สามารถอ่านบทก่อนหน้าได้ที่ >> บทที่ 3.2
บทที่ 4
หลี่จื้อเฟิงยังไม่ทราบความคิดของโหยวเต๋อชวน พอออกจากเรือนใหญ่ก็กลับไปที่เรือนปีกตะวันออก ถามมู่ฉีที่อยู่หน้าประตูว่า “เงิน มีหรือไม่”
“ทำไม” มู่ฉีย้อนถาม
เจ้าทาสเฉวี่ยนหรงกลับถูนิ้วมือบอกเป็นนัยๆ ให้อีกฝ่ายเอาเงินมา มู่ฉีตกตะลึง อุทานว่า “นายท่านไม่ให้…”
หลี่จื้อเฟิงรีบส่งสัญญาณให้เบาเสียง แววตามู่ฉีหม่นแสง ล้วงเศษเงินในอกเสื้อพลางลดเสียงลงกระซิบกระซาบ เพราะเกรงว่าโหยวเหมี่ยวที่นอนอยู่ในห้องจะได้ยินเข้า “เราจะไปเชิญหมอกันเองหรือ”
แทนที่จะตอบ หลี่จื้อเฟิงกลับเอานิ้วชี้ที่ตัวบ่งบอกว่าจะไปเอง มู่ฉีจึงถามต่อว่า “เจ้ารู้จักทาง? เจ้าไปเชิญหมอที่ดีที่สุดในอำเภอขึ้นมาตรวจอาการต้องใช้เงินห้าเฉียน* นอกจากนี้ยังต้องลงไปจัดยาอีก นี่ ให้เจ้าสองตำลึง…”
หลี่จื้อเฟิงรับเศษเงินมาแล้วก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เหมือนกำลังลังเลว่าจะเข้าไปดูโหยวเหมี่ยวดีหรือไม่ สุดท้ายก็ไม่ได้ผลักประตูเข้าห้อง แต่หมุนตัวเดินออกไป
โหยวเหมี่ยวที่นอนอยู่ในห้องตื่นแล้วและได้ยินทุกอย่างชัดเจน แต่ยังคงนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงอย่างแค้นเคืองใจ พอหลี่จื้อเฟิงจากไป โหยวเหมี่ยวก็ตะโกนเสียงดังว่า “ปล่อยข้าตายไปเลยสิ!”
จากนั้นเอาผ้านวมคลุมหัว หันหน้าเข้าผนัง สะอื้นร่ำไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
เท้าของหลี่จื้อเฟิงเพิ่งก้าวออกไป เท้าของโหยวฮั่นเกอก็มาถึงพอดี ประตูผลักเปิดเข้ามาดังเอี๊ยดอ๊าด โหยวเหมี่ยวยังคงนอนอยู่ท่าเดิม โหยวฮั่นเกอเดินเข้ามา เสียงฝีเท้าแผ่วเบานุ่มนวล จากนั้นดึงผ้านวมที่ปิดคลุมหัวโหยวเหมี่ยวออก หมอนเปียกคราบน้ำตา
“ท่านแม่ข้าไม่ต้องการข้า ท่านพ่อข้าก็ไม่ต้องการข้าแล้ว…” โหยวเหมี่ยวพูดเจือสะอื้น “ไม่ต้องมาสนใจข้า ปล่อยข้าตายไปเถอะ”
โหยวฮั่นเกอเอามือเย็นๆ ของตัวเองลองแตะหน้าผากดู โหยวเหมี่ยวตัวร้อนจนหน้าแดง ปวดหัวแทบระเบิดจึงอยากตายท่าเดียว หลับตานอนนิ่งๆ เพราะคิดว่าเป็นหลี่จื้อเฟิง
โหยวฮั่นเกอหมุนตัวเดินออกไปข้างนอก ปิดประตูแล้ววิ่งออกไปสั่งให้เตรียมรถม้า เพื่อจะได้ลงเขาไปเชิญหมอ
อีกทางด้านหนึ่ง หลี่จื้อเฟิงแทบจะวิ่งลงเขา ปราสาทเขาปี้อวี่อยู่ห่างจากตัวเมืองของอำเภอเพ่ยเสี้ยนประมาณสี่สิบลี้ และเนื่องจากย่างเข้าเหมันตฤดู ใบชาฤดูเหมันต์ชุดสุดท้ายเก็บเสร็จหมดแล้ว ชาวไร่สองข้างทางจึงเริ่มพักจากการทำเกษตร
หลี่จื้อเฟิงเดินผ่านร้านอาหารที่พวกเขาพักกินข้าวตอนขามาก็แวะถามเถ้าแก่เนี้ยว่า “หมอชื่อดังของอำเภอเพ่ยเสี้ยนมีชื่อว่าอะไร”
เถ้าแก่เนี้ยชี้ถนนแล้วอธิบายว่า “เจ้าเดินตามเส้นทางค้าชาบนหลังม้าไปทางตะวันออก พอเข้าตัวเมืองของอำเภอเพ่ยเสี้ยนก็ตรงไปยังตลาดทางทิศตะวันออก จะมีร้านหนึ่งชื่อว่าร้านยาเป่าจี้ ท่านหมอสิงของที่นั่นมีฝีมือเยี่ยมมาก แต่นิสัยอาจจะแปลกอยู่สักหน่อย มีอะไรหรือ คุณชายของเจ้าล้มป่วยหรือ โอ๊ะ รอก่อน เจ้าดื่มน้ำสักนิดก่อนค่อยไป…”
* เฉียน เป็นหน่วยเหรียญเงินขาว มีรูตรงกลางเหมือนเงินอีแปะ (เหรียญสำริด) แต่ทำจากโลหะเงินจึงมีค่ามากกว่า
ร้านยาเป่าจี้อยู่ทางตะวันออกของเมือง…หลี่จื้อเฟิงหมุนตัววิ่งตรงไปทางอำเภอเพ่ยเสี้ยน ออกจากปราสาทเขาปี้อวี่ตอนสาย ตกบ่ายค่อยถึงอำเภอเพ่ยเสี้ยน หลี่จื้อเฟิงไม่ได้ดื่มน้ำเลยสักอึก วิ่งตรงเข้าไปในร้านยาทันที ช่วงเหมันต์มักจะมีโรคเจ็บคอและอาการไอแพร่ระบาด จึงมีชาวบ้านนั่งรอตรวจอาการและซื้อยาไม่น้อย
หลี่จื้อเฟิงเข้าไปในร้านแล้วถามว่า “ท่านใดคือท่านหมอสิง”
คนหนึ่งชี้บอกทางให้หลี่จื้อเฟิง เป็นชายชราที่นั่งอยู่ในห้องโถงนั่นเอง หลี่จื้อเฟิงถลันเข้าไปหาแล้วเอาเงินห้าเฉียนวางบนโต๊ะ “ท่านหมอ เชิญท่านไปดูอาการคุณชายบ้านข้าที”
ชายชราเห็นหลี่จื้อเฟิงก็บันดาลโทสะ “เจ้าเป็นตัวอะไร กระทั่งพญายมมาจับคนที่นี่ยังต้องเข้าแถว รีบไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่รู้จักกฎระเบียบเสียเลยจริงๆ”
พวกคนไข้หัวเราะกันคิกคัก หลี่จื้อเฟิงเอ่ยว่า “อยู่ที่ปราสาทเขาปี้อวี่ ค่อนข้างไกล”
ท่านหมอสิงเอาไม้เท้าฟาดหัวหลี่จื้อเฟิงโดยไม่บอกกล่าวแล้วตะคอกด้วยความโมโหว่า “ไม่ไป! ไม่ไป!”
ไม้เท้าฟาดใส่หลี่จื้อเฟิงหลายที แต่หลี่จื้อเฟิงกลับรวบชายเสื้อแล้วงอเข่าลงข้างเดียว ตามด้วยเข่าอีกข้างจนคุกเข่าตัวตรงแน่วอยู่บนพื้น จากนั้นค้อมตัวโขกศีรษะ หน้าผากกระแทกกับพื้นเสียงดังตึงๆ
ใช่ว่าท่านหมอสิงไม่เคยเจอคนคุกเข่าโขกศีรษะให้ แต่ไม่เคยได้ยินเสียงดังเช่นนี้จึงสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ
“ท่านหมอ คุณชายโหยวเหมี่ยวของข้ามีไข้ตัวร้อน มารดาเขาตายไปนานแล้ว บิดากลับตั้งตี๋จื่อคนใหม่ เห็นเขาล้มป่วยก็ไม่สนใจเขา ขอร้องท่านล่ะไปกับข้าสักครั้งเถอะ ปากข้าไม่รู้จักพูดดีๆ บุญคุณครั้งนี้…”
“โหยวเหมี่ยว?” ดวงตาของท่านหมอสิงเป็นประกาย
พวกคนไข้เขย่งเท้าดู ไม่รู้ว่าหลี่จื้อเฟิงพูดอะไร แค่เห็นเขาพูดพึมพำแล้วโขกศีรษะตึงๆ เสียงนั่นดังจนคนข้างๆ ยังได้ยิน
“ไปสิ ท่านหมอสิง!”
“ถ้าเกิดเป็นโรคปัจจุบันทันด่วนเล่า”
“ใช่ๆ ชีวิตคนสำคัญกว่า โขกศีรษะรุนแรงขนาดนี้ อย่าถ่วงเวลาเลย”
คนไข้หลายคนช่วยกันพูดเกลี้ยกล่อม หลี่จื้อเฟิงโขกศีรษะอีกครั้ง พอครั้งที่สามท่านหมอสิงก็นั่งไม่อยู่สุข “พอแล้วๆ เจ้าลุกขึ้นได้ ข้าจะไปสักหนแล้วกัน”
ท่านหมอสิงเดินเข้าไปหยิบล่วมยาในห้องด้านหลัง และสั่งให้ลูกศิษย์ออกไปตรวจอาการแทน หลี่จื้อเฟิงเดินนำทางอยู่ด้านหน้า ท่านหมอสิงเดินออกจากร้านยาก็ถามว่า “รถม้าเล่า ไม่มีรถไม่มีม้า เจ้าจะให้ข้าเดินไปกับเจ้าตั้งสี่สิบลี้?!”
“ข้าจะแบกท่าน” หลี่จื้อเฟิงเอ่ย
ท่านหมอสิงพูดอะไรไม่ออก หลี่จื้อเฟิงคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้น ท่านหมอสิงเพิ่งรู้ว่าหลี่จื้อเฟิงเป็นคนพูดจริงทำจริงก็หนวดกระดิกด้วยความโมโห “เจ้าหนุ่ม เจ้า…”
หลี่จื้อเฟิงไม่ขยับ ท่านหมอสิงเอ่ยว่า “ช่างเถอะ เจ้าขึ้นเขาค่อยแบก เดินไปๆ”
ทว่าหลี่จื้อเฟิงยังคงคุกเข่าข้างเดียวและหันหลังให้เช่นเดิม ท่านหมอสิงอดหัวเราะขบขันไม่ได้ “เจ้าหนุ่มมาจากไหนหรือ เหตุใดถึงได้หัวแข็งเช่นนี้”
ผู้คนล้อมวงชมดู ต่างก็รู้สึกว่าพฤติกรรมของหลี่จื้อเฟิงช่างสะดุดตาและน่าขันมาก แต่นิสัยหัวแข็งของหลี่จื้อเฟิงก็ถูกใจท่านหมอสิงพอดี ท่านหมอจึงหัวเราะฮ่าๆ แล้วเอ่ยว่า “เอาล่ะ ไปกันเถอะ”
พอท่านหมอสิงกล่าวจบก็ขึ้นหลัง หลี่จื้อเฟิงค่อยลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งตรงกลับไปที่ปราสาทเขาปี้อวี่
รถม้าของโหยวฮั่นเกอแล่นออกจากปราสาทเขาไปตามเส้นทางค้าชาบนหลังม้า หลี่จื้อเฟิงกลับแบกท่านหมอสิงวิ่งเป็นระยะสี่สิบลี้ กลับไปถึงหน้าปราสาทเขาก็วิ่งขึ้นเขารวดเดียว พอเข้าไปในปราสาทเขาก็ไม่ทักทายใครทั้งนั้น ตรงดิ่งไปที่เรือนปีกตะวันออกทันที เวลาใกล้พลบค่ำ ท่านหมอสิงผลักประตูเข้าไป แสงตะวันยามอัสดงสาดส่องลงบนพื้น
ท่านหมอสิงขี่หลังมานานขนาดนี้จึงอดปวดเมื่อยแขนขาไม่ได้ หันไปบอกหลี่จื้อเฟิงว่า “นั่นคุณชายบ้านเจ้า แล้วเจ้าเป็นใคร”
“ข้าเป็นบ่าวรับใช้ ท่านตรวจดูอาการเขาก่อนเถอะ อย่าเสียเวลาอีกเลย” หลี่จื้อเฟิงตอบ
ท่านหมอสิงเดินเข้าไป โหยวเหมี่ยวกำลังนอนหลับ ระหว่างสะลึมสะลือรู้สึกว่ามีคนจับมือตัวเองก็พลิกตัวสลัดทิ้ง แต่หลี่จื้อเฟิงยึดจับไว้ก่อน
“ทะ…ทำอะไร!” โหยวเหมี่ยวเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เมื่อหันหน้ากลับไปเห็นแสงตะวันยามอัสดงส่องกระทบใบหน้าด้านข้างอันแสนหล่อเหลาของหลี่จื้อเฟิง
“ตรวจอาการ” หลี่จื้อเฟิงเอ่ย “มาช้าแล้ว”
“อย่าขยับ นอนนิ่งๆ ข้านึกออกแล้ว เจ้าก็คือคุณชายน้อยสกุลโหยว มีชื่อเล่นว่าสุ่ยหลินเอ๋อร์สินะ”
โหยวเหมี่ยวจดจำท่านหมอสิงได้รางๆ “ท่านคือทะ…ท่านผู้เฒ่าสิง?”
ท่านหมอสิงลูบเคราแล้วยิ้มนิดๆ หลายปีก่อนเขาเคยรักษาโหยวเหมี่ยวมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้โหยวเหมี่ยวเติบใหญ่ ใบหน้าไม่คล้ายเมื่อก่อนแล้ว แต่ท่านหมอสิงยังหน้าตาเหมือนเดิม ท่านหมอสิงพยักหน้านิดๆ แล้วกล่าวต่อว่า “ล้มป่วยก็ต้องกินยา หาหมอ อาการป่วยถึงจะหายดี สหายของเจ้าลงเขาขึ้นเขา วิ่งเป็นระยะทางแปดสิบลี้ แบกปู่ขึ้นมาที่นี่ เจ้าควรจะดูแลร่างกายบ้าง อย่าทำร้ายตัวเอง ส่วนเจ้าประคองเขาลุกขึ้นมานั่ง จับไข้ตัวร้อน แค่ระบายออกมาก็หายแล้ว”
ท่านหมอสิงหยิบเข็มเงินเล่มหนึ่งมาลนไฟแล้วแทงเข้าตรงจุดหูโค่ว* บนมือ โหยวเหมี่ยวรู้สึกเหมือนเส้นเอ็นที่เชื่อมจากแขนถึงหน้าผากโดนดึงก็แผดเสียงร้องลั่น แต่หลี่จื้อเฟิงกลับกอดตัวเขาไว้แน่น
“กอดเขาไว้ อย่าให้เขาขยับตัว” ท่านหมอสิงหัวเราะพร้อมร้องสั่ง
“อื้อ” หลี่จื้อเฟิงกอดโหยวเหมี่ยว จากนั้นก้มลงจุมพิตหน้าผากและยกมือขึ้นลูบหัวเขา
โหยวเหมี่ยวถูกห่ออยู่ในผ้านวม อิงแอบกับอ้อมอกของหลี่จื้อเฟิงราวกับเด็กน้อยที่ทำอะไรไม่ได้ ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง และรู้สึกขมเฝื่อนในคอ
หลังจากฝังเข็ม โหยวเหมี่ยวก็เหงื่อออกทั้งตัว ไข้ลดลงแล้ว แต่สีหน้ายังไม่ค่อยดีเหมือนเดิม เอนพิงหลี่จื้อเฟิงด้วยท่าทีอ่อนล้า
“ต้องกินยาด้วยถึงจะหายไว เจ้าสองคนใครจะกลับไปจัดยากับข้า” ท่านหมอสิงถาม
หลี่จื้อเฟิงฝังใบหน้าลงข้างหูโหยวเหมี่ยวก่อนเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ข้าจะส่งท่านหมอกลับและจัดยามา”
“อืม” โหยวเหมี่ยวยังรู้สึกปวดหัวนิดหน่อย แต่สติแจ่มใสขึ้นมาก ไม่ได้รู้สึกอึดอัดในอกเหมือนอยากอาเจียนอีก แค่รู้สึกเจ็บเสียดนานๆ ที
มู่ฉีเอ๋อร์เอ่ยว่า “คุณชายนอนลงเถอะ พรุ่งนี้ตื่นมาก็หายแล้ว”
“ต้มโจ๊กย่อยง่ายๆ ให้เขากิน ข้าจะไปแล้ว” ท่านหมอสิงลุกขึ้นสั่งกำชับ
หลี่จื้อเฟิงพยักหน้า โหยวเหมี่ยวรีบเอ่ยว่า “วันหลัง…จะแวะไปขอบคุณท่านผู้เฒ่า”
ท่านหมอสิงตบไหล่โหยวเหมี่ยว บอกให้เขานอนลง ไม่ต้องพูดอะไรอีก จากนั้นเดินโคลงศีรษะออกจากห้องไป
* จุดหูโค่ว คือตำแหน่งตรงง่ามนิ้วโป้งกับนิ้วชี้
ยามโหย่ว** หลี่จื้อเฟิงแบกท่านหมอสิงลงจากเขา เดินไปตามถนนมืดตื๋อ แต่ดวงตาของเขากลับแวววาวเหมือนตาเหยี่ยว ท่านหมอสิงขี่หลังเขาพร้อมถามว่า “เจ้าเป็นคนที่คุณหนูเฉียวพามาจากบ้านเดิมหรือ”
หลี่จื้อเฟิงเดินไปท่ามกลางความมืดอย่างไม่รีบร้อน “ไม่ใช่ ข้าเป็นคนที่คุณชายใช้เงินซื้อมา”
“จงรักภักดีเพียงนี้หายากจริงๆ บ้านเจ้าอยู่ที่ใด”
“นอกด่าน”
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีมานี้ผู้เฒ่าสิงเคยได้ยินได้ฟังมาบ้าง อย่างไรเสียสกุลโหยวก็เป็นเศรษฐีใหญ่ในท้องถิ่น พอมีเรื่องอะไรนิดหน่อยชาวบ้านย่อมเล่าลือกันไปทั่ว เมื่อก่อนผู้เฒ่าสิงเคยรักษาอาการป่วยให้เฉียวเคอเอ๋อร์หลายครั้ง ทั้งยังเป็นคนรู้จักเก่าแก่จึงถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “คุณหนูเฉียวเป็นคนนิสัยดี ดูท่าแล้วโหยวเต๋อชวนคงยังไม่ลืมเรื่องเก่าแก่ในอดีตสินะ”
หลี่จื้อเฟิงรับคำว่าอืม แสงไฟจากอำเภอเพ่ยเสี้ยนสว่างเป็นจุดๆ เหมือนดวงดาวอยู่ไกลๆ ท่านหมอสิงกลับถึงร้านยาก็เอ่ยว่า “เจ้าพักสักครู่เถอะ ข้าจะไปจัดยา”
“อาจารย์กลับมาแล้ว!” ลูกศิษย์ในร้านยาร้องอุทาน
“ท่านผู้เฒ่าสิง!” โหยวฮั่นเกอสาวเท้าเดินออกมา พอเห็นหลี่จื้อเฟิงก็ชะงัก ผู้เฒ่าสิงกลับมาก็เดินไปล้างมือโดยไม่ยอมมองโหยวฮั่นเกอสักนิด โหยวฮั่นเกอไม่รู้ว่าทำไมหลี่จื้อเฟิงถึงมาอยู่ที่นี่จึงถามว่า “เจ้า…”
หลี่จื้อเฟิงยืนอยู่นอกธรณีประตู แต่ทำเหมือนมองไม่เห็นอีกฝ่าย โหยวฮั่นเกอเดินเข้าไปหาท่านหมอ “ท่านผู้เฒ่าสิง ข้าเป็นคนของปราสาทเขาปี้อวี่ บิดาโหยวเต๋อชวนให้ข้ามาเชิญท่านผู้เฒ่าแวะไปตรวจดูอาการป่วยของน้องชายข้าที่ปราสาทเขา”
ท่านหมอสิงแค่นหัวเราะ “คนเจ้าชู้อย่างบิดาเจ้า ในที่สุดก็นึกได้แล้วหรือว่ายังมีลูกชายที่กำลังป่วยใกล้ตายอยู่ในบ้านอีกคน”
โหยวฮั่นเกอหน้าเปลี่ยนสี ท่านหมอสิงเขียนเทียบยามอบให้ลูกศิษย์ไปจัดการ เมื่อลูกศิษย์จัดแจงห่อยาหลายห่อแล้วก็เดินออกมา “ทั้งหมดห้าเฉียน คุณชายท่านไหนจะเป็นคนจ่ายเงิน”
หลี่จื้อเฟิงล้วงเงินออกมาจากอกเสื้อ โหยวฮั่นเกอพอจะคาดเดาเรื่องราวได้ก็รีบเอ่ยว่า “ข้าจ่ายเอง”
โหยวฮั่นเกอขยับเข้าไปดึงแขนเสื้ออีกฝ่าย แต่หลี่จื้อเฟิงกลับยกมือขึ้นดีดก้อนเงินร่วงลงในครกบดยาดังเกร๊งแล้วหมุนเป็นวงกลม เสียงดังก้องมาเข้าหู หลี่จื้อเฟิงคุกเข่าลงอีกครั้ง โขกศีรษะให้ท่านหมอสิงสามที คราวนี้ท่านหมอยอมรับโดยรับคำแล้วเอ่ยว่า “ออกไปกินอะไรหน่อยค่อยกลับปราสาทเขา วิ่งไปวิ่งมาอย่างนี้ ต่อให้หลอมจากเหล็กกล้าก็ทนไม่ไหวหรอก”
หลี่จื้อเฟิงไม่ได้ปริปากพูดแม้แต่คำเดียว หมุนตัวเดินออกไปแล้ววิ่งตรงกลับปราสาทเขา
โหยวฮั่นเกอรอจนดึกดื่น ในที่สุดท่านหมอสิงก็กลับมาจนได้ แต่คิดไม่ถึงว่าท่านหมอจะแวะไปตรวจดูอาการเสร็จแล้ว ร้านยาใกล้ปิด พวกคนไข้ซุบซิบกันเรื่องสกุลโหยว ใจความส่วนใหญ่คือโหยวเต๋อชวนลำเอียงรักลูกคนโต ไม่สนใจว่าลูกคนเล็กจะเป็นหรือตาย โหยวฮั่นเกอไม่สนใจจะเอาเรื่องชาวบ้านโง่เขลาพวกนี้ เดินออกไปสั่งให้เตรียมรถและบอกให้ไล่ตามหลี่จื้อเฟิงไป ทว่าหลี่จื้อเฟิงเลี้ยวมุมถนนแล้วยังไม่ยอมออกจากเมือง แวะร้านขายของชำอยู่ครู่หนึ่งเพื่อซื้อของห่อเล็กๆ
รถม้าของโหยวฮั่นเกอจอดตรงถนนหน้าร้านค้าแล้วเอ่ยว่า “หลี่จื้อเฟิง ซื้ออะไรอีกหรือ ถ้าไม่พอที่ข้ายังมีเงิน”
หลี่จื้อเฟิงไม่ตอบ เก็บข้าวของที่ซื้อเรียบร้อยแล้วก็หมุนตัวเดินออกจากเมือง
** ยามโหย่ว คือช่วงเวลา 17.00 น. ถึง 19.00 น.
ดวงจันทราลอยสูงเด่นบนท้องนภาห่างออกไปนับพันลี้ ลำแสงละมุนละไมทาบทอลงมาบนเส้นทางค้าใบชา ภูเขาซึ่งทอดตัวยาวอยู่ไกลๆ มองดูคล้ายพญามังกรแห่งพงไพรที่กำลังหลับใหล หลี่จื้อเฟิงเดินอยู่ใต้แสงจันทร์ แต่ฝีเท้ากลับรวดเร็วพอๆ กับรถม้า
“ขึ้นรถ!” โหยวฮั่นเกอตะโกนลงมาจากรถม้า
หลี่จื้อเฟิงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ยังคงเดินต่อไป
โหยวฮั่นเกอกล่าว “ข้าจะไปส่งเจ้าเอง”
หลี่จื้อเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกในขณะที่วิ่งแล้วแผดเสียงคำรามยาว ฝีเท้าเร่งเร็วขึ้น เสียงคำรามดังสะท้อนไปในป่าเขา โหยวฮั่นเกอแตกตื่นตกใจจนชะงักค้างไปครู่หนึ่ง หลี่จื้อเฟิงวิ่งตะบึงหายไปตรงสุดปลายถนน
คืนนั้นกว่าจะกลับถึงปราสาทเขาก็ปาเข้าไปยามสี่* แล้ว ห่างจากครั้งแรกที่หลี่จื้อเฟิงลงจากเขาแปดชั่วยาม มู่ฉีเอ๋อร์เอ่ยว่า “ช่างอัศจรรย์จริงๆ ไปกลับสองรอบ ระยะทางหนึ่งร้อยหกสิบลี้ เจ้าวิ่งรวดเดียวเลยหรือ”
หลี่จื้อเฟิงทำสัญญาณบอกมู่ฉีว่าอย่าส่งเสียงดังในห้อง ยื่นห่อยาให้เขาแล้วถามว่า “คุณชายกินข้าวหรือยัง”
“กินโจ๊กเปล่าๆ ไปเล็กน้อย ตอนนี้นอนหลับไปแล้ว” มู่ฉีตอบ
หลี่จื้อเฟิงค่อยพ่นลมหายใจด้วยความโล่งอก เสื้อผ้ายังไม่ถอด เดินออกไปนอกห้องแล้วล้มตัวลงนอนทันที
เช้าตรู่วันถัดมา โหยวเหมี่ยวรู้สึกเย็นเฉียบแถวๆ คอจึงยกมือคลำดูทั้งที่ยังตาปรือด้วยความง่วง พอคลำไปมาก็เจอนิ้วมือยาวๆ ของหลี่จื้อเฟิง เมื่อโหยวเหมี่ยวลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็เห็นหลี่จื้อเฟิงกำลังมัดเชือกแดงที่ห้อยหยกพกให้เขา มันคือหยกที่ก่อนหน้านี้เขาเคยมอบให้หลี่จื้อเฟิงด้วยมือตัวเองนั่นเอง
“ไม่ตายหรอก” โหยวเหมี่ยวเอ่ยอย่างอ่อนแรง “แค่อาการป่วยเล็กๆ น้อยๆ”
หลี่จื้อเฟิงช่วยเหน็บผ้านวมให้คนป่วยแล้วออกไปต้มยานอกห้อง กลิ่นยาโชยคลุ้งไปทั่ว โหยวเหมี่ยวได้กลิ่นก็ขมวดคิ้ว ไม่นานหลี่จื้อเฟิงก็ประคองถ้วยยาเดินเข้ามา “ดื่มสิ”
โหยวเหมี่ยวจนปัญญา ชะโงกหน้าเข้าหาชามที่หลี่จื้อเฟิงกำลังถือแล้วดื่มยาจนหมดชาม หลี่จื้อเฟิงหยิบน้ำตาลให้เขาก้อนหนึ่ง โหยวเหมี่ยวค่อยยิ้มออก
ตอนอยู่ในเมืองหลวง หลี่จื้อเฟิงโดนทุบตีจนบอบช้ำภายใน โหยวเหมี่ยวให้เขาดื่มยาแล้วมักจะหยิบน้ำตาลให้เขากิน ตอนนั้นยังบอกว่า ‘กินน้ำตาลสักก้อนก็ไม่ขมแล้ว ดื่มยาจะได้หายดี’ คิดไม่ถึงว่าหลี่จื้อเฟิงยังจดจำได้
โหยวเหมี่ยวดื่มยาหมดก็ล้มตัวนอนเงียบๆ ในห้องตามเดิมก่อนเอ่ยสั่ง “มู่ฉีเอ๋อร์ เจ้าเปิดประตูที”
ประตูห้องชั้นนอกชั้นในล้วนปิดมิดชิด หลี่จื้อเฟิงไม่รอให้โหยวเหมี่ยวสั่งก็เดินเข้าไปย้ายฉากกั้นไปไว้ด้านข้าง
โหยวเหมี่ยวมองท้องฟ้าสีครามสดใสนอกบ้าน เวลานี้เขารู้สึกสงบใจขึ้นมาก เรื่องที่คิดไม่ตกก็ยังเป็นเรื่องนั้น แต่ตอนนี้ล้มป่วยเลยทำให้ไม่มีแรงหาเรื่องอีก บิดาไม่ยอมแวะมาดูเขา ไม่สนใจความเป็นตายของเขา นั่นก็แปลว่าตอนนี้ฐานะของเขาในบ้านไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว
ถ้ากลับไปเมืองหลวงอีกครั้งตอนนี้ อย่างมากคงโยนเงินให้เขาหนึ่งร้อยตำลึงแล้วรีบขับไล่ไป คงตรงกับความต้องการของนางหวังกับโหยวฮั่นเกอพอดี ต่อไปเข้าเมืองหลวงแล้วยังต้องคอยฟังคนทั้งบ้าน โหยวเหมี่ยวไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่
แต่ถ้าไม่เข้าเมืองแล้วจะไปที่ไหนได้ อยู่บ้านนานๆ ก็ไม่ใช่ความคิดที่ดี ตอนแรกโหยวเหมี่ยวตั้งใจจะอยู่บ้านจนกว่าจะไล่นางหวังออกไปสำเร็จ แต่เขาทราบดีเช่นกันว่านี่ก็เป็นแค่คำพูดที่หลุดออกจากปากด้วยความโมโหของเด็กๆ เท่านั้น ในเมื่อท่านพ่อตบแต่งกับนางแล้ว จะไล่ไปได้อย่างไร ทว่าหากอยู่ในบ้านต่อไปก็รังแต่จะหาเรื่องขุ่นเคืองใจให้ตัวเอง
* ยามสี่ คือช่วงเวลา 01.00 น. ถึง 03.00 น.
“เอาแต่พึ่งพาบิดามารดาและบรรพบุรุษ” โหยวเหมี่ยวพึมพำ “ไม่ใช่ลูกผู้ชาย”
ทันใดนั้นโหยวเหมี่ยวพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา อยากจะสะพายกระเป๋า พาหลี่จื้อเฟิงหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว ท่านพ่อก่อร่างสร้างตัวด้วยมือเปล่าได้ ทำไมเขาจะทำไม่ได้ เงินไม่กี่ตำลึง ซื้อมาขายไป เรื่องที่โหยวเต๋อชวนทำได้ ทำไมเขาจะทำไม่ได้
การค้าขายนอกด่านสร้างกำไรมหาศาล โหยวเหมี่ยวเคยเห็นด้วยตาตัวเอง มีหลี่จื้อเฟิงคอยคุ้มครองเขา พอถึงวสันตฤดูอากาศอบอุ่น การเดินทางออกนอกด่านย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็น ประเด็นคือต้องหาเงินมาทำทุนให้ได้ก่อน ถ้าอยากได้เงินก็ต้องเอ่ยปากขอจากตาแก่
โหยวเหมี่ยวคิดใคร่ครวญอยู่ในหัว เงินถึงมือแล้วจะซื้อขายอย่างไร หนังสืออนุญาตทำการค้าต้องไปทำที่ไหน…พ่อค้าเล็กๆ ไม่ต้องใช้หนังสืออนุญาต แต่อาจโดนจับได้ง่ายๆ ทางการจะหาข้ออ้างส่งเดชเพื่อริบสินค้า การเดินทางค้าขายไกลๆ ต้องผ่านด่าน ดังนั้นควรมียันต์คุ้มครองเผื่อไว้
กลับเมืองหลวงไปหาหลี่เหยียน ไหว้วานเขาให้หาคนช่วยออกหนังสืออนุญาต? ความคิดนี้น่าจะใช้การได้ บางทีอาจจะชักชวนพรรคพวกมาร่วมวงด้วย ทุกคนควักเงินทองกันคนละนิด โหยวเหมี่ยวคิดหาวิธีแก้ปัญหา และคิดว่าภายภาคหน้าจะแก้แค้นนางหวังเรื่องท่านแม่อย่างไร เขาเปลี่ยนความเศร้าเสียใจเป็นพลัง ความซึมเซาไร้ชีวิตชีวาก่อนหน้าสลายไปหมดสิ้น
พอถึงพลบค่ำ โหยวเหมี่ยวคิดออกแล้วว่าจะหลอกเอาเงินจากตาแก่อย่างไร โหยวเหมี่ยวจะบอกเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่าตนเองกลับตัวกลับใจแล้ว จะเข้าเมืองหลวงไปศึกษาเล่าเรียนต่อ และยอมรับการจัดแจงของทางบ้าน? ไม่ดี ตาแก่ไม่มีทางเชื่อเขาแน่ งั้นเอะอะโวยวายบอกให้เขาเอาสินเดิมของท่านแม่คืนมา หรือว่าร่ำร้องขอแยกบ้าน? เกรงว่าคงไม่ได้ผลเช่นกัน นางหวังคอยนั่งจ้องตาวาวอยู่ข้างๆ เช่นนี้…ตนเองไม่มีทางแบ่งเงินมาได้แน่ แต่ขอตั๋วเงินแค่ไม่กี่ร้อยตำลึงเท่านั้น เพื่อจะได้มีเงินทุนไปหมุนเวียน ต่อไปยังต้องกลัวอีกหรือว่าจะไม่มีเงิน
หรือว่าจะขโมยของตาแก่ไปจำนำ…โหยวเหมี่ยวฉุกคิดขึ้นมาได้ ความคิดนี้ไม่เลวทีเดียว ขโมยภาพวาดพู่กันโบราณที่มีราคาสักหน่อย กลัวแต่ว่าคนในอำเภอเพ่ยเสี้ยนรู้ว่าเป็นของล้ำค่าจากปราสาทเขาปี้อวี่แล้วจะไม่ยอมรับไว้ คงต้องนำไปขายที่หยางโจวหรือเมืองหลวงแทน จริงสิ…ตอนเดินทางเข้าเมืองหลวงก็หาของมีค่าติดไม้ติดมือไปด้วย
พอกลับไปถึงเมืองหลวง ขุนเขาสูงฮ่องเต้อยู่ไกล* ตาแก่คงไม่สนใจเขาอีก
โหยวเหมี่ยวนอนอยู่บนเตียงหนึ่งวัน พอครุ่นคิดเรื่องต่างๆ ออกแล้ว ความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในอกก็เจอทางระบายออกและสลายไปหมดสิ้น แต่ความไม่พอใจก็ยังคงอยู่ เวลานี้กลับกลายเป็นการหัวเราะเยาะหยันตาแก่แทน ตั้งแต่เด็กทางบ้านท่านลุงเคยพูดหลายครั้ง จนรับรู้ได้เลาๆ ว่าโหยวเต๋อชวนไม่ชอบท่านแม่ของเขา แต่ในเมื่อโหยวเหมี่ยวเป็นบุตรชายคนเดียว จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ…
เสียงหม้อยาด้านนอกเดือดดังปุดๆ จู่ๆ โหยวเหมี่ยวก็รู้สึกหิวจึงเอามือลูบท้องแล้วถามว่า “มีอะไรกินบ้าง”
“มี” หายากมากที่หลี่จื้อเฟิงยอมตอบเอง มองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “แต่ดื่มยาก่อน”
โหยวเหมี่ยวรับชามมาแล้วพูดกลั้วเสียงหัวเราะ “ข้าจัดการเอง”
หลี่จื้อเฟิงมองโหยวเหมี่ยว ส่วนโหยวเหมี่ยวรู้ดีว่าอีกฝ่ายคิดจะถามอะไรจึงชิงโพล่งขึ้นก่อนว่า “คิดตกแล้ว ไม่เอาแต่โมโหจนทำร้ายตัวเองหรอก”
* เขาสูงฮ่องเต้ไกล เป็นสำนวนที่หมายถึงพื้นที่ห่างไกล ดูแลได้ไม่ทั่วถึง
ทว่าหลี่จื้อเฟิงไม่ได้พูดอะไรต่อ ป้อนน้ำตาลให้โหยวเหมี่ยวแล้วยกชามเปล่าออกไป มู่ฉีเอ๋อร์วิ่งเข้ามาจากข้างนอก พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “คุณชาย มีคนมาจากเมืองหลวง บอกว่าเป็นสหายของท่าน”
โหยวเหมี่ยวขมวดคิ้วลุกพรวดขึ้นยืน จู่ๆ ก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะ มู่ฉีเอ๋อร์รีบเข้ามาประคองเขาเดินออกไปพลางเล่าว่า “เห็นว่าเป็นขุนนางคนหนึ่ง รีบร้อนเดินทางมา น้ำยังไม่ดื่มสักอึก”
“คนเล่า” โหยวเหมี่ยวถาม
“กำลังรออยู่ในเรือนใหญ่ขอรับ” มู่ฉีเอ๋อร์ตอบ
โหยวเหมี่ยวสวมเสื้อคลุมตัวนอก สีหน้ายังซีดขาวนิดๆ เดินเข้าไปในห้องโถงโดยไม่รอให้บ่าวรายงานก่อน โหยวเต๋อชวนนั่งอยู่ตรงตำแหน่งเจ้าบ้าน มีขุนนางฝ่ายบุ๋นคนหนึ่งนั่งอยู่ทางซ้ายมือ ข้างๆ เป็นขุนนางฝ่ายบู๊ สวมชุดเกราะหนังเต็มยศ
โหยวเหมี่ยวจำได้ว่าขุนนางฝ่ายบุ๋นคนนั้นเป็นผู้ช่วยนายอำเภอเพ่ยเสี้ยน ส่วนขุนนางฝ่ายบู๊แค่รู้สึกว่าคุ้นหน้า ราวกับเคยเจอหน้ามาก่อน แต่นึกไม่ออกว่าเป็นใคร
เสียงของโหยวเต๋อชวนฟังดูเคร่งเครียด กล่าวว่า “โหยวเหมี่ยว มาพบใต้เท้าหวง ใต้เท้าเนี่ย”
“โหยวเหมี่ยว?” ผู้ช่วยนายอำเภอยิ้มแย้ม
โหยวเหมี่ยวประสานมือคารวะผู้ช่วยนายอำเภอแล้วอดมองสำรวจขุนพลคนนั้นไม่ได้ ในที่สุดก็นึกออกแล้ว “เจ้าคือทหารรักษาเมืองคนนั้น…”
ขุนพลคนนั้นก็คือเซี่ยวเว่ยเนี่ยตันที่เคยเหนี่ยวรั้งและตรวจค้นรถม้าของโหยวเหมี่ยวตอนออกจากเมืองหลวงนั่นเอง เวลานี้เนี่ยตันผงกหัวแล้วเอ่ยว่า “ถูกต้อง ข้าน้อยเอง”
“โหยวเหมี่ยว เหตุใดจึงทำตัวเสียมารยาทเช่นนี้” โหยวเต๋อชวนสั่งสอน
ตอนโหยวเหมี่ยวเกกมะเหรกเกเรกับพรรคพวกครั้งอยู่ในเมืองหลวง ไหนเลยจะเคยเห็นขุนนางขั้นหกอยู่ในสายตา แม้ว่าโหยวเต๋อชวนจะเป็นเศรษฐีแต่ไม่มีตำแหน่งขุนนาง เวลามีขุนนางมาหาก็ต้องแสดงการคารวะ นี่ก็คือเหตุผลที่โหยวเต๋อชวนอยากส่งบุตรชายเข้าเมืองหลวงนักหนา ผู้ช่วยนายอำเภอหวงเหมือนได้ยินได้ฟังอะไรมาบ้างก็หัวเราะร่วนกล่าวว่า “ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี ตัวสูงขึ้นมาก”
โหยวเหมี่ยวหัวเราะ มองโหยวเต๋อชวนแวบหนึ่งแล้วเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ตัวที่สองทางขวามือ นัยน์ตาเหยี่ยวของเนี่ยตันกวาดมองสำรวจโหยวเหมี่ยวขึ้นลง ภายในห้องโถงเงียบกริบไม่มีใครเอ่ยวาจา โหยวเต๋อชวนหันไปพูดกับผู้ช่วยนายอำเภอหวงว่า “เจ้าลูกสุนัข* เข้าไปอยู่ในเมืองหลวงตั้งหลายปี กระทั่งกฎระเบียบแค่นี้ยังไม่รู้”
“เรื่องเล็กน้อยๆ คนหนุ่มย่อมต้องโอหังบ้าง ช่วงก่อนนี้ได้ยินว่าองค์ชายสามชื่นชอบโหยวเหมี่ยว อยากจะให้เขาเข้าวังไปเป็นสหายร่วมเรียน…” ผู้ช่วยนายอำเภอหวงตอบยิ้มๆ
“อ้อ” โหยวเต๋อชวนโคลงศีรษะพลางเอ่ยว่า “เขายังเด็กนัก อีกสักหลายๆ ปีค่อยว่ากันเถอะ”
จู่ๆ โหยวเหมี่ยวก็เปิดปากถามเนี่ยตัน “หลี่เหยียนให้เจ้ามาหรือ”
เนี่ยตันนิ่งเงียบอยู่นานกว่าจะเอ่ยพูดออกมา “เจ้าจะกลับเมืองหลวงอีกเมื่อไร”
โหยวเหมี่ยวเริ่มมีโทสะกรุ่นๆ ในอก ไม่ยอมตอบคำถาม ทำตัวไม่เกรงใจกันเช่นนี้ ถ้าอยู่ในเมืองหลวง โหยวเหมี่ยวคงด่าทอเป็นการใหญ่แล้ว แต่ขุนนางตำแหน่งสูงหนึ่งขั้นก็อยู่เหนือกว่าคนธรรมดาหนึ่งช่วงศีรษะ โหยวเต๋อชวนตำหนิว่า “ใต้เท้าเนี่ยถามเจ้า ทำไมไม่ตอบ”
“ข้า…รอวสันต์ปีหน้าค่อยว่ากันอีกที เจ้ามาถึงที่นี่ทำไม” โหยวเหมี่ยวตอบ
* คำเรียกลูกของตนเองเพื่อแสดงความถ่อมตน
เนี่ยตันพยักหน้า โหยวเต๋อชวนทำท่าจะตำหนิอีก แต่เนี่ยตันยกมือห้ามไว้ก่อน จากนั้นพูดกับโหยวเหมี่ยวว่า “เจ้าทำหีบของตกหล่นนอกด่านหลายลัง สหายของเจ้าไหว้วานคนตามหาคืนมา เจ้าลองตรวจดูว่ายังมีอะไรขาดหายอีก ตรงนี้ยังมีจดหมายอีกฉบับ”
เนี่ยตันลุกขึ้นมอบจดหมายฉบับหนึ่งให้โหยวเหมี่ยว โหยวเต๋อชวนกับผู้ช่วยนายอำเภอหวงรีบลุกตาม แต่โหยวเหมี่ยวกลับนั่งเกียจคร้านอยู่ตามเดิม รับจดหมายมา เดิมทีคิดว่าเป็นจดหมายจากหลี่เหยียน แต่พอดูลายมือกลับไม่รู้จัก หน้าซองจดหมายเขียนว่า ‘ถึงน้องโหยวเหมี่ยว’
โหยวเต๋อชวนลุกขึ้นไปส่งแขก ส่วนโหยวเหมี่ยวเดินตามอยู่ด้านหลัง เมื่อออกไปส่งแขกทั้งคู่ถึงหน้าประตูชั้นที่สอง ผู้ช่วยนายอำเภอหวงกล่าวว่า “ข้าว่า ใต้เท้าเนี่ยไม่สู้…”
“ข้าจะขี่ม้ากลับ” เนี่ยตันหันไปประสานมือคารวะโหยวเหมี่ยว ตำแหน่งขุนนางของเขาสูงกว่าผู้ช่วยนายอำเภอหวง ดังนั้นผู้ช่วยนายอำเภอหวงจึงต้องหันไปคารวะเขา ข้างนอกมีม้าผูกอยู่ตัวหนึ่ง เนี่ยตันขึ้นหลังม้าแล้วขี่ลงจากเขาไป
ผู้ช่วยนายอำเภอหวงค่อยบอกลาโหยวเต๋อชวน กล่าวถ้อยคำบอกลาตามธรรมเนียมก่อนขึ้นเกี้ยวจากไป
ทั้งสองคนเพิ่งจากไป โหยวเต๋อชวนก็หน้าดำคล้ำ แต่โหยวเหมี่ยวกลับหมุนตัววิ่งเข้าไปในห้องโถงโดยไม่เปิดโอกาสให้เขาเอ่ยวาจาด้วยซ้ำ โหยวเหมี่ยวเดินไปยืนข้างหีบ ชี้หีบสองใบตรงนั้นแล้วเอ่ยว่า “นั่นเป็นของที่ข้าตั้งใจนำกลับมาแสดงความกตัญญูกับท่าน”
โหยวเต๋อชวนหน้าเปลี่ยนสีทันที แต่ยังพูดอะไรไม่ออก โหยวเหมี่ยวเล่าต่อว่า “แต่โชคร้ายที่เจอชาวหูปล้นกลางทางจนเกือบโดนฆ่าตาย บิดาไม่รักมารดาไม่เอ็นดู เรียกสวรรค์สวรรค์ไม่ขาน เรียกดินดินไม่ตอบ…”
โหยวเต๋อชวนอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่คำพูดของโหยวเหมี่ยวก็กระตุ้นให้เกิดโทสะ ขณะที่โหยวเหมี่ยวกลับไม่มีท่าทีเกรงกลัวสักนิด กล่าวต่อว่า “…ดีที่คนแปลกหน้านามจ้าวเฉายอมโดนทุบตีแทนข้า…”
“อะไรนะ?!” โหยวเต๋อชวนทำเหมือนได้ยินเรื่องขบขัน “ใครช่วยรับการทุบตีแทนเจ้านะ”
“คนที่รู้จักกันเพียงผิวเผิน! จ้าวเฉาโดนขังรวมกับข้า ข้ากลับบ้านมาตั้งนาน บิดาข้าไม่เคยถามสักคำว่าเดินทางเป็นอย่างไร หรือคนอื่นโดนทุบตีแทนข้าได้อย่างไร” โหยวเหมี่ยวแผดเสียงตอบ
“จะ…เจ้า…” โหยวเต๋อชวนโกรธจัดจนตัวสั่นเทิ้ม จับไม้เท้าทำท่าจะฟาด แต่ทำไม่ลง
สองพ่อลูกยืนมองหน้ากันอยู่นานโดยไม่พูดอะไรสักคำ โหยวเหมี่ยวแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา “ท่านว่าข้ากลับมามือเปล่า ไม่ได้นำอะไรกลับมาบ้าน ตอนนี้ของที่นำกลับมาแสดงความกตัญญูกับท่านก็อยู่ตรงนี้แล้ว ท่านเปิดดูเองแล้วกัน”
โหยวเหมี่ยวสะบัดแขนเสื้อจากไป ส่วนโหยวเต๋อชวนยืนอยู่ในห้องโถง ถอนหายใจยืดยาว
“เมื่อครู่ผู้ช่วยนายอำเภอมาทำอะไร ยังมีทหารมาด้วยอีกคนไม่ใช่หรือ” นางหวังเดินเข้ามาในห้องโถงแล้วซักถาม
โหยวเต๋อชวนทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้แล้วนวดคลึงขมับ นางหวังเดินเข้าไปนั่งข้างๆ แล้วเอ่ยว่า “ทำไมไม่เรียกฮั่นเกอออกมาสนทนาด้วยเล่า หีบสองใบนี้…”
สภาพหีบแตกหักเหมือนผ่านการเดินทางมาอย่างสาหัสสากรรจ์ โหยวเต๋อชวนตอบว่า “สหายในเมืองหลวงของโหยวเหมี่ยวส่งมา ชุนเสี่ยว เปิดหีบให้ข้าดูสิ”
สาวใช้เดินเข้ามาเปิดหีบ นางหวังยิ้มแล้วเอ่ยว่า “สหายอะไร ยังอุตส่าห์ส่งของขวัญปีใหญ่มาให้…”
“อย่าหัวเราะขบขันไป เขาไม่ใช่คนธรรมดาสามัญจริงๆ แต่เป็นคนที่พวกเราสกุลโหยวจะประจบสอพลอไม่ได้” โหยวเต๋อชวนถลึงตาใส่นางพร้อมเอ่ยเตือนเสียงเบา
ระหว่างที่พวกเขาสนทนากัน โหยวเหมี่ยวกลับห้องไปแล้ว ตอนก้าวเข้าห้องสีหน้ายังถมึงทึง หยิบจดหมายออกมาแกะแล้วทรุดนั่งตรงระเบียง อาศัยแสงสว่างอ่าน จากนั้นก็อารมณ์ดีขึ้นมาก
นี่เป็นจดหมายจากจ้าวเฉา
‘…นับตั้งแต่แยกจากกับผู้น้อง ไม่รู้ว่ายังสบายดีหรือไม่ หลังแยกกันที่เมืองเหยียนเปียน ผู้พี่ถือวิสาสะแก้แค้นที่โดนจับกุมแทน และนำข้าวของที่สูญหายกลับคืนมา หากยังมีอะไรตกหล่นขาดหาย หวังว่าผู้น้องจะอภัยให้ด้วย…’
โหยวเหมี่ยวยิ้ม จดหมายเขียนสุภาพและสละสลวยมาก จากนั้นอ่านต่อ
‘…หวังว่าย่างเข้าช่วงวสันต์อากาศอบอุ่นแล้วจะได้พบกันอีกครั้งในเมืองหลวง ผู้พี่ จ้าวเฉา’
โหยวเหมี่ยวพับจดหมาย ในใจรู้สึกอบอุ่นไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าจ้าวเฉาที่เคยผ่านความทุกข์ยากมาด้วยกันจะมีน้ำใจไมตรีกับตนเองถึงเพียงนี้ แต่ไม่รู้ว่าคนผู้นี้มีความเป็นมาเช่นไร ตอนนั้นเห็นจ้าวเฉาสวมชุดเกราะหนัง คิดว่าคงเป็นทหารนายหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นลูกผู้ดีมีตระกูล และอาจเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ที่ยังหนุ่มแน่น
เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่เขารู้จักกับเนี่ยตันและไหว้วานเนี่ยตันช่วยส่งหีบมาให้ก็เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อครู่เหลือบมองแวบหนึ่งตอนอยู่ในห้องโถง หีบห่อเหล่านั้นคงถูกมัดติดสองข้างม้าโขยกเขยกมาตลอดทาง ลำบากเขาแล้วจริงๆ ถ้ารู้เช่นนี้คงมอบเงินให้เป็นรางวัลสักก้อนแล้ว…
ขณะที่โหยวเหมี่ยวกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น พ่อบ้านก็แวะมาหา
“นายท่านเชิญคุณชายไปกินอาหารค่ำ” พ่อบ้านหลินเอ่ย
“ไม่ไป” โหยวเหมี่ยวตอบ “อาหารค่ำส่งมาที่ห้อง ข้าจะกินคนเดียว”
พ่อบ้านหลินกล่าวต่อ “นายท่านบอกว่าหีบที่ทางเมืองหลวงส่งมา…”
“แล้วแต่เขาจะจัดการ”
พ่อบ้านหลินจากไปแล้ว ไม่นานบ่าวรับใช้ก็เอาอาหารมาส่ง เมื่อโหยวเหมี่ยวกินเสร็จ ขณะกำลังขบคิดว่าจะตอบจดหมายจ้าวเฉาอย่างไร คิดไปคิดมาก็คิดว่าพรุ่งนี้ขอเงินตาแก่แล้วกลับเมืองหลวงเลย ไปพึ่งพาหลี่เหยียน อย่างน้อยก็ดีกว่าอัดอั้นตันใจอยู่ที่บ้าน
โหยวเต๋อชวน นางหวัง และโหยวฮั่นเกอนั่งกินข้าวด้วยกันในห้องโถง พ่อบ้านกลับมารายงานว่าคุณชายจะกินอาหารในห้อง นางหวังพูดชื่นชม พอเปิดหีบในห้องก็พบว่าเป็นขนจิ้งจอก ขนหมาป่า ยังมีเขากวาง อัณฑะเสือ กระดูกเสือ โหยวเต๋อชวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “กระต่ายป่าตากแห้งที่เป็นอาหารค่ำวันนี้ เลือกมาสักสองกล่องส่งไปให้เขาด้วย จัดให้เขาเหมือนกัน”
เทียบกับตอนโหยวเหมี่ยวทำการค้าที่เมืองเหยียนเปียนแล้ว ข้าวของในหีบมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าจ้าวเฉาพาคนไปจับกุมชาวต๋าต๋าพวกนั้น ริบข้าวของมาหมด และแบ่งส่งมาให้โหยวเหมี่ยวไม่น้อย ข้าวของอัดแน่นจนเต็มสองหีบใหญ่ ล้วนเป็นสินค้าขึ้นชื่อนอกด่าน นางหวังกล่าวว่า “ท่านพี่ ท่านดูโสมคนนี่สิ ถ้าหาซื้อในอำเภอเพ่ยเสี้ยนต้องจ่ายเงินถึงสิบตำลึงเชียวนะ”
โหยวเต๋อชวนแค่นหัวเราะ “มันก็เงินของข้าไม่ใช่หรือ ใครตัดค่าใช้จ่าย…” ยังพูดไม่ทันจบประโยคก็นึกได้ว่านางหวังยังไม่รู้เรื่องที่เขามอบเงินให้โหยวเหมี่ยวจึงหุบปากแล้วเอ่ยแค่ว่า “พวกเจ้าสองแม่ลูกชอบก็หยิบเอาไปใช้ ที่เหลือส่งคืนให้เขาไป”
“นี่เป็นความกตัญญูของน้องรอง เหมันตฤดูในเจียงเป่ยไม่ค่อยหนาว ข้าเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ท่านพ่อเก็บไว้ให้เขาเถอะ” โหยวฮั่นเกอเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
ตอนพูดนางหวังมองค้อนโหยวฮั่นเกอทีหนึ่ง โหยวเต๋อชวนย่อมมองเห็นกิริยาเล็กๆ น้อยๆ นั่นชัดเจนจึงเอ่ยแค่ว่า “กินข้าวๆ พรุ่งนี้รอข้าคุยกับเจ้าลูกหัวดื้อนั่นอีกที”
วันถัดมาโหยวเหมี่ยวกำลังคิดจะไปเขียนจดหมายตอบจ้าวเฉาในห้องหนังสือ ตอนผลักประตูเปิดก็เจอกับบิดาโดยไม่ทันตั้งตัว โหยวฮั่นเกอก็อยู่ในห้องด้วยและกำลังฟังบิดาถ่ายทอดความรู้
โหยวเหมี่ยวพาหลี่จื้อเฟิงเดินเข้าไป แต่พอเห็นบิดากับโหยวฮั่นเกอก็หมุนตัวกลับทันที
“เข้ามาสิ” โหยวเต๋อชวนเอ่ย “หายป่วยแล้วหรือ”
โหยวเหมี่ยวทำหน้าขรึม หลังจากกินอาหารเช้าแล้วก็เพิ่งกินยาไป ท่านหมอสิงฝีมือดีเยี่ยม เข็มฝังไข้หาย เหลือแค่อาการไอเล็กน้อยเท่านั้น “…อีกสักครู่ข้าค่อยมาใหม่”
“ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า” โหยวเต๋อชวนวางพู่กันอย่างไม่รีบร้อน “คืนก่อนพี่ใหญ่เจ้าวิ่งออกไปกลางค่ำกลางคืน ตั้งใจลงจากเขาไปเชิญหมอให้เจ้า คิดว่าเจ้าคงไม่รู้”
“พี่ใหญ่เชิญหมอขึ้นมา ศพข้าคงเย็นชืดแล้ว” โหยวเหมี่ยวพูดเยาะ
“เจ้า…”
พูดคุยกันไม่ถึงสามประโยคโหยวเต๋อชวนก็ถูกโหยวเหมี่ยวกระตุ้นให้บันดาลโทสะแล้ว แต่โหยวฮั่นเกอกลับยิ้มแล้วบอกโหยวเต๋อชวนว่า “หลี่จื้อเฟิงเป็นคนเชิญหมอมา ดีที่มาทันเวลา”
โหยวเต๋อชวนมองสำรวจหลี่จื้อเฟิงขึ้นลง สุดท้ายเอ่ยว่า “ฮั่นเกอเล่าว่าวันนั้นเจ้าวิ่งกลับไปกลับมาสองรอบเป็นระยะหนึ่งร้อยหกสิบลี้อย่างนั้นหรือ”
หลี่จื้อเฟิงแค่รับคำแล้วไม่ได้ตอบอะไรอีก
“ลำบากเจ้าแล้ว ดูแลเจ้าเด็กนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะโดนตามใจจนเสียนิสัยแล้ว”
ตอนแรกโหยวเต๋อชวนคิดจะขับไล่หลี่จื้อเฟิงไป แต่พอได้ฟังคำอธิบายของโหยวฮั่นเกอก็รู้สึกตื้นตันกับความจงรักภักดีของเขา ไม่สนใจแล้วว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนอะไร ขอแค่ปกป้องคุ้มครองโหยวเหมี่ยวอย่างจริงใจ เขาก็ไม่ควรปฏิบัติตัวกับฝ่ายนั้นอย่างเลวทราม โหยวเต๋อชวนครุ่นคิดแล้วดึงลิ้นชักโต๊ะหนังสือ หยิบเงินออกมาวางบนโต๊ะแล้วเอ่ยว่า “นี่ให้เจ้า”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
สามารถอ่านบทอื่นๆได้ที่ >> บทที่ 1.1 | บทที่ 1.2 | บทที่ 2.1 | บทที่ 2.2 | บทที่ 3.1 | บทที่ 3.2 | บทที่ 4.1 | บทที่ 4.2 | บทที่ 5.1 | บทที่ 5.2
Comments
comments