X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดหญิงเซียนเครื่องหอม

ทดลองอ่าน ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม เล่ม 7 ตอนที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 6

ตอนที่ 3

เขาเดินมาที่ลานด้านหลังอย่างเร่งรีบ ก่อนจะเห็นสาวใช้ที่ชื่อเหมยเซียงยืนอยู่ใต้ร่มไม้ นางเห็นเขาเดินมาแต่ไกลก็รีบวิ่งหนีไป…

เหตุใดนางจึงดูรีบร้อนไม่มีระเบียบเช่นนี้

หร่วนอวี้ขมวดคิ้ว กำลังจะเอ่ยปากตะคอกก็เกิดความคิดขึ้นในใจ จึงกระโดดลอยตัวไปขวางหน้าเหมยเซียงเอาไว้

ประสานเข้ากับสายตาดุร้ายของหร่วนอวี้แล้ว เหมยเซียงก็ทรุดลงคุกเข่า “ใต้เท้าไว้ชีวิตด้วยเจ้าค่ะ!”

“เห็นข้าแล้วเหตุใดต้องหลบด้วย”

“พี่หงซิ่วให้บ่าวคอยจับตาดูที่นี่เอาไว้ หากเห็นว่าใต้เท้ากลับมาแล้วจะต้องส่งข่าวให้นางรู้เจ้าค่ะ…”

หงซิ่วอยู่ข้างกายหร่วนอวี้ตั้งแต่เด็ก นางเป็นคนฉลาดและมีสายตาเฉียบแหลม ทั้งปรนนิบัติเขามาสิบกว่าปีจึงเป็นคนที่เขาเชื่อใจที่สุด หร่วนอวี้ไม่เคยเชื่อใจอนุของตนเลย ห้องลับแห่งนี้ก็เป็นหงซิ่วที่คอยจัดการแทนเขามาตลอด

ตอนนี้หงซิ่วให้คนมาจับตาดูเขา นางกำลังทำอันใดอยู่กันแน่

ได้ฟังคำพูดนี้แล้วหร่วนอวี้จึงเอ่ยปากถาม “หงซิ่วอยู่ที่ใด”

เหมยเซียงส่ายหน้า “บ่าวเฝ้าอยู่ข้างหน้าตลอด ไม่รู้ว่าพี่หงซิ่วไปที่ใดเจ้าค่ะ” ปากบอกว่าไม่รู้ แต่สายตากลับเหลือบไปทางห้องลับอย่างไม่สบายใจ

มองไปตามสายตาของเหมยเซียงแล้วหร่วนอวี้ก็สะดุ้ง ก่อนจะยกมือขึ้นสกัดจุดนางให้หมดสติแล้วทิ้งไว้ที่ใต้ร่มไม้ ส่วนเขาก็ก้าวเข้าไปในห้องลับอย่างรวดเร็ว

หร่วนอวี้มาถึงห้องลับ ขณะที่กำลังจะยื่นมือไปคลำหาลูกกุญแจ เขาก็เห็นประตูห้องลับเปิดอยู่ ในนั้นมีเสียงลอดออกมา เขากลั้นหายใจในทันที

“ที่นายท่านต้องการคงจะเป็นจดหมายลับเหล่านี้” ราวกับหาอะไรเจอ หงซิ่วจึงพูดขึ้นอย่างยินดี

“พี่เอาของเหล่านี้ไป ใต้เท้าคงจะพบในไม่ช้า” เสียงของลวี่อีฉายความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด

ลวี่อีเป็นสาวใช้ประจำกายหร่วนอวี้เช่นกัน ได้ฟังบทสนทนานี้แล้วหร่วนอวี้ก็มีสีหน้าโกรธเกรี้ยว เขาพยายามควบคุมตนเองอย่างเต็มที่เพื่อห้ามไม่ให้ตนพังประตูเข้าไป แล้วยืนฟังอย่างตั้งใจ

“สนใจอะไรมากไม่ได้แล้ว พ่อแม่เจ้ากับข้าล้วนอยู่ในมือนายท่าน หากไม่ฟังคำของนายท่านก็ต้องตายกันหมดทั้งบ้าน!” หงซิ่วพูดอย่างตื่นตระหนก “นายท่านบอกว่าขอเพียงมอบสิ่งเหล่านี้ไปให้ ต่อไปก็จะมีสุขให้เสพไม่รู้จบ พวกเรารีบไปกันเถอะ ตอนนี้ใต้เท้าคงใกล้กลับมาแล้ว”

หงซิ่วพูดพลางผลักเปิดประตู เห็นหร่วนอวี้กำลังยืนหน้านิ่งอยู่ตรงประตู ในสมองก็มีเสียงดังก้อง หงซิ่วสั่นไปทั้งตัวแล้วทรุดลงคุกเข่า “ใต้เท้า…”

พลิกมือปิดประตูแล้ว หร่วนอวี้ก็ก้าวเท้าเข้ามาในห้องลับ

“เอาออกมา…” เสียงราบเรียบของหร่วนอวี้ฉายความเย็นเยือกที่แทงทะลุหัวใจ

ลวี่อีตัวสั่น มองไปทางหงซิ่วอย่างอึดอัด

หงซิ่วหน้าซีดราวคนตาย จากนั้นนางก็โขกหัวไม่หยุด “บ่าวทรยศใต้เท้า นับว่าสมควรตายแล้ว แต่ขอใต้เท้าเห็นแก่ที่บ่าวปรนนิบัติท่านมาหลายปี ปล่อยคนทางบ้านบ่าวไปเถิดเจ้าค่ะ”

หร่วนอวี้มองหงซิ่วอย่างเย็นชา ไม่ได้พูดอะไร

รับรู้ถึงพลังอันน่ากลัวกดดันเข้ามา หงซิ่วก็ไม่กล้าพูดมากอีก เพียงหยิบจดหมายปึกหนึ่งออกจากท้องแขนเสื้อยื่นออกไปด้วยมือที่สั่นเทา

รับจดหมายไปแล้ว หร่วนอวี้ก็พลิกดูไปทีละฉบับ ล้วนเป็นจดหมายลับที่เขาติดต่อกับอิงอ๋องทั้งสิ้น “พ่อบุญธรรมต้องการของเหล่านี้ไปทำอันใด” เสียงพูดราบเรียบ แต่กลับเย็นเยือกเสียดแทงกระดูก

หลิ่วอู่เต๋อเลี้ยงเขามาแต่เด็กจนเติบใหญ่ ส่งเขาให้เรียนรู้หนังสือ ทั้งยังให้ฝึกวรยุทธ์ เขาเห็นหลิ่วอู่เต๋อเป็นเสมือนพ่อบังเกิดเกล้า ไม่เคยสงสัยมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะทำร้ายเขา แต่ตอนนี้พบว่าถูกคนที่ไว้ใจที่สุดทรยศเช่นนี้ หร่วนอวี้ก็รู้สึกราวกับหัวใจถูกแทงเป็นหมื่นหน เจ็บจนแทบจะด้านชา จ้องตรงไปที่หงซิ่วซึ่งเป็นสาวใช้ที่คอยติดตามเขาตั้งแต่ตอนที่เข้าไปอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วคนนี้แล้ว หร่วนอวี้ก็พลันเกิดความรู้สึกเหมือนไม่รู้จักนางขึ้นมา

“ตระกูลหลีส่งมอบธูปไหว้พระตามกำหนด ฝ่าบาทจึงพระราชทานรางวัลเป็นพิเศษ ทว่านายท่านกลับเสียหายอย่างหนัก กระทั่งไม่อาจต่อสู้กับตระกูลหลีได้แล้ว คิดว่าอิงอ๋องคงหมดสิ้นอำนาจแล้วเช่นกัน นายท่านจึงสั่งให้บ่าวมาขโมยของเหล่านี้เจ้าค่ะ” เผชิญกับความน่าเกรงขามของหร่วนอวี้แล้ว หงซิ่วมีหรือจะกล้าปิดบัง “นายท่านคิดจะให้นายน้อยรองหลิงเทาถือสิ่งเหล่านี้ไว้ รอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมจึงค่อยยื่นไปพร้อมกับฎีกา เพื่อจะได้สร้างความชอบจากการทำลายอิงอ๋อง หาทางให้ได้รับความโปรดปรานจากองค์รัชทายาทเจ้าค่ะ”

หลิงเทา?

หร่วนอวี้นึกขึ้นได้ทันใด หลิงเทาที่เคยติดร่างแหเรื่องอัครเสนาบดีมู่จนไม่ได้กลับต้าเยี่ยมาหลายปีนั้น จู่ๆ เมื่อสามวันก่อนก็มาปรากฏตัวที่คฤหาสน์ตระกูลหลิ่ว หร่วนอวี้พลันรู้สึกเคร่งเครียด หลิ่วอู่เต๋อคิดจะฉวยโอกาสนี้พลิกอาวุธ เตรียมจะใช้เขาหร่วนอวี้เพื่อหาความชอบแล้ว!

เมื่อความคิดนี้แล่นผ่าน เขาจึงถามออกมาว่า “พ่อบุญธรรมทำร้ายข้าเช่นนี้ คิดอยากให้อาเฟิ่งเป็นม่ายอย่างนั้นหรือ”

เขากับหลิ่วเฟิ่งแม้จะแต่งงานไม่สำเร็จ แต่การหมั้นหมายนั้นยังคงอยู่

“เรื่องนี้บ่าวไม่รู้จริงๆ!” หงซิ่วโขกหัวไม่หยุด “นายท่านเพียงให้บ่าวมาขโมยจดหมายเหล่านี้เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นไม่ได้พูดอันใดเลยเจ้าค่ะ เรื่องที่จะมอบให้นายน้อยรองเพื่อสร้างความชอบก็เป็นเรื่องที่บ่าวได้ยินหลิ่วผิงพูดมา”

หลิ่วผิงเป็นบ่าวประจำกายหลิ่วอู่เต๋อ สนิทกับหงซิ่วมาตั้งแต่เด็ก โดยทั้งสองได้แอบหมั้นหมายกันอย่างลับๆ แล้ว

พูดจบแล้วก็รู้สึกเหมือนมีกลิ่นอายสังหารพุ่งเข้ามา หงซิ่วเกิดความหวาดกลัวอย่างไร้ขอบเขตขึ้นในจิตใจ นางโขกหัวราวไก่จิกข้าวสาร “บ่าวรู้เพียงเท่านี้ เรื่องที่ควรพูดก็พูดไปแล้ว ขอใต้เท้าเห็นแก่…”

พูดยังไม่ทันจบฝ่ามือของหร่วนอวี้ก็ซัดลงมา สมองของทั้งสองพลันแตกกระจาย หงซิ่วกับลวี่อีล้มลงบนพื้นทั้งคู่

 

หร่วนอวี้ยืนอยู่หน้าคฤหาสน์ตระกูลหลิ่ว เขามองดูประตูแดงบานใหญ่และโคมแดงใบใหญ่ที่แขวนอยู่ตรงประตูทั้งปีซึ่งได้ประทับอยู่ในใจเขามาตั้งแต่เด็กแล้ว หัวใจของหร่วนอวี้พลันรู้สึกเจ็บปวด

ทั้งที่เลี้ยงดูเขามาหลายปี เหตุใดพ่อบุญธรรมจึง…เหตุใดจึงทำกับเขาเช่นนี้ได้!

เพราะเรื่องของมู่หวั่นชิว ที่ผ่านมาเขาจึงรู้สึกผิดต่อหลิ่วเฟิ่งอยู่บ้าง กระนั้นเขาก็ได้สาบานในใจไว้แล้วว่าวันหน้าหากสามารถแต่งงานกับมู่หวั่นชิวได้จริง ไม่ว่าตนเองจะโปรดปรานนางเพียงใด เขาก็จะไม่ให้นางทำลายศักดิ์ศรีของหลิ่วเฟิ่งได้เป็นอันขาด

ตำแหน่งภรรยาเอกของเขาจะเป็นของหลิ่วเฟิ่งตลอดไป!

ที่ให้หร่วนซีพาคนในค่ายลับและเงินทองจากไปก่อน เขาก็ทำเพื่อให้พ่อบุญธรรมและหลิ่วเฟิ่งได้มีที่อยู่มิใช่หรือ

แขนนั้นยกขึ้นแล้ววางลง วางลงแล้วยกขึ้น หร่วนอวี้ไม่อาจรวบรวมความกล้าเข้าไปถามหลิ่วอู่เต๋อได้

ทันใดนั้นเขาก็กระโดดลอยตัวข้ามหลังคาบ้านเข้าไป เดินมาถึงห้องหนังสือของหลิ่วอู่เต๋ออย่างคุ้นเคย ทว่าหลิ่วอู่เต๋อไม่ได้อยู่ในห้อง หร่วนอวี้จึงมุ่งไปที่ห้องของหลิ่วเฟิ่ง ขยับกระเบื้องหลังคาบนห้องออกเป็นช่องเล็ก แล้วก้มหน้ามองลงไป ก่อนจะเห็นหลิ่วอู่เต๋อกำลังนั่งคุยกับหลิ่วเฟิ่งอยู่ในห้อง

“ถึงอาเฟิ่งตายก็ไม่แต่งงานกับพี่รอง!” หลิ่วเฟิ่งตะโกนอย่างสุดแรง “อาเฟิ่งชอบพี่สาม พวกเราหมั้นหมายกันแล้ว กระทั่งลือกันไปทั่วเมืองต้าเยี่ยแล้วด้วย!”

“หมั้นแล้วก็ถอนหมั้นได้” หลิ่วอู่เต๋อพูดกล่อมอย่างอดทน “พ่อทำเช่นนี้ก็เพราะหวังดีกับเจ้า” เขาถอนหายใจ “องค์รัชทายาทถูกปล่อยออกจากวังหย่งอันแล้ว แม้จะยังไม่มีพระราชโองการคืนตำแหน่งองค์รัชทายาทอย่างชัดเจน แต่ฝ่าบาททรงอนุญาตให้เขาเดินไปมาในห้องทรงพระอักษรได้แล้ว ด่านแถบเขาอูเจวี๋ยก็เปลี่ยนคนป้องกัน พ่อส่งสายลับไปหลายทางล้วนสืบข่าวของฉางหมิ่นไม่ได้เลย เกรงว่าเขาคงจะประสบเคราะห์ไปแล้ว” หลิ่วอู่เต๋อน้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล “เรือของอิงอ๋องลำนี้เกรงว่าคงจะจมแล้ว!”

“พี่สามอายุน้อย ทั้งยังเก่งกล้า ฉลาดคิดการดี วรยุทธ์ก็สูงส่ง พวกเราไม่พึ่งอิงอ๋องก็สามารถรุ่งเรืองได้เช่นกัน!”

“ช่างไร้เดียงสานัก!” หลิ่วอู่เต๋อตบโต๊ะอย่างแรง “เมื่ออิงอ๋องล้มแล้ว อวี้เอ๋อร์ก็จะเป็นคนแรกที่ต้องตาย!”

ถูกความโกรธเกรี้ยวของบิดาทำให้ตกใจ หลิ่วเฟิ่งก็ตัวสั่น นางตะลึงมองหน้าบิดาจนลืมพูด

ผ่านไปครู่ใหญ่จึงร้องไห้โฮขึ้นมา

“อาเฟิ่งอายุยังน้อย ย่อมไม่รู้ว่าการแย่งชิงบัลลังก์นี้แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นเช่นเจ้าตายข้าอยู่” หลิ่วอู่เต๋อเสียงพูดอ่อนลง “อวี้เอ๋อร์เป็นทหารของอิงอ๋อง ทั้งยังเป็นขุนนางที่สร้างความชอบด้วยการฆ่าอัครเสนาบดีมู่ ถ้าองค์รัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์เมื่อใด คนแรกที่จะไม่ปล่อยไว้ก็คือเขา” แล้วเปลี่ยนประเด็นพูด “ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็แล้วไปเถอะ ด้วยกำลังทรัพย์ของตระกูลหลิ่วพ่อยังสามารถใช้เงินซื้อความปลอดภัยของอวี้เอ๋อร์ได้ แต่เรื่องจันทน์หอมครั้งนี้ตระกูลหลิ่วสูญเงินไปถึงสามล้านตำลึงภายในคืนเดียวเชียวนะ!” พูดตัวเลขนี้ออกมาแล้ว หลิ่วอู่เต๋อก็ปวดใจจนแทบเต้น ทั้งแค้นหร่วนอวี้จนเข้ากระดูก เขาจึงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “เดิมทีพ่อก็ไม่คิดจะก้าวเข้าไปในน้ำขุ่นนี้หรอก แต่อวี้เอ๋อร์กลับเอาจดหมายลับของอิงอ๋องมา…”

“แต่ว่า…” พูดถึงเรื่องนี้หลิ่วเฟิ่งก็รู้ว่าท่านพ่อแค้นหร่วนอวี้เพียงใด นางจึงลดเสียงพูดลง

“แต่ว่าอวี้เอ๋อร์มิใช่มังกร!” ไม่รอให้หลิ่วเฟิ่งพูดจบ หลิ่วอู่เต๋อก็พูดต่อไป “ตอนแรกพ่อมองผิดไปเอง คิดว่าเขาเป็นมังกร จนเกือบจะทำลายชีวิตของอาเฟิ่งไปแล้ว!” เขารู้สึกเสียใจภายหลัง “โชคยังดีที่อาเฟิ่งกับเขายังไม่ได้เข้าพิธีกัน!” เขาเปลี่ยนประเด็นพูด “หลิงเทามีหลักฐานที่อิงอ๋องทรงวางแผนชิงบัลลังก์แล้ว รอเพียงแค่เวลาที่เหมาะสม หลังจากที่เขาสร้างความชอบแล้วพ่อก็จะคุยกับอวี้เอ๋อร์เรื่องถอนหมั้นพวกเจ้าสองคนด้วยตนเอง” แม้เสียงพูดจะอ่อนโยน แต่น้ำเสียงกลับเด็ดขาด แฝงด้วยความหมายที่ไม่ยอมให้คัดค้านออกมารางๆ

หร่วนอวี้ที่อยู่บนหลังคาใจสั่น แอบคิดว่าที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง เอาจดหมายลับของข้ากับอิงอ๋องไปเอาความชอบ รอจนพี่รองสร้างผลงานแล้วก็จะเป็นเวลาที่ข้าต้องตกนรก ถึงตอนนั้นการหมั้นหมายนี้ก็มิใช่เรื่องที่บารมีของข้าจะรักษาไว้ได้แล้ว พ่อบุญธรรมโหดร้ายมาก แค่สูญเงินไปสามล้านตำลึง เขาก็ไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์พ่อลูกที่มีมานานหลายปีแล้ว!

หร่วนอวี้เข้าใจแผนการทั้งหมดของหลิ่วอู่เต๋อในทันที หัวใจเขาเกิดความเศร้ารันทดอย่างไร้ขอบเขตขึ้นมา

บนโลกนี้ยังจะมีความจริงใจอยู่ที่ใดอีกเล่า ล้วนแต่เป็นความต้องการในผลประโยชน์ทั้งสิ้น!

“ลูกไม่สน!” หลิ่วเฟิ่งส่ายหน้าอย่างเอาแต่ใจ “นอกจากพี่สาม ลูกก็ไม่แต่งงานกับใครทั้งนั้น!”

“เจ้าติดตามเขาไม่มีจุดจบที่ดีหรอก!”

“ข้าไม่สน! ข้าจะแต่งงานกับเขา!”

“พวกเจ้าเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้!” เห็นลูกสาวดื้อรั้น หลิ่วอู่เต๋อจึงพูดอย่างดุดัน

เสียงในห้องเงียบลงทันใด

หร่วนอวี้ที่อยู่บนหลังคาก็นิ่งไปเช่นกัน เขาไม่ขยับเขยื้อน กลั้นหายใจพลางมองหลิ่วอู่เต๋อ

ทันใดนั้นหลิ่วเฟิ่งก็หัวเราะแห้งๆ “ท่านพ่ออย่าพูดล้อเล่นสิ ลูกกับพี่สามเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก แล้วจะเป็นศัตรูกันได้อย่างไร”

“เรื่องนี้ฝังอยู่ในใจพ่อมานานแล้ว” หลิ่วอู่เต๋อถอนหายใจ “ตอนแรกที่เห็นพวกเจ้ามีความรักเพิ่มมากขึ้นทุกทีนั้น หัวใจพ่อก็เหมือนจะหายใจไม่ออก”

“เรื่องนี้จริงหรือ” คิดถึงตอนที่ท่านพ่อเคยขัดขวางไม่ให้พวกตนรักกันในทุกๆ ทาง หลิ่วเฟิ่งก็เหมือนจะพอเข้าใจขึ้นมา “ตอนแรกท่านพ่อยืนกรานไม่อนุญาตให้ลูกสนิทสนมกับพี่สามก็เพราะเรื่องนี้หรือ”

“ใช่แล้ว” หลิ่วอู่เต๋อพยักหน้า “พ่อมักจะฝันเห็นภาพหลังจากที่เขาแต่งงานกับเจ้าแล้วเขารู้ว่าพ่อเป็นคนร้ายตัวจริงที่ฆ่าล้างตระกูลของเขา ใช้ทุกวิธีมาทรมานเจ้าทุกวัน นับจากวันที่พ่อรับปากให้พวกเจ้ารักกัน หลายปีมานี้พ่อก็ไม่เคยนอนหลับสนิทเลย ครั้งนี้ดีแล้ว ให้เขาตายไปพร้อมกับอิงอ๋อง ไปพบพ่อบังเกิดเกล้าของเขาในปรโลก พ่อก็ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะรังแกอาเฟิ่งของพ่อแล้ว”

ราวกับสิ่งที่แบกเอาไว้นานหลายปีได้รับการปลดปล่อย หลิ่วอู่เต๋อเปล่งเสียงหัวเราะประหลาดออกมาราวกับปีศาจ

ทำให้หร่วนอวี้ที่อยู่บนขื่อหลังคาขนลุกไปทั้งตัว

“มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่” หลิ่วเฟิ่งเสียงเปลี่ยนไปเช่นกัน นางเขย่าตัวบิดาอย่างแรง “ท่านพ่อรีบเล่ามาสิ!”

“จะว่าไปแล้ว นั่นเป็นเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อน…” ยกถ้วยชาขึ้นดื่มอึกใหญ่แล้ว หลิ่วอู่เต๋อก็เริ่มเล่าออกมา “ตอนนั้นพ่อยังหนุ่ม มีพละกำลัง ไม่รู้อันตรายของยุทธภพ พอได้ยินว่าอาวุธทหารขายได้เงิน พ่อก็ใช้ความเป็นสหายกับจูเหวินแม่ทัพเจิ้นกั๋วร่วมมือกับเขาขายม้าและอาวุธทหารให้กับทูเจวี๋ย สิ่งเหล่านี้ล้วนยักยอกออกมาจากค่ายทหารของแม่ทัพจูทั้งสิ้น แล้วให้พ่อเป็นคนขนออกไป เพียงพริบตาก็หาเงินกลับมาได้จำนวนมาก…”

คิดถึงเงินก้อนโตที่ได้มาในตอนนั้นแล้วสองตาหลิ่วอู่เต๋อก็พลันเปล่งประกาย แต่แล้วก็สลดลงไป “น่าเสียดายที่การหาเงินครั้งนี้กลับอยู่ได้ไม่ยั่งยืน ท่านพ่อของอวี้เอ๋อร์เป็นราชเลขาธิการในตอนนั้น ตอนที่สอบสวนคดีความขัดแย้งเรื่องเกลือของชาวเมืองชายแดนทูเจวี๋ยก็พบเรื่องลอบขายอาวุธทหารนี้เข้า เขาจึงแอบตรวจสอบพ่อไปด้วยเลย”

“เขาตรวจสอบเจอหรือ” หลิ่วเฟิ่งฟังแล้วหน้าซีด นางถามอย่างตื่นเต้น

“ถ้าเรื่องถูกเขาตรวจสอบเจอได้ง่ายดายเพียงนั้น พ่อก็คงไม่มีวันนี้แล้ว” หลิ่วอู่เต๋อหัวเราะอย่างเย็นชา “ได้ยินว่าราชเลขาธิการแอบตรวจสอบเรื่องการลอบขายอาวุธทหาร พ่อกับแม่ทัพจูก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ สุดท้ายก็ตัดสินใจอย่างเร่งด่วนซื้อตัวคนทูเจวี๋ยสร้างหลักฐานปลอม ใส่ร้ายราชเลขาธิการว่าสมคบกับทูเจวี๋ย มู่ซีในตอนนั้นเพิ่งจะขึ้นเป็นอัครเสนาบดี กำลังเป็นที่โปรดปราน บังเอิญเขากับราชเลขาธิการมีความเห็นไม่ลงรอยกันเรื่องแนวทางปฏิบัติที่มีต่อทูเจวี๋ย ทั้งยังเคยมีปากเสียงกันอย่างหนักกลางท้องพระโรง พ่อกับแม่ทัพจูเห็นว่าเป็นโอกาสอันดีจึงส่งคนเอาหลักฐานปลอมไปยื่นให้กับมือมู่ซี”

“ลูกได้ยินว่าอัครเสนาบดีมู่เป็นคนฉลาด เก่งเรื่องการวางแผน เหตุใดเขาจึงเชื่อง่ายดายเช่นนี้” หลิ่วเฟิ่งถามอย่างสงสัย

“อาเฟิ่งพูดไม่ผิด ถ้าเป็นในยามปกติเขาอาจจะไม่เชื่อ…” หลิ่วอู่เต๋อพยักหน้า “แต่พ่อกับแม่ทัพจูใช้โอกาสได้ดี ตอนนั้นชาวทูเจวี๋ยเข้ามารุกรานชายแดนของเราบ่อยครั้งทำให้ฝ่าบาทปวดพระเศียรมาก อีกทั้งเพิ่งผ่านอุทกภัยใหญ่ที่ร้อยปีจะมีสักครั้งมา เสียเงินในคลังราชสำนักไปช่วยราษฎรจนหมด ด้วยเหตุนี้มู่ซีในฐานะอัครเสนาบดีจึงคิดจะเจรจาสงบศึก ให้ราชสำนักได้มีเวลาหายใจอีกสองสามปี รอให้มีโอกาสที่พร้อมทางทหารและเสบียงแล้วต้าโจวค่อยเปิดศึกกับทูเจวี๋ยอีกครั้ง แต่ว่า…”

เขาเปลี่ยนประเด็นพูดไป

“ราชเลขาธิการกลับเลือดร้อนคัดค้านนโยบายเจรจาสงบศึกนี้ พูดอย่างหนักแน่นว่าการเจรจาสงบศึกจะเป็นการช่วยให้คนร้ายทำเลวได้ ประกาศจะทำศึกกับชาวทูเจวี๋ย เรื่องจะทำสงครามหรือเจรจาสงบศึกต่างก็โต้เถียงอย่างไม่มีใครยอมแพ้ มู่ซีได้รับจดหมายลับการสมรู้ร่วมคิดที่องค์ชายทูเจวี๋ยเขียนให้กับราชเลขาธิการด้วยตนเองเช่นนี้แล้วยังจะไม่เชื่อได้อีกหรือ เขาจึงรีบยื่นฎีกาแจ้งว่าราชเลขาธิการทรยศแผ่นดินสมคบศัตรู บอกว่าที่เขาเป็นตัวตั้งตัวตีให้ทำศึก เพราะร่วมกับคนทูเจวี๋ยทำลายแคว้นต้าโจวทั้งในและนอก…”

หลิ่วอู่เต๋อส่ายหน้า “ฝ่าบาททรงอ่านจดหมายลายมือขององค์ชายจากทูเจวี๋ยแล้วก็ตกพระทัยจนสีพระพักตร์เปลี่ยน เกรงจะแหวกหญ้าให้งูตื่นจนปล่อยให้ราชเลขาธิการหลบหนีไปเสียก่อน ฝ่าบาทจึงฆ่าล้างจวนราชเลขาธิการโดยไม่ได้สอบสวนเลย คนสองร้อยกว่าชีวิต บุรุษถูกฆ่า สตรีถูกขายเข้าหอนางโลมขุนนาง”

“แล้วเหตุใดท่านพ่อจึงช่วยพี่สามเอาไว้” หลิ่วเฟิ่งหน้าซีดขาว แววตาเศร้าสลด “ในเมื่อเป็นศัตรู ไยจึงไม่ฆ่าให้หมด ตัดรากถอนโคน!”

หากตอนนั้นท่านพ่อฆ่าหร่วนอวี้หรือไม่ได้ช่วยเขาเอาไว้ นางก็ไม่ต้องพบกับเขา

ตอนที่ยกเลิกงานแต่งงาน พวกเขาเคยมีปากเสียงกัน เคยหาเรื่องกัน หากสามารถลืมเลือนเขาได้นางก็คงลืมไปแล้ว ยังจะต้องถ่วงเวลามาถึงตอนนี้และไม่ยอมถอนหมั้นเพื่ออะไรอีก นี่เป็นเพราะรากแห่งความรักได้ฝังรากลึกนานแล้ว แต่ท่านพ่อกลับบอกนางว่าคนรักที่ตนเองรักมานานหลายปีเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ สิ่งนี้จะให้นางรับได้อย่างไร

หลิ่วเฟิ่งมองหน้าบิดาด้วยความเย็นชา รู้สึกว่าเขาโหดร้ายมาก

“ตอนนั้นพ่อก็อยากฆ่าเขา!” เห็นแววตาโอดครวญของลูกสาวแล้ว หลิ่วอู่เต๋อก็ถอนหายใจ “เป็นความผิดพลาดจนทำให้อาเฟิ่งต้องมีเคราะห์ในรักนี้ ตอนแรกที่จวนราชเลขาธิการถูกฆ่าล้าง เกรงว่าจะเหลือผลร้ายเอาไว้ พ่อจึงไปตรวจสอบด้วยตนเองอีกครั้ง ตอนกลับมาก็ได้พบอวี้เอ๋อร์ที่ขอทานไปทั่ว จากภาพวาดของสายลับ พ่อจำได้รางๆ ว่าเขาก็คือลูกชายคนเล็กของราชเลขาธิการ จึงพาเขากลับมาที่คฤหาสน์ตระกูลหลิ่ว เดิมคิดว่าหลังจากพากลับมาที่คฤหาสน์ตระกูลหลิ่วแล้วจะฆ่าทิ้งไม่ให้ใครรู้เสีย ใครจะรู้ว่ากลับถึงคฤหาสน์ก็ได้ยินรายงานจากสายลับว่าตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยที่เล่าลือกันตกอยู่ในมือราชเลขาธิการ พอได้รับข่าวนี้แล้ว คิดถึงตอนที่ไปตรวจจวนราชเลขาธิการกลับไม่เจอตำราเล่มนี้ ตอนนั้นพ่อสงสัยว่าตำราเล่มนั้นจะอยู่ในตัวอวี้เอ๋อร์จึงเก็บเขาเอาไว้”

“แต่หลังจากท่านพ่อรู้แล้วว่าตำราเล่มนั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวพี่สาม เหตุใด…”

เหตุใดยังไม่ฆ่าเขาอีก!

พูดได้เพียงครึ่งเดียวหัวใจหลิ่วเฟิ่งก็บีบตัวจนเจ็บ คำว่า ‘ฆ่าเขา’ เพียงแค่คิดจะพูดก็พูดไม่ออกเสียแล้ว

“ถ้ารู้แต่แรกว่าอาเฟิ่งจะชอบเขา พ่อก็คงคิดจะฆ่าเขาอีกครั้งไปแล้ว แต่เพราะตอนนั้นเลี้ยงดูเขามาได้เกือบสองปี เขาน่ารัก เชื่อฟัง และฉลาดหลักแหลม ไม่ว่าเรื่องใดเพียงชี้แนะก็เข้าใจทำให้พ่อตัดใจไม่ลงจริงๆ” หลิ่วอู่เต๋อถอนใจ รู้สึกเสียใจที่ไม่ทำเช่นนั้นในตอนแรก “ต่อมาเห็นอาเฟิ่งก่อเรื่องราวมากมาย ในที่สุดพ่อก็ตัดสินใจจะฆ่าเขา ใครจะรู้ว่าเขากลับถูกอู๋ซวีจื่อที่ท่องเที่ยวมาถึงเมืองต้าเยี่ยหมายตาเข้าเสียได้ จะขอรับเป็นศิษย์ในสำนัก พ่อเองก็ได้ยินสายลับบอกมาว่าอิงอ๋องปิดชื่อแซ่ฝึกยุทธ์อยู่ในสำนักของอู๋ซวีจื่อ เห็นอู๋ซวีจื่อชอบอวี้เอ๋อร์เช่นนี้ พูดว่าเขาเป็นคนมีฝีมือเหมาะจะฝึกวรยุทธ์ ปีนั้นพอดีแม่ทัพจูป่วยตายไป คิดว่าคนที่รู้เรื่องนี้ล้วนตายหมดแล้ว พ่อจึงตัดสินใจส่งเขาไปอยู่ในสำนักอู๋ซวีจื่อที่เขาอวิ๋นสยา หวังว่าภายหน้าจะอาศัยเขาเข้าหาอิงอ๋องแล้วจะได้สร้างความรุ่งเรืองให้ตระกูล ใครจะรู้ว่า…” คิดถึงตระกูลหลิ่วที่เพิ่งสูญเงินสามล้านตำลึงไป คิดถึงอิงอ๋องซึ่งสูญเสียอำนาจบารมีแล้ว หัวใจของเขาก็เหมือนถูกมีดกรีดทีละแผลจนรู้สึกเจ็บขึ้นมา พูดต่อไปอีกไม่ไหว

ผ่านไปครู่ใหญ่จึงผ่อนลมหายใจ “ตอนนี้อาเฟิ่งรู้ทุกอย่างหมดแล้วก็ลืมเขาไปเถอะ”

“พี่สามเคยถูกคนงานคนนั้นทำให้หลงใหล ทำให้อาเฟิ่งเสียใจหลายครั้ง หากลืมได้อาเฟิ่งคงลืมไปนานแล้ว!” ผ่านไปครู่ใหญ่หลิ่วเฟิ่งจึงพูดขึ้นมาอย่างเศร้าสลด นางทรุดลงคุกเข่า “ท่านพ่อก็ให้ลูกได้สมหวังเถอะ ผ่านไปนานหลายปีแล้ว หากท่านไม่พูด พี่สามก็ไม่มีทางรู้เรื่องเหล่านี้แน่นอน…” คิดถึงว่าตนเองเติบโตมาพร้อมกับหร่วนอวี้ เห็นความบ้าคลั่ง ดื้อรั้นฉายอยู่ในดวงตาหร่วนอวี้ทุกครั้งที่พูดถึงความแค้นตระกูล หลิ่วเฟิ่งก็อดกลัวไม่ได้ นางส่ายหน้าอย่างแรง ก่อนจะพูดหลอกตนเองว่า “ท่านพ่อกับอาเฟิ่งไม่พูด พี่สามก็ไม่มีทางรู้เรื่องเหล่านี้ ต่อไปอาเฟิ่งจะไม่เอาแต่ใจอีก มีใจให้เขาเพียงผู้เดียว ไถ่โทษให้กับท่านพ่อ!”

“อาเฟิ่งเลอะเลือนเสียจริง!” หลิ่วอู่เต๋อสีหน้าเปลี่ยนไป “ถ้าอิงอ๋องได้อำนาจ เรื่องอัครเสนาบดีมู่ถูกใส่ร้ายก็จะจมอยู่ใต้ก้นทะเล อวี้เอ๋อร์ย่อมไม่มีทางรู้เรื่องนี้แน่” เขาส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง เสียงพูดค่อยๆ แผ่วลง “ตอนที่ตระกูลหร่วนถูกฆ่าล้างตระกูล ทางการค้นไม่เจอหลักฐานอื่นที่ท่านพ่อของอวี้เอ๋อร์ติดต่อกับชาวทูเจวี๋ย เมื่อใคร่ครวญถึงนิสัยของราชเลขาธิการแล้วมู่ซีก็รู้ว่าตนเองฆ่าผิดคน แต่เมื่อทำผิดไปแล้ว โดยเฉพาะคดีนี้ฝ่าบาททรงตัดสินด้วยพระองค์เอง เขาจะพลิกคดีง่ายๆ ได้อย่างไร ต่อมาอวี้เอ๋อร์ก็ค่อยๆ เติบโตขึ้น พอออกมาก็ติดตามอิงอ๋องไปเป็นขุนนางในราชสำนัก เพราะเห็นเงารางๆ ของใต้เท้าราชเลขาธิการบนใบหน้าเขา แวบแรกที่อัครเสนาบดีมู่เห็นก็จำได้ว่าเขาเป็นลูกอดีตราชเลขาธิการ ถ้าเป็นคนอื่นก็คงตัดรากถอนโคนไปด้วยแล้ว แต่ว่าอัครเสนาบดีมู่เป็นคนเถรตรง ด้วยรู้สึกละอายใจต่อใต้เท้าราชเลขาธิการ แต่ไม่รู้ว่าอวี้เอ๋อร์กับอิงอ๋องเป็นศิษย์สำนักเดียวกันจึงตั้งใจดูแลเขาเป็นพิเศษ ผลปรากฏว่าทำให้อวี้เอ๋อร์ได้ช่องว่าง…”

หลิ่วอู่เต๋อส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ “แต่ถ้าองค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์ คงจะพลิกคดีให้อัครเสนาบดีมู่เป็นคนแรก แล้วก็ขุดหาที่มาของเรื่องราว มีความเป็นไปได้ที่จะตรวจสอบเรื่องในอดีตนั้นพบ” ในแววตาฉายความดุร้าย “แผนการในตอนนี้มีเพียงอวี้เอ๋อร์ต้องตายเท่านั้น! ทำให้องค์รัชทายาทตรวจสอบเบื้องหลังของอวี้เอ๋อร์ไม่ได้อีกจึงจะปิดบังเรื่องนี้ได้ ปกป้องชีวิตตระกูลหลิ่วของเรา!” หลิ่วอู่เต๋อมองลูกสาวอย่างเศร้าสลด “อาเฟิ่งจะล้างตระกูลหลิ่วเพราะความรักของตนเองอย่างนั้นหรือ”

“ท่านพ่ออย่าพูดอีกเลย!” หลิ่วเฟิ่งฟุบลงบนหัวเข่าหลิ่วอู่เต๋อแล้วร้องไห้โฮ

“เมื่อควรตัดแต่ไม่ตัดก็ต้องรับผลร้ายเช่นนี้ ตอนแรกถ้ามู่ซีไม่สนใจความละอายใจที่เคยมีนั้น ถ้าตอนนั้นที่พบชาติกำเนิดของอวี้เอ๋อร์และฆ่าเขาไปเสีย จะทำให้บ้านแตกสาแหรกขาดได้อย่างไร” หลิ่วอู่เต๋อขยี้ผมหลิ่วเฟิ่งเบาๆ “อาเฟิ่งอยากให้ตระกูลหลิ่วของพวกเราเป็นตระกูลมู่ที่สองหรือ” เขาถอนหายใจเอื่อย “พ่อแก่แล้ว อวี้เอ๋อร์อยากได้ชีวิตของพ่อก็ช่างเถอะ พ่อไม่เสียดาย แต่อาเฟิ่งยังเด็กนัก หากต้องอยู่คนเดียวอย่างลำบากบนโลกนี้แล้วปล่อยให้เขารังแกไป พ่ออยู่ในปรโลกก็ยากจะตายตาหลับได้” ในน้ำเสียงฉายความเศร้าอย่างไร้ขีดจำกัด ทำให้หลิ่วเฟิ่งร้องไห้จนพูดไม่ออก

ตอนหลิ่วอู่เต๋อทำการค้าที่ชายแดนทูเจวี๋ย เขาถูกชาวทูเจวี๋ยจู่โจมจนบาดเจ็บถึงจุดให้กำเนิดชีวิต จำต้องไร้บุตรคนที่สองไปชั่วชีวิต มีหลิ่วเฟิ่งเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว เพื่อให้กิจการตระกูลที่สร้างมากับมือมีคนสืบทอด เขาจึงรับเลี้ยงลูกชายไว้ห้าคน บอกว่าเลี้ยงลูก แต่แท้ที่จริงแล้วอยากให้หนึ่งในนั้นเป็นลูกเขยของตนเอง

ในจำนวนห้าคนนี้ เดิมทีคนที่เขาหมายตาไว้คือลูกคนที่สองหลิงเทา ซึ่งเป็นคนสุภาพอ่อนโยน มีความรักในตัวหลิ่วเฟิ่ง แต่ว่าหลิงเทาเป็นศิษย์ที่อัครเสนาบดีมู่ภูมิใจ หลังจากอัครเสนาบดีมู่ถูกให้ร้ายแล้วเขาจึงพลอยรับเคราะห์ไปด้วย ถูกลดขั้นหนึ่งขั้น ส่วนหร่วนอวี้ที่ติดตามอิงอ๋องกลับรุ่งเรืองขึ้น หลิ่วอู่เต๋อจึงเปลี่ยนมาเลือกเขาแทน

แม้จะเลือกหร่วนอวี้ แต่เขาก็ยังแอบติดต่อหลิงเทาอยู่เสมอ ด้วยกังวลว่าหากอิงอ๋องสิ้นอำนาจแล้ว อย่างน้อยเขาก็สามารถใช้หลิงเทาปีนไปหาองค์รัชทายาทได้

ตอนนี้ในที่สุดก็ได้ใช้งานจริงๆ

วิธีที่ควรใช้ล้วนใช้หมดแล้ว เห็นหลิ่วเฟิ่งร้องไห้ ไม่ยอมรับปาก สุดท้ายหลิ่วอู่เต๋อก็ขบกรามแน่น “ก็ได้ ในเมื่ออาเฟิ่งเป็นตายก็จะแต่งงานกับอวี้เอ๋อร์ เช่นนั้นพ่อจะเอาชีวิตนี้ให้อวี้เอ๋อร์แลกกับชีวิตทั้งตระกูล!” เขาทำท่าทางเหมือนทหารหาญที่ตัดแขนตนเอง

“ท่านพ่อ…” หลิ่วเฟิ่งเรียกอย่างเศร้าสลด “อาเฟิ่งรับปาก อาเฟิ่งรับปากแต่งงานกับพี่รอง!”

“ดี…” หลิ่วอู่เต๋อผ่อนลมหายใจอย่างแรง ดวงตาฉายประกายสดใส

กำลังจะเอ่ยปากปลอบใจสักสองสามประโยคก็รู้สึกว่าแผ่นหินใต้ฝ่าเท้าสั่นเบาๆ หลิ่วอู่เต๋อสะดุ้ง

“ใคร!” เขาเงยหน้าขึ้นทันใด

“ท่านพ่อ…” หลิ่วเฟิ่งหยุดร้องไห้แล้วเช่นกัน

ปล่อยตัวหลิ่วเฟิ่งแล้ว หลิ่วอู่เต๋อก็รีบเดินออกจากห้อง

นอกประตูมีลมพัดเอื่อยพร้อมกลิ่นหอมของดอกไม้ลอยมาเข้าจมูก ยังจะมีเงาคนเสียที่ใด

องครักษ์ชุดดำสี่คนยืนตัวตรงอยู่ที่ปากประตูเรือนซึ่งไกลออกไป เห็นเขาเดินมาจึงพากันโค้งคำนับ “คารวะนายท่าน”

“เมื่อครู่ในเรือนนี้มีใครเข้ามาหรือไม่” ปากพูดถาม แต่สายตาหลิ่วอู่เต๋อกลับกวาดมองไปทางยอดไม้บนหลังคา

“ไม่มีขอรับ” องครักษ์ส่ายหน้า สายตาก็มองไปยังบนหลังคาที่ว่างเปล่าเช่นกัน “บ่าวทำตามที่นายท่านสั่ง เฝ้าอยู่ตรงนี้ตลอด”

เพราะต้องปรึกษาเรื่องแผนทำร้ายหร่วนอวี้ องครักษ์หลายคนที่หลิ่วอู่เต๋อเลือกมาจึงล้วนเป็นยอดฝีมือ หากมีคนลอบเข้ามาจริง พวกเขาไม่มีทางไม่รู้อะไรเลย คิดถึงตรงนี้หลิ่วอู่เต๋อก็แอบสบายใจ

แต่เมื่อคิดถึงแรงสะเทือนที่รับรู้ได้เมื่อครู่นี้ เขาก็เกิดความไม่สบายใจขึ้นมารางๆ อีกครั้ง

“ท่านพ่อ…” กำลังมองไปโดยรอบ หลิ่วเฟิ่งก็วิ่งออกมา “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” นางไม่เป็นวรยุทธ์และด้วยอารมณ์อ่อนไหวจึงไม่ได้รับรู้ถึงแรงสะเทือนเมื่อครู่

เห็นนางร้องไห้จนตาบวมแดง เกรงว่าจะถูกองครักษ์เห็นพิรุธเข้า หลิ่วอู่เต๋อจึงรีบดึงนางเดินกลับไปข้างใน “ข้างนอกลมแรง อาเฟิ่งเข้าเรือนไปคุยกันเถอะ”

สองพ่อลูกกำลังเดินอยู่ก็มีสาวใช้รีบวิ่งมาตาม “เรียนนายท่าน คุณหนูใหญ่ ปรมาจารย์กู่มีเรื่องด่วนขอพบคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”

กู่ฉิน?

ตอนนี้นางมาวุ่นวายอะไรด้วย

สองพ่อลูกสบตากัน หลิ่วอู่เต๋อจึงเอ่ยปากพูด “ไป พ่อจะไปกับอาเฟิ่ง”

 

(ตอนต่อไปพบกันวันที่ 17 มีนาคม)

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

Jamsai Editor: