X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดหญิงเทพสมุนไพร

ทดลองอ่าน ยอดหญิงเทพสมุนไพร เล่ม 1 ตอนที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 5

ตอนที่ 3

 หลี่เมิ่งซีพิจารณาอี๋เหนียงทั้งสี่ที่เข้ามา อี๋เหนียงใหญ่สวมชุดสีน้ำเงิน รูปร่างค่อนข้างท้วม ดูอ่อนโยนและเป็นคนเงียบ เห็นหลี่เมิ่งซีมองมาก็รีบก้มหน้า อี๋เหนียงรองสวมชุดสีฟ้าอมเขียว ร่างสูงโปร่ง มีทรวดทรงองค์เอว ก้มหน้าตลอดเวลา ให้ความรู้สึกแข็งทื่ออยู่บ้าง อี๋เหนียงสามสวมชุดเขียว ใบหน้ารูปไข่ ตาโตมีชีวิตชีวาคู่นั้นดูน่ารักเป็นพิเศษ เซียวจวิ้นคงจะชอบดวงตาคู่นี้กระมัง หลี่เมิ่งซีคิด ดวงตาจับจ้องอี๋เหนียงสาม ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่หลบ ทั้งยังจ้องกลับมาอย่างเปิดเผย

หลี่เมิ่งซีสีหน้าไม่เปลี่ยน แล้วเลื่อนสายตาไปยังอี๋เหนียงสี่ต่อ อี๋เหนียงสี่สวมชุดสีชมพู เครื่องประดับบนศีรษะทอประกายระยับวับวาว ไหล่บางเอวคอด ใบหน้ารูปเมล็ดแตง ดวงตาเปล่งประกาย ดูมีเสน่ห์เย้ายวนไปอีกแบบ ราวกับนางจิ้งจอกกลับชาติมาเกิดก็ไม่ปาน หลี่เมิ่งซีมองนาง ส่วนนางก็จ้องตาหลี่เมิ่งซีกลับเช่นกัน ในดวงตายังแฝงแววดูแคลนอยู่ด้วย

อนุถือเป็นบ่าว บ่าวไม่อาจจ้องตากับเจ้านายตรงๆ ได้ การกระทำของอี๋เหนียงสามกับอี๋เหนียงสี่กล่าวได้ว่าเสียมารยาทมาก ทว่าสีหน้าของหลี่เมิ่งซียังคงสุขุมเยือกเย็น พยักหน้ากับหงจูนิดๆ หงจูก็รับเบาะรองอันหนึ่งจากมือสาวใช้มาปูลงบนพื้น

อี๋เหนียงใหญ่ก้าวออกมาก่อน คุกเข่าลงบนเบาะรอง โขกศีรษะให้หลี่เมิ่งซีสามที รับน้ำชาจากมือสาวใช้และยกขึ้นสูงเหนือศีรษะ “อนุคารวะสะใภ้รอง ขอให้สะใภ้รองมีความสุขสมบูรณ์เจ้าค่ะ”

หลี่เมิ่งซีรับน้ำชามา เปิดฝาและดื่มอึกหนึ่ง ก่อนจะวางลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา เอ่ยสั่งสอนให้อีกฝ่ายรักษากฎธรรมเนียมอย่างเคร่งครัด ปรนนิบัติคุณชายรองให้ดี เลียนแบบคำพูดของนายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่เมื่อเช้ามาทุกประการ หลี่เมิ่งซีลอบเลื่อมใสในความหัวไวของตนเอง สามารถขโมยลิขสิทธิ์ได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือใดๆ แล้วให้หงจูมอบของขวัญที่เตรียมไว้ออกไป ก่อนจะโบกมือให้อี๋เหนียงใหญ่ลุกขึ้นและถอยไปด้านข้าง

อี๋เหนียงรอง อี๋เหนียงสามยกน้ำชาตามลำดับ หลี่เมิ่งซีรับมาดื่มทั้งหมดและมอบของขวัญให้ อี๋เหนียงสี่ก้าวออกมาคุกเข่าเป็นคนสุดท้าย โขกศีรษะสามที รับน้ำชาจากมือสาวใช้และยื่นไปตรงหน้าหลี่เมิ่งซีทันที

“อนุคารวะสะใภ้รอง ขอให้สะใภ้รองมีความสุขสมบูรณ์เจ้าค่ะ”

ตั้งแต่อี๋เหนียงสี่แต่งเข้ามาก็เป็นที่รักใคร่ของคุณชายรองมาก อี๋เหนียงทั้งสามแม้จะแต่งเข้ามาก่อน แต่อาศัยว่าคุณชายรองตามใจตนจึงกลั่นแกล้งอี๋เหนียงทั้งสามทั้งต่อหน้าและลับหลังไม่น้อย อี๋เหนียงทั้งสามได้แต่โกรธทว่าไม่กล้าปริปาก นานวันเข้า สตรีในเรือนคุณชายรองนางจึงนับว่าใหญ่ที่สุด วันนี้มีสะใภ้รองเข้ามาใหม่ นางจะยอมตกเป็นเบี้ยล่างของผู้อื่นได้อย่างไร อีกทั้งปกติได้ยินคุณชายรองบ่นไม่น้อยว่าไม่ชอบการแต่งงานครั้งนี้ ทั้งรังเกียจสะใภ้รองผู้นี้ ดังนั้นในใจนางจึงคิดว่าหลี่เมิ่งซีผู้นี้ไม่คู่ควรที่จะได้ตำแหน่งภรรยาเอก

แต่ถึงอย่างไรหลี่เมิ่งซีก็เป็นภรรยาที่นั่งเกี้ยวแปดคนหาม ถูกหามผ่านประตูหลักเข้ามา สกุลเซียวเป็นสกุลสูงศักดิ์ เคร่งครัดกับกฎธรรมเนียม อนุต่อให้ได้รับความรักใคร่เพียงใดก็ไม่อาจฝ่าฝืนกฎธรรมเนียม นางยังคงต้องแทนตัวกับภรรยาว่า ‘อนุ’ หาไม่แล้วคนที่จะถูกไล่ออกจากบ้านก็คือนาง ในยุคโบราณ อนุก็เหมือนเป็นเพียงสิ่งของชิ้นหนึ่ง

หลี่อี๋เหนียงคิดว่าสะใภ้รองผู้นี้ไม่คู่ควรที่นางจะคุกเข่าและโขกศีรษะให้ แต่นางก็ยังต้องคุกเข่า ต้องโขกศีรษะ ต้องคารวะอีกฝ่าย นี่เป็นจุดที่ทำให้อี๋เหนียงสี่ขุ่นเคืองไม่พอใจ นางเป็นดั่งดวงใจของคุณชายรอง สะใภ้รองเพิ่งแต่งเข้ามา เพื่อให้ได้รับความชื่นชอบจากคุณชายรองแล้ว สะใภ้รองจะกล้าแตะต้องคนโปรดของคุณชายรองเช่นนางได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้หลี่อี๋เหนียงจึงต้องการวางอำนาจกับสะใภ้รองผู้นี้

ยกน้ำชาอยู่นาน พบว่าสะใภ้รองไม่ยอมรับเสียที เงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าสะใภ้รองนั่งสง่างามอยู่บนเก้าอี้ มือถือชาถ้วยหนึ่ง เป่าแล้วเป่าอีกราวกับน้ำชาถ้วยนั้นร้อนเป็นพิเศษ ไม่อาจเป่าให้เย็นลงได้ในเวลาสั้นๆ แต่สะใภ้รองมีความอดทน ต้องรอจนกว่าน้ำชาจะเย็นถึงค่อยดื่ม

อี๋เหนียงสี่โมโหเหลือเกิน อยากเขวี้ยงน้ำชาทิ้งและสะบัดหน้าจากไป แต่นางไม่กล้า แต่งเข้ามาสองปี นางรู้ดีว่าเหล่าไท่จวินให้ความสำคัญกับกฎธรรมเนียมเพียงใด

ไม่นานมือที่ยกอยู่ก็เริ่มเมื่อย ในห้องเงียบกระทั่งได้ยินเสียงเข็มตก นางพลันรู้สึกถึงความกดดันรอบด้านที่มากขึ้นทุกที ความน่าเกรงขามที่มองไม่เห็นแผ่ออกมาจากคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ว่าอย่างไรหลี่อี๋เหนียงก็ต้านทานไม่อยู่ ฝ่ามือค่อยๆ มีเหงื่อซึม หน้าผากมีเหงื่อเย็นผุดออกมา สุดท้ายนางจึงกัดฟันชูสองมือขึ้นสูงเหนือศีรษะ “อนุคารวะสะใภ้รอง ขอให้สะใภ้รองมีความสุขสมบูรณ์เจ้าค่ะ”

หลี่เมิ่งซีจึงได้จิบน้ำชาที่เป่าจนเย็น วางถ้วยชาลงช้าๆ และยื่นมือไปรับน้ำชาจากอี๋เหนียงสี่ ทว่านางไม่ได้ดื่ม เพียงวางลงบนโต๊ะ

“อนุก็คืออนุ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าได้ลืมฐานะของตนเอง เคารพและกตัญญูเหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่ ปรนนิบัติคุณชายรองและสะใภ้รองเป็นหน้าที่ของอนุ หากฝ่าฝืนธรรมเนียม อย่าหาว่าคุณชายกับข้าไม่ละเว้นเจ้า ได้ยินหรือไม่ หืม?”

เสียงที่พูดแม้ไม่ดัง แต่เนิบช้าเป็นพิเศษ แต่ละถ้อยคำล้วนลอยเข้าหูอี๋เหนียงสี่อย่างชัดเจน กระแทกลงกลางใจนาง โดยเฉพาะคำพูดสุดท้ายที่หลี่เมิ่งซีลากเสียงยาวเป็นพิเศษ ทำเอาอี๋เหนียงสี่อดสั่นสะท้านไม่ได้

“ขอบคุณสะใภ้รองที่สั่งสอน อนุจะจดจำไว้ในใจให้แม่นเจ้าค่ะ” อี๋เหนียงสี่โขกศีรษะอย่างนอบน้อม

หลี่อี๋เหนียงจะจดจำอะไรได้บ้างนั้น หลี่เมิ่งซีไม่สนใจแต่อย่างใด บทเรียนเล็กน้อยแค่นี้ไม่ทำให้นางยอมแพ้อยู่แล้ว แต่หลี่เมิ่งซีตัดสินใจว่าในเมื่อแต่งเข้ามาแล้วก็ต้องแก้ปัญหาไปทีละปัญหา คิดจะมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดีก็ต้องไม่ทำให้ตนเองลำบากเกินไป ประธานเหมาผู้นำที่ยิ่งใหญ่เคยกล่าวไว้มิใช่หรือ ‘รบกับฟ้า มีความสุข รบกับดิน มีความสุข รบกับคน ยิ่งมีความสุข’ ถึงอย่างไรหลี่เมิ่งซีก็เชื่อมั่นในหลักการข้อหนึ่งของการต่อสู้…สหายเจ้าตายเสียเถอะ ข้าไม่ยอมตายหรอก!

ให้หงจูมอบของขวัญที่เตรียมไว้ออกไป ก่อนจะโบกมือให้นางลุกขึ้นและถอยหลบไปด้านข้าง

หลี่เมิ่งซีเหลือบมองอี๋เหนียงที่ยืนอยู่สองฝั่ง ก่อนจะหันไปสั่งหงจู “พาแม่นางน้อยทั้งหลายเข้ามาเถอะ!”

ผ่านไปครู่หนึ่ง หมัวมัวหลายคนก็พาเด็กหญิงหน้าตาน่ารักสามคนเข้ามา คนโตอายุราวห้าหกขวบ คนเล็กที่สุดยังหัดเดินเตาะแตะอยู่เลย หมัวมัวทั้งหลายแนะนำเสร็จแล้ว เด็กหญิงทั้งสามคนก็เข้ามาโขกศีรษะให้หลี่เมิ่งซีตามลำดับ เฉกเช่นคารวะมารดา

หลี่เมิ่งซีสั่งให้ยกเก้าอี้ สาวใช้เตรียมเก้าอี้ไว้ก่อนแล้ว หมัวมัวจึงอุ้มแม่นางน้อยทั้งหลายนั่งบนเก้าอี้ รอจนเหล่าแม่นางน้อยนั่งเรียบร้อยแล้ว หลี่เมิ่งซีจึงเริ่มถามถึงชีวิตประจำวันของพวกนาง สนทนากับพวกแม่นางน้อยในเรื่องทั่วๆ ไป

ระบบของต้าฉีเป็นเช่นนี้ อนุภรรยาคือบ่าว แม้ตนจะเป็นคนให้กำเนิดบุตรสาว แต่บุตรสาวก็ได้แต่เรียกพวกนางว่าอี๋เหนียง ยามอยู่ต่อหน้าบุตรสาวต้องแทนตัวว่าบ่าว บุตรสาวเป็นเจ้านาย บุตรจะรับภรรยาเอกเป็นมารดาได้เท่านั้น บุตรได้นั่ง ในขณะที่พวกนางกลับต้องยืน

อี๋เหนียงทั้งสี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างโมโหเหลือเกิน ในใจลอบด่าหลี่เมิ่งซี ท่านนั่งอยู่ไม่เมื่อยเอว แต่พวกเรายืนอยู่นะ

ก่อนที่เมิ่งซีจะแต่งเข้าสกุลเซียว เรือนแห่งนี้ไม่เคยมีนายหญิงมาก่อน เซียวจวิ้นเองก็ตามใจพวกนาง เว้นแต่ยามอยู่ต่อหน้าเหล่าไท่จวิน นายหญิงใหญ่ และคนอื่นๆ ที่จะเคร่งเรื่องธรรมเนียม ลับหลังไหนเลยจะยึดถือธรรมเนียมมากมายเช่นนี้ พวกนางหรือจะเคยยืนนานเพียงนี้ ทั้งยังอยู่ต่อหน้าบุตรสาวตนเองด้วยแล้ว ฟังหลี่เมิ่งซีพูดคุยกับแม่นางน้อยทั้งหลายไม่จบไม่สิ้น แต่ละคนจึงมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป ทว่าประมุขหญิงพบบุตรสาวเป็นครั้งแรก ห่วงใยชีวิตความเป็นอยู่ของบุตรสาวก็เป็นเรื่องปกติ เมื่อพวกนางมิอาจจับผิดอะไรได้จึงได้แต่อดทน

หลี่เมิ่งซีต้องการผลลัพธ์เช่นนี้ ท่าทางดูแคลนของอี๋เหนียงทั้งสี่ตอนเข้ามาเมื่อครู่นี้ หลี่เมิ่งซีล้วนเห็นทั้งหมด เพราะอย่างนั้นวันนี้นางจะต้องทำให้พวกนางจดจำฐานะของตนเอง จดจำกฎธรรมเนียมของคฤหาสน์สกุลเซียวให้ได้ หลี่เมิ่งซีรู้ว่าเซียวจวิ้นไม่มีทางรักใคร่นาง ไม่มีทางช่วยเหลือนาง อาศัยความรักจากเซียวจวิ้น นางไม่มีทางเอาชนะอนุเหล่านี้ได้อยู่แล้ว จึงได้แต่อาศัยเหล่าไท่จวิน อาศัยกฎธรรมเนียมของคฤหาสน์สกุลเซียวกดข่มพวกนางไว้ หาไม่แล้วตนเองจะต้องถูกพวกนางกินจนไม่เหลือแม้แต่ซากแน่

ครั้นเห็นอี๋เหนียงทั้งสี่ถูกสั่งสอนจนสำรวมลงไปบ้างแล้ว หลี่เมิ่งซีจึงบอกว่า “แม่นางน้อยทั้งหลายเหนื่อยแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ” ทั้งยังกำชับให้หมัวมัวคอยดูแลให้ดี แม่นางน้อยทั้งหลายจึงได้ขอตัว

“อี๋เหนียงทั้งหลายก็คงเหนื่อยแล้ว วันนี้ไม่ต้องอยู่ปรนนิบัติที่นี่ตอนอาหารค่ำแล้ว ไปคารวะคุณชายรองและกลับไปเถอะ!”

อี๋เหนียงทั้งสี่คารวะนางและเดินตามกันออกจากห้องโถง เข้าไปในห้องด้านใน ใจก็คิดว่า สะใภ้รองผู้นี้อยู่ด้วยไม่ง่ายเลยจริงๆ ทั้งยังคิดถึงคำพูดเมื่อครู่นี้ของสะใภ้รอง ‘วันนี้ไม่ต้องอยู่ปรนนิบัติที่นี่ตอนอาหารค่ำแล้ว’ ความนัยที่แฝงมาด้วยก็คือต่อไปนี้การมาปรนนิบัติเจ้านายผู้นี้วันละสามเวลาเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

หลี่เมิ่งซีเห็นอี๋เหนียงทั้งสี่เข้าไปในห้องด้านในก็ไม่อยากกลับเข้าไปอีก เอนหลังพิงเก้าอี้พักผ่อนครู่หนึ่ง พลันนึกถึงเรื่องห้องครัวเล็กขึ้นมาได้ นางจึงเรียกหงจูเข้ามาสอบถาม

“เรียนสะใภ้รอง นายหญิงใหญ่ส่งคนมาจัดเก็บแล้วเจ้าค่ะ ทั้งยังส่งแม่ครัวสองคน สาวใช้ปัดกวาดสี่คนมาให้ด้วย คืนนี้ห้องครัวเล็กก็สามารถใช้งานได้แล้ว”

หลี่เมิ่งซีขบคิดดูแล้ว ตอนนี้ร่างกายของเซียวจวิ้นอ่อนแอ อาหารเย็นยังต้องกินโจ๊กเป็นหลัก โจ๊กถั่วเขียวตับหมูมีสรรพคุณบำรุงตับบำรุงเลือด ขับความร้อนบำรุงสายตา นางยังสามารถทำขนมให้เซียวจวิ้นได้ คิดถึงขนมที่เคยทำเมื่อชาติก่อนและเลือกสองชนิดที่ค่อนข้างอ่อนนุ่มออกมา คิดจะเขียนวัตถุดิบออกมาเพื่อให้หงจูนำไปเบิกที่ห้องครัวใหญ่ จึงสั่งให้คนนำพู่กัน กระดาษ หมึก และจานฝนมา แต่เมื่อหลี่เมิ่งซีหยิบพู่กันขึ้นมาพินิจดูซ้ายขวาแล้วถึงค่อยพบว่าตนเองใช้พู่กันไม่เป็น อักษรตัวเต็มยิ่งเขียนไม่ได้ ทำให้ด็อกเตอร์สาขาการแพทย์เมื่อชาติก่อนลำบากใจโดยแท้

“สะใภ้รอง พู่กันมีปัญหาอะไรหรือเจ้าคะ” หงจูฝนหมึกเสร็จ มองสะใภ้รองที่มือถือพู่กันพลิกดูไปมา แต่ไม่เขียนสักที นางจึงคิดว่ามีอะไรผิดปกติ

“ข้าพูด เจ้าเขียน” หลี่เมิ่งซีส่งพู่กันให้หงจูและเอ่ยอย่างสุขุม

“เจ้าค่ะ” หงจูรับพู่กันมากางกระดาษออก ฟังหลี่เมิ่งซีพูดและตวัดพู่กันไปมา สะใภ้รองผู้นี้ช่างน่าเกรงขาม ได้ยินว่าราชโองการของฮ่องเต้ก็เป็นฮ่องเต้เอ่ยปาก ขันทีจับพู่กัน สะใภ้รองช่างมีลักษณะของสตรีสกุลสูงศักดิ์จริงๆ หงจูคิด

น่าอายเหลือเกิน! โชคดีที่สาวใช้รุ่นใหญ่ของสกุลสูงศักดิ์ล้วนอ่านออกเขียนได้ หาไม่วันนี้คงได้ขายหน้าแน่ หลี่เมิ่งซีตั้งใจว่านับจากนี้ไปนางต้องเริ่มหัดเขียนพู่กัน ทั้งเรียนรู้อักษรตัวเต็ม

รอจนหงจูเขียนรายการวัตถุดิบเสร็จ หลี่เมิ่งซีขบคิดและเอ่ยว่า “อาหารเย็นของคุณชายรองวันนี้เน้นอาหารรสอ่อนเป็นหลัก ไปถามคุณชายรองว่าอยากกินอะไร เตรียมวัตถุดิบและส่งไปที่ห้องครัวเล็กทีเดียวเลย”

“เจ้าค่ะ” หงจูรับคำ ยื่นรายการที่เขียนเสร็จให้สาวใช้รุ่นเล็ก ตนเองก็เดินเข้าไปในห้องนอนของคุณชายรอง

ตอนที่หงจูประคองหลี่เมิ่งซีมาถึงห้องครัวเล็ก ห้องครัวเล็กก็จัดเตรียมวัตถุดิบไว้ตามที่หลี่เมิ่งซีสั่งแล้ว

หลี่เมิ่งซีเดินวนรอบห้องครัวรอบหนึ่ง ห้องครัวไม่ใหญ่ แบ่งเป็นห้องด้านในและห้องด้านนอก ห้องด้านนอกเป็นที่ตั้งเตา เตาถูกเช็ดถูจนสะอาดสะอ้าน เหนือเตามีหน้าต่างบานหนึ่งตรงกับประตู เวลาผัดกับข้าวเปิดประตูหน้าต่างทั้งหมด ละอองน้ำมันย่อมถูกระบายออกไปได้ง่าย หลี่เมิ่งซีรู้สึกเสียดายที่ที่นี่ไม่มีเครื่องดูดควันเหมือนกับในชาติที่แล้ว เตาสี่เตาตั้งเรียงกัน เครื่องใช้สำหรับผัด ทอด ตุ๋น ต้มล้วนมีครบครัน สมแล้วที่เป็นสกุลใหญ่ ฟุ่มเฟือยอย่างนี้เอง หลี่เมิ่งซีวกกลับเข้าไปในห้องด้านในซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับล้างผัก หั่นผัก นวดแป้ง บริเวณนี้ได้รับการปัดกวาดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเช่นกัน

เห็นสภาพของห้องครัวและฟังคำแนะนำของสาวใช้แล้ว หลี่เมิ่งซีรู้สึกพอใจมาก นี่จะเป็นสถานที่สำหรับหาเลี้ยงตนเองของนางนับแต่นี้ไป เป็นสิ่งที่จะทำให้นางอยู่รอดได้ ประธานเหมากล่าวไว้มิใช่หรือว่า ‘ลงมือด้วยตนเอง กินอิ่มนอนอุ่น’

ตอนนี้หลี่เมิ่งซีรู้สึกอย่างชัดเจนว่านายหญิงใหญ่ไม่ชอบนาง เซียวจวิ้นยิ่งไม่ถูกใจนาง อนาคตมีแต่ความมืดมน แต่ความคิดในตอนนี้สอนนางไว้ ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดก็ต้องดีกับตนเอง นางไม่คิดว่าตนเองจะสามารถทำตัวเหมือนนางเอกในนิยาย อ่อนโยนเป็นกุลสตรี ยอมโอนอ่อนในทุกเรื่องแล้วจะได้รับความชื่นชอบจากสามีและแม่สามี หากนางทำแบบนั้นจริงมีแต่จะตายเร็วขึ้น นางไม่ชอบซ้ำเติมใคร แต่ก็ไม่มีทางฝืนใจยอมจำนน หรือทำดีกับคนที่ร้ายกับตนเองแน่ วันนี้ตนไขว่คว้าเอาพื้นที่ตรงนี้มาได้แล้ว อย่างน้อยวันหน้าพวกที่ลอบวางยาพิษอยู่ในที่ลับก็จะหมดโอกาสในการวางยาพิษนาง ทั้งยังสามารถทำอาหารอร่อยๆ ไปซื้อใจเหล่าไท่จวินได้อีก ในวันข้างหน้าชีวิตความเป็นอยู่ของตนในคฤหาสน์สกุลเซียวล้วนต้องพึ่งพาผู้นำสูงสุดของคฤหาสน์คนนี้

หลี่เมิ่งซีนำถั่วเขียวกับข้าวสารที่ล้างสะอาดลงในหม้อ ใช้ไฟแรงต้มจนเดือดแล้วจึงค่อยเปลี่ยนมาใช้ไฟอ่อนค่อยๆ ตุ๋น จนกระทั่งสุกได้แปดส่วนค่อยนำตับหมูหั่นเป็นชิ้นกับใบไห่ถังหั่นละเอียดใส่ลงในหม้อ ต้มสุกแล้วใส่เครื่องปรุงรสลองชิมดูก็พบว่ารสชาติดีมาก จึงสั่งให้คนตักใส่ชาม

เนื่องจากหลี่เมิ่งซีลืมไปว่ายุคโบราณนี้ไม่มีเครื่องใช้ประเภทเตาอบ ขนมที่คิดไว้ก่อนหน้านี้จึงทำไม่ได้ วันหลังค่อยขบคิดหาหนทางใหม่แล้วกัน นางทำขนมดอกกุ้ยใส่น้ำผึ้งแบบง่ายๆ บ่าวในห้องครัวลองชิมดูแล้วต่างมองนางอย่างประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าสะใภ้คนใหม่ผู้นี้จะทำขนมอร่อยถึงเพียงนี้ วันหน้าจะต้องประจบนางให้ดี หากเรียนรู้วิธีการทำมาได้ย่อมสามารถวางโตในห้องครัวนี้ได้แน่ แม่ครัวสองคนจินตนาการถึงอนาคตอันงดงาม ทั้งเลื่อมใสหลี่เมิ่งซียิ่งกว่าอะไร นับแต่นี้ไปจะตั้งใจดูแลจัดการห้องครัวให้หลี่เมิ่งซีอย่างเต็มที่

หลี่เมิ่งซีสั่งให้คนนำขนมใส่กล่องอาหาร อีกด้านแม่ครัวก็ผัดกับข้าวเสร็จแล้ว นางจึงสั่งสาวใช้รุ่นเล็กยกตามมา ให้หงจูประคองเดินกลับไปที่ห้องของเซียวจวิ้น

เนื่องจากเซียวจวิ้นไม่สบาย เขาจึงไม่ได้กินอาหารในห้องโถง หลี่เมิ่งซีสั่งให้ยกอาหารเข้าไปในห้องนอน หงจูก็ช่วยเลิกม่านให้นาง

หลี่เมิ่งซีก้าวเข้าไปในห้อง เงยหน้าก็เห็นหลี่อี๋เหนียงนั่งอยู่ข้างเตียง กึ่งซบอยู่ในอกของเซียวจวิ้น ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาพลางพูดอะไรบางอย่าง เซียวจวิ้นกำลังกุมมือหลี่อี๋เหนียง ปลอบโยนเสียงนุ่มนวล แม้หลี่เมิ่งซีจะไม่มีใจให้เซียวจวิ้น แต่เมื่อเห็นภาพนี้เข้าก็ยังรู้สึกฝาดเฝื่อนในใจ ฝีเท้าจึงชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะให้หงจูประคองก้าวเข้ามาอย่างสุขุม

หลี่อี๋เหนียงกำลังซับน้ำตา เห็นหลี่เมิ่งซีเข้ามาก็รีบสลัดมือเซียวจวิ้นออก ลุกขึ้นคุกเข่าให้นาง “อนุคารวะสะใภ้รอง” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นลนลาน

เซียวจวิ้นเห็นอนุรักหวาดกลัวหลี่เมิ่งซีเช่นนี้ ใบหน้าก็พลันบึ้งตึง ไม่รอให้นางพูดก็ยื่นมือไปดึงหลี่อี๋เหนียงขึ้นมา “ลุกขึ้นเถอะ กลับไปเตรียมตัวซะ คืนนี้ข้าจะไปหาเจ้า”

“คุณชายรอง ไม่ได้นะเจ้าคะ! ทำแบบนี้…ทำแบบนี้ไม่สอดคล้องกับกฎธรรมเนียม” หลี่อี๋เหนียงฟังแล้วในใจพลันลิงโลด แต่ใบหน้ากลับแสร้งฉายความตระหนกตกใจ ตอบเซียวจวิ้นเสียงอ่อนเสียงหวานพลางปรายตามองหลี่เมิ่งซีอย่างประหม่า

“คำพูดข้าเจ้าก็กล้าขัดรึ ข้าเป็นนายของเจ้า เรื่องต่างๆ ในเรือนหลังนี้ข้าเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจ ข้านี่แหละคือกฎธรรมเนียม!” เซียวจวิ้นเห็นสีหน้าและท่าทีอันลนลานของหลี่อี๋เหนียง ในใจก็ยิ่งเคืองขุ่น ตำหนิหลี่อี๋เหนียงไปคำหนึ่ง

“เจ้าค่ะ คุณชายรอง อนุเชื่อฟังคุณชายรอง จะกลับไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” หลี่อี๋เหนียงลุกขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ พลางย่อกายคารวะหลี่เมิ่งซีและเดินไปที่ประตูอย่างนอบน้อม ตอนที่เดินผ่านหลี่เมิ่งซี นางก็ฉีกยิ้มกระหยิ่มใจ ใบหน้าไหนเลยจะหลงเหลือความลนลานอยู่อีกเล่า ยามนี้หลี่อี๋เหนียงหันหลังให้เซียวจวิ้น ชายหนุ่มย่อมมองไม่เห็นสีหน้าของนาง

หลี่เมิ่งซีรู้สึกว่ามือของหงจูที่ประคองตนอยู่สั่นเล็กน้อย แต่นางยังคงให้หงจูประคองไปนั่งบนเก้าอี้โดยสีหน้าไม่เปลี่ยน สั่งสาวใช้ตั้งสำรับให้เรียบร้อย จากนั้นจึงชี้อาหารบนโต๊ะและแนะนำกับเซียวจวิ้นเสียงค่อย

“คืนนี้ข้าภรรยาทำโจ๊กถั่วเขียวตับหมูให้คุณชายรอง มีสรรพคุณบำรุงตับและเลือด ระบายความร้อนบำรุงสายตา คุณชายรองกินตอนร้อนๆ เถอะเจ้าค่ะ ข้าภรรยาคิดว่าวันนี้คุณชายรองกินแต่โจ๊ก เรี่ยวแรงจะไม่เพียงพอ จึงตั้งใจทำขนมดอกกุ้ยใส่น้ำผึ้งมาให้คุณชายรองด้วย ตัวขนมอ่อนนุ่มรสชาติอร่อย หวานแต่ไม่เลี่ยน ประเดี๋ยวคุณชายรองลองชิมดูว่าถูกปากหรือไม่” พูดพลางส่งสัญญาณให้หงจูปรนนิบัติคุณชายรองลงจากเตียงล้างมือ

หาไม่แล้วคืนนี้เจ้าจะมีแรง ทำงานได้อย่างไร หลี่เมิ่งซีเหน็บแนมในใจอีกประโยค

เซียวจวิ้นเห็นหลี่เมิ่งซีทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งแนะนำอาหารบนโต๊ะกับตนอย่างนุ่มนวล เขาจึงไม่รู้จะตำหนินางอย่างไร ได้แต่ให้หงอวี้ปรนนิบัติเขาล้างมือ สวมรองเท้าและไปนั่งที่โต๊ะ

หลี่เมิ่งซีใคร่ครวญดูแล้ว ใครให้เขาเป็นหัวหน้าของนางเล่า เบี้ยเลี้ยงรายเดือนของนางล้วนถูกแจกจ่ายออกมาภายใต้ฐานะภรรยาเอกของเขา แม้ตอนนี้จะไม่รู้ว่าได้เท่าไร แต่ถึงอย่างไรก็คงสูงกว่าอี๋เหนียงกระมัง คิดแบบนี้แล้วจึงไม่สนใจความเย็นชาของชายหนุ่ม ล้างมือและตักโจ๊กให้เขาอย่างสุขุม คีบกับข้าวปรนนิบัติเขากินพลางท่องในใจ

ผู้อื่นเป็นหัวหน้า ย่อมสมควรมีความขึงขังน่าเกรงขาม อยากเย็นชาก็เย็นชาไปเถอะ นี่เรียกว่าศิลปะการปกครองลูกน้อง อีกอย่างกฎสำคัญข้อหนึ่งในคู่มือลูกจ้างก็คือต้องรักษาระยะห่างกับหัวหน้า!

ให้ตายเถอะ! หลี่เมิ่งซีนำวิธีเอาชนะทางจิตใจของอาคิว มาใช้กับเซียวจวิ้นเสียแล้ว

มีเพียงเวลานี้เท่านั้นที่หลี่เมิ่งซีรู้สึกถึงข้อดีที่คนโบราณไม่พูดยามกิน ไม่คุยยามนอน นางปรนนิบัติเซียวจวิ้นกินอาหารจนเสร็จ หลังจากบ้วนปากก็ให้สาวใช้มายกสำรับออกไปและยกน้ำชาเข้ามา

เซียวจวิ้นนั่งดื่มน้ำชาอยู่ข้างโต๊ะ หลี่เมิ่งซีพบว่าบนโต๊ะเครื่องแป้งมีแบบลวดลายวางอยู่ นางจึงหยิบขึ้นมาถาม “สิ่งนี้จะเอามาทำอะไรหรือ”

“เรียนสะใภ้รอง นี่เป็นแบบลวดลายที่อี๋เหนียงใหญ่ส่งมาให้เจ้าค่ะ ใกล้ถึงเทศกาลฉีเฉี่ยว แล้ว จะเลือกลวดลายสวยๆ ปักบนผ้าเช็ดหน้า และถุงผ้าใบเล็กให้แม่นางน้อยทั้งหลาย ปีก่อนๆ อี๋เหนียงใหญ่ล้วนเป็นคนจัดการ ปีนี้สะใภ้รองเข้าบ้านมาแล้ว อี๋เหนียงใหญ่จึงส่งมาให้ดู บอกว่าให้สะใภ้รองตัดสินใจเจ้าค่ะ” หงจูพูดพลางเดินเข้ามาข้างหลี่เมิ่งซี หยิบลวดลายขึ้นมาเทียบดู

หลี่เมิ่งซีหยิบแบบลายผีเสื้อชิ้นหนึ่งขึ้นมา พลิกดูอยู่นานก่อนจะยื่นไปตรงหน้าหงจูและพูด “ปกติแม่นางน้อยทั้งหลายชอบลวดลายและสีสันแบบใด ผีเสื้อตัวนี้สีสันสดใสมาก ทั้งลวดลายก็ไม่เลว…”

หงจู หงอวี้รีบผงกศีรษะเห็นด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งสามจึงค่อยๆ เลือกลาย

ภาษิตว่าจะมัดใจบุรุษ ก่อนอื่นต้องมัดกระเพาะบุรุษให้ได้ก่อน คำพูดนี้นับว่านำมาใช้ในยุคโบราณได้ดีเช่นกัน เซียวจวิ้นกินโจ๊กกับขนมที่หลี่เมิ่งซีทำแล้ว ถึงกับลอบอุทานในใจว่านางฝีมือดี ทั้งยังเห็นหลี่เมิ่งซียืนปรนนิบัติตนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ เมื่อกระเพาะรู้สึกสบาย โทสะก็ค่อยๆ ลดไปกว่าครึ่ง เขาจึงตระหนักได้ว่าคำพูดเมื่อครู่นี้ของตนวู่วามไปสักหน่อย

ตามธรรมเนียม เวลาบุรุษแต่งภรรยาเอกต้องอยู่ในห้องกับภรรยาเอกให้ครบเจ็ดวัน จึงจะเริ่มหมุนเวียนไปอยู่กับอนุทั้งหลาย แต่งอนุโดยทั่วไปยังต้องอยู่กับอนุสามวันเสียด้วยซ้ำ แต่เขาเพิ่งแต่งงานเป็นคืนที่สองก็จะไปเรือนอนุเสียแล้ว เท่ากับเป็นการตบหน้าภรรยาอย่างแรง แล้วพรุ่งนี้อนุทั้งหลายจะมองสะใภ้รองผู้นี้เช่นไร ทั้งยังคิดขึ้นได้ว่าหากคืนนี้ไปเรือนของหลี่อี๋เหนียงจริง พรุ่งนี้คงไม่อาจชี้แจงกับเหล่าไท่จวินได้แน่ มองดวงหน้างดงามล้ำเลิศของหลี่เมิ่งซีแล้ว ในใจก็บังเกิดความละอาย ดังนั้นหลังกินอาหารเสร็จแล้วจึงไม่ได้ออกไปทันที แต่ยังคงนั่งดื่มน้ำชาอยู่ตรงนั้น รอให้หลี่เมิ่งซีพูดกับเขา คุยไปคุยมานางก็จะรั้งเขาให้อยู่ที่นี่เอง ส่วนทางหลี่อี๋เหนียงก็แค่เป็นการผิดสัญญาเท่านั้น ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงอนุคนหนึ่ง แค่มอบของให้เล็กน้อย หรือเอาใจสักหน่อยก็ไม่มีอะไรแล้ว

ดื่มน้ำชาพลางมองหลี่เมิ่งซีเลือกลวดลายอย่างสุขุมเยือกเย็น ไม่รู้เพราะเหตุใด เขายิ่งเห็นสีหน้าเรียบเฉยของนางก็ยิ่งโมโห โทสะที่เพิ่งบรรเทาลงไปพลันปะทุขึ้นมาอีกครั้ง นางมิใช่ชาวต้าฉีหรือไร ไม่เข้าใจหรือว่าคำพูดเมื่อครู่นี้ของเขามีความหมายอย่างไรกับนาง ยังไม่มาขอร้องเขาให้อยู่ต่อแต่โดยดีอีก ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น

เขาเดาถูกเสียด้วย หลี่เมิ่งซีมิใช่ชาวต้าฉีจริงๆ นี่นา

ยิ่งโมโห เขาก็ยิ่งคิดถึงข้อเสียของนาง คิดถึงเรื่องที่หลี่อี๋เหนียงเล่าให้ฟังตอนบ่ายว่าเมิ่งซีร้ายกาจเพียงใด กลั่นแกล้งพวกนางตอนยกน้ำชาอย่างไรบ้าง จากนั้นก็คิดถึงผ้าพรหมจารีเมื่อเช้าอีกครั้ง ความรังเกียจผุดขึ้นในใจ เขาวางถ้วยชาลงกะทันหัน ลุกขึ้นและเดินออกไป

“หงจู หงอวี้ ปรนนิบัติสะใภ้รองของพวกเจ้าเข้านอนแต่หัววันเถอะ!”

“คุณชายรองจะออกไปหรือเจ้าคะ” หงจูรีบถาม

“คุณชายรองค่อยๆ เดิน” หลี่เมิ่งซีวางลวดลายในมือ ลุกขึ้นส่งเซียวจวิ้นพลางพูด

หงอวี้วางลวดลายในมือเช่นกัน ก่อนจะเดินเข้าไปหมายประคองเซียวจวิ้น

เซียวจวิ้นกลับสะบัดมือ “ไม่ต้อง ปรนนิบัติสะใภ้รองของพวกเจ้าให้ดี!”

เหนื่อยมาทั้งวัน หลี่เมิ่งซีหลับตาพิงขอบถังไม้ ฟังเสียงฝีเท้าของหงจูยุ่งง่วนอยู่นอกฉากบังลม คิดในใจ ถึงอย่างไรหงจูก็ไม่ใช่คนของตน อย่าเห็นว่าวันนี้นางคอยตักเตือนตนอยู่ข้างๆ ไม่ได้หยุด แต่หากตนคิดจะทำอะไรขึ้นมาจริงๆ หรือประพฤติตัวออกนอกลู่นอกทาง เซียวจวิ้นย่อมต้องรู้ทันทีแน่ ทางที่ดีต้องเร่งบ่มเพาะคนที่จะจงรักภักดีกับตนเท่านั้นไว้ข้างกายโดยเร็วที่สุด

วันนี้เหล่าอี๋เหนียงมาคารวะน้ำชา ทุกคนล้วนมีสาวใช้รุ่นใหญ่ข้างกายสองคน แต่เหตุใดจึงไม่ได้ส่งสาวใช้มาให้นางเล่า นายหญิงใหญ่ลืมหรือ

ตามหลักหลี่เมิ่งซีควรพาสาวใช้ประจำตัวกับแม่นมมาจากบ้านเดิม แต่หนึ่งคือนางกลัวว่าเรื่องที่ตนเป็นวิญญาณทะลุมิติจะถูกสาวใช้ประจำตัวจับได้ อีกอย่างเดิมทีเป็นการแต่งงานเสริมมงคล แต่งมาแล้วคุณชายรองจะมีชีวิตอยู่อีกนานเท่าไรก็ยังไม่รู้ ดังนั้นจึงปฏิเสธฮูหยินใหญ่ไปว่าไม่ต้อง เนื่องจากนายท่านสกุลหลี่รักใคร่มารดาบังเกิดเกล้าของหลี่เมิ่งซีมาก ฮูหยินใหญ่จึงชิงชังนางแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ครั้งนี้ด้วยเกรงว่าบุตรสาวตนแต่งมาแล้วจะเป็นม่าย จึงให้หลี่เมิ่งซีแต่งงานแทน แต่ก็เกรงว่าหากคุณชายรองสกุลเซียวถูกเสริมมงคลจนหายดี หลี่เมิ่งซีย่อมได้กำไรไป ไม่ว่าคิดอย่างไรในใจก็ไม่สบอารมณ์ ยิ่งเห็นหลี่เมิ่งซีก็ยิ่งรู้สึกขัดตา อยากให้นางมีชีวิตย่ำแย่มากที่สุด เมื่อหลี่เมิ่งซีบอกว่าไม่ต้องการ นางจึงฉวยเอาเรื่องนี้มาเป็นเหตุผล ส่วนจ้าวอี๋เหนียงแม้จะรักใคร่บุตรสาว และเกรงว่าบุตรสาวออกเรือนไปแล้วจะถูกรังแกถ้าไม่มีคนของตนเองข้างกาย แต่ในเมื่อฮูหยินใหญ่มีคำสั่งแล้ว นางจึงได้แต่โมโหทว่าไม่กล้าปริปาก ได้แต่ลอบปาดน้ำตาลับๆ

จะบ่มเพาะคนของตนเอง ดีที่สุดคือซื้อมาใหม่ เบื้องหลังสะอาดเหมือนกระดาษขาว แม้ยังต้องอบรมสั่งสอน อีกทั้งไม่รู้ว่าจะจงรักภักดีหรือไม่ แต่สาวใช้ที่ถูกส่งมาก็ไม่แน่อาจเป็นคนของเรือนหลังนั้น หากให้คนเช่นนี้รับใช้อยู่ข้างกาย นางมิต้องระมัดระวังตัวทุกวันราวอยู่กับโจรหรือ ไม่ต้องรอให้เกิดอันใดขึ้นหรอก คงจะเหนื่อยตายเพราะหัวใจล้มเหลวเสียก่อน เพียงแต่ไม่รู้ว่าคฤหาสน์หลังนี้มีกฎเกณฑ์ในการเลือกสาวใช้อย่างไร นางต้องหาวิธีการ และต้องซื้อสาวใช้สักสองสามคนเข้ามาอยู่ในเรือนของตนเองให้ได้

หลี่เมิ่งซีขมวดคิ้วมุ่น ขบคิดอยู่นานก็ยังหาวิธีดีๆ ไม่ได้ หากเซียวจวิ้นดีต่อนาง อย่างน้อยก็ยังสามารถไปขอร้องเขาได้ แต่ดูจากเหตุการณ์วันนี้แล้ว…ไม่มีทาง

หงจูเห็นด้านในไม่มีความเคลื่อนไหวอยู่นานจึงเดินเข้ามา แล้วก็เห็นหลี่เมิ่งซีหลับตาเอนกายอยู่ในถังไม้ คิดว่าหลับไปแล้วจึงพูดข้างหูนางเบาๆ “สะใภ้รอง ท่านแช่ตัวนานแล้ว รีบออกมาเถอะเจ้าค่ะ น้ำเย็นหมดแล้ว ระวังจะเป็นหวัดเอาได้!”

คิดไม่ออกจริงๆ ก็อย่าคิดเลย ยังมีเวลาอีกมาก วันหน้าค่อยๆ คิดแล้วกัน หลี่เมิ่งซีลุกขึ้นในที่สุด

“วันนี้สะใภ้รองน่าจะรั้งคุณชายรองไว้หน่อยนะเจ้าคะ ตามกฎธรรมเนียม เจ็ดวันให้หลังคุณชายรองถึงจะไปเรือนอนุได้” หงจูปรนนิบัติหลี่เมิ่งซีสวมเสื้อผ้าพลางพูด

หลี่เมิ่งซีหมุนตัวให้หงจูช่วยเช็ดผมให้โดยไม่ตอบอะไร คิดในใจว่า เมื่อไม่มีรัก ชะตาย่อมลิขิตแล้วว่าข้าไม่อาจแทรกตัวเข้าไปในชีวิตของเขาได้ แม้รั้งตัวเขาไว้ได้ แต่กลับรั้งหัวใจไว้ไม่อยู่ จะให้ทำอย่างไรได้เล่า

(ตอนต่อไปพบกันวันที่ 19 มีนาคม)

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

Jamsai Editor: