สามารถอ่านบทก่อนหน้าได้ที่ >> บทที่ 4.2
ภาคที่สอง ภมรหลงบุปผา
บทที่ 5
หลิวโจวเป็นเมืองแห่งความอุดมสมบูรณ์มาตั้งแต่สมัยโบราณ ร้อยปีมานี้ไม่เคยเจอศึกสงคราม นับว่าเป็นเมืองแห่งข้าวปลาอาหารของทางใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนินเขานับหมื่นนับแสนในแถบเจียงเป่ยซึ่งเป็นแหล่งปลูกใบชาที่ขึ้นชื่อที่สุดของลุ่มแม่น้ำฉางเจียง
ปราสาทเขาเจียงปัวจะบอกว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ จะบอกว่าไกลก็ไม่ไกล อยู่ห่างจากอำเภอเพ่ยเสี้ยนสี่ร้อยลี้ ม้าเร็วเฆี่ยนแส้วิ่งหนึ่งวันหนึ่งคืนก็ถึง แต่โหยวเหมี่ยวนำสัมภาระมาด้วยหนึ่งคันรถ และไม่ได้รีบร้อนเดินทางจึงเดินๆ หยุดๆ หยุดพักที่อำเภอเพ่ยเสี้ยนไม่นานเพื่อแวะเข้าไปขอบคุณท่านหมอสิงก่อน แต่ท่านผู้เฒ่าออกตรวจคนป่วย โหยวเหมี่ยวจึงวางของขวัญขอบคุณทิ้งไว้แล้วออกเดินทางต่อ
เส้นทางเลี้ยวลดคดเคี้ยวมาตลอดทาง ผ่านเมืองเจียงเฉิง มุ่งหน้าสู่เมืองหยางโจว ปราสาทเขาเจียงปัวอยู่ตรงจุดตัดระหว่างเมืองซูโจว หยางโจว และหลิวโจว พื้นที่เจ็ดส่วนอยู่ในเขตเจียงหนาน อีกสามส่วนอยู่ในเขตเจียงเป่ย
เขตแดนของปราสาทเขาแห่งนี้ค่อนข้างมีปัญหายุ่งยากซับซ้อน เดิมทีเป็นพื้นที่ที่เมืองหยางโจวกับหลิวโจวแย่งชิงกัน ทางใต้มีหมู่บ้านกัวจวง ทางเหนือมีหมู่บ้านอันลู่ ชาวบ้านจากสองหมู่บ้านเคยทะเลาะเบาะแว้งกันเรื่องแย่งท่าเรือริมแม่น้ำ ขัดแย้งรุนแรงจนปรองดองกันไม่ได้ สูญเสียชาวไร่คนปลูกชาไปหลายชีวิต ผู้ใหญ่บ้านฟ้องร้องต่อนายอำเภอ นายอำเภอฟ้องร้องต่อข้าหลวงประจำเมือง ข้าหลวงสองเมืองจึงทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยเหตุนี้ สุดท้ายก็ต้องปล่อยไว้ไม่สนใจ
ปราสาทเขาเจียงปัวตั้งคร่อมระหว่างเจียงหนานกับเจียงเป่ย โดยมีแม่น้ำฉางเจียงที่เชี่ยวกรากและมีคลื่นลมรุนแรงไหลผ่าตรงกลาง
โหยวเหมี่ยวไม่เคยรู้มาก่อน เดิมคิดว่าแค่กัดฟันอยู่ไปสักพัก แต่เวลานี้เพิ่งค้นพบว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ดีอะไร เรื่องอื่นนั้นช่างเถอะ แต่มีแม่น้ำสายหนึ่งขวางกลาง ทุกวันถ้าตัวเองอยากตรวจตราปราสาทเขาสักครั้งก็ต้องวิ่งจากเจียงเป่ยลงเจียงหนาน นั่งเรือข้ามแม่น้ำอีกหน แล้วค่อยกลับเจียงหนานไปกินข้าว?!
ทำไมท่านแม่ถึงได้เลือกเก็บที่ดินไร้ประโยชน์เช่นนี้เอาไว้ โหยวเหมี่ยวกุมขมับ
โหยวเหมี่ยวค้นหีบหนังสือ หลี่จื้อเฟิงถามมาจากด้านนอกว่า “หาของกินหรือ”
“หาหนังสือมาอ่านสักเล่ม”
โหยวเหมี่ยวค้นหนังสือ ‘บันทึกเมืองหลิวโจว’ มาเทียบกับบันทึกที่บิดาเขียนไว้ พอสังเกตเห็นหลี่จื้อเฟิงเร่งความเร็วรถก็ถามว่า “เหนื่อยหรือยัง เหนื่อยก็เข้ามาพักก่อน”
“คนพัก? จะปล่อยให้ม้าวิ่งเองหรือ” หลี่จื้อเฟิงตอบมาจากด้านนอก
โหยวเหมี่ยวหัวเราะฮ่าๆ คิดไม่ถึงว่าหลี่จื้อเฟิงจะพูดเล่นเป็น “ข้าจะขับเอง”
“ไม่ได้” หลี่จื้อเฟิงตอบโดยไม่หันกลับไปมองสักแวบ “เจ้าจะพาตกหล่มเอา”
โหยวเหมี่ยวเปิดประตูรถออกมา แสงตะวันอบอุ่นในเหมันตฤดูสาดส่องเข้ามาด้านในเป็นลำ เมื่อผ่านพ้นถนนช่วงสุดท้ายของเมืองเจียงเฉิง ท้องฟ้ากระจ่างใส ดวงตะวันอบอุ่นสาดแสงลงมาทั่วทุกแห่งหนบนโลกมนุษย์ทำให้โหยวเหมี่ยวอารมณ์ดีขึ้นทันที
โหยวเหมี่ยวหยิบหนังสือออกไปนั่งตรงที่บังคับม้า ยกสองมือปิดตาหลี่จื้อเฟิงแล้วหัวเราะร่วน “มองไม่เห็นแล้ว ฮ่าๆ!!”
มุมปากของหลี่จื้อเฟิงกระตุกเล็กน้อย แต่เขายังคงบังคับรถแล่นต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนแรกโหยวเหมี่ยวคิดว่าหลี่จื้อเฟิงจะพูดทำนอง ‘อย่าเล่นเหลวไหล’ คิดไม่ถึงว่าหลี่จื้อเฟิงกลับไม่สนใจเลยสักนิด โหยวเหมี่ยวถามอย่างลังเลว่า “นี่ เจ้าไม่กลัวรถคว่ำเลยหรือ”
“ไม่กลัว” มุมปากของหลี่จื้อเฟิงหยักยิ้มนิดๆ “ข้ายังได้ยิน”
โหยวเหมี่ยวปล่อยมือ นิ้วเลื่อนมาอุดสองหูของหลี่จื้อเฟิงแทนแล้วถามว่า “อย่างนี้เล่า”
“อย่างนี้ดวงตาก็มองเห็นแล้ว”
“ชิ…!”
หลี่จื้อเฟิงหัวเราะดังฮ่าๆ แต่โหยวเหมี่ยวกลับตกตะลึง เพราะตั้งแต่รู้จักหลี่จื้อเฟิงมา นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นอีกฝ่ายหัวเราะเบิกบานขนาดนี้ ดังนั้นจึงเผลอมองตาค้าง รอยยิ้มของหลี่จื้อเฟิงงดงามมาก เมื่ออยู่ภายใต้แสงตะวันเช่นนี้ยิ่งดูน่าหลงใหลชวนมอง โหยวเหมี่ยวมองแล้วอดกลืนน้ำลายไม่ได้
หลี่จื้อเฟิงหันมามอง รอยยิ้มค่อยๆ จืดจางลง โหยวเหมี่ยวโคลงศีรษะแล้วยิ้มตามนิดๆ คิดในใจว่าคนผู้นี้รูปงามมากจริงๆ…ไม่ใช่ ที่จริงยังไม่ถึงขั้นรูปงาม เพราะตรงคิ้วมีรอยแผลเป็น ลำคอมีรอยสัก รูปร่างหน้าตาก็ไม่ได้งามสง่าอย่างพวกคุณชายลูกผู้ดีมีตระกูล ผิวพรรณค่อนข้างคล้ำและหยาบกร้าน ดวงตาสีน้ำเงินเข้ม ใบหน้าด้านข้างซูบผอม สันจมูกโด่งได้รูป ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดความรู้สึกอย่างหนึ่ง
กระทั่งรอยแผลเป็นจากดาบที่ฟันเฉือนคิ้วซ้ายยังดูดีอย่างบอกไม่ถูก
“รอยแผลเป็นตรงคิ้วเจ้าเป็นฝีมือหลี่เหยียนหรือ” โหยวเหมี่ยวถาม
“ไม่ใช่” หลี่จื้อเฟิงไม่ได้หันกลับไปดูทาง ยังคงมองสบตาโหยวเหมี่ยวพร้อมตอบเสียงเบาว่า “แผลนี้ได้มาจากตอนออกรบเมื่อก่อน แผลธนู”
หลี่จื้อเฟิงตอบแล้วโน้มตัวลงมาจุมพิตกลีบปากของโหยวเหมี่ยวเบาๆ
หัวใจของโหยวเหมี่ยวพลันเต้นรัวแรง ราวกับอะไรบางอย่างลุกไหม้ขึ้นมา และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขากับหลี่จื้อเฟิงจุมพิตกัน หลี่จื้อเฟิงเป็นของเขา อยากจุมพิตก็จุมพิต สั่งให้คนผู้นี้ทำอะไรก็ต้องทำเช่นนั้น ปกติแล้วเขามักจะเอนพิงอีกฝ่ายต่างหมอน เรียกใช้งานทำนู่นทำนี่ไม่เคยรู้สึกอะไร แต่เวลานี้กลับรู้สึกแตกต่างออกไป
หลี่จื้อเฟิงจุมพิตเขาแล้วก็หันไปตั้งใจดูทางข้างหน้าต่อ โหยวเหมี่ยวสังเกตเห็นว่าแก้มของอีกฝ่ายมีสีแดงเรื่อนิดๆ ก็ลอบยิ้ม เอนพิงแผงอกแกร่งโดยไม่ได้พูดอะไร หลี่จื้อเฟิงละมือข้างหนึ่งมาโอบกอดเขา ส่วนมืออีกข้างคอยบังคับรถม้า แม้ว่ายังไม่ถึงสิ้นปี แต่แสงตะวันที่สาดส่องลงมาในเหมันตฤดูก็ทำให้อารมณ์ดีมาก สายลมพัดไม่แรงนัก โหยวเหมี่ยวจึงนั่งตากแดดพลิกหนังสืออ่านอย่างเกียจคร้าน
เดิมคำนวณว่าคงถึงปราสาทเขาเจียงปัวตอนพลบค่ำวันนี้ แต่หลังจากขับเลี้ยวอ้อมวกไปมาจนพ้นจากเส้นทางหลวงก็เริ่มหลงทาง โหยวเหมี่ยวยืนเทียบแผนที่ที่เขียนบนแผ่นหนังอยู่ตรงทางแยก พูดพึมพำว่า “ไม่ถูก เมื่อครู่นี้เราเห็นป้ายหินบอกเขตเมืองหยางโยวจริงๆ”
หลี่จื้อเฟิงก้มหน้าลงมองท่ามกลางลำแสงสุดท้ายของอาทิตย์อัสดง
“เลียบชานเมืองลงใต้…”
ท้องฟ้าเริ่มมืด ฝูงนกกาแผดเสียงร้อง ท้องฟ้าในช่วงเหมันต์ค่อนข้างมืดเร็ว อีกทั้งที่นี่ยังเป็นสถานที่รกร้างเปล่าเปลี่ยว ข้างทางไม่มีบ้านเรือนสักหลัง มีเพียงฟางข้าวกองโตที่วางเรียงบนพื้น
โหยวเหมี่ยวกินข้าวตั้งแต่ตอนอยู่ในเมืองเจียงเฉิง และพกเสบียงกรังมากินในระหว่างทางด้วย แต่กินหมดเกลี้ยงไปนานแล้ว เวลานี้จึงเริ่มรู้สึกหิว พอตกดึกอากาศเย็นลง แต่จู่ๆ รถม้าที่แล่นมาด้วยดีตลอดก็เอียงพลิกคว่ำ หลี่จื้อเฟิงรีบตะโกนว่า “ระวัง!”
ข้าวของในรถเอียงเทไปทางขวา หลี่จื้อเฟิงตะโกนอยู่ด้านนอกว่า “หยุด…!”
ล้อรถบิดจมลงไปในหล่มโคลน รถเอียงล้มคว่ำข้างทาง โหยวเหมี่ยวเดินซวนเซลงจากรถ หลี่จื้อเฟิงจนปัญญา ขณะกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง โหยวเหมี่ยวกลับเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรๆ”
โหยวเหมี่ยวตะโกนด้วยความวิตกกังวลว่า “มีใครอยู่บ้าง”
ป่าดงพงไพรรอบตัวเงียบสงัด ราวกับมีเสือกำลังจับจ้องดูพวกเขา ได้ยินเสียงหอนของหมาป่าดังแว่วอยู่ไกลๆ ฝูงนกกาส่งเสียงร้องดัง ก่อนกระพือปีกบินหนีแตกฮือกันไปหมด
โหยวเหมี่ยวเห็นดวงตาสีเขียวเรืองๆ ของสัตว์ป่าหลายคู่วอบแวบมาอยู่ในป่า ก็อดขนลุกชันไม่ได้ “นะ…นะ…นั่นอะไร ใช่หมาป่าหรือไม่”
โหยวเหมี่ยวพูดพลางขยับตัวเข้าไปหลบหลังอีกคน หลี่จื้อเฟิงกล่าวว่า “ไม่ต้องกลัว”
“ถะ…ถ้ารู้แต่แรกคงเอาธนูกับลูกศรของข้ามาด้วยแล้ว…”
“เอามาแล้ว อยู่ในหีบ”
หลี่จื้อเฟิงหมุนตัวปีนขึ้นรถ รอบตัวมืดมิด ท้องฟ้ามองไม่เห็นดวงจันทร์ โหยวเหมี่ยวที่ยืนอยู่ข้างทางมืดๆ คลำหยิบหินไฟออกมาเคาะกันเพื่อให้เกิดสะเก็ดไฟ
หลี่จื้อเฟิงสะพายคันธนู หิ้วกระบอกใส่ลูกศรลงมาพูดว่า “เจ้ากลับขึ้นไปบนรถก่อน”
แม้ว่าโหยวเหมี่ยวทั้งหนาวทั้งหิว แต่ก็ยอมเข้าไปนั่งอย่างว่าง่าย หลี่จื้อเฟิงกำลังจะปิดประตูรถ แต่โหยวเหมี่ยวชิงโพล่งก่อนว่า “อย่า อย่าปิด”
โหยวเหมี่ยวยกกระถางไฟขึ้นมาตั้งไว้บนแท่นเรียบๆ แล้วขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของหลี่จื้อเฟิง เพื่อให้อีกฝ่ายกอดตัวเองไว้ หลี่จื้อเฟิงกวาดตามองไปไกลๆ แวบหนึ่งแล้วคลี่พรมขนสัตว์คลุมร่างโหยวเหมี่ยว
“ไม่ต้องกลัว” หลี่จื้อเฟิงพูดเรียบๆ ไม่บ่งบอกอารมณ์ แต่หนักแน่นชวนให้รู้สึกว่าพึ่งพาได้ “ถึงมีหมาป่าก็ไม่กล้ามาหรอก”
“เจ้าเคยเจอหมาป่าหรือ”
“นอกด่านมีเยอะ…หมาป่าในจงหยวนเป็นหมาป่าภูเขาที่อยู่กันเป็นรัง หมาป่าทะเลทรายนอกด่านจะอยู่กันเป็นฝูงใหญ่ ดุร้ายกว่าที่นี่มาก”
ขณะกำลังพูดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียง ‘บรู๊ววว’ ดังมาแต่ไกล คราวนี้โหยวเหมี่ยวได้ยินชัดถนัดหู
“เจอหมาป่าทะเลทรายจะไล่ไปอย่างไร จุดไฟใช้ได้ผลหรือไม่” โหยวเหมี่ยวกระซิบถาม
หลี่จื้อเฟิงลูบหัวโหยวเหมี่ยวอย่างใจลอย “เจอในทะเลทราย ตอนนั้นข้าไม่ได้จุดไฟและไม่มีธนูกับลูกศร มีแค่ดาบโค้งเล่มเดียว หมาป่าทะเลทรายมียี่สิบกว่าตัวรวมกันเป็นฝูง”
โหยวเหมี่ยวได้ยินดังนั้นก็แตกตื่น เสียงร้อง ‘บรู๊ววว…’ ดังแทรกขึ้นมาอีกครั้ง ภายในค่ำคืนอันเงียบสงัดเช่นนี้ยิ่งได้ยินชัดว่าหมาป่าเหล่านั้นกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“แล้วเจ้าทำอย่างไร”
“ข้าก็…”
ระหว่างพูด โหยวเหมี่ยวรู้สึกได้ว่าหลี่จื้อเฟิงนิ่งเงียบไปชั่วขณะ แผงอกกระเพื่อมขึ้นลง ราวกับกำลังรวบรวมลมหายใจ จากนั้น…
“โฮกกก…” หลี่จื้อเฟิงส่งเสียงคำรามเหมือนสัตว์ป่าออกมาจากลำคอ ตามด้วยเสียงหอนที่ดังก้องกังวานยิ่งกว่าหมาป่าพวกนั้น สะท้านกึกก้องจนแก้วหูโหยวเหมี่ยวสั่น เสียงดังกล่าวเปี่ยมล้นด้วยพลัง ราวกับหมาป่าเดียวดายออกมาหอนท่ามกลางแสงจันทร์
สายลมด้านนอกพัดผ่านยอดหญ้าดังซ่าๆ หมาป่าไม่กล้าหอนอีก ราวกับรับรู้ได้ถึงอันตรายจากเสียงคำรามของหลี่จื้อเฟิง
ดวงตาสีเขียวเรืองๆ ของหมาป่าหายไปแล้ว ลมพัดโชยมาในความมืด ทุกอย่างเงียบสงัดลงทันที
“ร้องแล้วอย่างไรต่อ” โหยวเหมี่ยวถาม
“จ่าฝูงหมาป่าออกมาสู้กับข้า”
หลี่จื้อเฟิงกอดโหยวเหมี่ยวด้วยมือซ้าย ส่วนมือขวาหมุนลูกศรไม้เล่น ศรยาวหมุนกลับไปกลับมาระหว่างปลายนิ้ว หัวลูกศรส่องประกายแวววาวอยู่ในความมืด
“หลังจากนั้นเล่า”
“ย่อมต้องโดนข้าฆ่าตาย แต่ข้าก็ถูกมันกัดหลายแห่ง นอนแผ่หลาอยู่กลางทะเลทรายคนเดียว”
โหยวเหมี่ยวคิดภาพหลี่จื้อเฟิงที่มีเลือดท่วมตัว นอนอยู่ข้างซากราชาหมาป่ากลางทะเลทรายแล้วเอ่ยว่า “ฝูงหมาป่าไม่ไล่ตามหรือ”
“เปล่า” หลี่จื้อเฟิงตอบเรียบๆ
“เจ้านอนทำอะไรตรงนั้น” โหยวเหมี่ยวถามต่อ
“มองดวงจันทร์” หลี่จื้อเฟิงลดเสียงลงตอบ
ทะเลทราย จันทร์สกาว ฝูงหมาป่า…และหลี่จื้อเฟิงที่นอนอยู่กลางทะเลทรายซึ่งอาบย้อมด้วยลำแสงสีเงินยวง
ลมหิมะเย็นยะเยือกพัดพายผ่าน ขลุ่ยขับขานเพลงเดินทัพลำเค็ญกาย
ทหารสามแสนบุกฝ่าทะเลทราย ย้อนมองจันทร์ฉายโฉมทางบูรพา*
โหยวเหมี่ยวคิดภาพความอ้างว้างเดียวดายอยู่ในอ้อมกอดของหลี่จื้อเฟิงจนหลับใหลไปในที่สุด ยามราตรีอันแสนเงียบสงัด คล้ายได้ยินเสียงคนและสุนัขเห่าหอนดังแว่วมาจากสุดปลายถนนที่ไม่คุ้นเคย
ใบหูของหลี่จื้อเฟิงกระดิกเล็กน้อย ลูกศรที่หมุนเล่นอยู่ในมือพลันหยุดนิ่ง คลายวงแขนที่โอบกอดโหยวเหมี่ยวแล้วจัดให้เอนพิงร่างตนเอง จากนั้นคว้าคันธนูที่วางอยู่ข้างกายทั้งคู่ ทาบลูกศรเหนี่ยวสายเล็งตรงไปยังถนนอันมืดมิด
“คงไม่ได้เจอหมาป่ากระมัง…”
“เดินทั้งคืนก็ไม่แน่ว่าจะถึง…”
หลี่จื้อเฟิงหรี่ตาลงนิดๆ เวลานี้กลุ่มเมฆดำครึ้มสลายตัว จันทร์เพ็ญกลมโตแขวนลอยอยู่บนท้องนภา รอบข้างสว่างขึ้นเล็กน้อย
โหยวเหมี่ยวตื่นแล้ว พอลืมตาเห็นหลี่จื้อเฟิงกำลังทำท่าจะเหนี่ยวยิงธนูก็รีบหันไปมองเส้นทางที่ผ่านมา สุนัขตัวหนึ่งเห่าโฮ่งๆ อย่างดุร้าย ชาวบ้านที่ลากจูงมันเอ่ยห้าม
“คุณชาย!”
“คุณชายโหยว!”
* มาจากบทประพันธ์ ‘ยาตราทัพสู่ทิศอุดร’ ของหลี่อี้ กวีสมัยราชวงศ์ถัง
“หาเจอแล้ว…”
หลี่จื้อเฟิงวางธนูลง โหยวเหมี่ยวตื่นเต็มตาแล้ว รู้ได้ทันทีว่าคนพวกนี้มารับตนเอง
ชาวบ้านล้อมวงเข้ามาซักถามเป็นการใหญ่ ที่แท้ที่นี่ก็อยู่ห่างจากปราสาทเขาเจียงปัวไม่ถึงห้าลี้ โหยวเหมี่ยวทนทรมานมาครึ่งค่อนคืนจึงรู้สึกเหนื่อยล้ามาก คนเช่าที่พวกนั้นช่วยกันดันรถม้าขึ้นจากหล่ม คนหนึ่งเดินนำทางอยู่ข้างหน้า อาศัยแสงจันทร์กระจ่างนำทางทั้งคู่เข้าไปในปราสาทเขา
คืนนั้นโหยวเหมี่ยวผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน เช้าวันถัดมาพอตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงเก่าทรุดโทรม ห่มผ้านวมที่นำติดตัวมาจากบ้าน และรู้สึกคันคะเยอไปทั้งตัว หลังจากเกาไม่กี่ทีก็ลุกขึ้นมานั่งหาว
หลี่จื้อเฟิงลุกขึ้นมาจากพื้นในสภาพที่ผมสยายยุ่งเหยิง ทำให้โหยวเหมี่ยวสะดุ้งตกใจ
“ที่นี่ที่ไหน” โหยวเหมี่ยวถาม
“ปราสาทเขาเจียงปัว” หลี่จื้อเฟิงตอบ ระหว่างพูดก็รวบผมแล้วลุกออกไปตักน้ำให้โหยวเหมี่ยวล้างหน้า
โหยวเหมี่ยวเอาผ้านวมห่อตัวนั่งอยู่บนเตียง กวาดตามองรอบกาย จำได้รางๆ ว่าเมื่อคืนเข้ามาได้อย่างไร…กลางดึกง่วงงุนจนสติเลอะเลือนจึงนั่งรถม้าเข้ามาในปราสาทเขาอย่างสะลึมสะลือ หลี่จื้อเฟิงขับรถม้าอยู่ด้านหน้า ส่วนเขานอนหลับอยู่ในรถ พอถึงจุดหมายปลายทาง พวกคนเช่าที่ก็พาพวกเขาเข้ามาข้างในโดยไม่ได้พูดอธิบายอะไรมาก หลี่จื้อเฟิงขึ้นรถมาบอกอะไรสักอย่าง แต่โหยวเหมี่ยวจำไม่ได้
“เมื่อคืนเจ้าพูดอะไรกับข้า”
เสียงน้ำดังมาจากข้างนอก หลี่จื้อเฟิงตอบว่า “ข้าบอกว่าข้าจะเก็บกวาดห้องปีกข้างเพื่อใช้นอนพักชั่วคราวก่อน วันนี้ค่อยทำความสะอาดเรือนใหญ่”
โหยวเหมี่ยวพยักหน้า มองผ่านหน้าต่างออกไปเห็นหลี่จื้อเฟิงกำลังเทน้ำจากถังไม้ลงในอ่างทองแดงแล้วยกอ่างมาตั้งบนเตาถ่าน
“ข้าจัดการเอง” โหยวเหมี่ยวเอ่ย เขาทราบดีว่าเวลานี้จะรอคนมาปรนนิบัติไม่ได้แล้ว หลายเรื่องคงต้องลงมือจัดการเอง หนึ่งเพราะไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่ สองยังจ้างคนมาทำงานให้ไม่ได้ มีแค่หลี่จื้อเฟิงคนเดียวที่ดีกับตัวเองจริงๆ เหล็กดีต้องเอามาตีดาบ จะปล่อยให้อีกฝ่ายทำทุกอย่างคนเดียวหมดไม่ได้ มิฉะนั้นเหนื่อยล้าล้มพับไปจะไม่คุ้ม
“เจ้าพักเถอะ” หลี่จื้อเฟิงเอ่ย
โหยวเหมี่ยวลุกขึ้นมาสวมเสื้อผ้าเองแล้วบอกว่า “ข้าคิดว่าในเมื่อมาแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างคงต้องเริ่มกันใหม่” ระหว่างพูดก็ผลักหน้าต่างเปิด ดวงตะวันด้านนอกสาดแสงลงมาบนทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตา อากาศสดชื่นแจ่มใสมาก
เมื่อโหยวเหมี่ยวสูดได้กลิ่นทุ่งกว้างก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นโข
“ข้างนอกปลูกอะไร” แต่ไหนแต่ไรมาโหยวเหมี่ยวไม่ค่อยสนใจเรื่องสัพเพเหระ เขาพาดตัวกับขอบหน้าต่างมองออกไปข้างนอก รู้สึกว่าที่ดินแห่งนี้เป็นของเขา บ้านก็ของเขา ไก่เป็ดปลา ลำธาร ขุนเขา ป่าไม้…ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นของเขา
“ไม่ทราบ” หลี่จื้อเฟิงตอบ
เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าเดินเข้ามาข้างกายโหยวเหมี่ยวแล้วเช็ดหน้าเช็ดหูให้ หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว โหยวเหมี่ยวก็ลงมาสวมรองเท้า “วันนี้ออกไปดูข้างนอกกันเถอะ”
“อื้ม”
“อาหารเช้าจะกินอย่างไร” โหยวเหมี่ยวถามต่อ
ตอนโหยวเหมี่ยวถามเรื่องนี้ก็นึกปัญหาใหญ่ขึ้นมาได้ ที่นี่ไม่เหมือนปราสาทเขาปี้อวี่ ไม่มีคนครัว ไม่มีบ่าวรับใช้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องลงมือทำเอง ดีที่ก่อนออกเดินทางจากเมืองเจียงเฉิงได้แวะซื้อของกินตุนไว้บ้าง เติมน้ำในบะหมี่ผัดสักนิดแล้วอุ่นให้ร้อนก็แก้ปัญหาเรื่องกินได้แล้ว
“เมียคนเช่าที่เอาอาหารเช้ามาให้แล้ว”
โหยวเหมี่ยวออกจากห้องอย่างร่าเริง แต่พอก้าวออกจากห้องปีกข้างก็ตกตะลึงตาค้าง
ดวงตะวันยังคงสว่างสดใส แต่ตัวบ้านเก่าทรุดโทรม ต้นหญ้าขึ้นรกรุงรัง ตะไคร่น้ำเกาะมุมผนังเป็นแนวยาว กระเบื้องปูหลังคาแตกหักเสียหาย ต้นหญ้างอกแทรกขึ้นมาตามร่องพื้นหิน ผนังฉากกั้นปกคลุมไปด้วยต้นตีนตุ๊กแก กว้านที่ใช้ตักน้ำจากบ่อก็ผุพังขาดเอียงกระเท่เร่
เมื่อคืนหลี่จื้อเฟิงเป็นคนอุ้มเขาเข้าบ้าน โหยวเหมี่ยวจึงไม่ได้สังเกตสังกาอะไร วันนี้พอมาดูตอนกลางวันก็พบว่าแตกต่างจากตอนกลางคืนลิบลับ
“น่าสนใจ” โหยวเหมี่ยวหันไปบอกหลี่จื้อเฟิง
เขาพาหลี่จื้อเฟิงเดินทะลุระเบียงทางเดินตรงไปที่เรือนด้านหน้า กระเบื้องปูหลังคาระเบียงแตกหักไปกว่าครึ่ง กำแพงที่ล้อมด้านหลังตัวบ้านถล่มหมดแล้ว เมื่อทอดสายตามองไปก็เห็นท้องฟ้ากว้างกระจ่างสดใส
บ้านเก่าทรุดโทรมมาก…โหยวเหมี่ยวเห็นแล้วหัวเราะไม่ออกร่ำไห้ไม่ได้ แต่ไม่รู้ทำไมภาพที่เห็นกลับชวนให้รู้สึกว่าช่างสุขสงบดุจดังเมืองลับแล และอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ ตอนนั้นท่านแม่ถึงได้ชื่นชอบปราสาทเขาเจียงปัวและซื้อที่แห่งนี้เอาไว้
ไม่มีภูเขาบดบังทำให้กวาดตามองเห็นกว้างทั่วขอบเขต ท้องฟ้ามีเมฆขาวลอยประปราย ขอเพียงซ่อมแซมให้ดีๆ ทุ่มเทแรงกายแรงใจสักนิด วันหน้าสถานที่แห่งนี้ต้องสวยงามขึ้นมากแน่นอน
โหยวเหมี่ยวหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ข้าเพิ่งเคยอยู่บ้านเช่นนี้เป็นครั้งแรก”
หลี่จื้อเฟิงพยักหน้า โหยวเหมี่ยวเดินออกไปที่เรือนด้านหน้าแล้วชักหัวเราะไม่ออก
ที่นี่ใช่ปราสาทเขาที่ไหนกัน! นี่มันศาลร้างชัดๆ
ประตูหน้าต่างโต๊ะเก้าอี้ผุพังทรุดโทรมหมดแล้ว ไม่เหลือสภาพดีสักชิ้น ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยหยากไย่ สตรีหลายนางที่นั่งอยู่ใต้เฉลียงกำลังสนทนากันเบาๆ แต่พอเห็นโหยวเหมี่ยวกับหลี่จื้อเฟิงเดินมาก็รีบหลบทันที
“เดี๋ยว! จะไปไหน” โหยวเหมี่ยวโพล่ง
สตรีพวกนั้นสวมเสื้อผ้าสกปรกมอมแมม รีบร้อนหลบไปทางหลังเรือน โหยวเหมี่ยวคิดว่าพวกนางคงไม่ค่อยได้เจอคนเลยหวาดกลัวคนแปลกหน้า จึงไม่ได้พูดอะไรอีก เขาก้าวเข้าไปในเรือนใหญ่ ข้างในไม่มีที่ว่างให้วางเท้าเลย ด้านหน้าผนังมืดๆ มีบะหมี่ที่ต้มเสร็จแล้วตั้งอยู่หม้อหนึ่ง ชามแตกๆ สองใบ และผักดองอีกหนึ่งจาน
“…”
“เอาชามมาด้วยหรือไม่” โหยวเหมี่ยวถาม
“ไม่” หลี่จื้อเฟิงหยิบตะเกียบบนชั้นแล้วเดินออกไปข้างนอก ในบ่อน้ำเต็มไปด้วยใบไม้ร่วงกับตะไคร่น้ำ เสียงบุรุษคนหนึ่งดังมาจากข้างนอก “ตรงนี้มีน้ำ”
หลี่จื้อเฟิงเอาน้ำครึ่งถังของคนเช่าที่มาล้างตะเกียบจนสะอาด คนเช่าที่ที่อยู่ข้างนอกถามอีกว่า “คุณชายตื่นหรือยัง”
“ไปรอกันตรงหน้าประตูรอง กินเสร็จแล้วจะไปหาพวกเจ้า” หลี่จื้อเฟิงตอบ
พวกคนเช่าที่ถอยออกไป โหยวเหมี่ยวได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม ตอนหลี่จื้อเฟิงพูดเช่นนั้นให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพ่อบ้านไม่น้อย ครู่ต่อมาโหยวเหมี่ยวก็กินอาหารเช้าหมด แม้ว่าอาหารจะเรียบง่ายไปนิด บะหมี่ใส่แค่เกลือนิดเดียว แต่โหยวเหมี่ยวหิวมาทั้งคืนจึงกินอย่างตะกรุมตะกรามไปครึ่งหม้อ เขารู้สึกว่าบะหมี่นุ่มลื่นหอมฉุย ไช้เท้าดองก็เปรี้ยวกรอบกำลังดี อร่อยมาก
ปกติตอนอยู่บ้าน โหยวเหมี่ยวไม่มีทางชายตาแลอาหารเช่นนี้ด้วยซ้ำ แต่ปราสาทเขาเจียงปัวดูยากจนข้นแค้น ต้มบะหมี่สักหม้อแม้แต่ไข่ไก่ยังไม่มีใส่ โหยวเหมี่ยวไม่ทราบว่าชาวบ้านยากจนทั่วไป กระทั่งจะกินข้าวดีๆ สักมื้อยังเป็นความฝัน ได้แต่กินหมั่นโถวแกล้มผักดองเล็กน้อยประทังชีวิตไปมื้อหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นแค่ยกบะหมี่ที่ทำจากแป้งขาวมาให้เช่นนี้ก็เรียกว่ามีน้ำใจมากโขแล้ว
โหยวเหมี่ยวกินเสร็จก็ผลักชามให้หลี่จื้อเฟิงแล้วบอกว่า “กินสิ กินอิ่มแล้วจะได้เริ่มทำงาน” หลี่จื้อเฟิงกินที่เหลือจนหมด โหยวเหมี่ยวกล่าวต่อว่า “คนที่ข้าพอจะพึ่งได้ก็เหลือแค่เจ้าเท่านั้น จะทำอะไรก็ตั้งใจหน่อย”
หลี่จื้อเฟิงพยักหน้า โหยวเหมี่ยวรู้ดีว่าหลี่จื้อเฟิงย่อมยึดถือเขาเป็นใหญ่อยู่แล้ว พูดไปก็เปลืองน้ำลายเปล่าๆ ที่จริงแล้วเป็นเพราะว่าเขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่านั้น พอมาถึงก็ต้องเจอกับบ้านเก่าทรุดโทรมขนาดนี้ เขาจึงไม่กล้าออกไป เพราะกลัวข้างนอกจะทรุดโทรมยิ่งกว่านี้
แต่ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่อมาแล้วก็ต้องจัดการให้เรียบร้อย
โหยวเหมี่ยวทราบดีเช่นกันว่าถ้าไม่ใช่เพราะที่นี่เก่าทรุดโทรมผุพัง ปราสาทเขาเจียงปัวคงตกไม่ถึงมือเขา คนเช่าที่สี่ครอบครัวกับที่ดินเก้าสิบฉิ่ง ตัดไร่นาทางตะวันออกของปราสาทเขาออก ที่เหลือล้วนเป็นพื้นที่รกร้าง ไม่มีใครบุกเบิกถางไร่ ชาวนาแต่ละครอบครัวใช้ที่ดินแค่ห้าสิบหมู่เท่านั้น…เพราะมากกว่านั้นพวกเขาก็เพาะปลูกไม่ไหว
งานเร่งด่วนตอนนี้ก็คือบุกเบิกพื้นที่รกร้างที่เหลือ และปล่อยให้คนมาเพาะปลูกทำไร่ไถนา เก็บเกี่ยวผลผลิต
แน่นอนว่าถ้าอยากเพาะปลูกก็ต้องบุกเบิกถางไร่ก่อน ถึงจะบอกว่ามีที่ดินเก้าพันหมู่ แต่ส่วนหนึ่งเป็นเทือกเขา เมื่อตัดทิ้งก็เหลือที่ดินปลูกข้าวนาน้ำได้แค่หกเจ็ดพันหมู่เท่านั้น
หกพันหมู่…จากวสันต์ถึงสารทปลูกข้าวนาน้ำหนึ่งฤดู ที่ดินหนึ่งหมู่ได้ผลผลิตหกร้อยชั่ง ตัดส่วนที่ปันไว้กินในครอบครัว จ่ายค่าเช่าที่ดิน โหยวเหมี่ยวก็ได้เงินจากแต่ละหมู่นิดหน่อย ถ้าปล่อยเช่าที่ดินหมดทั้งหกพันหมู่ แต่ละปีย่อมได้เงินหลายพันตำลึง
แน่นอนว่านี่คือความคิดที่เป็นอุดมคติ ความจริงแล้วโหยวเหมี่ยวไม่มีคน ที่ดินก็จำเป็นต้องบุกเบิกก่อน ทั้งยังต้องจ่ายภาษีให้ราชสำนัก ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว สี่ครอบครัว ครอบครัวละห้าสิบหมู่ หนึ่งปีเก็บเงินได้สักร้อยตำลึงก็ขอบคุณฟ้าดินแล้ว สิ่งที่ยุ่งยากที่สุดก็คือไม่มีน้ำ
ข้าวนาน้ำ จะปลูกก็ต้องมีน้ำ ทว่าน้ำเป็นปัญหาใหญ่ ที่ดินที่มีน้ำสามารถปลูกข้าวได้สามฤดู แต่ถ้าเป็นที่ดินแห้งแล้งขาดน้ำจะปลูกได้แค่หนึ่งฤดูเท่านั้น สองฤดูยังลำบากยากเย็น ชาวนาต้องลำบากตักน้ำจากบ่อไปใช้ แรงงานคนไม่พอ ที่ดินที่เช่าย่อมน้อยไปด้วย ทั้งยังต้องรอดูฟ้าฝนอีก ถ้าฝนตกหลายรอบก็ปลูกมากไม่ได้ มิฉะนั้นต้นกล้าอาจเน่าหมด
“ลองบอกมาสิว่าชื่ออะไรกันบ้าง” โหยวเหมี่ยวหยิบบัญชีออกมาก็ทรุดนั่งข้างๆ สิงโตหิน โดยไม่วางท่าเป็นคุณชายให้เสียเวลา พวกคนเช่าที่รออยู่หน้าประตูรองมานาน พอเห็นโหยวเหมี่ยวออกมาก็รีบค้อมกายคารวะ
“เรียนคุณชาย” คนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมา “ครอบครัวข้าน้อยแซ่หลี่ ชื่อหลี่จวง”
โหยวเหมี่ยวพยักหน้าแล้วมองสำรวจทั้งสี่คน คิดว่าคงเป็นหัวหน้าครอบครัวคนเช่าที่ คนที่ชื่อหลี่จวงดูท่าทางน่าจะอายุห้าสิบปีเศษ ข้างๆ เป็นตาแก่หลังค่อมคนหนึ่ง อีกด้านเป็นคนหนุ่มที่ตัวค่อนข้างสูง ส่วนคนสุดท้ายเป็นคนผอม
แก่แล้วก็ยังเป็นคนเช่าที่?
หลี่จวงบอกชื่อแซ่ให้โหยวเหมี่ยวทราบตามลำดับ ตาแก่ชื่อลุงเหลียง คนหนุ่มชื่อจางเอ้อร์ คนผอมชื่อจูถัง
“ลุงเหลียงยังทำนาหรือ” โหยวเหมี่ยวถาม
“ได้ผลผลิตไม่เท่าปีก่อนๆ” ลุงเหลียงเลิกคิ้วพูด “ไม่รู้ว่าจะทำได้อีกกี่ปี”
คนที่เหลือมองสบตากัน แต่ไม่มีใครส่งเสียงพูด โหยวเหมี่ยวตกตะลึงเล็กน้อยก่อนจะทำความเข้าใจ เมื่อก่อนปราสาทเขาปี้อวี่ส่งคนมาเก็บค่าเช่า มาวันนี้โหยวเหมี่ยวมาด้วยตัวเอง และรับดูแลปราสาทเขาเจียงปัวต่อ คนเช่าที่เหล่านี้ย่อมต้องมีความเห็นแก่ตัวกันอยู่บ้าง จึงมาขอคำสัญญาว่าจะไม่ขึ้นค่าเช่า ปีหน้าจะได้ไม่ต้องใช้ชีวิตลำบากมากนัก
“ไม่ขึ้นค่าเช่า” โหยวเหมี่ยวขบคิดเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนเดินทางมาแล้ว “แต่ข้ามีเงื่อนไข”
หลี่จวงเอ่ยแทรกว่า “คุณชาย พวกข้าน้อยตั้งใจมาบอกลาคุณชาย”
โหยวเหมี่ยวตกตะลึงอีกรอบ หลี่จื้อเฟิงกินข้าวเช้าเสร็จก็เดินออกมายืนด้านหลังโหยวเหมี่ยว
พอโหยวเหมี่ยวตั้งสติได้แล้วก็ถามว่า “อะไรนะ บอกลา?”
คนที่ชื่อหลี่จวงดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของกลุ่ม และคงปรึกษาหารือเรื่องนี้มาก่อนแล้ว เขาบอกว่า “อยู่ต่อไม่ไหวแล้ว คุณชาย ข้าน้อยอยากพาลูกเมียไปหางานทำที่หยางโจว”
“คุณชาย ข้าก็ต้องไปเหมือนกัน” คนหนุ่มที่ชื่อจางเอ้อร์กล่าวต่อ “พ่อแม่ข้าตายหมดแล้ว ตอนนี้ในบ้านเหลือข้าคนเดียว ดูแลที่ดินเหล่านี้ไม่ไหว จะตบแต่งเมียก็ไม่ได้ ดังนั้นข้าตั้งใจว่าย่างเข้าวสันต์ปีหน้าจะเข้าเมืองหลวงไปพึ่งลุงคนโต”
โหยวเหมี่ยวมองคนผอมและพบว่าดวงตาของเจ้าผอมจูถังมีแววลังเลเล็กน้อย “ข้า…ข้าก็ต้องไปเหมือนกัน ที่ดินนี้เพาะปลูกไม่ไหวแล้ว ไปจับปลาหาเลี้ยงชีพดีกว่า”
“ลุงเหลียงอายุมากแล้ว” หลี่จวงกล่าว “ลูกชายของลุงเหลียงเป็นทหารอยู่ที่หลิวโจว กินข้าวหลวงรับเงินจากกองทัพ จึงไม่อยากให้พ่อต้องลำบากทำไร่ไถนาอีกเช่นกัน”
โหยวเหมี่ยวไม่คิดมาก่อนว่าพอมาถึงปราสาทเขาเจียงปัว สิ่งแรกที่พบเจอจะเป็นสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ นอกจากที่ดินรกร้างห่างไกลผู้คน บ้านเก่าผุพังทรุดโทรม กระทั่งคนเช่าที่ยังไม่คิดจะเช่าต่อ ถ้าคนเช่าที่สี่ครอบครัวนี้หนีไป เช่นนั้นปราสาทเขาเจียงปัวก็เหลือแค่โหยวเหมี่ยวกับหลี่จื้อเฟิงสองคนเท่านั้น
โหยวเหมี่ยวยังมีแรงพูดขำขัน “การเก็บเกี่ยวแย่ขนาดนั้นเลย? แย่จนเลี้ยงปากท้องไม่ไหวเชียวหรือ”
คนเหล่านั้นไม่ตอบ โหยวเหมี่ยวก็ไม่ได้ออกปากเหนี่ยวรั้งพวกเขา แค่บอกว่า “ในเมื่อจะไปแล้ว ถ้าเช่นนั้น…ก็ตามใจ พวกเจ้ารอตรงนี้นะ”
โหยวเหมี่ยวเข้าไปในเรือน หยิบเศษเงินจากรถม้าที่จอดอยู่ด้านหลังเรือนแล้วแบ่งใส่ซอง ซองละหนึ่งตำลึง จากนั้นออกมาแจกจ่ายให้คนเช่าที่ทั้งสี่คนแล้วบอกว่า “ก่อนหน้านี้เคยดูโฉนดที่ดินกับบัญชี ทราบว่าพวกเจ้าสี่ครอบครัวทำไร่ไถนาในที่ดินของปราสาทเขาเจียงปัวมาหลายสิบปี เงินพวกนี้ถือว่าเป็นสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากข้า ภายภาคหน้าอยากกลับมาก็กลับมาได้ตามสะดวก”
คราวนี้คนเช่าที่สามคนต่างก็รู้สึกประหลาดใจมาก ส่วนคนหนุ่มรับซองเงินไปแล้วประสานมือคารวะโหยวเหมี่ยว “ขอบคุณ คุณชาย”
โหยวเหมี่ยวโบกมือบอกว่าไม่เป็นไร คนเหล่านั้นจากไปแล้ว โหยวเหมี่ยวมองแผ่นหลังพวกเขาแล้วจู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
หลี่จื้อเฟิงยืนอยู่ด้านหลัง โหยวเหมี่ยวรอคนพวกนี้จากไปไกลแล้วเอ่ยว่า “เจ้าดูออกหรือ”
“อื้ม” หลี่จื้อเฟิงพยักหน้า “ไม่ไปทั้งหมด”
โหยวเหมี่ยวลุกขึ้นเดินช้าๆ ในสวน “คนผอมน่าจะไม่ไป แค่ได้ยินว่าคนที่เหลือขึ้นมาก็เลยตามมาขอผลประโยชน์ด้วยเท่านั้น ตาแก่ก็ไม่แน่ว่าจะไป คนทำไร่ไถนาจนเคยชิน ไปอยู่หลิวโจวก็อึดอัด คนหนุ่มพ่อแม่ตายหมดแล้ว จิตใจทะเยอทะยาน ไม่อยากทำไร่ไถนาก็เป็นเรื่องปกติ”
“หลี่จวงก็ไม่แน่” หลี่จื้อเฟิงเอ่ย “เจ้าลดค่าเช่า เขาคงไม่ไป”
โหยวเหมี่ยวพยักหน้า เริ่มรู้สึกปวดหัวนิดๆ “ที่ดินของปราสาทเขาเจียงปัวแห้งแล้งขนาดนั้นเลยหรือ”
“ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องการเพาะปลูก”
คงต้องศึกษาดูแล้ว เวลานี้กระทั่งกิจการของตัวเองเป็นอย่างไร โหยวเหมี่ยวยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ตอนนั้นหุนหันพลันแล่นวิ่งมา ตอนนี้ดูจากสภาพแล้ว ต่อให้อยากขายเป็นเงินคงขายไม่ออก
ที่ดินที่มารดาทิ้งไว้ให้ตัวเองคงขายไม่ได้แล้ว
โหยวเหมี่ยวตั้งสติขบคิดอย่างรอบคอบ “ลองเดินไปดูให้ทั่วๆ ก่อน บ้านยังไม่ต้องรีบร้อนเก็บกวาด”
“ปราสาทเขาเจียงปัวทั้งหมด” โหยวเหมี่ยวกับหลี่จื้อเฟิงเดินไปทางประตูใหญ่ “ที่ดินกว่าครึ่งเป็นพื้นที่รกร้าง”
หลี่จื้อเฟิงรับคำแล้วกล่าวว่า “ต้องคิดหาทางบุกเบิก”
“ควรบุกเบิก แต่ไม่รู้ว่าที่ดินแถวนี้เหมาะจะปลูกอะไร เหมาะจะใช้เพาะปลูกหรือไม่”
โหยวเหมี่ยวจูงมือหลี่จื้อเฟิง ทั้งสองคนเดินเคียงไหล่กันอ้อมผนังฉากกั้น โหยวเหมี่ยวพึมพำกับตัวเอง “ช่วงหลายปีแรกท่าจะลำบากหน่อย คงมีไม่กี่คนที่ยินดีมาทำไร่ไถนาที่นี่ เราต้องลองเพาะปลูกกันเองก่อน เรื่องไม่มีน้ำก็เป็นปัญหาใหญ่ เวลาและกำลังของคนเช่าที่ต้องสูญเสียไปกับการหาบน้ำไปรดพืชผัก”
“หรือจะให้ข้าไปเรียกคนจากในเมือง”
“เรียกคนมาได้ย่อมดีที่สุด แต่ถ้าเรียกไม่ได้ก็ไม่เป็นไร พวกเราค่อยๆ บุกเบิกกันเอง พึ่งพาตัวเอง ปลูกผักเลี้ยงไก่ เลี้ยงหมูสักตัว ส่วนข้าวสารก็ซื้อจากข้างนอก”
“…”
“ปลูกชาทำเงินได้มากสุด แต่ก็ยังมีพ่อข้าคอยกดราคาชา และการไปแย่งปลูกกับเขาก็เท่ากับรนหาที่ตายนั่นแหละ” โหยวเหมี่ยวกระชากต้นตีนตุ๊กแกทิ้ง หลี่จื้อเฟิงขยับเข้าไปช่วย ทั้งสองคนอยากจะรื้อผนังฉากกั้นให้โล่งสะอาดตา จากนั้นโหยวเหมี่ยวเอ่ยต่อว่า “ปลูกเล่นก็พอได้ ข้าว่าภูเขาทางโน้น ล้อมรั้วที่ดินเล็กๆ ตรงนั้น ซื้อต้นชามาปลูกนิดหน่อย นานๆ แวะไปดูสักครั้งก็พอ”
“อ้อ” หลี่จื้อเฟิงพยักหน้า “มีเหตุผล”
“จากนั้นเราก็เลือกที่ที่ดินดีจากบริเวณรอบๆ นี้ เรียกคนงานหลายคนมาช่วยกันไถดินสักหน่อย แล้วหว่านเมล็ดผักปลูกผักที่ตัวเองชอบกิน”
“ได้”
หลี่จื้อเฟิงไม่ได้ออกความคิดเห็น เขารู้ว่าโหยวเหมี่ยวพูดออกมาก็เพื่อตรึกตรองความคิดของตัวเอง ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป คงต้องจัดการความเป็นอยู่ให้เข้าที่เข้าทางก่อน เก็บกวาดบ้านแล้วค่อยเริ่มพัฒนาปราสาทเขา โหยวเหมี่ยวดึงต้นตีนตุ๊กแกออกจากผนังฉากกั้นได้ครึ่งหนึ่งก็เห็นตัวอักษรหนักแน่นทรงพลังเขียนเป็นแถว จึงหลุดปากอุทานว่า “มีบทกวีด้วยหรือ”
“เคยเห็นเงา…” โหยวเหมี่ยวพึมพำ “เจ้าของคนก่อนคงเป็นบัณฑิตรอบรู้ ขอข้าดูหน่อย…”
เมื่อดึงต้นตีนตุ๊กแกออก บทกวีแถวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
‘เคยเห็นเงานงคราญฉายสะท้อน’
พอหลี่จื้อเฟิงกระชากเถาวัลย์ทางซีกซ้ายออกก็เผยให้เห็นผนังฉากกั้นทั้งหมด
‘รวดร้าวยามมองนทีใต้สะพาน เคยเห็นเงานงคราญฉายสะท้อน’*
โหยวเหมี่ยวถอยออกมายืนหน้าผนังแล้วเหม่อลอยชั่วขณะ เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านแม่ถึงได้ซื้อปราสาทเขาแห่งนี้เอาไว้
หลี่จื้อเฟิงสังเกตเห็นตัวอักษรที่อยู่ตรงมุมล่าง
‘แด่ถังหว่าน’
นั่นเป็นข้อความที่มีคนใช้สิ่วสลักไว้ โหยวเหมี่ยวเอ่ยว่า “ออกไปดูกันเถอะ”
ทั้งสองออกไปนอกประตูใหญ่ เหนือประตูแขวนป้ายแผ่นหนึ่ง มีนกนางแอ่นตัวหนึ่งบินเข้าไปด้านหลังป้าย โหยวเหมี่ยวตื่นเต้นยินดี “นี่เป็นลางดี!”
* มาจากบทประพันธ์ ‘สวนเสิ่น’ ของลู่โหยว กวีสมัยราชวงศ์ซ่ง เขียนรำพันถึงถังหว่าน ภรรยาที่ตายจากไปด้วยความอาลัยรัก
โปรดติดตามตอนต่อไป…
สามารถอ่านบทอื่นๆได้ที่ >> บทที่ 1.1 | บทที่ 1.2 | บทที่ 2.1 | บทที่ 2.2 | บทที่ 3.1 | บทที่ 3.2 | บทที่ 4.1 | บทที่ 4.2 | บทที่ 5.1 | บทที่ 5.2
Comments
comments