X
    Categories: Jamsaiทดลองอ่านล่ารักเกมอันตราย ชุด Red Eye

ทดลองอ่าน ล่ารักเกมอันตราย ตอนที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 2

 

กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

ชายหนุ่มยืนอยู่กับเพื่อนร่วมงานบนถนน เมื่อไม่กี่นาทีก่อนเขาเห็นสายไหมก้อนโตทั้งขาวทั้งอ้วนกลมเดินกลับไปกลับมาอยู่บนทางเท้า

สายไหมเดี๋ยวก็เดินไปเดี๋ยวก็เดินมาด้วยการก้าวเท้าสั้นๆ บางครั้งก็ยืนอยู่กับที่ก้มมองโทรศัพท์เป็นระยะ เขาเดาว่าคงกำลังเปิดแผนที่ เมื่อก้อนสายไหมเดินไปเดินมาได้เจ็ดรอบครบสองร้อยเมตร เขาก็แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเจ้าสายไหมต้องกำลังหลงทางอยู่แน่นอน

เธอเป็นชาวต่างชาติ สวมเสื้อฟลีซสีขาวคลุมทั้งตัว ที่เขาสังเกตเห็นเธอเป็นเพราะว่าเสื้อฟลีซตัวนั้นตัดเย็บแตกต่างจากเสื้อฟลีซแบบบางเบาที่กำลังนิยมในเวลานี้ มันทั้งขาวทั้งตัวใหญ่ ทำให้ผู้หญิงที่สวมใส่มันดูราวกับก้อนสายไหมทรงกลมสีขาวก้อนหนึ่งที่เสียบอยู่บนไม้ซี่บางสีไวน์แดงสองแท่ง

เวลาที่สายไหมขาวหยุดเดิน ไม้เสียบสีไวน์แดงก็จะชิดกันเป็นไม้เดียว เมื่อมองจากจุดที่เขาอยู่ สายไหมก็จะดูเหมือนลูกชิ้น…เอ บางทีอาจจะเป็นขนมไดฟุกุ

นั่นทำให้เธอที่อยู่ท่ามกลางเสื้อนอกสีเทาเข้ม สีน้ำเงินเข้ม สีดำ สีน้ำตาลบนท้องถนนดูเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ

เมื่อความคิดนั้นผ่านเข้ามา เขาก็เห็นขนมไดฟุกุถูกร้านขายหนังสือมือสองข้างทางดึงดูดไปเสียแล้ว

เขามองดูขนมไดฟุกุที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงยืนเหม่อลอยอยู่หน้าประตูร้าน ปากของเธออ้าค้างขณะเงยหน้ามองสำรวจสิ่งก่อสร้างไม้หลังเก่าใกล้พังทลายที่ขนาบข้างด้วยอาคารสูงสะอาดเอี่ยมอ่อง

แม้ว่ามันจะตั้งอยู่ตรงนั้นมากว่าร้อยปีแล้ว แต่เธอทำราวกับเพิ่งจะเห็นมัน

ทางเดินในร้านหนังสือมือสองนั้นแคบ ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยหนังสือที่วางเรียงรายตั้งแต่บนพื้นไปจนถึงเพดาน ซ้ำยังดูเหมือนพร้อมจะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ เพราะเธอใส่เสื้อขาวตัวนั้นทำให้แทรกเข้าไปไม่ได้ตั้งแต่แรก เธอเองก็แจ้งแก่ใจดีในข้อนี้จึงไม่ได้เดินเข้าไป แต่เธอก็ยังอดยื่นมือออกไปหยิบหนังสือเก่าที่วางกองอยู่ที่ปากทางเข้าร้านขึ้นมาพลิกดูไม่ได้ แล้วก็หยิบหนังสืออีกเล่มขึ้นมาอ่าน

เขานึกว่าตัวเองเข้าใจผิดไปว่าเธอหลงทาง จึงหันไปทำธุระกับเพื่อนร่วมงานต่อ สองชั่วโมงถัดมา เมื่อเขาผ่านมายังถนนเส้นนี้อีกครั้งก็เห็นเธอยังอยู่ที่เดิมตรงหน้าร้านหนังสือมือสองที่ใกล้จะพังทลาย ราวกับว่ามีใครบางคนตรึงเธอไว้ตรงทางเดินหน้าประตู

เมื่อขนมไดฟุกุสีขาวขนาดใหญ่ถูกตรึงไว้ข้างทางแบบนี้ ย่อมเป็นที่สังเกตได้ง่าย

เธอคนนี้ไปหาเสื้อฟลีซที่ทั้งหนาฟูและตัวใหญ่ขนาดนี้มาจากไหนกันนะ

ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง แต่เหมือนเธอจะไม่รับรู้ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาจดจ่อกับหนังสือเก่าในมือ อุณหภูมิก็ลดลงตามท้องฟ้าที่มืดขึ้นเรื่อยๆ เขาเห็นลมหายใจที่กลายเป็นไอสีขาวของเธอ สองข้างแก้มแดงระเรื่อ ลมหนาวบาดผิวพัดเอาผมเผ้าที่เดิมทีก็ไม่ค่อยจะเป็นระเบียบนักให้ยุ่งเหยิงยิ่งขึ้น

โทรศัพท์เธอดังขึ้น แต่เธอไม่รับสาย เขาเดาว่าเธอคงไม่ได้ยิน

บนถนนมีคนเดินไปมา พอมองเห็นขนมไดฟุกุสีขาวโดยบังเอิญก็อาจมีสะดุ้งตกใจบ้าง แต่คนส่วนใหญ่มักเร่งเดินต่อไป ตัวเขาเองก็น่าจะทำเช่นนั้น

เพียงแต่ว่าเขารู้จักกับขนมไดฟุกุนี้ เขาจำหน้าเธอได้ จำได้แม้กระทั่งชื่อของเธอ เขาเพิ่งเจอกับเธอที่กรุงแบกแดดเมื่อไม่กี่เดือนก่อน

ต่อมาเธอเริ่มจามเสียงเบา แล้วก็จามอีกครั้ง

พอรู้ตัวอีกทีเขาก็เดินมายืนอยู่ข้างๆ เธอแล้ว

เขานึกว่าเธอจะรู้ตัว คนแปลกหน้ามายืนข้างๆ เธอทั้งคน แถมยังเป็นชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งด้วย

เขารอให้เธอรับรู้ถึงการปรากฏตัวของเขา แต่ขนมไดฟุกุกลับไม่รับรู้เลยแม้แต่น้อย ไม่แม้แต่จะรับรู้ว่าไฟข้างทางค่อยๆ สว่างขึ้นแทนท้องฟ้าที่มืดแล้ว

หนังสืออะไรกันนะที่ทำให้เธอจดจ่อได้นานขนาดนี้

เขาก้มอ่านเนื้อหาในหนังสือที่เธอถือ

นั่นเป็นหนังสือภาษาอังกฤษเก่าๆ ที่ใช้แบบอักษรที่พิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดีดเมื่อหลายสิบปีก่อน ไม่ใช่แบบที่ใช้คอมพิวเตอร์พิมพ์ในยุคหลัง ในหน้ากระดาษที่มีตัวอักษรภาษาอังกฤษเรียงรายบางตอนแทรกด้วยภาพประกอบสีขาวดำ

เขามองดูด้านบนของหน้าหนังสือ ริมสุดของหน้าซ้ายมือมีเลขหน้ากำกับอยู่ ตามด้วยตัวอักษรตัวหนาภาษาอังกฤษเขียนว่า TRAVELS IN AFRICA ถัดเข้ามาขอบในมีตัวเลข 1850 ส่วนด้านบนของหน้าขวามือ ขอบในมีตัวอักษร May 8 อักษรตรงกลางหน้ากระดาษเปลี่ยนไปตามเนื้อหาของแต่ละหน้า ริมสุดของหน้ากำกับด้วยเลขหน้าเช่นเดียวกัน

เขาเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่านี่เป็นหนังสือบันทึกการเดินทางในแอฟริกา 1850 คือปี May 8 คือวันที่แปดเดือนพฤษภาคม สองข้างของปีและวันที่ครอบด้วยเครื่องหมายวงเล็บ

เธออ่านอย่างออกรสออกชาติราวกับท่ามกลางตัวอักษรที่เบียดเสียดกันเหล่านั้นมีสมบัติล้ำค่าสะท้านโลกก็ไม่ปาน

แล้วเธอก็จามเบาๆ ออกมาอีกครั้ง

ลมหนาวพัดผมเธอชี้ฟู แม้เธอจะห่อหุ้มร่างกายจนดูเหมือนกับขนมไดฟุกุ แต่เขาแน่ใจว่าถ้าขืนตากลมต่อไปแบบนี้ เธอจะต้องเป็นหวัดแน่นอน

ใครๆ ก็รู้ว่าควรจะสวมหมวกในสภาพอากาศแบบนี้ เสื้อฟลีซสีขาวของเธอก็มีหมวกห้อยอยู่ด้านหลังศีรษะ แต่เธอกลับไม่ดึงมันขึ้นมาคลุม

เมื่อลมหนาวพัดมาอีกรอบ เขาก็อดคันไม้คันมือไม่ได้ สุดท้ายก็ยื่นมือไปดึงหมวกที่ห้อยอยู่ด้านหลังขึ้นมาสวมบนศีรษะเล็กๆ ของเธอ

เธอน่าจะสังเกตเห็นเขาได้แล้วมั้ง?

แต่ก็ไม่

ไม่เลยสักนิด!

ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ เขาก็อยากจะใช้มือใหญ่จับศีรษะเล็กๆ ของเธอมาเขย่าแล้วตะโกนใส่ข้างหู

รู้สึกตัวซะที! เจ้าไดฟุกุบื้อ! โลกจะแตกแล้ว!

ความคิดนี้ทำให้เขาขำพรืดออกมาจนไหล่ทั้งสองข้างสั่นไม่หยุด

แต่ยายบื้อข้างๆ เขาก็ยังไม่รู้สึกตัวอยู่ดี…อย่างไรเขาก็แค่คิดเท่านั้น ไม่ได้จะทำขึ้นมาจริงๆ

เขายังคงยืนอยู่ข้างเธอ เริ่มกวาดตามองข้าวของในร้านหนังสือมือสอง

ที่น่าประหลาดคือนอกจากหนังสือแล้ว บนชั้นวางหนังสือภายในร้านแห่งนี้ยังมีของชิ้นเล็กชิ้นน้อย กรงนกไม้ไผ่ญี่ปุ่นแบบเก่า ด้านหลังยังมีตุ๊กตากระต่ายขาวทำจากกระเบื้องสูงประมาณยี่สิบกว่าเซนติเมตรอยู่ตัวหนึ่ง

เขาชอบกระต่ายขาวตัวนั้น ดูแล้วมีส่วนคล้ายกับขนมไดฟุกุข้างๆ เขา ทั้งใหญ่ทั้งขาวทั้งทื่อทั้งอวบอ้วน ดูแล้วน่ากิน

ทันใดนั้นเขารู้สึกถึงสายตาที่มองมา เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นเจ้าของร้านหนังสือมือสองกำลังมองมาที่เขา แววตาบอกความจนปัญญา

อีกฝ่ายอยากจะปิดร้านแล้ว เพียงแต่เจ้าไดฟุกุบื้อดันวิญญาณหลุดลอยไปไกลถึงแผ่นดินแอฟริกา

เขาฉีกยิ้ม ชูมือพูดกับเจ้าของร้านเป็นภาษาญี่ปุ่น

“เถ้าแก่ ขอโทษนะครับ คิดเงินด้วย”

ชายแก่ได้ยินดังนั้นก็มีท่าทีกระตือรือร้น พุ่งมาหาอย่างรวดเร็ว

“ผมขอกระต่ายสีขาวตัวนั้นกับหนังสือในมือของคุณผู้หญิงคนนี้” พูดพลางดึงหนังสือในมือเธอส่งให้เจ้าของร้าน

เจ้าไดฟุกุบื้อได้สติในที่สุด “อ๊ะ คุณ…”

พอเห็นเขา สองตาของเธอก็เบิกกว้าง สูดหายใจเฮือก

“คุณมาทำอะไรที่นี่”

“จ่ายเงิน” เขามองเธอยิ้มๆ เห็นจากหางตาว่าเจ้าของร้านกำลังห่อหนังสือและกระต่ายขาวใส่ถุงให้เรียบร้อยด้วยความเร็วสูง

“หนังสือเล่มนั้นฉัน…ฉันจะเอา…ฮะ…ฮะ…ฮัดเช้ย!” เธอหน้าแดง เถียงยังไม่ทันจบก็จามเสียงดังออกมาหนึ่งที

เขาดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาส่งให้ตอนที่เธอกำลังจะจาม เธอคว้ามาปิดปากและจมูกได้ทันเวลาพอดี ทำให้น้ำมูกน้ำลายไม่กระเด็นมาถูกหน้าเขา

เขามองหญิงสาวตรงหน้าที่ทั้งเขินทั้งอายด้วยความขบขันพลางเอ่ยว่า “ผมรู้ ผมไม่ได้อยากจะแย่งคุณ แต่คนเขาจะปิดร้านแล้ว คุณมายืนอ่านฟรีตั้งสองชั่วโมง ซื้อกลับไปอ่านต่อดีกว่า”

“สองชั่วโมง? ฉันไม่ได้…โอย บ้าจริง!”

เธออ้าปากกำลังจะเถียง แต่แล้วเขาก็เห็นสีหน้าเธอเปลี่ยนไปทันที น่าจะเป็นเพราะเงยหน้าเห็นท้องฟ้ามืดแล้ว จากนั้นเธอก็รีบหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาดู เขาเห็นหน้าจอโทรศัพท์เธอเต็มไปด้วยข้อความแจ้งเตือนสายที่ไม่ได้รับ เธอตกใจรีบโทรกลับ

ขณะที่เจ้าของร้านกำลังห่อกระต่ายขาวยักษ์กับบันทึกการเดินทางในแอฟริกานั้น เสียงขอโทษขอโพยของเธอก็ดังไม่ขาดสาย เขามองดูเธอทำท่าโค้งตัวคำนับถี่ๆ ให้กับคนที่อยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ

“ขอโทษค่ะ ต้องขออภัยจริงๆ ฉันหลงทาง ฉันไม่ได้ยินเสียงสายเรียกเข้าเลย ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ…”

หลังจากเธอขอโทษขอโพยซ้ำแล้วซ้ำเล่า นัดเวลากับสถานที่ใหม่ ทั้งยืนยันว่าจะรักษาเวลา แล้วจึงวางสาย

พอเธอหันกลับมาอีกครั้ง เขาก็จ่ายเงินเสร็จแล้ว ถือของที่ใส่ถุงไว้อย่างเรียบร้อย

เธอมองเขา สีหน้าปรากฏแววอิดโรย

เขายื่นหนังสือให้เธอ เธอลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะรับไป

“ราคาเท่าไร”

เขาบอกราคาที่เจ้าของร้านบอกเมื่อครู่นี้ให้เธอ ได้ยินแล้วเธอก็หยิบเงินเยนจากกระเป๋าหนังให้เขาทันที

“ไปกัน” เขารับธนบัตรไปก็ยัดใส่กระเป๋ากางเกงโดยไม่ตรวจสอบ

“ไปไหน” เธอถามงงๆ

“ก็คุณไม่ได้จะไปอาซากุสะหรือ”

“คุณรู้ได้…”

“คุณเพิ่งพูดตอนโทรศัพท์” เขาพูดพลางออกเดินนำ “ผมจะไปขึ้นรถไฟฟ้าพอดี”

เธอมองเขางงๆ ผ่านไปหนึ่งวินาทีก็กอดหนังสือเดินตามเขาไป แต่ก็อดถามด้วยความสงสัยไม่ได้

“คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ตรงนี้มาสองชั่วโมงแล้ว”

ถามออกไปแล้วเธอก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เลยรีบเสริมว่า “ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับระเบิดหรือกลุ่มผู้ก่อการร้ายอีกละก็ ไม่ต้องบอกฉันล่ะขอร้อง”

“ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับกลุ่มผู้ก่อการร้าย”

เขาพูดยิ้มๆ แต่เธอยังระแวง

“สองชั่วโมงที่แล้วผมผ่านทางมาก็เห็นคุณอยู่ที่นี่”

ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มบูดบึ้ง “คุณเห็นฉันตั้งแต่ตอนเดินผ่านมาก่อนหน้านี้?”

“มีไม่กี่คนหรอกที่ผ่านมาเห็นขนมไดฟุกุยักษ์อยู่บนถนนแล้วจะทำเป็นเมินไปได้ง่ายๆ” เขาพูด อดยิ้มอีกครั้งไม่ได้ “ตอนแรกผมก็คิดว่าคุณหลงทาง แต่พอเห็นคุณหยุดอยู่ที่ร้านหนังสือร้านนั้น ผมก็เลยนึกว่าคุณกำลังตามหาร้านนั้นมาตลอด”

ใบหน้าเล็กๆ ของเธอบูดบึ้งขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะยอมรับอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักว่า “ฉันหลงทางค่ะ”

ท่าทีไม่ค่อยอยากจะยอมรับของเธอทำให้เขาขำ เขาเลิกคิ้วถาม “บันทึกการเดินทางเล่มนั้นน่าสนใจตรงไหนกัน ผมนึกว่าคุณเป็นนักศึกษาวิจัยด้านประวัติศาสตร์ซะอีก”

“บันทึกการเดินทางก็เป็นประวัติศาสตร์นะ” เธอพึมพำ “เดิมทีประวัติศาสตร์คือสิ่งที่ผู้คนที่แตกต่างจดบันทึกผ่านมุมมองส่วนบุคคลที่แตกต่าง คนรุ่นหลังทำได้เพียงนำสิ่งที่มีการบันทึกไว้กับส่วนเสี้ยวของงานเขียนมาปะติดปะต่อ แล้วร้อยเรียงขึ้นอีกทีจนกลายเป็นเค้าโครงเรื่องที่เลือนราง”

วิธีพูดของเธอทำให้เขาอมยิ้ม

“ส่วนบุคคล? ไม่ใช่ว่าต้องมองตามความเป็นจริงหรือ”

“บนโลกนี้ไม่มีใครที่มองโลกตามความเป็นจริงมากพอ ทุกคนต่างก็ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางในการมองเหตุการณ์กันทั้งนั้น” เธอหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “ถ้าหากคนเรามองโลกตามความเป็นจริงมากพอก็คงไม่มีการทำสงคราม แต่นี่ก็คือมนุษย์ละ พวกเราต่างโง่เขลา ต่างก็ฉลาดไม่พอ ถึงได้พึ่งพาการใช้ความรุนแรงและการต่อสู้ในการยุติปัญหา จากนั้นถึงค่อยได้บทเรียนจากความทุกข์”

“ผมคิดว่าหลายพันปีมานี้เราผ่านสงครามมามากพอแล้ว”

“ยังไม่พอ” เธออุ้มหนังสือ ถือผ้าเช็ดหน้า ยักไหล่ท่ามกลางลมหนาว “แต่สักวันหนึ่งในอนาคตก็คงจะพอ”

“ทำไมคุณถึงมั่นใจนักล่ะ” เขาหยุดอยู่ที่หน้าประตูข้างของอาคารขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง เห็นเธอยังคงเดินต่อไปข้างหน้าเขาก็ยิ้มแล้วยื่นมือออกไปรั้งตัวเธอไว้ “นี่ ทางเข้าอยู่ตรงนี้”

เธอเบิกตากว้าง หยุดที่ปากทางเข้าแล้วมองดูอย่างไม่อยากจะเชื่อ พูดอย่างหัวเสีย “นี่ทางเข้าหรือ เมื่อกี้ฉันเดินผ่านไปตั้งหลายรอบ! ทางเข้าสถานีรถไฟฟ้านี่มันไม่เตะตาสุดๆ!”

“มารูโนะอุจิเป็นรถไฟใต้ดินสายแรกของญี่ปุ่น มันเลยค่อนข้างเก่า จะเล็กไปหน่อยก็ไม่แปลก ผมนึกว่าคุณสนใจของเก่าแก่ซะอีก”

“คุณชอบผู้หญิง ไม่ได้แปลว่าคุณจะสนใจผู้หญิงทุกคนที่มีอายุตั้งแต่สามขวบถึงแปดสิบปี!” เธอพูดโดยไม่หันมามอง

พูดได้ดี

ดวงตาเขาเป็นประกาย เขาเห็นด้วยกับที่เธอพูดพลางเดินตามเธอลงทางเข้าสถานีรถใต้ดินไป

มองดูขนมไดฟุกุที่เดินกระย่องกระแย่งลงบันไดอยู่ตรงหน้าก็นึกขึ้นมาได้ว่าเธอซุ่มซ่ามมากขนาดไหน ชั่ววินาทีนั้นเขาคิดว่าเธอจะกลิ้งตกลงไปราวกับไดฟุกุลูกหนึ่งขึ้นมาจริงๆ

ภาพในหัวทำให้เขานึกอยากจะหัวเราะ เขาพยายามกลั้นเอาไว้ แต่พอเธอมาถึงทางเข้าที่ต้องแตะบัตรเธอดันลืมถอดเสื้อฟลีซใหญ่เทอะทะออก เขาเองก็คิดไม่ถึง เดินเข้าไปในทางเข้าช่องข้างๆ แล้วก็ได้ยินเสียงร้องอย่างตกใจของเธอ

“อ๊ะ…เฮ้ย…นี่…ใครก็ได้…”

เขาชะงัก พอหันไปมองก็เห็นเธอติดอยู่ในทางเข้าช่องแตะบัตรโดยสาร เสื้อนอกกับกระเป๋าสะพายทำให้ตัวเธอใหญ่เทอะทะเกิน หากว่าเธอตัวสูงกว่านี้อีกสักนิดเธอก็คงจะไม่ติดอยู่แบบนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าเธอยังสูงไม่พอ

หญิงสาวติดอยู่ตรงนั้น สีหน้าท่าทางแตกตื่นดูตลกมาก ครั้งนี้เขาหัวเราะออกมาเสียงดัง แต่ก็ยังมีน้ำใจวางถุงที่อยู่ในมือแล้วหันไปช่วยดึงเธอออกมาจากช่องแตะบัตรโดยสาร

“ไม่ตลกเลยสักนิด!” เธอหน้าแดงจรดใบหู

“คุณควรจะขอบคุณที่ผมช่วยคุณสิ” เขาพยุงเธอให้ยืน

“ขอบคุณที่ช่วย” เธอหน้าแดง รูดซิปเสื้อฟลีซสีขาวแล้วถอดออกพลางย้ำอีกครั้งว่า “แต่ว่ามันไม่ตลกเลยสักนิด!”

“ผิดแล้ว…นี่มันตลกมาก คุณต้องเห็นสภาพตอนคุณติดอยู่ตรงนั้น…” เขาพูดพลางหัวเราะพลาง “พอคุณเก็บไปคิดดูหลังจากนี้ก็จะรู้ว่ามันตลก นี่คุณไปได้เสื้อนอกตัวนี้มาจากไหนเนี่ย”

“ตัวนี้ยายฉันให้มา! พยากรณ์อากาศบอกว่าโตเกียวอาจมีหิมะตก! ฉันก็แค่อยากสวมเสื้อผ้าอุ่นๆ! ฉันไม่ชอบเป็นหวัด!” เธอคว้าเสื้อนอกขาวตัวใหญ่หนาฟูที่ใหญ่กว่าตัวเธอเกือบเท่า พูดกับเขาเสียงกร้าวด้วยความโกรธระคนอาย แล้วรีบร้อนเดินจากเขาไป

เขาก้มตัวหิ้วถุงกระดาษที่เพิ่งวางลงบนพื้นขึ้นมา เดินแค่ไม่กี่ก้าวใหญ่ๆ ก็ตามเธอทัน

เธอยืนต่อแถวอยู่บนชานชาลา เขายืนนิ่งอยู่ข้างหลังเธอ แต่ก็ยังอยากหัวเราะอยู่

เธอโกรธกระฟัดกระเฟียด ใบหน้ายังคงแดงซ่าน ผมดำยุ่งเหยิงชี้ฟูไม่เป็นระเบียบ ดูแล้วน่ารักเหลือเกิน

เขารู้ว่าเธอไม่อยากจะพูดกับเขา เธอเป็นคนฉลาด เธอรู้ว่าไม่ควรเอาตัวไปเสี่ยงกับอันตราย ถึงได้ยืนกรานไม่อยากรับรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ ครั้งก่อนเธอก็รีบร้อนเดินทางออกจากกรุงแบกแดดตามคำแนะนำของเขา หนีได้เร็วยิ่งกว่ากระต่ายหนีสิงโตอีก

คนปกติมักไม่อยากมีส่วนเกี่ยวพันกับเหตุระเบิดหรือกับกลุ่มผู้ก่อการร้าย แต่เขาคือคนที่เกี่ยวข้องกับสองสิ่งนี้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่ถามชื่อของเขา งานของเขา หรือว่าเขากำลังทำอะไรอยู่

เขาก้มมองดูเกลียวผมบนศีรษะเธอ ถามยิ้มๆ ว่า

“เมื่อกี้คุณบอกว่าบางทีอาจมีสักวันที่มนุษย์จะได้รับบทเรียนจากประวัติศาสตร์ในที่สุด จะไม่สร้างสงครามอีกต่อไป ทำไมคุณถึงมั่นใจนักล่ะ คุณพูดเองว่ามนุษย์เรานั้นโง่เขลา”

เธออดกลั้นแล้วอดกลั้นอีก เขามองเห็นเธอทิ้งน้ำหนักทั้งตัวไปที่เท้าซ้าย ย้ายมาที่เท้าขวา แล้วก็ย้ายกลับไปที่เท้าซ้ายอีก ท่าทางเริ่มอยู่ไม่สุข เขารู้ว่าเธอจะอดใจไม่อยู่ เขาเข้าใจธาตุแท้ของนักวิจัยอย่างเธอดีว่าชื่นชอบการพูดคุยเรื่องยาวๆ มากแค่ไหน

สิบสามวินาทีให้หลังเธอก็เลิกต่อต้านตามที่เขาคาด เอ่ยปากอย่างไม่เต็มใจนักว่า

“ฉันก็ไม่ได้มั่นใจ ฉันแค่มีความหวังเฉยๆ แต่ใครจะไปรู้ล่ะ เมื่อร้อยปีก่อนพวกเรายังทำสงครามโลกกันตั้งสองครั้ง ทำให้คนอดอยากขัดสนไปกว่าครึ่งค่อนโลก ตอนนี้แม้โลกเราจะมีสงครามเป็นบางแห่ง แต่อินเตอร์เน็ตพัฒนาขนาดนี้ ทำให้เข้าถึงข่าวสารได้ไว เมื่อภาพความเลวร้ายของสงครามเผยแพร่ออกมาไม่หยุดหย่อน ถ้าได้ลองเอาใจเขามาใส่ใจเราแล้วฉันก็เชื่อว่าจะต้องมีสักวันที่คนเราจะนำประวัติศาสตร์มาเป็นบทเรียน”

“หรือบางทีคนอาจจะเห็นภาพอันโหดร้ายเหล่านั้นจนกลายเป็นชินชา”

เขาได้ยินตัวเองหลุดคำพูดประโยคนี้ออกไป ชั่วเวลานั้นเขาถึงรู้ตัวว่าไม่ควรพูดแบบนี้ แต่ว่าไม่ทันแล้ว เขาเห็นเธอเกร็งไหล่ขึ้นมาเพราะคำพูดประโยคนี้

รถไฟฟ้ามาถึงพอดี ผู้คนเดินเข้าไปในรถ เธอเองก็เดินเข้าไป เขาตามหลังเธอเข้าไปด้วย บนรถคนแน่นมาก เธอถูกเบียดให้มายืนอยู่ตรงประตู เนื่องจากตัวเตี้ยมากจึงได้แต่จับราวโลหะข้างประตูไว้

ส่วนเขา เนื่องจากตัวสูงพอ เขาจึงไม่จับห่วง แค่วางถุงใส่กระต่ายขาวไว้ข้างเท้า มือหนึ่งจับราวบนสุดของตัวรถ อีกมืออ้อมไหล่เธอมาจับราวเดียวกัน ปกป้องร่างหญิงสาวที่ตัวเล็กกว่าเขามากเอาไว้

รถไฟฟ้าออกตัว คนบนขบวนรถแน่นมาก แต่ส่วนใหญ่ก็จะยืนกันนิ่งๆ นานๆ ทีจึงจะพูดคุยกัน และต่างก็ส่งเสียงเบามากๆ

เธอกอดเสื้อนอกตัวนั้นไว้ มองออกไปยังความมืดภายนอกรถ

รถไฟฟ้าแล่นไปเรื่อยๆ เขาคิดว่าเธอจะไม่พูดกับเขาอีก แต่แล้วก็ได้ยินเสียงของเธอ

“ถ้างั้นคุณชินชารึยัง”

เขานิ่งไป เห็นเธอมองสบตาเขาผ่านเงาของกระจกรถไฟฟ้าที่สะท้อนกลับมา

พริบตานั้นหน้าอกราวกับมีบางอย่างอุดอยู่

จากนั้นเธอก็ถอนสายตาจากกระจกหันมามองเขาโดยตรงแทน เขาลดสายตาลงสบกับดวงตาที่แบ่งแยกขาวดำชัดเจนของเธอโดยอัตโนมัติ

“คุณชินชารึยัง”

เธอเงยหน้ามองเขา ใช้ดวงตาดำที่ใสราวกระจกจ้องเขาเขม็ง เอ่ยปากถามซ้ำอีกครั้ง

ชั่ววินาทีนี้ราวกับว่าหญิงสาวตรงหน้าได้ทะลุผ่านปราการอันแน่นหนาตรงเข้ามาอ่านใจของเขา

รอยยิ้มขบขันที่ประดับตรงมุมปากตลอดเวลาค่อยๆ จางหายไป

รถไฟฟ้ายังคงแล่นต่อไป เขากำราวที่อยู่ด้านบนและเม้มปากแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว แต่กลับไม่สามารถละสายตาจากดวงตาเธอได้

เธอเองก็เอาแต่จ้องเขาอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมละสายตาไปไหน

จากนั้นเขาก็ได้ยินตนเองพูดว่า

“ผมไม่รู้”

รถไฟฟ้าลดความเร็วและหยุดลงในที่สุด

ถึงสถานีอาซากุสะแล้ว

เขาปล่อยราวจับ คว้าถุงเดินตามฝูงชนออกจากรถแล้วหมุนตัวก้าวยาวๆ จากไป แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงเธอตะโกน

“นี่!”

เขาหยุดฝีเท้า หันกลับไปมอง เห็นเธอยืนกอดเสื้อนอกสีขาวกับหนังสือบันทึกการเดินทางเล่มนั้นอยู่ท่ามกลางผู้คนที่เดินกันขวักไขว่

เธอมีท่าทีลังเลเล็กน้อย เขาสังเกตเห็น สัมผัสได้ถึงความหวาดหวั่นและลังเลของเธอ

จากนั้นเธอก็เอ่ยปากถาม

“คุณชื่ออะไรคะ”

เขานิ่งไปชั่วขณะ

ผู้หญิงคนนั้นกลับสูดหายใจลึกๆ ทำราวกับกำลังจะไปสู้กับสัตว์ประหลาด เธอยืดตัวตรงเดินมาตรงหน้าเขาแล้วเลิกคิ้วให้

“ทำไม ลืมชื่อตัวเองหรือ”เธอพูดพลางมองเขา “หรือว่าถ้าหากคุณบอกฉันแล้วจะต้องฆ่าฉันทิ้ง”

รอยยิ้มกลับมาประดับบนมุมปากเขาอีกครั้งโดยไม่ทันรู้ตัว

“เกิ่งเนี่ยนถัง” เขามองตอบเธอ บอกชื่อเขาแก่เธอเป็นภาษาจีน “เกิ่งในคำว่าซื่อสัตย์จริงใจ เนี่ยนในคำว่าคิดถึง ถังแบบดอกไห่ถัง”

เธอเงยหน้ามองเขาท่ามกลางฝูงชน

“เว่ยเสี่ยวหม่าน” หญิงสาวกะพริบตาดวงเล็กสีดำขลับ กอดแขนตัวเองแน่น มองมาที่เขา “เว่ยที่มาจากราชวงศ์เว่ย เสี่ยวที่แปลว่าเล็ก หม่านในคำว่าพึงพอใจ”

เขารู้แล้ว ทั้งยังแน่ใจว่าเธอรู้ว่าเขารู้

เขาเคยเอากระเป๋าสตางค์กับบัตรประชาชนของเธอไป บนบัตรประชาชนมีชื่อของเธออยู่

รอยยิ้มที่มุมปากขยายกว้างขึ้นไปถึงดวงตา

หน้าเธอแดงขึ้นมาราวกับลูกมะเขือเทศ

“ขอบคุณที่มาส่งถึงที่นี่” เธอพูดกับเขาทั้งหน้าแดงก่ำ “ฉันต้องไปแล้ว ไม่งั้นเดี๋ยวจะสายอีก”

เธอพูดแล้วก็รีบเดินจากไปอย่างรวดเร็วจนเกือบจะชนคนเข้า เพื่อที่จะหลบเลี่ยงเธอจึงถอยไปทางซ้าย แต่ขาซ้ายดันมาขัดกับขาขวา…

อีกครั้งที่เขารวบตัวเธอไว้ได้ทันก่อนจะล้มลงพร้อมกับคว้าบันทึกการเดินทางในแอฟริกาที่กระเด็นออกจากอ้อมแขนเธอ เขามองเธอเคอะเขินเอียงอายจนหน้าแดงก่ำไปถึงใบหู

“คุณรู้ไหม…”

“ห้ามพูด!”

“โอเค” เขารับปากแต่ไม่วายหัวเราะ

เธอยืนให้ตรง ได้ยินเสียงเขาหัวเราะอีกครั้งก็ทั้งเขินทั้งโมโหจนหน้าแดง “ทุกคนก็มีเรื่องที่ไม่ค่อยถนัดกันทั้งนั้น!”

“ถูกต้อง ทุกคนก็มีเรื่องที่ไม่ค่อยถนัดกันทั้งนั้น”

เขาพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นก็หยุดไปอึดใจหนึ่ง ในที่สุดก็โพล่งออกมาด้วยความขบขันว่า “แต่ผมไม่เคยเห็นคนที่อยู่ดีๆ ก็สะดุดล้มลงบนพื้นเรียบได้นี่นา”

“หัวเราะเยาะปมด้อยของคนอื่นนี่มันนิสัยเสียสุดๆ” เธอผละออกห่างอย่างอารมณ์เสีย

“ช่วยไม่ได้ ผมก็เป็นคนนิสัยเสียแบบนี้แหละ” เขาก้าวยาวๆ ตามไป

“คุณตามฉันมาทำไม” เธอพูดอย่างโมโห “เมื่อกี้คุณจะไปออกอีกทางไม่ใช่หรือ”

“ให้พูดจริงหรือ” เขาพูดยิ้มๆ

“ไม่ ฉันหวังว่าคุณจะแกล้งพูด” เธอตอบไม่ตรงกับใจคิดด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์ รีบเดินขึ้นบันได

“ผมกลัวว่าคุณจะเดินตกบันได กลิ้งเข้าไปในชานชาลา แล้วก่ออุบัติเหตุทางการจราจรเพิ่มขึ้น”

คำตอบนี้ทำให้เธอหันไปถลึงตาใส่เขา เขายิ้มตอบด้วยรอยยิ้มสดใสไร้เดียงสาตามแบบฉบับของหนุ่มน้อย

เธอหน้าแดงตามคาด รีบหันหน้าหนีไป ตั้งใจเดินก้าวขึ้นบันไดแทน เธอแตะบัตรของเธอเดินออกไป ครั้งนี้เธอไม่ติดอยู่ในช่องแตะบัตรผ่านประตูแล้ว เมื่อก้าวพ้นจากช่องแตะบัตรแล้วค่อยสวมเสื้อนอกทำให้เธอกลายเป็นขนมไดฟุกุสีขาวอวบอ้วนอีกครั้ง

เมื่อเธอมาถึงประตูสถานีรถใต้ดินโดยสวัสดิภาพ ลมหนาวที่พัดมาอย่างกะทันหันทำเอาเธอขดตัวเป็นก้อน

หลังจากฟ้ามืดแล้วอุณหภูมิยิ่งลดต่ำลง หนาวจนเสื้อสีขาวของเธอก็ยังต้านทานไม่อยู่ เลยต้องซุกคอและศีรษะเข้าไปในเสื้อตัวยักษ์

เธอหนาวจนต้องซุกตัวเหมือนเต่าที่หดหัวอยู่ในกระดอง เขาวางถุงในมือลงแล้วหยิบบันทึกการเดินทางใส่เข้าไปโดยไม่ต้องคิด ปลดผ้าพันคอออกด้วยความเคยชินมาพันรอบคอของเธอ

เธอสะดุ้งหันมา เขาถึงเพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป

“คุณทำอะไร” หน้าตาเธอดูตื่นตกใจ

“พันคอไว้แล้วลมจะไม่เข้า อย่างนี้จะได้ไม่เป็นหวัด” เขาพันผ้ารอบคอเธอ ยิ้มพลางกล่าว “แม่ผมเคยบอก”

เธอมองเขางงๆ

“เอาล่ะ คุณมีนัดไม่ใช่หรือ ยังไม่รีบไปอีก”

พูดแล้วก็ดึงหมวกที่ห้อยอยู่ด้านหลังเธอขึ้นมาคลุมศีรษะให้

เธอหน้าแดง อ้าปากแล้วก็หุบลง ว้าวุ่นใจไปสักพักก่อนจะเดินจากไปทั้งหน้าแดง

ครั้งนี้เธอไม่ได้เดินชนใครอีก

คืนวันนั้น เมื่อเขากลับถึงโรงแรมถอดเสื้อนอกออกถึงได้พบว่าบันทึกการเดินทางไปแอฟริกาอยู่ในถุงที่เขาใส่กระต่ายยักษ์สีขาว

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

sangdow Marcom: