายพวกนี้ล้วนยึดถือโหยวเหมี่ยวเป็นเจ้ามือช่วยจับจ่ายเงินเท่านั้น เรื่องนี้โหยวเหมี่ยวทราบดีแก่ใจและมักบอกตนเองเสมอว่าบิดาส่งเขามาศึกษาเล่าเรียน ไม่ใช่แค่ต้องสอบคัดเลือกเป็นขุนนางให้ได้เท่านั้น แต่ยังต้องหาทางทำความรู้จักกับพวกที่ถือหางรัชทายาทไว้หลายๆ คน เพราะว่าถ้ามีพรรคพวกอยู่ในราชสำนัก ภายภาคหน้าคิดใช้เงินทอง ยังมีช่องทางให้ยัดเยียดเข้าไป
“ไปฟังเพลงที่หอหยางเฟิงเป็นอย่างไร” โหยวเหมี่ยวมองทุกคนก่อนเสนอความคิดเห็น
ทุกคนต่างเห็นพ้องด้วย หลี่เหยียนทำหน้าบึ้งตึงตั้งท่าจะวิวาทกับโหยวเหมี่ยวอีก แต่ครู่ต่อมาหลังจากพูดจาหยอกล้อกันเล็กน้อยกลับลืมเลือนไปอย่างง่ายดาย เพราะเดิมทีเด็กหนุ่มก็ไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นอยู่แล้ว แค่ผ่านไปครู่หนึ่งก็กลับมาสรวลเสเฮฮากันได้ดังเดิม
กว่าจะกินดื่มกันจนอิ่มหนำสำราญ ตะวันก็ตกลับเหลี่ยมเขาแล้ว ระหว่างที่โหยวเหมี่ยวเดินทางกลับบ้านค่อยนึกเรื่องที่พบเจอในตอนเช้าขึ้นมาได้จึงซักถามหลี่เหยียนด้วยความสงสัย หลี่เหยียนจึงตอบว่า “อ้อ นั่นคือทาสเฉวี่ยนหรง คราวก่อนไปเจอที่หอสังคีตเลยซื้อกลับมา”
หอสังคีต? ทาสเฉวี่ยนหรง?
โหยวเหมี่ยวกำลังจะถามว่ามันคืออะไร หลี่เหยียนกลับเดินส่ายอาดๆ กลับจวนไปก่อน
หลายวันต่อมาเป็นวันเกิดของหลี่เหยียน โหยวเหมี่ยวจึงไปดื่มสุราที่บ้านหลี่เหยียนตอนค่ำและพบว่าหน้าประตูจวนมีผู้คนเบียดเสียดกันเนืองแน่น โหยวเหมี่ยวจึงเดินเข้าจวนอัครเสนาบดีทางประตูหลังเหมือนเช่นเคย และเห็นบ่าวไพร่หลายคนกำลังกลุ้มรุมเอาท่อนไม้ทุบตีกระสอบใบหนึ่ง เลือดพ่นทะลักออกมาจากกระสอบอาบย้อมหิมะบนลานจนแดงฉานไปหมด นอกจากนี้ยังมีเสียงร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดดังออกมาจากกระสอบเป็นระยะ
เวลานี้อากาศค่อนข้างหนาวเย็น โหยวเหมี่ยวสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อแล้วชะงักเท้าหยุดดู บ่าวคนสนิทคิดแต่ว่าอยากไปดื่มสุราอุ่นเร็วๆ เพราะอากาศข้างนอกค่อนข้างหนาวจึงเอ่ยเร่งคุณชายให้รีบเข้าไปข้างใน
“พวกเจ้าทำอะไร” โหยวเหมี่ยวถามด้วยความสงสัย
“คุณชายสั่งว่าวันนี้ต้องทุบตีเจ้าคนนี้ให้ตาย” บ่าวรับใช้คนหนึ่งยิ้มแล้วเอ่ยตอบ
ข้างในกระสอบนิ่งเงียบไปแล้ว
“ทำไมต้องทุบตีเขาให้ตาย” โหยวเหมี่ยวถามต่อ
“เขาล่วงเกินคุณชาย” บ่าวรับใช้ตอบ
อัครเสนาบดีหลี่มีอำนาจล้นฟ้า แค่ทุบตีคนตายไปสักคนเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครกล้าทำอะไรสองพ่อลูก อย่าว่าแต่ข้าทาสคนหนึ่งเลย แต่โหยวเหมี่ยวแค่รู้สึกสงสัยเท่านั้น เพราะหลี่เหยียนไม่คล้ายคนใจคอคับแคบ ทาสเฉวี่ยนหรงใช้เงินซื้อมา เล่นเบื่อแล้วมอบให้คนอื่นหรือขายต่อก็ได้ ไยต้องทุบตีให้ถึงตายด้วยเล่า
โหยวเหมี่ยวเดินเข้าไปในห้องโถง หลี่เหยียนจัดงานเลี้ยงสุราอาหาร ผู้คนมากันแน่นห้องส่งเสียงเอะอะวุ่นวาย ทั้งยังมีเวทีแสดงงิ้วด้วย หลายคนรู้จักโหยวเหมี่ยว เจ้าพูดคำหนึ่ง ข้าพูดคำหนึ่ง ต่างทักทายหยอกเย้ากัน พอโหยวเหมี่ยวเดินไปถึงตัวหลี่เหยียนก็วางของขวัญลงแล้วถามว่า “เหตุใดต้องทุบตีคนข้างนอกให้ถึงตายด้วยเล่า”
“ข้าพอใจ” หลี่เหยียนกำลังดื่มสุราเพลินจึงตอบอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก
“งานเลี้ยงวันเกิดทั้งที ทุบตีคนให้ถึงตายคงไม่เป็นมงคล” ไม่รู้ทำไมโหยวเหมี่ยวถึงได้รู้สึกค้างคาใจกับกระสอบใบนั้นจนต้องเอ่ยเช่นนี้
“ข้าสั่งให้พวกเขาทุบตีไปเรื่อยๆ รอพรุ่งนี้ค่อยเอาให้ถึงตายแล้วนำศพไปฝังนอกเมือง”
“ดูเจ้าสิ ไฉนต้องทำอะไรยุ่งยากปานนั้น ถ้าเห็นแล้วขวางหูขวางตาก็ปล่อยเขาไปเสียไม่ดีกว่าหรือ” โหยวเหมี่ยวเอ่ยสั่งสอน
“ข้าพอใจ!” หลี่เหยียนเริ่มมีสีหน้าไม่ค่อยดี ตวาดใส่ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“เอาเถอะๆๆ” โหยวเหมี่ยวยอมแพ้ เดิมทีก็ไม่ได้คิดจะพูดอะไรมากอยู่แล้ว
หลี่เหยียนถลึงตาใส่สหายแล้วถามว่า “เขาตะโกนอะไรใส่เจ้าหรือ”
“ไม่ได้ตะโกนอะไร” โหยวเหมี่ยวตอบ
“โหยวเหมี่ยวเจ้าก็สนใจหรือ ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าพวกข้าจะพาเจ้าไปซื้อที่หอสังคีตสักคน” ผิงเอ้อร์แทรกตัวเข้ามาถาม
“เขา? แค่ไม่โดนจับขายเข้าหอสังคีตก็ดีถมเถแล้ว” หลี่เหยียนเอ่ยต่อ
“คนผู้นี้เอาไว้ทำอะไรหรือ” โหยวเหมี่ยวถาม
หลี่เหยียนยกนิ้วกวักเรียกแล้วโน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหู “ทาสนั่นมีไว้ปรนนิบัติบนเตียง บุรุษเพศ”
โหยวเหมี่ยวหน้าแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์สุราหรือว่าอากาศในห้องโถงร้อนกันแน่ ใบหน้าแดงเถือกไปถึงใบหู คุณชายทั้งหลายหัวเราะครืนใหญ่ โหยวเหมี่ยวมองสำรวจหลี่เหยียนอย่างมีเจตนาแอบแฝงแล้วกล่าวว่า “ที่แท้เจ้าก็มีความชมชอบเช่นนี้หรอกหรือ”
“ความชมชอบเช่นนี้แล้วอย่างไร วันนี้ข้าเป็นเจ้าภาพ หรือเจ้าจะเสนอตัวปรนนิบัติข้าบนเตียงแทน” หลี่เหยียนเอ่ยถาม
เสียงหัวเราะฮ่าๆ ดังก้องห้องโถงจัดงาน บางคนมีความคิดสกปรกอยู่ในหัว อิจฉาริษยาโหยวเหมี่ยวที่มีฐานะร่ำรวยเป็นเศรษฐี เกลียดเขาที่สามารถคบหาสนิทสนมกับหลี่เหยียนจึงแสร้งพูดยั่วยุ
“ยังไม่รู้หรอกว่าใครจะปรนนิบัติใครกันแน่”
พอโหยวเหมี่ยวเอ่ยเช่นนั้นทุกคนต่างหัวเราะครืน แต่หลี่เหยียนหน้าแดงก่ำ โหยวเหมี่ยวเองก็หัวเราะด้วยความพึงพอใจ จากนั้นชนจอกดื่มสุราวนรอบโต๊ะสามรอบ โหยวเหมี่ยวนั่งชมงิ้ว ดูนักแสดงหนึ่งหนุ่มหนึ่งชราขับร้องพลางเดินวน
เป็นวงกลมบนเวที ทันใดนั้นก็นึกถึงสิ่งที่หลี่เหยียนกล่าวเมื่อครู่นี้จึงโอบไหล่อีกฝ่ายที่กำลังดูการแสดงด้วยกัน พร้อมโน้มตัวเข้าไปกระซิบถามข้างหูด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า
“สตรีนั้นข้ารู้ แต่บุรุษจะปรนนิบัติบนเตียงอย่างไร”
หลี่เหยียนหมดความอดทนแล้ว
“ยังไม่ยอมหยุดอีก เจ้าคิดจะลองปรนนิบัติบนเตียงจริงๆ หรือ” หลี่เหยียนถาม
“เจ้าให้ข้ายืมเล่นสิ ข้าก็อยากลองของแปลกใหม่เช่นกัน” โหยวเหมี่ยวเอ่ยตอบ
“ทาสเฉวี่ยนหรงโดนข้าฟาดจนเสียโฉมไปแล้ว คราวหน้าจะพาเจ้าไปซื้อที่น่าสนใจกว่านี้”
“ทำไมถึงเรียกว่าทาสเฉวี่ยนหรง”
“เพราะเป็นชาวเฉวี่ยนหรงที่โดนจับตัวมาจากทางเหนือ”
“แล้วทำไมเสียโฉม” โหยวเหมี่ยวถามต่อ
“โดนข้าฟาด”
“ฟาดเพราะเหตุใด”
หลี่เหยียนถลึงตาใส่ แต่โหยวเหมี่ยวกลับยิ้มระรื่นหน้าตาเฉย เขาชอบใช้ไม้นี้ทุกครั้ง แค่คลี่รอยยิ้มกว้างเหมือนไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งมากมาย ดังนั้นไม่ว่าใครก็ไม่สามารถยึดถือคำพูดเขาเป็นจริงเป็นจัง
“เขาไม่ยอมพูด ข้าสั่งให้เขาพูดแต่เขาไม่ยอมพูด ข้าเลยเอารองเท้ายัดปากแล้วให้ฟุบตัวกระดกก้นโก้งโค้งก้มหน้ากินดิน แต่เขาบังอาจตอบโต้กลับ ข้าจึงเอาแจกันฟาดเสียหลายทีก่อนจับขังไว้”
โหยวเหมี่ยวเข้าใจแล้ว คงโดนหลี่เหยียนทุบตีหนักมากแน่ คาดว่าตอนทาสเฉวี่ยนหรงคนนั้นตอบโต้กลับมาคงรุนแรงไม่น้อย แต่แม้จะชวนคุยอ้อมไปอ้อมมาอยู่นาน โหยวเหมี่ยวยังคงติดใจสงสัยไม่หายว่าหลี่เหยียนกับทาสเฉวี่ยนหรงนั้นเล่นอย่างไรกัน บุรุษเพศก็เล่นทำนองนี้ได้หรือ ด้วยเหตุนี้จึงเกิดความคิดอยากขอยืมตัวเจ้านั่นกลับไป จะได้ซักถามว่าหลี่เหยียนกับเขาปฏิบัติกิจบนเตียงอย่างไรกันบ้าง
งิ้วบนเวทีเจ้าขับร้องข้าขึ้นแสดงสลับผลัดเวียนกัน หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม* เต็มๆ ในที่สุดโหยวเหมี่ยวก็เอ่ยว่า “อ้อ หลี่เหยียน เจ้ายกทาสเฉวี่ยนหรงให้พี่น้องยืมเล่นหน่อยสิ”
“ตายก็ตายไปแล้ว อีกไม่กี่วันจะพาเจ้าไปซื้อคนใหม่ก็แล้วกัน”
“ไม่แน่หรอกว่าจะตาย เจ้าเพิ่งพูดไม่ใช่หรือว่าพรุ่งนี้เช้าค่อยทุบตีให้ตายแล้วลากไปฝัง”
“ไม่ตายก็ไม่ไหวแล้ว”
“ซื้อใหม่ทำไม สิ้นเปลืองเปล่าๆ ข้าแค่อยากลองเล่นนิดหน่อยเท่านั้น เล่นเสร็จก็คืนให้เจ้าแล้ว เจ้าอยากทุบตีอยากฝังก็ตามใจ”
“ไม่ให้”
“แค่ยืมไม่กี่วันเท่านั้น”
“เจ้าคิดจะงัดข้อกับข้าหรือ”
คนที่นั่งอยู่ด้านข้างได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ก็พูดกระเซ้าว่า “คุณชายโหยวมีฐานะมั่งคั่งร่ำรวย อยากจะไปซื้อทาสที่หอสังคีตสักร้อยคนพันคนจนเต็มคฤหาสน์ก็ไม่ใช่ปัญหา แล้วจะเอาของมีตำหนิไปทำไม”
ที่จริงโหยวเหมี่ยวแค่เอ่ยขอส่งเดชเท่านั้น หลี่เหยียนได้ยินดังนั้นก็กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “เขา? อย่างเขายังซื้อไม่ไหวหรอก!”
* ชั่วยาม คือหน่วยนับเวลาของจีน เทียบได้กับเวลา 2 ชั่วโมง
“ทำไมจะซื้อไม่ไหว หอหยางเฟิงคืนหนึ่งยังแค่ไม่กี่ตำลึง…” โหยวเหมี่ยวโพล่งถาม
“สองร้อยตำลึงเชียวนะ เจ้าซื้อไหวหรือ ถ้าควักเงินสองร้อยตำลึงออกมาได้ ข้าจะยกให้เจ้า” หลี่เหยียนโต้กลับ
พวกเด็กหนุ่มคนอื่นๆ เห็นโหยวเหมี่ยวมีปากเสียงกับหลี่เหยียนก็เริ่มส่งเสียงโห่ฮา จากนั้นโหยวเหมี่ยวก็เอ่ยว่า “แค่สองร้อยตำลึง เจ้าคิดว่าข้าจ่ายไม่ไหวหรือ”
หลี่เหยียนเหลือบตามอง ในใจคิดว่าถ้ารู้เช่นนี้น่าจะบอกราคาสูงกว่านี้อีกหน่อย
โหยวเหมี่ยวพูดก็ส่วนพูด แต่ในใจคิดว่าคงจ่ายไม่ไหวจริงๆ เพราะปีนี้เขาเหลือเงินอีกแค่สามร้อยตำลึงเท่านั้น ซ้ำยังเบียดเบียนเงินส่วนที่ต้องใช้ในปีถัดไปแล้ว เดิมทีก็แค่พูดส่งเดชไม่ได้คิดจะซื้อเพื่อรักษาหน้า แต่พอหลี่เหยียนเหลือบมองก็ฮึดขึ้นมา “เจ้าทุบตีเขาจนร่อแร่ปางตายเหลือแค่ครึ่งชีวิตแล้ว ตอนนี้อย่างมากก็เหลือหนึ่งร้อยตำลึงเท่านั้น”
ทุกคนต่างหัวเราะเสียงดังลั่น หลี่เหยียนแสร้งพูดเยาะเย้ยว่า “ซื้อไม่ไหวก็อย่าต่อรองราคา ดูสภาพเจ้าสิ หัวหดหมดแล้ว”
ในที่สุดโหยวเหมี่ยวก็ทนไม่ไหว ควักตั๋วเงินออกจากอกเสื้อแล้วปาลงโต๊ะ ประกาศก้องว่า “ซื้อแล้ว!”
หลี่เหยียนไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาไม้นี้จึงตกตะลึงไปชั่วขณะก่อนเปลี่ยนเป็นเดือดดาล
“ข้าบอกแล้วหรือว่าจะขายให้เจ้า!”
บรรยากาศรอบตัวเงียบกริบ ทุกคนเห็นแล้วว่าโหยวเหมี่ยวมีเงินซื้อได้จริง ตั๋วเงินสองร้อยตำลึงสามารถซื้อคฤหาสน์หรูหราในเมืองหลวงได้ทั้งหลังหรือที่นานับร้อยหมู่* กระทั่งคณิกาสาวงามติดอันดับต้นๆ ของหอหยางเฟิงซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วเมืองหลวง ค่าตัวยังแค่หนึ่งร้อยยี่สิบตำลึงเท่านั้น แต่เขากลับทุ่มเงินสองร้อยตำลึงซื้อทาสชาย มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ
หลี่เหยียนถลึงตามองโหยวเหมี่ยว
ทุกคนเห็นท่าไม่ค่อยดี กลัวทั้งคู่จะทะเลาะกันอีกจึงรีบช่วยกันพูดไกล่เกลี่ย บ้างก็บอกว่าไยต้องทำเช่นนี้ด้วย ทาสชายในหอสังคีตก็แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น บ้างก็บอกว่าวันนี้เจ้าของวันเกิดใหญ่สุด ยอมตามใจเขาเถอะ…
โหยวเหมี่ยวหุนหันพลันแล่นปาตั๋วเงินออกไปแล้ว ต่อให้รู้ดีแก่ใจแต่ก็หยิบกลับคืนมาไม่ได้ เพราะหนึ่งคือดูน่าเกลียด สอง ขี่หลังเสือแล้วลงลำบาก ครู่หนึ่งจึงกลับมาแสดงท่าทียียวนตามเดิม “ว่าอย่างไร ไม่เต็มใจขายแล้วหรือ”
“เจ้าเอากลับไปแล้วจะเก็บไว้ไหน ไม่โดนอาเจ้าตีตายหรือ แถมยังเสียเงินตั้งสองร้อยตำลึง เสียเงินเปล่าประโยชน์”
โหยวเหมี่ยวคร้านจะโต้เถียงกับหลี่เหยียนต่อ เมื่อเห็นว่างานเลี้ยงวันเกิดกำลังจะจบลงด้วยความไม่พอใจ และเริ่มมีคนฉวยโอกาสประจบสอพลอหลี่เหยียนจึงไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วยอีก ต่างฝ่ายต่างนั่งลง ทว่าบรรยากาศยังคงอึมครึม
คืนนั้นโหยวเหมี่ยวกลับก่อน โดยไม่ทักทายหรือบอกกล่าวหลี่เหยียนสักคำ ตอนพาบ่าวคนสนิทออกมาข้างนอกก็เหลือบเห็นกระสอบนั้นนอนแน่นิ่งไม่ขยับบนพื้นหิมะ ไม่รู้ว่าตายแล้วหรือยัง
โหยวเหมี่ยวเริ่มเครียด เงินสองร้อยตำลึงจะสูญเปล่าไม่ได้เด็ดขาด คิดได้ดังนั้นก็รีบร้องถามว่า
“ยังไม่ตายกระมัง! ถ้าตายพวกเจ้าต้องชดใช้เงินสองร้อยตำลึงให้ข้า เพราะข้าใช้เงินซื้อมาจากคุณชายของพวกเจ้าแล้ว”
พวกบ่าวไพร่มีหรือจะชดใช้ไหว ต่างก็ตัวสั่นงันงกด้วยความตกใจ
“แกะกระสอบให้ข้าดู!” โหยวเหมี่ยวร้องสั่ง
บ่าวรับใช้ที่ค่อนข้างใจกล้าคนหนึ่งรีบแกะปากกระสอบพลางอธิบาย
* หมู่ หรือไร่จีน เป็นหน่วยวัดพื้นที่ของจีนในสมัยโบราณ เทียบได้ประมาณ 666.67 ตารางเซนติเมตร
“คุณชายโหยวใจคอกว้างขวาง คงไม่ตำหนิผู้น้อยกระมัง เนื่องจากไม่มีใครมาบอกกล่าว พวกข้าน้อยจึงไม่ทราบ…”
“ช่างเถอะๆ ดูสิว่าตายหรือยัง ถ้าตายก็ไม่เอาแล้ว ย่ายายมารดามันเถอะ ข้าจะไปทวงเงินคืนจากหลี่เหยียน”
บ่าวรับใช้จุดโคม แกะกระสอบแล้วค่อยๆ แหวกเปิด เผยให้เห็นศีรษะคนที่โดนทุบตีจนเลือดไหลออกมาทั้งเจ็ดทวาร รูปร่างแข็งแรง แขนยาวขายาว ร่างนั้นค่อยๆ เลื่อนออกมาจากกระสอบ เลือดสดๆ ที่เปียกชุ่มใต้ร่างกลายเป็นสีม่วงแล้ว ทั้งยังโดนทุบตีจนปัสสาวะราดเลอะเทอะเปรอะเปื้อน
บ่าวคนสนิทขยับเข้าไปตรวจลมหายใจของคนผู้นั้น โหยวเหมี่ยวถามว่า “ตายหรือยัง”
โหยวเหมี่ยวพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้…หลี่เหยียนบอกว่าจะขายคนให้เขา แต่ไม่ได้บอกว่าขายอย่างเป็นๆ หรือตายแล้ว ถ้าจะทวงเงินคืน หลี่เหยียนคงหาเรื่องแกล้งพูดเสียดสีเขาแน่ สองร้อยตำลึงคงทวงคืนไม่ได้แล้ว ไม่ว่าคนจะเป็นหรือตายก็ทำได้เพียงรับไว้เท่านั้น
บัดซบ…โหยวเหมี่ยวพ่นลมหายใจ คุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วโน้มตัวลงไปเอาหูแนบอกฟังเสียงหัวใจเต้น ร่างกายอุ่นๆ ยังไม่แข็ง
ยังมีชีวิตอยู่
“เรียกคนมาหลายๆ คน เอาผ้านวมบนรถม้ามาห่อตัวไว้แล้วพากลับบ้าน เขาชื่ออะไร”
“ชื่อหลี่จื้อเฟิงขอรับ เป็นทาสเฉวี่ยนหรง” บ่าวรับใช้คนหนึ่งเห็นโหยวเหมี่ยวไม่เอาเรื่องแล้วก็รีบตอบ
โหยวเหมี่ยวผงกหัวให้ลงมือ พวกบ่าวไพร่ก็กุลีกุจอช่วยกันยกหัวยกขาออกเดิน
วันนั้นโหยวเหมี่ยวพาทาสเฉวี่ยนหรงที่ชื่อหลี่จื้อเฟิงกลับบ้าน ท่านอากำลังระเบิดโทสะอยู่ในบ้านพอดี โหยวเหมี่ยวจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามเปิดเผย แค่กำชับให้บ่าวคนสนิทพาเจ้าคนร่อแร่ปางตายเข้าไปในห้องและซุกตัวไว้หลังฉากกั้น โดยเอาเสื่อปูให้นอนเหมือนรังสุนัขก็ไม่ปาน จากนั้นสั่งห้ามทุกคนแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ให้คิดเสียว่าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วไล่กลับห้องไปนอน
คืนนั้นหิมะตกหนักมาก โหยวเหมี่ยวนอนอยู่บนเตียง หวนคิดถึงสุนัขจรจัดที่เคยเก็บกลับบ้านเมื่อสมัยก่อน สุดท้ายนอนได้ครึ่งคืนก็อดใจไม่ไหว ลุกขึ้นชำเลืองดูว่าทาสเฉวี่ยนหรงตายหรือยัง
กลางดึกได้ยินเสียงหายใจหอบหนักเหมือนที่สูบลมดังมาจากด้านหลังฉากกั้น โหยวเหมี่ยวทนนอนต่อไม่ไหว ลอบลุกขึ้นมาแต่ไม่ได้เรียกหาสาวใช้ที่อยู่ด้านนอก ร่างที่อยู่ในชุดสีขาวโพลนดุจหิมะเดินเท้าเปล่าบนพรมขนแกะ พร้อมหิ้วตะเกียงแก้วหลิวหลี* ห้าสีอันเล็กๆ ตรงเข้าไปด้านหลังฉากกั้น
ทาสเฉวี่ยนหรงหายใจติดขัด ดูท่าคงใกล้ตายแล้วกระมัง โหยวเหมี่ยวคิดถึงเงินสองร้อยตำลึงแล้วอดปวดใจไม่ได้ กระชากผ้านวมออกแล้วยกตะเกียงหลิวหลีส่องดู
ตอนเจอตัวบนพื้นหิมะ คนผู้นี้โดนแช่แข็งจนม่วงไปทั้งตัว เปรอะเปื้อนทั้งเลือด ปัสสาวะ เหงื่อ รวมถึงน้ำดีที่สำรอกออกมาผสมกันและจับตัวเป็นน้ำแข็ง เวลานี้โดนผ้านวมห่อหุ้มมาครึ่งคืนจึงละลายกลายเป็นน้ำ เนื้อตัวเริ่มส่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยว มือเท้าได้สัดส่วน ฝ่ามือใหญ่ นิ้วเรียวยาว สองขาแข็งแรงมีกล้ามเนื้อเป็นมัดดุจม้าป่า ตรงกลางหว่างขาก็มโหฬารราวม้าล่อก็ไม่ปาน นับว่ามีเรือนร่างงดงามมากทีเดียว
* ตะเกียงแก้วหลิวหลี คือเครื่องแก้วคริสตัลหลากสี หนึ่งในมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของจีนโบราณ
โหยวเหมี่ยวมองใบหน้าของทาสเฉวี่ยนหรงอีกครั้ง จู่ๆ อีกฝ่ายก็ลืมตาโพลงทำให้เขาสะดุ้งด้วยความตกใจจนเกือบทำตะเกียงพลิกคว่ำใส่หน้า
ดวงตาคู่นั้นเลื่อนลอยไร้แววตา หากจับจ้องค้างอยู่ที่ตะเกียงหลิวหลี
“ทำไมถึงช่วยข้า” เสียงของเขาแหบพร่ามาก
“เจ้า…ยังมีชีวิตอยู่หรือ”
เขาไม่ได้ตอบคำถามทันที โหยวเหมี่ยวพยายามขบคิดว่าจะตอบคำถามนี้อย่างไร ตอบไปว่าเขาอยากฟังเรื่องบัดสีระหว่างทาสเฉวี่ยนหรงกับหลี่เหยียนอย่างนั้นหรือ คงพูดเช่นนั้นไม่ได้หรอก
“ก็แค่ความคิดชั่ววูบ จะ…เจ้าไม่เป็นไรกระมัง”
โหยวเหมี่ยวแกว่งตะเกียงไปมาตรงหน้าอีกฝ่าย ในที่สุดสายตาของคนผู้นั้นก็เลื่อนมาจับที่ใบหน้าโหยวเหมี่ยว แสงไฟห้าสีของตะเกียงหลิวหลีส่องทะลุฉากกั้น แสงหลากสีสันที่กวัดแกว่งไปมาส่องกระทบหน้าเขาและใบหน้าของโหยวเหมี่ยว
“เจ้าผลาญเงินข้าไปตั้งสองร้อยตำลึงเชียวนะ ดังนั้นห้ามตายเด็ดขาด…เจ้าชื่ออะไร”
เขามองหน้าโหยวเหมี่ยวตาไม่กะพริบ เนิ่นนานกว่าจะตอบว่า “หลี่จื้อเฟิง”
โหยวเหมี่ยวยืนยันชื่ออีกฝ่ายได้แล้วก็เอ่ยว่า “เพื่อเจ้าแล้ว ข้าล่วงเกินกระทั่งหลี่เหยียน เจ้าต้องสำเหนียกตัวด้วย พรุ่งนี้ข้าจะเชิญหมอมาดูเจ้า ตอนนี้เจ้าก็นอนไปก่อนเถอะ”
หลี่จื้อเฟิงไม่ตอบ โหยวเหมี่ยวเอาตะเกียงหลิวหลีแขวนไว้กับฉากกั้นแล้วเดินกลับไปล้มตัวนอนบนเตียง คืนนี้เขามัวแต่กังวลว่าสองร้อยตำลึงจะตาย จึงเหลือบมองฉากกั้นหรือเงี่ยหูฟังเสียงเป็นระยะโดยไม่รู้ตัว จวบจนฟ้าเริ่มสางค่อยแอบย่องเข้าไปดู พอเห็นหลี่จื้อเฟิงหลับตาก็ยกนิ้วจ่อจมูกตรวจดูลมหายใจ
“ข้าไม่ตายหรอก เจ้าวางใจไปนอนเถอะ” หลี่จื้อเฟิงกล่าวขึ้นมา
โหยวเหมี่ยวจึงพยักหน้ารับแล้วเดินกลับไป แต่หลี่จื้อเฟิงยังพูดย้ำอีกประโยคว่า “บุญคุณที่ช่วยชีวิต ข้าจะจดจำไว้ในใจ”
“เจ้าอย่าตายก็พอ” โหยวเหมี่ยวยิ้มนิดๆ
คราวนี้โหยวเหมี่ยวนอนหลับสนิทแล้ว จนกระทั่งตะวันขึ้นสูงสว่างโร่ค่อยรู้สึกตัวตื่น เขามัวแต่พะวักพะวนจนหลับไม่สนิททั้งคืน พอสาวใช้เข้ามาในห้องก็ทำจมูกฟุดฟิดพลางเอ่ยว่า “คุณชาย ในห้องมีกลิ่นอะไรเจ้าคะ”
“ออกไปๆ ออกไปให้หมด ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของพวกเจ้า” โหยวเหมี่ยวรีบไล่
โหยวเหมี่ยวไล่สาวใช้ออกไปแล้ว จู่ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงรีบกล่าวว่า “ยกเตาเครื่องหอมเข้ามา”
สาวใช้รู้สึกประหลาดใจ โหยวเหมี่ยวถามอีกว่า “ท่านอาเล่า”
“นายท่านไปจวนท่านเสนาบดีกรมอากรเจ้าค่ะ” สาวใช้ย่อกายคารวะแล้วออกไป
ตอนโหยวเหมี่ยวล้างหน้าบ้วนปาก บ่าวคนสนิทมารายงานที่หน้าประตูว่า “เฉียวเอ๋อร์รออยู่ที่ประตูสอง เตรียมรถม้าให้คุณชายเดินทางไปเรียนเสร็จแล้วขอรับ”
โหยวเหมี่ยวไหนเลยจะมีกะจิตกะใจไปเรียน “วันนี้ไม่ไปแล้ว พวกเจ้าไปพักเถอะ”
ทุกวันบ่าวคนสนิทต้องเตรียมตัวไปเรียนเป็นเพื่อนเขา เด็กรับใช้ในห้องหนังสือก็ติดตามมาจากบ้าน ทุกคนต่างก็ทำไปตามหน้าที่ทุกวัน ไม่มีใครมาทดสอบผลการเรียน ดังนั้นจึงดีใจมากที่มีเวลาว่างเป็นอิสระ
โหยวเหมี่ยวล้างหน้าเสร็จ เตาเครื่องหอมก็ถูกยกเข้ามาพอดีทำให้หอมกรุ่นไปทั้งห้อง อาหารเช้าก็ยกเข้ามากินในห้อง โหยวเหมี่ยวสั่งให้ต้มโจ๊กมาช่วยกระตุ้นกระเพาะและทอดเนื้อนกกระทา ทั้งยังบอกให้สาวใช้ฉีกเป็นเส้นฝอยๆ ใส่ในโจ๊ก จากนั้นก็ให้ทุกคนออกไปให้หมดแล้วแอบซ่อนไว้ชามหนึ่ง
“ข้าจะอาบน้ำ ไปเตรียมน้ำมาสิ แล้วเรียกสือฉีเอ๋อร์เข้ามาด้วย” โหยวเหมี่ยวสั่ง
ครู่ต่อมาบ่าวรับใช้ที่ชื่อสือฉีเอ๋อร์ก็หิ้วน้ำเข้ามาถังหนึ่ง สือฉีเอ๋อร์เป็นบ่าวที่ท่านอามอบให้และจะคอยติดตามโหยวเหมี่ยวเป็นประจำ เขารู้เรื่องที่โหยวเหมี่ยวซื้อเจ้าคนไร้ประโยชน์มาเมื่อคืน ดังนั้นพอเข้ามาก็เอ่ยถามด้วยความสงสัยทันที “คุณชาย เมื่อคืนท่านเอาซากสุนัขตายนั่นซ่อนไว้ในห้องหรือ”
“ซากสุนัขตายอะไรกัน” โหยวเหมี่ยวเอ่ย “ตั้งสองร้อยตำลึงเชียวนะ มาๆ ขอแรงหน่อย”
โหยวเหมี่ยวไม่กล้าให้ท่านอาของเขารู้เรื่องนี้ เพราะเกรงว่าท่านอาเห็นหลี่จื้อเฟิงแล้วต้องโยนเขาออกนอกประตูแน่ จากนั้นก็คงจะฟาดโหยวเหมี่ยวสักยกหนึ่ง ดังนั้นรักษาเจ้านั่นให้หายก่อนค่อยว่ากัน หรือหากจวนตัวจริงๆ ก็บอกท่านอาว่าเป็นบ่าวไพร่ที่คนอื่นยกให้ก็ได้ แต่เวลานี้ถ้าจะรักษาบาดแผลก็ต้องเชิญหมอ ถ้าจะเชิญหมอก็ต้องอาบน้ำเขาให้สะอาดก่อน
สือฉีม้วนแขนเสื้อแล้วไปยืนมองหลังฉากกั้นด้วยกัน โหยวเหมี่ยวร้องสั่งว่า “มองอะไร รีบอุ้มเขาขึ้นมาเร็ว”
กล้ามเนื้อหน้าของสือฉีกระตุก เจ้านี่เหม็นมากจึงไม่ค่อยเต็มใจทำนัก แต่ก็ต้องช่วยโหยวเหมี่ยวแบกเขาขึ้นมาตามคำสั่ง หลี่จื้อเฟิงซวนเซยืนไม่มั่นคง โหยวเหมี่ยวถามว่า “เจ้าเดินเองได้หรือไม่”
หลี่จื้อเฟิงพยักหน้า แต่แข้งขากลับอ่อนยวบ โหยวเหมี่ยวกับสือฉีอุ้มเขาไปที่ถังน้ำแล้วกดหัวเขาลงไปแช่ในน้ำทั้งตัว เสียงดังจ๋อมแจ๋ม ทั้งสองคนโดนน้ำสาดเปียกไปหมด สือฉีทำหน้ามุ่ย
“ไปหาชุดสะอาดๆ มาให้เขาใส่” โหยวเหมี่ยวกล่าวจบก็ให้หลี่จื้อเฟิงพลิกตัว หลี่จื้อเฟิงไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลือ ได้แต่พิงขอบถังแล้วหลับตาลง
โหยวเหมี่ยวหยิบใยบวบมาบังคับขัดถูตัวหลี่จื้อเฟิง จากนั้นรวบเสยผมไปด้านหลังเพื่อดูใบหน้าของอีกฝ่าย
“หน้าตาหล่อเหลาดี” โหยวเหมี่ยวถามต่อว่า “เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
หลี่จื้อเฟิงดูเหมือนใช้เรี่ยวแรงในตัวไปจนหมดแล้ว ยกมือที่สั่นระริกขึ้นจากน้ำ วางลงบนหลังมือโหยวเหมี่ยวซึ่งเกาะอยู่ตรงขอบถัง
“ตัวโตขนาดนี้ทำไมสู้บ่าวไพร่แค่ไม่กี่คนไม่ไหว” โหยวเหมี่ยวบ่นอุบอิบ
“พวกเขาให้ข้ากินผงสลายเส้นเอ็น” เสียงของหลี่จื้อเฟิงแผ่วเบาและอ่อนแรงมาก
โหยวเหมี่ยวฟังไม่ค่อยชัดเจนจึงชะโงกหน้าเข้าไปถามใกล้ๆ จนเกือบชิดติดริมฝีปาก “อะไรนะ”
หลี่จื้อเฟิงเค้นเสียงออกมา
“วรยุทธ์”
โหยวเหมี่ยวตกตะลึง
“เจ้ารู้วรยุทธ์หรือ”
หลี่จื้อเฟิงตอบไม่ไหว ใจจริงโหยวเหมี่ยวยังอยากถามต่อแต่พอเห็นสภาพร่อแร่ปางตายของอีกฝ่ายก็ทำได้เพียงล้มเลิกความคิดชั่วคราว อย่าเพิ่งพูดตอนนี้เลย
เมื่อสือฉีนำเสื้อผ้าเข้ามา โหยวเหมี่ยวก็สั่งให้แบกหลี่จื้อเฟิงที่เปียกโชกไปวางที่เตียงตัวเองก่อน ใส่เสื้อกางเกงตัวในให้แล้วสวมทับด้วยเสื้อคลุม จากนั้นเอาผ้านวมห่อไว้แล้วย้ายไปไว้หลังฉากกั้น สือฉีม้วนผ้านวมผืนเก่าที่ใช้ห่อตัวหลี่จื้อเฟิงก่อนหน้านี้แล้วนำออกไปทิ้ง โหยวเหมี่ยวพรูลมหายใจ ในที่สุดทุกอย่างก็เสร็จสิ้น
เส้นผมของหลี่จื้อเฟิงยังเปียกชื้น แต่หน้าตาเริ่มดูได้บ้างแล้ว เขาคล้ำกว่าที่โหยวเหมี่ยวคิดเล็กน้อย และผอมซูบจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน โหนกแก้มสูง ตรงโหนกคิ้วมีรอยแผลที่ยังไม่หายสนิท คิดว่าคงเป็นผลจากที่โดนซ้อมหนนั้น ทั้งยังถูกหลี่เหยียนเอาแจกันฟาดตี รอยแผลดังกล่าวยาวประมาณสองชุ่น* จากโหนกคิ้วลากยาวถึงข้างหู บุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคายคนหนึ่งกลับต้องมาเสียโฉมเพราะรอยแผลนี้
เขาหลับตา คิ้วดกหนาคมเข้มสองสายงดงามมาก จมูกโด่งเป็นสัน นิ้วมือเรียวยาว แต่สีหน้าซีดเซียวราวกับคนตาย โหยวเหมี่ยวส่งเสียงเรียกเขาอีกหน “นี่”
หลี่จื้อเฟิงลืมตาอย่างอ่อนแรง นัยน์ตามีสีน้ำตาลนิดๆ เผยอปากทำท่าจะพูดแต่ไม่มีเสียงออกมา
“นี่เป็นหยกคุ้มครองที่ท่านแม่มอบให้ ข้าจะให้เจ้ายืมก่อน เวลานี้ลุกขึ้นมากินอะไรสักนิดก่อน” โหยวเหมี่ยวดึงหยกชิ้นหนึ่งออกมาจากคอแล้วเอาสวมหัวอีกฝ่าย
โหยวเหมี่ยววางชามโจ๊กลงข้างอ่างน้ำร้อน แล้วควานหยิบนกหวีดหยกอันเล็กๆ ออกมาเล่นรอสือฉีกลับมา จากนั้นทั้งสองคนก็ช่วยกันประคองหลี่จื้อเฟิงขึ้นมานั่งดีๆ โหยวเหมี่ยวเพิ่งอายุสิบห้า ส่วนสือฉีอายุสิบสี่ เด็กหนุ่มกำลังโตสองคนช่วยกันแบกประคองชายหนุ่มตัวโตๆ คนหนึ่งช่างเป็นเรื่องที่เหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก แต่สุดท้ายก็ป้อนโจ๊กทั้งชามให้เขากินหมดจนได้
หลังกินโจ๊กโหยวเหมี่ยวก็สั่งให้สือฉีไปเชิญหมอ ดูท่าวันนี้คงออกไปไหนไม่ได้แล้วจึงตัดสินใจนั่งอยู่ในห้อง พลิกหนังสือตำราแล้วนั่งใจลอย
หลี่จื้อเฟิงส่งเสียงไออยู่หลังฉากกั้น โหยวเหมี่ยวจึงรีบเข้าไปดู หลังจากหลี่จื้อเฟิงกินโจ๊กแล้ว สีหน้าก็เริ่มมีสีเลือดขึ้นมาบ้าง สีผิวของเขาค่อนข้างเข้ม ไม่ได้เนียนละเอียดเหมือนโหยวเหมี่ยว หลังมือเห็นเส้นเลือดสีเขียวปูดโปนชัดเจนเพราะตอนไอตัวงอเอามือปิดปากไว้
โหยวเหมี่ยวลูบหลังให้และมองอีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยไว้วางใจครู่หนึ่ง ในใจคิดว่ารอหมอมาแล้วถ้าบอกว่ารักษาไม่หาย ก็…โยนทิ้งไปเลย แต่คนตัวโตขนาดนี้ ข้างนอกลมแรงหิมะตกหนัก โยนทิ้งไว้ในตรอกคงไม่ได้ ต้องเอาไปโยนทิ้งไกลๆ หน่อย
แต่อันที่จริงก็น่าสงสารเหมือนกัน ทั้งยังเสียเงินไปตั้งสองร้อยตำลึงเชียวนะ…ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้คงไม่ทำอย่างนั้นแล้ว แค่โหยวเหมี่ยวนึกถึงเรื่องวันนั้นก็อดปวดใจไม่ได้ ลอบเตือนตัวเองว่าตอนเอาไปโยนทิ้งอย่าลืมเอาหยกที่ท่านแม่มอบให้เขาคืนมาด้วย เดี๋ยวจะเผอเรอโยนทิ้งไปพร้อมคนเสียเปล่าๆ
“เจ้าอายุเท่าไร” โหยวเหมี่ยวถามอย่างเห็นใจ
“ปีรัชศกชิ่งซั่วที่สิบเอ็ด”
โหยวเหมี่ยวผงกหัว ปีนี้เป็นปีรัชศกชิ่งซั่วที่สามสิบสาม นั่นก็แปลว่าเขาอายุยี่สิบสองแล้ว
โหยวเหมี่ยวกลับไปนั่งที่โต๊ะ กุมเตาอุ่นมือแล้วขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเดินไปเอาเตาอุ่นมือยัดใส่อกเสื้อหลี่จื้อเฟิง จากนั้นทรุดตัวลงนั่งข้างๆ พรมด้านหลังฉากกั้นพร้อมถามว่า “แล้วโดนขายมาที่เมืองหลวงปีไหน”
“เจ็ดปีก่อน”
อายุสิบห้าก็โดนขายเข้าหอสังคีตแล้ว โหยวเหมี่ยวพอรู้อยู่บ้างว่าที่นั่นเป็นสถานที่เช่นไร…พวกเศรษฐีโดนริบทรัพย์แล้วเนรเทศไปเป็นทหาร เหล่าสตรีถูกขายเข้าหอสังคีตเป็นนางคณิกา ในนั้นยังมีบุรุษอีกไม่น้อย แต่ของเล่นอย่างทาสเฉวี่ยนหรง เขาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าเจ้านี่มีความเป็นมาอย่างไร แต่ดูจากลักษณะของอีกฝ่ายแล้วไม่เหมือนผู้ชายขายตัว
* ชุ่น เป็นหน่วยมาตราวัดของจีนสมัยโบราณ เทียบความยาวประมาณ 1 นิ้ว ระยะ 10 ชุ่นเป็น 1 ฉื่อ (เชียะ)
“คุณชาย” เสียงของสือฉีดังมาจากด้านนอก โหยวเหมี่ยวผุดลุกขึ้นทันที หมอที่มีหิมะเกาะเต็มตัวหิ้วล่วมยามาด้วยใบหนึ่ง โหยวเหมี่ยวไม่รอช้ารีบเชิญหมอเข้ามาข้างใน
จากนั้นยืนมองอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าวิตกกังวล สือฉีส่งสายตาให้หลายหน โหยวเหมี่ยวค่อยขมวดคิ้วถามว่ามีอะไร
“นายท่านกลับมาแล้ว” สือฉีกระซิบตอบ
“เรียกหาข้าหรือ” โหยวเหมี่ยวกลอกตาถาม
สือฉีส่ายหน้า โหยวเหมี่ยวจึงเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ยังไม่ต้องสนใจเขา”
หมอไม่ได้ถามความเป็นมาของหลี่จื้อเฟิง และไม่ได้ถามว่าทำไมถึงได้มีบุรุษอยู่ในห้องของคุณชายสกุลโหยว แค่ขมวดคิ้วเป็นปมแล้วตั้งใจตรวจรักษาคน
สือฉีหันไปพูดกับหลี่จื้อเฟิงว่า “คุณชายของข้าเชิญท่านหมอมือดีที่สุดในเมืองหลวงมาเพื่อสินค้าขาดทุนอย่างเจ้า สิบสองตำลึงเชียวนะ”
อะ…อะไรนะ?! โหยวเหมี่ยวรู้สึกเหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ถลึงตาใส่สือฉี กัดฟันพูดข้างหูอีกฝ่ายว่า “เจ้าเชิญหมอราคาแพงขนาดนี้เชียวหรือ”
“คุณชาย ท่านลองคิดดู สินค้าขาดทุนค่าตัวตั้งสองร้อยตำลึงเชียวนะ ถ้าเพิ่มเงินอีกสิบสองตำลึงแล้วรักษาให้หายได้ ไม่คุ้มค่าหรอกหรือ”
ตอนนี้โหยวเหมี่ยวใกล้จะหมดตัวเต็มที เพลิงโทสะอัดแน่นเต็มอก แต่พูดได้แค่ “เอาเถอะๆ”
“นายท่านกลับคฤหาสน์แล้ว…”
“ท่านอา!”
คฤหาสน์สกุลโหยวเป็นบ้านซื่อเหอย่วน* ที่มีประตูสามชั้น เวลาหิมะตกหนัก ข้างนอกอากาศหนาวเย็นบาดผิวเหมือนโดนใบมีดกรีด รถม้าต้องจอดไว้นอกคฤหาสน์ จากนั้นก็นำเกี้ยวเดินโยกเยกไปยกนายท่านสกุลโหยวผ่านประตูสองเข้ามาด้านหน้าห้องโถง โหยวเต๋อโย่วเพิ่งเปิดม่านก็ตัวสั่นระริกด้วยความเหน็บหนาว จึงออกคำสั่งอีกไม่กี่คำ เกี้ยวก็ถูกยกผ่านประตูเข้าไปข้างในตามคำสั่ง
จากนั้นโหยวเต๋อโย่วค่อยเดินซวนเซลงจากเกี้ยว เมื่อย่างเข้าวัยกลางคนโหยวเต๋อโย่วก็เริ่มอ้วนเพราะกินเยอะจนร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ เขาอาศัยอยู่ในเมืองหลวง ทำการค้าในมณฑลเจียงหนาน มักจะช่วยทำงานจิปาถะหรือสืบข่าวความเคลื่อนไหวของราชสำนักส่งให้สกุลโหยวเป็นประจำ วันๆ เอาแต่หมกมุ่นกับอาหารเลิศรส ยัดทะนานตามใจปากจนมีสภาพเช่นนี้ แค่เดินเข้าห้องโถงก็เล่นเอาเหนื่อยหอบแล้ว อนุสาวรีบวิ่งมาปรนนิบัติ ยื่นผ้าขนหนูร้อนให้ พร้อมจุดกระถางไฟเพิ่มความอบอุ่น อาการของโหยวเต๋อโย่วถึงค่อยดีขึ้นบ้าง เขาเช็ดมือพลางถาม “โหยวเหมี่ยวเล่า”
โหยวเต๋อโย่วยังคงดูแลเอาใจใส่หลานชายที่ชอบสร้างปัญหาให้เช่นเดิม หนึ่งเพราะโหยวเหมี่ยวเป็นลูกชายคนโตสืบสกุลของโหยวเต๋อชวนจึงมีฐานะไม่ธรรมดา สองเพราะสุดท้ายแล้วสกุลโหยวก็ต้องมีคนดูแลสืบทอดต่อ แต่ดูจากความตั้งใจของโหยวเต๋อชวนแล้ว เห็นได้ชัดเจนว่าอยากให้บุตรชายเป็นขุนนาง ดังนั้นเขาจะไม่สนใจก็ไม่ได้ ปกติโหยวเหมี่ยวกินใช้มือเติบ โหยวเต๋อโย่วก็ทำเป็นหลับตาข้างลืมตาข้าง
“คุณชายอยู่ในบ้านขอรับ นายท่านจะให้เชิญมาหรือไม่” พ่อบ้านตอบ
พอฟังรายงานจบโหยวเต๋อโย่วก็เบิกตากว้าง พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ดวงตะวันขึ้นทางตะวันตกแล้วหรือไร กลางวันแสกๆ เจ้าเด็กนั่นอยู่เงียบๆ ในบ้านได้ด้วยหรือ”
* ซื่อเหอย่วน แปลตรงตัวว่าลายผสานสี่ด้าน เป็นรูปแบบการจัดเรียงเรือนหมู่ของชาวจีนที่มีส่วนลานกว้างตรงกลาง ล้อมรอบด้วยอาคารที่หันหน้าเข้าหาลานทั้งสี่ด้าน
อนุหัวเราะ บีบนวดไหล่โหยวเต๋อโย่วพลางอธิบายว่า “คงเพราะวันนี้หิมะตกหนัก ไม่มีที่ให้ไปกระมัง”
“ช่างเถอะๆ เรียกเขามา ให้ในครัวทำอะไรมาหน่อย กินข้าวกลางวันก่อนค่อยว่ากัน” โหยวเต๋อโย่วเอ่ย
ระหว่างสนทนาโหยวเหมี่ยวรู้สึกกระสับกระส่ายมาก จ้องหมอตาเขม็ง หมอหรี่ตาลง นิ่งเงียบไปหนึ่งชั่วก้านธูปราวกับเข้าฌานก็ไม่ปาน เสียงพ่อบ้านตะโกนดังมาจากข้างนอก “คุณชาย นายท่านเรียนเชิญท่านไปสนทนาและกินอาหารกลางวันด้วยกันขอรับ”
โหยวเหมี่ยวจำต้องแวะไป แต่ก่อนไปยังไม่วางใจจึงล้วงเงินสิบสองตำลึงให้สือฉีแล้วหยิบเศษเงินมอบให้เป็นรางวัล กระซิบสั่งให้สือฉีจับตาดูให้ดีๆ จากนั้นก็รีบร้อนไปหาผู้เป็นอา แต่โหยวเต๋อโย่วก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แค่ถามเขาว่าเรียนถึงไหนแล้ว ปกติแล้วสนิทกับใคร โหยวเหมี่ยวมัวแต่วิตกกังวลเรื่องคนที่เพิ่มเข้ามาในห้อง และเพิ่งกินอาหารเช้าก่อนมาจึงกินอะไรไม่ลง ผ่านไปครู่หนึ่งก็รีบร้อนกลับห้องโดยอ้างว่าจะกลับไปอ่านหนังสือ
โหยวเต๋อโย่วตกตะลึง หลงคิดว่าหลานชายกลับเนื้อกลับตัวเปลี่ยนแปลงนิสัยใหม่ เขารีบร้องสั่งว่า “หยุด!”
“ทำไมหรือ”
“ข้าอยากถามเจ้า เมื่อเดือนก่อนมีคนจากในวังส่งจดหมายมาฉบับหนึ่ง…”
“องค์ชายสามจะให้ข้าเป็นสหายร่วมเรียนน่ะหรือ” โหยวเหมี่ยวนึกเรื่องนั้นออกก็รีบโพล่งทันที
“เจ้าจะไปหรือไม่” โหยวเต๋อโย่วแค่นยิ้มถาม
โหยวเหมี่ยวลังเลเล็กน้อย โหยวเต๋อโย่วสั่งสอนต่อ “ข้าไม่ได้จะว่าอะไร แต่ทำไมเจ้าถึงได้โง่เช่นนี้ องค์ชายสามเป็นคนไม่เลว แต่อย่างไรเสียก็ไม่ใช่รัชทายาทอยู่ดี…”
โหยวเหมี่ยวมีเรื่องแตกหักกับหลี่เหยียนเพราะทาสเฉวี่ยนหรง พอคิดถึงเรื่องเลือกฝักเลือกฝ่ายก็ว้าวุ่นใจขึ้นมา เด็กหนุ่มยังไม่เป็นผู้ใหญ่พอ และคุณชายลูกผู้ดีเหล่านั้นมีคนไหนบ้างที่รับมือได้ง่ายๆ ตัวเองก็ได้ยินได้ฟังมาเยอะว่าในราชสำนักล้วนแบ่งฝักแบ่งฝ่ายแก่งแย่งชิงดีกัน เขาต่างก็เลือกฝ่ายกันไว้ตั้งแต่แรกจึงตั้งใจอยู่ฝ่ายหลี่เหยียนต่อไป
ทว่าหากจะเปลี่ยนไปอยู่ฝ่ายองค์ชายสามแทนก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อดีเอาเสียเลย ภายภาคหน้าเมื่อรัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์ ถ้าหากไม่กำจัดพี่น้องหรือมีน้ำใจให้คนร่วมสายเลือดบ้าง องค์ชายสามย่อมได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋อง ถ้าเขาอยู่ฝ่ายองค์ชายตั้งแต่ตอนนี้ ต่อไปหลังจากได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋องแล้วย่อมเสพสุขสำราญไปด้วย
โหยวเหมี่ยวขบคิดกลับไปกลับมาแต่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ แค่ซุกตัวอยู่ในรังอย่างมั่นคงก็พอ ถ้าหากตัดสินใจได้เองจริงๆ สู้ติดตามองค์ชายสามตั้งแต่ตอนนี้ ขอเพียง ‘องค์ชายสาม’ ไม่วางแผนก่อกบฏและยอมเชื่อฟังพระเชษฐา เขาก็ย่อมมั่งคั่งร่ำรวยและมียศถาบรรดาศักดิ์กว่าเป็นขุนนาง แต่โหยวเหมี่ยวทราบดี เวลานี้บิดาคาดหวังให้เขาเป็นขุนนางแล้วเขายังจะทำอย่างไรได้อีกเล่า
“เดิมทีข้าก็ไม่เคยคิดจะเข้าวังอยู่แล้ว” โหยวเหมี่ยวตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ก็ดี เดือนก่อนช่วยตอบกลับไปแทนเจ้าแล้ว” โหยวเต๋อโย่วพยักหน้า
เฮ้อ คนอยู่ในเมืองหลวงแต่กลับไม่เป็นตัวของตัวเอง โหยวเหมี่ยวกำลังจะออกไปข้างนอกก็มีคนมาส่งจดหมายให้ “คุณชาย คุณชายจวนอัครเสนาบดีให้คนส่งของมา”
โหยวเต๋อโย่วหนวดกระดิก เลิกคิ้วสูง โหยวเหมี่ยวรับของมาก็พบว่าเป็นแผ่นหนังวัวเขียนสัญญาขายตัวของหลี่จื้อเฟิง
“นั่นอะไร” โหยวเต๋อโย่วถาม
“มะ…ไม่มีอะไร”
โหยวเหมี่ยวเอาสัญญาขายตัวยัดในอกเสื้อ หันไปส่งยิ้มให้ท่านอาก่อนรีบร้อนจากไป
“เป็นอย่างไร” โหยวเหมี่ยวกลับถึงห้องก็ถามทันที
“ท่านหมอบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่บาดแผลภายนอกเท่านั้น แต่ก็มีบาดเจ็บภายในด้วยไม่กี่แห่ง ท่านหมอบอกให้เราซื้อยาลูกกลอนเทพคุ้มชีวีให้เขากิน นอกจากนี้เป็นเพราะเขายังมีไข้ ไม่หายดีสักที เกรงว่าอาจทำลายปอดได้จึงเขียนเทียบยานี้ให้ ถ้าหากผ่านไปหลายวันแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นให้เรียกเขามาดูอีกครั้ง” สือฉีตอบ
โหยวเหมี่ยวผงกหัว สือฉีจึงกล่าวต่อ “แต่เวลานี้ยาลูกกลอนเทพคุ้มชีวีไม่ใช่ถูกๆ ราคาตั้งสิบสองตำลึง…”
“ไปซื้อเถอะ” โหยวเหมี่ยวเจ็บปวดใจมาก แต่เงินสองร้อยตำลึงยังจ่ายมาแล้วก็ไม่ควรจะมาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้ ว่าแล้วก็ควักเงินให้สือฉีพร้อมกัดฟันพูด
วันนั้นสือฉีซื้อยากลับมาในตอนบ่าย โหยวเหมี่ยวป้อนยาลูกกลอนเทพคุ้มชีวีให้หลี่จื้อเฟิง จากนั้นหยิบโถกระเบื้องมาตั้งไฟแล้วนั่งลงต้มยาให้หลี่จื้อเฟิงในห้อง ต้มไปต้มมาโหยวเหมี่ยวก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง ตัวเองเป็นคุณชายใหญ่แท้ๆ แต่ทำไมซื้อทาสมาแล้วกลับต้องกลายเป็นคนดูแลปรนนิบัติแทน
“คราวนี้ข้าอุตส่าห์ทำเพื่อเจ้าเชียวนะ” โหยวเหมี่ยวเอ่ยอย่างห่อเหี่ยว “ไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ เจ้าสินค้าขาดทุน รีบกินยาเข้าไปแล้วหายเร็วๆ”
หลี่จื้อเฟิงกินยาลูกกลอนเทพคุ้มชีวีแล้วสีหน้าดีขึ้นมาก ทว่ากลับเอาแต่จ้องมองโหยวเหมี่ยว โหยวเหมี่ยวจึงกล่าวว่า “พิลึกจริง ทำไมกลายเป็นข้าปรนนิบัติเจ้าแทนเล่า ดื่มเข้าไปสิ”
โหยวเหมี่ยวยกชามยาให้อีกฝ่าย ข้าวของวางทิ้งไว้ไม่เก็บกวาด จากนั้นปีนขึ้นเตียงล้มตัวนอนหลับเป็นตายทันทีเพราะเหน็ดเหนื่อยวุ่นวายมาทั้งวัน
คืนนั้นหลี่จื้อเฟิงเริ่มมีความอยากอาหารขึ้นมาบ้างและกินโจ๊กไก่ได้แล้ว โหยวเหมี่ยวอยากให้อีกฝ่ายหายไวๆ จึงสั่งให้ห้องครัวต้มมาชามใหญ่พร้อมสั่งให้สือฉีไปซื้อโสมคน เห็ดหลินจือมา เขาเอาอาหารบำรุงทั้งหลายให้หลี่จื้อเฟิงกิน แต่เกรงว่าจะยุ่งยากตอนนอนหลับแล้ว ก่อนนอนจึงตุ๋นน้ำแกงโสมข้นๆ ชามโตให้อีกฝ่ายกินก่อนแยกย้ายกันเข้านอน
กลางดึกได้ยินเสียงดังขึ้นมา โหยวเหมี่ยวสะดุ้งตื่น ในตอนแรกคิดว่ามีโจรบุกรุกเสียแล้ว แต่พอเงยหน้ามองก็เห็นเงาร่างหนึ่ง ค่อยรู้ว่าเป็นหลี่จื้อเฟิงนั่นเอง
คงไม่ได้คิดจะขโมยของแล้วหลบหนีไปกระมัง โหยวเหมี่ยวไม่กล้าขยับตัว ได้แต่อาศัยแสงสว่างจากนอกหน้าต่างลอบเพ่งมองให้ชัดๆ ก็พบว่าหลี่จื้อเฟิงกำลังเก็บชามยา ชามข้าว และเตาไฟที่ใช้ในตอนกลางวัน ตอนเขายกไปเก็บหน้าชั้นวางหนังสือก็ชะงักไปครู่หนึ่ง คิดว่าคงเห็นหนังสือสัญญาขายตัวของตัวเอง แต่กลับวางมันไว้ด้านข้างเหมือนไม่ได้มีความสำคัญอะไร
วันรุ่งขึ้น เนื่องจากโหยวเหมี่ยวมีเรื่องกับหลี่เหยียนจึงไม่มีใครมาหาเขา ส่วนโหยวเหมี่ยวก็แวะไปหาเองไม่ได้เช่นกัน เขาจึงอยู่บ้านว่างๆ ทั้งวัน บางครั้งก็เดินไปดูหลี่จื้อเฟิงว่าดีขึ้นบ้างหรือไม่ บางครั้งก็ชวนอีกฝ่ายสนทนา หลี่จื้อเฟิงพูดน้อย ทำตัวทื่อมะลื่อเหมือนท่อนไม้ ในช่วงแรกๆ โหยวเหมี่ยวสนใจความเป็นมาของอีกฝ่ายจึงซักถามใหญ่
“เฉวี่ยนหรงคืออะไร”
“คน”
“เหตุใดเจ้าจึงถูกขายมาเมืองหลวง”
“รบแพ้”
“อยากกลับบ้านหรือไม่”
หลี่จื้อเฟิงส่ายหน้า
“เจ้าทำอะไรในหอสังคีต”
ทว่าหลี่จื้อเฟิงกลับเอาแต่จ้องมองโหยวเหมี่ยวเงียบๆ ไม่ได้ตอบออกมา ยาในหม้อเริ่มเดือด โหยวเหมี่ยวจึงเอ่ยว่า “ไปหยิบยามาดื่มเสีย”
หลี่จื้อเฟิงดื่มยาเงียบๆ โหยวเหมี่ยวก็ถามต่อว่า “นี่ ทาสเฉวี่ยนหรง เจ้าจะตอบแทนข้าอย่างไร”
“นับจากวันนี้ไป เจ้าให้ข้าทำอะไร ข้าจะทำทั้งหมด เจ้าให้ข้ามีชีวิตอยู่ ข้าก็จะมีชีวิตอยู่ เจ้าให้ข้าตาย ข้าก็จะตาย”
โหยวเหมี่ยวรู้สึกตื้นตันนิดๆ คิดไม่ถึงว่าเจ้าคนนี้จะรู้จักพูดอะไรยาวๆ ด้วย แต่เวลานี้ออกจะกะทันหันโหยวเหมี่ยวเลยยังนึกไม่ออกว่าจะให้อีกฝ่ายทำอะไรจึงถามว่า “เจ้าทำงานเป็นหรือ ปรนนิบัติคนเป็นหรือไม่ หวีเกล้าผมเล่า”
หลี่จื้อเฟิงผงกหัว
“ซักเสื้อผ้า ทำอาหาร กวาดพื้น งานหนักๆ ทำได้หรือไม่”
หลี่จื้อเฟิงมองชามยาแล้วพยักหน้าเล็กน้อย
“ทะเลาะวิวาทเล่า”
“เป็นนิดหน่อย”
“เจ้ายังทำอะไรได้อีก”
หลี่จื้อเฟิงดื่มยาแล้วตอบว่า “ปรนนิบัติบนเตียง”
“เจ้าเคยขึ้นเตียงกับหลี่เหยียนมาก่อนหรือ” โหยวเหมี่ยวนึกขึ้นมาได้จึงถามอีก
หลี่จื้อเฟิงส่ายหน้า โหยวเหมี่ยวขบคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “รอเจ้าหายดี ค่อยมาปรนนิบัติข้า ถ้าปรนนิบัติได้ดี ผ่านไปสักสองสามปีจะปล่อยเจ้ากลับบ้าน”
โหยวเหมี่ยวไม่รู้ว่าบุรุษขึ้นเตียงด้วยกันต้องทำอย่างไรกันบ้าง แต่ดูจากสภาพร่างกายของหลี่จื้อเฟิงแล้วคงสู้เขาไม่ได้ ตอนนี้จะบุ่มบ่ามเคี่ยวกรำทรมานหลี่จื้อเฟิงส่งเดชไม่ได้ ถ้าตายไปก็ไม่คุ้มแล้ว
“เจ้าเป็นสหายร่วมเรียนได้หรือไม่ มาฝนหมึกให้ข้าที” โหยวเหมี่ยวนั่งลงหน้าโต๊ะแล้วเอ่ย
หลี่จื้อเฟิงดื่มยาหมดชามก็เดินเข้าไปเตรียมฝนหมึกให้โหยวเหมี่ยว เขารวบสาบเสื้อแล้วคุกเข่าข้างหนึ่งข้างๆ โต๊ะด้วยท่วงท่าที่ดูงามสง่ามาก ม้วนแขนเสื้อขึ้น เอื้อมมือหยิบแท่งหมึกขึ้นมาฝนถูเป็นวงกลมซ้ำๆ บนแท่นหมึก โหยวเหมี่ยวเหลือบมองแวบหนึ่ง รู้สึกว่าคนคนนี้แตกต่างจากบ่าวไพร่ทั่วไปและทำให้เขาเกิดความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะอธิบาย
“เจ้ารู้หนังสือหรือ”
หลี่จื้อเฟิงผงกหัว
โหยวเหมี่ยวตกตะลึง มีทาสที่รู้หนังสือด้วยหรือ
หลี่จื้อเฟิงฝนหมึกเสร็จก็ลุกขึ้นไปเก็บข้าวของ ครู่หนึ่งค่อยกลับมานั่งข้างๆ ยกกำปั้นขึ้นแตะจมูก พยายามสะกดกลั้นอาการไอ โหยวเหมี่ยวเขียนอะไรส่งเดชก่อนวาดรูปเรื่อยเปื่อยบนกระดาษ อ่านหนังสือต่อไม่ไหวแต่ก็รู้สึกเบื่อหน่ายเต็มที ขณะฟุบตัวลงไปก็นึกถึงพวกหลี่เหยียน อยู่บ้านน่าเบื่อก็จริงแต่เขาเคยล่วงเกินหลี่เหยียนจึงไม่สะดวกใจจะไปประจบเอาใจ
และที่ยุ่งยากไปกว่านั้นก็คือเงินทองร่อยหรอเต็มที ห้าร้อยตำลึงที่ได้มาคราวก่อนใช้ไม่ถึงสามเดือนด้วยซ้ำ คงต้องคิดหาทางขอจากทางบ้านใหม่เสียแล้ว
โหยวเหมี่ยวเหลือบมองเจ้าสินค้าขาดทุนอันเป็นต้นเหตุความหายนะ และพบว่าหลี่จื้อเฟิงกำลังมองดูภาพที่เขาวาดอยู่ด้วยสีหน้าเย็นชา พอหลี่จื้อเฟิงรู้สึกว่าโหยวเหมี่ยวกำลังมองตัวเอง ดวงตาก็เบนกลับไปที่หน้าโหยวเหมี่ยวแล้วประสานสายตาด้วย
นอกจากท่าทางของหลี่จื้อเฟิงตอนฝนหมึกจะดูแปลกๆ แล้ว ท่าทางตอนนั่งคุกเข่าก็ประหลาดมากด้วย คนอื่นแค่คุกเข่าหรือนั่งลงไปส่งเดช แต่หลี่จื้อเฟิงกลับวางมือสองข้างไว้บนเข่า เอวเหยียดตรงราวกับทหารในราชสำนัก คล้ายจะแผ่ไอสังหารออกมานิดๆ
“มานี่” โหยวเหมี่ยวกวักมือเรียกอีกฝ่าย
หลี่จื้อเฟิงลุกขึ้นเดินเข้าไปหาสองก้าวแล้วค้อมตัวลงคุกเข่าอีกครั้ง ถึงจะคุกเข่าแต่ก็ยังสูงกว่าเขา โหยวเหมี่ยวมักรู้สึกว่าในแววตาของอีกฝ่ายทอประกายบางอย่างที่บอกไม่ถูก
มือขวาของโหยวเหมี่ยวถือพู่กัน นิ้วมือซ้ายแหวกสาบเสื้ออีกฝ่ายแล้วเกี่ยวหยกชิ้นนั้นออกมาก่อนเอ่ยว่า “หยกคุ้มครองชิ้นนี้ใช้ได้ผลจริงๆ ท่านแม่มอบมันให้ข้า ดูสิ เจ้าร่อแร่ปางตาย ผ่านไปสองวันก็รักษาหายดีแล้ว”
หลี่จื้อเฟิงไม่ตอบ
“…บุรุษกับบุรุษทำเรื่องอย่างนั้นกันอย่างไร”
หลี่จื้อเฟิงไม่ตอบ
“พูดสิ” โหยวเหมี่ยวเร่งเร้า
ในที่สุดโหยวเหมี่ยวก็เข้าใจแล้วว่าทำไมหลี่เหยียนถึงทุบตีอีกฝ่าย ถ้าเปลี่ยนเป็นโหยวเหมี่ยวซื้อคนกลับมาเอง แต่กระทั่งตอบคำถามแค่นี้ยังไม่ยอมทำ โหยวเหมี่ยวคงอยากลงมือทุบตีเช่นกัน แต่ดีที่เขาเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว เวลานี้จึงไม่ได้ถือสาอะไร
“อธิบายลำบาก”
“ถ้าอย่างนั้นวันหลังเจ้าก็มาปรนนิบัติข้าบนเตียง ลองสอนข้าดู ข้ายังไม่เคยเล่นอะไรแบบนั้นกับบุรุษมาก่อน จ่ายเงินสองร้อยตำลึงซื้อเจ้ากลับมา จะให้เจ้ายกน้ำชาเทน้ำเฉยๆ ก็เสียเงินเปล่า”
หลี่จื้อเฟิงผงกหัว มองสบตากับโหยวเหมี่ยวครู่หนึ่ง โหยวเหมี่ยวแค่รู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างน่าเบื่อจริงๆ
“หันข้างสิ” โหยวเหมี่ยวสั่งให้อีกฝ่ายเบี่ยงตัวหันข้าง เขานั่งเมื่อยแล้ว กำลังอยากหาอะไรพิงพอดี ว่าแล้วก็เอนตัวพิงอกอีกฝ่ายพลิกหนังสือดูอย่างเกียจคร้าน ได้ยินเสียงลมหายใจในปอดดังวี้ดๆ เหมือนเป็นโรคหอบหืด
ตอนบ่ายโหยวเหมี่ยวผล็อยหลับไป หลี่จื้อเฟิงไม่กล้าขยับตัวแม้แต่นิดเดียว ปล่อยให้อีกฝ่ายนอนพิงราวกับเป็นท่อนไม้ เมื่อโหยวเหมี่ยวตื่นขึ้นมาในตอนพลบค่ำ หลี่จื้อเฟิงก็เดินโซเซ เห็นได้ชัดว่าเหน็บกิน โหยวเหมี่ยวหัวเราะฮ่าๆ แล้วบอกให้เขาไปต้มยากินเอง
เหตุการณ์เป็นเช่นนี้อยู่หลายวัน ทุกวันเวลาโหยวเหมี่ยวตื่นมาในตอนเช้า หลี่จื้อเฟิงจะปรนนิบัติสวมเสื้อผ้ากับรองเท้าและหวีผมสวมหมวกให้เขา ทุกครั้งเวลาคุกเข่าลงจัดแจงเสื้อผ้าให้เขาจะคุกเข่าลงแค่ข้างเดียว ท่าทางที่ดูหยิ่งในศักดิ์ศรีทำให้โหยวเหมี่ยวค่อยๆ รู้สึกว่ากิริยาท่าทางของทาสคนนี้ดูสง่างามอย่างบอกไม่ถูก
หลี่จื้อเฟิงกินยาเข้าไปทั้งสองอย่าง ไม่ถึงสิบวันสภาพร่างกายก็ดีขึ้นมากจนเกือบเป็นปกติ แค่ไม่เคยก้าวออกจากประตูคฤหาสน์เท่านั้น โหยวเหมี่ยวไล่บ่าวไพร่ในห้องออกไปจนหมดและสั่งให้หลี่จื้อเฟิงปรนนิบัติดูแล แต่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดคิดก็คือนอกจากหลี่จื้อเฟิงจะเต็มใจทำงานให้แล้ว ยังรู้ใจดีมาก
โหยวเหมี่ยวแค่ขบคิดอยู่ในใจ หลี่จื้อเฟิงก็หยิบถ้วยชามาวางบนโต๊ะราวกับล่วงรู้ถึงความต้องการของเขา เวลาเขียนพู่กัน จะวางผ้าขนหนูไว้ข้างๆ เพื่อเตรียมไว้ให้เขาใช้เช็ดมือ โหยวเหมี่ยวบิดตัวยืดเส้นยืดสาย หลี่จื้อเฟิงก็รีบเก็บพู่กันกับแท่นฝนหมึกไปล้าง เมื่อเป็นเช่นนี้ติดต่อกันมาหลายวัน โหยวเหมี่ยวก็พบว่าเจ้าทาสคนนี้ใช้งานสะดวกมาก
เหลือแค่ยังไม่ได้ให้ปรนนิบัติบนเตียงเท่านั้น อย่างอื่นที่เหลือเขาไม่จำเป็นต้องเปิดปากพูด หลี่จื้อเฟิงล้วนจัดการได้อย่างเหมาะสม ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือเงียบเกินไป บางครั้งโหยวเหมี่ยวนั่งอ่านหนังสืออยู่ในบ้าน หลี่จื้อเฟิงก็นั่งกอดเข่า จ้องมองออกไปนอกประตู ไม่รู้ว่ามองอะไรกันแน่ ครั้นมองทีก็นั่งมองยาวตลอดทั้งบ่าย พอได้ยินเสียงโหยวเหมี่ยวเคลื่อนไหวกุกกักค่อยหันกลับมาดูหรือลุกขึ้นเดินเข้ามาหาสักที
หลี่จื้อเฟิงเป็นคนที่โหยวเหมี่ยวเรียกใช้งานได้ดังใจที่สุดเท่าที่เคยเจอมา ถ้าจะสืบสาวเหตุผลให้ถึงที่สุด โหยวเหมี่ยวก็สรุปได้ว่าเป็นเพราะหลี่จื้อเฟิงเอาใจใส่เรื่องของเขา บ่าวไพร่คนอื่นๆ นั้นถ้าแอบอู้ได้จะหาทางอู้ทันที แต่หลี่จื้อเฟิงซาบซึ้งใจที่เขาช่วยชีวิตเอาไว้จึงตอบแทนบุญคุณด้วยใจจริง
โปรดติดตามตอนต่อไป…
สามารถอ่านบทอื่นๆได้ที่ >> บทที่ 1.1 | บทที่ 1.2 | บทที่ 2.1 | บทที่ 2.2 | บทที่ 3.1 | บทที่ 3.2 | บทที่ 4.1 | บทที่ 4.2 | บทที่ 5.1 | บทที่ 5.2
Comments
comments