บทที่ 6
แก้วใสที่จะไม่มีวันแตกสลาย
ร่างโปร่งเดินมาหยุดที่หน้าประตูไม้บานใหญ่ มือเรียวยกขึ้นเคาะเบาๆ รอจนได้ยินเสียงอนุญาตจากภายในแล้วจึงเปิดประตูเข้าไป
ห้องทำงานแบบตะวันตกขนาดใหญ่ทาสีเหลืองอ่อนสว่างไสว ผนังทั้งสองด้านขนาบด้วยตู้หนังสือสูง ด้านที่ติดหน้าต่างมีม่านบางสีขาวสะอาดบังแสงไว้กึ่งหนึ่ง กลางห้องปูพรมเปอร์เซียหนานุ่ม
ชายหนุ่มจำได้ว่าสมัยเด็กยามไม่มีแขกมาเยี่ยม เขาและพี่น้องจะเข้ามานอนคว่ำทับหมอนอิง อ่านหนังสืออย่างสบายใจ มีบิดาผู้นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะไม้สลักตัวใหญ่คอยเงยหน้าขึ้นมาชวนคุย ส่วนมารดาก็คอยเดินเข้าๆ ออกๆ เตรียมน้ำชามาให้สามี ไม่ก็ถือจานขนมมาให้ลูกๆ ทำให้ห้องนี้ไม่เคยขาดเสียงพูดคุยสนุกสนาน
วันนี้มีเพียงผู้เป็นบิดานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวนั้น ใบหน้าที่เริ่มมีริ้วรอยตามวัยเงยขึ้น
“ท่านพ่อเรียกหาผมหรือครับ”
เฟยหมิงเอ่ยถามพร้อมกับเดินเข้าไปทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม นึกโล่งใจที่บิดากลับจากไปทำธุระนอกเมืองหลังเขาถูกปล่อยตัวถึงสองวัน ทำให้ความอิดโรยและร่องรอยการถูก ‘ทรมาน’ นั้นจางหายไปหมดแล้ว ใบหน้าขาวคลี่ยิ้มฝืนพยายามทำท่าร่าเริงตามปกติ
“อืม” เจ้าสกุลหลี่พยักหน้า “เห็นเมื่อวันก่อนผู้กองหยางส่งคนมาแจ้งพ่อว่าขอตัวเจ้าไปช่วยงานหรือ งานอะไรกัน”
ดวงตาที่คล้ายกับดวงตาของบุตรชายจับจ้องอย่างสงสัย เพราะในยามสถานการณ์ตึงเครียดเช่นนี้ การถูกขอตัวไปช่วยราชการทหารอาจแปลได้หลายความหมาย แต่คุณชายรองที่มีเวลาคิดใคร่ครวญหาทางกลบเกลื่อนบิดากลับตอบได้อย่างราบรื่น
“เรื่องเอกสารเก่าสมัยพวกญี่ปุ่นยังอยู่น่ะครับ ทางกองทัพอยากจะให้เทียบกับข้อมูลทางโซเวียต ทางนั้นเห็นว่าผมคล่องทั้งสองภาษาก็เลยขอให้ช่วยไปตรวจสอบความถูกต้องอีกที”
ชายหนุ่มอธิบายโดยยกความถนัดของตัวเองเป็นข้ออ้าง
ถ้าเป็นแค่ภาษาญี่ปุ่น หาบัณฑิตสักคนก็คงช่วยได้ อย่างไรเด็กในแคว้นแมนจูเรียที่เติบโตมาภายใต้นโยบายการศึกษาที่อดีตผู้ปกครองกดหัวบีบบังคับต่างก็รู้ภาษาญี่ปุ่นกันบ้างไม่มากก็น้อย แต่ถ้าเป็นภาษารัสเซียหรือภาษาอังกฤษ นอกจากเขาที่มีโอกาสได้ไปเรียนมหาวิทยาลัยที่ปักกิ่ง ในจิ่นโจวคงหาผู้รู้ยากหน่อย ข้ออ้างนี้คงพอช่วยให้บิดาคลายความสงสัยได้บ้าง
ผู้อาวุโสกว่าพยักหน้า “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี พ่อห่วงเพราะเห็นว่าผู้กองหยางเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษ กลัวเจ้าจะไปทำอะไรให้เขาเข้าใจผิดเข้าเลยถูกเรียกไปสอบสวน” มือเหี่ยวย่นหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลขึ้นมายื่นส่งให้เป็นการเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พี่ใหญ่ของเจ้าส่งรายงานประจำไตรมาสมากับเรือเมล์เที่ยวล่าสุด เจ้าอ่านแล้วเปรียบเทียบกับข้อมูลไตรมาสที่แล้วให้พ่ออีกที”
“ครับ”
เฟยหมิงยื่นมือไปรับซองนั้น เอ่ยชวนคุยเพื่อเบี่ยงประเด็นความสนใจ “โรงงานทอผ้าโรงใหม่กับท่าเรือทางเขตนิวเทอร์ริทอรี่ส์น่าจะไปได้ดีนะครับ จากรายงานของพี่ใหญ่ ผลกำไรเราเพิ่มขึ้นทุกไตรมาส”
“ก็คุ้มค่าที่ส่งเฟยหลงไปคุมทางโน้น” คนฟังยิ้มนิดหนึ่ง ก่อนจะสั่งสอนต่อ “เจ้าอยู่ทางนี้ก็มาช่วยพ่อได้แล้ว ปีนี้พ่อตั้งใจว่าจะยกโรงถลุงเหล็กที่เสิ่นหยางให้เจ้าดูแล เจ้าต้องเริ่มศึกษางาน อย่าเอาแต่เที่ยวเตร่”
“ครับผม” คนถูกดุกลายๆ ยิ้มเอาใจ
เขารอให้บิดาสั่งงานเล็กน้อยอีกสองสามอย่างแล้วจึงขอตัวลุกออกมา แต่กลับถูกเรียกเอาไว้เสียก่อน
“เฟยหมิง”
ร่างโปร่งที่กำลังจะเปิดประตูชะงัก หันกลับมาอีกครั้ง บิดาที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานมองเขานิ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “สถานการณ์ตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก เจ้าจะคบหาเพื่อนคนไหน จะทำอะไรก็คิดให้รอบคอบเสียก่อน อะไรที่อันตรายหรือเสี่ยงจะถูกเพ่งเล็งก็อย่าทำ ตอนนี้พ่อเหลือแค่พี่ใหญ่ของเจ้ากับเจ้าแค่สองคนเท่านั้นนะ เจ้ารอง”
ท้ายประโยคที่แฝงนัยสำทับเตือนและคำเรียกซึ่งไม่ได้ยินมานานทำให้ลมหายใจสะดุด
ถึงแม้คนนอกบ้านยังเรียกเขาว่าคุณชายรอง แต่บ่าวไพร่สกุลหลี่ต่างรู้ดีว่าควรหลีกเลี่ยงคำคำนี้ ทุกคนจะเรียกแทนตัวเขาว่าคุณชายเท่านั้น
เพราะคำว่าคุณชายรอง…ทำให้นึกถึงคุณชายเล็ก
เฟยหมิงฝืนยิ้ม พยักหน้ารับคำบิดา “ครับ ท่านพ่อ ผมจะระวัง”
ชายหนุ่มเดินออกมาจากห้องทำงาน กำลังจะเลี้ยวไปยังห้องนอน แต่ขาที่กำลังจะก้าวหยุดชะงัก เปลี่ยนใจหมุนตัวเดินลงบันไดไปยังชั้นล่าง
โถงสำหรับตั้งหิ้งป้ายวิญญาณสกุลหลี่จัดเอาไว้ที่ห้องขนาดกลางห้องหนึ่ง ร่างโปร่งเปิดประตูเดินเข้าไปภายใน เขาหยุดทำความเคารพหิ้งกลางที่วางป้ายวิญญาณบรรพชนและป้ายวิญญาณของมารดา ก่อนจะหันไปหิ้งด้านข้าง
รูปถ่ายขาวดำตั้งอยู่ข้างป้ายวิญญาณไม้ ใบหน้าสดใสของชายหนุ่มวัยยี่สิบปีมองตรงมาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
หลี่เฟยซิ่น
คุณชายรองสกุลหลี่ถอนใจ เขาคลี่ยิ้มราวกับจะตอบรับรอยยิ้มนั้น ก่อนเอ่ยถาม แม้จะรู้ว่าคนในภาพคงไม่มีวันตอบกลับมาได้ “ยังมองดูอยู่หรือเปล่า อาซิ่น ไม่ต้องห่วงนะ อุดมการณ์ของนาย พี่จะสานต่อให้เอง”
…………………………………………………………..
ฤดูหนาวในจิ่นโจวเริ่มต้นในเดือนธันวาคม อากาศหนาวเหน็บและลมกระโชกรุนแรงจากทางเหนือทำให้ผู้คนพากันหลบอยู่ภายในบ้าน ซุกอยู่ข้างเตาผิงอันอบอุ่น ยิ่งในปีนี้การสู้รบระหว่างพรรคก๊กมินตั๋งและกองทัพแดงคอมมิวนิสต์กำลังเข้มข้น ยิ่งไม่มีใครอยากออกมาเดินเพ่นพ่านภายนอก
แมนจูเรียเป็นศูนย์กลางการสู้รบ และจิ่นโจวซึ่งเป็นเมืองใหญ่ของแคว้นก็กำลังถูกบีบจากทั้งสองทาง
ร่างโปร่งก้าวลงจากรถ เขาเดินมาหยุดตรงหญิงชราร่างผอมห่มผ้าขาดกะรุ่งกะริ่งนั่งซุกตัวหนาวสั่นอยู่ข้างกองไฟเล็กๆ
คุณชายรองสกุลหลี่หยิบเงินในกระเป๋าออกมาพับใส่กระป๋องสังกะสีซึ่งวางอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะยืดตัวขึ้น ดวงตากลมโตใต้แว่นกันแดดสีเข้มมองไปยังถนนทั้งสองฟากที่มีรถสัญจรบางตา
ตอนนี้พรรคคอมมิวนิสต์ควบคุมบริเวณรอบเมืองจิ่นโจวได้เกือบหมดแล้ว ผลผลิตทางการเกษตรถูกตัดขาด ราคาข้าวของในเมืองถีบตัวสูงขึ้นพอๆ กับจำนวนผู้คนที่กำลังจะอดตาย ทั้งเมืองเต็มไปด้วยขอทานไม่ก็อันธพาลที่คอยขูดรีด หลายชีวิตที่ลำบากอยู่แล้วยิ่งลำเค็ญมากขึ้นไปอีก
ใบหน้าขาวขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงถกเถียงกันดังแว่วมาจากถนนฝั่งตรงข้าม พอถอดแว่นเพื่อมองออกไปให้ถนัดก็เห็นชายฉกรรจ์สองสามคนกำลังกลุ้มรุมอยู่รอบตัวชายชรากับเด็กรุ่นหนุ่มอีกคนหนึ่ง
ร่างเล็กบางนั้นกางแขนปกป้องผู้อาวุโสกว่า ร้องขู่เสียงดังแม้ใบหน้าจะซีดขาวด้วยความหวาดกลัว
“อย่าทำร้ายปู่ข้านะ!”
“ไอ้หนู ปู่เอ็งติดหนี้พวกข้าอยู่ก็ต้องใช้คืน”
คนถูกขู่หัวเราะกร้าว ก้มลงมองใบหน้าขาวที่เงยขึ้นจ้องขู่นั้นชัดๆ มือหยาบเอื้อมมาจับคางเรียว บิดซ้ายขวาพิจารณาอย่างพอใจ “ตาแก่หวัง หลานแกก็หน้าตาใช้ได้นี่หว่า เสียดายเป็นเด็กผู้ชาย ไม่งั้นฝากพวกข้าเอาไปขายซ่อง นอกจากจะใช้หนี้ได้แล้วอาจจะเหลือกำไรอีกก้อน”
พูดจบก็กระชากแขน ทำท่าจะดึงร่างเล็กให้เข้าไปหา
“ไปไอ้หนู งั้นเอ็งไปกับพวกข้า คงมีเศรษฐีตัณหากลับบางคนยอมจ่ายเงินซื้อเด็กผู้ชายบ้างล่ะวะ”
“ยะ…อย่าเอาหลานข้าไป เงินทองเดี๋ยวข้าจะหามาใช้ให้”
ชายชรางกเงิ่นเข้าไปห้าม อ้อนวอนเสียงสั่น แต่กลับถูกผลักจนล้มลง เด็กหนุ่มที่ถูกจับไว้ร้องเรียกปู่ของตนดังลั่น ร่างบางดิ้นรนทั้งสะบัดแขนถีบขาจะให้หลุดจากการเกาะกุม สุดท้ายจึงถูกตบสั่งสอนไปครั้งหนึ่ง
เฟยหมิงทนดูต่อไปไม่ไหว ร่างโปร่งเดินข้ามถนนตรงดิ่งไปพร้อมกับส่งเสียงห้าม “พอได้แล้ว!”
เขาเข้าไปประคองชายชราที่ล้มลงให้ลุกขึ้น ก่อนจะถามกลุ่มชายฉกรรจ์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “พวกเขาเป็นหนี้คุณอยู่เท่าไร ฉันจะใช้แทนให้”
เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายและท่าทางของเขาเรียกความเกรงใจจากคนกลุ่มนั้นได้บ้าง หนึ่งในสามคนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าเอ่ยด้วยวาจาสุภาพขึ้นเล็กน้อย
“สามหมื่นหยวนทองคำขอรับคุณชาย”
ใบหน้าขาวยิ้มเหยียดกับจำนวนที่มากมายนั้น เชื่อได้ว่าตอนชายชราไปขอกู้ เงินต้นต้องน้อยกว่านี้หลายเท่าตัว แต่บรรดาพ่อค้าและผู้ปล่อยกู้หน้าเลือดทั้งหลายต่างอาศัย ‘ภาวะเงินเฟ้อ’ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะสงครามเป็นข้ออ้างในการขึ้นดอกเบี้ยจนสูงลิบ
“ฉันไม่ได้พกเงินมามากขนาดนั้น แต่เดี๋ยวจะเขียนจดหมายลงชื่อรับรองให้ พวกคุณนำไปที่บ้านสกุลหลี่ พ่อบ้านของฉันจะจัดการให้เอง”
เขาบอกด้วยสีหน้านิ่งๆ หากคนฟังกลับส่ายหน้า
“ไม่ได้หรอกครับคุณชาย”
อีกฝ่ายแสยะยิ้มเมื่อเห็นว่าเป็นต่อ
“พวกข้าทำการค้า ต้องขอรับเงินสดเท่านั้น ซื้อเชื่อแบบนี้จะไว้ใจได้ที่ไหน ถ้ายังไม่มีเงินก็คงต้องขอตัวไอ้หนูนี่ไปก่อน ถ้ามีเงินสดมาเมื่อไหร่ก็มาไถ่ตัวเอาไปก็แล้วกัน”
มือหยาบกระชากแขนผอมบางจนเกือบตัวปลิว เฟยหมิงถลันไปดึงร่างเด็กหนุ่มกลับมาจนกลายเป็นการยื้อยุด ดวงตากลมโตเหลือบมองลูกน้องอันธพาลอีกสองคนที่ล้อมกรอบเข้ามา ใบหน้าขาวลอบกลืนน้ำลาย รู้สึกตัวว่าพลาดที่ไม่พาคนสนิทหรือคนของที่บ้านมาด้วย แค่คนเดียวก็สู้ไม่ไหว แล้วนี่สามรุมหนึ่ง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
เสียงห้ามจากทางด้านหลังดังขึ้นพร้อมกับนายทหารชั้นสัญญาบัตรคนหนึ่งกับพลตระเวนสองนายเดินเข้ามา ผู้ที่มียศสูงที่สุดกวาดสายตามองกลุ่มคนทั้งหมดก่อนจะถามเสียงขึงขัง
“นี่เกิดอะไรขึ้น”
หัวหน้าอันธพาลเป็นฝ่ายปรับสีหน้าได้ก่อน เจ้าตัวรีบยิ้มประจบ เอ่ยเสียงเอาใจว่า “ไม่มีอะไรหรอกครับ เจ้านาย พวกข้าเพียงแต่มาทวงหนี้ที่ตาแก่หวังติดไว้ คุณชายท่านนี้อาสาจะใช้หนี้แทน แต่ยังตกลงกันไม่ได้ก็เลยโต้เถียงกันนิดหน่อย”
นายทหารที่มาใหม่หันกลับมาถามเขา “เป็นเช่นนั้นหรือครับ คุณชายหลี่”
เฟยหมิงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่ออีกฝ่ายรู้จักชื่อเขา แต่ก็ตอบกลับไปด้วยสีหน้าราบเรียบ “ครับ เรากำลังตกลงกันอยู่ ผมมีเงินสดมาไม่พอ ก็เลยจะให้พี่ชายท่านนี้ไปรับเงินที่บ้าน แต่ดูเหมือนฐานะผมจะไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไร คุณช่วยเป็นพยานด้วยอีกคนก็แล้วกันนะครับ”
ชื่อคุณชายสกุลหลี่และยศบนบ่าของนายทหารที่มาไกล่เกลี่ยทำให้ฝ่ายเจ้าหนี้ยอมตกลงโดยดี
เฟยหมิงเขียนจดหมายสั้นๆ พร้อมลงลายมือชื่อก่อนจะส่งให้
“ฉันจะกลับไปสั่งความไว้กับพ่อบ้าน พรุ่งนี้คุณเอาจดหมายนี่ไปยื่นได้เลย”
“ขอรับๆ” อันธพาลทั้งสามคนละล่ำละลักรับคำ รับจดหมายไปแล้วก็รีบผละหนีไปโดยเร็ว
ชายชราฉุดหลานชายให้นั่งคุกเข่า โขกศีรษะกับพื้น “ขอบคุณนายท่านที่เมตตา บุญคุณนี้ข้ากับหลานจะจดจำชั่วชีวิต”
“ไม่เป็นไรครับ ผู้เฒ่า ลุกขึ้นเถอะ”
ร่างโปร่งรีบก้มลงไปดึงแขนอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันไปเพื่อเอ่ยขอบคุณนายทหารที่เข้ามาช่วยเหลือ แต่ทหารกลุ่มนั้นกลับเดินข้ามถนนกลับไปยังรถสีดำที่จอดรออยู่อีกฝั่ง
ดวงตากลมโตมองกระจกรถที่เพิ่งถูกหมุนขึ้น เห็นเพียงเสี้ยวหน้าคมที่หันกลับไปมองด้านหน้ารถ แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าเคยเห็นนายทหารชั้นสัญญาบัตรคนที่เข้ามาเมื่อครู่ที่ไหน
คนสนิทของ…คนคนนั้น
ใบหน้าขาวเม้มปาก ละสายตาจากรถที่เพิ่งจะแล่นผ่านด้านหลังตนกลับมาที่สองปู่หลานซึ่งยังคงยืนก้มหัวปลกๆ คำนับเขาอยู่
“ขอบคุณนายท่านที่เมตตา! ขอบคุณนายท่านที่เมตตา!”
คุณชายรองสกุลหลี่ยิ้มอ่อนใจ ก้มลงแตะแขนชายชราพลางบอก
“ไม่ต้องขอบคุณแล้วครับผู้เฒ่า นี่ไปทำอย่างไรเข้าถึงได้ติดหนี้ตั้งสามหมื่นหยวน”
เขาสอบถามดู เพราะถึงแม้ยอดเงินรวมดอกเบี้ยจะสูงขึ้นเนื่องจากเจ้าหนี้อ้างปัญหาเงินเฟ้อ แต่เงินต้นก็คงมากโขอยู่เหมือนกัน
“ลูกชายข้า…พ่อของไอ้หนูนี่ป่วยหนักน่ะขอรับ ต้องตามหมอมารักษาไม่ขาด เงินทองพวกเราก็ไม่ค่อยมี สุดท้ายเลยต้องไปกู้เงินจากเจ้านายของไอ้พวกนั้น ข้าพยายามส่งตรงเวลา ไม่คิดว่ามันจะขึ้นค่าดอกเบี้ยจนทบต้นทบดอกขนาดนี้” ชายแก่พูดแล้วก็ยกมือเหี่ยวย่นขึ้นมาปาดน้ำตาอย่างเจ็บใจ
“อ้าว แล้วตอนนี้ลูกชายผู้เฒ่าเป็นอย่างไรบ้าง” เฟยหมิงถาม เขาพอจะรู้จักหมอเก่งๆ ในเมืองหลายคน พอจะออกปากขอร้องให้ไปตรวจอาการคนไข้ได้ ไหนๆ ก็ช่วยแล้ว คุณชายรองก็ตั้งใจว่าจะช่วยให้ถึงที่สุด
“ตายเสียแล้วล่ะขอรับ เมื่อวานซืนนี้เอง”
อีกฝ่ายตอบพลางยิ้มอย่างหมดอาลัยตายอยาก “คิดอีกทีก็ดีเหมือนกัน ป่วยมาหลายปี ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องเจ็บต้องปวดแล้ว นังเมียมันพอผัวป่วยก็หนีตามผู้ชายอื่นไป ทิ้งลูกเอาไว้”
คนฟังเหลือบมองเด็กหนุ่มที่ประคองปู่ของตนอยู่ เจ้าตัวเม้มปากแน่นแต่ไม่พูดอะไรออกมา ราวกับว่าคนที่ถูกพูดถึงนั้นไม่ใช่มารดาของตน
ชายชราพูดต่อ “ตัวข้าเองคนเขาก็ตั้งข้อรังเกียจ เพราะเมื่อก่อนข้าเป็นคนลากรถให้พวกญี่ปุ่น คอยขนศพนักโทษที่ถูกประหารไปทิ้งนอกเมือง สวรรค์คงลงโทษข้าที่ทรยศชาติ ลูกเลยต้องเจ็บป่วย หลานก็พลอยลำบากเป็นกำพร้าทั้งพ่อทั้งแม่”
เฟยหมิงฟังแล้วก็ถอนใจ เมื่อได้ยินชายชราบอกว่าสวรรค์ลงโทษตัวแก เพราะเขารู้ดีว่าความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น
ภายใต้การปกครองที่บีบบังคับของพวกญี่ปุ่น คนในแคว้นแมนจูเรียล้วนไม่มีสิทธิ์เลือก ยิ่งคนจนที่ไม่มีอำนาจหรือเงินทองรองรับยิ่งถูกกดหัวให้ไม่มีปากมีเสียง ถึงแม้ตอนนี้ผู้ปกครองต่างชาติจะพ่ายแพ้ถอนกำลังไปแล้ว แต่คนชั้นล่างอย่างผู้เฒ่าและหลานชายก็ยังต้องผจญความลำบากกันต่อไป
“นายท่านครับ”
เด็กหนุ่มที่นิ่งเงียบมานานเอ่ยปากเรียก ทำให้คนที่กำลังครุ่นคิดดึงสติกลับมา “หือ? ว่าไงเจ้าหนู”
“หนี้ที่ท่านเมตตาชดใช้แทนให้ ผมจะหาเงินมาใช้คืนนะครับ” เจ้าตัวเอ่ยเสียงหนักแน่น “ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน แต่ผมจะหามาใช้คืนให้ครบให้ได้”
ใบหน้าขาวที่ยังเยาว์นั้นมีเค้าเด็ดเดี่ยว ดวงตาคมวาวที่มองมานั้นก็ใสซื่อตรงไปตรงมาจนคนที่มองอยู่นึกชม
ดวงตาฉลาด ท่าทางใช้ได้แฮะ
เขาคิดแล้วก็ลองถามดู “นายอ่านออกเขียนได้รึเปล่า”
“ได้ครับ” เด็กหนุ่มรีบพยักหน้าหงึกๆ “ผมเรียนที่โรงเรียนจนจบมัธยมสาม ไม่ได้เรียนต่อเพราะพ่อป่วยเสียก่อน แต่ผมอ่านเขียนได้คล่อง เลขก็พอทำได้ครับ จะให้วิ่งส่งเอกสารหรือติดต่ออะไรก็ได้ ผมวิ่งเร็วนะ นายท่านมีงานให้ผมทำเหรอ”
พอหายกลัวแล้วเจ้าตัวก็เริ่มร่ายยาวด้วยท่าทางกระตือรือร้น น่าจะเป็นเด็กพูดเก่งทีเดียว
คุณชายรองหัวเราะออกมาเบาๆ รีบยกมือห้าม “เข้าใจแล้วๆ นายท่าจะใช้งานได้จริงๆ พรุ่งนี้เช้าไปที่คฤหาสน์สกุลหลี่นะ ฉันจะฝากพ่อบ้านให้ช่วยดูว่าพอมีงานอะไรให้นายทำบ้าง จริงสิ นายชื่ออะไร”
ใบหน้าอ่อนเยาว์คลี่ยิ้มกว้าง
“หวังหลิวครับ นายท่านเรียกว่าอาหลิวก็ได้”
…………………………………………………………..
เฟยหมิงกลับมาสอบถามพ่อบ้านตามที่รับปากกับเด็กหนุ่มเอาไว้ แต่คนงานในบ้านเขาตอนนี้มีพอแล้ว ไม่มีใครคิดจะลาออก การอยู่รับใช้ในบ้านสกุลหลี่ย่อมหมายถึงหลักประกันว่าจะได้กินอิ่มนอนหลับใต้หลังคาคุ้มหัว ดีกว่าออกไปผจญความอดอยากภายนอกมากนัก
ส่วนที่โรงงานทอผ้าก็มีแต่งานกรรมกรแบกหามต้องใช้แรงกาย เด็กน้อยตัวผอมบางอย่างนั้นคงทำไม่ไหว
สุดท้ายพ่อบ้านของสกุลหลี่ก็แนะนำให้คุณชายรองรับอาหลิวเป็นเด็กรับใช้ส่วนตัวเสียเอง ยามบ้านเมืองตึงเครียดแบบนี้ เวลาไปไหนมาไหนจะได้มีคนคอยช่วยระวังหลังให้บ้าง
ความจริงเฟยหมิงไม่ชอบมีผู้ติดตามวุ่นวาย แต่มาคิดอีกที ตอนนี้เขาเริ่มเข้ามาสานต่อกิจการของบิดา มีคนรับใช้ไว้คอยช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ สักคนก็ดีเหมือนกัน โชคดีที่อาหลิวเป็นเด็กหัวไว สอนอะไรไปก็จำได้หมด จะเสียอย่างเดียวก็ตรงที่…
“คุณชายครับ แฟ้มนี้เก็บไว้ตรงนี้ใช่ไหม แต่เอ…แฟ้มสินค้าขาออกไม่ได้อยู่ตู้ข้างล่างเหรอครับ”
“คุณชาย น้ำชาเย็นหมดแล้ว ผมไปรินมาให้ใหม่นะ”
“วันนี้แม่ครัวทำขนมเปี๊ยะไส้ลูกบัวอร่อยมากเลย คุณชายจะรับไหมครับ เดี๋ยวผมไปเอามาให้”
“คุณชาย สูทที่จะใส่วันนี้คุณชายจะใส่ตัวลายทางสีขาวดำหรือสีเทาครับ ผมจะได้หยิบผ้าเช็ดหน้ากับถุงเท้าให้ถูก”
“คุณชาย…”
เฟยหมิงถอนใจพรืด โบกมือให้เด็กหนุ่มที่ถือสูทของเขาไว้ทั้งสองมือ
“ตัวไหนก็ได้ นายเลือกแล้วจัดชุดวางไว้ก็แล้วกัน”
เขาส่ายหน้าแบบขำปนอ่อนใจ ก่อนจะก้มลงอ่านเอกสารตรงหน้าต่อ เจ้าเด็กนี่อะไรก็ดี ใช้งานได้คล่องแคล่ว เสียอย่างเดียวตรงพูดไม่หยุด เรียกคุณชายๆ ทั้งวันเหมือนนกขุนทองช่างเจรจา
ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญ นึกดีใจด้วยซ้ำที่บ้านหลังใหญ่ซึ่งเงียบเหงามานานมีเสียงหัวเราะและบรรยากาศสดใสขึ้นบ้าง อาหลิวเป็นเด็กหน้าตาผิวพรรณดี ซ้ำยังมีนิสัยสนุกสนานร่าเริง ทำให้พวกคนรับใช้เก่าต่างนึกเอ็นดู เดี๋ยวก็เอาขนมมาฝาก เดี๋ยวก็เรียกไปชิมกับข้าว ใบหน้าเล็กที่ผอมซูบจึงค่อยมีเนื้อมีหนังสดใสสมวัยขึ้นมาอีกหน่อย
“คุณชายครับ ซองที่อยู่บนโต๊ะ บัตรเชิญงานเลี้ยงวันนี้นี่นา”
อาหลิวที่ช่วยจัดโต๊ะทำงานเอ่ยทัก เฟยหมิงเงยหน้าขึ้นจากรายงานสินค้าที่จะส่งลงเรือเที่ยวล่าสุด ออกปากเมื่อนึกขึ้นมาได้ “งานเลี้ยงส่งท้ายปีของท่านเศรษฐีหวาง ฉันลืมไปเลย อาหลิว นายไปจัดชุดออกงานให้หน่อย ทักซิโดสีดำที่มีหูกระต่ายน่ะ รู้จักใช่ไหม”
เด็กหนุ่มพยักหน้าท่าทางขึงขัง “รู้จักครับ พ่อบ้านเซี่ยเคยสอนผมแล้ว”
“อืม นั่นแหละ วางไว้บนเตียง จัดถุงเท้ารองเท้าไว้ให้ด้วยนะ” ร่างโปร่งลุกขึ้นจากโต๊ะ เก็บรวบรวมเอกสารที่อ่านเสร็จแล้วใส่กล่องพลางเอ่ยอนุญาต “เสร็จแล้ววันนี้นายก็กลับบ้านไปได้เลย”
“คุณชายไม่ให้ผมตามไปรับใช้เหรอครับ”
เด็กหนุ่มเอ่ยถามหน้าตาเหลอหลา หากผู้เป็นนายส่ายหน้า “งานเลี้ยงกลางคืน ไม่เหมาะกับเด็ก นายกลับบ้านไปเถอะ ฉันไปเองได้”
“แต่พ่อบ้านเซี่ยบอกว่า…”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เมื่อก่อนไม่มีนาย ฉันก็ไปของฉันคนเดียวทุกที”
เฟยหมิงแกล้งทำหน้าเบื่อ เมื่อก่อนเขาเที่ยวตระเวนราตรีจนเช้าอยู่บ่อยๆ ด้วยซ้ำ พอมีคนสนิทเข้าหน่อยดันกลายเป็นพ่อเรือพ่วง ไปไหนก็ต้องมีเจ้าเด็กนี่ตามติดไปตลอด
อาหลิวทำแก้มพองเหมือนจะงอนที่ถูกไล่ คนเป็นเจ้านายเห็นแล้วอดมันเขี้ยวไม่ได้ก็เลยเอื้อมมือไปดึงแก้มของเจ้าปลาทองน้อยเข้าทีหนึ่ง “กลับบ้านไปเถอะไป๊ ปู่นายรอกินข้าวไม่ใช่เหรอ แล้วอย่าลืมทบทวนวิชาบัญชีที่สอนเมื่อวันก่อนด้วยล่ะ”
เขาสั่งทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกจากห้องทำงาน
…………………………………………………………..
เย็นวันนั้นเฟยหมิงจึงขับรถไปงานเลี้ยงคนเดียว เขาไม่ได้ใช้ใครขับรถมาให้เพราะไม่รู้ว่าตนจะโอ้เอ้อยู่ในงานนานแค่ไหน ไม่อยากให้คนรับใช้ต้องมาทนหนาวนั่งรอ
คุณชายรองสกุลหลี่จอดรถตรงลานหน้าร้านอาหารซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดงาน ร่างโปร่งก้าวลงจากรถเดินย่ำหิมะเข้าไปในตัวร้าน แวะฝากโค้ตตัวหนาที่สวมอยู่กับพนักงานทางด้านหน้าแล้วเดินเข้าไป
ร้านอาหารนี้เป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดและทันสมัยที่สุดในจิ่นโจว เถ้าแก่ผู้เป็นเจ้าของจำลองแบบจากร้านยอดนิยมในเซี่ยงไฮ้ ด้านหน้าเป็นตึกทรงยุโรปภูมิฐาน ส่วนด้านในตกแต่งอย่างหรูหราด้วยสไตล์จีนประยุกต์ โถงกลางเพดานสูงสามารถมองจากระเบียงชั้นสองลงมายังเวทีการแสดงที่อยู่ด้านล่าง เหนือขึ้นไปบนเพดานประดับแชนเดอเลียขนาดใหญ่ส่องแสงระยิบระยับลงมาบนลานกว้างที่ยามนี้มีหญิงชายหลายคู่เต้นรำกันอยู่
เศรษฐีหวางซึ่งเป็นเจ้าภาพงานนี้เป็นคหบดีผู้มั่งคั่งคนหนึ่ง นอกจากจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของโรงกลั่นน้ำมันทั้งสองแห่งในเมืองแล้วยังมีธุรกิจย่อยๆ อีก
งานเลี้ยงคืนนี้จึงเป็นปาร์ตี้สไตล์ตะวันตกที่จัดอย่างหรูหรา แม้จะอยู่ในยามขาดแคลน แต่กลับมีอาหารมากมายไว้เสิร์ฟแขกซึ่งล้วนเป็นผู้มีอันจะกินหรือข้าราชการชั้นสูง
“คุณชายเฟยหมิง ท่านพ่อไม่มาด้วยหรือคืนนี้”
ผู้เป็นเจ้าภาพเอ่ยทักเมื่อร่างโปร่งเดินเข้าไปทำความเคารพที่โต๊ะตามธรรมเนียม
เฟยหมิงยิ้มรับออกตัวแทนบิดาว่า “ช่วงนี้ท่านพ่อสุขภาพไม่ค่อยดีครับ อากาศหนาวไปสักหน่อยก็เป็นหวัด ท่านส่งผมมาเป็นตัวแทน ฝากขออภัยท่านลุงด้วย”
เศรษฐีหวางโบกมือ “ไม่เป็นไร คนแก่เข้าใจกันดี อายุปูนนี้จะให้แข็งแรงเหมือนพวกหนุ่มๆ ก็คงไม่ไหวละ นี่ลุงไปเชิญท่านนายพลหยางที่จวน ท่านก็ขอตัวว่ามาไม่ได้เหมือนกัน เห็นว่าสถานการณ์ช่วงนี้ไม่ค่อยดีมีงานมากนัก ท่านเลยสั่งคนสนิทให้มาแทน นั่งกันอยู่ชั้นสองโน่น”
พูดแล้วก็พยักพเยิดไปทางระเบียงด้านที่ใกล้กับเวที
ร่างโปร่งชะงักไปนิดหนึ่ง ดวงตากลมโตเหลือบมองไปตามสายตาเจ้าภาพ ระเบียงชั้นสองตรงนั้นค่อนข้างสงบกว่าจุดอื่น มีนายทหารสวมเครื่องแบบยืนอยู่กลุ่มหนึ่ง ส่วนคนที่นั่งอยู่เป็นนายทหารยศพันตรีซึ่งเขาเคยเห็นหน้าบ้าง
ใบหน้าขาวระบายลมหายใจออกมาเบาๆ ยังดีที่ไม่ใช่…คนคนนั้น
เฟยหมิงคุยกับเจ้าภาพเรื่องธุรกิจที่ทั้งสองตระกูลเกี่ยวข้องกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะขอตัวออกมา ชายหนุ่มแวะสนทนากับบรรดาหญิงสาวที่เคยเป็น ‘คู่ควง’ ซึ่งโฉบผ่านมาทักทายเป็นระยะ แต่ไม่ได้ผูกติดอยู่กับใคร สุดท้ายร่างโปร่งก็พบว่าตัวเองมาจบลงที่หน้าเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม
“ว้อดก้า”
เขาบอกบาร์เทนเดอร์ประจำร้านอาหารซึ่งเป็นชาวตะวันตกแต่พูดภาษาจีนได้คล่อง อีกฝ่ายพยักหน้ารับคำก่อนจะเตรียมเครื่องดื่มมาวางให้ เฟยหมิงยกเครื่องดื่มใสแต่ดีกรีสูงนั้นขึ้นมาจิบ ปล่อยให้น้ำอมฤตรสร้อนแรงล่วงผ่านลำคอ เขากวาดตามองไปทั่วห้องพลางนึกย้อนความทรงจำ
เขากับหยู้ฝูใช้ร้านนี้เป็นสถานที่นัดส่งข่าวกันอยู่บ่อยๆ เพราะนอกจากจะมีคนพลุกพล่านทุกคืนจนไม่เป็นที่สังเกตยามสนทนากันแล้ว ยังเป็นที่ที่ทั้งคุณชายเจ้าสำราญของเมืองกับนักข่าวหนังสือพิมพ์ต้องแวะเวียนมาเป็นประจำตามปกติ
ร่างโปร่งนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่
เขารู้ดีว่ารังนกกระจอกของหยู้ฝูนั้นถูกทำลายราบไปแล้ว แต่สายงานอื่นของกองกำลังใต้ดินน่าจะยังปลอดภัยอยู่ เพราะทำงานเป็นเอกเทศไม่ข้องเกี่ยวกัน
นิ้วเรียวเกี่ยวเหรียญเงินเพนนีของอังกฤษที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา
สัญญาณเก่านี้เป็นรหัสของเขากับหยู้ฝู แต่ลองดูก็ไม่เสียหาย
เฟยหมิงวางเหรียญเพนนีนั้นไว้ข้างแจกันดอกไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงมุมห้องแล้วเดินผละออกมา เขารออยู่สักพักก่อนจะเลี่ยงเดินไปทางห้องน้ำ หากร่างโปร่งกลับเดินเลยไปทางด้านหลังร้าน ก่อนถึงประตูครัวมีประตูที่เปิดออกสู่ตรอกเล็กๆ
มือเรียวดึงบุหรี่จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาคาบก่อนจะจุดไฟแช็ก ความจริงเขาไม่ได้ชอบบุหรี่เท่าไร จะสูบบ้างก็เพื่อเข้าสังคม แต่เวลาออกมายืนอยู่คนเดียวนอกงานเลี้ยงแบบนี้ บุหรี่สักมวนก็ดูเป็นข้ออ้างที่ดี
ชายหนุ่มคาบบุหรี่ไว้แล้วซุกมือลงในกระเป๋ากางเกง อากาศภายนอกค่อนข้างเย็น ลมหายใจที่ระบายออกมากลายเป็นไอสีขาว ลอยปะปนกับควันบุหรี่
แกร๊ก!
เสียงประตูเปิดออก เฟยหมิงที่ยืนพิงกำแพงร้านดึงบุหรี่ออกจากปากก่อนจะหันไปดู แล้วก็ต้องชะงัก บุหรี่ในมือร่วงตกลงบนพื้นหิมะเมื่อเห็นคนที่เดินออกมาจากประตูเต็มตา
“แปลกใจหรือที่เป็นผม”
ร่างสูงในชุดเครื่องแบบทหารยืนกอดอก ถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ หากคุณชายรองสกุลหลี่กลับรู้สึกเหมือนใบหน้าเฉยชานั้นมีเค้ากรุ่นโกรธแฝงอยู่
“ผมไม่…”
เฟยหมิงขยับจะอ้าปากปฏิเสธ แต่อีกฝ่ายกลับสวนขึ้นมาก่อน
“คุณคิดว่าผมที่จับตาดูคุณกับสหายของคุณมานานจะไม่รู้เชียวหรือว่าพวกคุณใช้สัญญาณแบบไหนสื่อสารกัน”
เหวินอี้พยายามกดเสียงตัวเองให้นิ่งเรียบทั้งที่ในใจร้อนรุ่มไปด้วยความหงุดหงิด
ให้ตายเถอะ! คนตรงหน้าไม่รู้หรือว่าตนเองอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงแค่ไหน เมื่อครู่ตอนที่เห็นร่างโปร่งวางเหรียญเงินลงบนโต๊ะที่เป็นจุดนัดหมายเก่า เขาแทบจะสบถออกมา ต้องรีบสะกดอารมณ์ ปรับสีหน้าให้เป็นปกติเพื่อไม่ให้นายพันตรีคนสนิทของท่านปู่ซึ่งนั่งโต๊ะเดียวกันจับสังเกตได้
พวกเขาจ้องกันเงียบๆ อยู่ชั่ววินาที สุดท้ายร่างโปร่งก็เป็นฝ่ายหมุนตัวเดินเลี่ยงออกมาเพื่อกลับเข้าไปในงาน ถ้ารหัสของเขากับหยู้ฝูไม่เป็นความลับอีกต่อไป ก็ไม่ปลอดภัยที่จะเรียกสหายคนอื่นมาติดกับดัก
หากมือแกร่งกลับยื่นมาจับแขนทั้งสองข้าง ยึดไว้เมื่อเห็นว่าเขาจะผละหนี
“ผมบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าสหายของคุณไม่มีทางเชื่อใจคุณอีก เลิกยุ่งเกี่ยวกับกองกำลังใต้ดินได้แล้ว!”
ดื้อ…หัวรั้น…แล้วก็ยึดติดกับอุดมการณ์บ้าๆ นั่นจนน่าหงุดหงิด นี่คิดว่าเขาเอาตำแหน่งตัวเองไปเสี่ยงทำเรื่องยุ่งยากทั้งหมดเพื่ออะไรกัน เพื่อให้เจ้าตัวเดินกลับไปยืนอยู่ในจุดที่เสี่ยงอันตรายเหมือนเดิมหรือไง
คำสั่งที่เจือน้ำเสียงหงุดหงิดราวกับหมดความอดทนและแรงบีบตรงต้นแขนทำให้เฟยหมิงนิ่วหน้า
“คุณไม่มีสิทธิ์มาสั่งผม”
ยังไม่ทันจบประโยคร่างของเขาก็ถูกดันไปชนกับผนังด้านหลัง นายทหารหนุ่มยื่นหน้าเข้ามา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดสี “ผมมีสิทธิ์เต็มร้อยเลยล่ะ คุณชายรอง อย่าลืมสิว่าเราเป็นอะไรกัน”
เฟยหมิงเม้มปากเมื่อนิ้วหัวแม่มือของอีกฝ่ายเลื่อนขึ้นมาปาดผ่านริมฝีปากก่อนจะกดลากผ่านข้างแก้มอย่างจาบจ้วง เขาข่มกลืนความโกรธลงไป แค่นยิ้มแล้วบอกเสียงเย็น “เราไม่ได้เป็นอะไรกัน เรื่องอุบาทว์ที่คุณทำก็แค่ทำให้ผมรู้สึกสะอิดสะเอียน คุณใช้มันขู่ผมไม่ได้”
“แน่ใจหรือ” เหวินอี้เลิกคิ้ว มือเรียวยาวยึดสันกรามและต้นคอขาวเอาไว้ “ท่าทางผมคงต้องเตือนความทรงจำคุณว่าผมทำอะไรได้บ้าง หากคุณไม่ฟังสิ่งที่ผมบอก”
น้ำเสียงข่มขู่นั่นไม่ทำให้เขาหวาดกลัวอีกต่อไป เฟยหมิงเชิดหน้าขึ้น ถามกลับด้วยเสียงท้าทาย
“ถ้าผมไม่ฟังแล้วยังไง คุณจะจับผมไปขัง ไปทรมานสักกี่ครั้ง ผมก็ไม่เปลี่ยนความคิด”
ดวงตากลมโตจ้องเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย ก่อนจะกระซิบเสียงหนักแน่น “ต่อให้คุณจะเอาผมไปยิงทิ้ง ก็ขอให้รู้ไว้ว่าผมยอมตายดีกว่าทำตามคำสั่งทหารก๊กมินตั๋งบ้าอำนาจอย่างคุณ”
ใบหน้าคมที่ยื่นเข้ามาใกล้และริมฝีปากที่กดหนักลงบนริมฝีปากของเขาเป็นสิ่งที่คาดเอาไว้แล้ว ใบหน้าขาวจึงเพียงแต่ระบายลมหายใจยาวก่อนจะหลับตาลง ร่างโปร่งยืนนิ่งปล่อยให้อีกฝ่ายประคองใบหน้าของเขาหมุนเปลี่ยนมุมเพื่อให้รับสัมผัสหนักหน่วงนั้นได้ถนัดขึ้น
หยางเหวินอี้เคยบอกว่าจะไว้ชีวิตเขาเพื่อเห็นแก่สกุลหลี่ ดังนั้นสิ่งที่อีกฝ่ายจะทำเพื่อยับยั้งเขาได้จึงมีเพียงแค่การหยามเกียรติให้เขาอับอายจนไม่กล้าเผยอหน้าต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ของตนอีกต่อไป
แต่เฟยหมิงยอมแพ้ไม่ได้ เขาโยนอุดมการณ์ที่จะสร้างสังคมอันเท่าเทียมนี้ทิ้งไปไม่ได้
…เพราะมันไม่ใช่ความฝันของเขาเพียงคนเดียว
ดังนั้นต่อให้ตัวตนของเขาต้องถูกทำลายจนย่อยยับ เขาก็จะยืนหยัดเพื่อสิ่งนี้จนถึงที่สุด
ริมฝีปากนั้นผละออกไปชั่วขณะ หากยังอยู่ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่กลายเป็นไอหมอกสีขาวเป่ารดใบหน้า เฟยหมิงส่ายหน้าพร้อมกับกระซิบ
“คุณใช้สิ่งนี้ขู่ผมไม่ได้”
จบประโยค เขาก็เป็นฝ่ายยื่นหน้าไปแตะริมฝีปากลงบนริมฝีปากเย็นเฉียบนั้นเสียเอง อีกฝ่ายชะงักนิดหนึ่งอย่างแปลกใจ ก่อนจะบดย้ำลงมาอีกครั้ง เขาเผยอริมฝีปาก ปล่อยให้ปลายลิ้นของอีกฝ่ายล่วงล้ำเข้ามาภายใน สัมผัสได้ว่ามืออีกข้างที่จับยึดต้นแขนนั้นเลื่อนไปที่เอว ก่อนจะดึงร่างเขาเข้าไปจนชิด
นาน…กว่าคนตรงหน้าจะปล่อยร่างเขาเป็นอิสระ
ใบหน้าคมที่มองมานั้นขมวดคิ้วอย่างงุนงงระคนสงสัย หากคุณชายรองสกุลหลี่เพียงแต่ใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากที่เปียกชื้นของตัวช้าๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ยิ้มเหยียด
“ไม่ว่าคุณจะทำแค่นี้ หรือทำมากกว่านี้ ก็ไม่ทำให้ผมยอมแพ้ มันก็แค่สัมผัสทางกาย ไม่ต่างอะไรจากคู่ควงที่ผ่านมาของผม อ้อ ไม่สิ อาจจะแย่กว่า…”
เขาฝืนหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะจ้องตาอีกฝ่ายแล้วเอ่ยย้ำ “เพราะอย่างน้อยกับพวกเธอ ผมยังพอจะรู้สึกดีด้วยบ้าง แต่กับคุณ ผมรังเกียจ”
พูดจบ เขาก็หมุนตัวผละออกมาโดยไม่หันกลับไปมองเบื้องหลัง
คุณชายรองสกุลหลี่เดินกลับเข้าไปในงาน เอ่ยลาเจ้าภาพด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อโค้ตแล้วไปที่รถโดยไม่มีท่าทางร้อนรนแม้แต่นิด
จนกระทั่งเมื่อนั่งอยู่หลังพวงมาลัยในรถที่ปิดสนิทนั่นแหละ ร่างโปร่งจึงค่อยระบายลมหายใจยาว ซบหน้าผากลงกับพวงมาลัย มือข้างหนึ่งเลื่อนมาแตะบนหน้าอก ตรงตำแหน่งของหัวใจที่ยังคงเต้นรัว
ก็แค่สัมผัสทางกาย…กับคนที่เขาเกลียด…เท่านั้นเอง
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments