X
    Categories: Jamsaiทดลองอ่านล่ารักเกมอันตราย ชุด Red Eye

ทดลองอ่าน ล่ารักเกมอันตราย ตอนที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 3

 

กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา

ขณะที่เกิ่งเนี่ยนถังเข้าไปในหอสมุดรัฐสภาอเมริกันเขาไม่นึกเลยว่าจะได้เจอกับหญิงร่างบางคนนั้น แต่พอเขาได้ยินเสียงใสเจื้อยแจ้วของเธอ เขาก็จำได้ในทันที

เว่ยเสี่ยวหม่าน

โลกนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ เล็กก็ไม่เล็ก แต่เขาเดินทางไปไหนต่อไหนกลับได้เจอเธอโดยบังเอิญถึงสามครั้งภายในเวลาแปดเดือน? ไม่เรียกว่าฟ้าลิขิตแล้วจะเรียกว่าอะไร

เขาเลี้ยวเดินไปยังทิศทางนั้นผ่านชั้นหนังสือชั้นแล้วชั้นเล่าด้วยความสงสัยใคร่รู้

มีเสียงผู้ชายกับผู้หญิงกำลังสนทนากันด้วยเสียงอันเบา แต่ว่าหูของเขาดีมาก

“ไม่ได้ๆ…คุณจะทำแบบนี้ไม่ได้…”

“ฉันจะทำแบบนี้ไม่ได้? ฉันจะทำแบบนี้ไม่ได้! นี่ พ่อคนยโสโอหังอวดดี! ฟังฉันนะ นับแต่นี้เป็นต้นไปอย่ามายุ่งกับซายากะ คุณต้องลบคลิปที่แอบถ่ายทิ้งให้หมดแล้วคืนวิทยานิพนธ์กับชื่อให้เธอซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะเปิดเผยเรื่องทุกอย่างให้คนเขารู้กันทั่ว”

“จะไม่มีใครเชื่อคุณ!”

“ก็แค่ปุ่มเดียวเอง ฉันแค่กดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ชื่อเสียงของคุณก็จะย่อยยับป่นปี้”

“แกกล้าหรอ! ฉันสาบานว่าแกจะต้องชดใช้ในสิ่งที่แกทำ!”

“จะลองดูก็ได้!”

ชักไม่เข้าท่าซะแล้ว

ไม่เคยมีใครเคยบอกเธอหรือไงว่าอย่าไปข่มขู่คนพาลสุ่มสี่สุ่มห้า

เขาเร่งฝีเท้าแล้วก็ได้ยินเสียงฝ่ายชายผรุสวาทหยาบคายออกมา

“แกจะทำแบบนี้ไม่ได้! หยุดเดี๋ยวนี้! ฉันบอกให้หยุดไง! นางผิวเหลืองแพศยา…!”

เธอกรีดร้องออกมา เขารวบตัวเธอไว้ได้ทันเวลาก่อนที่เธอจะหกล้มอีกครั้ง แล้วรุนเธอไปด้านหลัง ทำให้เธอหลบพ้นจากหนังสือหนาหนักในมือของชายสวมเสื้อกั๊กผ้าขนสัตว์ได้อย่างฉิวเฉียด ก่อนจะคว้าข้อมือข้างขวาของเจ้างั่งนั่นและบิดจนหลุด

หนังสือหนาหนักร่วงลงบนพื้น ชายคนนั้นลงไปกองกับพื้นกุมข้อต่อที่หลุดและร้องเสียงโอดโอย เกิ่งเนี่ยนถังกระชากเนคไทหมอนั่นเข้ามาเพื่อหยุดเสียงร้องราวหมูถูกเชือดไว้

“ทางที่ดีคุณควรจะหุบปากซะ เพื่อความสงบของห้องสมุดและรักษาชื่อของคุณไว้ ตกลงไหม”

ชายคนนั้นทั้งกลัวทั้งเจ็บ ในตามีน้ำตาคลอเบ้า

“เข้าใจแล้วก็พยักหน้า” เกิ่งเนี่ยนถังยิ้มแล้วเอื้อมมือไปจับที่ข้อต่อของชายคนนั้น

ชายคนนั้นน้ำตานอง รีบพยักหน้าทั้งที่ยังส่งเสียงโอดโอย

“มองมาที่ผมนี่…ดีมาก ใช่ แบบนี้แหละ คุณจะได้รู้ว่าผมทำจริง” เกิ่งเนี่ยนถังพูดขณะที่ยังกุมข้อมือชายคนนั้น ยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วกล่าวว่า “คุณคนนี้เพิ่งบอกให้คุณทำอะไรไป คุณก็รีบกลับไปทำซะ โอเคไหม”

ชายคนนั้นพยักหน้าอย่างรวดเร็ว

“ศาสตราจารย์ คุณเป็นศาสตราจารย์ใช่มั้ย เยี่ยม ดีใจจริงที่สายตาผมยังเฉียบแหลมอยู่ ศาสตราจารย์ที่รัก คุณจำได้มั้ย ในสมัยที่คุณยังเด็กจะมีเด็กเกเรที่ชอบรังแกเด็กสี่ตาขี้ขลาดอย่างคุณ ผมน่ะเป็นคนประเภทนั้นแหละ จริงๆ แล้วผมอาจเป็นเด็กเกเรที่คุณเกลียดและกลัวมากที่สุดที่เคยเจอด้วยซ้ำ”

เกิ่งเนี่ยนถังฉีกยิ้มมองชายที่พยายามรักษาภาพลักษณ์ตรงหน้า

“ผู้หญิงที่ทั้งน่ารักและยากจะตอแยด้วยด้านหลังผมท่านนี้เป็นเพื่อนของผมเอง คุณมาหาเรื่องเธอก็เท่ากับหาเรื่องผมด้วย แล้วถ้าเกิดเธอเป็นอะไรขึ้นมาละก็ ผมจะมาเอาเรื่องกับคุณแน่นอน ซึ่งผมก็เกลียดที่จะต้องมานั่งสะสางเรื่องแบบนี้ ถึงตอนนั้นคุณจะไม่ได้เจ็บแค่มือแน่นอน เข้าใจหรือเปล่า”

ชายคนนั้นพยักหน้าอีกครั้งด้วยความหวาดผวา หน้าผากปรากฏเหงื่อเม็ดเป้ง

“เยี่ยม ดีใจที่เราตกลงกันได้” เกิ่งเนี่ยนถังลูบหัวไหล่ข้างที่ข้อต่อหลุดของชายคนนั้นอย่างอารมณ์ดี ช่วยอีกฝ่ายที่เจ็บจนเหงื่อแตกพลั่กให้ยืนขึ้นมา

“พูดตามตรง ผมรู้ว่าการเจตนาฆ่าที่ล้มเหลวเมื่อครู่นี้ของคุณเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ บางทีคำพูดของผู้หญิงก็อาจจะร้ายกาจไปบ้าง แต่เราก็ไม่ควรจะเอาทั้งชีวิตมาแลกกับเรื่องแบบนี้ ถูกไหม ลองคิดถึงเงินบำนาญกับชีวิตหลังเกษียณของคุณดูสิ แล้วลองคิดถึงชีวิตที่ต้องมาติดคุกในข้อหามีเจตนาฆ่าดู คงเลือกไม่ยากหรอกใช่หรือเปล่า”

ชายคนนั้นลนลานพยักหน้ารับ

“ผมอยากจะต่อกระดูกข้อมือที่หลุดให้คุณนะ แต่ผมกลัวว่าคุณจะลืมที่ตกลงกันไว้เร็วเกินไป ผมเชื่อว่าคุณรู้ว่าโรงพยาบาลอยู่ที่ไหน หรือคุณจะให้ผมช่วยค้นกูเกิลให้”

ชายคนนั้นส่ายศีรษะด้วยใบหน้าซีดเผือด

“แสดงว่าคุณรู้ว่าโรงพยาบาลอยู่ไหน งั้นก็รีบไปซะสิ”

ชายคนนั้นได้ยินแล้วก็กระวีกระวาดเช็ดน้ำตา กุมข้อมือตัวเองจากไปอย่างรีบร้อนโดยไม่กล้าแม้แต่จะปรายตามองเขา

รอจนฝ่ายตรงข้ามลับตาไป เกิ่งเนี่ยนถังก็หันมาหาหญิงสาวที่กำลังมองเขาปากอ้าตาค้าง

“ไฮ” เขาส่งยิ้มยิงฟันขาวให้เธอ “ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”

สองตาเธอเบิกกว้างมองเขาอย่างตกตะลึง

“คุณมาทำอะไรที่นี่”

“มาห้องสมุดก็ต้องมาอ่านหนังสือสิ” เขาพูดอย่างขบขัน “นอกจากว่าคุณจะนัดใครมาคุยธุระกันที่นี่”

เธอกลอกตาไปมาด้วยท่าทีที่ยังตกใจไม่หาย

“พูดถึงหนังสือ” เขามองเธอ “บันทึกการเดินทางไปแอฟริกาของคุณยังอยู่ที่ผม”

เธอกลอกตาอีกรอบ มือที่สั่นน้อยๆ ใบหน้าที่ขาวซีด รีมฝีปากไร้สีเลือดและผมเผ้ายุ่งเหยิงเคลียสองข้างแก้มของเธอทำให้เธอยิ่งดูเหมือนกระต่ายน้อยที่ตื่นตกใจมากขึ้น

เห็นเธอยังคงเสียขวัญอยู่ เขาเลยเอ่ยถาม “คุณกินข้าวรึยัง”

“ยัง” เธอพึมพำ

“ดีเลย” เขาคว้ามือที่เย็นเฉียบของเธอ “ผมก็ยังไม่ได้กิน งั้นเราไปหาอะไรกินกัน”

“กินข้าวหรือคะ”

“ใช่ กินข้าว หรือไม่ก็หาอะไรอย่างช็อกโกแลตร้อนดื่มกัน”

เขาเห็นเธอหยุดไปชั่วครู่ แต่พอเขาจูงมือเธอเดินออกไปข้างนอกเธอก็ไม่ขัดขืน

น่าจะเป็นเพราะได้ยินคำว่าช็อกโกแลตร้อน

อืม! หนุ่มๆ ทั้งหลาย ช็อกโกแลตร้อนช่างเป็นมิตรที่ดีต่อท่านจริงๆ!

เดือนเมษายน อากาศอบอุ่นดอกไม้ผลิบาน

ดอกซากุระที่กรุงวอชิงตันบานสะพรั่งไม่แพ้ที่ญี่ปุ่นเลยแม้แต่น้อย

พอเสี่ยวหม่านรู้ตัวอีกที เธอก็มาอยู่ที่ริมฝั่งไทดัลเบซินแถวเนชั่นแนลมอลล์ มือหนึ่งถือช็อกโกแลตร้อน มือหนึ่งถือฮอตดอกราดซอสเยิ้มๆ ท่ามกลางดอกซากุระที่กำลังเบ่งบาน

เห็นอาหารร้อนควันกรุ่นตรงหน้าแล้วเธอก็ลังเล เธอไม่ควรจะกินของร้อนขนาดนี้ แต่ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ เธอกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย อีกอย่างเธอเพิ่งเกือบถูกฆ่าด้วยหนังสือ…

ไม่กินตอนนี้แล้วจะกินอีกทีตอนไหน

เธอเลิกคิดแล้วอ้าปากกัดฮอตดอกที่กำลังร้อนสุดๆ เข้าไปเต็มปากเต็มคำอย่างไม่มีการเกรงใจอยู่ใต้ต้นซากุระที่ออกดอกสีชมพู

ฮอตดอกรสชาติทั้งเค็มทั้งเผ็ด เพิ่มแตงกวาดองและซอสมะเขือเทศยิ่งชวนให้น้ำลายสอ เธอกัดอีกคำแล้วก็อีกคำ

แม้ว่าจะย่างเข้าเดือนเมษายนแล้วและวันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง อุณหภูมิในวอชิงตันกลับไม่สูงมาก เมื่อมีลมพัดมาก็ยังหนาวอยู่ แต่เธอก็นำเสื้อฟลีซสีขาวที่ใส่แล้วอุ่นมากมาด้วย

ช็อกโกแลตร้อนที่หวานจัดไม่เข้ากับฮอตดอกเลยสักนิด แต่เธอก็ไม่สนใจ เพราะเธอชอบช็อกโกแลต ยิ่งไม่สนเมื่อได้ดื่มช็อกโกแลตปลอบใจหลังจากที่เกือบจะถูกหนังสือฟาดตาย

ชายหนุ่มข้างเธอถกแขนเสื้อขึ้นมาถึงศอกและนั่งไขว่ห้าง กินฮอตดอกหมดภายในไม่กี่วินาทีต่อมาพร้อมกับดื่มโค้กแก้วใหญ่ มือข้างหนึ่งวางพาดอยู่บนพนักเก้าอี้สวนสาธารณะด้วยท่าทางสบายๆ

“ถามจริง ทำไมคุณถึงนัดคนมาคุยธุระกันในที่แบบนั้น”

“ถามจริง ทำไมคุณถึงมาที่หอสมุดรัฐสภา” เธอถามกลับโดยไม่ตอบคำ

“ผมไปหาหนังสือ” เขาไม่ว่าอะไรที่เธอถามขัด เพียงยิ้มแล้วตอบว่า “เจ้านายผมให้ผมมาหาข้อมูลจากหนังสือที่ยืมออกไปไม่ได้”

ข้อมูลเกี่ยวกับอะไร…

เธอหยุดคำถามไว้ที่ปลายลิ้นก่อนที่จะหลุดออกไป เธอไม่ได้อยากจะรู้จริงๆ หรอกว่าเขากำลังหาข้อมูลบ้าอะไรอยู่ พูดให้ถูกก็คือถึงเธอจะอยากรู้ แต่เธอเพิ่งรักษาชีวิตน้อยๆ นี้ไว้ได้ เธอจึงยังไม่อยากจะเอาไปเสี่ยงอีก

เธอยังจำได้ดีว่าปีที่แล้วเธอไปเจอกับหมอนี่ได้ยังไง

บ้าจริง ที่เธอถามเขาไปก็เพราะไม่อยากตอบคำถามเขาเท่านั้นเอง แต่เหมือนว่าเขาจะรู้ทัน

เธอกัดฮอตดอกแรงๆ อีกคำ ชายข้างๆ เธอก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ เพียงแค่นั่งไขว่ห้างดูดโค้กแก้วใหญ่ของเขาด้วยหลอด

เธอยังคงเคี้ยวกลืนอาหารต่อไป ผ่านไปสักพักก็มองดูทัศนียภาพริมน้ำกับสถาปัตยกรรมรูปโดมที่ทำจากหินอ่อนสีขาวตรงหน้า

ต้นซากุระออกดอกสีชมพูที่อยู่รอบทะเลสาบบานสะพรั่งตลอดเส้นทาง

เมื่อมีลมโชยมา ดอกซากุระบางส่วนก็ร่วงโปรยตามแรงลม

ทัศนียภาพตรงหน้างดงามราวความฝัน

เธอกัดฮอตดอกอีกคำ ชายหนุ่มข้างเธอไม่ได้ถามอะไรต่อ ได้แต่นั่งดื่มโค้กไปเงียบๆ

เธอกินช้าๆ พอกินฮอตดอกถึงคำสุดท้ายก็ละเลียดช็อกโกแลตควันกรุ่นต่อ

เมื่อลมโชยมาอีกครั้ง เธอก็ได้ยินตัวเองพูด

“ฉันไม่ได้นัดเขา ฉันแค่ตามเขาเข้าไป” เธอหยุดไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “อีกอย่างฉันคิดว่าเขาคงไม่กล้าทำเรื่องโง่ๆ ในที่สาธารณะหรอก ที่นั่นเป็นถึงหอสมุดรัฐสภาเชียวนะ”

“การกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ ที่ได้ชื่อว่าการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะก็เพราะว่ามันเกิดจากความหุนหันพลันแล่น เกิดจากความคิดชั่ววูบ เนื่องจากได้รับการกระตุ้นจากสิ่งที่มายั่วยุให้กระทำความผิด ในเวลาแบบนั้นคนเรามักจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเอง ทำให้ก่อเรื่องที่ไม่คาดคิดออกมา”

“แล้วมันใช่ความผิดฉันหรือ” เธอหันมามองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ

“ไม่หรอก แต่นี่จะเป็นคำพูดที่ทนายของเขาจะพูดตอนสู้คดี” เขามองเธอและผายมือทำท่าพูด “เรียนท่านผู้พิพากษาที่เคารพรักและคณะลูกขุนที่น่ารักทั้งหลาย ศาสตราจารย์ของเราอุทิศตนให้กับการเรียนการสอนมาโดยตลอด ไม่เคยประพฤติผิดและละเมิดกฎหมายใดๆ ทั้งยังประสิทธิ์ประสาทวิชาให้แก่ปัญญาชนนับไม่ถ้วน ถือเป็นพลเมืองที่ดีคนหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะคุณเว่ยกระทำการยั่วยุเขา เขาคงไม่มีทางเอาหนังสือฟาดเธอด้วยความโมโหชั่ววูบหรอก”

เธออ้าปากค้าง จ้องมองเขาด้วยใบหน้าซีดขาว

เขาเขย่าโค้กให้ก้อนน้ำแข็งละลายส่งเสียงดังซ่าก่อนยักไหล่

“ถ้าทนายคนนั้นมีชั้นเชิงสูงกว่านี้ เผลอๆ อาจจะทำให้กลายเป็นว่าเขาแค่ผลักคุณโดยไม่ได้ตั้งใจ คุณเลยไปชนชั้นหนังสือ แล้วหนังสือก็หล่นลงมาตกใส่ศีรษะที่น่าสงสารของคุณ จากนั้นก็จะสรุปว่าทั้งหมดเป็นอุบัติเหตุ ไม่นานเขาก็จะกลับไปสอนหนังสืออีกครั้ง แต่คุณต่างหากที่จะเข้าไปนอนในหลุมที่มีพงหญ้าขึ้นรก แล้วในเวลาไม่ถึงสองปีทุกคนก็จะลืมคุณ”

เธอมองเขาอย่างจนใจ ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะหาเสียงตัวเองเจอ

“คุณนี่มันวิตถารสุดๆ”

“ผมรู้” เขายิ้มอีก “แต่คุณก็รู้ว่าที่ผมพูดเป็นความจริง”

เธอรู้จริงๆ นั่นแหละ เพราะเหตุนี้เธอเลยยิ่งรู้สึกแย่

“แต่ว่าที่เขาลงมือกับคุณขึ้นมาฉับพลันก็ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกนะ คุณแค่ไม่ควรตามเขาไปแล้วเผชิญหน้ากับเขาตามลำพัง หรือว่าไปข่มขู่ผู้ชายที่ตัวสูงใหญ่กว่าคุณ โดยเฉพาะเมื่อคุณรู้ดีอยู่แล้วว่าคนคนนั้นเป็นคนสารเลวไร้ยางอาย”

เธอหรี่ตามองเขา พูดอย่างเดือดจัด “พูดแบบนี้ไม่ช่วยเลยสักนิด!”

เขาหัวเราะออกมา “ช่วยสิ ครั้งหน้าเวลาคุณคิดจะทำอะไรทำนองนี้ขึ้นมาอีก คุณก็จะได้รู้ว่าต้องหาผู้ช่วยที่รูปร่างสูงใหญ่กำยำหรือไม่ก็…อ๊ะ คุณน่าจะลองโทรแจ้งตำรวจดูนะ”

เธอมองเขา “ถ้าไม่จนตรอกจริง ฉันไม่อยากจะแจ้งความ ก็เขาแอบถ่าย…คลิป!”

อ้อ เธอกลัวเรื่องจะบานปลายนี่เอง

เสี่ยวหม่านพูดอย่างขุ่นเคือง “ฉันไม่อยากให้ซายากะถูกทำร้ายอีก สำหรับเธอ เรื่องทั้งหมดนี้มันก็เลวร้ายมากพอแล้ว”

ไม่ต้องให้เธออธิบาย เขาก็พอเดาได้ว่าน่าจะเป็นคลิปประเภทไหน ตอนนี้มาคิดดูก็รู้สึกว่าบางทีเขาอาจจะลงมือกับไอ้งั่งนั่นเบาไปเสียแล้ว

“เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้เจ้านั่นย่ามใจกล้าทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีกล่ะสินะ เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่สามารถและไม่กล้าพอที่จะพูดออกไป แต่ของอย่างคลิปวิดีโอที่จริงแล้วเป็นดาบสองคม”

“ฉันรู้น่า ฉันถึงได้ไปหาเขาไง” เธอพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันคิดว่าเขาจะยอมวางมือเพราะเหตุนี้ ฉันจะไปรู้ได้ไงว่าเขาจะสมองทึบถึงขนาดคิดฆ่าฉันเพื่อยุติปัญหา”

ได้ยินดังนั้นเขาก็ยิ้ม “คุณว่างๆ น่าจะลองแวะไปฟังศาลพิพากษาดู คนที่ฆ่าคนเพื่อยุติปัญหามีเยอะมากจนคุณต้องอ้าปากค้างแทบหุบไม่ลงเชียวละ ผมว่าคุณคงรู้ว่าในโลกนี้นับแต่อดีตจนปัจจุบัน ที่ไหนก็มีคนที่ใช้วิธีฆ่าคนเพื่อยุติปัญหากันทั้งนั้น”

บ้าชะมัดที่เธอรู้จริงๆ เธอเป็นผู้ศึกษาประวัติศาสตร์

ลมใบไม้ผลิโชยมาอีกระลอก พัดกลีบดอกซากุระร่วงโรย

เธอตวัดสายตาใส่เขา “อย่างงั้นแสดงว่าฉันต้องไปหาผู้ชายที่ร่างสูงใหญ่กำยำมาเป็นเพื่อนก่อนถึงจะยุ่งเรื่องชาวบ้านได้งั้นสิ”

“คุณมีแล้ว” เขายิ้มซุกซน

เธองง “ใครคะ”

เขาเลิกคิ้ว ลูบผมหน้าให้เรียบ ชูสองมือขึ้น ยิ้มพร้อมกับทำท่าเบ่งกล้ามอย่างนักเพาะกาย

“ผมไง”

เธอนิ่งมองดูชายที่กำลังตั้งอกตั้งใจทำท่าเบ่งกล้ามตรงหน้า แล้วก็ระเบิดหัวเราะออกมา

เขาไม่ว่าอะไรที่เธอหัวเราะฮาใหญ่ ทำเพียงเลิกคิ้วให้ เบี่ยงตัวเปลี่ยนท่าเบ่งกล้ามอีกสองท่า “เป็นไงบ้าง ถือว่าสูงใหญ่กำยำมั้ย”

ชายตรงหน้าเธอดูตลกมากจริงๆ ทำเอาเธอหัวเราะจนตัวโยนหยุดไม่ได้ สุดท้ายก็ได้แต่ขำจนน้ำตาไหล

เธอสะดุ้งโหยง แต่ก็ยังหัวเราะไปน้ำตาไหลไป

เห็นเธออยู่ๆ ก็น้ำตาไหล เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ากางเกงยื่นให้เธอโดยไม่พูดอะไรเลยสักคำ

“ยุคสมัยนี้ใครเขาพกผ้าเช็ดหน้ากัน” เธอรับไป พูดพลางซับน้ำตา “ผ้าเช็ดหน้าอีกผืนของคุณยังอยู่กับฉัน”

“ผมรู้” เขาหุบยิ้มแล้วพูด “แต่ผ้าเช็ดหน้ามีประโยชน์นะ รักษาสิ่งแวดล้อมด้วย คุณใช้เสร็จแล้วเอาไปซักแล้วค่อยคืนผมเถอะ”

เธอได้ยินก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาอีก

เขาไม่ถือสาที่เธอเดี๋ยวก็หัวเราะเดี๋ยวก็ร้องไห้อย่างกับคนบ้า เขารู้ว่าหลังจากเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เสียขวัญมา อารมณ์จะไม่มั่นคงก็เป็นเรื่องปกติ ได้ระบายออกมาก็ดีแล้ว อย่างไรก็ดีกว่าเก็บไว้ในใจ

เธอสูดจมูก กลั้นน้ำตาแล้วคลี่ยิ้ม “ผืนที่แล้วฉันซักเรียบร้อยแล้ว ผ้าพันคอก็ด้วย”

“อ้อ ใช่ ยังมีผ้าพันคอ” เขามองเธอพลางเอ่ย “ผมชอบผ้าพันคอผืนนั้นมาก แม่ผมเป็นคนถักให้กับมือ”

คำพูดนี้ทำเธออึ้ง ไม่รู้ว่ามันมีค่ามากขนาดนี้ หญิงสาวรีบกล่าว “ขอโทษค่ะ ฉันไม่รู้จะติดต่อคุณยังไง ไม่อย่างนั้นฉันคงส่งของคืนคุณไปแล้ว”

“ไม่เป็นไรครับ วันนั้นพอผมกลับไปก็เห็นว่าเผลอถือหนังสือคุณติดมือมา ทีแรกคิดว่าจะคืนคุณในวันถัดไป แต่ต่อมามีเรื่องเกิดขึ้นนิดหน่อย กว่าผมจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อยคุณก็ออกจากญี่ปุ่นแล้ว ผมก็เลยนำมันกลับบ้านไป กะว่าค่อยหาโอกาสคืนคุณทีหลัง แต่ก็ไม่มีเวลามาตลอด ใครจะไปนึกว่าพอมาถึงนี่แล้วจะได้เจอกัน”

เธอถือผ้าเช็ดหน้าเขาไว้ในมือพลางกลอกตามองชายที่ยิ้มอย่างสดใสตรงหน้า “คุณเคยตามหาฉันด้วยหรือ”

เขาเลิกคิ้วขึ้นสูงกล่าว “นั่นเป็นผ้าพันคอที่แม่ผมถักกับมือ ผมยังอยากกลับไปกินข้าวที่บ้านอยู่นะ คุณคิดว่าอีกนานแค่ไหนกว่าแม่ผมจะรู้ว่าผมทำผลงานชิ้นเอกของเธอหาย”

ท่าทีกับวิธีการพูดของเขาทำให้เธออดไม่อยู่ต้องหัวเราะออกมาอีก น้ำตาที่ไหลอย่างควบคุมไม่ได้ก็หยุดลงในที่สุด เธอปาดน้ำตาพร้อมท่าทีที่ผ่อนคลายลงแล้วกล่าว “วางใจได้เลย ฉันเก็บผ้าพันคอกับผ้าเช็ดหน้าของคุณไว้อย่างดี แล้วก็อยู่ที่บ้านฉันตอนนี้ด้วย”

“ตอนนี้?” ได้ฟังคำพูดของเธอ เขาก็เลิกคิ้วขึ้นอีก

“สัญญาของฉันหมดอายุแล้ว เพิ่งหางานใหม่ได้อีกงาน” เธอทำหน้าล้อเลียนขณะกล่าว “เจ้าคนชั่วช้าสารเลวนั่นที่จริงก็ค่อนข้างมีหน้ามีตาที่นี่ เขาพอมีลู่ทางในวอชิงตันอยู่บ้าง ถ้าหากเขาเกิดอยากปองร้ายฉันขึ้นมาจริงๆ ละก็ ยังไงก็กักฉันไว้ที่นี่ไม่ได้หรอก ฉันไม่ได้โง่นะ ก่อนจะไปหาเรื่องเขาก็หาทางหนีทีไล่ไว้อยู่แล้ว สัปดาห์หน้าฉันจะไปจากที่นี่ ไปทำงานในองค์กรเอกชนแห่งหนึ่งที่อังกฤษ”

ผู้หญิงคนนี้ไม่โง่เลยจริงๆ

เห็นดวงตาและจมูกที่แดงก่ำจากการร้องไห้ของเธอ เขาก็อดที่จะลูบหัวเธอไม่ได้

เธอชะงัก เงยหน้ามองเขา

“คนดี” เขาพูด

เธอนิ่งงันไปกับคำเรียกขานที่ไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ชายตรงหน้าเพียงมองเธอยิ้มๆ ลุกขึ้นมายื่นมือให้เธอ

“มา ให้ผมไปส่ง”

ลมใบไม้ผลิโชยมาพัดพากลีบสีชมพูโปรยปราย

เสี่ยวหม่านเงยหน้ามองเขา พอชายคนนี้ยืนขึ้นมาแล้วเธอค่อยสังเกตว่าเขารูปร่างสูงใหญ่กำยำจริงๆ

ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี ใกล้ค่ำแล้ว ชายคนนี้ฉีกยิ้มรับสายลมในยามอาทิตย์อัสดง เรียกได้ว่าหล่อเหลาสุดเปรียบปาน ทำเอาหัวใจเธอเต้นเร็วขึ้นมาชั่วขณะ เธอมองดูมือใหญ่ที่ยื่นมาให้ของเขาก็ไม่ได้เอื้อมไปจับ แต่กลับจงใจวางแก้วช็อกโกแลตร้อนที่ว่างเปล่าใส่ในมือเขาแทน แล้วยืนขึ้นเอง

เขาหัวเราะ มือหนึ่งถือแก้วโค้ก อีกมือก็ถือแก้วช็อกโกแลตที่ว่างเปล่าเดินไปที่ถังขยะแต่โดยดี

มองดูเงาหลังสูงใหญ่ของเขา ฉับพลันความรู้สึกผิดวูบหนึ่งก็โถมเข้ามาในใจเหมือนกับตอนที่อยู่ในรถไฟฟ้า

เขาปกปิดความรู้สึกตัวเองเก่ง และเพราะปกปิดได้เก่งเกินไปจึงทำให้เธอยิ่งรู้สึกได้ว่าเขาเจ็บปวดจากการที่ถูกเธอปฏิเสธ

แม้ว่าเขาจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายและเป็นคนที่กล้าใช้อาวุธระเบิดได้โดยไม่เกรงกลัว แต่เธอก็รู้ว่าชายคนนี้ไม่ใช่คนไม่ดี

สวรรค์ก็รู้ เขาไม่ได้ช่วยเธอไว้แค่ครั้งสองครั้ง เขาให้เธอยืมผ้าพันคอและผ้าเช็ดหน้า นำทางให้เธอ ช่วยเธอคลี่คลายปัญหา ทั้งยังซื้อของให้เธอกิน

เธอเองก็ไม่ได้โง่

‘คุณชินชารึยัง’

เธอจำสีหน้าเขาตอนที่เธอถามคำถามนี้ได้ แล้วก็จำคำตอบของเขาได้ด้วย

‘ผมไม่รู้’

เขาบอกแบบนั้น

แต่ว่าเธอรู้ ตอนนี้รู้แล้ว

เขาไม่ได้ชินชา เพราะว่าไม่ชินชากับมันถึงได้แสดงสีหน้าแบบนั้น และตอบคำถามแบบนั้น

แต่เธอก็ไม่คิดว่าการมีความรู้สึกดีๆ ต่อเขาจะเป็นผลดีกับเธอ ต่อให้เขาเกิดหลงผิดมาชอบเธอจริง เธอคิดว่าเธอก็คงเอาเขาไม่อยู่

เพราะฉะนั้นต่อให้ชายคนนี้จะทั้งหล่อทั้งอารมณ์ดี เวลายิ้มมีลักยิ้มที่น่ารักสุดๆ แล้วยังรูปร่างสูงใหญ่กำยำ ผิวพรรณเป็นสีแทนดูสุขภาพดีล่อตาล่อใจอย่างไร เธอก็ไม่โง่ถึงขนาดจะคิดเลยเถิดกับเขา

แต่จะว่าไปชายคนนี้ทำให้คนรู้สึกยากที่จะไม่ชอบจริงๆ

ถ้าหากได้เป็นแค่เพื่อนละก็ เธอก็ไม่คิดอะไรถ้าจะมีเพื่อนที่ร่างสูงใหญ่กำยำทั้งยังยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างเขาหรอกนะ

เธอมารู้ตัวอีกทีก็เดินสาวเท้าอย่างรวดเร็วมาถึงข้างตัวเขาแล้ว

เห็นเธอเดินตามมาเขาก็ไม่พูดอะไร เพียงหยักยิ้มบางๆ

อาทิตย์ลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก ทั้งสองคนเดินอยู่ท่ามกลางต้นซากุระ ทั้งโลกอยู่ในความสงบสุข

ชายที่อยู่ด้านข้างสีหน้าปลอดโปร่ง ยากที่จะนึกภาพเขาเมื่อแปดเดือนก่อนตอนที่เล่นระเบิดอยู่ในกรุงแบกแดด

ทันใดนั้นก็มีความรู้สึกว่าความสงบตรงหน้าดูราวกับภาพในจินตนาการ ราวกับไม่ใช่เรื่องจริง

จากนั้นเขาก็กุมมือเธอ มือใหญ่หยาบแข็งแกร่งถ่ายทอดความอบอุ่นประการหนึ่งมาให้ เปลี่ยนความเป็นจริงที่สั่นคลอนจิตใจให้สงบลง

เธอชะงัก ช้อนตาขึ้นมองเขา

“ไม่เป็นไรนะ” เขาทอดตามองเธอพลางกล่าว “ผมเชื่อว่าศาสตราจารย์ที่รักของคุณคงไม่กล้าทำเรื่องโง่ๆ อีกแล้ว”

ในใจเธอรู้สึกร้อนวูบขึ้นมาทันที

เธอไม่รู้จะพูดอะไรจึงได้แต่พยักหน้า

เมื่อเขาจูงมือเธอไปเรื่อยๆ พามาถึงที่ลานจอดรถ เธอก็ไม่ได้ดึงมือกลับ

เขาขับรถพาเธอไปส่งถึงที่พัก บางทีเธอไม่ควรชวนเขาเข้าบ้าน แต่เธอคิดว่าถ้าหากเขาจะทำอะไรเธอ เขาก็คงทำไปนานแล้ว

แล้วเธอก็สังเกตเห็นว่าตอนที่เขาตามเธอเข้ามา เขาจงใจแง้มประตูไว้

“รอฉันแป๊บ”

เธอพูดระหว่างที่เข้าห้องไปหยิบผ้าพันคอกับผ้าเช็ดหน้าที่เธอเก็บไว้อย่างดี หลายเดือนที่ผ่านมาเธอเก็บมันไว้ในถุงกระดาษมาตลอด

เขารับไปโดยไม่ได้เปิดดูของข้างในเลย เพียงเอ่ยปากถาม

“คุณอยู่คนเดียวได้ใช่มั้ย”

“แน่นอน”

เขาเหลียวมองเธอ จากนั้นก็หยิบนามบัตรขึ้นมาใบหนึ่ง

“สองสามวันนี้ผมยังอยู่ในละแวกนี้ ถ้ามีเหตุอะไรก็โทรเข้ามือถือผมได้”

เธอมองนามบัตรใบนั้น นิ่งสักพักค่อยยื่นมือมารับไป

เขายกมือใหญ่ขึ้นลูบไล้ใบหน้าแดงเรื่อของเธอที่กำลังก้มอยู่

เธอตกใจเล็กน้อย เงยมองขึ้นมาก็เห็นเขาส่งยิ้มให้เธอ

“ไม่ต้องกลัวขนาดนั้น ผมไม่กินคุณหรอก”

ใบหน้าที่แดงเล็กน้อยของเธอแดงก่ำขึ้นในฉับพลัน คิดจะพูดอะไรตอบโต้ แต่ในหัวกลับว่างเปล่า

“ถึงอังกฤษพอย้ายเข้าเรียบร้อยดีแล้วส่งที่อยู่ให้ผมด้วย ผมจะส่งบันทึกการเดินทางเล่มนั้นไปให้”

เธอทำได้เพียงพยักหน้าอีกครั้ง

“ราตรีสวัสดิ์” เขาพูดพลางยิ้ม

“ราตรีสวัสดิ์” เธอตอบด้วยใบหน้าแดงก่ำ

จากนั้นเขาก็ไป

เธอเดินไปล็อกกุญแจประตู พอเสียงฝีเท้าหายไปเธอค่อยโน้มหน้าผากแนบประตูไว้ ถอนใจโล่งอก ผ่านไปสักพักเธอถึงค่อยปลุกความกล้าก้มลงอ่านนามบัตรที่เธอถือไว้แน่น

นามบัตรใบนั้นมีรูปแบบเรียบง่าย

บนนั้นมีชื่อของเขา เบอร์มือถือ แล้วก็ชื่อบริษัทพร้อมเบอร์โทร

Red Eye Incident Investigation Agency? ผู้ตรวจสอบ?

อะไรกัน บริษัทนักสืบ? เขาคนนี้เป็นนักสืบงั้นหรือ

เธอคิดว่านักสืบมีหน้าที่สืบสวนเกี่ยวกับเรื่องนอกใจ แอบตามถ่ายรูปชู้อะไรเทือกนั้น

ต่อมาค่อยตระหนักได้ว่านามบัตรนี้น่าจะเป็นการปิดบังตัวตนของเขามากกว่า

ดีไม่ดีแม้แต่ชื่อสกุลก็อาจปลอมแปลงขึ้นมาทั้งหมดก็ได้

เฮ้อ

เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมเธอกลับไม่รู้สึกว่าเขาบอกชื่อปลอมกับเธอ เธอจำยิ้มที่ระบายไปทั่วใบหน้าของเขากับแววตาซ่อนรอยยิ้มตอนที่เขาบอกชื่อเธอได้

“เกิ่งเนี่ยนถัง…”

เมื่อพูดสามคำนี้ออกมาก็รู้สึกจริงแล้ว

เธอเก็บนามบัตรไว้ในกระเป๋าเสื้อ กลับไปเก็บข้าวของลงกระเป๋าเดินทางที่จัดไปได้ถึงครึ่งหนึ่งแล้วโดยไม่ได้คิดถึงมันอีก

สองสามวันต่อมา ไม่มีใครมาหาเรื่องเธอ ซายากะได้มาหาพร้อมเล่าให้ฟังว่า เจ้าคนสารเลวนั่นใส่ชื่อเธอลงในวิทยานิพนธ์แล้ว แม้จะเป็นชื่อที่ลงว่าทำผลงานร่วมกันอยู่ดี แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย เสี่ยวหม่านไม่ได้สืบสาวเอาความต่อเพราะซายากะไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เธอเองก็รู้ดีว่าเธอช่วยได้แค่นี้

ก่อนออกจากกรุงวอชิงตันเสี่ยวหม่านไม่เคยโทรกลับไปหา แล้วก็ไม่ได้เจอเขาอีก

สองสัปดาห์ให้หลัง เธอมาถึงอังกฤษ และได้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านพักที่รีโนเวตใหม่หลังหนึ่ง

เจ้านายคนใหม่ของเธอเป็นนายจ้างที่ใจกว้างมากทีเดียว นอกจากเงินเดือนก้อนโตแล้วยังจัดสรรบ้านเก่าอายุร้อยปีที่มีสวนด้านหน้าและด้านหลังบ้านให้เธออยู่

แม้จะเป็นบ้านหลังเก่า แต่ก็ได้รับการซ่อมแซมดูแลอย่างดี ภายในบ้านมีเครื่องปรับอากาศ เครื่องเรือน เครื่องใช้ไฟฟ้าครบครัน ไม่ขาดตกอะไรเลย

เธอใช้เวลาอีกเล็กน้อยในการจัดวางชั้นหนังสือ เครื่องแต่งกาย ของใช้จิปาถะของเธอ พอเธอเริ่มจัดการกับเสื้อผ้าที่จะซักถึงได้ค้นเจอนามบัตรใบนั้น

เธอควรจะส่งข่าวคราวให้เขาบ้าง

แต่ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ ก็คิดว่าที่เขาให้เธอติดต่อกลับไปก็แค่คำพูดตามมารยาทเท่านั้น

เขาให้เบอร์โทรศัพท์เธอก็แค่เผื่อว่าศาสตราจารย์คนนั้นจะมาหาเรื่องเธอ

เธอรู้อยู่แก่ใจว่าถ้าหากเขาอยากจะทำ ต่อให้เธอไม่บอกที่อยู่ออกไป เขาก็สามารถตามหาเธอได้อย่างง่ายดาย

เธอไม่ใช่คนที่ชอบเข้าสังคมอะไรเป็นพิเศษ ยังติดต่ออยู่กับเพื่อนร่วมงานเก่าแค่ไม่กี่ราย แค่ไปถามหาจากมหาวิทยาลัยที่เธอเคยทำงานอยู่ก็จะหาเธอได้ไม่ยาก

เธอเก็บนามบัตรลงกระเป๋ากางเกง แต่ครั้งนี้กลับทำเป็นลืมมันไม่ลง

นามบัตรแผ่นเล็กใบนั้นราวกับจะร้อนลวกขึ้นมาก็ไม่ปาน

วันนั้นเธอพกนามบัตรไปไหนมาไหนด้วย รับรู้ถึงการมีอยู่ของมันตลอดเวลา

พอตกเย็น กลับมาถึงบ้าน อาบน้ำเสร็จแล้วสวมชุดนอนล้มตัวลงบนเตียง เธอก็ยังคงนึกถึงแต่นามบัตรใบนั้น

ต่อมาเธอก็ทนไม่ได้ในที่สุด เดินกลับเข้าไปในห้องน้ำ หยิบกางเกงยีนในตะกร้าซักผ้าออกมาเพื่อควานหานามบัตรในกระเป๋ากางเกง

เธอถือนามบัตรกลับมานั่งที่เตียง รู้สึกว่าตัวเองทำตัวโง่เง่า แต่ก็ยังก้มอ่านนามบัตรใบนั้น

ครั้งนี้เมื่ออยู่ใต้แสงจากโคมไฟเธอก็สังเกตเห็นสัญลักษณ์รูปวงกลมที่นูนขึ้นมา สัญลักษณ์ที่พิมพ์ลายนูนนั้นไม่มีสีจึงทำให้เห็นได้ไม่ชัดเท่าไร เธอเอียงนามบัตรส่องกับแสงไฟก็ดูออกว่านั่นคืออะไร

ดวงตาฮอรัส

นี่เป็นดวงตาข้างขวาของเทพเศียรเหยี่ยวของอียิปต์

เทพปกรณัมของแดนไอยคุปต์น่าสนใจมาก เธอเคยศึกษาวิจัยอยู่ช่วงหนึ่ง เคยเขียนเป็นวิทยานิพนธ์และใช้บรรยายในชั้น ดวงตาข้างขวาของฮอรัสเป็นตัวแทนของดวงอาทิตย์ ส่วนตาข้างซ้ายเป็นสัญลักษณ์ของดวงจันทร์

ความรู้สึกอัศจรรย์ท่วมท้นขึ้นในใจ

นี่เป็นตาข้างขวา ตาข้างขวาของฮอรัสได้ชื่อว่าเป็นดวงตาแห่งความรอบรู้ มีอำนาจในการหลีกหนีความทุกข์และปัดเป่าความชั่วร้าย

ภาพสัญลักษณ์นี้ใกล้เคียงกับดวงตาฮอรัสมาก

รอยยิ้มเปิดเผยที่สว่างสดใสของเขามักจะเตือนให้เธอนึกถึงดวงอาทิตย์ที่สว่างไสว

ความอบอุ่นที่บรรยายไม่ถูกพลันท่วมเข้ามาในใจเพราะการนึกถึงรอยยิ้มของเขา เธอกุมตราสัญลักษณ์ที่ได้รับการสืบทอดมาตั้งแต่หลายพันปีก่อนไว้ ตัดสินใจชั่ววูบแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา พิมพ์ข้อความง่ายๆ ส่งที่อยู่ไปให้แก่เขา

แต่พอกดปุ่มส่งไปแล้วเธอก็เสียใจขึ้นมาทันที

ไม่รู้ทำไมความคิดที่ว่าเขาแค่พูดไปตามมารยาทยิ่งแจ่มชัดขึ้น

เขาได้รับข้อความแล้วไม่แน่อาจจะตกใจ เผลอๆ เขาจะคิดว่าเธอลงทุนทำเพื่อเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างบันทึกการเดินทางมากไป

หนังสือเล่มนั้นที่จริงแล้วก็ไม่ได้หายากเย็นอะไร แต่เขาคงไม่รู้หรอก

ถ้าเขาโทรมาก็บอกไปละกันว่าเป็นบันทึกที่ควรค่าแก่การสะสม เธอกลัวว่าเขาจะไม่ได้เก็บมันไว้ดีๆ หรือถูกปลวกกินไปอะไรทำนองนั้น

จะว่าไปบางทีเขาอาจจะไม่โทรมา ไม่แม้แต่จะตอบกลับตามมารยาท ไม่แน่ว่าแม้แต่ส่งข้อความง่ายๆ มาก็ยังไม่มี

โอย แย่มาก เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนปัญญาอ่อน

เนื่องจากฟุ้งซ่านมากเกิน เธอปิดมือถืออย่างรวดเร็วแล้วนำไปเก็บในลิ้นชัก รีบพุ่งมาที่เตียง นอนซุกใบหน้าซ่อนสายตาจากทุกสิ่ง

แต่พอมานอนบนเตียงเธอก็พลิกไปพลิกมานอนไม่หลับสักที กว่าจะรู้สึกเหนื่อยเพลียจนหลับได้ในที่สุดท้องฟ้าก็จะสว่างโร่อยู่แล้ว

รุ่งเช้า เมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก เธอก็กระวีกระวาดรีบไปทำงาน แม้แต่โทรศัพท์ก็ลืมนำไปด้วย

ที่ผ่านมาเธอไม่ใช่คนติดโทรศัพท์ บวกกับการได้มาอยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่ ยุ่งวุ่นวายอยู่สักสองสามวัน กว่าจะนึกถึงมือถือของตัวเองขึ้นมาได้ก็ปาเข้าไปหลายวันแล้ว ตอนที่เธอเจอโทรศัพท์ในลิ้นชักก็นึกฉงนว่าทำไมตัวเองถึงนำมันมาวางไว้ในนี้ พอเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาค่อยนึกออก

เธอลังเลชั่วครู่ สุดท้ายก็อดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ กลั้นใจเปิดออกดู

ผลคือไม่มีสายโทรเข้าจากหมายเลขแปลกหน้าและไม่มีข้อความที่เขาส่งมา

มองดูหน้าจอมือถือแล้วเสี่ยวหม่านก็นิ่งงัน ในใจมีความรู้สึกกระดากระคนผิดหวังอย่างมากชนิดที่บรรยายไม่ถูก

เธอหัวเราะเยาะตัวเอง

แย่ที่สุด ให้ตายสิ ทำเอาเธอตื่นเต้นอยู่ตั้งนาน

ก็ดี เห็นได้ชัดว่าเขาแค่ให้เบอร์เผื่อมีเรื่องฉุกเฉิน ที่บอกให้เธอส่งข้อความให้ก็แค่คำพูดตามมารยาท

เพื่อปลอบประโลมใจน้อยๆ ที่ได้รับการกระทบกระเทือน เธอหยิบมือถือเดินเข้าไปในครัวแล้วเปิดตู้เย็น หยิบเค้กช็อกโกแลตที่แช่ไว้ออกมานั่งบนโซฟา เปิดทีวีดู ระหว่างที่นั่งดูหนังเก่าๆ ที่ช่องโทรทัศน์ฉายพร้อมตักเค้กคำโตก็อดคิดไม่ได้ว่าที่เขาไม่โทรกลับและก็ไม่ตอบข้อความจะเป็นเพราะ…

เกิดเรื่องขึ้นกับเขา?

อย่างไรเขาก็ทำงานที่ออกจะเสี่ยงอันตราย

หลังจากกินของหวานไปไม่กี่คำเธอคิดว่าถึงแม้ชายคนนั้นจะชอบหัวเราะเยาะเธอ แถมพูดจาแทงใจดำไปบ้าง แต่ในเรื่องอื่นเขาก็ได้รับการอบรมมาดี เขาพกผ้าเช็ดหน้า อีกทั้งยังให้ผู้หญิงเดินก่อนเวลาจะเดินเข้าออกประตู เธอยังสังเกตตอนที่เขาเอาแขนกันเธอไว้จากฝูงชนตอนอยู่ในรถไฟฟ้า

ไม่รู้ทำไม ทั้งที่เขามักจะคลี่ยิ้มไม่ประสีประสาแบบนั้น เธอกลับไม่คิดว่าเขาจะเป็นพวกอ่านข้อความแล้วไม่ตอบ

ไม่ว่าอย่างไรเธอก็หวังว่าเขาจะแข็งแรงปลอดภัยดี

ก่อนนอน หลังจากล้างหน้าแปรงฟันแล้วก็พลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง หลับไม่ลงอยู่ดี

สุดท้ายเธอก็ทนไม่ไหวลุกขึ้นมาส่งข้อความอีก

ครั้งนี้ไม่ได้หวังอะไรมาก แค่ส่งความปรารถนาดีไปให้จากใจจริง

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

sangdow Marcom: