X
    Categories: everYทดลองอ่านปราชญ์กู้บัลลังก์

ทดลองอ่านนิยายวาย ปราชญ์กู้บัลลังก์ บทที่ 2.1 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 15

สามารถอ่านบทก่อนหน้าได้ที่ >> บทที่ 1.2

 

บทที่ 2

ในเรือนปีกตะวันออก หลี่จื้อเฟิงยังคงนั่งกอดเข่ามองหิมะบนพื้นอยู่บนทางเดินหน้าลานเช่นเดิม พื้นลานเพิ่งกวาดไปรอบหนึ่งจึงเต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งเปียกชุ่ม เมื่อเขาเห็นโหยวเหมี่ยวเดินมาก็รีบลุกขึ้นตามอีกฝ่ายเข้าไปในห้อง

พอโหยวเหมี่ยวเข้าห้องก็พรูลมหายใจก่อนทรุดตัวลงนั่งบนเตียงนอน หลี่จื้อเฟิงคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อช่วยถอดรองเท้าให้ จากนั้นก็เอารองเท้าไปอังไฟ ส่วนโหยวเหมี่ยวเอ่ยว่า “วันนี้หิมะตกหนัก ทำไมไม่สวมใส่เสื้อผ้าให้มากกว่านี้”

หลี่จื้อเฟิงไม่ตอบ

“พรุ่งนี้จะหาเสื้อคลุมขนสัตว์ให้เจ้าสักตัว”

คราวนี้หลี่จื้อเฟิงพยักหน้า

โหยวเหมี่ยวจึงพูดต่อ “พวกเจ้าชาวเฉวี่ยนหรงล้วนอาศัยอยู่นอกด่าน อากาศหนาวเย็นมาก คงเคยชินแล้วสินะ”

หลี่จื้อเฟิงไม่ตอบเช่นเดิม แค่เอาแปรงปัดหิมะบนรองเท้าเบาๆ โหยวเหมี่ยวชินกับนิสัยของคนผู้นี้แล้วจึงพูดต่อ “พรุ่งนี้ข้าต้องกลับบ้านสักครา”

แปรงในมือหลี่จื้อเฟิงหยุดชะงัก โหยวเหมี่ยวเอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องอยู่ที่นี่ ตามข้าไปก็พอ”

หลี่จื้อเฟิงวางรองเท้าข้างหนึ่งไว้ด้านข้าง

“ถ้าข้าทำให้เจ้าต้องยุ่งยาก เจ้าสั่งให้ข้าตายก็พอ”

ตอนแรกโหยวเหมี่ยวได้ยินไม่ถนัดจึงชะงักงันเล็กน้อย แต่หลี่จื้อเฟิงกลับทำเหมือนเมื่อครู่นี้ไม่ได้พูดอะไรออกมาแล้วบอกแค่ว่า “ข้าจะไปเก็บของ”

โหยวเหมี่ยวขยับเท้าเปลือยเปล่านั่งอยู่บนเตียง ในใจคิดว่าจะบอกเรื่องที่คิดจะปล่อยหลี่จื้อเฟิงไปเลยดีหรือว่ายังไม่ต้องบอกดี ถ้าพากลับบ้านได้ โหยวเหมี่ยวเองก็ไม่อยากปล่อยคนผู้นี้ไป แต่จนใจที่ท่านพ่อไม่ใช่คนที่เขาจะหลอกได้ง่ายๆ เหมือนท่านอา เมื่อเห็นคนแปลกหน้าเพิ่มเข้ามาต้องเอ่ยถามแน่นอนว่ามาจากไหน ถ้ารู้ว่าเป็นทาสก็ต้องขอดูหนังสือสัญญาขายตัว ดังนั้นคงปิดบังท่านไม่ได้แน่

อย่าว่าแต่การพาทาสเฉวี่ยนหรงติดตัวไปมาไม่ใช่เรื่องดี แต่ไหนแต่ไรมาการเลี้ยงทาสก็เป็นเรื่องที่ชาวบ้านไม่ประกาศทางการไม่วุ่นวายอยู่แล้ว

น่าเสียดาย เพิ่งใช้ได้ไม่นาน

แต่แล้วจู่ๆ โหยวเหมี่ยวก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงหันไปพูดกับฉากกั้น “หลี่จื้อเฟิง”

หลี่จื้อเฟิงเดินออกมา โหยวเหมี่ยวจึงกล่าวต่อว่า “คืนนี้ปรนนิบัติข้าบนเตียง สอนข้าทีว่าเรื่องนั้นต้องทำอย่างไร เพราะกลับบ้านคราวนี้ท่านพ่ออาจจะให้ข้าแต่งงาน สู่ขอภรรยาแล้ว”

หลี่จื้อเฟิงมองโหยวเหมี่ยวด้วยแววตาซับซ้อน โหยวเหมี่ยวเลิกคิ้วและมองอีกฝ่ายอย่างคาดหวัง

“ปกติข้าเชื่อฟังเจ้า” หลี่จื้อเฟิงเอ่ย “แต่ขึ้นเตียง เจ้าต้องเชื่อฟังข้า”

“ได้สิ เชื่อฟังเจ้าอยู่แล้ว เพราะข้าไม่รู้วิธีนี่นา”

หลี่จื้อเฟิงหรี่ตามองโหยวเหมี่ยวอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้า โหยวเหมี่ยวคิดแค่ว่าอย่างไรเสียก็ต้องปล่อยเขาไป มีประโยชน์อะไรบ้างก็เอาออกมาใช้ให้หมดดีกว่า มิฉะนั้นจะเสียเงินเปล่า

แม้หลี่จื้อเฟิงจะมีรูปร่างผอมสูงแต่ก็ดูแข็งแรงดี ปกติโหยวเหมี่ยวไม่เคยเปลือยกายอยู่ร่วมกับใคร อย่างมากก็แค่เล่นสนุกกับพวกหลี่เหยียนหรือโดนจับปล้ำจุมพิตเท่านั้น พอคิดว่าต้องทำเรื่องนั้นกับทาสตรงหน้าก็อดตื่นเต้นไม่ได้

คืนนั้นหลังจากกินอาหารกับโหยวเต๋อโย่วแล้ว โหยวเต๋อโย่วกับฮูหยินก็กำชับโหยวเหมี่ยวหลายเรื่อง โหยวเหมี่ยวฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ฟังเข้าหูไม่ถึงสามส่วนด้วยซ้ำ ในสมองขบคิดแต่เรื่องนี้ เมื่อกลับห้องไปก็พบว่าหลี่จื้อเฟิงยืนตัวตรงรอเขาอยู่หน้าทางเดินแล้ว

ดวงตาของหลี่จื้อเฟิงฉายแววเย็นชา ถอดเสื้อให้โหยวเหมี่ยวจนเหลือแค่เสื้อคลุมตัวในกับกางเกง โหยวเหมี่ยวล้มตัวลงบนเตียงแล้วขยับเข้าไปนั่งด้านใน หลี่จื้อเฟิงเอ่ยว่า “บอกก่อนนะว่าเวลาอยู่บนเตียงต้องเชื่อฟังข้า”

โหยวเหมี่ยวรับคำ

หลี่จื้อเฟิงขยับมือปลดชุดตัวเอง ถอดเสื้อคลุมตัวนอกกับเสื้อตัวสั้นท่อนบน เผยให้เห็นแผงอกสีทองแดง กล้ามเนื้องดงามมาก โหยวเหมี่ยวมองแล้วลอบกลืนน้ำลายอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่ หลี่จื้อเฟิงปลดผ้าคาดเอว กางเกงหลุดร่วงลงพื้น ส่วนที่อยู่ตรงหว่างขาเริ่มตื่นตัวนิดๆ ท่อนขายาวแข็งแกร่งก้าวขึ้นเตียง นั่งลงข้างกายโหยวเหมี่ยวแล้วยื่นมือไปโอบกอดโดยไม่ปริปากพูดสักคำ

หัวใจของโหยวเหมี่ยวเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ อยากผละถอยห่าง ตอนเบือนหน้าหลบก็รับรู้ได้ว่าท่อนแขนทรงพลังของหลี่จื้อเฟิงกำลังกอดกระชับรอบเอวตัวเอง ส่วนมืออีกข้างสอดเข้ามาในสาบเสื้อตัวสั้นท่อนบนอย่างถือวิสาสะ

โหยวเหมี่ยวตกตะลึง ทำท่าจะคว้ามืออีกฝ่ายไว้แต่หลี่จื้อเฟิงไม่ยอมให้เขาขัดขืนพร้อมก้มหน้าลงมาประทับริมฝีปาก

“อื้อ!”

หลี่จื้อเฟิงประกบปากแนบสนิทแต่ดวงตาทั้งสองข้างกลับจ้องมองเขาเขม็ง มือข้างหนึ่งลูบไล้แผ่นอกของโหยวเหมี่ยวขึ้นลงและสอดลิ้นเข้ามาในโพรงปากโดยไม่เปิดโอกาสให้เขามีเวลาขบคิด ชั่วขณะนั้นโหยวเหมี่ยวรู้สึกแปลกๆ เขามีชีวิตมาสิบห้าปีเพิ่งเคยใกล้ชิดแนบแน่นกับบุรุษถึงเช่นนี้เป็นครั้งแรก หน้าตาจึงแดงก่ำไปหมด อยากผลักไสอีกฝ่ายออกห่าง แต่หลี่จื้อเฟิงกลับรุกไล่จู่โจมเข้ามาทำลายสติของเขา

ตอนริมฝีปากของทั้งคู่ผละออกจากกัน หลี่จื้อเฟิงมองสบตาเขา

ทว่าโหยวเหมี่ยวนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้เคยรับปากแล้วว่าจะเชื่อฟังอีกฝ่ายทุกอย่าง ดังนั้นจึงยอมนอนนิ่งๆ หลี่จื้อเฟิงก้มลงจุมพิตซ้ำอีกครั้ง จมูกของโหยวเหมี่ยวได้กลิ่นกายจางๆ ของหลี่จื้อเฟิง นั่นเป็นกลิ่นกายจากเรือนร่างแข็งแกร่งและเปลือยเปล่าของบุรุษหนุ่ม ทั้งหอมและเร้าอารมณ์อย่างประหลาด หลี่จื้อเฟิงพร่างพรมจุมพิตลงบนใบหน้า ก่อนประกบปิดริมฝีปากของโหยวเหมี่ยวอีกครั้ง คราวนี้จุมพิตเนิ่นนานจนเขาแทบหายใจไม่ออกและต้องกลืนน้ำลายไม่หยุด

โหยวเหมี่ยวเกาะกุมไหล่ของหลี่จื้อเฟิง รับรู้ได้ว่าฝ่ามือหยาบใหญ่ของอีกฝ่ายกำลังลากไล้ลงไปด้านล่าง จากนั้นกระชากเสื้อตัวบางและดึงผ้าคาดเอวทิ้ง ก่อนสอดมือข้างหนึ่งเข้าไปสัมผัสตัวตนที่อยู่ตรงหว่างขาของเขา ส่วนอ่อนไหวที่กำลังขยายตัวของโหยวเหมี่ยวโดนหลี่จื้อเฟิงเกาะกุมไว้ในอุ้งมือ ทุกครั้งที่อีกฝ่ายขยับหยอกเย้าก็ทำให้เขาสั่นสะท้านและหดเกร็งไปทั้งตัว

ตอนริมฝีปากผละออกจากกัน ใบหน้าของเด็กหนุ่มก่ำสีเลือด น้ำตาเอ่อคลอตรงหางตา หลี่จื้อเฟิงเคลื่อนไหวมือไม่หยุด มือหนึ่งกอดรัดเอวบาง ส่วนอีกมือก็นวดคลึงโหยวเหมี่ยวด้วยปลายนิ้วอย่างเบามือ ทั้งคลึงเคล้าทั้งบดขยี้จนในที่สุดโหยวเหมี่ยวก็หลั่งหยาดน้ำวิสุทธิ์ออกมา

“ดะ…เดี๋ยว” โหยวเหมี่ยวรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นของเล่นของอีกฝ่าย มือไม้ของหลี่จื้อเฟิงคล่องแคล่วว่องไวเหลือเกิน จงใจลงมือกระตุ้นหยอกเย้าตรงส่วนไวสัมผัสที่สุดของเขา พอโหยวเหมี่ยวเบือนหน้าหลบ อีกฝ่ายกลับก้มลงจุมพิตซอกคอ และถูไถปลายจมูกโด่งกับใบหูเขาไปมา

“อา!” โหยวเหมี่ยวร้องครางออกมาอย่างหักห้ามไม่อยู่ ม่านตาหดแคบลง เขาเบือนหน้าหลบ ทว่าหลี่จื้อเฟิงกลับเอาแต่จ้องมองหน้าเขา

หลี่จื้อเฟิงยกมือที่เปื้อนคราบของเหลวขึ้นมาตรงมุมปากของโหยวเหมี่ยว ก่อนจะแหวกกลีบปากเข้ามาบังคับให้เขาดูดเลียปลายนิ้ว

ความคิดในหัวของโหยวเหมี่ยวสับสนว้าวุ่นไปหมด จนยอมกระทำตามหลี่จื้อเฟิงทุกอย่างโดยไม่รู้ตัว แววตาของหลี่จื้อเฟิงเย็นชาราวกับละแล้วซึ่งกามตัณหา แต่กลับลงมือกระทำเรื่องลามกบัดสีได้อย่างช่ำชอง โหยวเหมี่ยวดูดปลายนิ้วของอีกฝ่ายแล้วกลืนน้ำลายลงคอ ใบหน้าน้อยๆ แดงก่ำ มือค่อยๆ ไต่ขึ้นโอบรอบคอหลี่จื้อเฟิงแล้วฝังใบหน้ากับไหล่กว้าง

หลี่จื้อเฟิงปล่อยตัวคุณชายน้อยแล้วพรมจุมพิตลงบนใบหน้า กิริยาดังกล่าวทำให้โหยวเหมี่ยวใจสั่นระรัว รู้สึกราวกับเป็นที่รักใคร่ทะนุถนอม แต่ตอนเงยหน้ามองสีหน้าหลี่จื้อเฟิงก็รู้สึกเหมือนเห็นระลอกคลื่นของความปรารถนาแล่นริ้วอยู่ในดวงตาคู่นั้น หลี่จื้อเฟิงดึงมือโหยวเหมี่ยวที่โอบหลังคอของเขาเอาไว้ลงมา แล้วชักนำให้ลงไปสัมผัสกับท่อนล่างของร่างกาย ขยับปลายนิ้วให้คุณชายน้อยเกาะกุมสิ่งนั้นเอาไว้แทน จากนั้นโน้มใบหน้าลงไปจุมพิตกลีบปากบางอีกครั้ง

โหยวเหมี่ยวแทบไม่มีโอกาสได้พักหายใจ ทุกครั้งที่อีกฝ่ายผละออกห่างเพียงไม่นานก็โดนประกบริมฝีปากซ้ำ ความแข็งแกร่งอันน่าภาคภูมิใจในมือแผ่ความร้อนผะผ่าว มีของเหลวหลั่งออกมาเปรอะเปื้อนมือโหยวเหมี่ยว

โหยวเหมี่ยวเกาะกุมสิ่งนั้นอย่างเผลอไผลลืมตัว จากนั้นก็โดนจุมพิตปลุกเร้าอารมณ์จนเตลิดเปิดเปิง มือเล็กขยับลูบไล้ความเครียดขึงของอีกฝ่ายไปมา ความงดงามสมบูรณ์แบบของบุรุษเพศสั่นกระตุก หยาดน้ำวิสุทธิ์ไหลออกมาเปื้อนอุ้งมือเขาจนเกิดเสียงดังเฉอะแฉะเบาๆ

“ตะ…ตรงนั้นจับไม่ได้…” โหยวเหมี่ยวขมวดคิ้วด้วยความทรมาน รับรู้ได้ว่าหลี่จื้อเฟิงกำลังสอดสองนิ้วเข้ามาในร่างจึงรีบพลิกตัวหยุดการกระทำของอีกฝ่าย แต่หลี่จื้อเฟิงกลับเปลี่ยนมาจู่โจมขบเม้มติ่งหูของโหยวเหมี่ยวแทน

ตอนหลี่จื้อเฟิงขบเม้มใบหู โหยวเหมี่ยวถึงกับตัวสั่นระริกเพราะแรงกระตุ้นอย่างรุนแรงจากการกระทำดังกล่าว พอหันไปมองสบตากัน หลี่จื้อเฟิงก็ประทับจุมพิตลงมาอีกครั้ง

แล้วหลี่จื้อเฟิงก็ส่งสัญญาณให้โหยวเหมี่ยวอ้าขา พลางไล้เลียมุมปากจนเห็นเส้นสายสีเงินยวงเชื่อมโยงระหว่างริมฝีปากของทั้งคู่

โหยวเหมี่ยวหอบหายใจ แยกขาทั้งคู่ออกกว้าง หลี่จื้อเฟิงดึงผ้านวมมาห่มคลุมร่างเปลือยเปล่าของทั้งคู่แล้วยื่นมือไปหยิบตลับน้ำมันเตียว*

“ฟู่…ฟู่…”

โหยวเหมี่ยวมองริมฝีปากชวนเร้าอารมณ์ของอีกฝ่ายแล้วนึกอยากจุมพิตซ้ำอีกครั้ง

หลี่จื้อเฟิงสังเกตเห็นโหยวเหมี่ยวทำตาปรอยก็เลิกคิ้วเล็กน้อย

“เอาสิ…” ดวงตาของโหยวเหมี่ยวฉ่ำรื้น ติดใจจุมพิตเข้าเสียแล้ว หลี่จื้อเฟิงเปิดตลับน้ำมันเตียวขณะก้มมองคนที่อยู่ใต้ร่างแล้วคลี่ยิ้มออกมา

นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นหลี่จื้อเฟิงยิ้ม โหยวเหมี่ยวอดตกตะลึงไม่ได้ เพราะปกติคนผู้นี้มักจะทำหน้านิ่งเฉย แต่พอยิ้มขึ้นมาก็ดูหล่อเหลาคมคายขึ้นอีกหลายเท่าตัวจนทำให้หัวใจของโหยวเหมี่ยวเต้นระรัวไม่หยุด เขาโอบรอบคอหลี่จื้อเฟิงแล้วจู่โจมจุมพิตอีกฝ่ายก่อนบ้าง แต่หลี่จื้อเฟิงพลิกตัวกดคุณชายน้อยลงบนเตียง ปลายนิ้วที่เปื้อนคราบน้ำมันเตียวลูบไล้ส่วนไวสัมผัสของโหยวเหมี่ยวก่อนแทรกนิ้วเข้าไปในช่องทางด้านหลังอีกครั้ง ปลายนิ้วที่ถือวิสาสะเข้ามาในร่างขยับเข้าไปสัมผัสกับจุดที่อยู่ในส่วนลึกแล้วบดคลึงอย่างหนักหน่วง

* เตียว เป็นคำเรียกสัตว์ตระกูลมิงก์ เออร์มิน เซเบิ้ล และมาร์เทิน ขนหนานุ่มมีค่ามาก มักใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มกันหนาว

ชั่วพริบตานั้นโหยวเหมี่ยวรู้สึกชาวูบไปทั้งตัว แต่หลี่จื้อเฟิงบดเบียดริมฝีปากลงมารุกไล่พัวพันกับเรียวลิ้นจนทำให้เขาไม่อาจแสดงอาการขัดขืนใดๆ ออกมา ปลายนิ้วของหลี่จื้อเฟิงขยับบดคลึงไม่กี่ครั้ง โหยวเหมี่ยวก็รู้สึกวูบวาบตรงส่วนนั้น ราวกับกำลังจะสูญเสียการควบคุม โหยวเหมี่ยวส่งเสียงครางอู้อี้ ท้องน้อยหดเกร็งแน่น ลมหายใจสะดุดขาดห้วง

ราวกับว่าคาดการณ์เอาไว้ก่อนแล้ว เพราะหลี่จื้อเฟิงรีบละมือจากด้านหลังมาช่วยลูบคลำด้านหน้าของโหยวเหมี่ยวไม่กี่ที จากนั้นโน้มตัวลงไปทาบทับกับคนที่อยู่ใต้ร่าง แล้วแทรกกายเข้าไปอย่างดึงดันเอาแต่ใจ

ชั่วพริบตานั้นโหยวเหมี่ยวรู้สึกเจ็บแปลบอย่างรุนแรงจนต้องส่งเสียงหวีดร้องออกมา แต่หลี่จื้อเฟิงลงมือรวดเร็วมาก ชิงอุดปากเขาไว้ก่อน

โหยวเหมี่ยวเจ็บจนน้ำตาเล็ดจากการแหวกขยายอย่างรุนแรง ความคิดเพียงหนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ในหัวคือหลี่จื้อเฟิงคิดจะฆ่าเขา โหยวเหมี่ยวอยากดิ้นรนขัดขืนแต่อีกฝ่ายกดตัวเขาไว้จนขยับเขยื้อนไม่ได้ หลี่จื้อเฟิงแทรกกายเข้ามาแล้วถอนตัวออกไปก่อนกลับเข้ามาใหม่อีกครั้ง โหยวเหมี่ยวขัดขืนไม่ได้ ความต้องการอันแสนเครียดขึงของอีกฝ่ายดำดิ่งแทรกลึกเข้ามาในกายจนสุดทาง เสียงครวญครางดังกระหึ่มอยู่ในลำคอ เขารู้สึกอึดอัดอย่างรุนแรง แล้วหลี่จื้อเฟิงก็ถอนตัวออกไปจนเหลือแค่ส่วนปลายที่จ่อค้างอยู่ตรงช่องทาง

หลี่จื้อเฟิงคลายมือ สบตาคนในอ้อมแขนแล้วกดจุมพิตประทับลงไปบนกลีบปาก โหยวเหมี่ยวมีน้ำตาเอ่อคลอตรงหางตาและมองตอบกลับไปด้วยสายตาอ้อนวอน แต่หลี่จื้อเฟิงกลับบดเบียดเรียวปากพร้อมแทรกกายเข้ามาในร่างโหยวเหมี่ยวอย่างช้าๆ

โหยวเหมี่ยวไม่ได้หวีดร้องแล้ว ริมฝีปากสั่นระริกดูดดึงเรียวลิ้นร้อนผ่าวของหลี่จื้อเฟิง รับรู้ได้ว่าความปรารถนาอันเครียดขึงกำลังดันเข้ามาจนกระทบกับส่วนลึกสุด คราวนี้ไม่ได้ฝืนดึงดันเอาแต่ใจเหมือนตอนแรกเริ่ม แต่กลับทำให้ตัวเขาสะท้านเฮือก

หลี่จื้อเฟิงชันขาข้างหนึ่งขึ้นมาแล้วเอาเข่าดันขาของโหยวเหมี่ยวให้แยกกว้างขึ้นเพื่อให้ตัวเองขยับกายได้สะดวกกว่าเดิม โหยวเหมี่ยวทั้งทรมานทั้งตื่นเต้นจนต้องส่งเสียงร้องครวญไม่หยุดพร้อมจิกไหล่อีกฝ่ายแน่น หลี่จื้อเฟิงสังเกตสีหน้าคนในอ้อมแขนอย่างจริงจัง โหยวเหมี่ยวเพิ่งเคยสัมผัสกับความรู้สึกเช่นนี้เป็นครั้งแรกจึงอดหลั่งน้ำตาไม่ได้ หลี่จื้อเฟิงจึงประคองใบหน้าน้อยๆ แล้วก้มลงจุมพิตซับหยาดน้ำตา

“อา อ๊ะอ๊า…อ๊า…” โหยวเหมี่ยวหวีดร้องอย่างลืมตัว

หลี่จื้อเฟิงกระทั้นกายเข้าไปอีกไม่กี่ทีก่อนถอนตัวออกมาจนหมด จากนั้นบดเบียดถูไถหยอกเย้าอยู่ตรงปากทาง จู่ๆ โหยวเหมี่ยวก็รู้สึกวูบโหวงในตัวอย่างบอกไม่ถูก เขาพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ แต่ส่วนที่อยู่ด้านหน้ากลับสั่นกระตุกไม่หยุด ท้องน้อยเปรอะเปื้อนคราบของเหลวของตัวเอง หลี่จื้อเฟิงนั่งคุกเข่า จ่อความต้องการกับช่องทางด้านหลังของอีกฝ่าย แล้วยกมือขึ้นลูบแผงอกของตัวเองที่เปื้อนคราบน้ำวิสุทธิ์ของโหยวเหมี่ยวด้วยเช่นกัน แสงไฟจากนอกม่านสะท้อนให้เห็นความมันวาวของแผ่นอกอันแสนเย้ายวน

“ขะ…เข้ามา” โหยวเหมี่ยวยกมือขึ้นเกาะเกี่ยวเอวแกร่งอย่างหมดความอดทน

หลี่จื้อเฟิงเหยียดเอวแทรกกายเข้ามารวดเดียวกว่าครึ่ง โหยวเหมี่ยวกลืนน้ำลายลงคอเชิดหน้าขึ้น แต่ฝ่ายที่เพิ่งเข้ามากลับถอนตัวออกไปอย่างช้าๆ

จากนั้นหลี่จื้อเฟิงก็ค่อยๆ กดตัวแทรกกลับเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้โหยวเหมี่ยวรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งนั้นค่อยๆ ขยับลึกเข้ามาในร่างตัวเองทีละนิด ตอนถอนตัวก็ผละออกห่างเพียงชั่วครู่ ก่อนจะกระแทกกายลึกล้ำจนกระทบกับจุดที่อยู่ในส่วนลึกสุดของโหยวเหมี่ยวเต็มแรง ทั้งยังบดเบียดเคล้นคลึงไปมา

“ให้ข้า…ให้ข้า…” โหยวเหมี่ยวอยากให้หลี่จื้อเฟิงแทรกเข้ามาลึกยิ่งกว่านี้ กระแทกกระทั้นกายมากกว่านี้ เขากอดไหล่คนที่ทาบทับอยู่เหนือร่าง หลี่จื้อเฟิงประทับจุมพิตอีกครั้ง

“อื้อ…”

ลมหายใจของหลี่จื้อเฟิงถี่กระชั้น เริ่มขยับตัวจนได้ยินเสียงเนื้อกระทบกัน โหยวเหมี่ยวโดนเคี่ยวกรำทรมานจนแทบทนไม่ไหว ทุกครั้งจะถูกปลุกเร้าจนผิวเนื้อแดงเถือกไปทั้งคอ แต่พอขาดอีกแค่นิดเดียวเท่านั้น หลี่จื้อเฟิงกลับแกล้งผ่อนความเร็วลง ไม่ยอมให้เขาสมใจสักที เสียงครวญครางในช่วงแรกๆ ของโหยวเหมี่ยวเริ่มเปลี่ยนเป็นสะอื้นเว้าวอน

โหยวเหมี่ยวพูดอะไรไม่ออก สติสัมปชัญญะพร่าเลือนไปหมด หลี่จื้อเฟิงลูบไล้ใบหน้าน้อยๆ แล้วพรมจุมพิตลงไปทั่วหน้า แต่คราวนี้เขาหยุดชะงักแค่ไม่นาน ก่อนจะขยับกายอย่างเร่าร้อนรุนแรง ริมฝีปากของโหยวเหมี่ยวถูกประกบปิด กล้ามเนื้อหดเกร็งตัวเล็กน้อย ลมหายใจขาดเป็นห้วงๆ ก่อนหวีดร้องออกมาอย่างลืมตัว

หลังจากหลี่จื้อเฟิงโถมแรงสุดตัวเป็นครั้งสุดท้าย ในที่สุดโหยวเหมี่ยวก็ถึงขีดสุดของอารมณ์ ส่วนนั้นกระตุกสั่นไม่หยุด กระแสธารร้อนพุ่งออกมาจนเปรอะเปื้อนเนื้อตัวทั้งคู่ ไม่ว่าจะแผงอกหรือกล้ามท้องของหลี่จื้อเฟิง รวมไปถึงลำคอของทั้งคู่

“อ๊า…!”

หลังจากโหยวเหมี่ยวปลดปล่อยออกมาก็ตัวอ่อนปวกเปียกหมดเรี่ยวแรง หลี่จื้อเฟิงหยุดเคลื่อนไหว โหยวเหมี่ยวรู้สึกหน้ามืดไปชั่วขณะ รู้สึกเหมือนความสุขสมที่ได้รับเมื่อครู่นี้คือที่สุดในชีวิตแล้ว

หลี่จื้อเฟิงกอดเอวคนที่อยู่ใต้ร่าง ร่างกายด้านหน้าของทั้งคู่เปียกลื่นไม่ต่างกัน หลี่จื้อเฟิงมองตาคุณชายน้อยในอ้อมแขนเนิ่นนาน กดจุมพิตลงบนกลีบปากบางแล้วฝังใบหน้าตรงซอกคอ ไล้เลียคราบของเหลวที่เปื้อนตรงตำแหน่งที่สัมผัสกับริมฝีปากจนสะอาดหมดจดแล้วกลืนลงคอ ตอนพรมจุมพิตระเรื่อยลงมาถึงส่วนที่อยู่ตรงหว่างขา ส่วนนั้นของโหยวเหมี่ยวยังกึ่งๆ แข็งตัว เมื่อโดนปลายลิ้นของหลี่จื้อเฟิงไล้เลียเบาๆ พลันกระตุกสั่นขึ้นมา

“พะ…พอแล้ว”

หลี่จื้อเฟิงยันกายขึ้นมา โหยวเหมี่ยวลูบใบหน้าคมคายแล้วเอ่ยว่า “เจ้า…ยังไม่เสร็จหรือ มาสิ”

โหยวเหมี่ยวเอามือจับส่วนนั้นของหลี่จื้อเฟิงและพบว่ามันแข็งขึงราวกับท่อนเหล็กก็ไม่ปาน เมื่อก่อนโหยวเหมี่ยวเคยช่วยตัวเองมาก่อนจึงคิดจะใช้มือทำให้อีกฝ่าย แต่หลี่จื้อเฟิงกลับเอ่ยว่า “ยังไม่เสร็จ”

โหยวเหมี่ยวตกตะลึง รู้ได้ทันทีว่าหลี่จื้อเฟิงคิดแทรกกายเข้ามาในตัวเขาอีกครั้ง แต่เขาเพิ่งก้าวผ่านความสุขสมไปครั้งหนึ่ง เวลานี้จะทานทนได้อย่างไรจึงรีบห้ามปราม “ไม่ได้ๆ…”

หลี่จื้อเฟิงกลับแทรกกายรวดเดียวจนถึงส่วนลึกในร่างโหยวเหมี่ยวโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แต่คราวนี้ไม่ได้กระทำรุนแรง แค่ค่อยๆ ขยับตัวเข้ามาอย่างเนิบช้า ทว่าการกระทำดังกล่าวกลับสร้างความรู้สึกทรมานให้โหยวเหมี่ยวอย่างหนักหน่วงจนอยากวิงวอนให้อีกฝ่ายรีบถอนตัวออกไป หลี่จื้อเฟิงคว้ากางเกงชั้นในของตัวเองที่ถอดโยนทิ้งไว้ข้างหมอนมาขยำเป็นก้อนกลมแล้วยัดปากคุณชายน้อย

กางเกงชั้นในเต็มไปด้วยกลิ่นอายของหลี่จื้อเฟิง กลิ่นจางๆ ในโพรงจมูกกระตุ้นเร้าความต้องการของโหยวเหมี่ยวขึ้นมาอีกรอบ แต่เขาเพิ่งปลดปล่อยไปครั้งหนึ่ง ดังนั้นช่องทางที่มีบางอย่างขยับเข้าออกจึงสร้างความทรมานให้เขาอย่างยิ่งยวด มิได้มีความเสียวซ่านใดๆ ทั้งยังแค้นใจอยากให้หลี่จื้อเฟิงรีบทำให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว หลี่จื้อเฟิงค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าออกเร็วขึ้น และเปลี่ยนท่วงท่าเป็นโอบกอดเขาจากทางด้านหลัง ยกแขนข้างหนึ่งให้โหยวเหมี่ยวหนุน ส่วนอีกข้างกอดเอวบางดึงเข้าหาตัว

“อึก…อึก…”

โหยวเหมี่ยวโดนอุดปากไว้ ตอนแรกยังร้องอู้อี้ด้วยความทรมาน แต่พอหลี่จื้อเฟิงขยับตัวเข้าออกอย่างต่อเนื่องหลายสิบครั้งก็เริ่มรู้สึกเสียวซ่านจนแทบสูญเสียการควบคุมตัว จุดที่อยู่ในส่วนลึกก็โดนกดย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าจนทำให้อารมณ์ของเขาปั่นป่วนขึ้นมาอีกครั้ง

“อืม…อื้อ…” เสียงของโหยวเหมี่ยวเริ่มเปลี่ยนไป จากร้องวิงวอนกลายเป็นครวญคราง ดวงตาทั้งคู่หรี่ปรือลงจนจับภาพตรงหน้าไม่ชัด หลี่จื้อเฟิงกระชากกางเกงชั้นในที่อุดปากโหยวเหมี่ยวออกแล้วแทรกนิ้วชี้และนิ้วกลางเรียวยาวของมือขวาผ่านกลีบปากบางเข้าไปให้เจ้าตัวดูดเลียแทน คราวนี้โหยวเหมี่ยวรู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านจนตัวแดงเถือกไปหมด หลี่จื้อเฟิงสอดใส่เข้าออกเป็นจังหวะเดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้า สร้างความเสียวซ่านรุนแรงจนยากหาสิ่งใดมาเทียบ

หลี่จื้อเฟิงกระทั้นกายเต็มแรงอีกไม่กี่ที โหยวเหมี่ยวก็ไต่เต้าถึงขีดสุดของอารมณ์จนเนื้อตัวสั่นระริกไปหมด ช่องทางกระตุกสั่น รับรู้ได้ถึงของเหลวร้อนระอุของหลี่จื้อเฟิง เขาเบี่ยงใบหน้าไปด้านข้าง ยื่นมือไปสัมผัสใบหน้าของหลี่จื้อเฟิง

หลี่จื้อเฟิงจุมพิตริมฝีปากเขาแต่ยังไม่ยอมถอนตัวออกไป ทั้งสองคนกอดรัดกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนหลี่จื้อเฟิงจะเอ่ยว่า “ข้าพูดคำหวานไม่เก่ง”

“คำหวานอะไร ข้ายัง…ยังต้องการอีก”

“ข้าจะให้เจ้า ให้เจ้าทั้งหมด…” หลี่จื้อเฟิงบรรจงจุมพิตติ่งหูโหยวเหมี่ยว

โหยวเหมี่ยวยังต้องการอีก ความรู้สึกตอนร่วมรักกันครั้งที่สองช่างสุขสมยิ่งนัก ขณะกำลังจะถามอีกฝ่ายว่าต้องการพักสักครู่หรือไม่ หลี่จื้อเฟิงก็พลิกตัวขึ้นคร่อม และกดตัวโหยวเหมี่ยวนอนลงไป ส่วนนั้นค่อยๆ แทรกลึกเข้ามาอีกครั้งตามน้ำหนักตัวที่กดทาบทับลงมา

โหยวเหมี่ยวฝังใบหน้ากับหมอนพร้อมสูดลมหายใจเข้าอย่างช้าๆ หลี่จื้อเฟิงขยับเข้าออกไม่กี่ทีก็ขึงขังขึ้นมา คนที่นอนซ้อนหลังและโอบประคองสะโพกเขาไว้ค่อยๆ แทรกกายทีละนิด คราวนี้หลี่จื้อเฟิงทำได้นานขึ้นกว่าเดิม และเดินหน้าต่อได้ทันทีโดยไม่ต้องพักรอ จวบจนส่งคุณชายน้อยขึ้นสวรรค์ไปอีกรอบ โหยวเหมี่ยวโดนกระทำจนสะลึมสะลือ สองขาถูกยกช้อนขึ้นจากด้านหลัง หลี่จื้อเฟิงขยับส่งความต้องการอันร้อนระอุเข้าไปในร่างอีกฝ่าย ส่วนอ่อนไหวที่ถูกกดทับใต้ร่างเสียดสีกับผ้านวม ขณะที่โหยวเหมี่ยวร่ำร้องเสียงดังเพราะต้องการจะปลดปล่อย หลี่จื้อเฟิงก็โอบอุ้มตัวเขาขึ้นมาและขยับกายเข้าหาจากด้านหลังอย่างต่อเนื่องขณะพาเขาลงจากเตียง

“อึก…อึก…” โหยวเหมี่ยวพูดเสียงขาดเป็นห้วงๆ “มะ…ไม่ได้…”

หลี่จื้อเฟิงอุ้มตัวโหยวเหมี่ยวให้ยืดตรงขึ้นแล้วพาเดินในท่วงท่าเช่นนั้นต่อไปจนหยุดอยู่หน้ากระจก โหยวเหมี่ยวแข้งขาอ่อนยวบ หลี่จื้อเฟิงอุ้มโหยวเหมี่ยวขึ้นมาในท่วงท่าที่เหมือนอุ้มเด็กน้อยขณะปัสสาวะ

ภายใต้แสงเทียน โหยวเหมี่ยวที่หันหน้าเข้าหากระจกมองเห็นหลี่จื้อเฟิงขยับเข้าขยับออกด้านหลังตัวเอง ช่างเป็นภาพที่น่าอายจนแทบทนดูไม่ไหว ใบหน้าน้อยๆ จึงแดงก่ำถึงลำคอ

หลี่จื้อเฟิงกระซิบบอกให้โหยวเหมี่ยวลองเอามือลงมาสัมผัสดู พร้อมจุมพิตดูดเม้มใบหูน้อยๆ ครั้นโหยวเหมี่ยวลองเอานิ้วแตะจุดที่ทั้งคู่เชื่อมโยงกันก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่ขยับเข้าออกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาโดนกระทำอย่างเร่าร้อนรุนแรงจนแทบทะลักทลายออกมา หลี่จื้อเฟิงอุ้มโหยวเหมี่ยวพร้อมขยับโยกจนแขนเริ่มรับน้ำหนักไม่ไหวจึงค่อยอุ้มกลับไปที่เตียง จากนั้นล้มตัวลงนอนแล้วให้โหยวเหมี่ยวนั่งคร่อมตรงช่วงเอวเพื่อให้ลองขยับขึ้นลงเอง ส่วนสองมือก็เปลี่ยนมาเกาะกุมเคล้นคลึงส่วนไวสัมผัสของคุณชายน้อยแทน

โหยวเหมี่ยวยืดเอวขึ้นและกลืนกินความต้องการของอีกฝ่ายด้วยตัวเอง จนกระทั่งทั้งคู่ทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดของอารมณ์

“อ๊าาา…” โหยวเหมี่ยวฟุบตัวลงไปจุมพิตริมฝีปากหลี่จื้อเฟิง และรับรู้ถึงตัวตนของคนผู้นี้ได้อย่างชัดเจน

ท้องฟ้ายังไม่สว่างดีก็ได้ยินเสียงคนพูดดังมาจากหน้าประตู

“คุณชาย รถม้ารออยู่ด้านนอกแล้ว”

ตอนโหยวเหมี่ยวรู้สึกตัวตื่นคิดว่าตัวเองกำลังหลับฝัน เขาลุกขึ้นอย่างสะลึมสะลือ ตอนวางเท้าลงพื้น แข้งขายังคงสั่นระริก พอยื่นมือไปสัมผัสกับช่องทางด้านหลังก็พบว่ามันทั้งเจ็บทั้งบวม

หลี่จื้อเฟิงเก็บข้าวของเสร็จแล้วจึงเดินมาช่วยเขาสวมเสื้อผ้า โหยวเหมี่ยวปรือตาอย่างง่วงงุนแกมเกียจคร้าน กอดเอวอีกฝ่ายพร้อมฝังใบหน้ากับแผงอกแกร่ง หลี่จื้อเฟิงสวมเสื้อกับกางเกงให้โหยวเหมี่ยวแล้วเอาขนเตียวพันคอเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย ก่อนสวมทับด้วยเสื้อคลุมและหมวก

สาวใช้และบ่าวคนสนิทเข้ามาปรนนิบัติ โหยวเหมี่ยวรับน้ำมาบ้วนปากและล้างหน้าจนเริ่มมีสติแจ่มใสขึ้น ตอนก้าวออกจากเรือนก็เห็นหลี่จื้อเฟิงสะพายสัมภาระถุงหนึ่งไว้ด้านหลัง ขณะรับกล่องใส่อาหารมาจากสาวใช้

ยามห้า* ท้องฟ้าข้างนอกยังมืดตื๋อ ทั้งเมืองเงียบกริบไร้ซึ่งเสียงคน โหยวเต๋อโย่วกับฮูหยินยังไม่ตื่น ด้านหน้าประตูหลังมีรถม้าจอดอยู่คันหนึ่ง สือฉีกำลังสนทนาอยู่กับคนขับรถ พ่อบ้านส่งโหยวเหมี่ยวขึ้นรถแล้วหันไปเอ่ยกับหลี่จื้อเฟิงว่า “เจ้าอยู่ข้างล่าง เดินตามไป”

“หลี่จื้อเฟิงเข้ามาข้างใน…สือฉีเอ๋อร์เจ้าก็กลับไปเถอะ อากาศหนาวเย็นขนาดนี้ไม่ต้องตามข้าไปหรอก มีหลี่จื้อเฟิงปรนนิบัติก็พอ” โหยวเหมี่ยวโบกมือ

พ่อบ้านทำท่าจะพูดแล้วก็หยุดชะงัก โหยวเหมี่ยวกล่าวต่อว่า “ทำตามนี้ อย่ามาพูดจาร่ำไรกับข้า ข้าจะกลับบ้านอยู่แล้ว เจ้ายังจะพล่ามอะไรนักหนา”

“ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยขอตัวก่อนนะ คุณชาย” สือฉีเอ๋อร์ตื่นเต้นดีใจมาก เพราะในช่วงเหมันต์อย่างนี้ไม่ว่าใครก็ไม่อยากออกจากบ้านทั้งนั้น แต่ยังไม่วายหันไปกำชับสั่งสอนหลี่จื้อเฟิง “ชีวิตของเจ้า คุณชายเป็นคนช่วยไว้ ดังนั้นเจ้าต้องดูแลคุณชายให้ดีๆ”

“พอแล้วๆ” โหยวเหมี่ยวบอกให้พวกเขากลับเข้าบ้านไปให้หมด เหลือแค่คนขับรถม้าที่ขบวนสินค้าส่งมารับเขาคนเดียวเท่านั้น

“สุขสวัสดิ์ยามเช้า คุณชาย”

โหยวเหมี่ยวล้วงเศษเงินออกมาจากอกเสื้อแล้วมอบให้อีกฝ่ายเป็นรางวัล คนขับรถม้าผงกหัวค้อมตัวรับมาแล้วเริ่มออกเดินทาง

สักพักโหยวเหมี่ยวก็เริ่มรู้สึกง่วงงุนจึงล้มตัวนอนต่อบนรถม้า รถม้าคันนี้เป็นพาหนะที่โหยวเต๋อโย่วใช้เวลาเดินทางไกล เดิมทีเป็นรถที่ทางการมอบไว้ให้ใช้งานในตำแหน่ง ภายในรถม้าแบ่งออกเป็นสองตอน เมื่อก้าวเข้าไปในรถจะเห็นเก้าอี้เตี้ยๆ สองตัวสำหรับบ่าวนั่งปรนนิบัติรับใช้เจ้านาย มีชั้นวางของสำหรับเก็บสัมภาระกั้นกลาง ระหว่างชั้นนอกกับชั้นในรูดผ้าม่านปิดแยกออกจากกัน หลังม่านเป็นแท่นแคบๆ บุนวมสำหรับนั่งหรือนอน ส่วนสองข้างซ้ายขวาเป็นหน้าต่างที่มีผ้าม่านรูดปิดได้ ด้านนอกยังติดแผ่นไม้ฉลุเพื่อกันลมอีกด้วย

* ยามห้า คือช่วงเวลา 03.00 น. ถึง 05.00 น.

ตอนก้าวเข้ามาในรถม้า เปลวไฟในเตาเล็กๆ กำลังลุกโชติช่วง โหยวเหมี่ยวเอนตัวนอนบนแท่นเพื่อนอนชดเชยเมื่อคืน แต่หลี่จื้อเฟิงกลับนั่งเก็บข้าวของอยู่ตรงบริเวณที่มีไว้สำหรับบ่าวไพร่ “คุณชาย ได้เวลากินอาหารเช้าแล้ว”

“อีกสักพักเถอะ เจ้าเข้ามานี่” โหยวเหมี่ยวยังรู้สึกเกียจคร้านและไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น

หลี่จื้อเฟิงแหวกม่านเปิดแล้วมุดเข้ามา โหยวเหมี่ยวสั่งให้อีกฝ่ายนั่งบนแท่น ดึงมือให้เข้ามาหาตัวเองแล้วเอนพิงในอ้อมแขนก่อนหลับตาลง

ไม่รู้ว่านอนมานานแค่ไหน รู้สึกตัวอีกทีเมื่อเสียงเอะอะนอกตัวรถดังขึ้นเรื่อยๆ สุนัขเห่าม้าส่งเสียงร้อง โหยวเหมี่ยวอ้าปากหาวแล้วลืมตาถามว่า “ข้างนอกเกิดอะไรขึ้น”

“ประตูเมือง”

โหยวเหมี่ยวเปิดม่านมองออกไปภายนอก ฟ้าสว่างแล้ว เมื่อคืนหิมะตก ดังนั้นท้องฟ้าวันนี้จึงขาวโล่งไปหมด บรรยากาศบริเวณประตูทางเหนือของเมืองหลวงมีเสียงดังคึกคักจอแจ คนขับรถม้าตะโกนเสียงดังโหวกเหวก

“อากาศดีมาก เราออกเดินทางกันเถอะ…”

“เทพแห่งการค้าขาย โปรดคุ้มครองคนชะตาอาภัพอย่างพวกเราด้วยเถอะ ข้ามภูเขาไหว้ภูเขา ข้ามแม่น้ำไหว้แม่น้ำ เทพเจ้าย่อมปกป้องคุ้มครอง ทำงานหาเงินเลี้ยงปากท้องได้สักก้อนแล้วจะรีบกลับบ้าน…”

“ท่านพ่อ! ซื้อของเล่นมาฝากข้าด้วยนะ”

แต่แล้วขบวนพ่อค้าก็มารวมตัวกันทันทีเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของคนขับรถม้าของโหยวเหมี่ยว “คุณชายสกุลโหยวมาแล้ว…”

หัวหน้าขบวนสินค้ากำลังพาหัวหน้าทหารรักษาประตูเมืองมาตรวจนับจำนวนรถม้า บรรจุสินค้า จดบันทึกจำนวนสินค้า ครั้นเห็นโหยวเหมี่ยวก็รีบเอ่ยว่า “สุขสวัสดิ์ยามเช้า คุณชาย”

โหยวเหมี่ยวเคยพบคนผู้นี้มาก่อน เพราะอีกฝ่ายมักจะไปที่คฤหาสน์ของโหยวเต๋อโย่วบ่อยๆ เขามีชื่อว่าห่าวซันเฉียน โหยวเหมี่ยวจึงผงกหัวทักทายตอบ ส่วนหลี่จื้อเฟิงกำลังเปิดกล่องอาหารและนำอาหารในนั้นออกมาวางเรียงทีละอย่าง เพื่อเตรียมอุ่นให้ร้อน

“ท่านนี้คือคุณชายน้อยของสกุลโหยว” ห่าวซันเฉียนอธิบายให้หัวหน้าทหารฟัง

“แล้วคนนี้เล่า” หัวหน้าทหารเอ่ยถาม

หลี่จื้อเฟิงเงยหน้าขึ้นสบตากับหัวหน้าทหารที่ซักถามด้วยความสงสัย “เจ้ามิใช่ชาวจงหยวน*?”

“นี่เป็นทาสของบ้านข้าชื่อหลี่จื้อเฟิง จะถามทำไมนักหนา” โหยวเหมี่ยวชิงตอบแทน กล่าวจบก็ปล่อยม่านลง

ทหารคนนั้นใช้ทวนยาวเปิดม่านแล้วเอ่ยว่า “คุณชายโหยว ไม่ใช่อย่างนั้น ทาสของท่านเป็นชนเผ่าคนเถื่อนสินะ ตรงชายแดนจงหยวนมีศึกสงครามรบราต่อเนื่องมาหลายปี บัณฑิตอย่างพวกท่านก็ห่วงใยบ้านเมืองเช่นกัน คิดว่าคงเข้าใจดี แต่เกรงว่าจะพลาดพลั้งรับคนสอดแนมจากชาวหู** เข้ามา ดังนั้นคงต้องเชิญเขาไปกับข้าสักครั้ง”

โหยวเหมี่ยวคิดไม่ถึงว่ากระทั่งทหารเล็กๆ ที่มีหน้าที่เฝ้าประตูเมืองยังอาจหาญถึงเพียงนี้จึงบันดาลโทสะขึ้นมา ขมวดคิ้วตวาดว่า “บังอาจนัก เจ้าชื่ออะไร”

“ข้ามีนามว่าเนี่ยตัน เป็นทหารรักษาการณ์เมืองหลวงตำแหน่งเซี่ยวเว่ย*** ท่านต่างหากที่ไม่ได้มีตำแหน่งขุนนางอะไร เดิมทีข้าคิดว่าท่านอายุยังน้อยดังนั้นอย่าถือสาท่านนักเลย แต่กระนั้นก็มิได้หมายความว่าจะปล่อยให้ท่านทำตัวไม่เคารพกฎบ้านกฎเมืองได้?!” นายทหารยังไม่ยอมถอยให้

* จงหยวน หรือตงง้วน แปลว่าที่ราบกลาง หมายถึงดินแดนจีนในสมัยโบราณ ซึ่งตั้งอยู่ตอนกลางไปจนถึงตอนใต้ของลุ่มแม่น้ำหวงเหอ

** ชาวหู เป็นคำเรียกชนต่างชาติที่อาศัยอยู่ทางเหนือและตะวันตกของจีน

*** เซี่ยวเว่ย หมายถึงนายหมู่หรือนายกองที่มียศขุนนางบู๊ตั้งแต่ลำดับหลักขั้นหกลงไป

“ขุนพลเนี่ย โปรดระงับโทสะด้วย โปรดระงับโทสะด้วย คุณชายน้อยของเรา…” ห่าวซันเฉียนเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดีก็รีบเอ่ยขอโทษเนี่ยตัน

ปกติแล้วคนที่สนิทคุ้นเคยกับโหยวเหมี่ยวไม่ใช่ลูกหลานแม่ทัพก็เป็นบุตรชายเสนาบดี กระทั่งบุตรชายของอัครเสนาบดียังเรียกพี่เรียกน้องกับเขา ดังนั้นโหยวเหมี่ยวมีหรือจะเห็นเซี่ยวเว่ยเล็กๆ คนหนึ่งอยู่ในสายตา เวลานี้ข้าวปลาอาหารไม่กินทั้งนั้น รวบเสื้อคลุมทำท่าจะลงจากรถม้า “หลี่เหยียนเป็นคนมอบทาสผู้นี้ให้ข้า เจ้าจะว่าอย่างไร ไป เรากลับเข้าเมืองด้วยกันอีกหน ไปเรียกเขามาอธิบายให้เจ้าฟังกันตั้งแต่เช้าตรู่เป็นอย่างไร”

ขณะที่สถานการณ์กำลังร้อนระอุก็เห็นบ่าวรับใช้คนหนึ่งขี่ม้าตรงเข้ามาแต่ไกล

“คุณชายโหยว…”

โหยวเหมี่ยวมองออกไปจากตัวรถก็เห็นบ่าวพลิกตัวลงจากหลังม้าแล้วยื่นกล่องใบหนึ่งให้เขาพร้อมกล่าวว่า “นี่เป็นค่าเดินทางที่คุณชายบ้านข้าเตรียมไว้ให้ท่าน ได้ยินว่าวันนี้ท่านจะกลับบ้านแล้วจึงถือโอกาสเขียนหนังสือให้คุณชายด้วยอีกฉบับ ในนั้นมีตราประทับของท่านอัครเสนาบดี เพราะเกรงว่าท่านอาจจะโดนตรวจสอบตอนพาหลี่จื้อเฟิงออกจากเมือง นอกจากนี้ข้างในยังมีมีดสั้นอีกเล่ม มอบให้ท่านไว้ใช้ป้องกันตัวในระหว่างทาง”

โหยวเหมี่ยวรับกล่องมา ข้างในบรรจุเงินยี่สิบตำลึง แน่นอนว่าใส่ไว้แค่พอเป็นน้ำใจเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีหนังสืออีกฉบับหนึ่ง โหยวเหมี่ยวหยิบออกมากางให้เนี่ยตันดู เนี่ยตันแค่นเสียงเย็นชาแล้วโบกมือให้เปิดทาง

รถม้าเริ่มออกเดินทาง ขบวนคาราวานพ่อค้านับร้อยคันทยอยออกสู่เส้นทางหลวง บรรยากาศของเหมันตฤดูแผ่ปกคลุมทุกแห่งหน ต้นสนริมทางมีกองหิมะเกาะพราวเต็มต้น อากาศแจ่มใสดีมาก

โหยวเหมี่ยวเห็นทหารคนนั้นหายลับตาไปสุดปลายถนนก็แค่นหัวเราะแล้วกล่าวว่า “แค่เซี่ยวเว่ยเล็กๆ คนหนึ่ง โลภเงินทองเสียจนขวัญกล้าเทียมฟ้าแล้ว”

“เขาแค่ทำตามหน้าที่อย่างเคร่งครัดเท่านั้น” หลี่จื้อเฟิงควานหาโต๊ะเตี้ยๆ ตัวหนึ่ง สูงกำลังพอเหมาะ จากนั้นก็เทโจ๊กที่อุ่นเสร็จแล้วยกมาวางบนโต๊ะ

“หึ เจ้าไม่เข้าใจ เซี่ยวเว่ยพวกนี้ฉวยโอกาสได้ก็รีบหาทางฉกฉวย คงอยากรีดเค้นเอาเงินทองสักก้อนนั่นเอง”

หลี่จื้อเฟิงไม่ได้เอ่ยตอบ โหยวเหมี่ยวจึงลงมือกินโจ๊กแล้วเอ่ยว่า “เจ้าก็กินด้วยสิ”

“ข้ากินขนมเปี๊ยะก็พอ” หลี่จื้อเฟิงหยิบกับข้าวจานเล็กๆ วางเรียงบนโต๊ะก่อนตอบ

โหยวเหมี่ยวเห็นหลี่จื้อเฟิงพูดมากขึ้นในวันนี้ คิดว่าคงเป็นเพราะได้ออกจากเมืองหลวงแล้ว ไม่ต้องอยู่ในบ้านโหยวเต๋อโย่วอีกทำให้รู้สึกสบายใจขึ้น จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เมื่อคืนเจ้าช่างช่ำชองนัก”

หลี่จื้อเฟิงนั่งมองโหยวเหมี่ยวอยู่ด้านข้าง

โหยวเหมี่ยวเองก็มองสำรวจอีกฝ่ายอย่างละเอียด “เหตุใดเวลาอยู่บนเตียงกับนอกเตียงจึงดูเหมือนเป็นคนละคน”

สีหน้าของหลี่จื้อเฟิงไม่บ่งบอกอารมณ์ ดูราวกับท่อนไม้ก็ไม่ปาน โหยวเหมี่ยวเอ่ยว่า “เมื่อวาน…ตอนอยู่บนเตียงเจ้ามักจะพูดจาออกคำสั่ง มิน่าถึงโดนหลี่เหยียนทุบตี”

ดูจากนิสัยเจ้าอารมณ์ของหลี่เหยียน ถ้ามีคนพูดจาดูถูกเหยียดหยามเขาหรือสั่งให้หลี่เหยียนเรียกยกย่องผู้อื่นว่าพี่ อีกฝ่ายแค่โดนถลกหนังก็ยังเบาไปด้วยซ้ำ โหยวเหมี่ยวคิดถึงเรื่องนี้ก็อดขบขันไม่ได้ ถามต่อว่า “ศึกษามาจากไหน”

“หอสังคีต” หลี่จื้อเฟิงตอบ

โหยวเหมี่ยวพยักหน้า ในใจคิดว่าหลี่จื้อเฟิงตอนนี้ต่างหากที่เป็นหลี่จื้อเฟิงตัวจริง คนเมื่อวานที่กล้าพูดจาเช่นนั้นเหมือนโดนอะไรสักอย่างเข้าสิงร่างมากกว่า เขาขบคิดแล้วเอ่ยว่า “กินเถอะ โรงครัวทำมาให้ข้าเยอะขนาดนั้น ข้าคงกินไม่หมด”

หลี่จื้อเฟิงส่ายหน้า โหยวเหมี่ยวทราบดีว่าอาหารพวกนี้เป็นฝีมือของแม่นางในโรงครัวที่รักใคร่กับสือฉีเอ๋อร์ นางทำมาให้เยอะมากเพราะเกรงว่าสือฉีเอ๋อร์จะหิวในระหว่างทาง แต่สือฉีไม่มาหลี่จื้อเฟิงจึงได้ประโยชน์แทน โหยวเหมี่ยวกินนิดๆ หน่อยๆ แล้วแสดงท่าทีบอกให้เขามากินเหมือนเรียกสุนัข คราวนี้หลี่จื้อเฟิงไม่ได้ปฏิเสธ คีบกับข้าวมากินคู่กับโจ๊กที่เริ่มเย็นชืดจนหมดเกลี้ยง

แสงตะวันสาดส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่าง โหยวเหมี่ยวเอ่ยว่า “เส้นทางนี้ไปทางภูเขาหยางโค่ว ลัดเลาะกำแพงฉางเฉิง* เลียบเมืองเหยียนเปียน ในด่านมีเมืองเล็กๆ ค่อนข้างหนาแน่น แต่พอเลยออกไปก็เป็นดินแดนของชาวเฉวี่ยนหรงอย่างพวกเจ้าแล้ว”

หลี่จื้อเฟิงพยักหน้าช้าๆ โหยวเหมี่ยวอดใช้คำพูดทดสอบอีกฝ่ายไม่ได้ “เจ้าอย่าหนีไปกลางทางล่ะ จงติดตามข้ากลับบ้าน”

“ไม่หลบหนี ข้าจะคอยติดตามเจ้า”

“ที่จริงต่อให้เจ้าหนีไป ข้าก็ทำอะไรไม่ได้”

ทว่าหลี่จื้อเฟิงไม่ได้เอ่ยตอบคำใด แค่นั่งเงียบๆ เท่านั้น แต่แล้วจู่ๆ โหยวเหมี่ยวก็รู้สึกตัดใจจากอีกฝ่ายไม่ลงจึงกวักมือเรียก “มานี่”

พอหลี่จื้อเฟิงขยับเข้าใกล้ โหยวเหมี่ยวก็สั่งให้นั่งดีๆ แล้วเอนพิงในอ้อมอกของอีกฝ่ายอย่างเกียจคร้าน พลางลูบไล้มือไปมา

หลี่จื้อเฟิงยังคงนิ่งเงียบเช่นเดิม มองทิวทัศน์นอกตัวรถ โหยวเหมี่ยวอดคาดเดาไม่ได้ว่าคนผู้นี้กำลังขบคิดเรื่องอะไร คิดถึงเผ่าของตนเอง? คิดถึงอดีตของตนเอง? แสงตะวันอบอุ่นที่สาดส่องเข้ามาจากนอกรถม้าชวนให้รู้สึกเกียจคร้านยิ่งนัก ประติมากรรมหิมะสองข้างทางงดงามดุจดังแดนศุทธิไวฑูรย์*

พื้นที่ราบไกลออกไปปกคลุมด้วยหิมะขาวจนดูราวกับไร้ขอบเขต อรุณแรกแย้มแต่งแต้มสีสันตรงขอบฟ้า เมื่อเดินทางออกห่างจากเมืองหลวง สองข้างทางหลวงล้วนเป็นพื้นที่ราบโล่งกว้างสุดลูกหูลูกตา

 

โหยวเหมี่ยวกินอาหารเช้าแล้วงีบหลับ ผ่านไปสักพักหลี่จื้อเฟิงก็หยิบกล่องไม้ออกมาจากใต้ที่นั่ง หยิบใบชาด้วยปลายนิ้วแล้วนำมาอังไฟ เติมน้ำ ต้มจนน้ำร้อนปุดๆ ใบชาก็ส่งกลิ่นหอมโชยไปทั่วก่อนนำไปให้โหยวเหมี่ยวที่เพิ่งตื่นดื่มกระตุ้นความสดชื่น โหยวเหมี่ยวหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากห่อสัมภาระ เอนพิงหลี่จื้อเฟิงแล้วพลิกอ่านด้วยท่วงท่าเกียจคร้าน สัญญาขายตัวของหลี่จื้อเฟิงร่วงลงมาจากหนังสือ

หลี่จื้อเฟิง “…”

โหยวเหมี่ยวยิ้มแล้วยกหนังสือให้อีกฝ่ายดู

นั่นเป็นหนังสือที่บัณฑิตแคว้นเหลียงนามหวังจื้อเขียนเล่าเกี่ยวกับเรื่องราวนอกด่าน เล่มสาม ‘ประวัติศาสตร์เฉวี่ยนหรง’

* กำแพงเมืองจีน

* พุทธเกษตรของพระไภษัชยคุรุ ในพระสูตรบรรยายว่าเป็นดินแดนที่สวยงามอลังการไม่แพ้แดนสุขาวดีหรือพุทธเกษตรของพระอมิตาภะซึ่งตั้งอยู่ตรงกันข้าม

โหยวเหมี่ยวยืมหนังสือเล่มนี้มาจากบ้านของหลี่เหยียนเมื่อหลายวันก่อน ตั้งใจเอาไว้อ่านตอนอยู่บ้าน เขาพับสัญญาขายตัวของหลี่จื้อเฟิงแล้วสอดไว้ด้านหลังสุดของหนังสือ พอพลิกเปิดหน้าแรกก็อ่านพึมพำว่า “นอกด่านมีชนเผ่าหนึ่งนับถือสัตว์เป็นเทพเจ้า คล้ายหมาป่าแต่ไม่ใช่หมาป่า คล้ายสุนัขแต่ก็ไม่ใช่สุนัข เรียกว่า ‘เผ่าเฉวี่ยน’ บุรุษหาญกล้าเชี่ยวชาญสงคราม แข็งแกร่งทรหดอดทน ท่อนบนคลุมขนหมาป่า ท่อนล่างสวมชุดเกราะตีจากเหล็กกล้า ชาวฮั่นที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนเรียกพวกเขาว่า ‘เฉวี่ยนหรง’…”

โหยวเหมี่ยวพลิกหนังสือพลางมองดูรูปร่างของหลี่จื้อเฟิง ในใจขบคิดว่าถ้าอีกฝ่ายเปลี่ยนมาสวมเสื้อขนสัตว์ ชุดเกราะเหล็กกล้าจะเป็นเช่นไร แต่แล้วก็พบว่าหลี่จื้อเฟิงกำลังมองหนังสือไม่วางตาเช่นกัน

“เจ้าไม่เคยอ่านประวัติศาสตร์ของชนเผ่าตนเองหรือ”

หลี่จื้อเฟิงส่ายหน้า รอยสักทาสตรงข้างลำคอเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษภายใต้แสงตะวัน

โหยวเหมี่ยวนอนพิงอยู่ในอ้อมแขนของหลี่จื้อเฟิงและอ่านหนังสือเล่มดังกล่าวด้วยกัน ในหนังสือเล่าว่าชาวเผ่าเฉวี่ยนหรงของหลี่จื้อเฟิงนับถือแต่คนแข็งแกร่งเท่านั้น จึงมักจะมีเรื่องเข่นฆ่ากันเป็นประจำ บุรุษรูปร่างแข็งแรงกำยำ แต่ละคนล้วนเป็นมือธนูชั้นเลิศ ปฏิบัติต่อชาวฮั่นเสมือนสิงสาราสัตว์ สมัยที่พวกชนเผ่าต่างๆ ในแถบซีเป่ยยังไม่มีอารยธรรม เวลาชาวเฉวี่ยนหรงขาดแคลนอาหารมักจะบุกข้ามกำแพงฉางเฉิงเข้ามาปล้นชิงเสบียงอาหาร กระทั่งเรื่องกินคนยังเกิดขึ้นบ่อยครั้ง

“ไม่ถูกต้อง” จู่ๆ หลี่จื้อเฟิงก็เอ่ยแทรกขึ้นมา

“อะไรนะ” โหยวเหมี่ยวเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจแล้วถามว่า “ไม่ถูกต้องตรงไหน”

“พวกเราไม่กินคน”

“แน่นอนว่าต้องไม่กินคนอยู่แล้ว หนังสือของหวังจื้อกล่าวเหลวไหลทั้งเพ”

มุมปากหลี่จื้อเฟิงกระตุก โหยวเหมี่ยวรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะยิ้มจึงอธิบายเหตุผลให้ฟัง หวังจื้อเป็นบัณฑิตใหญ่แต่กลับเขียนตำรับตำรามีช่องโหว่มากมาย ตอนศึกษาเล่าเรียนที่สำนักไท่เสวียในเมืองหลวง โหยวเหมี่ยวลองจับผิดเล่นๆ ก็พบช่องโหว่หลายอย่างจึงเล่าพล่ามไร้สาระยืดยาว หลี่จื้อเฟิงพยักหน้าตาม โหยวเหมี่ยวจึงอ่านหนังสือต่อ พออ่านถึงด้านหลังที่เล่าเกี่ยวกับเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีก็ตกตะลึงพรึงเพริด

หวังจื้อกล่าวถึงเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของชาวเฉวี่ยนหรง นั่นก็คือ…ในเผ่าไม่มีสตรี!

ในเผ่าเฉวี่ยนหรงไม่มีสตรี ไม่มีคนชรา มีแต่เด็ก เด็กหนุ่มมักจับกลุ่มเคลื่อนไหวเช่นเดียวกับฝูงหมาป่า ส่วนเรื่องให้กำเนิดทายาทนั้นต้องอาศัยสตรีเผ่าอื่น บางครั้งเป็นชาวเผ่าเชียง บางครั้งเป็นชาวเผ่าเจี๋ย บางครั้งก็เป็นชาวฮั่น บุรุษฉกรรจ์ในเผ่าติดนิสัยขี่ม้าถือหอก คืนพระจันทร์เต็มดวงจะค่อยๆ เดินลัดเลาะกำแพงฉางเฉิง เดินเตร่ไปตามเผ่าอื่นๆ บนทุ่งหญ้ากว้างเพื่อเกี้ยวพาราสีสตรีนอกเผ่าที่ตนพึงใจ

หลังจากเกี้ยวพาราสีก็ร่วมสัมพันธ์ด้วย หลังจากร่วมสัมพันธ์กันแล้วก็จากไป

เจ็ดปีให้หลัง บิดาจะกลับมาที่เผ่าดังกล่าวอีกครั้ง ถ้าหากภรรยาให้กำเนิดบุตรชาย บุรุษเหล่านั้นจะพาเด็กวัยเจ็ดปีไปด้วย มอบม้าตัวเล็กๆ ให้และพาเขาออกรบทัพจับศึก ท่องไปในทุ่งหญ้า ถ้าเป็นบุตรสาว บุรุษเหล่านั้นจะมอบเงินให้บุตรสาวก้อนหนึ่งเพื่อเป็นสินเดิมยามแต่งงานในอนาคต

ส่วนมารดาจะถูกบุรุษเหล่านั้นสังหารด้วยมือตนเอง

“ไม่ถูกต้อง” หลี่จื้อเฟิงหัวเราะอย่างที่หาได้ยากมาก

นี่ออกจะเหลือเชื่อเกินไปนิด โหยวเหมี่ยวเอ่ยว่า “แน่นอนว่าไม่ถูกต้อง จะสังหารภรรยาด้วยมือตัวเองได้อย่างไร” โหยวเหมี่ยวมองหลี่จื้อเฟิงนิดหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องเหลวไหลที่เขาแต่งขึ้นเองสินะ”

“ส่วนหนึ่งใช่” หลี่จื้อเฟิงส่ายหน้าแล้วอธิบายให้ฟัง

“พวกเราไม่ฆ่าภรรยา” หลี่จื้อเฟิงกล่าวต่อ “คืนพระจันทร์เต็มดวงไปเกี้ยวพาราสี หลังเสร็จกิจจะมอบเขี้ยวหมาป่าให้ภรรยาชิ้นหนึ่งเพื่อเป็นหลักฐานยืนยัน เจ็ดปีให้หลังกลับมาพาบุตรชายกลับเผ่า บิดาทุ่มเทเลี้ยงดูบุตรชาย พาเขาไปล่าสัตว์ สอนเขาว่าจะใช้ชีวิตอยู่บนทุ่งหญ้าได้อย่างไร ถ้าเป็นบุตรสาวจะมอบแกะให้สิบตัว หมาป่าห้าตัว และขนสัตว์สิบผืนเพื่อเก็บไว้เป็นสินเดิม ภายภาคหน้าหากบุตรสาวแต่งงานออกไปแล้วถูกข่มเหงรังแก สามารถใช้เขี้ยวหมาป่าขอความช่วยเหลือจากเผ่าเฉวี่ยนหรงได้ ถ้าบุตรเขยเลี้ยงดูลูกเมียไม่ได้ สามารถร้องขอปัจจัยเลี้ยงชีพจากเผ่าเฉวี่ยนหรงได้ ดังนั้นในบรรดาสี่สิบสองเผ่านอกด่าน สิ่งที่สร้างความภาคภูมิใจที่สุดก็คือมีพ่อตาเป็นชาวเฉวี่ยนหรง”

“แล้วอย่างไรต่อ” โหยวเหมี่ยวซักถาม “ภรรยาทำอย่างไร”

“เมื่อบุตรชายของชาวเฉวี่ยนหรงเติบใหญ่จนใช้ชีวิตอยู่คนเดียวได้แล้ว บิดาจะแยกตัวไปใช้ชีวิตสันโดษ จากนั้นขนรางวัลจากศึกสงครามกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่เผ่าของภรรยา”

โหยวเหมี่ยวพยักหน้าช้าๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ฟังดูสมเหตุสมผล หลี่จื้อเฟิงเล่าต่อว่า “แต่เดี๋ยวนี้มีคนทำเช่นนี้ไม่มากแล้ว บางคนพาภรรยากลับเผ่าก็มี”

“เจ้ามีภรรยาแล้วหรือยัง” โหยวเหมี่ยวถามด้วยความสงสัย

หลี่จื้อเฟิงส่ายหน้า “เผ่าเราเรียกการเกี้ยวพาราสีว่าหมาป่าเดียวดายออกด่านและต้องอายุสิบเจ็ดปีขึ้นไป ตอนข้าถูกจับตัวมาที่จงหยวนยังไม่เป็นผู้ใหญ่”

โหยวเหมี่ยวเข้าใจแล้ว นี่คงเหมือนพิธีสวมหมวก* ของบุรุษและพิธีปักปิ่น** ของสตรีชาวฮั่น หมาป่าเดียวดายออกด่านก็คือพิธีบรรลุนิติภาวะของชาวเฉวี่ยนหรงนั่นเอง คำนี้ฟังดูเหมาะเจาะมาก เมื่อคิดภาพเด็กหนุ่มชาวเฉวี่ยนหรงอายุสิบเจ็ดปี รูปร่างแข็งแกร่งกำยำ ขี่ม้าศึกวิ่งทะยานลัดเลาะกำแพงฉางเฉิง ภายใต้จันทราทอแสงสุกสกาวทั่วแดนดิน ทุ่งหญ้ากว้างไพศาลดุจมหาสมุทร คงจะตื่นเต้นฮึกเหิมน่าดู

“แล้วเกี้ยวพาราสีอย่างไร”

“บ้างก็ร้องเพลง บ้างก็เป่าขลุ่ยเผ่าเชียง” หลี่จื้อเฟิงตอบ

ท่ามกลางแสงจันทรายามราตรี เด็กหนุ่มชาวเฉวี่ยนหรงเดินวนเวียนเป่าขลุ่ยเผ่าเชียงอยู่นอกหมู่บ้านสาว คงเป็นภาพที่ชวนเพ้อฝันและสง่าผ่าเผยอย่างบอกไม่ถูก

“ในเผ่าเฉวี่ยนหรงล้วนมีบุตรชายแค่คนเดียวอย่างนั้นหรือ”

หลี่จื้อเฟิงส่ายหน้า โหยวเหมี่ยวจึงซักถามต่อ “สองถึงสามคน?”

“ไม่แน่นอน” หลี่จื้อเฟิงขบคิดก่อนตอบ

โหยวเหมี่ยวร้องอืม “เจ้ามีพี่น้องกี่คน ตอนพวกเจ้ายังเด็กล้วนติดตามบิดาออกล่าสัตว์หรือ”

หลี่จื้อเฟิงไม่ได้เอ่ยตอบใดๆ เรื่องพวกนี้ถ้าเป็นเวลาปกติโหยวเหมี่ยวไม่ควรซักถามมาก แต่พอคิดว่ากำลังจะปล่อยอีกฝ่ายไปแล้วก็คิดว่าไม่เป็นไร และถามต่อว่า “เขี้ยวหมาป่าของเจ้าเล่า”

ทว่าหลี่จื้อเฟิงกลับไม่ยอมตอบคำถาม ตอนโหยวเหมี่ยวเก็บอีกฝ่ายมาไม่มีผ้าผ่อนติดตัว ดังนั้นย่อมไม่มีเขี้ยวหมาป่า เวลานี้ของมีค่าในตัวเขาก็มีแค่หยกที่ห้อยคอเท่านั้น ซึ่งเป็นของที่มารดาของโหยวเหมี่ยวเหลือทิ้งไว้ให้ลูกชาย โหยวเหมี่ยวจึงให้หลี่จื้อเฟิงยืมเพื่อคุ้มครองชีวิต

* พิธีสวมหมวก ชาวจีนในสมัยโบราณ เมื่อผู้ชายอายุครบ 20 ปีต้องเข้าพิธีสวมหมวกเพื่อแสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่

** พิธีปักปิ่น หรือพิธีปักปิ่นมวยผม จัดขึ้นเมื่อเด็กหญิงอายุครบ 15 ปี แสดงว่าก้าวเข้าสู่วัยสาว พร้อมที่จะออกเรือนแล้ว

โหยวเหมี่ยวเอนนอนอยู่ในอ้อมอกของหลี่จื้อเฟิง หยิบหยกที่คออีกฝ่ายขึ้นมาแล้วลูบคลำเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่จู่ๆ เขาก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ กับหลี่จื้อเฟิง ในใจคิดว่าคนผู้นี้น่าสงสารมาก และเขาก็ไม่อยากให้หลี่จื้อเฟิงไปจากตัวเอง

แต่ท้ายที่สุดแล้วหมาป่าเดียวดายก็ควรกลับสู่ฝูงหมาป่าที่นอกด่าน โหยวเหมี่ยวคิดว่าคนเช่นนี้ไม่ควรเป็นทาส ตอนหลี่จื้อเฟิงอายุสิบห้าปีถูกจับตัวมา หักเขี้ยวหักเล็บ ถูกแส้ฟาดโบยตี ทั้งยังโดนเคี่ยวกรำทรมานจนเลิกต่อต้าน ยอมรับชะตากรรมเป็นทาสกามารมณ์อันแสนต่ำทราม

โหยวเหมี่ยวมีนิสัยรักสนุก เรื่องกลั่นแกล้งผู้คนก็เคยทำมาไม่น้อยแต่เขาก็ไม่เคยเหยียดหยามใคร ก่อนมารดาจะสิ้นใจได้บอกเขาว่าทุกคนบนโลกนี้ล้วนมีชะตาชีวิตของตนเอง บางครั้งชีวิตอาจสิ้นหวังตกต่ำ แต่ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่สวรรค์กำหนดไว้แล้ว สิ่งสำคัญคือควรจดจำไว้ด้วยว่ายามชีวิตรุ่งโรจน์อย่าหลงลำพอง ครั้นชีวิตตกต่ำก็อย่าโทษตนเอง เมื่อเห็นคนตกทุกข์ได้ยาก ช่วยเหลือได้ก็สมควรช่วยเหลือ เพราะบุญวาสนาที่สั่งสมมาในชีวิตนี้ย่อมได้รับผลตอบแทนที่ดีในชาติหน้า

ถึงแม้ว่าเผ่าเฉวี่ยนหรงกับชาวฮั่นจะเปิดศึกสงครามติดต่อกันมาหลายปี แต่ทุกคนต่างก็มีเจ้านายของตนเอง ความแค้นฝังลึกนี้สั่งสมบ่มเพาะมาปีแล้วปีเล่า ไม่รู้เมื่อไรจะจบสิ้นเสียที โหยวเหมี่ยวพลิกหนังสือหน้าต่อไป เห็นหวังจื้อเขียนไว้ว่าพวกเผ่าคนเถื่อนต้องเอาชนะด้วยคุณธรรม สอนให้มีอารยธรรม นับเป็นวิธีการชั้นเลิศ ‘คนเถื่อนไม่มีโชคถึงร้อยปี’* แต่ชนเผ่านอกด่านที่อพยพเข้าสู่จงหยวนแล้วไม่ยอมหลอมรวมกับชาวฮั่นล้วนถูกทำลายหมด ส่วนพวกที่ยอมหลอมรวมกับชาวฮั่น สุดท้ายก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของชาวฮั่นไป

 

โหยวเหมี่ยวอ่านหนังสือเล่มดังกล่าวบนรถม้าอยู่สามวัน ตอนกลางวันฟ้ายังไม่สว่างก็ต้องเริ่มออกเดินทางต่อ ตอนกลางคืนยามดวงจันทร์ลอยสูงเด่นกลางฟ้าจำต้องหยุดหาที่พักแรมหรือจอดรถม้านอนค้างแรมกลางป่ากลางเขา พ่อค้าเร่ซึ่งทำหน้าที่ขับรถม้าล้วนเป็นคนอาภัพ ต่างก็พกข้าวของเล็กๆ น้อยๆ ติดมาทำการค้า บ้างก็ได้รับการไหว้วานจากเศรษฐีให้ไปส่งของ สารพัดอาชีพ ล้วนแต่เป็นชนชั้นล่าง เวลาหยุดพักหลี่จื้อเฟิงจะคอยปรนนิบัติรับใช้โหยวเหมี่ยวตลอด ส่วนพ่อค้าเร่พวกนั้นนั่งดื่มสุราอังไฟตรงจุดพักแรม มองหาบริเวณอบอุ่นแล้วนอนเบียดกันผ่านไปคืนหนึ่ง

ยิ่งเดินทางขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ อากาศก็ยิ่งหนาวเย็น จนกระทั่งถึงตอนข้ามเขาหยางโค่ว บริเวณเทือกเขาฉินหลิ่ง วันนั้นมีพายุหิมะตกหนักที่สุดนับตั้งแต่ย่างเข้าเหมันตฤดู เกล็ดหิมะใหญ่เท่าขนห่านโปรยปรายและลมพายุคลุ้มคลั่งดุจภูตผีร้ายรายล้อมรอบตัว คลื่นหิมะขู่คำรามชั้นแล้วชั้นเล่า เทือกเขาทอดตัวสูงๆ ต่ำๆ ปกคลุมไปด้วยหิมะหนา ชวนให้นึกถึงบทกวีที่ว่าหมอกปกคลุมเทือกเขาฉินหลิ่ง บ้านอยู่หนใด หิมะถล่มปิดด่านหลันกวน ม้ามิอาจเดินทาง

“อากาศหนาวเหน็บเกินทน…”

“สวรรค์โปรดอย่าปิดกั้นทางเลย…”

“รีบกลับบ้านโดยเร็วเถอะ…”

คนขับรถม้าทั้งหมดห่อหุ้มร่างกายมิดชิด พันผ้ารอบหัว เผยให้เห็นแค่ดวงตาสองข้าง ตะโกนเสียงแหบพร่า ขับควบรถม้าแล่นตรงไปข้างหน้า โหยวเหมี่ยวนั่งอยู่ในรถม้า แต่รับรู้ได้ว่าลมหนาวพัดเข้ามาทางประตูและหน้าต่างรถม้าที่ปิดมิดชิด

* คนเถื่อนไม่มีโชคถึงร้อยปี หมายถึงพวกชนเผ่าต่างๆ ที่เข้าสู่จงหยวนไม่มีทางอยู่ได้เกินร้อยปี เพราะล้าหลังกว่าทุกด้าน

หลังจากข้ามเขาหยางโค่ว หลายวันต่อมาอากาศก็เปลี่ยนเป็นสดใสอย่างกะทันหัน ฟ้ากระจ่างใสราวกับไม่เคยมีหิมะตกมาก่อน เมื่อออกจากเขาหยางโค่ว ภายใต้กำแพงฉางเฉิงยาวคดเคี้ยวพลันเห็นตัวเมืองอันแสนคึกคักจอแจที่ตั้งอยู่ตรงชายแดน…เมืองเหยียนเปียน

เมืองเหยียนเปียนเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนสินค้าใหญ่ตั้งอยู่สุดชายแดน มีอายุยาวนานเกือบสี่ร้อยปี สี่สิบสองชนเผ่านอกด่านต่างเดินทางมาทำการค้า ณ ที่แห่งนี้ หลายปีมานี้ไม่ว่าจะมีศึกสงครามเกิดขึ้นสักกี่ครั้ง ชาวหูที่คิดรุกรานเข้าจงหยวนล้วนจงใจหลีกเลี่ยงที่นี่

ชาวฮั่นหรือชาวหูที่โดนไล่ตามเข่นฆ่า ขอเพียงหนีมาถึงหรือหลบซ่อนตัวในเมืองเหยียนเปียน ต่อให้ข้างนอกมีกองทหารนับพันนับหมื่นก็ไม่สามารถไล่ตามต่อได้ และไม่สามารถบุกเข้าเมืองเพื่อเข่นฆ่าจับกุมคน

นี่เป็นสิ่งที่กษัตริย์ซยงหนูกับฮ่องเต้ทำสัญญากันไว้นานนับพันปี ไม่ว่าสองแคว้นจะมีความสัมพันธ์เช่นใด เมืองเหยียนเปียนจะเป็นกันชนระหว่างสองแคว้น ไม่มีวันเปิดสงคราม

คนขับรถม้าที่อยู่นอกตัวรถส่งเสียงร้องฮือฮากันขึ้นมา โหยวเหมี่ยวหลับมาทั้งคืน เวลานี้กำลังมองออกไปตรงเนินเขาด้านนอกด้วยสีหน้าสะลึมสะลือ สายลมเย็นเยียบพัดหวิวบาดผิว เมื่อมองลงไปตรงที่ราบด้านล่าง เมืองเหยียนเปียนมีอาณาบริเวณกว้างใหญ่โอบล้อมด้วยกำแพงฉางเฉิงซึ่งดูคล้ายมังกรที่ทอดตัวยาวไปทางตะวันออก ในเมืองมีผู้คนพลุกพล่าน เสียงตะโกนโห่ร้องดังแว่วมาแต่ไกล

ไกลออกไปนอกเมืองเหยียนเปียน ทะเลสาบน้ำแข็งขนาดใหญ่สะท้อนแสงตะวันพราวระยิบระยับจับตาดุจอัญมณี ชาวบ้านต้อนฝูงวัวและแกะเป็นแถวยาวคดเคี้ยวมุ่งหน้าตรงเข้ามาในเมืองอยู่ท่ามกลางทุ่งหิมะ

ที่นี่คือเมืองเหยียนเปียน โหยวเหมี่ยวคิด แม้ว่าบรรยากาศจะไม่ได้คึกคักจอแจเท่าเมืองหลวง แต่ก็มีลักษณะเฉพาะของชนเผ่านอกด่าน ขบวนสินค้าออกจากเขตเขาหยางโค่ว ลัดเลาะลงไปยังพื้นที่ราบ โหยวเหมี่ยวเหลือบมองหลี่จื้อเฟิงแวบหนึ่ง

หลี่จื้อเฟิงเอาศอกวางตรงขอบหน้าต่าง และมองออกไปไกลๆ อย่างใจลอย

“เจ้าเคยมาเหยียนเปียนหรือ”

หลี่จื้อเฟิงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วหันมามองโหยวเหมี่ยว ราวกับอยากพูดอะไรสักอย่าง

โหยวเหมี่ยวคิดในใจว่าไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เจอกับครอบครัวของหลี่จื้อเฟิงในเมืองเหยียนเปียนหรือไม่ ถ้าหลี่จื้อเฟิงอยากหลบหนี ที่นี่ก็คือสถานที่ที่เหมาะสมที่สุด และเป็นโอกาสที่ดีสุดด้วยเช่นกัน

“ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยว”

“เมื่อก่อนมาบ่อยหรือ” โหยวเหมี่ยวดูออกว่าหลี่จื้อเฟิงอารมณ์ดีไม่น้อยจึงถามลองเชิง

ขบวนสินค้าเคลื่อนเข้าใกล้ประตูเมือง หลี่จื้อเฟิงเอียงหน้าฟังบทสนทนาของชาวหูที่ยืนอยู่ไกลๆ แล้วเอ่ยว่า “ไม่ใช่เสียทีเดียว”

โหยวเหมี่ยวพยักหน้า ขบวนสินค้าจะพักอยู่ที่เมืองเหยียนเปียนสามวัน จากนั้นค่อยออกจากเมืองเหยียนเปียน โหยวเหมี่ยวตัดสินใจว่าจะปล่อยหลี่จื้อเฟิงให้กลับไปบ้านของเขา ต่างฝ่ายต่างกลับบ้าน ไม่ต้องเป็นทาสอีกต่อไป

วันแรกที่ไปถึงเมืองเหยียนเปียน ขบวนสินค้ายื่นขอหนังสือผ่านด่าน หลังจากทำตามขั้นตอนเสร็จแล้ว คนสี่สิบกว่าคนก็เข้าพักในโรงเตี๊ยม ขนสินค้าลงเพื่อนำไปขายที่ตลาด ในที่สุดโหยวเหมี่ยวก็ได้หยุดพักจากการเดินทางและจะได้ผ่อนคลายร่างกายที่เมื่อยล้าสักที

อยู่บ้านดีร้อยพัน ออกจากบ้านพลันประสบปัญหา นับแต่เด็กจนโตโหยวเหมี่ยวไม่ค่อยได้ออกจากบ้าน ครั้งเดียวที่เดินทางไกลก็คือจากหลิวโจวมาที่เมืองหลวง ตอนนั้นทิวทัศน์งดงามเพียงใดไม่ต้องพูดถึง ไหนเลยจะมีสภาพอเนจอนาถเช่นเวลานี้ นั่งรถม้าแล่นโขยกเขยกมาหลายพันลี้* แม้จะมีหลี่จื้อเฟิงคอยปรนนิบัติ แต่โหยวเหมี่ยวก็อดบ่นอุบอิบไม่ได้

คนทั้งขบวนเข้าพักในโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมือง พ่อค้าเร่ต่างแยกย้ายกันไปทำการค้าของตัวเอง โหยวเหมี่ยวพาหลี่จื้อเฟิงออกไปเดินเล่นและพบว่าสินค้านอกด่านส่วนใหญ่เป็นพวกขนสัตว์ สมุนไพรหายาก เนื้อสัตว์ป่า เขากวาง แส้กวาง ขนหางกวาง เครื่องรางกะโหลกหมาป่า หนังเสือปูพื้น เสื้อคลุมขนจิ้งจอกราคาแพง เหล้าองุ่นจากซีอวี้ อำพันทะเล** โสมพันปี หินประหลาดจากเหมืองแร่ ยาจินกังชั้นเยี่ยม…ในเมืองหลวงของเหล่านี้แค่ชิ้นเดียวก็ขายได้ราคาสูงแล้ว เรียกได้ว่าเป็นของล้ำค่าหายากในห้องเก็บสมบัติทีเดียว แต่ในตลาดของเมืองเหยียนเปียนกลับมีมากมายเกลื่อนกลาดราวกับของดาษดื่น

ตรงกันข้าม เทียนไข ผ้าไหม เกลือ สมุนไพรจากทางใต้ รวมถึงไข่มุกคุณภาพต่ำ ปะการังหรือเปลือกหอยจากทะเลตงไห่ และใบชาที่พ่อค้าชาวจงหยวนนำติดตัวมาด้วยกลับขายดีเป็นเทน้ำเทท่าทันทีที่เข้าเมือง

กระทั่งภาพวาดอวยพรวันตรุษของชาวจงหยวนยังขายได้ราคาดี โหยวเหมี่ยวคิดว่าพลาดเสียแล้ว ถ้ารู้เช่นนี้เขาคงหอบข้าวของในเมืองหลวงมาขายด้วย ห่าวซันเฉียนรู้จักตั้งราคา กระทั่งใบชาคุณภาพต่ำที่โรงงิ้วโรงน้ำชาในเมืองหลวงยังไม่เหลือบแล แค่ครึ่งชั่งยังขายได้ตั้งห้าอีแปะ*** และแลกหนังจิ้งจอกคุณภาพกลางๆ ในตลาดได้หนึ่งผืน

โหยวเหมี่ยวเคยเห็นพวกคุณชายลูกเศรษฐีซื้อหนังจิ้งจอกเช่นนี้ไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้ง ทุกครั้งที่มีของใหม่เข้ามาในร้านอวี้เป่าถัง หลี่เหยียนจะพาพรรคพวกไปชม ต่อให้มีมิตรภาพกับเถ้าแก่ดีสักแค่ไหน ผืนหนึ่งก็ต้องจ่ายถึงห้าตำลึงเงิน

ห้าอีแปะแลกได้ห้าตำลึงเงิน ในที่สุดโหยวเหมี่ยวก็ตระหนักได้ถึงวิธีขูดรีดหากำไรของพ่อค้าหน้าเลือดแล้ว เขาอ้าปากค้างอยู่นาน อดบ่นไม่ได้ว่าถ้ารู้แต่แรก! แค่ขนสินค้ามาเทขายที่เมืองเหยียนเปียนสักหนึ่งคันรถก็ได้เงินหลายพันตำลึงเงินอย่างง่ายดายแล้ว ช่างน่าเสียดายนัก

ในตลาดเต็มไปด้วยผู้คน บ้างก็คว้าขนสัตว์พับใหญ่ บ้างก็หอบหิ้วโสมคนกองโต แย่งกันยัดสินค้าใส่มือพ่อค้าชาวจงหยวน บางคนดูฐานะของโหยวเหมี่ยวออกก็ลอบยื่นของให้เขาอย่างลับๆ เพื่อให้เขารับสินค้าของตนเองเอาไว้

“ช้าก่อนๆ อย่าแย่งกัน ข้าไม่ได้มาขายของ” โหยวเหมี่ยวตะโกนเสียงดัง

“ระวังเบียดคุณชาย ช้าก่อน เข้ามาทีละคน” ห่าวซันเฉียนตะโกน

ผู้คนมากมายในเมืองเหยียนเปียนใช้ภาษาสื่อสารกันไม่เข้าใจ ทำได้เพียงใช้ภาษามือเจรจากันเท่านั้น เพราะต่างคนต่างพูดภาษาของเผ่าตนเอง บ้างก็ชี้สินค้าของตัวเองแล้วชี้สินค้าของพ่อค้าชาวจงหยวน บางคนมือไวแย่งได้เร็วก็ทำท่าจะต่อยตีกันขึ้นมา หลี่จื้อเฟิงคอยทำหน้าที่คุ้มกันโหยวเหมี่ยว ชาวหูที่เบียดเข้ามาตรงหน้าโหยวเหมี่ยวพอเห็นหน้าตาของหลี่จื้อเฟิงดูเหมือนคนนอกด่านด้วยกันก็ไม่กล้าจับต้องตัวโหยวเหมี่ยวอีก

“รับสินค้าของนาง” โหยวเหมี่ยวรับกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งไว้แล้วหันไปพูดกับห่าวซันเฉียน

“ได้” ห่าวซันเฉียนตอบพร้อมรอยยิ้ม แม้ว่าพ่อค้าเร่พวกนี้จะเป็นคนที่พ่อค้าในเมืองหลวงจ้างวานมา แต่ก็ต้องฟังคำพูดของโหยวเต๋อโย่วอยู่ดี…เพราะใครเข้าขบวนสินค้าได้หรือไม่ได้นั้น ล้วนขึ้นอยู่กับโหยวเต๋อโย่ว ทุกคนจึงไม่กล้าขัดคอโหยวเหมี่ยว

โหยวเหมี่ยวพลิกขนสัตว์พับหนึ่งดู พ่อค้าคนหนึ่งพูดเย้าว่า “ตระกูลคุณชายทำการค้าใหญ่โต สนใจของพวกนี้ด้วยหรือ”

* ลี้ (หลี่) เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เท่ากับความยาว 15 อิ่น เทียบได้กับระยะทางประมาณ 500 เมตร

** อำพันทะเล หรือขี้ปลาวาฬ เป็นสารประกอบอินทรีย์ชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกับอำพัน มีกลิ่นหอม

*** เงินอีแปะ (เหวิน) หรือเงินสำริด มีลักษณะเป็นเหรียญที่มีรู มีค่าเล็กที่สุดในหน่วยเงินตราสมัยก่อนของจีน โดย 1,000 อีแปะมีค่าเท่ากับ 1 ตำลึงเงิน

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

สามารถอ่านบทอื่นๆได้ที่ >> บทที่ 1.1 | บทที่ 1.2 | บทที่ 2.1 | บทที่ 2.2 | บทที่ 3.1 | บทที่ 3.2 | บทที่ 4.1 | บทที่ 4.2 | บทที่ 5.1 | บทที่ 5.2

หน้าที่แล้ว1 of 15

Comments

comments

Jamsai Editor:

View Comments