บทที่ 2
บ้าเอ๊ย!
ดื่มกาแฟนี่ช่างเหมือนกับดื่มน้ำเน่า ชายหนุ่มกลืนน้ำเน่าที่ว่าลงคอไปถึงนึกขึ้นได้ว่าเขาต้มกาแฟนี้เมื่อสองวันก่อน
เขาลุกขึ้นถือกากาแฟไปที่อ่างล้างจาน เห็นจานชามที่ไม่ได้ล้างกองพะเนิน ถ้าไม่ใช่เพราะอากาศหนาวมากคงต้องมีแมลงวันกับแมลงสาบยั้วเยี้ยเต็มไปหมดแน่
มองอ่างล้างจานที่มีจานชามกองพะเนินอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นักแล้วเขาก็ตั้งใจว่าจะเอากากับถ้วยกาแฟวางไว้ที่โต๊ะก่อน แต่บนโต๊ะนี้ก็มีทั้งเอกสารและข้าวของมากมายกองสุมอยู่จนมองไม่เห็นพื้นโต๊ะ แน่นอนว่าก็คงหาที่ว่างสำหรับวางกาและถ้วยกาแฟนี้ไม่ได้
เขามองไปรอบๆ ทั้งที่มือยังถือกาและถ้วยกาแฟอยู่ รู้สึกได้ว่าระยะเวลาสั้นๆ เพียงเดือนเดียวทำให้บ้านเรือที่เคยสะอาดและเป็นระเบียบกลายเป็นกองขยะที่รกรุงรัง แม้กระทั่งพื้นก็ยังเต็มไปด้วยสารพัดสิ่งของที่กองอยู่แทบทุกตารางนิ้ว
ตอนนี้เองที่เขาสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาค่อยๆ ทวนความจำ…เขาเอาถ้วยชามจานช้อนและเสื้อผ้ากองรวมกันในอ่างล้างจาน กองอยู่บนโต๊ะ กองอยู่บนโซฟา กองอยู่ที่พื้น ทำเบียร์หกจนเป็นคราบอยู่ที่พื้น ตอนที่ซื้อพิซซ่ากลับมากินก็เป็นเขานี่แหละที่ทำซอสมะเขือเทศกับมันฝรั่งทอดเลอะเทอะไปทั่ว แล้วเขาก็ลืมสเต๊กเนื้อที่กินเหลือครึ่งหนึ่งวางไว้ที่เคาน์เตอร์สำหรับทำอาหาร
เขาจำได้ว่าตั้งใจจะเก็บกวาด จำได้ว่าตั้งใจจะเช็ดโต๊ะให้สะอาด แล้วยังจำได้ว่าจะต้องล้างจาน แต่ก็มักจะมีเรื่องราวมากมายคอยมาแทรกอยู่ตลอด
ลูกชายแม่ม่ายหายตัวไป สามีที่นอกใจภรรยาถูกภรรยากับกิ๊กเบอร์หนึ่งและเบอร์สองร่วมมือกันทำร้ายจนต้องเข้าโรงพยาบาล ทนายความที่ละโมบเห็นแก่เงินวางแผนสังหารภรรยาที่ร่ำรวยของตน ข้าราชการต้องการเปิดโปงคดีทุจริตจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด นายแบบมีอะไรกับสาวในบาร์เหล้า ขึ้นเตียงไปแล้วถึงได้รู้ว่าสาวนั่นเป็นเด็กของหัวหน้ามาเฟีย นายแบบแทบจะเอาชีวิตไม่รอด…
กระเพาะเริ่มส่งเสียงร้องขึ้นมา ขัดจังหวะความคิดของเขา
แม่เจ้าโว้ย เขาหิวแล้ว
วิ่งไปครึ่งอังกฤษ กระทั่งหาเด็กที่เสียชีวิตจากการติดยาจนเจอ จัดการกับพวกผู้หญิงไร้สมองที่กำลังบ้าคลั่ง ยุติคดีลอบสังหาร ช่วยเหลือข้าราชการตัวเล็กๆ ที่มีคุณธรรม ไหนจะต้องเจรจาต่อรองกับหัวหน้ามาเฟียอยู่อีกครึ่งค่อนคืน หลังจากที่ช่วยนายแบบที่มีดีแค่รูปร่างหน้าตาแต่ไร้สมองได้แล้วเขาก็คิดว่าร่างกายควรจะได้กินอาหารดีๆ สักมื้อเสียที แต่เมื่อเขากลับมาที่บ้านเรือแล้วถึงได้รู้ว่าเขากินอาหารในตู้เย็นไปหมดแล้ว เสื้อผ้าทุกตัวก็ทั้งเหม็นสกปรกและยับย่นเหมือนกับผักดองตากแห้ง ไหนจะกาแฟที่เขาจะดื่มแก้เมาค้างก็กลายเป็นน้ำเน่าทั้งกา
สุดท้ายแล้วเขาจึงโทรศัพท์สั่งพิซซ่ามา
หลังจากเขาทิ้งกาแฟก็ล้วงมือถือออกมา กดหมายเลขทั้งที่คาดว่าจะได้ยินเสียงที่คุ้นเคย แต่กลับได้ยินเสียงจากระบบที่ไม่คุ้นเคยแจ้งบอกว่าขณะนี้ไม่สามารถโทรออกได้เนื่องจากเขายังไม่ได้ชำระค่าโทรศัพท์ที่ค้างอยู่
เหมือนกับว่าเขายังโชคร้ายไม่พอ อยู่ๆ หลอดไฟเหนือศีรษะเขาก็ดับลงโดยไม่มีสัญญาณอะไรบอกล่วงหน้า
บ้าชะมัด!
อย่าบอกนะว่าเขายังไม่ได้จ่ายค่าไฟ
ยังดีที่เขาจำได้ว่าหลอดไฟในบ้านเรือลำนี้ใช้ไฟฟ้าจากแผงพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งอยู่บนดาดฟ้า ถึงตอนนี้จะเป็นตอนกลางคืน แต่แผงไฟก็ได้ติดตั้งตัวเก็บประจุไฟฟ้าไว้แล้ว อีกทั้งเครื่องเตือนก็ไม่ได้ส่งสัญญาณเตือน ดังนั้นหากไม่ใช่ว่ามีคนอยากหาเรื่องเขาก็น่าจะเป็นเพราะสายไฟที่ไหนสักแห่งคงชำรุด
มือกำมือถือแน่น สูดลมหายใจเข้าลึก เขาลุกขึ้นจากโซฟาที่มีเสื้อโค้ตกองอยู่ เดินขึ้นบันไดไป แล้วออกจากบ้านเรือที่โดนเขาทำจนกลายเป็นเล้าหมู
แม้ว่าฟ้าจะมืดมิดไปแล้ว แต่เขาก็เชื่อว่าจะสามารถหาอาหารที่ดูดีกินได้ในเมืองแห่งนี้
ขณะที่กำลังขึ้นฝั่งเขาเห็นเรือลำข้างๆ ยังเปิดไฟสว่างอยู่ มีหญิงชราแอบมองเขาจากทางหน้าต่าง
เขาแกล้งมองไม่เห็น ทำเพียงแค่ดึงปกเสื้อให้สูงขึ้น แล้วเดินต่อไป
เขาอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว เรือของเขาไม่ได้มีใบอนุญาตจอดเรือถาวร ไม่อาจจอดเรืออยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินสองสัปดาห์ เขาควรจะออกเรือจากที่นี่ไปนานแล้ว ไปในที่ที่อบอุ่นกว่านี้ เขารู้ว่าที่ตัวเองเขายังอยู่ที่นี่ได้นั้นเป็นเพราะความช่วยเหลือของลูกค้าเก่า
เขาไม่ได้ชอบเมืองหรือประเทศนี้มากเป็นพิเศษ เพราะที่นี่ทั้งชื้นแล้วก็หนาวเย็น ผู้คนส่วนใหญ่ก็ดูรีบร้อน หน้าตาเย็นชา แล้วท้องฟ้าก็ดูเหมือนว่าจะมีฝนตกอยู่ตลอดเวลา
ว่ากันตามจริงแล้วเขายังคิดไม่ออกว่าทำไมเขาถึงอยู่ที่เมืองนี้มานานหลายปี
ออกจากท่าน้ำแม่น้ำเทมส์ เขาก็เดินเร็วๆ ไปยังที่ที่มีแสงสีในยามค่ำคืน
บนถนนที่มีผู้คนเดินผ่านไปมา ชายหนุ่มเดินเข้าไปยังบาร์เหล้าแห่งหนึ่ง สั่งอาหารร้อนๆ มากิน แสงสว่างอันน้อยนิดในบาร์เหล้านี้ทำให้เขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าตัวเองกินอะไรเข้าไป อาจจะเป็นเนื้ออะไรสักอย่างมั้ง…น่าจะนะ
กินไปได้ครึ่งหนึ่งพลันเห็นผู้หญิงคนนั้นปรากฏตัว ดูเหมือนว่าเธอกำลังจะจากไปโดยมีผู้ชายอีกคนอยู่ข้างๆ ยังไม่ทันที่จะคิดอะไรเขาก็ลุกขึ้นก้าวไปข้างหน้าแล้วยื่นมือไปดึงผู้หญิงคนนี้ไว้
ผู้หญิงคนนั้นตกใจหันหลังมาดู เขามองเธอ แล้วก็มองใบหน้าของชายชาวตะวันออกที่ไม่รู้จักพลางนิ่งงันไปครู่หนึ่ง
“นายจะทำอะไร!” ผู้ชายคนนั้นดึงมือของเขาออก ถามด้วยน้ำเสียงโมโห
“ขอโทษครับ ผมจำคนผิดน่ะ”
เขาพูดแล้วก็ปล่อยมือออก กำลังจะหันหลังจากไปแต่อีกฝ่ายกลับดึงไหล่เขาไว้
เรื่องราวต่อจากนั้น…ทุกอย่างเข้าสู่ความวุ่นวาย เขาพลิกมือจับชายคนนั้นแล้วสะบัดออกไป ชายคนนั้นกระแทกเข้ากับโต๊ะ โต๊ะตัวนั้นเป็นโต๊ะของพวกแฟนบอลที่กำลังเชียร์บอลอยู่ แฟนบอลที่ถูกขัดจังหวะพุ่งเข้ามาตอบโต้เขา ที่จริงเขาควรจะหยุด แต่เพราะความโกรธที่ไม่รู้ที่มาเป็นตัวบังคับเขา อารมณ์ที่ถูกกดทับพลุ่งพล่านออกมา
เพียงชั่วครู่โต๊ะเก้าอี้ในบาร์เหล้าก็ปลิวกระจาย หมัดของเขายังคงปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าเหล่าคนแปลกหน้าเต็มไปด้วยความโมโหโกรธา
เขาควรจะหยุดมือ
เขาไม่ได้นอนมานานหลายชั่วโมงแล้ว ทั้งยังดื่มเหล้าเข้าไปมากเกิน คนพวกนี้ก็เช่นกัน…ต่างดื่มกันจนเมา
อีกหลายนาทีต่อมา เขาเห็นสภาพของชายหลายคนที่นอนแผ่บนพื้นจึงรู้ตัวว่าเขาควบคุมตัวเองไม่ได้ขนาดไหน
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบาร์เหล้าถือกระบองคำรามใส่เขาด้วยความโกรธและตกใจ สั่งให้เขารีบออกจากที่นี่
เขาหมุนตัวออกจากบาร์เหล้า รู้ว่าต่อไปคงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาที่นี่อีก
เดินผ่านไปสองซอย เขาหยุดยืนอยู่มุมหนึ่ง ถ่มเลือดที่อยู่ในปากออกมา เงยหน้าขึ้นมองเงาสะท้อนบนกระจกตู้โชว์ มองเห็นใบหน้าบวมช้ำของตัวเอง
กลางดึก หิมะค่อยๆ ตกลงมาอีก
เขาหมุนตัวเดินจากไปพลางคิด
ชีวิตคน…บ้าเอ๊ย…ชีวิตก็เหมือนกับก้อนขี้หมา
เขาซื้อเบียร์หลายกระป๋องแล้วกลับมายังเล้าหมูที่ไม่มีไฟฟ้า ดื่มเบียร์จนหมด นอนหลับไป ตอนที่เขาตื่นขึ้นมาถึงได้เห็นว่าตัวเองอยู่ในที่ที่สะอาดที่สุดของเรือ
บนเตียงของเธอ
หญิงสาวสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก
ในป่ากลางดึกกลับไม่ได้เงียบสงัด เธอได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง แล้วก็เสียงนกที่หากินตอนกลางคืนกำลังร้องอยู่ในที่ห่างออกไป
เธอค่อยๆ ลุกขึ้นจากที่ซ่อนตัวซึ่งเธอหาได้เมื่อตอนหัวค่ำ มันก็คือซอกหน้าผาเล็กๆ ที่ด้านหน้ามีต้นไม้คอยบดบังอยู่ หากไม่สังเกตก็ไม่มีทางรู้ว่าที่นี่คือที่พักของเธอ
สูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดแล้วเธอจึงเดินมายังที่โล่งกว้าง ยามที่ไม่มีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ แสงของดวงดาวจึงสว่างไสว มากมายราวกับยื่นมือออกไปสอยลงมาได้
ช่วงหัวค่ำเธอดูพระอาทิตย์ตกเพื่อบอกทิศทาง ไม่ได้รีบร้อนที่จะมุ่งออกไปยังอาคารพวกนั้น เพียงแค่หามุมเล็กๆ เพื่อพักผ่อนสักครู่
ไม่ว่าอย่างไรเธอต้องไปแน่ แต่เธอก็ไม่ได้โง่พอที่จะไปที่นั่นโดยไม่คิดเตรียมการอะไร
ขณะที่เธอเงยหน้ามองดวงดาวเพื่อพิจารณาว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน เพียงครู่เดียวเธอก็รู้ว่าเธอไม่รู้จักดวงดาวพวกนั้นเลย คิ้วเรียวขมวดแน่น แต่เธอก็ไม่ได้บึ้งตึงอยู่นานนัก ก่อนจะหันหลังแล้วปีนกลับไปยังตำแหน่งเดิมที่สามารถมองเห็นอาคารพวกนั้นได้
อาคารพวกนั้นยังเปิดไฟอยู่ แม้ไม่ได้สว่างทุกหลัง แต่ก็ยืนยันได้ว่ามีแสงไฟ
จากนั้นเธอจึงมองเห็นดวงจันทร์ปรากฏขึ้นที่ยอดเขา นั่นคือพระจันทร์เสี้ยว
ดีจัง
ไม่ว่าคนจะอยู่ที่ไหนพระจันทร์ก็ยังเหมือนเดิม พระจันทร์เสี้ยวเล็กๆ เหมือนกับมีดโค้งสีเงินสว่าง เธอรู้ดีว่าเธอมีเวลาไม่มากนัก กล้ามเนื้อของเธอยังมีแรง ไม่ได้ลีบเล็กเพราะขาดการออกกำลัง อย่างมากเธอก็ถูกทำให้หมดสติไปแค่หนึ่งถึงสองวัน ไม่ใช่นานเป็นสิบวันหรือครึ่งเดือน
มองเห็นอาคารพวกนั้นที่อยู่ตรงเชิงเขา ยังมีแสงไฟส่องสว่าง แม้จะรู้ว่านี่เป็นกับดักแต่เธอก็ยังคงเดินมุ่งหน้าไปยังอาคารพวกนั้น
การเดินในป่ากลางดึกย่อมยากกว่าเวลากลางวันมากมายหลายเท่า แต่เธอก็เคยชินแล้วที่จะทำอะไรในเวลากลางคืน
‘ก็เหมือนกับแมว’
อยู่ๆ เสียงของผู้ชายคนนั้นก็ดังขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
‘น่าจะมีคนมาผูกกระดิ่งให้เธอนะ’
เขาพูดยิ้มๆ แบบนี้ วันถัดมาเมื่อเธอตื่นขึ้นก็พบว่าที่ข้อมือมีสร้อยข้อมือห้อยกระดิ่งใส่อยู่
ถึงแม้จะผูกกระดิ่ง แต่ถ้าเธอไม่ต้องการให้มีเสียงเธอก็สามารถทำได้ ทว่ามันก็ขัดขวางการเคลื่อนไหวของเธอจนอาจทำให้คนรอบข้างสังเกตได้ง่ายขึ้น เธอควรจะปลดมันออกมา
แต่เมื่อเธอนอนลงบนเตียง มองดูมือซ้ายที่มีกระดิ่งส่งประกายแวววับนั้นแล้ว เธอก็อดที่จะยกมือขึ้นฟังเสียงเล็กๆ ไพเราะของมันไม่ได้
ตั้งแต่นั้นเธอก็ใส่มันตลอดเวลาไม่เคยถอดจนกระทั่งเมื่อเดือนที่แล้ว
อยู่ๆ ก็มีเสียงบางอย่างดังมาจากทางด้านขวาจากที่ไม่ไกลนัก ทำให้เธอได้สติขึ้น หยุดเดินทันที ก่อนจะรีบทรุดตัวนั่งยองๆ อยู่ในความเงียบสงบ
ป่านี้แม้จะมีต้นไม้ขึ้นรกชัฏแต่ก็ไม่ถึงขนาดจะบดบังแสงจันทร์ได้หมด เธอยังคงมองเห็นต้นไม้ใบหญ้า เมื่อเธอมองไปยังทิศทางของเสียงนั้นก็รู้สึกได้ถึงหัวใจตัวเองที่เต้นเร็วขึ้น
เธอไม่ได้หวาดกลัว ออกจะเคยชินกับสภาพแวดล้อมแบบนี้ด้วยซ้ำ ซึ่งนี่ก็คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เธอต้องมาอยู่ที่นี่ เธอรู้วิธีที่จะจัดการกับความมืด ป่า สัตว์ป่าและสัตว์ร้ายอย่างไร
วินาทีถัดมาก็มีบางสิ่งขยับ
เงาเล็กๆ เคลื่อนไหวใต้แสงจันทร์ เธอรู้ได้ทันที สิ่งนั้นไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่สัตว์ร้าย เป็นเพียงหนูตัวหนึ่ง
หนูตัวเล็กวิ่งเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว แล้วหายลับไปในกอหญ้าอย่างรวดเร็วเช่นกัน
เธอยังคงนิ่งอยู่ ยังรออยู่อีกสักพัก จนแน่ใจว่าไม่มีสัตว์อื่นหรือคนอยู่แถวนี้อีกจึงได้ยืนขึ้นแล้วมองไปทางอาคารด้านหน้า
ตลอดเวลาที่อยู่ในป่าเธอเคลื่อนตัวไปอย่างเงียบสงบ ไม่ทำให้เกิดเสียงใดๆ
ก่อนออกจากบ้านเรือนั้น เธอถอดสร้อยข้อมือออกไปแล้ว เธอเพิ่งรู้ตัวว่าตอนที่อยู่กับผู้ชายคนนั้นเธอไม่ต้องอยู่ในความเงียบตลอดเวลา ไม่ต้องเป็นเงา ไม่ต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในความมืด ไม่ต้องกังวลถึงอันตรายใดๆ ดังนั้นจึงไม่เคยคิดจะปลดสร้อยข้อมือออก
อยู่ข้างๆ ผู้ชายคนนั้น เธอจะส่งเสียงอย่างไรก็ได้
เขาทำให้เธอเป็นแบบนั้น
แต่ถึงแม้จะล่วงเลยมาหลายปีแล้ว…เธอก็ยังเคยชินกับนิสัยบางอย่างที่ติดตัวมาตั้งแต่เล็ก มันเป็นนิสัยจากความเคยชินและปฏิกิริยาที่ฝังรากลึก เธอจึงมักทำตัวเหมือนเป็นวิญญาณที่อยู่ในป่า
ตอนนี้เองเธอมาถึงส่วนล่างสุดของหุบเขา ขณะที่เริ่มปีนขึ้นไป พระจันทร์เสี้ยวก็ลอยสูงขึ้นไปอีก เธอยื่นมือไปคว้ากิ่งไม้บนเนินเขา มองพระจันทร์เสี้ยวผ่านต้นไม้ แล้วอดที่จะคิดขึ้นมาไม่ได้
ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่
ไม่รู้ว่าจะทำเหมือนเธออยู่รึเปล่า ที่เงยหน้ามองพระจันทร์ดวงเดียวกัน
แสงสีเงินพุ่งเข้านัยน์ตาเขา
ชายหนุ่มได้สติขึ้นหลังจากเมาหลับไป ในขณะนั้นเขาไม่ค่อยแน่ใจว่าอยู่ที่ไหน แล้วเขาก็ไม่ได้สนใจด้วย เขากะพริบตาอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่หลบแสงที่แสบตานั้น เขาพยายามจะขยับศีรษะ ถึงได้เห็นว่าแสงที่แยงตานั้นมาจากสร้อยข้อมือสีเงินที่อยู่ตรงตู้หัวเตียงนั่นเอง
แสงแดดยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างเรือเข้ามากระทบกับสร้อยข้อมือเล็กน่ารักนั่น
เขานอนปวดหัวแทบระเบิดจึงหลับตาลงอีกครั้งพลางซุกหน้าลงกับหมอน แต่กลับได้กลิ่นหอมหวานอ่อนๆ
กลิ่นของเธอ
อยู่ๆ ก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
เขานอนอยู่บนเตียงของเธอ
ในที่สุดเขาก็คิดได้ว่าเธอจากไปแล้ว แล้วยังเรื่องชกต่อยที่ร้านเหล้าเมื่อคืนนี้อีก
ความรู้สึกหงุดหงิดยังคงอยู่ในใจ ไม่ได้หายไปกับการออกแรงในร้านเหล้าเลย แต่แม้ว่าจะเป็นอย่างนั้นเขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึกๆ เอากลิ่นของเธอเข้าไป
ความต้องการตรงส่วนล่างของร่างกายแข็งขืนขึ้นมาอย่างที่ไม่อาจควบคุมได้ ซึ่งก็เป็นอาการเดียวกันกับทุกครั้งที่มองเธอตลอดหลายปีมานี้
ทั้งหมดนี้ได้แต่ทำให้เขายิ่งโกรธ ยิ่งไม่พอใจ และยิ่งเศร้าใจ แต่เขากลับไม่สามารถบังคับตัวเองให้ผละออกจากเตียงที่สะอาด อ่อนนุ่มและเต็มไปด้วยกลิ่นของเธอนี้ได้
มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้สิ เวลาห้าปีที่ผ่านมาเขาไม่ได้อยากจะทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาซับซ้อนมากขึ้น ดังนั้นจึงไม่เคยแตะต้องเธอ
เขาสามารถทำงานร่วมกับเธอได้ดี เขาเป็นคนบุกตะลุยไปข้างหน้า ส่วนเธอคอยจัดการเรื่องในบ้านโดยเฉพาะ เธอต้องการงานทำ เขาก็ให้งานเธอทำ และเธอยังทำมันได้ดีด้วย
แต่ไหนแต่ไรมาเธอก็เป็นเพียงแค่เพื่อน เป็นแค่หุ้นส่วน เป็นแค่คู่หู
เป็นอย่างนี้แหละดีแล้ว เขาไม่อยากทำลายความสัมพันธ์นี้
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าสิ่งที่เขาทำมาตลอดนั้นถูกต้องแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับไม่รู้ว่าหลายปีที่ผ่านมานั้น เพราะอะไรเขาถึงต้องอดทนต่อความพ่ายแพ้ที่ไม่มีวันสิ้นสุดเพื่อเธอ
เขารู้ว่าสักวันหนึ่งเธอจะต้องจากไป
ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา ดังนั้นเขาคิดว่าตัวเองเข้าใจและยอมรับเรื่องนี้ได้จนกระทั่งถึงตอนนี้…ที่เธอจากไปแล้ว
เธอน่าจะตายไปซะ บ้าเอ๊ย! จากเขาไปโดยที่ไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้าสักนิด
ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปสักชิ้น เสื้อผ้า แปรงสีฟัน แม้แต่หวีก็ยังวางอยู่ที่เดิม เธอถึงขนาดปลดสร้อยข้อมือทิ้งไว้แล้วจากไป มีเพียงนามบัตรของหานอู่ฉีที่วางไว้บนโต๊ะเหมือนเยาะเย้ยเขา เหมือนกับว่าเรือลำนี้ ห้องนี้ เตียงนี้ สร้อยข้อมือเส้นนี้ รวมทั้งเขาล้วนไม่มีค่าพอให้คิดถึง
ราวกับเธอกำลังบอกว่าเขาไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับเธอเลย!
ความโกรธที่คุกรุ่นขึ้นในใจทำให้เขาลืมตา ก่อนจะลุกขึ้นอย่างไม่ชอบใจ ลากขาอันหนักอึ้งไปหยิบถุงขยะ จากนั้นกระชากปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน แล้วก็ของทุกอย่างที่เธอเคยใช้ในห้องนี้ รวมทั้งสร้อยข้อมือเงินนั้นด้วย แล้วนำทั้งหมดใส่ลงไปในถุงขยะ เอาไปทิ้ง
ต่อจากนั้นเขาก็เริ่มเก็บทำความสะอาดบ้านเรือที่รกสกปรกเหมือนเป็นกับเล้าหมูนี้ เขาทำความสะอาดทุกห้อง แล้วยังไปที่ดาดฟ้าเรือเพื่อซ่อมแผงพลังงานแสงอาทิตย์ที่ชำรุดด้วย
ก่อนที่เธอจะมานั้นเขาก็ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวได้ ตอนนี้เขาก็แค่ใช้ชีวิตคนเดียวต่อไป
ในเมื่อเธอสามารถไปอย่างสิ้นเยื่อใย เขาก็สามารถจะลืมเธอได้เช่นกัน
เขาปลดเชือกที่ผูกไว้ ติดเครื่องเรือ ขณะที่จับเบรกเรือเพื่อที่จะปลดก็นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เขาเม้มปากและขบกรามแน่น โมโหกับความลังเลของตัวเอง
ช่างเรดอาย! ช่างคู่หูเขา! ช่างผู้หญิงคนนั้นสิ!
เขาปลดเบรกเรือและบังคับเรือออกจากท่าเรือ ออกจากที่ที่เขาอยู่มานานกว่าหนึ่งเดือน
ขณะที่บ้านเรือกำลังแล่นออกจากแม่น้ำก็ทำให้เกิดคลื่นเป็นระลอกแล้วระลอกเล่า แต่ไม่นานนักคลื่นเหล่านั้นก็ค่อยๆ หายไป สายน้ำหวนคืนกลับสู่ความสงบอีกครั้ง
หมู่บ้านเล็กๆ นี้สร้างขึ้นเพื่อรองรับการทำเหมืองแร่ มันถูกทิ้งร้าง ป้ายหมู่บ้านก็เก่ามาก ตัวอักษรบนป้ายเลือนรางจนแทบจะมองไม่ออกว่าเดิมเขียนว่าอะไร อาคารในหมู่บ้านเป็นตึกที่สร้างขึ้นมาจากปูนและไม้ หน้าต่างส่วนใหญ่ชำรุด
เธอยืนอยู่หน้าหมู่บ้านคอยสังเกตการณ์อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะมองเห็นเงาคนที่กำลังติดตะเกียงในห้อง เสียงของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าลอยมาให้ได้ยินอย่างชัดเจนในเวลากลางคืน
เธอมองป้าย คิดว่าเมื่อก่อนที่นั่นอาจจะเป็นร้านอาหารหรือบาร์เหล้า
อาศัยความมืดในยามค่ำคืน เธอลอบเลียบตึกที่อยู่ไป มองเห็นหลอดไฟไส้ โปสเตอร์ผู้หญิงในชุดว่ายน้ำที่สีซีดจาง รองเท้าผ้าใบเลอะโคลนเก่าๆ ที่ถูกทิ้งไว้ข้างทางเดิน อีเตอร์* ขึ้นสนิม ถังน้ำ สายไฟ แล้วก็อุปกรณ์การขุดเหมืองต่างๆ
เธอหยิบสายไฟมัดหนึ่งและอีเตอร์ แล้วเดินต่อไป
เหมืองถ่านหิน…
คาดเดาได้ไม่ยากเลย หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้มีเศษถ่านหินสีดำตกอยู่ตามทางเดิน ท้ายหมู่บ้านมีแท็งก์น้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ภายนอกตึกมีเครื่องจักรหนักของญี่ปุ่นที่เก่ามากตั้งทิ้งอยู่หลายเครื่อง เพราะเครื่องจักรกับโปสเตอร์นางแบบชุดว่ายน้ำทำให้เธอเกือบคิดว่าตัวเองกำลังอยู่ในศตวรรษที่สิบเก้า
เธอรู้ว่าเธอไม่ได้อยู่ในญี่ปุ่น ป้ายด้านนอกไม่มีอะไรบ่งบอกว่าเป็นญี่ปุ่นเลย ยิ่งไปกว่านั้นญี่ปุ่นอยู่ทางซีกโลกเหนือ แต่ดวงดาวที่นี่ไม่ได้บอกแบบนั้น
สถานที่แห่งนี้ถูกทิ้งร้างมาไม่น้อยกว่าสามสิบสี่สิบปี
เธออยู่ให้ห้องสำนักงาน พบแผนที่ในการขุดเหมืองกับปฏิทินที่ช่วยยืนยันสมมติฐานของเธอว่าถูกต้อง ตัวอักษรในปฏิทินเป็นภาษาอังกฤษเหมือนกับป้ายด้านหน้า เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1975
แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่อาจบอกเธอได้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน สมัยก่อนสหราชอาณาจักรได้รับการขนานนามว่าเป็นอาณาจักรที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน แม้ว่าในท้ายที่สุดอาณาจักรนั้นได้ล่มสลายลง แต่ประเทศต่างๆ ในโลกนี้ก็ยังใช้ภาษาอังกฤษอยู่ เธอสามารถอยู่ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น
เครื่องจักรพวกนั้นใช้น้ำมันดีเซลในการขับเคลื่อน เธอยังได้กลิ่นน้ำมันดีเซล แต่ไม่แน่ใจว่าน้ำมันที่เหลืออยู่มีมากน้อยแค่ไหน หรือแม้แต่กระทั่งน้ำมันพวกนั้นยังใช้การได้หรือไม่
ในตึกหลายตึกมีรอยเลือดอยู่มากมาย แต่รอยเลือดพวกนั้นแห้งจนสีเปลี่ยน ดูไม่ออกว่าเป็นเลือดคนหรือเลือดสัตว์ และบอกไม่ได้ว่ามีรอยนี้มานานเท่าไหร่แล้ว
เธออยู่บนถนนที่ถูกกลบไปด้วยดินทราย มองเห็นรอยเท้ามากมายที่แตกต่างกัน ส่วนใหญ่ยังเห็นได้ชัดเจน รองเท้าหนัง รองเท้ากีฬา รองเท้าส้นสูง รองเท้าลำลอง แล้วยังมีรองเท้าปีนเขาและบูตทหาร
เหยื่อและนักล่า…
ในขณะที่เธอกำลังมองดูรอยเท้าอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นทำลายความเงียบสงัดยามค่ำคืนหนึ่งนัด นกฝูงใหญ่ตกใจบินหนีออกจากป่า
เสียงปืนสะท้อนอยู่ในป่า มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น เธอก้าวเดินไปสู่ความมืดมิด ก้าวเข้าไปในเกมของนักล่า
หกคน
มีคนหกคนอยู่ในห้อง
ผู้ชายสี่คน ผู้หญิงสองคน ไม่มีใครคล้ายคลึงกันเลย คนที่อายุมากสุดอยู่ในชุดสูทผูกเนกไท เขาเป็นสุภาพบุรุษสูงวัยผมสีดอกเลา ส่วนคนที่อายุน้อยที่สุดคือเด็กสาวผมสีทองสวมชุดกีฬาขาสั้น
ช่วงบนของเด็กสาวเปลือยเปล่า น้ำตานองหน้า ยืนห่อไหล่อยู่ตรงกลางห้อง
ชายสูงวัยและหญิงสาวอีกคนในชุดสูทถูกมัดมือไขว้หลังไว้ ทั้งสองคุกเข่าลงที่พื้น ใบหน้าแสดงถึงความตกใจและหวาดกลัว แล้วยังมีชายผิวสีรูปร่างสูงใหญ่ที่สวมเสื้อยืด เขากำลังกอดขาตัวเองพร้อมกับร้องครางอย่างเจ็บปวด
ชายสองคนถือปืนยืนอยู่ตรงหน้าของเด็กสาว
“แกมันบ้าไปแล้ว” ชายผิวสีที่ถูกยิงเข้าที่ต้นขามองพวกมันด้วยความเกรี้ยวกราด คำรามเสียงต่ำ แต่ก็มิอาจปิดบังความหวาดหวั่นไว้ได้
ชายที่สวมบูตทหารเงยหน้าขึ้นหัวเราะ “ฮ่าๆๆ แกยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ใช่ไหม ฉันจะบอกอะไรให้ ในที่นี้มีคนอยู่แค่สองประเภท นักล่ากับเหยื่อ พวกฉันเป็นนักล่า ส่วนพวกแกเป็นเหยื่อที่ต้องถูกล่า เหยื่อต้องรอให้นักล่ามาล่าอยู่แล้ว”
“บนโลกนี้ยังมีกฎหมาย” ชายสูงวัยพูดออกไป
ชายที่ถือปืนอีกคนหันกระบอกปืนมาทางชายสูงวัย พูดด้วยน้ำเสียงเย็น “ที่นี่พวกฉันก็คือกฎหมาย ฉันเรียกใครให้อ้าขา คนนั้นก็ต้องอ้าขาให้ฉัน”
ได้ยินดังนั้นสาวผมแดงจึงสูดหายใจลึกๆ เอ่ยว่า “แต่นี่…เธอยังเป็นเด็กอยู่เลยนะ แล้วก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ ฉันว่าพวกนายน่าจะชอบผู้หญิงที่เป็นงานมากกว่า”
“ไม่ต้องรีบร้อน อีกเดี๋ยวก็จะถึงตาแก” ชายที่สวมบูตทหารหัวเราะแล้วชี้ไปที่เพื่อนอีกคนพร้อมพูดว่า “เบลกไม่เหมือนฉัน มันชอบผู้หญิงช่ำชอง รอให้เสร็จจากทางนั้นก่อนแล้วมันมาจัดการแกแน่”
พูดไปก็มองเด็กสาวผมทองด้วยสายตาโลมเลียและข่มขู่ “ถอดกางเกงเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นพวกฉันจะจัดการกับไอ้ปัญญาอ่อนนั่น รวมทั้งไอ้แก่นั่นด้วย แล้วค่อยจัดการพวกแกสองคน ไม่ว่าจะเป็นหรือตายพวกฉันก็จะเอาแกอยู่ดี คิดดูเองแล้วกัน”
เด็กสาวหวาดกลัวอย่างมาก น้ำตาไหลนองหน้า แต่ก็ก้มตัวลงใช้มือที่สั่นเทาถอดกางเกงกีฬาออก
ชายถือปืนทั้งสองคนหายใจแรงจนจมูกบาน ดวงตาเปล่งประกาย เป้ากางเกงดันขึ้นสูง
“คุกเข่าแล้วช่วยฉันถอดกางเกง!” นักล่าที่สวมบูตทหารสั่ง
เด็กสาวร้องไห้ขณะเดินไปข้างหน้า ค่อยๆ คุกเข่าลง ยกมือทั้งสองขึ้นช่วยผู้ชายคนนั้นถอดกางเกง
นักล่ามองดูเธอ สูดลมหายใจฟืดฟาดพร้อมพูดว่า “อ้าปาก…”
ยังไม่ทันที่จะพูดจบก็ได้ยินเสียงดังมากมาจากเพดาน มันเงยหน้าขึ้นมองแล้วยิงปืนทันที เห็นแค่อีเตอร์ที่ผูกด้วยสายไฟเจาะทะลุหลังคาเป็นรูใหญ่ แล้วก็มีเสียงดังมาจากทางด้านหลัง มันรีบหันกลับมา เห็นผู้หญิงคนหนึ่งโหนตัวลงมาเหมือนทาร์ซาน มือกำสายไฟแน่น ถีบกระจกแตก บุกเข้ามาด้านในแล้วก็ถีบเข้าที่หัวของเพื่อนมันอย่างแรง
มันหันมาตั้งใจจะยิงปืนใส่ แต่ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ที่พื้นแล้ว ชั่วพริบตาก็มาอยู่ตรงหน้ามัน ขณะที่มันจะลั่นไก เธอก็จับมือที่ถือปืนของมันไว้ได้ กระสุนยังคงพุ่งออกไป แต่เพราะมือถูกเธอจับเอาไว้ กระสุนเลยเบี่ยงทิศไปจากเดิม
ตอนนั้นเองผู้หญิงคนนั้นก็แย่งปืนไปจากมันได้สำเร็จ มันรีบดึงมีดสั้นที่ทหารใช้ออกมาแทงไปที่หญิงสาว แต่เธอก็เบี่ยงตัวหลบได้แบบเฉียดฉิว พลางออกหมัดชกเข้าไปที่ตำแหน่งหัวใจ
หมัดนี้ได้กระชากลมหายใจมันไปชั่วขณะ ถึงกับทำให้ทรุดตัวลงกับพื้น วินาทีถัดมาเธอก็กระโดดยกเข่าขึ้นกระแทกมาที่ขมับของมันอย่างแรง จนมันสลบหมดสติลงที่พื้น
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นและจบลงภายในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งสี่คนมองหญิงสาวตัวเล็กที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน ตรงเข้าจัดการกับวายร้ายทั้งสองคน พวกเขายืนอึ้งจนพูดอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่
หญิงสาวคนนี้ก็คือฮั่วเซียงนั่นเอง เธอก้มลงหยิบมีดสั้นที่ตกอยู่บนพื้นแล้วส่งให้เด็กสาวที่กำลังตกใจ
“จัดการแก้มัดให้คนอื่น ฉันจะไปปิดไฟ”
“ปิด…ปิดไฟเหรอ” สาวน้อยกำมีดสั้นไว้แน่น เพราะยังตกใจและสับสนจึงถามออกไปทั้งน้ำตาว่า “ทำ…ทำไมล่ะ”
ฮั่วเซียงมองหน้าเด็กสาวด้วยใบหน้านิ่งแล้วตอบว่า “เพราะเปิดไฟอย่างนี้จะเป็นการบอกนักล่าคนอื่นๆ ว่าที่นี่ยังมีเหยื่อให้ล่า”
ขณะที่พูดเธอก็เดินกลับไปที่บาร์ด้านใน เปิดกล่องคัทเอาท์แล้วแล้วยื่นมือไปสับสวิตช์ลง
ไฟในร้านเหล้าพลันดับลง ทำให้อาคารเก่าหลังนี้กลับเข้าสู่ความมืดมิดอีกครั้ง
“คุณเป็นใคร”
“คุณเป็นตำรวจเหรอ หรือเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยพิเศษ”
“คุณเป็นทหารรับจ้างของพ่อใช่ไหม แล้วคนอื่นล่ะ”
“คุณมาที่นี่ได้ยังไง”
ในความมืด มีคำถามมากมายพุ่งออกมาไม่ได้หยุด
“เงียบ!”
เสียงเตือนของฮั่วเซียงทำให้พวกเขาเงียบลงได้ เธอเดินมาหาชายที่ถูกยิง ในห้องที่มืดมิด ปลดเนกไทของชายคนนั้นด้วยความรวดเร็วแล้วมัดไปที่ต้นขาข้างที่บาดเจ็บ ช่วยเขาห้ามเลือดพลางพูดว่า “ฉันชื่อฮั่วเซียง ฉันไม่ไช่ตำรวจ แล้วก็ไม่ใช่หน่วยพิเศษหรือทหารรับจ้างอะไรทั้งนั้น ฉันเป็นนักข่าว ฉันถูกจับตัวมาที่นี่เหมือนกับพวกคุณ”
คำตอบนี้ทำให้คนฟังต้องถอนหายใจ ความสิ้นหวังยังกระจายตัวอยู่ในค่ำคืนที่ยาวนาน
เธอออกแรงมัดเนกไทจนแน่น ผูกเป็นปมแล้วเอ่ยปากพูดว่า “ตอนนี้ถ้าพวกเราไม่อยากจะเจอนักล่าคนอื่นอีก พวกเราต้องออกจากอาคารหลังนี้”
“ไปที่ไหนล่ะ” ชายหนุ่มมองหน้าเธอแล้วถาม
“นอกจากที่นี่แล้วเป็นที่ไหนก็ได้”
ฮั่วเซียงพูดจบก็ดึงเขาขึ้นมา ชายหนุ่มอุทานครั้งหนึ่งแต่ไม่ได้ร้องโอดครวญ ชายสูงอายุเดินเข้ามาช่วย เธอเห็นว่าผู้หญิงอีกคนนั้นได้ช่วยเด็กสาวสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วแล้ว
“จะจัดการสองคนนั้นยังไง ไม่ต้องมัดพวกมันไว้เหรอ”
ขณะที่เธอกำลังพยุงชายหนุ่มเดินออกไปด้านนอก หญิงสาวในชุดสูทก็เอ่ยปากถามขึ้น
“พวกนั้นไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป” ฮั่วเซียงตอบ
“ทำไมล่ะ” ชายสูงอายุเอ่ยปากถามด้วยความประหลาดใจ
“นักล่าไม่เพียงแต่จะฆ่าเหยื่อเท่านั้น พวกมันยังฆ่ากันเองด้วย”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำเสียงอันราบเรียบของเธอหรือเปล่าจึงทำให้ทุกคนนิ่งงัน แล้วตามเธอออกไปด้วยความหวาดกลัว
ฮั่วเซียงไม่ได้พาพวกเขาไปไกลนัก เพียงแค่ย้ายไปอีกตึกซึ่งเป็นอาคารหลังใหญ่ ห่างไปเพียงยี่สิบเมตร ที่นั่นกว้างขวางโอ่โถง บนพื้นมีทางที่ขุดเชื่อมต่อกับเหมืองด้านนอก มีรถเข็นหลายคันจอดทิ้งอยู่บนราง เห็นฝุ่นผงบนพื้นได้อย่างชัดเจน ทำให้รู้ว่าไม่มีคนมาที่นี่นานมากแล้ว
อาคารนี้มีประตูหน้าต่างมากมาย ส่วนใหญ่จะชำรุดเสียหาย ช่วยปิดบังหรือป้องกันอะไรไม่ได้ ฮั่วเซียงพาพวกเขามาอยู่ระหว่างผนังกับรถเข็น ให้ทุกคนอยู่ในความสงบนิ่ง แล้วหยิบปืนกระบอกหนึ่งส่งให้ชายสูงอายุที่สวมชุดสูท
“ใครผ่านประตูบานนั้นเข้ามาก็จัดการยิงซะ”
ชายสูงวัยรับปืนมาโดยไม่ว่าอะไร
“รวมทั้งคุณด้วยเหรอ” ผู้หญิงผมแดงอดที่จะถามไม่ได้
เมื่อได้ยินคำถามนี้ ฮั่วเซียงจึงตอบว่า “ฉันไม่เข้าออกทางประตูใหญ่”
ดูท่าทางเธอเหมือนกำลังจะจากไป เด็กสาวผมทองจึงถามขึ้นด้วยอาการร้อนรน “คุณจะไปไหน”
“กำจัดร่องรอยของพวกเรา”
เธอตอบโดยไม่หน้ากลับมา พุ่งออกไปยังหน้าต่างที่ไม่มีกระจก แล้วหายตัวไปในความมืดมิด
ฮั่วเซียงจากไปไม่นานเท่าไหร่ ตอนเธอกลับมาอีกครั้ง ทั้งสี่คนก็ยังอยู่เกาะกลุ่มกันเหมือนกับกระต่ายน้อยที่ซุกตัวอยู่รวมกันด้วยความหวาดหวั่น
เมื่อพวกเขาเห็นเธอแล้วจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
ฮั่วเซียงถือวิสกี้เก่าที่ยังไม่ได้เปิดขวดมาด้วยขวดหนึ่ง ใช้เหล้าฆ่าเชื้อบนมีดสั้นแล้วผ่าเอากระสุนที่อยู่ในขาของชายคนนั้นออกมา
แม้ว่าเธอจะทำได้อย่างว่องไวและเฉียบคมมากแค่ไหน แต่ชายหนุ่มก็ยังหมดสติไปด้วยความเจ็บปวด
“เขายังโอเคไหม” เด็กสาวถามด้วยความกังวล
เธอตอบอย่างไม่ไยดี “แค่หมดสติไปเท่านั้น”
สาวผมแดงเข้ามาช่วยทำแผลให้กับชายหนุ่มพลางกระซิบถามว่า “คุณเห็นคนอื่นอีกไหม”
“ไม่เห็น” ฮั่วเซียงให้สาวผมแดงทำแผลต่อจากเธอ แล้วเธอก็เช็ดทำความสะอาดรอยเลือดบนมีดสั้น
สาวผมแดงมองเธอด้วยความกังวลใจ เอ่ยปากต่อไปว่า “ถ้าเป็นอย่างที่สองคนนั้นพูดจริงๆ บางทีพวกเราควรจะออกไปไกลอีกหน่อย”
“ถ้าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บพวกเราก็อาจจะไปได้” ฮั่วเซียงมองหญิงสาวที่ดูเป็นคนฉลาดมีความสามารถ เอ่ยอย่างเรียบๆ ว่า “แต่ตอนนี้ในกลุ่มพวกเราไม่มีใครแบกเขาไหว นอกเสียจากเธอคิดว่าทิ้งเขาไว้ที่นี่จะดีกว่า”
สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไป ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงเย็นว่า “ไม่ได้เด็ดขาด พวกเราจะทิ้งเขาไว้ที่นี่ไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้นฉันว่าพวกเราก็คงต้องอยู่ที่นี่กันไปก่อน รอจนเขาได้สติขึ้นมา” ฮั่วเซียงถามหญิงสาวที่มีน้ำใจคนนั้นว่า “คุณชื่ออะไร”
“แอลลี่” หญิงสาวทั้งสองยื่นมือออกมาจับกัน แล้วฮั่วเซียงก็พูดต่อว่า
“อาคารหลังนี้เป็นที่โล่งกว้าง ไม่ใช่ที่ที่เหมาะกับการซ่อนตัว พวกเราไม่มีที่กำบัง แค่มองปราดเดียวก็เห็นทุกอย่างแล้ว อย่างน้อยต้องหาที่ที่สามารถหลบซ่อนตัวได้”
ฮั่วเซียงรู้ว่าชายสูงวัยกับเด็กสาวกำลังฟังอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาทำอะไรโง่ๆ เธอจึงอธิบายต่อ
“เพราะว่ามองปราดเดียวก็เห็นแล้ว ดังนั้นขอเพียงอยู่ติดกับผนังไว้ อยู่ในมุมนี้อย่าขยับตัวไปมา คนข้างนอกจะมองไม่เห็นคุณ นอกเสียจากพวกมันตัดสินใจเข้ามาค้น หมู่บ้านนี้มีที่ให้หลบซ่อนตัวมากมาย ในเมื่อที่นี่สามารถพบเห็นได้ง่าย คนปกติทั่วไปก็จะไม่เลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ในนี้ ดังนั้นจะยุ่งยากเข้ามาค้นหาไปทำไม อีกอย่างอาคารหลังนี้มีทางออกมากมาย ไม่ว่านักล่าจะมาจากทางไหน เราก็สามารถหาทางออกอีกทางหนึ่งได้”
ชายสูงวัยขมวดคิ้ว
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
ฮั่วเซียงหันหน้าไปหาเขาแล้วพูดว่า “ฉันเขียนบทความ มีคนไม่พอใจ ดังนั้นจึงจับตัวมาไว้ที่นี่ ฉันเชื่อว่าพวกคุณคงมาอยู่ที่นี่ก็เพราะเหตุผลแบบเดียวกัน พวกคุณทำอะไรบ้างล่ะ”
“ฉันชื่อเดวิด เป็นพ่อค้า ทำธุรกิจนำเข้าส่งออกในอาร์เจนตินา วิลล์เป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล แอลลี่เป็นผู้ตรวจสอบจากชิคาโก” ชายสูงวัยชี้ไปที่เด็กสาวผมทองแล้วถามว่า “พวกเราอาจจะไปขวางทางใครเข้า แต่เอลิซาเบธเป็นเพียงเด็กอายุสิบสาม จะไปขวางทางใครได้”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ฮั่วเซียงตอบตรงๆ แล้วมองไปที่เด็กสาว “ตอนเธออยู่โรงเรียนรังแกใครหรือเปล่า”
“ไม่มี หนูไม่เคย” เอลิซาเบธส่ายหน้าปฏิเสธ สีหน้าซีดขาว พูดปากสั่นเล็กน้อย “แต่ว่าพ่อของหนูกำลังจะลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่า”
“นั่นคือสาเหตุสินะ” ฮั่วเซียงพูดเสียงเรียบ “พวกเราขวางทางคนอื่นอยู่ ดังนั้นพวกเราจึงถูกพามาที่นี่เพื่อเป็นเหยื่อที่ถูกล่า”
“ที่นี่มันที่ไหนกัน” แอลลี่เอ่ยปากถาม
“สนามแข่ง ‘เกมนักล่า’ ” ฮั่วเซียงตอบ
“ทำไมเธอถึงรู้อะไรมากมาย” เดวิดมองมาที่เธอถามแล้วถามอีก “นักข่าวไม่ควรจะมีฝีมือดีขนาดนี้ ไม่รู้วิธีการใช้มีดหรือวิธีการพรางตัว เราจะรู้ได้ยังไงว่าเธอไม่ใช่นักล่าอีกคน”
ฮั่วเซียงเงยหน้าขึ้นมองชายผมสีดอกเลาอย่างรวดเร็วแล้วพูดว่า “จริงๆ แล้วนักข่าวไม่ควรจะมีฝีมือดีขนาดนี้ แต่ฉันไม่ใช่นักข่าวธรรมดา ฉันคือ พี.เอช. ก่อนหน้านี้มีคนเอาข้อมูลเกี่ยวกับเกมนี้ส่งมาให้ฉัน หวังว่าฉันจะเปิดโปงมันทางอินเตอร์เน็ต เพราะงั้นฉันถึงได้รู้เรื่องราวมากมายขนาดนี้”
แอลลี่ตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะเบิกตามองเธอ “พี.เอช. …เดี๋ยวนะ! เธอคงไม่ได้กำลังจะบอกว่าเธอคือ พี.เอช. คนที่เปิดเผยข้อมูลต่างๆ ลงอินเตอร์เน็ต ทำให้นักการเมืองระดับสูงจากหลายประเทศต้องลงจากตำแหน่ง”
“ฉันคิดว่า พี.เอช. เป็นผู้ชายซะอีก” ชายสูงวัยมองเธออย่างไม่เชื่อสายตา
“ไม่ใช่” เธอตอบเรียบๆ
“ฉันเชื่อก็ได้ว่าเธอคือ พี.เอช.” แอลลี่ยกมุมปาก “นี่คงจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครหา พี.เอช. พบ”
“แต่ก็มีคนรู้แล้ว เธอถึงมาอยู่ที่นี่”
วิลล์เอ่ยขึ้นมา ฮั่วเซียงก้มหน้ามองชายหนุ่มที่เจ็บจนหมดสติไป ไม่รู้ว่าเขาได้สติขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่
“ใช่ มีคนรู้แล้ว” เธอมองเขาแล้วพูดว่า “เอฟบีไอวิเคราะห์บทความของฉัน รายงานฉบับนั้นรั่วไหลออกมา ตอนนี้คนเกือบทั้งโลกรู้แล้วว่า พี.เอช. เป็นผู้หญิง ถ้าพวกคุณไม่รู้ข่าวนี้ แสดงว่าพวกคุณต้องอยู่ที่นี่มาแล้วหลายวัน?”
“สี่วัน” วิลล์ตอบพลางยกมือขึ้นมาเช็ดเหงื่อ “ผมชื่อวิลล์ ผมตื่นขึ้นมาข้างๆ ถังเก็บน้ำกับอีกสองคน ไมเคิลกับอาลี เมื่อคืนพวกเขาสองคนเข้าไปในป่าเพื่อหาอาหารแต่ไม่ได้กลับออกมา เดิมที…ผมเข้าใจว่าพวกเขาน่าจะหลงทาง”
เธอยื่นมือทักทายตามมารยาท แล้วบอกชื่อตัวเองอีกครั้ง “ฉันชื่อฮั่วเซียง ฉันเพิ่งมาถึงเมื่อวาน ตอนที่ฉันฟื้นขึ้นมา ฉันอยู่ที่ทุ่งหญ้าด้านตะวันออกของเชิงเขา”
“เอลิซาเบธ ฉัน แล้วก็มาร์กาเรตมาถึงที่นี่เมื่อวาน” เดวิดจับปืนแน่น จ้องมองไปที่หน้าต่างเพื่อสังเกตสถานการณ์ภายนอกพลางพูดว่า “พวกเราตื่นขึ้นมาก็อยู่ที่ด้านตะวันตกของสะพานขาด แล้วก็มีคนยิงปืนใส่พวกเรา มาร์กาเรตโดนยิง พวกเราพาเธอหนีมาตามถนน พวกเราคิดว่าถนนเส้นนี้จะเชื่อมไปยังชุมชนแต่มันมาสิ้นสุดแค่ที่นี่”
“ฉัน หลุยส์ แล้วก็ยูเซนมาถึงเมื่อสามวันก่อน ฟื้นขึ้นมาตรงยอดเขาที่จอดเฮลิคอปเตอร์ พวกเราเห็นแสงไฟจึงเดินตามทางมา แต่ถูกคนลอบโจมตีกลางป่า ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่วิ่งหนี พอได้สติกลับมาพวกเขาสองคนก็หายไปเสียแล้ว”
แอลลี่กอดอกด้วยใบหน้าซีดเผือด เม้มริมฝีปาก น้ำตาไหลเป็นทางขณะพูดด้วยอารมณ์โกรธและหวาดกลัว “ฉันเคยได้ยินว่ามีคนเอาคนมาเป็นเหยื่อในเกมการล่า แต่ฉันคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล่าทางอินเตอร์เน็ตเท่านั้น”
“ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องเล่า” ฮั่วเซียงกล่าวเรียบๆ “ที่นี่เป็นสนามล่าเหยื่อ พวกเราเป็นเหยื่อที่ถูกล่า พวกนั้นเป็นนักล่า หากฆ่าเหยื่อได้ก็จะได้รับเงินส่วนแบ่ง”
วิลล์ถามอย่างฝืนๆ ว่า “ในเมื่อคุณรู้ว่านี่คือเกมนักล่า ไม่น่าจะไม่รู้วิธีที่จะออกไปจากที่นี่ใช่ไหม”
“ขอโทษ” เธอรีบพูดต่อ “ฉันไม่รู้”
ถึงแม้พวกเขาจะพยายามปกปิด แต่เธอก็ยังรับรู้ได้ถึงความสิ้นหวัง
จากนั้นเดวิดสูดลมหายใจลึกแล้วถาม “แล้วเธอรู้อะไรเกี่ยวกับเกมวิปริตนี้อีก”
“นี่เป็นเกมพนันอย่างหนึ่ง โดยพื้นฐานแล้วคนเป็นเจ้ามือจะนำเหยื่อกับนักล่ามาไว้ในสนามเดียวกัน ผู้เล่นสามารถลงเงินฝั่งนักล่าหรือเหยื่อก็ได้ ทุกครั้งที่นักล่าสามารถฆ่าเหยื่อได้ก็จะได้แต้มไป ส่วนผู้เล่นก็จะได้เงินเดิมพันที่มากขึ้น”
“แล้วตอนนี้จะทำยังไงดี” แอลลี่ถาม “คุณมีความคิดอะไรไหม”
“พวกเราต้องติดต่อกับโลกภายนอกให้ได้” ฮั่วเซียงบอก
วิลล์กลัวจนเหงื่อตก พูดว่า “ไมเคิล อาลีแล้วก็ผมลองตั้งแต่วันแรกแล้ว ในนี้โทรศัพท์ใช้การไม่ได้ ตรงโน้นมีห้องทำงานอยู่ แต่โทรศัพท์ไร้สายในนั้นก็ใช้การไม่ได้ ของที่อยู่ในนั้นไม่เก่าก็เสีย แม้แต่คอมพิวเตอร์ยังเป็นเครื่องใหญ่ๆ ผมลองเอาวัตถุโบราณพวกนี้ต่อไฟ แต่กลับใช้ไม่ได้สักเครื่องเดียว”
เดวิดสูดหายใจเข้าลึกแล้วเสริมอีก “ทางเดียวที่เชื่อมต่อกับโลกภายนอกได้ก็คือทางที่ฉันกับเอลิซาเบธเดินมา แต่ก็อย่างที่ฉันพูด สะพานนั่นมันขาดแล้ว ดูเหมือนจะขาดมาหลายปีแล้วด้วย”
ทันทีที่ได้ยิน คนที่นิ่งเงียบมาตั้งแต่ต้นอย่างเอลิซาเบธจึงพูดเสียงเบาๆ
“เพราะงั้นพวกเราก็เลยถูกขังอยู่ที่นี่ใช่ไหมคะ”
คำพูดเบาๆ นี้ทำให้ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบงัน ฮั่วเซียงรู้สึกถึงความหวาดกลัวที่กระจายตัวและกำลังขยายวงกว้าง
สี่คนตรงหน้านี้หน้าตามอมแมม สารรูปดูไม่ได้ ร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยเหงื่อไคลและฝุ่น ไม่มีใครสะอาดเรียบร้อยเลยสักคน สีหน้าแสดงถึงความเหนื่อยล้า ความหวั่นวิตกแสดงออกมาทุกลมหายใจ ไม่อาจสะกดอาการสั่นไหวไม่ให้เผยออกมาได้
ความเงียบที่ทำให้คนหวาดกลัวยังดำเนินต่อไปจนกระทั่งฮั่วเซียงเอ่ยปากขึ้น
“ไม่ใช่” เธอบอกพวกเขา “พวกเราไม่ได้ถูกขังอยู่ในนี้”
ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองเธอเป็นตาเดียว
ฮั่วเซียงมองคนที่อยู่ตรงหน้าแล้วพูดว่า “ฉันไม่รู้ว่าจะออกจากที่นี่ได้ยังไง แต่ฉันรู้ว่าจะทำลายเกมวิปริตนี้ได้ยังไง”
ทุกคนได้ยินเข้าก็ตะลึง
“ทำลายเกม?” แอลลี่มองเธออย่างงงๆ
“นักล่าออกล่า เหยื่อหนีตาย หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตลงทั้งหมด เกมก็จบ”
“เธอรู้ตัวไหมว่าเธอกำลังพูดอะไรอยู่” เดวิดมองเธออย่างตกตะลึง
“รู้สิ” ฮั่วเซียงตอบอย่างสงบนิ่ง “พวกเราจะรอวันตายอยู่ที่นี่ก็ได้ หรือ…พลิกกลับมาเป็นฝ่ายล่า”
* อีเตอร์ เป็นเครื่องมือใช้ในการขุดดิน หัวด้านหนึ่งเป็นเหมือนจอบ หัวอีกด้านหนึ่งเป็นปลายแหลม
Comments
comments