บทที่ 1
สายฝนที่ตกมาตลอดทั้งคืนได้หยุดลงในช่วงบ่าย ทิ้งหยาดพิรุณให้คงค้างไว้บนยอดไม้ ไม่คอยให้ดวงตะวันเผยโฉม เผยจื่ออวี๋ที่บนศีรษะเกล้าผมเป็นมวยสองข้าง ร่างกายผอมบางก็สวมชุดหญ้ากันฝน แบกกระบุงไม้ไผ่ หยิบมีดตัดฟืนที่เหน็บอยู่ข้างประตูเตรียมออกจากบ้าน เนื่องจากนางวางแผนจะรีบขึ้นเขาไปแย่งเก็บฟืนก่อนเด็กคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน เผื่อว่าจะชิงเก็บไม้ฟืนสักหลายๆ ท่อนกลับมาขายให้พอได้เงินแล้วจะได้เชิญท่านหมอมาช่วยจัดยาให้มารดาที่กำลังป่วยอยู่
เด็กหญิงเก็บไม้ยาวท่อนหนึ่งมาทำเป็นไม้เท้าเพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองลื่นล้มบนทางลาดเนินเขาที่เฉอะแฉะ เมื่อไปถึงบนภูเขา นางก็เร่งเก็บไม้ฟืนหักๆ ที่ร่วงหล่นลงมาเนื่องจากพายุฝน
ทว่าเผยจื่ออวี๋เพิ่งจะเก็บไม้ฟืนไปแค่ไม่กี่ท่อน ผู้คนในหมู่บ้านเดียวกันกับนางอีกหลายครอบครัวก็แห่ขึ้นมาทำแบบเดียวกัน เพราะพวกเขาต่างต้องอาศัยขายไม้ฟืนเพื่อยังชีพทั้งสิ้น
พอเห็นคนกลุ่มใหญ่แย่งกันเก็บไม้ฟืนเช่นนี้ สีหน้าของเผยจื่ออวี๋ก็เปลี่ยนเป็นดำคล้ำ เพราะต่อให้นางทุ่มกำลังสุดตัวเพื่อแย่งชิงอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะสู้คนที่แห่กันมายกบ้านแบบนั้นได้ เพียงชั่วกลอกตาเดียว ไม้ฟืนที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นแถวนี้ก็ถูกเก็บไปจนเรียบ ไม่เหลือสักอัน
เห็นพื้นโคลนที่ว่างเปล่าแล้ว เผยจื่ออวี๋สุดแสนที่จะอัดอั้นและปวดร้าวใจจนพูดอะไรไม่ออก หยดน้ำตาที่เกิดจากความน้อยเนื้อต่ำใจร่วงพรูออกมาจากนัยน์ตาสีดำขลับสุกใสดุจตามังกรของนางอย่างไม่อาจห้ามได้
หากทันทีที่คิดถึงมารดาที่ป่วยอยู่ที่บ้าน มารดาผู้เป็นคนในครอบครัวที่ดีต่อนางที่สุดในโลกนี้แล้ว เด็กหญิงต้องรีบสะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้ และม้วนแขนเสื้อขึ้นมาซับน้ำตาที่เอ่อค้างตรงขอบตาจนแห้งสนิท
“ข้าจะยอมแพ้ไม่ได้ ข้าจะต้องเข้มแข็ง เรื่องแค่นี้ไม่เท่าไรหรอก…” เผยจื่ออวี๋สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนร้องตะโกนเสียงดังลั่นฟ้า
นางสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ เม้มริมฝีปาก ก่อนเอ่ยพึมพำกับตนเอง “ในเมื่อเก็บฟืนที่นี่ไม่ได้ ต่อให้ข้าวิ่งไปไกลอีกหน่อยก็ค่าเท่ากัน แต่อย่าคิดว่าข้าจะยอมแพ้ง่ายๆ นะ รอให้ข้าโตเสียก่อนเถอะ ข้าจะต้องทำให้ทุกคนที่รังแกท่านแม่ของข้าได้รู้จักคำว่าเสียใจกันดูบ้าง!”
เผยจื่ออวี๋ให้กำลังใจตนเองพลางเดินไปทางด้านหลังเขา สถานที่ซึ่งผู้คนในหมู่บ้านต่างบอกว่าที่สถิตของเทพแห่งขุนเขา มนุษย์ธรรมดามิอาจย่างกรายเข้าไปได้ หาไม่แล้วเทพแห่งขุนเขาจะพิโรธอย่างมาก
เทพแห่งขุนเขาพิโรธ? ไปหลอกชาวบ้านที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวเพราะไม่ได้เรียนหนังสือเสียเถอะไป! เพราะจิตวิญญาณของเผยจื่ออวี๋นั้นมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดซึ่งเป็นยุควิทยาศาสตร์รุ่งเรืองเฟื่องฟูสุดๆ แล้ว ย่อมไม่มีทางเชื่อเรื่องงมงายอะไรพวกนี้แน่นอน
เมื่อสามปีก่อนจื่ออวี๋เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีสามที่เพิ่งทำแล็บที่มหาวิทยาลัยเสร็จ กำลังเตรียมตัวจะกลับบ้าน แต่เพิ่งจะกดปุ่มหน้าประตูลิฟต์ ก็ได้ยินเสียงระเบิดตูมดังลั่นอาคารใหญ่ทั้งหลังอย่างไม่ทราบสาเหตุ แม้แต่ประตูลิฟต์ที่หนาหนักยังพลอยถูกระเบิดเสียหาย ทำให้ตัวหญิงสาวเสียชีวิตคาที่…ที่แท้ก็มีรุ่นน้องนักศึกษาที่รับผิดชอบเก็บกวาดห้องแล็บคนหนึ่งไม่ทันระวัง ทำน้ำยาเคมีหกและเกิดไปผสมเข้ากับวัตถุไวไฟจนกลายเป็นการระเบิดครั้งมโหฬาร
แต่เผยจื่ออวี๋ไม่รู้แน่ชัดนักว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไรกันแน่ หรืออาจเพราะแรงระเบิดนั่นที่ทำให้ช่องว่างของมิติบิดเบี้ยว จนวิญญาณของนางข้ามกาลเวลามายังอาณาจักรโบราณที่เรียกว่า ‘ต้าเยี่ย’ และเข้ามาอยู่ในร่างของเผยจื่ออวี๋ เด็กหญิงตัวน้อยอายุสี่ขวบที่เพิ่งจะป่วยตายหมาดๆ
ถ้าหากพูดกันตามเหตุผลแล้ว เรื่องเหลือเชื่อสำหรับคนทั่วไปอย่างวิญญาณข้ามภพนางยังประสบมากับตนเองแล้ว น่าจะเชื่อเรื่องงมงายประเภทนี้ได้ แต่เพราะการเรียนรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ของยุคปัจจุบันที่ฝังรากลึกในความเชื่อเดิม ทำให้นางไม่เชื่อเรื่องเทพแห่งขุนเขาอะไรนั่นอย่างเป็นจริงเป็นจังสักเท่าไร
เรื่องเล่าเกี่ยวกับเทพแห่งขุนเขาพิโรธแค่ผ่านเข้ามาในสมองของนางเพียงแวบเดียวก็เลือนหายไป ด้วยในใจของเด็กหญิงนั้นกำลังห่วงพะวงกับอาการป่วยของมารดามากกว่า เพียงคิดถึงมารดาที่จำเป็นต้องเรียกหมอมารักษาอาการอย่างเร่งด่วนแล้ว ทำให้นางอดเดินไปน้ำตาไหลไปอีกครั้งไม่ได้
แต่เดิมนั้นหวงซื่อ* เป็นอนุภรรยาคนที่สี่ที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดของท่านแม่ทัพใหญ่คนหนึ่งในเมืองหลวง แต่เมื่อท่านแม่ทัพต้องเดินทางไปเป็นแนวหน้าในสนามรบ ฮูหยินแม่ทัพจึงถือโอกาสขับไล่หวงซื่อกับเผยจื่ออวี๋ที่เป็นลูกสาวคนที่หกของท่านแม่ทัพออกจากจวน ทำให้พวกนางสองคนแม่ลูกต้องระหกระเหินมาดิ้นรนเอาตัวรอดกันเองอยู่ที่หมู่บ้านชนบท และเพราะเผยจื่ออวี๋ตัวจริงมีสุขภาพอ่อนแอ นางจึงป่วยตายไปตั้งแต่ระหว่างทางแล้ว
หลายปีมานี้นางกับท่านแม่ต้องใช้ชีวิตอยู่ที่ชนบทด้วยความยากลำบากเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่เผยจื่ออวี๋เพิ่งข้ามกาลเวลามาในปีแรกนั้น แทบจะต้องนอนนิ่งๆ ติดอยู่กับเตียงอย่างเดียว อาศัยมารดาไปรับจ้างคนอื่นเย็บปักเสื้อผ้า หรือไปหยิบยืมเงินจากเพื่อนบ้านเพื่อเชิญท่านหมอมาดูอาการป่วยให้นาง ทำให้สุขภาพของเผยจื่ออวี๋ค่อยๆ ดีขึ้นอย่างช้าๆ
ทว่าเมื่อร่างเล็กจ้อยของนางเริ่มจะมีสุขภาพที่ดีขึ้นแล้ว กลับกลายเป็นว่าสุขภาพของท่านแม่เริ่มย่ำแย่ลง ทำให้เผยจื่ออวี๋มักจะได้ยินเสียงไอในช่วงกลางดึกโดยที่หวงซื่อยังคงทำงานเย็บปักอย่างต่อเนื่องอยู่บ่อยครั้ง
จนกระทั่งฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ ร่างกายของหวงซื่อก็ทนต่อไปไม่ไหว และล้มป่วยติดต่อกันมาได้หลายเดือนแล้ว ทำให้เผยจื่ออวี๋ต้องเริ่มตามเด็กๆ ข้างบ้านขึ้นเขาไปเก็บไม้ฟืนแล้วแบกมาขายที่ถนนเพื่อหาเงินไปเชิญหมอและซื้อยาให้แก่มารดา
เมื่อเก็บไม้ฟืนที่ภูเขาด้านหน้าไม่ได้ เช่นนั้นนางก็จะเดินไปให้ไกลอีกหน่อย เผื่อว่าจะเจอไม้ฟืนแล้วท่านแม่ที่คอยอยู่จะได้มีเงินมารักษาอาการป่วยเสียที
เผยจื่ออวี๋เช็ดน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ที่ขอบตาออกและสูดลมหายใจ ขณะเดินต่อไปยังด้านหลังเขาที่เป็นป่ารกชัฏ ไม่รู้ว่าเดินมานานเท่าไร ในที่สุดนางก็เดินมาถึงที่ช่องเขาแห่งหนึ่ง ดวงตาของเด็กน้อยฉายแววสว่างวาบขึ้นทันที
ที่ด้านหลังเขานี้เต็มไปด้วยท่อนไม้และกิ่งไม้แห้งมากมาย ซ้ำยังมีคุณภาพดีกว่าไม้ฟืนที่นางเคยเก็บมาก่อนมาก ทั้งแห้ง ท่อนใหญ่ และเป็นแท่งตรง ขอเพียงเก็บท่อนไม้ทั้งหมดนี้กลับไปได้ คาดว่าคงขายได้เงินมาไม่น้อยเลย เช่นนี้นางก็จะมีเงินให้ท่านแม่รักษาอาการป่วยไข้ได้
เผยจื่ออวี๋มองดูท้องฟ้าที่เริ่มมืดลงแล้วก็ไม่กล้าชักช้า รีบก้มตัวลงไปเก็บไม้ฟืนอย่างสุดชีวิต นางตัดสินใจว่าจะเก็บแต่ไม้ฟืนขนาดกลางๆ ไปก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยเอาขวานมาจามไม้ล้มท่อนใหญ่บนพื้นและฟันต้นไม้ที่ยืนต้นตายเหล่านี้ เนื้อไม้ใหญ่ที่ยืนต้นตายหลายต้นนั้นคุณภาพไม่เลวเลย ถ้าหากผ่าเป็นฟืนเอาไปขายแล้วน่าจะได้เงินมากกว่าไม้ฟืนที่นางเก็บเอาไปขายทั้งวันเสียอีก
* ธรรมเนียมการเรียกขานสตรีที่แต่งงานแล้วของจีนจะใช้คำว่าซื่อ (แปลว่านามสกุล) ต่อท้ายนามสกุลเดิมของสตรี บางครั้งอาจเพิ่มนามสกุลของสามีไว้หน้าสุดเพื่อระบุให้ชัดขึ้นก็มี
เด็กหญิงเอาไม้ฟืนที่เก็บได้มัดไว้รวมกันแล้วเอาใส่กระบุงจนเต็มแทบจะยกขึ้นหลังไม่ไหว แต่นางก็ยังฝืนยืดกายขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ กัดฟันออกแรงแบกกระบุงที่ตอนนี้มีน้ำหนักมากกว่าตัวนางเองเสียอีกไปด้วยเนื้อตัวที่สั่นระริก โดยอาศัยไม้เท้าด้ามยาวช่วยพยุงตัวระหว่างที่ปีนขึ้นไปบนเขาที่เฉอะแฉะด้วยความยากลำบาก
เด็กหญิงปีนขึ้นไปทีละก้าวๆ อย่างยากเย็นและเต็มไปด้วยความระมัดระวัง อีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้น นางก็จะขึ้นไปถึงบนยอดเขาแล้ว แต่เท้าเจ้ากรรมดันลื่นพรืดทำให้ร่างของนางหงายหลังกลิ้งตกลงไปในรอยแยกของภูเขาพอดี ไม้ฟืนในกระบุงบนหลังกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง
“อ๊า!” สิ้นเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจ ร่างของเผยจื่ออวี๋ร่วงตกลงไปในช่องเขา ศีรษะกระแทกถูกก้อนหินก้อนหนึ่ง ทำให้นางหมดสติไปทันที…
แสงจันทร์สาดส่องผ่านรอยแยกของใบไม้ลงมาเป็นลำ แสงสีเงินตกลงมากระทบหุบเขาอันเงียบสงัด สาดจับ่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยโคลนของเผยจื่ออวี๋ เมื่อสิ้นเสียงร้องแหลมของนกกลางคืนตัวหนึ่งที่ดังแทรกมาในความเงียบยามราตรี มันกระพือปีกบินไปในท้องฟ้ายามรัตติกาล วนเล่นกับแสงจันทร์สีเงินยวงสองรอบ ก่อนลับหายไปในความมืด
เผยจื่ออวี๋ที่ไม่รู้ว่าสิ้นสติไปนานเท่าไรค่อยๆ รู้สึกตัวตื่น นางฝืนเปิดเปลือกตาเหลียวมองไปยังความมืดมิดรอบด้านด้วยสายตางุนงง
นี่นางสลบไปงั้นหรือ แล้วสลบไปนานเท่าไร
มืดค่ำขนาดนี้แล้วนางยังไม่กลับไป ท่านแม่จะต้องเป็นห่วงมากแน่ๆ นี่เป็นความคิดแรกตอนที่เผยจื่ออวี๋ฟื้นขึ้นมา เด็กหญิงนึกอยากจะลุกขึ้นนั่ง แต่รู้สึกปวดศีรษะอย่างเหลือจะทน อีกทั้งข้อเท้าก็ปวดหนึบ ความเจ็บร้าวแผ่ซ่านไปทั่วร่างทำให้นางไม่อาจยันตัวขึ้นจากพื้นที่หนาวเย็นนี้ได้ในทันที จำต้องนอนคว่ำตัวอยู่ในดินเลนต่อไป
ผ่านไปหลายอึดใจ เมื่อสายตาของนางปรับเข้ากับความมืดในหุบเขาได้ และความรู้สึกรวดร้าวเริ่มบรรเทาลง เผยจื่ออวี๋จึงลองหยัดตัวขึ้นนั่งอีกครั้ง แล้วนางก็เหลือบไปเห็นต้นไม้ใหญ่ที่อาบแสงจันทร์ทอประกายต้นหนึ่ง ที่ด้านข้างของต้นไม้ต้นนั้นมีอะไรบางอย่างคล้ายหน่อไม้เล็กๆ ที่บนปลายยอดมีผลสีแดงสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกายวับวาว
นางฝืนกะพริบตามองดูผลสีแดงสดใสเป็นช่อบนปลายยอดของหน่อไม้นั้นอย่างละเอียด
ทำไมมันถึงได้ดูเหมือนโสมนักนะ
ก่อนที่จะข้ามมิติมา ครอบครัวของจื่ออวี๋เป็นร้านขายยาจีนที่มีสวนปลูกสมุนไพรจำนวนไม่น้อยอยู่ที่จีนแผ่นดินใหญ่ ทำให้ตัวนางพลอยได้รู้วิธีเพาะพันธุ์ยาสมุนไพรจีนอีกหลายชนิดไปด้วย
เนื่องจากพ่อแม่ยุ่งอยู่กับธุรกิจ ทุกครั้งที่ปิดเทอมฤดูร้อนและฤดูหนาว จื่ออวี๋จึงต้องมาอยู่กับคุณปู่คุณย่า และได้ติดตามพวกท่านบินไปโน่นมานี่เพื่อท่องเที่ยว กับตรวจสอบยาสมุนไพรจีนในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก เพื่อให้รู้จักวิธีการเพาะปลูกไปจนถึงวิธีการอบบ่มสมุนไพรเหล่านั้น
เพียงแต่…ถ้านี่เป็นต้นโสมจริงๆ ขนาดของมันก็ออกจะใหญ่โตเกินไปหน่อยหรือไม่
เด็กหญิงเอื้อมมือไปคว้าไม้ฟืนท่อนหนึ่งมาพยุงตัวที่ยังเจ็บระบมไม่หาย ก่อนเดินขากะเผลกอย่างทุลักทุเลไปยังต้นโสมที่คล้ายกับกำลังกวักมือเรียกนางเข้าไปหา
ทันทีที่นางเดินไปถึงที่เจ้าโสมต้นนั้น นัยน์ตาของเด็กหญิงก็ต้องเบิกกว้างขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับยกมือขึ้นอุดปากตนเองอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งล้ำค่าที่ตนได้มาเจอในยามนี้…เพราะนี่คือโสมชั้นยอดที่มีอายุร่วมพันปีต้นหนึ่งจริงๆ
เผยจื่ออวี๋ลืมสิ้นถึงความเจ็บปวดบนตัว แหงนหน้าขึ้นหัวเราะ “ฮ่าๆ” เสียงดังอย่างดีอกดีใจ “ข้ารวยแล้ว!”
เก้าปีต่อมา
ม่านรัตติกาลทิ้งตัวลงมาครอบคลุม ทำให้ภายในโรงเตี๊ยมจุดพักม้าคืนนี้ไร้ซึ่งสรรพสำเนียงใดๆ กลายเป็นความเงียบสงัดอย่างน่าประหลาด
หวงฝู่จี้ยืนมองรัตติกาลอันเงียบสงัดที่ปกคลุมไปด้วยละอองไอหมอกอยู่ที่ข้างหน้าต่าง สายตาทอดไปยังคลองสุ่ยอวี้ที่ทอดตัวยาวราวกับมังกรสีชาดซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
ในความเงียบสนิทเช่นนี้ ชายหนุ่มพลันรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เพราะโดยทั่วไปเวลานี้น่าจะมีทหารลาดตระเวนผ่านมาที่ด้านหน้าของเรือนพักได้แล้ว แต่เพราะเหตุใดถึงยังไม่มีใครมาอีก?
สายลมเย็นพรั่งพรูเข้ามาอย่างกะทันหันพร้อมกลิ่นคาวเลือด ฆานประสาทของชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นเหม็นไหม้แสบจมูก หัวคิ้วจึงขมวดเข้าหากันทันควันพร้อมๆ กับปิดบานหน้าต่างลงอย่างรวดเร็ว
หวงฝู่จี้คว้าจดหมายที่ปิดผนึกเรียบร้อยแล้วบนโต๊ะกับตราหยกที่เป็นหลักฐานประจำตัวของตนขึ้นมาห่อกระดาษไขก่อนยัดใส่ไว้ในแขนเสื้อ ขณะเงี่ยหูรับฟังเสียงที่ดังมาจากทั้งแปดทิศอย่างเต็มไปด้วยความระแวดระวัง ตากวาดมองไปรอบด้าน
ฉับพลันที่ด้านนอกก็มีเสียงร้องโหยหวนดังเข้ามา ขณะที่หวงฝู่จี้คิดจะก้าวออกไปดู กลับมีเสียงเสียงหนึ่งแหวกอากาศพุ่งเข้ามาหาเขา มีดบินคมกริบจำนวนนับสิบเล่มที่เปล่งประกายเย็นเยียบทะลุผ่านหน้าต่างเข้ามาที่ตัวชายหนุ่ม…
หวงฝู่จี้พลิ้วร่างอย่างว่องไวแล้วคว้าเอาโต๊ะขึ้นมาเป็นที่กำบังร่างจากอาวุธลับจนได้ยินเสียงดัง “ปึกๆๆๆ” พริบตาเดียวมีดบินจำนวนมากก็เข้ามาปักพราวเต็มโต๊ะ
ทั้งที่ภายในห้องเกิดเรื่องขึ้นมาขนาดนี้ แต่พวกองครักษ์ลับที่อยู่ด้านนอกกลับไม่มีคนใดเข้ามาคุ้มกันเลย ซึ่งนั่นทำให้หวงฝู่จี้คิดได้อย่างเดียวว่าเขาถูกหักหลังเสียแล้ว!
คนชุดดำหลายคนถีบประตูและกรูกันเข้ามาพร้อมดาบใหญ่ในมือ แต่ละคนต่างยกดาบขึ้นฟาดฟันไปที่ร่างของหวงฝู่จี้อย่างรุนแรงหมายเอาชีวิต
แต่หวงฝู่จี้พลิ้วร่างไปชักดาบคู่กายที่ซ่อนไว้ที่ใต้หมอนบนเตียงขึ้นมาสกัดรับ บังเกิดเป็นเสียงคมโลหะกระทบกันทันที
“ใครส่งพวกเจ้ามา” เมื่อดาบโลหะสีเงินวาวกระทบถูกคมดาบในมือของหวงฝู่จี้ ชายหนุ่มก็เอ่ยถามคนชุดดำที่อยู่ตรงหน้าด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ไม่ต้องพูดมาก! แค่ทิ้งชีวิตกับของไว้ที่นี่ก็พอ” คนชุดดำวาดดาบสังหารออกมาอีกครั้ง แต่หวงฝู่จี้พลิ้วร่างหลบไปได้อย่างว่องไว
หวงฝู่จี้โค้งมุมปากขึ้นอย่างเย็นชา “อยากได้ชีวิตกับของของข้า ก็ต้องดูก่อนว่าเจ้าจะมีปัญญาหรือไม่”
ดูท่าว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวพันกับตวนอ๋องเป็นแน่ เพราะเมื่อหนึ่งเดือนก่อนตอนที่เกิดอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบศตวรรษนั้น มีชาวบ้านพลัดที่นาคาที่อยู่กันเป็นจำนวนมาก เสด็จพ่อได้รับรายงานลับกราบบังคมทูลมาว่าสาเหตุที่เกิดอุทกภัยร้ายแรงได้ถึงเพียงนี้ เป็นเพราะเขื่อนที่เพิ่งซ่อมแซมเสร็จไปเมื่อปีก่อน นอกจากจะมีขุนนางทุจริตรับสินบนแล้ว การก่อสร้างยังขาดความระมัดระวังและมีข้อบกพร่องอย่างมากอีกด้วย
เขาได้รับพระบัญชาให้มาตรวจสอบคดีนี้ ซึ่งทันทีที่เริ่มต้นการตรวจสอบ หวงฝู่จี้ก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริดอย่างไม่คาดคิดเลยว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ราษฎรต้องมาสังเวยชีวิตในครั้งนี้ เป็นเพราะตวนอ๋องลอบซ่องสุมกำลังทหารเพื่อก่อการกบฏอยู่ เขาจึงคิดแผนยักยอกเงินทองและเสบียงอาหารของผู้ประสบภัยเพื่อนำมาใช้เป็นยุทธปัจจัย โดยใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนในการยักยอกเสบียงอาหารและเงินช่วยเหลือ
นอกจากเขาจะเอาผิดขุนนางน้อยใหญ่ที่มีส่วนเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ได้แล้ว ยังลอบส่งสารลับเรื่องที่ตวนอ๋องมีใจคิดคดก่อกบฏกลับไปทูลเสด็จพ่ออีกด้วย โดยกราบทูลว่าเขาจะรั้งอยู่ที่นี่เพื่อค้นหาหลักฐานเพิ่มเติมอีก แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าตวนอ๋องจะเกิดรู้ตัวขึ้นมาเสียก่อน ดูท่าว่าข้างกายของเสด็จพ่อคงจะมีสายของตวนอ๋องอยู่ไม่น้อย
“หึ ได้ยินว่าวรยุทธ์ขององค์ชายสามโดดเด่นยิ่งนัก ยากที่จะหาคู่มือต่อกรด้วยได้ แต่ผู้ที่ถูกพิษหงอนกระเรียนแดงแล้ว ย่อมไม่อยู่ในสายตาพวกข้าหรอก” มือสังหารชุดดำฟันดาบฉับลงมาที่ร่างของหวงฝู่จี้
แต่ฉับพลันนั้นเองก็มีเงาดำของคนสามคนพุ่งทะยานเข้ามาทางหน้าต่าง ก่อนจะตรงเข้าฟาดฟันกับพวกชุดดำนับสิบคนนั้นอย่างไม่รอช้า “คุ้มครองนายท่าน!”
องครักษ์คนหนึ่งโถมร่างเข้ามาคุ้มกันหวงฝู่จี้ ในขณะที่อีกสองคนที่เหลือต่างต่อสู้อยู่กับพวกมือสังหารอย่างเอาเป็นเอาตาย
“นายท่าน มีคนวางยาพิษในบ่อน้ำทำให้ผู้คนในโรงเตี๊ยมนี้ล้วนถูกพิษตายกันหมด แต่โชคดีที่พวกเราสามคนได้รับคำสั่งจากท่านให้ออกไปปฏิบัติงานที่ด้านนอกจึงรอดตัวไปได้ พอกลับมาก็เจอคนชุดดำพวกนี้เข้ายึดโรงเตี๊ยมไว้หมดแล้ว”
องครักษ์ที่ต่อสู้อยู่ข้างกายหวงฝู่จี้อย่างสุดชีวิตผู้นี้คือหลิงอี เขาเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้ผู้เป็นนายฟังอย่างรวบรัด
“ที่แท้!” หวงฝู่จี้โค้งมุมปากขึ้นอย่างเย็นชา ทว่าจู่ๆ เขาก็กระอักเลือดสดๆ ออกมาคำหนึ่ง ทำให้องครักษ์ทั้งสามต่างผงะ
“นายท่าน ท่านเป็นอะไรขอรับ” หลิงอีที่อยู่ใกล้ตัวเขาที่สุดเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตระหนก
หวงฝู่จี้ยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปาก “ไม่เป็นไร ข้าแค่เผอเรอไปเลยถูกพิษหงอนกระเรียนแดงเข้า…”
พิษหงอนกระเรียนแดง!
สีหน้าขององครักษ์ทั้งสามเปลี่ยนไปในทันที
พวกคนชุดดำเห็นชายหนุ่มกระอักโลหิตเช่นนั้นก็หัวเราะเสียงดังอย่างหยามหยัน “ถ้าหากองค์ชายสามยังรักชีวิตอยู่ ก็จงส่งของที่ท่านไม่สมควรแตะต้องออกมาซะ แล้วข้าจะลองคิดดูว่าจะมอบยาถอนพิษให้ท่านสักครึ่งเม็ดดีหรือไม่ มิเช่นนั้นคืนนี้ท่านจะต้องตายอนาถอยู่ที่นี่เป็นแน่!”
“ฝันไปเถอะ!” นัยน์ตาของหวงฝู่จี้วาวโรจน์ขณะกัดฟันตวาดลั่น “กลับไปบอกตวนอ๋องว่าเตรียมโลงศพไว้ให้คนในจวนทั้งหกร้อยชีวิตนั่นได้เลย”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เชิญองค์ชายสามไปพบกับพญายมเสียคืนนี้เถิด!” ในเมื่อหวงฝู่จี้แม้ตายก็ไม่ยอมมอบหลักฐานที่เขาค้นเจอออกมา เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดจากล่อมกันอีกต่อไปแล้ว ลำพังแค่ไฟไหม้ครั้งเดียวก็สามารถกำจัดหลักฐานทุกอย่างได้ หัวหน้ากลุ่มคนชุดดำจึงเร่งมือสังหารเหยื่อให้เร็วขึ้นทันที “จุดไฟเผาที่นี่ซะ!”
สิ้นคำสั่งคนชุดดำคนหนึ่งก็หันมาแสยะยิ้มให้หวงฝู่จี้ ก่อนล้วงมือเข้าไปหยิบกลักจุดไฟขึ้นมาจุดใส่ขวดน้ำมันในมือและโยนมันลง ทำให้เกิดเพลิงไหม้ลามเลียไปอย่างรวดเร็ว
พวกมือสังหารที่ล้อมกรอบอยู่ที่ด้านข้างประตูต่างชิงถอยร่นออกจากห้องกันไปก่อน เหลือไว้แค่เพียงคนชุดดำไม่กี่คนที่คอยเฝ้าประตูเอาไว้
ควันสีขาวหนาแน่นตลบฟุ้งมากขึ้นทุกที พร้อมกับเปลวไฟขนาดใหญ่ที่ลามไหม้
เมื่อพวกชุดดำที่อยู่ที่ข้างประตูเห็นว่าเพลิงกำลังร้อนแรงได้ที่แล้วก็ไม่รอช้า เร่งชักดาบออกมาฟาดฟันใส่พวกเขาทั้งสี่อีกครั้ง แต่ละดาบล้วนหนักหน่วงอย่างมุ่งเอาชีวิตทั้งสิ้น
“นายท่าน ด้านหน้ามีพวกมันเฝ้าอยู่ ด้านนอกก็มีไฟ พวกเราไม่มีทางถอยอีกแล้ว” หลิงอีรับมือศัตรูพลางบอกหวงฝู่จี้ที่มีอาการย่ำแย่มากขึ้นทุกขณะ
พิษชนิดนี้ร้ายแรงเกินคาด เพียงชั่วพริบตาเดียว หวงฝู่จี้ก็ไม่อาจรวบรวมกำลังภายในได้อีก ร่างกายพลันอ่อนเปลี้ยลงจนต้องคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นพลางหอบหายใจหนักหน่วง
“นายท่าน ยังไหวหรือไม่ขอรับ” หลิงอีพยุงเขาขึ้นมาอย่างร้อนใจ
หวงฝู่จี้กวาดสายตามองดูรอบด้านด้วยแววตาที่เริ่มพร่าเลือน ในอากาศมีควันหนาทึบแสบจมูกไม่ขาดสาย ทั้งหลิงเอ้อและหลิงซานต่างถูกฟันเข้าที่แขน มีบาดแผลเต็มตัว โลหิตไหลโชก ถ้าขืนยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเขาทุกคนก็มีแต่ตายสถานเดียว
ในสภาวะที่ศัตรูมีมาก แต่กำลังเรามีน้อยเช่นนี้ องครักษ์อีกสองคนที่เหลือจึงมองสบตากันแวบหนึ่ง ก่อนหันไปร้องบอกสหายที่กำลังคุ้มกันหวงฝู่จี้ว่า “หลิงอี พวกเราสองคนจะเปิดทางให้ เจ้ารีบพานายท่านหนีไปซะ”
“นายท่าน ดูท่าว่าพวกเราคงต้องตีฝ่ากันออกไปแล้ว เพราะที่ด้านหลังก็ไม่มีทางให้ถอย ขอท่านได้โปรดอดทนอีกนิด ผู้น้อยจะพาท่านฝ่าวงล้อมออกไปเอง” หลิงอีพยุงตัวหวงฝู่จี้ฝ่าวงล้อมมรณะออกไปอย่างยอมแลกด้วยชีวิต
“หลิงอี…” หวงฝู่จี้ชี้มือไปทางด้านนอกหน้าต่างที่มีเพลิงโหมรุนแรง “ที่ด้านนอกนั่นมีอ่างเก็บน้ำที่เชื่อมต่อไปยังคลองสุ่ยอวี้…”
หลิงอีเข้าใจความหมายของหวงฝู่จี้ในทันที เขาถือว่ามีวิชาตัวเบายอดเยี่ยมที่สุดในบรรดาองครักษ์สามคน ดังนั้นเขาจึงแบกนายท่านขึ้นหลังเพื่อเหินทะยานหนีเปลวไฟที่ลามเลีย ก่อนกระโจนลงน้ำไปทันควันได้อย่างง่ายดาย
เมื่อหลิงอีใช้วิชาตัวเบาพาหวงฝู่จี้กระโดดหนีไฟไหม้ไปได้แล้ว หลิงเอ้อและหลิงซานก็หายวับจากกองเพลิงไปด้วยเช่นกัน
เมื่อแสงอรุณมาเยือน ท้องฟ้าเริ่มสว่าง ทุกคนต่างตื่นขึ้นจากการหลับใหล ไก่โต้งตัวใหญ่โก่งคอขันอย่างแข็งแรง ที่เบื้องล่างของภูเขาจงหลิงมีสวนพฤกษชาติซึ่งแบ่งออกเป็นเรือนคั่นสาม* ที่จัดแต่งเอาไว้อย่างประณีตเอาใจใส่อยู่แห่งหนึ่ง ควันไฟจากห้องครัวกำลังลอยสูงขึ้นมาตั้งแต่เช้า
ท่ามกลางควันไฟสีขาวลอยตลบอยู่ภายในห้องครัวที่วุ่นกันอยู่นั้น มีกลิ่นหอมยั่วน้ำลายของหมั่นโถวลอยมา ผู้คนที่อยู่ด้านในนั้นกำลังยุ่งอยู่กับการเอาหมั่นโถววางลงไปในลังนึ่ง ก่อนหยิบลังนึ่งอันต่อไปมาเรียงต่อ
* เรือนคั่นสาม เป็นรูปแบบหนึ่งของเรือนผสานสี่ด้าน (ซื่อเหอย่วน) ซึ่งตัวบ้านจะหันหน้าเข้าสู่ลานกลางบ้านที่แบ่งเป็น 3 ลาน
ในตอนนี้เองดรุณีนางหนึ่งเกล้าผมปักปิ่นรูปดอกกุหลาบสองอัน สวมเสื้อคลุมตัวสั้นเนื้อหยาบสีฟ้า บนไหล่สะพายห่อผ้าใบเล็กที่ปักเป็นรูปโสม แลดูคล่องแคล่วสะอาดตา กำลังยืนหันข้างอยู่หน้าประตูครัว พร้อมกับสอดส่ายดวงตากลมโตเป็นประกายระยับเข้าไปภายใน
เมื่อแม่บ้านอ่อนเยาว์อย่างหวงซื่อที่กำลังควบคุมบริวารให้เร่งเรียงหมั่นโถวใส่ลังนึ่งอยู่หันมาเห็นสาวน้อยแสนซนคนนี้ก็ยิ้มออกมาบางๆ แล้วเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงรักใคร่เอ็นดูว่า “อวี๋เอ๋อร์ ทำไมเจ้าไม่นอนให้นานหน่อยเล่า นี่มันยังเช้าอยู่เลยไม่ใช่หรือ”
หวงซื่อกวักมือเรียกเป็นสัญญาณให้ลูกสาวเข้ามาในห้องครัว
“ท่านแม่ ข้าหิว ข้าถูกเจ้าท้องนี่ร้องกวนจนตื่นน่ะเจ้าค่ะ” เผยจื่ออวี๋ตบๆ ที่หน้าท้องแบนราบของตน
“มา รีบมานั่งกินก่อน นี่เป็นซาลาเปากับหมั่นโถวที่เพิ่งจะนึ่งเสร็จใหม่ๆ น้ำเต้าหู้ก็ต้มเสร็จแล้ว กำลังร้อนพอดีเลย เจ้ารีบกินเสียตั้งแต่ยังร้อนๆ เถอะ” หวงซื่อดึงตัวลูกสาวให้เข้ามานั่งที่โต๊ะ ก่อนยกเอาหมั่นโถวกับน้ำเต้าหู้ที่เพิ่งทำเสร็จหมาดๆ มาให้อย่างรวดเร็ว รวมถึงกับข้าวที่เป็นเครื่องเคียงอีกหลายอย่างด้วย
“ท่านแม่ ร่างกายของท่านไม่แข็งแรง อย่าทำงานให้มากนักเลย นั่งลงกินมื้อเช้าเป็นเพื่อนข้าก่อนเถอะ” หญิงสาวตักน้ำเต้าหู้ดื่มไปได้คำหนึ่งแล้วก็รีบเรียกหวงซื่อที่กำลังจะหมุนตัวกลับไปดูหมั่นโถวบนเตาอีกครั้ง
หวงซื่อเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนบนเอวก่อนเดินมานั่งที่ข้างตัวลูกสาว นางลูบใบหน้าที่แดงระเรื่อน่ารักราวกับลูกผิงกั่ว** ของเผยจื่ออวี๋อย่างรักใคร่
“แม่ไม่ได้อ่อนแออย่างที่เจ้าคิดเสียหน่อย หลายปีมานี้เจ้ามิใช่หอบยาสมุนไพรมากมายกลับมาทำอาหารบำรุงให้แม่กินหรอกหรือ สุขภาพของแม่แข็งแรงขึ้นตั้งนานแล้ว แต่เจ้าสิอยู่ในวัยกำลังโต น่าจะกินให้มากหน่อย อย่าตรากตรำนักเลย”
“ท่านแม่วางใจเถอะ ข้าไม่เหนื่อยเลยสักนิด” เผยจื่ออวี๋หยิบเอาซาลาเปาลูกอ้วนๆ ขาวๆ ที่เพิ่งนึ่งเสร็จมาเป่าให้หายร้อนก่อนบิมันส่งเข้าปาก
“อวี๋เอ๋อร์ ตอนนี้เหตุการณ์น้ำท่วมก็ผ่านพ้นไปแล้ว จำนวนผู้ประสบภัยในอำเภอก็ลดน้อยลงแล้วด้วย เจ้าไม่ต้องไปแจกหมั่นโถวเองทุกวันก็ได้กระมัง” หวงซื่อถามเสียงนุ่ม
เมื่อหนึ่งเดือนก่อน แคว้นต้าเยี่ยเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ขึ้น เนื่องจากเขื่อนที่เพิ่งซ่อมแซมไปเมื่อปีที่แล้วเกิดรองรับปริมาณฝนที่ตกต่อเนื่องมานับสิบวันไม่อยู่ ทำให้น้ำไหลบ่ามาท่วมเรือกสวนไร่นาและบ้านเรือนของราษฎรนับพันนับหมื่นชีวิตในชั่วพริบตา ราษฎรต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ บาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมาก
บังเอิญว่าอำเภอชุ่ยถีที่พวกนางอาศัยอยู่นั้นตั้งอยู่ตรงตีนเขาจงหลิงซึ่งเป็นพื้นที่สูง ดังนั้นจึงรอดพ้นจากความเสียหายที่เกิดจากอุทกภัยไปได้ ทว่าไม่นานภายในตัวอำเภอกลับมีผู้ประสบภัยหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนนับหมื่นคน
จวนข้าหลวงท้องถิ่นได้เปิดคลังเสบียงและตั้งโรงทานแจกโจ๊กให้แก่ผู้ประสบภัยแล้ว แต่เสบียงอาหารในคลังของจวนข้าหลวงกลับไม่เพียงพอกับจำนวนผู้ประสบภัยที่พากันหลั่งไหลเข้ามาในตัวเมืองอยู่ดี อีกทั้งเสบียงอาหารและเงินช่วยเหลือที่ราชสำนักส่งมาก็ล่าช้า ทำให้ท่านข้าหลวงต้องร้อนใจสุดแสน
** ผิงกั่ว หมายถึงแอปเปิ้ล
สาวน้อยอวี๋เอ๋อร์ทนเห็นผู้ประสบภัยต้องหิวโหยไม่ไหว จึงร่วมมือกับพวกร้านขายยาในตัวอำเภอตั้งแผงโจ๊กขึ้นที่หัวถนน แจกจ่ายอาหารง่ายๆ ให้แก่บรรดาผู้ประสบภัยที่น่าสงสาร นางจะเอารถม้าบรรทุกหมั่นโถวที่เพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ ไปที่แผงโจ๊กด้วยตนเองทุกวัน
เมื่อเหล่าผู้ดีมีเงินทั้งหลายจากพื้นที่ต่างๆ เห็นดังนี้ก็พากันช่วยเหลือและสนับสนุน ทำให้แก้ปัญหาเรื่องจวนข้าหลวงขาดแคลนเสบียงแจกจ่ายผู้ประสบภัยไปได้
ทว่าเวลานี้จำนวนผู้ประสบภัยได้ลดน้อยลงไปกว่าครึ่งแล้ว แต่ลูกสาวของหวงซื่อก็ยังไปช่วยเหลืออยู่ทุกวัน ผู้เป็นมารดาอย่างนางจึงอดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้
“ไม่ได้หรอกท่านแม่ ในเมืองยังมีผู้ประสบภัยจำนวนมากที่ไม่มีบ้านให้กลับ น้ำตอนล่างก็ยังไม่ลดลงเลย” เผยจื่ออวี๋สั่นศีรษะ
“ให้คนอื่นไปทำแทนสิ” แต่ผู้เป็นมารดาก็ยังไม่ยอมแพ้
“ไม่ได้หรอก ถ้าหากว่าข้าชิงถอนตัวก่อน พวกท่านลุงท่านป้าที่ตามมาช่วยเหลือทีหลังจะต้องถอนตัวไปด้วยแน่ๆ ถึงเวลานั้นบางทีพวกผู้ประสบภัยอาจไม่มีข้าวกินเลยนะท่านแม่ ในเมื่อพวกเราไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง อะไรที่พอช่วยได้ก็ควรช่วยให้เต็มที่สิ”
“แม่ไม่อยากให้เจ้าต้องเหนื่อยไปช่วยงานที่แผงโจ๊กแต่เช้า บ่ายก็ต้องไปทำงานที่สวนยา ส่งของ เก็บบัญชี คิดเงินอีก ดูเจ้าสิพักนี้ผอมลงไปตั้งเป็นกอง”
“ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไรหรอกน่า ร่างกายข้าแข็งแรงออกจะตาย อีกอย่างการที่ข้าทำบุญสร้างกุศลเช่นนี้ เพราะหวังว่าพระโพธิสัตว์จะช่วยคุ้มครองสุขภาพของท่านแม่ให้แข็งแรงๆ ยิ่งขึ้นไปอีกด้วย” หญิงสาวหยิบซาลาเปาอีกลูกขึ้นมากัดกิน
เมื่อเก้าปีก่อน หลังจากที่เผยจื่ออวี๋ได้เจอต้นตระกูลราชาโสมที่ช่องเขาแล้ว นางก็เริ่มต้นค้นพบบรรดาลูกหลานโสมที่อยู่ด้านข้างอีกมากมายด้วย เด็กหญิงจึงค่อยๆ ขุดพวกมันขึ้นมาทีละต้นๆ อย่างระมัดระวัง
เว้นไว้แต่ต้นตระกูลโสมกับท่านปู่ท่านย่าโสมพวกนั้นแล้ว โสมที่อายุน้อยต้นอื่นๆ ล้วนถูกนางนำไปขายที่ร้านยาในตัวเมืองจนหมด ทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ
เผยจื่ออวี๋รู้ดีว่าพื้นที่ด้านหลังเขานั้นเป็นของครอบครัวสกุลหนึ่งที่คิดอยากจะขายทิ้งมานาน แต่เพราะเสียงเล่าลือเกี่ยวกับเทพแห่งขุนเขา ทำให้ขายใครไม่ได้ นางจึงซื้อมาปลูกต้นโสมได้ในราคาต่ำที่สุด
ไม่นานเผยจื่ออวี๋ก็ทำเงินจากโสมได้ไม่น้อย นางจึงซื้อที่บนภูเขาทั้งหมดเพื่อทำสวนยาและเพาะปลูกสมุนไพรชนิดอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย โดยอาศัยความรู้เรื่องยาสมุนไพรที่ติดตัวมาจากโลกยุคปัจจุบัน ทำให้สมุนไพรที่นางเพาะเลี้ยงล้วนมีคุณภาพและปริมาณดีกว่าเจ้าอื่นมากจนปลูกขายแทบไม่ทัน
พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปเก้าปีแล้ว ในยามนี้เผยจื่ออวี๋ได้กลายมาเป็นผู้ค้ายาสมุนไพรรายใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในวงการค้า และเป็นเศรษฐินีคนหนึ่ง
เพียงแต่หญิงสาวไม่อยากให้ผู้ใดล่วงรู้ถึงฐานะที่แท้จริงของนาง จึงวางตัวเรียบง่ายอย่างมาก และยังอาศัยอยู่ที่บ้านหลังเดิมกับมารดา เพียงแต่ปรับปรุงตัวบ้านให้มีความแข็งแรงและสวยงามมากขึ้นเท่านั้น
หวงซื่อลูบแก้มลูกสาวอย่างอ่อนโยน “เด็กโง่ ถ้าหากสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง แม่ก็อยากให้บุญกุศลช่วยหนุนนำตัวเจ้ามากกว่า ขอให้เจ้าได้พบกับสามีที่ดีๆ สักคน”
“ท่านแม่ ข้ายังเด็กอยู่เลยนะ” ทำไมจู่ๆ ท่านแม่ก็พูดถึงเรื่องนี้ตั้งแต่เช้า ทั้งที่ร่างนี้ของนางเพิ่งจะอายุได้แค่สิบหกปีเท่านั้น ยังไม่ค่อยจะโตเป็นผู้ใหญ่สักเท่าไร กำลังอยู่ในวัยที่ร่างกายต้องเจริญเติบโตอยู่แท้ๆ แต่นี่ท่านแม่กลับอยากจะให้นางแต่งงานเสียแล้ว แบบนี้มันออกจะน่ากลัวเกินไป เผยจื่ออวี๋นึกวาดภาพตนเองแต่งงานคลอดลูกไม่ออกเลยจริงๆ มันจะกลายเป็นเด็กตัวโตอุ้มตุ๊กตาไปหรือไม่
“ไม่เด็กแล้ว ปีหน้าเจ้าก็จะอายุสิบเจ็ด ถ้าหากไม่รีบแต่งงานตอนนี้ก็จะกลายเป็นยายแก่”
“นั่นสิเจ้าคะ คุณหนู เมื่อวานสะใภ้สกุลหวังที่อยู่ข้างบ้านคลอดลูกชายอ้วนจ้ำม่ำคนหนึ่งแล้วด้วยซ้ำ นางอายุน้อยกว่าท่านอีก แต่กลับเป็นมารดาไปแล้วนะเจ้าคะ” แม่นมอู๋ยกหมั่นโถวก้อนอ้วนๆ ขาวๆ ที่เพิ่งนึ่งเสร็จเข่งหนึ่งเข้าไปวางในลัง
ที่แท้เสี่ยวฮวาที่อยู่ข้างบ้านก็คลอดแล้วนี่เอง มิน่าล่ะวันนี้ท่านแม่ถึงได้พูดเรื่องนี้กับนางตั้งแต่เช้า
เผยจื่ออวี๋ยัดซาลาเปาคำสุดท้ายเข้าปากก่อนพูดเสียงอู้อี้ “ท่านแม่ ข้าไม่อยากแต่งออก แต่อยากแต่งสามีเข้าบ้านมากกว่า”
“เจ้าจะแต่งบุรุษเข้าบ้าน?” ความคิดนี้ของลูกสาวทำให้ผู้เป็นแม่ตกตะลึงพรึงเพริด “เจ้าพูดเพ้อเจ้ออะไรกัน ไปเอาตัวอย่างมาจากที่ไหน คุณชายดีๆ บ้านใดเขาจะยอมแต่งเข้ามาให้เจ้าเล่า”
“ท่านแม่ ถ้าหากข้าไม่แต่งสามีเข้าบ้านแล้วกิจการค้าขายยาใหญ่โตของครอบครัวเราจะมีผู้ใดดูแลอีก ข้าไม่อยากให้ญาติฝั่งสามีมาชุบมือเปิบหรอกนะ” นางไม่เชื่อว่าถ้างัดเอาไม้เด็ดพวกนี้ขึ้นมาแล้วท่านแม่จะยังบังคับให้นางแต่งงานได้ลงอีก
ได้ยินลูกสาวพูดเช่นนี้ หวงซื่อก็ชักร้อนใจเพราะที่เผยจื่ออวี๋พูดมาก็ไม่ผิด ถ้าหากว่านางแต่งออกไป การค้าที่พวกตนสู้อุตส่าห์บุกเบิกกันมาด้วยความยากลำบากมิถูกผู้อื่นชุบมือเปิบไปหรอกหรือ
“เอาล่ะ ท่านแม่ ข้ากินอิ่มแล้ว แม่นมอู๋ ท่านเอาหมั่นโถวที่นึ่งเสร็จขึ้นรถเรียบร้อยหรือยัง” หญิงสาวดื่มน้ำเต้าหู้คำสุดท้ายก่อนเอ่ยถาม
“เสร็จแล้วๆ ปาเจี่ยวกับเตาโต้วยกขึ้นรถม้าไปแล้ว รอให้คุณหนูเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยก็ออกเดินทางได้เลยเจ้าค่ะ”
“ท่านแม่ ข้าเข้าอำเภอก่อนนะ มีเรื่องอะไรรอให้ข้ากลับมาแล้วค่อยพูดกัน” เผยจื่ออวี๋หยิบเอาห่อผ้าใบเล็กที่อยู่ข้างตัวขึ้นมาและสาวเท้าเผ่นออกจากห้องครัวไป
หวงซื่อมองตามเงาร่างของลูกสาวที่กระโดดโลดเต้นไปอย่างคนอยู่ไม่สุขแล้วก็หันมาพูดกับท่านแม่นมอู๋อย่างหนักใจว่า “แม่นมอู๋ ท่านว่าอวี๋เอ๋อร์เป็นเด็กหัวรั้นเกินไปหรือไม่ ตอนปักปิ่น* ข้าจะให้นางหมั้น แต่นางก็บอกว่ารอให้นางอายุสิบหกก่อนค่อยว่ากัน มาตอนนี้นางจะสิบเจ็ดอยู่แล้วกลับบอกว่าจะแต่งบุรุษเข้าบ้านเสียอีก เช่นนี้บุรุษดีๆ คนไหนจะยอมแต่งเข้าบ้านสตรีกันเล่า”
“แต่ที่คุณหนูพูดก็ถูกนะเจ้าคะฮูหยิน ถ้าหากนางต้องแต่งออกไปพร้อมกับสินเดิมมากมายขนาดนี้ มิเป็นการเปิดช่องให้ญาติฝั่งสามีชุบมือเปิบหรอกหรือ ฮูหยินจะทำใจได้หรือเจ้าคะ”
“เพราะแบบนี้ข้าถึงได้กลุ้มใจอย่างไรเล่า ข้ารู้สึกว่าที่นางพูดมาก็มีเหตุผลอยู่ ถ้าหากจะแต่งเขยเข้ามาก็สมควรแล้ว เพียงแต่จะไปหาเขยดีๆ มาได้จากที่ไหนกัน”
* พิธีปักปิ่น หรือพิธีปักปิ่นมวยผม จัดขึ้นเมื่อเด็กหญิงอายุครบ 15 ปี แสดงว่าก้าวเข้าสู่วัยสาว พร้อมที่จะออกเรือนแล้ว
“หากหาเอาจากแถวนี้ไม่ได้ พวกเราก็ไปหาให้ไกลหน่อยสิเจ้าคะ จริงสิฮูหยิน ช่วงนี้เกิดอุทกภัยขึ้น ผู้คนมากมายต่างพลัดที่นาคาที่อยู่ ไม่แน่ว่าอาจจะมีคุณชายพลัดถิ่นที่มีคุณสมบัติดีๆ แต่เพิ่งสูญเสียญาติจากน้ำท่วมไปก็เป็นได้ อย่างไรพวกเราลองไปสืบกันดูดีหรือไม่เจ้าคะ” แม่นมอู๋เสนอ
นัยน์ตาของหวงซื่อเป็นประกายวาว “ที่เจ้าเสนอมาก็ไม่เลวนะ งั้นรีบให้คนไปสืบดู แต่อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่นล่ะ พวกเราจะต้องค่อยๆ เลือกลูกเขยดีๆ มาช่วยดูแลอวี๋เอ๋อร์ให้ได้”
“เจ้าค่ะ ฮูหยินโปรดวางใจ เรื่องนี้ยกให้เป็นหน้าที่ของข้าเถิด”
เผยจื่ออวี๋ที่วิ่งวุ่นออกไปแจกเสบียงอาหารไม่ได้รู้เลยว่าการที่นางหาเรื่องมาอ้างส่งๆ กับมารดานั้น จะทำให้ผู้เป็นแม่เริ่มต้นคิดทำอะไรบางอย่างขึ้นมาจริงๆ
บทที่ 2
“ท่านลุง ดูท่านหิวมาก ข้าจะให้หมั่นโถวท่านเพิ่มขึ้นอีกหน่อย ถือดีๆ ระวังนะ” เผยจื่ออวี๋ที่ยืนแจกหมั่นโถวอยู่ที่แผงตรงหัวถนนเรียกให้ผู้ประสบภัยที่เหมือนจะเพิ่งเข้าเมืองมาคนหนึ่งให้เข้ามารับของ เขาเป็นชายวัยกลางคนที่เนื้อตัวสกปรกมอมแมม นางจึงให้หมั่นโถวเขาเพิ่มอีกลูกหนึ่ง
“แม่นาง เจ้าช่างมีน้ำใจเหลือเกิน แผงโจ๊กของอำเภออื่นๆ ล้วนเก็บกันไปหมดแล้ว เหลือแต่ที่พวกเจ้าเท่านั้น…” ท่านลุงถือหมั่นโถวสองลูกไว้ในมือพลางสะอื้นไห้ “ข้าไม่ได้กินอิ่มท้องมาหลายวันแล้ว…”
“ท่านลุง ท่านอย่าร้องไห้สิ มานั่งกินที่เก้าอี้นี่ก่อน ตรงนั้นยังมีน้ำร้อนต้มเอาไว้ พอให้ดื่มกลั้วคอได้ด้วย” เผยจื่ออวี๋ชี้นิ้วไปที่ข้างแผงเป็นการบอกให้ท่านลุงไปนั่งพักที่ตรงนั้น
แต่ในระหว่างที่นางกำลังปลอบใจท่านลุงอยู่นี้เอง ก็มีผู้ประสบภัยที่ต่อแถวอยู่ด้านหลังฉวยโอกาสตอนที่หญิงสาวไม่ทันระวังลอบหยิบหมั่นโถวไปหลายลูกจนนางต้องรีบร้องห้าม “นี่ ห้ามขโมยนะ แต่ละคนได้หมั่นโถวกันคนละลูกเท่านั้น คนข้างหลังยังหิวมากกว่าพวกท่านอีก”
แต่ผู้ใดจะรู้ว่าผู้ประสบภัยพวกนั้นกลับไม่สนใจคำห้ามปรามของนางเลย ซ้ำยังคว้าเอาหมั่นโถวทั้งเข่งเผ่นหนีไปด้วย
คิดไม่ถึงว่าทันทีที่หมุนตัวกลับ เขาก็ไปชนถูกชายหนุ่มที่เนื้อตัวสกปรกมอมแมมจนหาที่สะอาดไม่พบ ท่าทางสะโหลสะเหลหน้าตาซีดขาวคนหนึ่งเข้า ทำให้ชายผู้นั้นล้มลงไปนอนกองกับพื้นทันที
ผู้ประสบภัยกลุ่มนั้นต่างไม่มีใครกล่าวคำขออภัยหรือช่วยพยุงคนคนนั้นขึ้นมาเลย ซ้ำเจ้าหัวขโมยหมั่นโถวนั่นยังวิ่งหนีไปอย่างว่องไวอีก
“นี่! พวกเจ้าอย่าหนีนะ” เผยจื่ออวี๋พุ่งตัวตามไปตวาดไล่หลังพวกผู้ประสบภัยกลุ่มนั้น แต่พอเห็นพวกเขาหนีกันไปไกลลิบแล้วก็ได้แต่ยกมือขึ้นเท้าเอวพลางกระทืบเท้า
นี่มันเกินไปแล้วนะ ชนคนแล้วยังจะหอบของหนีไปอีก! เห็นๆ กันอยู่ว่าชายที่ล้มอยู่ที่พื้นน่าสงสารมากแค่ไหน เผยจื่ออวี๋จึงมอบงานแจกหมั่นโถวให้ปาเจี่ยวที่เป็นคนรับใช้ของนางทำต่อ
“ปาเจี่ยว เจ้ากับเตาโต้วช่วยกันแจกหมั่นโถวไปก่อนนะ ข้าจะไปดูคุณชายคนนั้น”
หญิงสาวนั่งยองๆ ลงที่ข้างตัวชายที่นอนกุมท้องอยู่ที่พื้น ช่วยพยุงเขาขึ้นนั่งอย่างระมัดระวัง และถามอย่างเป็นห่วงว่า “คุณชาย ท่านเป็นอะไรหรือไม่”
ชายผู้นั้นโบกมือที่มีเหงื่อเย็นเปียกชุ่มอย่างอ่อนแรง พร้อมตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ไม่…เป็น…” พูดยังไม่ทันจบเขาก็เป็นลมล้มตึง ซ้ำยังทับลงมาที่ร่างของเผยจื่ออวี๋อีกด้วย
เผยจื่ออวี๋ร้องลั่นจนแม้แต่เหล่าผู้ประสบภัยที่เข้าแถวกันอยู่ยังหันมามองดูภาพที่ชายหนุ่มล้มทับหญิงสาวกันอย่างตื่นๆ แต่ละคนหันไปซุบซิบพูดคุยกัน ทว่ากลับไม่มีใครก้าวออกมาให้ความช่วยเหลือเลย
การที่ถูกอีกฝ่ายล้มใส่เช่นนี้ทำเอาเผยจื่ออวี๋แทบยันเอาไว้ไม่อยู่ ทว่านางยังพยายามกัดฟันประคองร่างของบุรุษที่จู่ๆ ก็หมดสติเอาไว้ และตรวจดูลมหายใจของเขา
สีหน้าซีดขาว หน้าผากมีเหงื่อเย็นๆ ไหลรินออกมาไม่หยุด และที่แขนก็มีบาดแผลสีดำอยู่ด้วย
นี่เขามิใช่ทั้งถูกพิษและได้รับบาดเจ็บมาหรอกหรือ
หญิงสาวรีบจับหน้าผากของอีกฝ่ายดูแล้วพบว่ามันร้อนราวกับไฟจึงคว้าเอาข้อมือของเขามาจับชีพจรดูอีกครั้ง พบว่าจังหวะการเต้นของชีพจรผิดปกติ ทำให้นางยิ่งรู้สึกแตกตื่นมากขึ้น
หลายปีมานี้นางต้องคอยส่งสมุนไพรไปให้ที่ร้านยาทุกสองสามวันจึงได้พลอยร่ำเรียนวิชาแพทย์มาจากพวกหมอบ้าง อาศัยที่เผยจื่ออวี๋มีพรสวรรค์ ฉลาดหลักแหลม และมีความรู้ด้านชีววิทยาจากโลกยุคปัจจุบัน ทำให้พอที่จะวินิจฉัยโรคง่ายๆ ได้บ้าง
ทว่านางก็ไม่ใช่หมอจริงๆ ถึงจะพอจับชีพจรได้ แต่หญิงสาวก็ไม่เคยจับเจอชีพจรที่ผิดปกติแบบนี้มาก่อน นางจึงไม่รู้ว่าคุณชายผู้นี้เป็นโรคอะไรกันแน่
ไม่ได้การล่ะ ถ้าขืนปล่อยให้คุณชายท่านนี้นอนอยู่ที่นี่ต่อไป ที่นี่คงได้มีศพนิรนามเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งศพเป็นแน่
ทุกคนในที่นั้นต่างเห็นว่าคุณชายผู้นี้นิ่งไปแล้วจึงพากันเข้ามามุงดูด้วยความสนใจ แต่เผยจื่ออวี๋มองสีหน้าไร้น้ำใจของพวกเขาออกว่าไม่มีเลยสักคนที่คิดจะช่วย
สำหรับพวกเขาแล้ว หมั่นโถวที่ช่วยให้ท้องอิ่มยังมีค่ามากกว่าคนที่นอนพะงาบๆ ใกล้ตายเสียอีก
“ปาเจี่ยว เจ้ารีบมาช่วยข้าพาคุณชายท่านนี้ไปที่โรงหมอของท่านหมอจางก่อน ส่วนเตาโต้วเจ้าแจกหมั่นโถวต่อ แจกเสร็จแล้วก็ให้ไปหาข้าที่โรงหมอด้วย” เผยจื่ออวี๋ไม่ร้องเรียกเหล่าผู้ประสบภัยแล้งน้ำใจให้เสียเวลา แต่เรียกหาคนของตนทันที
เมื่อได้ยินคำสั่งของคุณหนู ปาเจี่ยวก็รีบวางหมั่นโถวในมือลงอย่างไม่มีอิดออดและเข้ามา “คุณหนูขอรับ ข้าจะแบกคุณชายผู้นี้ไปเอง ท่านช่วยเอาเขาขึ้นหลังข้าก็พอ”
“เจ้าแบกระวังด้วยล่ะ อย่าทำเขาตกลงมาเชียว คุณชายท่านนี้ท่าจะไม่ไหวแล้ว” นางประคองคนขึ้นหลังของปาเจี่ยวอย่างระมัดระวังพร้อมเอ่ยกำชับ
“คุณหนูโปรดวางใจ ปาเจี่ยวรู้ดีว่าต้องทำอย่างไร” ช่วยคนเป็นงานเร่งด่วน ปาเจี่ยวจึงรีบแบกคนตรงไปที่โรงหมออย่างรวดเร็ว
เผยจื่ออวี๋เองก็ไม่ห่วงภาพลักษณ์ รีบยกชายกระโปรงขึ้นเร่งตามหลังไปด้วย
“ถอยไปๆ มีคนไข้อาการหนัก” เผยจื่ออวี๋ตะโกนอยู่ที่ด้านหลังของปาเจี่ยว ด้วยเกรงว่าพวกคนที่มามุงเหล่านี้จะขวางทางพวกนางจนส่งผลร้ายต่อชีวิตคน
เสียงตวาดดังลั่นที่นำไปก่อนตัวของเผยจื่ออวี๋นี้สร้างความตื่นตกใจให้แก่ผู้คนที่สัญจรไปมาอยู่ไม่น้อย แม้แต่พวกผู้ป่วยที่ต่อแถวกันอยู่ที่หน้าโรงหมอยังพลอยสะดุ้งและรีบหลีกทางให้คนที่อาการหนักกว่าตนให้ได้เข้าตรวจก่อน
ทันทีที่เข้าไปในโรงหมอได้ เผยจื่ออวี๋ก็ไม่คอยให้เด็กในโรงหมอช่วยหาเตียงให้ แต่ชี้นิ้วสั่งปาเจี่ยวให้วางร่างของชายหนุ่มลงบนเตียงว่างหลังหนึ่งที่มียาวางกองอยู่
“ปาเจี่ยวรีบวางคุณชายไว้ที่นี่ก่อน” หญิงสาวสั่งพลางเก็บกวาดยาบนเตียงออกไปวางไว้ที่โต๊ะน้ำชาอย่างคล่องแคล่ว และดึงตัวเด็กในโรงหมอคนหนึ่งที่รู้จักกันมาสั่ง “ตังกุย รีบไปเชิญอาจารย์ของเจ้าที บอกว่ามีคนป่วยหนัก”
แต่ท่านหมอจางที่ทำงานอยู่ด้านในไม่รอให้ลูกศิษย์เข้าไปบอกก็ชิงเดินออกมาจากห้องก่อน เขาเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ “เจ้าปลาน้อย* เสียงเจ้ายังดังกว่าสิงโตเหอตง** ที่บ้านข้าเสียอีกนะ หลังคาบ้านแทบจะกระเจิดกระเจิงไปหมดแล้ว”
“ท่านหมอจาง นี่ไม่ใช่เวลามาพูดเล่น ท่านรีบมาดูคุณชายท่านนี้ก่อนเถอะ อาการเขาดูไม่เข้าทีแล้ว” เผยจื่ออวี๋เอ่ยเร่งชายวัยกลางคนที่ไว้หนวดยาวราวแพะภูเขา หน้าตาท่าทางสุภาพเรียบร้อยให้รีบเข้ามารักษาคน
ท่านหมอจางมองชายหนุ่มนิ่งๆ ไม่นานสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นจริงจังมากขึ้น “ไม่ได้การแล้ว ซานเย่า รีบไปเตรียมเครื่องมือขูดกระดูกมาเร็ว เราต้องรีบขูดเอาเนื้อตรงปากแผลของคุณชายผู้นี้ออกก่อน หาไม่จะมีอันตรายถึงชีวิต ดีไม่ดีเขาอาจจะอยู่ได้ไม่ถึงคืนนี้ด้วยซ้ำ”
เผยจื่ออวี๋อุทาน “หา ร้ายแรงปานนั้นเชียวหรือ”
“ร้ายแรงมาก ปาเจี่ยว เจ้ารีบช่วยพาคุณชายท่านนี้เข้าไปในห้องตรวจก่อน ฝูหลิง เจ้าเตรียมตัวมาเป็นผู้ช่วยข้า” ท่านหมอจางกล่าวตอบจบก็หันไปสั่งลูกศิษย์ทันที
ในตอนนี้เองชายหนุ่มก็ค่อยๆ ได้สติขึ้นมา เขามองดูผู้คนรอบตัวด้วยท่าทีอ่อนล้า และร้องครางด้วยความเจ็บปวด
เผยจื่ออวี๋มองดูชายหนุ่มอย่างดีใจ “คุณชายท่านฟื้นแล้ว ดีเหลือเกิน ท่านชื่อว่าอะไรหรือ”
หวงฝู่จี้พยายามเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นมองแม่นางหน้าตาสะสวยหมดจดที่อยู่ตรงหน้า ถึงเขาจะมีไข้สูงจนรับรู้อะไรได้ไม่มากนัก แต่ก็พอจะจำได้ว่าเมื่อตอนเช้าดูเหมือนเขาจะเป็นลมล้มใส่แม่นางที่อยู่ข้างตัวคนนี้ เป็นนางที่ช่วยเขาไว้ และพาเขามาที่โรงหมอใช่หรือไม่
ชายหนุ่มหอบหายใจหนักขณะตอบอย่างอ่อนแรง “หวง…ฝู่…”
เขายังพูดไม่ทันจบ เผยจื่ออวี๋ก็ตอบรับเอาเองแล้วว่า “คุณชายหวง*** ท่านแซ่เดียวกับแม่ข้าเลย เช่นนี้พวกเราก็พอจะนับได้ว่าเป็นญาติห่างๆ กันสินะ”
หวงฝู่จี้งงงัน เขาบอกไปตั้งแต่เมื่อไรว่าเขาแซ่หวง เขายังพูดชื่อตนเองไม่จบเสียด้วยซ้ำ…
แต่เผยจื่ออวี๋เหมือนจะไม่ได้รับรู้ถึงอาการพูดไม่ออกของเขา เพราะนางยังถามรัวเป็นประทัดต่อว่า “ท่านไปได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้มาจากที่ไหน นี่ยังดีนะที่ข้าพาท่านมาส่งโรงหมอได้ทันกาล หาไม่คืนนี้…”
* อวี๋ (瑜) ที่เป็นอักษรตัวท้ายของชื่อเผยจื่ออวี๋ พ้องเสียงกับคำว่า “อวี๋ (鱼) ที่แปลว่าปลา
** สิงโตเหอตง มีที่มาจากซูตงพัว ปราชญ์ในสมัยซ่ง มีเพื่อนรักชื่อเฉินจี้ฉาง ซึ่งเป็นคนที่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ภรรยาของเฉินจี้ฉางคือนางหลิ่ว เป็นชาวเหอตง มีนิสัยดุร้ายชอบดุด่าสามี ซูตงพัวจึงแต่งโคลงล้อเพื่อนว่า “พอได้ยินเสียงสิงโตเหอตงก็หัวหด” ที่เปรียบเป็นสิงโตเพราะคนในสมัยนั้นเปรียบเสียงสวดมนต์ว่ามีอำนาจบารมีดุจดังเสียงสิงโต ต่อมาผู้คนจึงใช้คำนี้เรียกหญิงดุร้ายที่ชอบดุด่าสามีหรือผู้หญิงที่ชอบส่งเสียงดัง
*** แซ่หวง (黄) พ้องเสียงกับแซ่หวง (皇) แต่เป็นคนละแซ่
เด็กร้านยาคนหนึ่งยกยาน้ำมาส่งให้เผยจื่ออวี๋ “แม่นางเผย รีบป้อนยาน้ำนี่ให้คนไข้ดื่มก่อนเถิด อีกเดี๋ยวท่านอาจารย์ก็จะเตรียมตัวเสร็จแล้ว”
คำว่า ‘เตรียมตัว’ ที่เด็กร้านยาพูดกับยาน้ำในมือของหญิงสาว ทำให้หวงฝู่จี้รู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมา
เผยจื่ออวี๋รับยาน้ำมาก่อนประคองชายหนุ่มให้ลุกขึ้น นางป้อนยาน้ำใส่ปากเขาทีละช้อนๆ อย่างระมัดระวัง “คุณชายหวง ยาน้ำนี่จะมีผลทำให้รู้สึกชาและช่วยระงับความเจ็บปวดได้ ท่านรีบดื่มเถอะ อีกเดี๋ยวก็จะไม่รู้สึกเจ็บแล้ว”
“ยาชา? เพราะเหตุใดจึงต้องดื่มยาชาด้วย…”
“แผลที่แขนท่านสาหัสมาก อีกเดี๋ยวท่านหมอจะมาช่วยท่านขูดเนื้อตรงแผลที่แขนออกเพื่อทำให้มันสะอาดขึ้น”
ขูดเนื้อ… หัวคิ้วของหวงฝู่จี้ขมวดเข้าหากันทันที
เวลานี้เขาจะรับการรักษาเช่นนี้ได้อย่างไร ถ้าเกิดคนของตวนอ๋องมาเจอเขาเข้าล่ะ หวงฝู่จี้จึงส่ายหน้าพลางเค้นน้ำเสียงแหบแห้งเหมือนกระดาษทรายขัดออกมาว่า “ไม่ได้…”
“คุณชายหวง ท่านฟังข้านะ ถ้าหากไม่รีบจัดการ ท่านมีหวังอยู่ไม่พ้นคืนนี้แน่ เราจะต้องขูดเนื้อตายที่แขนของท่านออกก่อน” เผยจื่ออวี๋วางยาน้ำที่เหลือในมือลง มองสบตากับเขาอย่างมุ่งมั่นจริงจัง
หวงฝู่จี้มีอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไปชั่วขณะ
“ท่านวางใจได้ วิชาแพทย์ของท่านหมอจางยอดเยี่ยมมาก ท่านจะต้องปลอดภัยแน่ และต้องได้เห็นพระอาทิตย์ยามเช้าของวันพรุ่งนี้แน่นอน ไม่สิ ไม่ใช่ ท่านจะต้องได้เห็นแสงจันทร์ของค่ำคืนนี้ด้วยแน่นอน” นางตบแขนข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บของเขาแผ่วเบาอย่างปลอบใจ
หวงฝู่จี้รับรู้ได้ถึงความจริงใจของหญิงสาวที่ฉายชัดออกมาทางดวงตาสีนิลที่เปล่งประกายระยับราวกับดวงตามังกร สัญชาตญาณของชายหนุ่มบอกว่าเขาสามารถเชื่อใจนางได้ ซ้ำแววตาคู่นั้นของหญิงสาวก็ทำให้เขาบังเกิดความเชื่อมั่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด “เจ้าจะอยู่ที่นี่ด้วยใช่หรือไม่”
เผยจื่ออวี๋อยากจะบอกเขาตามความจริงว่านางมีงานยุ่งมาก ไม่มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนเขาระหว่างที่เข้ารับการผ่าตัดหรอก แต่พอเห็นแววหวาดกลัวและสับสนจางๆ ในดวงตาของเขาแล้ว นางก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายเหมือนคนตกน้ำที่พร้อมจะตะกายคว้าไม้ที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำเอาไว้ ทำให้นางไม่อาจตัดใจบอกปัดเขาได้จริงๆ นอกจากผงกศีรษะ “อืม ข้าจะอยู่รอให้ท่านฟื้นที่นี่ด้วย เราจะได้ชมแสงจันทร์ด้วยกัน”
“จำไว้…นอกจากคนที่เจ้าไว้ใจให้แตะต้องข้าได้แล้ว คนอื่นๆ ห้ามแตะต้องตัวข้าเด็ดขาด…” สติของเขาเริ่มรางเลือน หวงฝู่จี้จึงรีบสั่งทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนที่จะล่วงเข้าสู่ห้วงนิทราอีกคราหนึ่ง
“อืมได้ ข้าจะให้คนเตรียมอาหารมื้อดึกไว้รอท่าน”
ก่อนหน้าที่หวงฝู่จี้จะสิ้นสติไป นัยน์ตาที่พร่าเลือนของชายหนุ่มยังมองเห็นรอยยิ้มซุกซนแสนสดใสของหญิงสาวและได้ยินเสียงของนาง…
ช่างเป็นแม่นางที่แปลกจริงๆ…
นี่คือความคิดสุดท้ายก่อนที่เขาจะหมดสติไป
ไม่นานคุณชายหวงผู้นี้ก็ไม่รับรู้สิ่งใดอีก เผยจื่ออวี๋จึงหาเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่ง เมื่อนางรับปากเขาแล้วว่าจะอยู่รอเขาฟื้นที่นี่ นางย่อมไม่อาจจากไปอย่างคนที่ไม่รักษาคำพูดได้ แบบนั้นมันไร้สัจจะเกินไป ยังดีที่วันนี้ที่สวนสมุนไพรไม่มีงานอะไรมากนัก สินค้าที่ต้องส่งก็ส่งออกไปตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน ส่วนเรื่องบัญชีเอาไว้ค่อยคิดวันพรุ่งนี้ก็ได้
แต่เดิมที่โรงหมอก็มีผู้ประสบภัยมากมายมารอรับการรักษาอยู่แล้ว แต่เพราะจู่ๆ เผยจื่ออวี๋เกิดพาคนไข้อาการหนักเข้ามา จึงทำให้มีงานยุ่งมากขึ้นกว่าเดิม
หญิงสาวคิดว่าแทนที่จะไปนั่งรออย่างเงียบๆ อยู่ในโรงหมอ มิสู้ไปช่วยพวกเด็กในโรงหมอบดและห่อยาดีกว่า ว่าแล้วนางก็คว้าเอาที่บดยามาช่วยทำงาน แต่สายตายังคงคอยมองไปที่ห้องรักษาเป็นระยะด้วยความหวังว่าจะได้ยินข่าวดีโดยเร็ว
ในที่สุดเด็กในโรงหมอคนหนึ่งก็เดินออกมาจากห้องรักษา เขาส่งตะกร้าหวายให้เผยจื่ออวี๋ “แม่นางเผย นี่เป็นเสื้อผ้าของคุณชายท่านนั้นที่พวกเราถอดออกแล้ว อาจารย์ให้ข้านำมาให้ท่าน”
เผยจื่ออวี๋มุ่นหัวคิ้วมองดูเสื้อผ้าในตะกร้า เห็นว่าทั้งสกปรกและเหม็นโฉ่จนแทบจะรมคนตายได้ เพียงแต่นี่มันไม่ใช่เสื้อผ้าของนาง จะให้โยนทิ้งสุ่มสี่สุ่มห้าคงไม่ได้ หญิงสาวย่นจมูกก่อนตัดสินใจว่าในเมื่อจะช่วยแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด ครั้งนี้นางจะยอมทำตัวเป็นคนดีมีน้ำใจช่วยอีกฝ่ายซักผ้าอีกอย่างหนึ่งด้วยก็ได้
เผยจื่ออวี๋จึงไปตักน้ำที่ข้างบ่อขึ้นมาถังหนึ่ง แต่ก่อนที่นางจะได้เอาเสื้อผ้าสกปรกลงไปซักในถังนั้น คิดไม่ถึงว่าจะมีจดหมายกับถุงหอมที่ห่อด้วยกระดาษไขหล่นออกมาจากชุดพอดี
หญิงสาวเก็บของสองสิ่งนั้นขึ้นมาตบๆ ดูอย่างสงสัย นางหยุดคิดนิดหนึ่งก่อนตัดสินใจว่าจะไม่เปิดเจ้าของสองสิ่งนี้ดู เพราะถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ของของนาง การจะเปิดของผู้อื่นขึ้นมาดูอย่างถือวิสาสะเช่นนั้นก็ออกจะเสียมารยาทเกินไป
นางเก็บของสองสิ่งไว้ในกระเป๋าของตนแล้วม้วนแขนเสื้อขึ้น ก่อนเริ่มต้นซักเสื้อผ้าให้ชายหนุ่ม
ตอนที่หวงฝู่จี้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาที่ล่วงยามจื่อ* ไปแล้ว แม้จะยังรู้สึกมึนๆ งงๆ อยู่บ้างแต่เขาก็ยังพอจะจำเรื่องเมื่อตอนเช้าได้อยู่ และเมื่อนึกย้อนภาพในสมองทั้งหมดขึ้นมาอีกครั้ง ความคิดแรกที่แวบผ่านเข้ามาคือ…เขายังไม่ตาย
ชายหนุ่มฝืนเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นมองภายในห้องที่มืดสลัวเพราะมีตะเกียงน้ำมันเพียงดวงเดียว นัยน์ตาที่ค่อนข้างพร่าเลือนหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าที่ข้างเตียงมีแม่นางคนหนึ่งนอนฟุบอยู่
เขาเห็นหน้านางไม่ถนัดนัก นอกจากปิ่นที่ปักอยู่บนมวยผม จำได้ว่านางคือคนที่ช่วยเขา และรับปากว่าจะอยู่ที่นี่เพื่อคอยให้เขาฟื้นขึ้นมาชมจันทร์ด้วยกัน ก่อนเขาจะหมดสติไป
ไม่คิดเลยว่านางจะเป็นคนที่รักษาสัจจะแม้แต่กับคนแปลกหน้าคนหนึ่ง
หวงฝู่จี้พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วแผ่นอกกว้าง
เขาออกแรงขยับนิ้วอย่างยากลำบากก่อนลองขยับขาดูจนแน่ใจว่าทั้งแขนและขายังมีความรู้สึกอยู่ เพียงแต่ยังไม่อาจโคจรลมปราณได้ ซึ่งนั่นแสดงว่าเขาได้สูญเสียวรยุทธ์ไปแล้ว ซึ่งสาเหตุของการสูญเสียวรยุทธ์ของเขาก็น่าจะมาจากพิษหงอนกระเรียนแดง
ความจริงการนอนฟุบอยู่ที่ข้างเตียงก็ไม่สบายตัวอยู่แล้ว อีกทั้งบนหัวยังมีอะไรมายุกยิกๆ อีก เผยจื่ออวี๋เลยยกมือขึ้นคว้าไว้ตามสัญชาตญาณพร้อมกับบ่นงึมงำ “อย่ามายุ่งนะ เจ้ายุง ไปให้พ้น”
“ข้ามิใช่ยุง…”
น้ำเสียงทุ้มต่ำเบาแสนเบา แต่หญิงสาวกลับได้ยินอย่างถนัดหูและตื่นเต็มตาทันใด ร่างบางลุกพรวดขึ้นมองดูหวงฝู่จี้ที่พยายามยกมุมปากยิ้มให้อย่างยากเย็น
* ยามจื่อ คือช่วงเวลา 23.00 น. ถึง 01.00 น.
“ท่าน…” เผยจื่ออวี๋มองดูชายหนุ่มด้วยความรู้สึกตื่นเต้นดีใจ
“ข้า…ทำไม…” หวงฝู่จี้โบกมือให้หญิงสาวอย่างอ่อนแรง แสดงให้เห็นว่าเขาได้สติกลับคืนมาแล้ว
“ท่านหมอจางบอกว่าประมาณพรุ่งนี้เช้าท่านถึงจะฟื้น” นางอุทานอย่างยินดี
“เจ้าอยู่ดูแลข้าที่นี่ตลอดเลยหรือ” เขาถามเสียงล้าปนหอบเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เผยจื่ออวี๋ส่งปาเจี่ยวให้กลับไปเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านแม่ฟังแล้ว และเนื่องจากธรรมเนียมของแคว้นต้าเยี่ยมิได้เข้มงวดกับสตรีมากนัก หญิงชาวบ้านทั่วไปสามารถออกนอกบ้านได้อย่างอิสระ สามารถทำการค้าอย่างถูกต้อง อีกทั้งการที่ชายหญิงวัยเดียวกันจะคบหากันก็มิใช่เรื่องที่จะถูกจ้องมองด้วยสายตาแปลกประหลาด หากยังไม่ถึงกับไม่มีขอบเขตอย่างหนุ่มสาวในยุคปัจจุบัน เพราะยังคงมีกฎระเบียบบางข้อที่ต้องยึดถืออยู่
ปาเจี่ยวเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ รู้ดีว่านางกับคุณชายหวงท่านนี้มิได้มีความรู้สึกฉันชู้สาวต่อกัน และรู้ด้วยว่าการที่คุณหนูรั้งอยู่ที่นี่ก็เพราะต้องการรักษาคำพูดของตนเท่านั้น จึงกลับไปอธิบายให้มารดาของนางทราบ โดยมิได้แต่งเติมเรื่องราวให้เกิดความเข้าใจผิดทั้งสิ้น
“อืม…” เมื่อคิดถึงเรื่องที่ตนรับปากไปว่าจะอยู่ที่นี่เพื่อ ‘ดูแลเขาตลอดทั้งคืน’ แล้ว หญิงสาวก็รู้สึกประดักประเดิดอยู่บ้าง “ข้ามิใช่รับปากว่าจะอยู่เป็นเพื่อนท่านชมจันทร์หรอกหรือ ข้าก็ต้องอยู่ที่นี่สิ คืนนี้แสงจันทร์งามมากเสียด้วย”
อันที่จริงนางก็แค่เอาเก้าอี้มานั่งเท้าคางอยู่ที่ข้างเตียงของเขาเท่านั้น เพราะท่านหมอจางกำชับเอาไว้แล้วว่าจะต้องคอยจับตาดูแลเขาไว้อย่างใกล้ชิด เพื่อมิให้เกิดอาการไข้ขึ้นมากลางดึก แต่เผยจื่ออวี๋ก็เห็นหวงฝู่จี้เอาแต่นอนนิ่งไม่ขยับ ไม่มีวี่แววว่าจะเกิดอาการไข้เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นนางจึงเผลอฟุบหลับไปที่ข้างเตียงของชายหนุ่มนี่เอง
น่าขายหน้าเสียจริง คนดูแลคนป่วยกลับหลับสนิทยิ่งกว่าคนป่วยเสียอีก
“ข้าหมดสติไปนานเท่าไร” หวงฝู่จี้กลอกตาอย่างอ่อนแรง ตามองไปยังดวงจันทร์ที่ด้านนอกหน้าต่าง ขณะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่าราวกับกระดาษทราย
“ราวสี่หรือห้าชั่วยาม* ได้ ท่านอย่าเพิ่งใจร้อน ท่านหมอจางบอกเอาไว้ว่าถ้าหากท่านเกิดได้สติขึ้นมากลางดึก ให้ดื่มยานี่ลงไปก่อนจะได้ช่วยขจัดพิษในตัวท่านได้เร็วขึ้น” จู่ๆ เผยจื่ออวี๋ก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ นางจึงหมุนตัวไปยกยาที่อุ่นอยู่บนเตาใบเล็กมา
“ยาแก้พิษ?!” เป็นยาแก้พิษจริงหรือ
“อืม ท่านหมอจางบอกว่าท่านถูกพิษหงอนกระเรียนแดง ยานี้ถึงแม้จะขม แต่ก็สามารถขจัดพิษในร่างของท่านได้ ให้ท่านรีบดื่มทันทีที่ฟื้น” นางวางชามยาไว้บนโต๊ะเล็กข้างเตียง “ท่านหมอจางบอกว่าท่านถูกพิษร้ายแรงมาก ซ้ำยังมีแผลถูกฟันมาอีก ถ้ามาถึงช้ากว่านี้ก็คงรักษาชีวิตไว้ไม่ได้แล้ว”
หวงฝู่จี้แปลกใจมากว่าท่านหมอผู้นี้รู้ได้อย่างไรว่าเขาถูกพิษอะไรมา “ท่านหมอรู้ด้วยหรือว่าข้าถูกพิษอะไร!”
ว่ากันว่าพิษหงอนกระเรียนแดงไร้สีไร้กลิ่น คนทั่วไปไม่อาจสัมผัสรับรู้ได้จนกว่าพิษจะออกฤทธิ์แล้ว แต่นั่นก็เท่ากับว่าสายเกินการ และยิ่งไม่มีทางถอนพิษได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นจึงมีผู้คนในยุทธภพมากมายพากันล้มตายเพราะพิษหงอนกระเรียนแดง หากท่านหมอที่ขูดกระดูกให้เขากลับรู้ได้ว่าเขาถูกพิษอะไร ซ้ำยังทำยาแก้พิษได้อีก นี่เป็นเรื่องที่ทำให้หวงฝู่จี้ตะลึงงันได้จริงๆ
* ชั่วยาม เป็นหน่วยนับเวลาของจีนในสมัยโบราณ เท่ากับ 2 ชั่วโมง
“วิชาแพทย์ของท่านหมอจางร้ายกาจอย่างยิ่ง ข้ายังเคยได้ยินคนเรียกเขาว่าหมอเทวดาเสียด้วยซ้ำ บอกว่าเขารักษาได้ทุกโรค ท่านรีบดื่มยานี่ก่อนเถอะ อย่างอื่นไว้ค่อยพูดกันทีหลัง” นางเอาหมอนใบหนึ่งมายันหลังของชายหนุ่มเอาไว้เพื่อเขานั่งสบายมากขึ้น ก่อนจะใช้ช้อนตักยาขึ้นมาเป่าให้หายร้อนและป้อนยาที่อุ่นกำลังพอดีเข้าปากเขาทีละคำๆ
หวงฝู่จี้ที่เพิ่งกลับออกมาจากประตูผีร่างกายกำลังอ่อนแอจนถึงขีดสุดไม่ขัดขืน ยอมอ้าปากให้นางป้อนยาให้แต่โดยดี จนเมื่อดื่มยาหมดชามแล้วเขาจึงพูดเสียงอ่อนว่า “จริงสิ ข้ายังไม่ทราบชื่อของแม่นางเลย”
“ข้าแซ่เผย”
เผยจื่ออวี๋วางชามยาไว้บนโต๊ะด้านข้าง ก่อนเปิดหม้อที่ต้มอยู่บนเตาเล็กอีกใบหนึ่งเพื่อตักน้ำแกงปลาชามเล็กๆ ชามหนึ่งมาให้เขา
“ท่านเพิ่งจะขูดกระดูกมา ร่างกายยังอ่อนแอมาก กินอาหารแข็งไม่ได้ ข้าเลยให้คนตุ๋นน้ำแกงปลาสดๆ เอาไว้ ท่านค่อยๆ ดื่มนะ ร่างกายจะได้แข็งแรงขึ้นเร็วๆ” นางว่าพลางเป่าน้ำแกงให้เย็น
“แม่นางเผย บุญคุณที่ช่วยชีวิตในวันนี้ ต่อไปข้าจะต้องตอบแทนแน่”
“ตอบแทน? ไม่ต้องหรอก ขอแค่ท่านบำรุงร่างกายให้แข็งแรงขึ้นเร็วๆ ก็พอ” นางป้อนน้ำแกงปลาให้ชายหนุ่มพลางปลอบใจเขา “คนเราต้องเอาชีวิตให้รอดได้ถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุด ท่านอย่าคิดมาก รีบรักษาแผลให้หาย หายดีเมื่อไรเดี๋ยวก็มีหนทางให้เดินได้เองนั่นแหละ”
หวงฝู่จี้ผงกศีรษะ เวลานี้เขาต้องรีบรักษาบาดแผลเสียก่อน รอให้หายดีเมื่อไรแล้วค่อยไปเอาคืนกับคนที่ทำร้ายเขา
เผยจื่ออวี๋พูดอย่างคล้ายจะรำพึง “อุทกภัยครั้งนี้มีคนพลัดที่นาคาที่อยู่ ไร้บ้านให้กลับมากมาย บางคนก็ถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัวเลยทีเดียว คุณชายหวง ท่านก็อย่าได้สิ้นหวังเด็ดขาด” ดูจากเสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่งของเขา กับรอยดาบและพิษบนตัว คาดว่าคงหนีการปล้นชิงมา เรื่องภัยธรรมชาตินั้นยกเอาไว้ก่อนเพราะเป็นเหตุสุดวิสัย แต่การที่คนเราซ้ำเติมทุกข์ภัยให้กันนั่นต่างหากที่เรียกได้ว่าน่ากลัวที่สุดจริงๆ
หวงฝู่จี้ขมวดคิ้ว สีหน้าเต็มไปด้วยความแปลกใจ แม่นางผู้นี้ใช่ว่ากำลังเข้าใจอะไรผิดอยู่หรือไม่
แต่เข้าใจผิดแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะตอนนี้เขาก็ไม่อาจบอกใครถึงที่มาที่ไปของตนเอง เนื่องจากตวนอ๋องคงไม่ยอมปล่อยให้เขามีชีวิตรอดได้แน่ และถ้าหากตวนอ๋องรู้เรื่องของเขา นอกจากจะทำให้ตัวของหวงฝู่จี้เป็นอันตรายแล้ว แม่นางเผยผู้นี้ก็อาจจะพลอยมีภัยไปด้วย ซึ่งเขาก็ไม่อยากให้ผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตของตนต้องมาเสี่ยงเช่นกัน
เผยจื่ออวี๋เห็นสีหน้างุนงงสงสัยของชายหนุ่มแล้วก็กะพริบตาปริบๆ “ข้าพูดอะไรผิดหรือ”
ชายหนุ่มส่ายศีรษะ “มิผิด แม่นางพูดถูก ข้าจะสิ้นหวังเพราะภัยครั้งนี้ไม่ได้”
“จริงสิ ทั้งบาดแผลและพิษที่อยู่บนตัวท่านได้มาอย่างไร หรือท่านไปเจอกับโจรภูเขาเข้า”
“โจรภูเขา?! ก็ประมาณนั้น”
“เกิดอะไรขึ้นหรือ”
เขาไม่อยากให้ผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตของตนต้องเสี่ยงกับอันตรายที่คาดไม่ถึง หวงฝู่จี้จึงตามน้ำด้วยการถอนหายใจและแต่งเรื่องด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “อุทกภัยในรอบศตวรรษนี้ทำให้ครอบครัวของข้าต้องแตกฉานซ่านเซ็น หาที่ลงหลักปักฐานกันไม่ได้เลย ตอนแรกผู้น้อยกับคนในครอบครัวที่เหลือรอดมาได้ยังพอมีสมบัติที่ตกทอดมาเหลืออยู่บ้าง จึงคิดว่าจะเดินทางไปอยู่ที่บ้านสวนของบรรพบุรุษเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่อำเภอชุ่ยถี
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าแม้จะรอดจากอุทกภัยมาได้แล้วกลับยังไม่พ้นภัยโจรป่าอยู่ดี เป็นผู้น้อยและครอบครัวที่เผอเรอไปชั่วขณะ เข้าไปพักในโรงเตี๊ยมของพวกโจรใจหยาบที่ลอบใส่ยาไว้ในน้ำ กว่าคนในครอบครัวของข้าจะรู้ก็ช้าเกินการ ช่วงที่เกิดการต่อสู้ชุลมุนกันนั้น ตะเกียงน้ำมันล้มและเกิดไฟไหม้ขึ้น ข้าหนีรอดออกมาได้อย่างฉิวเฉียดเพียงคนเดียว ส่วนคนในครอบครัวคนอื่นๆ นั้นล้วนสูญหายไปจนสิ้น”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ทั้งแผลและพิษบนตัวท่านล้วนได้รับมาจากตอนนั้นหรือ”
หวงฝู่จี้ผงกศีรษะแทนคำตอบ
เผยจื่ออวี๋จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าสะอาดขึ้นมาเช็ดมุมปากให้เขา “ที่นี่ก็คืออำเภอชุ่ยถี เวลานี้ท่านปลอดภัยแล้ว คนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครอง เชื่อว่าคนในครอบครัวของท่านคงหนีรอดออกมาได้เช่นกัน ตอนนี้ท่านก็อยู่รักษาตัวที่โรงหมอของท่านหมอจางไปก่อนเถอะนะ”
“ที่นี่คืออำเภอชุ่ยถีหรือ” นัยน์ตาเหนื่อยล้าของชายหนุ่มสว่างวาบขึ้นด้วยความประหลาดใจ
เผยจื่ออวี๋พยักหน้า
ก่อนหน้านี้ข่าวที่เขาได้รับมาคือตวนอ๋องลอบซ่องสุมกำลังทหารไว้ที่อำเภอชุ่ยถี เนื่องจากที่นี่โอบล้อมด้วยภูเขาถึงสามด้าน และมีหมอกปกคลุมอยู่ตลอดทั้งปี ทำให้เหมาะกับการเป็นสถานที่ซ่องสุมกำลังคนอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เขาจึงจะฉวยโอกาสรั้งอยู่ที่นี่เพื่อสืบข่าวหาหลักฐานจับตวนอ๋องที่คิดการกบฏให้จงได้!
บทที่ 3
รถม้าคันหนึ่งแล่นจากชานเมืองเข้าสู่ตัวเมืองไปอย่างช้าๆ เผยจื่ออวี๋ที่อยู่ภายในตัวรถแหวกผ้าม่านออกมองดูทุ่งนาเขียวขจี และรับลมเย็นๆ ที่ทำให้นางรู้สึกปลอดโปร่งเป็นอย่างมาก
หญิงสาวสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดจนร่างกายรู้สึกผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย เพียงแต่ตอนเห็นผู้ประสบภัยน้ำท่วมจำนวนมากกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวอำเภอในสภาพเสื้อผ้าเก่าขาด ก็ทำให้นางรู้สึกไม่ดีเลยจริงๆ ทั้งที่อุทกภัยผ่านพ้นไปตั้งนานแล้ว แต่เพราะเหตุใดจำนวนของผู้ประสบภัยถึงยังมากมายขนาดนี้ได้เล่า
ยิ่งเวลานี้ล่วงเข้าสู่ฤดูร้อน อากาศจึงเริ่มอุ่นขึ้น หากผู้ประสบภัยที่มาต่อแถวรับหมั่นโถวและของใช้จำเป็นในทุกวันกลับยังมีอยู่อีกเป็นจำนวนมาก
และเนื่องจากสภาพอากาศร้อนขึ้น ทำให้ผู้ประสบภัยที่ไม่มีสถานที่อาบน้ำเริ่มมีกลิ่นแปลกๆ ออกมาจากตัว เผยจื่ออวี๋รู้สึกแย่มากตอนที่ออกไปแจกหมั่นโถว แต่พูดอะไรไม่ออก
ดังนั้นเมื่อนางไม่อาจพูด และเพื่อมิให้เป็นการทำร้ายจิตใจของเหล่าผู้ประสบภัยที่ไร้บ้านพวกนั้น หญิงสาวจึงสวมผ้าคลุมหน้าออกจากบ้านทุกวัน พอมีใครถามก็บอกว่าเพราะกลัวแดดเผาจนหน้าดำแทน
นับจากวันที่เกิดอุทกภัยจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาสองเดือนแล้ว ทว่าพวกขุนนางกลับยังหาวิธีการแก้ปัญหาที่ได้ผลกันออกมาไม่ได้เลย แม้แต่เงินช่วยเหลือและเสบียงอาหารก็ยังล่าช้า จนเหล่าขุนนางท้องถิ่นต้องไปปรึกษากับเหล่าพ่อค้าที่ให้การช่วยเหลือกันอยู่ว่าขอให้พวกเขาช่วยจุนเจือกันต่อไปก่อน พอเผยจื่ออวี๋ได้ยินเรื่องในวงขุนนางพวกนี้ก็ได้แต่ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ
มิใช่ว่านางหวงแหนเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย แต่เพราะไม่มีขุนนางคนไหนที่คิดหาวิธีการดีๆ ออกมาได้เลยสักคน มีแต่บอกว่าไม่รู้จะจัดการอย่างไรแล้วแบมือว่างเปล่าทั้งสองข้างออกมาอย่างเดียวเท่านั้น
เมื่อภัยธรรมชาติมาพร้อมกับความทุจริตในแวดวงขุนนาง ย่อมทำให้เกิดสถานการณ์ข้าวยากหมากแพงและจำนวนขอทานที่เพิ่มสูงขึ้น จนสตรีอย่างเผยจื่ออวี๋ยังต้องมีองครักษ์รูปร่างกำยำล่ำสันสองคนคอยติดตามเวลาออกจากบ้าน เพราะแม้วิชาศิลปะการป้องกันตัวที่จื่ออวี๋เคยร่ำเรียนมาในโลกยุคปัจจุบันจะไม่เลวนัก แต่ตัวคนเดียวย่อมไม่อาจรับมือคนหลายคนพร้อมกันได้อยู่ดี
หลังล่วงเข้าประตูเมืองมาแล้ว รถม้าก็วิ่งผ่านถนนที่เต็มไปด้วยผู้ประสบภัยและขอทานไปอย่างช้าๆ เพราะเกรงว่าถ้าวิ่งเร็วเกินไปไม่ทันระวังจะชนถูกคนเข้า เช่นนั้นจะยิ่งเป็นเรื่องใหญ่
“คุณหนู เราต้องไปร้านขายเสื้อผ้าก่อนไปที่โรงหมอของท่านหมอจางมิใช่หรือขอรับ” เตาโต้วที่อยู่ด้านหน้ารถถามเผยจื่ออวี๋ที่อยู่ในตัวรถม้า
“อืม อีกเดี๋ยวพอไปถึง ปาเจี่ยวเจ้าก็ไปเอาเสื้อผ้าที่ข้าให้ไปซื้อเมื่อวานด้วย” เผยจื่ออวี๋แหวกผ้าม่านออกไปสั่งปาเจี่ยวที่นั่งอยู่กับเตาโต้ว
“ขอรับคุณหนู” ปาเจี่ยวตอบรับ แต่พอมาคิดๆ ดูก็รู้สึกว่าผิดปกติจึงอดถามขึ้นไม่ได้ว่า “คุณหนูขอรับ คุณชายที่โรงหมอผู้นั้น…ท่านกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันเสียหน่อย แล้วเพราะเหตุใดท่านถึงต้องดูแลเขาขนาดนี้ด้วย ทั้งช่วยเขาจ่ายค่าหมอและยังจะซื้อเสื้อผ้าให้อีก”
“ปาเจี่ยว คุณหนูของเจ้ามิใช่ทำเรื่องพวกนี้เป็นครั้งแรกเสียหน่อย เจ้าลืมแล้วหรือ” เตาโต้วที่อยู่ด้านข้างพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “คุณหนูของเราเป็นคนจิตใจดีงาม อย่าว่าแต่คนแปลกหน้าไร้ที่พึ่งพาคนหนึ่งเลย แม้แต่แมวข้างถนนถูกหมากัดจนบาดเจ็บ คุณหนูยังเก็บกลับบ้านไปรักษาจนหายแล้วปล่อยไปด้วยซ้ำ”
“ก็จริง หากแต่ไหนแต่ไรมาคนที่คุณหนูช่วยล้วนแต่เป็นคนในอำเภอเดียวกันกับเราทั้งนั้น แต่ครั้งนี้ผู้ที่ท่านช่วยกลับเป็นบุรษแปลกหน้าที่มาจากที่ใดไม่ทราบ ข้าเลยรู้สึกแปลกๆ” ปาเจี่ยวกล่าวพลางเกาศีรษะแกรกๆ
เผยจื่ออวี๋รู้ได้ทันทีว่าปาเจี่ยวกำลังคิดอะไร “ปาเจี่ยว บอกมานะ ท่านแม่ของข้าแอบสั่งอะไรเจ้าไว้ใช่หรือไม่ เป็นต้นว่ายามออกจากบ้านให้ดูด้วยว่าข้ามองคุณชายบ้านไหนมากหน่อย หรือข้าสนใจผู้ประสบภัยหน้าตาดีคนไหนบ้างหรือไม่ จะได้หาสักคนกลับไปเป็นเขย?!”
แค่ใช้สมองคิดดูนางก็รู้แล้วว่าการที่จู่ๆ ปาเจี่ยวถามเรื่องพวกนี้ขึ้นมาต้องเกี่ยวข้องกับมารดาอย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้มารดาของนางคิดแต่อยากจะช่วยนางหาสามีสักคน มีหรือที่เผยจื่ออวี๋จะไม่คอยระวังตัวเอาไว้ ถ้าเกิดมีวันไหนมารดาพูดจาแปลกๆ เป็นทำนองว่าได้ช่วยนางเลือกหาสามีดีๆ เอาไว้ พร้อมดูฤกษ์มงคลให้เสร็จสรรพ คอยแต่เพียงให้นางไปเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินเท่านั้น นางมิลมใส่หรือ
“คุณหนู ท่านช่างร้ายกาจยิ่งนัก ขนาดฮูหยินไม่ได้บอกท่าน ท่านยังรู้อีกหรือขอรับ” ปาเจี่ยวปากถามแต่มือยังคงเกาศีรษะด้วยความฉงน
“เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความสุขชั่วชีวิตของข้า ข้ามิใส่ใจได้หรือ” เผยจื่ออวี๋พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ปาเจี่ยว ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ก่อนนะว่าค่าแรงเจ้า ข้าเป็นคนจ่าย อะไรที่ควรพูดหรือไม่ควรพูด เจ้าย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ และข้าขอย้ำกับเจ้าไว้ตรงนี้เลยว่าเวลานี้ข้ายังไม่คิดจะแต่งเขยเข้าบ้าน ได้ยินชัดเจนหรือไม่ ระวังเอาไว้นะว่าถ้าหากเจ้ายังลืมอีกจะมีผลไปถึงเงินพิเศษตอนสิ้นปีด้วย ถ้าอยากได้เงินน้อยกว่าคนอื่นเขาก็ลองดู!”
“ข้าจำได้แล้ว จำได้แล้วขอรับคุณหนู ปาเจี่ยวไม่กล้าพูดมากอีกแล้ว คุณหนูไว้ใจข้าได้เลยขอรับ” พูดถึงเรื่องเงินทองที่เป็นของบาดใจขึ้นมา เขาย่อมไม่มีทางหักหลังคุณหนูจนสูญเงินพิเศษที่จะได้ตอนสิ้นปีเด็ดขาด
เตาโต้วค่อยๆ หยุดรถม้าลงที่หน้าร้านเสื้อผ้า
“เอาล่ะ รีบลงไปเอาของมาได้แล้ว” เผยจื่ออวี๋ชี้นิ้วไปทางร้านเสื้อผ้าเป็นการเร่ง
เดิมทีหญิงสาวคิดจะนั่งรอปาเจี่ยวอยู่บนรถม้า แต่พอเหลือบไปเห็นร้านขายขนมที่อยู่ไม่ไกล เผยจื่ออวี๋ก็เปลี่ยนใจออกคำสั่งขึ้น “ปาเจี่ยว อีกสักครู่ให้เจ้าไปหาพวกข้าที่ร้านขายขนมแทนนะ เตาโต้ว ข้าจะไปซื้อขนม”
“ขอรับคุณหนู” เตาโต้วบังคับรถม้าให้มุ่งหน้าไปทางร้านขายขนม
เผยจื่ออวี๋ลงจากรถม้าและเดินเข้าไปในร้าน เห็นเถ้าแก่กำลังทดลองขนมสูตรใหม่หน้าตาน่าอร่อยอยู่ ขนมทุกชนิดล้วนทำขึ้นมาอย่างประณีต หน้าตาดูน่ากินยิ่งนัก
“แม่นางเผย เชิญด้านในขอรับ ไม่ได้พบกันเสียนาน ช่วงนี้มีงานยุ่งหรือขอรับ” พอเถ้าแก่ร้านขายขนมเห็นเผยจื่ออวี๋ที่เป็นลูกค้าประจำก็รีบออกมาต้อนรับอย่างกระตือรือร้นทันที
“เถ้าแก่ ขนมร้านท่านนี่มีหลายรสชาติเสียจริง” เผยจื่ออวี๋ไม่เกรงใจ เห็นอะไรที่ชอบก็หยิบขึ้นมาชิมดูทันที
เถ้าแก่ยิ้มร่าที่นางชิมขนมของเขา เพราะหญิงสาวเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่มาทีไรก็เหมาขนมไปเยอะแยะทุกที
“ใช่แล้วขอรับ ช่วงนี้ร้านของเรามีอาจารย์ทำขนมมาใหม่คนหนึ่งเลยมีขนมรสใหม่ๆ ออกมาไม่น้อย แม่นางเผยลองชิมอันนี้ดูสิขอรับ นี่คือขนมแป้งอบเกล็ดหิมะ รสชาติกำลังดี ไม่หวานเลี่ยน สตรีหลายคนที่มาซื้อชื่นชอบกันมากเลยทีเดียว” เถ้าแก่หยิบขนมที่หน้าตาเหมือนก้อนหิมะให้หญิงสาวชิมดู
นางรับไปใส่ปาก “รสชาติไม่เลว มีกลิ่นหอมของดอกไม้อ่อนๆด้วย ทำจากดอกซิ่ง* หรือ”
“แม่นางเผยเก่งจริงๆ แค่ชิมดูก็รู้แล้ว เช่นนั้นลองชิมอันนี้บ้างสิขอรับ นี่เป็นขนมแป้งอบดอกเหมย ทำมาจากดอกเหมยแช่อิ่ม” เถ้าแก่แนะนำขนมรสใหม่ๆ สารพัดอย่างให้นางชิมดูอย่างใจกว้าง
“อันนี้ไม่เลว เช่นนั้นเอาสองอย่างนี้ห่อให้ข้าสี่กล่อง”
“ได้ขอรับ” เถ้าแก่โบกมือเร่งให้พวกลูกจ้างในร้านนำขนมไปห่อ
เผยจื่ออวี๋ชอบกินของหวาน เพราะของหวานๆ มักทำให้นางอารมณ์ดีได้เสมอ
เมื่อพูดถึงเรื่องอารมณ์ดี หลายวันมานี้คุณชายหวงผู้นั้นดูเหมือนจะซึมเศร้าอยู่มาก ท่าทางคล้ายมีเรื่องหนักใจอยู่ทำให้อารมณ์ไม่สู้ดีนัก ถ้าหากได้ชิมของหวานสักสองชิ้นน่าจะพอทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นได้กระมัง เช่นนั้นก็เอาขนมไปให้เขาสักหน่อยเถอะ! แต่ว่าพวกบุรุษดูเหมือนจะไม่ชอบกินขนมหวานกันเท่าใดนัก เช่นนั้นคงต้องหารสที่ไม่หวานมากให้เขาแล้ว
หญิงสาวเอ่ยถาม “เถ้าแก่ ท่านมีขนมที่ไม่ค่อยหวานมาก หรือจะให้ดีเป็นขนมรสเค็มหน่อยบ้างหรือไม่ แต่ไม่เอาขนมเปี๊ยะไส้เนื้อนะ” ขนมเปี๊ยะไส้เนื้อแค่กินสองคำก็เลี่ยนจะตาย
“ออกรสเค็มหน่อย…” เถ้าแก่ทำท่าคิดก่อนหยิบเอาขนมรสใหม่ออกมาอีกชิ้นหนึ่ง “นี่เป็นขนมแป้งกรอบพันชั้น ออกรสเค็มหน่อยๆ จนแม้แต่ข้าเองยังอดใจไม่อยู่ต้องแอบกินสักชิ้นสองชิ้นเลยขอรับ”
เผยจื่ออวี๋จึงหยิบเศษขนมที่ตกอยู่ด้านข้างมาชิมดู “ไม่เลว เอานี่ห่อมาให้ข้ากล่องหนึ่ง กับเอาขนมตาหงส์ของที่ร้านและขนมโก๋ถั่วเขียวอีกสี่กล่อง แบบรวมทุกรสด้วยหนึ่งกล่อง จัดเป็นชุดสี่ชุด”
* ซิ่ง หรือแอปปริคอต เป็นพืชตระกูลเดียวกับต้นเหมย (ต้นบ๊วย) ดอกสีขาว อาจมีสีชมพูหรือสีแดงแซม เกสรสีเหลือง
“ขอรับ แม่นางเผยโปรดรอสักครู่” เถ้าแก่ได้ยินแล้วก็รีบเข้าไปเร่งคนงานที่ห่อของให้นาง
เตาโต้วที่อยู่ข้างๆ พอได้ยินเจ้านายสั่งซื้อขนมชุดใหญ่ก็ตกใจ “คุณหนู คนที่บ้านเราไม่มีทางกินขนมเยอะแยะขนาดนี้หมดหรอกนะขอรับ”
“ผู้ใดบอกเล่าว่าข้าจะให้คนที่บ้านกินอย่างเดียว อีกเดี๋ยวขนมสามชุดนั่นเจ้าก็เอากลับไปบ้าน ชุดหนึ่งให้ท่านแม่ข้า ชุดหนึ่งให้พวกบ่าวเอาไปแบ่งกัน ส่วนอีกชุดหนึ่งให้เอาไปให้คนงานที่สวนสมุนไพร เหลืออีกชุดหนึ่งข้าจะเอาไปเอง” เนื่องจากช่วงนี้นางต้องวิ่งไปโรงหมออยู่บ่อยๆ และต้องฝากท้องอยู่ที่นั่นหลายครั้งหลายครา จึงน่าจะมีของตอบแทนบ้าง
พวกคนงานร้านขายขนมล้วนทำงานได้อย่างคล่องแคล่วทันใจ ไม่นานก็ห่อขนมสี่ชุดเสร็จเรียบร้อยและหิ้วมาตรงหน้าเผยจื่ออวี๋
นางหยิบถุงเงินที่ห้อยอยู่ข้างเอวออกมาหยิบเงินห้าตำลึงจ่ายให้เถ้าแก่ “เถ้าแก่ เงินที่เหลือนี่ท่านช่วยห่อขนมอร่อยๆ อะไรก็ได้มาให้ข้าอีกชุดหนึ่งนะ”
“คุณหนูขอรับ ข้านำของที่ท่านสั่งมาแล้ว” ปาเจี่ยวที่ไปที่ร้านขายเสื้อผ้าวิ่งกระหืดกระหอบมาที่ร้านขายขนมพลางชูของในมือให้นางดู
“ส่งมาให้ข้า แล้วเจ้ากับเตาโต้วก็เอาขนมกลับไปก่อน รอให้เย็นหน่อยค่อยกลับมารับข้า” นางยื่นมือออกไปรับเสื้อผ้ามาจากปาเจี่ยว เมื่อสั่งเสร็จก็เดินตรงไปที่โรงหมอเองทันที
ในโรงหมอมีคนวิ่งเข้าวิ่งออกกันวุ่นวาย ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย หวงฝู่จี้ที่พอจะก้าวลงจากเตียงได้จึงเลือกไปอยู่ที่เรือนด้านหลังที่ใช้ตากยาสมุนไพรซึ่งไม่ค่อยมีคนไข้เข้าออกมากนัก ชายหนุ่มเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ใต้ร่มไม้เพื่อหลับตารับไออุ่นจากแสงแดด เวลานี้บาดแผลของเขาดีขึ้นมากแล้ว แม้แต่พิษหงอนกระเรียนแดงเองก็ขจัดออกไปได้ราวเจ็ดถึงแปดส่วนเช่นกัน
เมื่อเช้าตอนที่ท่านหมอจางเปลี่ยนยาให้เขา ได้บอกให้เขารู้ว่าอีกไม่นานก็จะแกะผ้าพันแผลที่มือของเขาออกได้ ถึงตอนนั้นพิษในร่างกายของเขาก็น่าจะขจัดออกไปได้หมดแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะมีผลกระทบอะไรต่อสุขภาพอีก
ท่านหมอจางผู้นี้มีทักษะทางการแพทย์ล้ำเลิศอย่างแท้จริง คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้มาเจอกับผู้มีความสามารถในสถานที่กันดารเช่นนี้
หลายวันมานี้หวงฝู่จี้จิตใจห่อเหี่ยวอย่างมาก เพราะไม่รู้ว่าคนสนิททั้งสามคนไปอยู่เสียที่ไหน ส่วนสาเหตุรองลงไปก็คือสารลับและหลักฐานในการก่อกบฏของตวนอ๋องที่เขาหามาได้อย่างยากเย็นนั้นได้สูญหายไปแล้ว ทั้งที่เขาจำได้ว่าตอนที่ปีนขึ้นฝั่งมาสารลับยังอยู่กับตนเองแท้ๆ
เมื่อสารลับหายไปแบบนี้ก็เท่ากับว่าต้องตั้งต้นสืบหากันใหม่ เกรงว่าหลักฐานทั้งหมดคงถูกตวนอ๋องทำลายทิ้งไปจนหมดแล้ว เมื่อคิดมาถึงตรงนี้หวงฝู่จี้ก็แทบจะไม่มีกะจิตกะใจรักษาตนเองอีก
เรื่องเดียวที่พอจะทำให้ชายหนุ่มใจชื้นขึ้นมาได้คือเรื่องที่ท่านหมอจางบอกกับเขาว่าอีกไม่นานวรยุทธ์ของเขาก็จะกลับคืนมา พริบตานั้นเขานึกถึงคำพูดที่เผยจื่ออวี๋บอกกับเขาประโยคหนึ่งขึ้นมาได้ว่าให้เขารักษาสุขภาพและมีหวังเข้าไว้
ตอนนั้นเขาไม่ค่อยเข้าใจคำพูดประโยคนี้เท่าไร นอกจากจะคิดว่าเผยจื่ออวี๋แค่พูดเพื่อให้เขามีกำลังใจมากขึ้น
มาถึงตอนนี้แค่ไม่ต้องสูญเสียวรยุทธ์ไปก็เป็นเรื่องน่ายินดีเหลือที่จะกล่าวแล้ว ซ้ำพิษหงอนกระเรียนแดงในตัวยังถูกขจัดออกไปได้อีกด้วย รอให้เขาฝึกปรือเคล็ดวิชา ฟื้นฟูกำลังภายในได้เมื่อไร จะได้ขจัดความรู้สึกเหมือนเป็นคนไร้สามารถนี้ทิ้งไปได้เสียที
แต่เดิมนั้นเขาละทิ้งความหวังเรื่องจะฟื้นฟูวรยุทธ์ไปแล้ว นี่ถ้าหากท่านหมอจางสามารถรักษาเขาจนหายดีได้จริงๆ กลับไปที่วังได้เมื่อไร เขาจะต้องเชิญท่านหมอจางให้เข้าสำนักแพทย์หลวงเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้แน่นอน
ไม่สิ ผู้ที่มีบุญคุณช่วยชีวิตที่เขาน่าจะตอบแทนให้มากที่สุดคือเผยจื่ออวี๋ต่างหาก เพราะถ้าหากไม่ใช่นาง ป่านนี้เขาคงกำลังเดินทางไปยังน้ำพุเหลือง* อยู่
“นี่ ท่านคิดอะไรอยู่” ตอนเผยจื่ออวี๋มาถึงที่โรงหมอกลับไม่เห็นชายหนุ่มที่เตียงผู้ป่วย นางจึงไปถามกับเด็กในโรงหมอจนรู้ว่าเขาปลีกตัวหนีความวุ่นวายมาอาบแดดอยู่ที่เรือนด้านหลังนี้
เมื่อมีเงาคนมาบดบังแสงตะวัน หวงฝู่จี้ก็ลืมตาโพลงขึ้นมาเจอกับใบหน้าที่มีรอยยิ้มแสนสดใสของเผยจื่ออวี๋เข้าพอดี เพราะเหตุใดแค่คิดถึงคนคนก็มาแล้ว ความรู้สึกประหลาดแล่นวาบขึ้นกลางใจ “แม่นางเผย ท่านมาได้อย่างไร”
เมื่อวานตอนที่เขาถาม นางบอกว่าวันนี้ต้องไปเป็นเพื่อนมารดาไหว้พระที่วัด คงไม่ได้เข้าเมืองและไม่ได้ไปที่แผงแจกโจ๊ก นั่นเท่ากับว่านางคงไม่ได้แวะมาที่โรงหมอด้วยเหมือนกัน แล้วเพราะอะไรจู่ๆ นางถึงมาที่นี่ได้เล่า
“เมื่อเช้านี้จู่ๆ ข้านึกขึ้นมาได้ว่ามีของที่ต้องมอบให้ท่าน พอไหว้พระกับท่านแม่เสร็จเลยแวะมา”
“ของอะไรหรือ”
“นี่ให้ท่าน” นางส่งห่อผ้าและกล่องขนมที่อยู่ในมือใส่ในอ้อมแขนของชายหนุ่ม ส่วนตนเองก็ไปลากเอาเก้าอี้เตี้ยทำจากไม้ไผ่สานมานั่งลงที่ข้างตัวเขา
“นี่คือ…” เขามองดูห่อผ้าในอ้อมแขนด้วยความแปลกใจ
“ท่านคงใส่เสื้อผ้าของท่านหมอจางไปตลอดไม่ได้หรอก อีกทั้งเสื้อผ้าของท่านก็ขาดวิ่นหมดแล้ว ข้าเลยให้เถ้าแก่ร้านเสื้อผ้าหาชุดที่ตัดเย็บเสร็จ กับซื้อเสื้อผ้าสำหรับใส่ในฤดูร้อนมาให้ท่านอีกหลายชุดไว้ให้ท่านได้ผลัดเปลี่ยน”
“ลำบากแม่นางแล้ว บุญคุณนี้ผู้น้อยจะไม่มีวันลืมเลือนแน่นอน” ยิ่งเห็นห่อผ้าที่อยู่ในมือ หวงฝู่จี้ก็ยิ่งรู้สึกซาบซึ้งใจมากขึ้น
“ไม่เป็นไร เมื่อสิบสองปีก่อนข้าได้สาบานเอาไว้ว่าขอแค่มีชีวิตอยู่จะทุ่มสุดตัวเพื่อช่วยเหลือผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยากให้มากที่สุด” นางใช้สองมือเท้าคางพลางเอ่ย “เพราะฉะนั้นท่านไม่ต้องตอบแทนอะไรข้าหรอก”
“ท่านสาบานเอาไว้? เมื่อสิบสองปีก่อนท่านอายุเท่าไรกันถึงรู้เรื่องสาบานอะไรแบบนี้ได้” หวงฝู่จี้ถามเสียงกลั้วหัวเราะ
“ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร รู้ดีกว่าใครล่ะไม่ว่า”
“เอ๋? ท่านรู้อะไรหรือ ลองเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่”
เผยจื่ออวี๋ไม่รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ต้องปิดบังอะไรจึงเล่าเสียงใส “มารดาข้าเป็นอนุภรรยาคนที่สี่ของแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองหลวง ส่วนข้าร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก พออายุได้สี่ขวบ บิดาข้าได้รับพระบัญชาให้ไปออกรบ ฮูหยินเลยถือโอกาสไล่ท่านแม่กับข้าออกจากจวนแม่ทัพ ข้าจดจำได้ไม่เคยลืมเลยว่าวันนั้นเป็นวันที่ฝนตกหนักมาก ท่านแม่ต้องแบกข้าเดินทางออกจากเมืองหลวง และฝนห่าใหญ่นั่นเกือบคร่าชีวิตข้าไปแล้วจริงๆ…แต่ท่านแม่ก็ยังแบกข้าเที่ยวไปเคาะประตูโรงหมอแห่งแล้วแห่งเล่าเพื่อขอให้ช่วยชีวิตข้า จนในที่สุดก็มีหมอใจดีคนหนึ่งช่วยชีวิตข้าเอาไว้…” ตอนนั้นเองที่จื่ออวี๋ได้ย้อนเวลากลับมาเข้าร่างของเด็กน้อยผู้นี้
* น้ำพุเหลือง (หวงเฉวียน) หมายถึงยมโลก
“เพราะข้าเคยเฉียดตายมาก่อน พอฟื้นขึ้นมาเลยสาบานเอาไว้ว่าตลอดชีวิตนี้จะขอใช้ความสามารถที่มีอยู่ช่วยเหลือผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยากทั้งหลาย”
ที่นางบอกความจริงทั้งหมดก็เพื่อมิให้ใครต่อใครเข้าใจผิดว่านางทำดีเพื่อหวังผลอะไร
หวงฝู่จี้ผงกศีรษะอย่างเข้าใจ ที่แท้นางก็เคยมีชีวิตเช่นนี้มาก่อนนี่เอง
เพียงแต่…แม่ทัพใหญ่ที่นางพูดถึงเป็นผู้ใดกัน
“บิดาของท่านเป็นแม่ทัพใหญ่? แต่ตัวท่านกลับถูกขับไล่ออกมา? แต่ดูจากท่าทางของท่านแล้วไม่เหมือนคนที่ถูกไล่ หรือเป็นลูกของอนุภรรยาที่น่าสงสารเลย”
“แน่นอนสิ ถ้าขืนข้ากับท่านแม่ไม่ยืนหยัดกันขึ้นมาให้ได้ ป่านนี้เราสองคนแม่ลูกคงเหลือแต่โครงกระดูกไร้ที่ฝังไปแล้ว และสาเหตุที่ข้ายังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ก็เพื่อสักวันหนึ่งจะได้ไปเอาคืนคนที่รังแกท่านแม่ของข้าให้สาสม ลองให้ข้าได้มีโอกาสกลับไปจวนแม่ทัพอีกเมื่อไร ข้าจะต้องทำให้ฮูหยินที่น่ารังเกียจผู้นั้นได้ลิ้มรสความลำบากดูบ้าง เป็นการแก้แค้นแทนท่านแม่ของข้า!”
หวงฝู่จี้ได้ยินดังนั้นจึงลองหยั่งเชิงดู “ท่านรู้หรือไม่ว่าบิดาท่านคือแม่ทัพใหญ่ท่านไหน เวลานั้นท่านน่าจะยังเด็กอยู่มาก แต่ก็น่าจะพอจำชื่อของบิดาได้ใช่หรือไม่”
“ผู้ใดบอกว่าข้าจำไม่ได้ ข้าจำความได้ตั้งแต่อายุสี่ขวบแล้ว บิดาข้าคือแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่นามว่าเผยเจิ้นเทียน!” หญิงสาวเอ่ยนามของบิดาออกมาด้วยเสียงฮึดฮัด
“เผยเจิ้นเทียน?!” หวงฝู่จี้รู้สึกแปลกใจเมื่อได้รู้ว่าบิดาของนางคือแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่นามว่าเผยเจิ้นเทียน
เผยจื่ออวี๋ผงกศีรษะ “ถูกต้อง แต่รูปร่างหน้าตาของบิดาจะกลมหรือจะแบนอย่างไรนั้นข้าก็จำไม่ได้ เพราะข้าไม่ได้พบเขามาตั้งสิบสองปีแล้วนี่นา ในความทรงจำของข้าแทบไม่มีท่านพ่ออยู่เลยด้วยซ้ำ สำหรับข้า จะบอกว่ามีพ่อก็เหมือนไม่มีนั่นแหละ แต่ข้าจำเรื่องที่ฮูหยินรังแกข้ากับท่านแม่ได้ โดยเฉพาะวันที่ฝนตกฟ้าร้อง เราสองแม่ลูกกลับถูกไล่ออกมาจากจวนแม่ทัพ ทำให้ท่านแม่ของข้าต้องแบกข้าวิ่งฝ่าฝนไปหาหมอนั่น”
เขารับรู้ได้ถึงความเจ็บแค้นในน้ำเสียงของหญิงสาว จึงลองเปรยขึ้นอีกครั้ง “แล้วถ้าหากว่ามีโอกาส ท่านจะเอาคืนฮูหยินแม่ทัพผู้นั้นอย่างไร”
“ข้าเป็นประเภทตาต่อตา ฟันต่อฟัน ข้าจะให้นางได้ลิ้มรสชาติของความลำบากที่ข้ากับท่านแม่ได้รับ” เผยจื่ออวี๋ว่าพลางกำหมัดแน่น
“เช่นนี้ไม่ใจดีเกินไปหน่อยหรือ” ถ้าหากเป็นเขา ต้องมีทบต้นทบดอกด้วยแน่นอน
“ใจดี? จะเป็นไปได้อย่างไร คนอย่างฮูหยินที่แม้แต่ดื่มน้ำยังต้องมีคนปรนนิบัติ อยู่อย่างสุขสบายมาตลอดชีวิต บทเรียนที่ดีที่สุดที่จะให้แก่นางได้ อให้นางอยู่เพียงลำพัง ไม่มีคนรองมือรองเท้า เช่นนี้ก็เท่ากับทรมานนางชัดๆ หรือต่อให้นางยอมรับชะตากรรมตนเองได้ แต่การปรับตัวก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกเหมือนกัน การทรมานนางแบบนี้ไม่ได้ต่างจากทำให้นางต้องตกนรกทั้งเป็น แทบจะเอาหัวโขกผนังตายได้แล้ว” มุมปากของเผยจื่ออวี๋ปรากฏรอยยิ้มเยาะหยัน ราวกับฮูหยินที่น่ารังเกียจผู้นั้นกำลังอยู่ตรงหน้านางอย่างไรอย่างนั้น
มิผิด หวงฝู่จี้พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“เอาล่ะ คุยกันมาพอแล้ว ข้าเกือบลืมเรื่องสำคัญที่มาวันนี้ไปเลย เอ้านี่ ข้าคืนให้ท่าน ขืนเอาไว้ที่ข้าอีกข้ากลัวว่าตนเองจะลืมเสียก่อน” นางรีบส่งของที่เก็บเอาไว้ในห่อผ้าที่สะพายมาด้วยให้ถึงมือชายหนุ่ม
หวงฝู่จี้เบิกตาโตอย่างตื่นเต้นดีใจ และมองของสองอย่างนั้นอย่างเหนือคาด เพราะชิ้นหนึ่งคือตราหยกประจำตัวของเขา และอีกชิ้นหนึ่งคือหลักฐานการก่อกบฏของตวนอ๋อง คิดไม่ถึงเลยว่าจะอยู่ที่นาง!
“ของพวกนี้หล่นออกมาจากเสื้อผ้าของท่าน ข้าก็เลยเก็บใส่กระเป๋าเอาไว้ก่อน พอเวลาผ่านไปก็ลืมเสียสนิท จนเมื่อคืนข้าเอากระเป๋าออกมาเก็บถึงได้เจอเข้าเลยรีบเอามาคืนให้ท่าน”
“ขอบคุณแม่นาง” หวงฝู่จี้มองของสองอย่างในมือด้วยความรู้สึกซึ้งใจอย่างมาก ผนึกที่ด้านบนยังคงอยู่ แสดงว่านางไม่ได้เปิดมันออกดู ซึ่งนั่นทำให้ชายหนุ่มแปลกใจอยู่บ้าง
“ตอนนี้ของก็คืนให้ท่านแล้ว ข้าค่อยสบายใจได้เสียที” หญิงสาวผ่อนลมหายใจ “เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน ท่านพักรักษาตนเองดีๆ”
“ท่านจะไปแล้วหรือ” สำหรับคนที่รำคาญสตรีมาตลอดเช่นเขา นี่เป็นครั้งแรกที่นึกอาลัยไม่อยากให้สตรีสักคนจากไป และเมื่อมาคิดดูหวงฝู่จี้ก็รู้สึกว่าตนเองชื่นชอบรอยยิ้มบนใบหน้าสดใสของนางมาก เพราะมันทำให้เขารู้สึกสบายตาสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
นางผงกศีรษะพลางตอบสั้นๆ “อืม”
“ถ้าหากท่านไม่มีธุระด่วนอะไร ช่วยพาข้าไปที่ที่หนึ่งหน่อยได้หรือไม่ ข้าไม่รู้จักที่นี่เลยอยากได้คนนำทางสักคน”
“นี่ท่านจะให้ข้าเป็นคนนำเที่ยวด้วยหรือ” นางปรายตามองแผลเขานิดหนึ่งก่อนเอ่ยถาม “หากท่านจะออกไปข้างนอกจริง ไม่กลัวถูกคนชนจนแผลฉีกหรือไร”
คนนำเที่ยว? นางพูดจาแปลกๆ อีกแล้ว
“วันนี้ท่านหมอจางบอกข้าว่าให้ออกกำลังกายบ้าง แผลจะได้สมานตัวดีขึ้น” ตราบใดที่เขายังไม่ส่งข่าวไป พวกหลิงอีจะต้องร้อนใจจนอาจใช้ความตายมาชดเชยความผิดก็เป็นได้ ดังนั้นเขาจึงต้องแจ้งข่าวให้คนสนิททั้งสามรู้ก่อนว่าเขายังปลอดภัยดี
“แบบนั้นก็ดี อย่างไรเสียวันนี้ข้าก็ไม่มีธุระอย่างอื่น จะพาท่านไปเดินวนรอบเมืองหน่อยแล้วกัน”
ชายหนุ่มจึงหยัดกายขึ้นคารวะ “ต้องขอรบกวนแม่นางเผยแล้ว”
หญิงสาวจึงผุดลุกขึ้นด้วยเช่นกัน “ท่านอยากไปที่ไหน”
“ช่วยบอกข้ามาก่อนว่าประตูเมืองทั้งสี่อยู่ที่ไหนบ้าง กับตำแหน่งของที่ว่าการอำเภอ และถ้าหากมีเวลา ข้าก็อยากออกไปนอกตัวเมืองด้วย”
หลายวันมานี้เขาพบว่าที่โรงหมอของท่านหมอจางต้องใช้สมุนไพรจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งยารักษาแผลที่ต้องทำกันชนิดวันเว้นวัน และมีบุรุษร่างกำยำสองคนเป็นผู้มารับยา พอจ่ายเงินเสร็จก็จากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่พูดอะไร ดูน่าสงสัยเป็นอย่างมาก
สังเกตจากรองเท้าที่เปื้อนดินเลนสีแดงของชายทั้งสองคน คาดว่าพวกเขาน่าจะเป็นคนที่ขึ้นลงภูเขาบ่อยๆ ซึ่งจุดนี้ก็น่าสงสัยมากเช่นกัน หวงฝู่จี้จึงอยากตรวจสอบดูให้กระจ่าง
“ลำพังแค่ไปที่ประตูเมืองทั้งสี่ก็เหนื่อยจนแทบขาดใจแล้ว ข้าจะพาท่านไปที่ที่ว่าการอำเภอกับประตูทิศตะวันออกก่อน แล้ววันพรุ่งนี้ค่อยเอารถม้ามาพาท่านไปดูประตูเมืองอีกสามแห่งที่เหลือกับออกนอกตัวเมืองด้วย จะว่าไปยามนี้ท่านไม่ควรจะเดินเยอะๆ หรอก” หญิงสาวกล่าวอย่างรอบคอบ
หวงฝู่จี้คิดตามแล้วพลันรู้สึกว่าที่อีกฝ่ายพูดมาก็มีเหตุผล และถึงแม้เรื่องที่ต้องส่งข่าวให้พวกหลิงอีจะเป็นเรื่องด่วน แต่ก็ไม่อาจใจร้อนดื่มน้ำเต้าหู้เดือดได้ เพราะเขาจำเป็นต้องรักษาตัวให้หายดีเช่นกัน อย่างมากแค่รออีกวันหรือสองวันเท่านั้น
วันรุ่งขึ้นหวงฝู่จี้ก็ได้ไปเดินวนเวียนอยู่รอบๆ ประตูเมืองทางด้านใต้และฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีใครสังเกตหยิบเอาก้อนหินข้างประตูเมืองหลายก้อนมาวางเป็นสัญลักษณ์ที่มีแต่เขาและองครักษ์ประจำตัวทั้งสามเท่านั้นที่รู้ ก่อนหมุนตัวเดินกลับไปขึ้นรถม้า
เผยจื่ออวี๋แหวกผ้าม่านรถออกมามองชายหนุ่มเล็กน้อย
นั่นเขากำลังทำเครื่องหมายให้คนที่บ้านรู้อยู่หรือ
แต่สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกแปลกใจก็คือถ้าหากเขาเป็นห่วงว่าคนในครอบครัวจะตามหาเขาไม่พบจริงๆ ก็น่าจะเขียนเป็นหนังสือประกาศตามหาคนมากกว่า เพื่อที่ว่าหากคนในครอบครัวของเขาเห็นแล้วจะได้มาตามหาตัวเขาได้ถูก เพราะอะไรถึงต้องมาทำลับๆ ล่อๆ แบบนี้ หรือว่าคนในครอบครัวของเขาจะอ่านหนังสือไม่ออก
ตอนหวงฝู่จี้แหวกผ้าม่านกลับเข้ามานั่งลงที่ข้างกายหญิงสาวอีกครั้ง นางก็ส่งถุงน้ำให้เขา “ดื่มน้ำสักคำก่อนเถอะ อากาศข้างนอกร้อนนัก”
เขารับถุงน้ำมายกขึ้นดื่มก่อนเอ่ยถามยิ้มๆ “ท่านไม่แปลกใจหรือ” เขารู้ว่านับตั้งแต่ที่เขาเริ่มต้นทำสัญลักษณ์ หญิงสาวก็สังเกตเห็นท่าทีแปลกๆ ของเขาแล้ว
นางสั่นศีรษะ “เรื่องแปลกใจย่อมมีบ้าง แต่คนทุกคนย่อมต้องมีเรื่องส่วนตัวที่ไม่อยากเปิดเผยด้วยกันทั้งนั้น และข้าเองก็ไม่สะดวกที่จะสืบค้น เพราะข้ายังกลัวตายอยู่”
“กลัวตาย?”
“โบราณว่าความอยากรู้อยากเห็นฆ่าแมวตายได้ ข้ายังอยากอยู่อีกหลายปี เลยไม่อยากรู้อยากเห็นอะไรมากนัก” การจะคืนชีพใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย และจื่ออวี๋ยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกมาก จึงไม่อยากเป็นเหมือนเมื่อชาติที่แล้วที่แค่ได้ยินเสียง ‘ตูม!’ ครั้งเดียว ชีวิตวัยรุ่นอันสวยสดก็หายวับ
‘ความอยากรู้อยากเห็นฆ่าแมวตายได้’ คำพูดนี้น่าสนใจเสียจริง หวงฝู่จี้หัวเราะออกมาพลางตบต้นขาที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ “เช่นนั้นหากอยากคิดมีชีวิตอยู่นานๆ ก็อย่าได้อยากรู้อยากเห็นมากเกินไปใช่หรือไม่” นึกถึงเมื่อตอนเด็กๆ ในวังมีแมวที่พระสนมองค์หนึ่งเลี้ยงเอาไว้วิ่งเข้าไปในตู้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ถูกนางกำนัลที่ไม่รู้ว่ามันอยู่ข้างในใส่กุญแจ ทำให้แมวตัวนั้นต้องติดอยู่ในตู้จนหิวตาย เช่นนี้จะเรียกว่าความอยากรู้อยากเห็นฆ่าแมวตายได้หรือไม่นะ
“ท่านหัวเราะแบบนี้ ทำราวกับว่าข้าพูดไปจี้ใจท่านอย่างนั้น” หญิงสาวมองค้อนเขา นางพูดอะไรน่าขบขันนักหรือ
“ท่านพูดจี้ใจข้าจริงๆ” เพราะตัวเขาเองด้วยความแปลกใจถึงได้ลอบตรวจสอบตวนอ๋องจนได้รู้ถึงแผนลอบก่อการกบฏของอีกฝ่าย และนำมาซึ่งการลอบสังหารเช่นนี้
เห็นชายหนุ่มหัวเราะอย่างเปิดเผยเช่นนี้แล้ว เผยจื่ออวี๋ก็รู้สึกแปลกใจจนต้องเลิกคิ้วสูงขณะพิจารณามองดูอีกฝ่ายอย่างละเอียดพร้อมๆ กับขบคิดถึงความหมายในถ้อยคำของเขา
คุณชายหวงผู้นี้ไม่ได้มีเพียงรูปร่างหน้าตางามสง่า แต่อากัปกิริยายังดูมีชาติตระกูลเป็นธรรมชาติอย่างมาก แม้แต่ชุดผ้าฝ้ายธรรมดาก็ยังไม่อาจกลบรัศมีแห่งอำนาจที่มีติดตัวเขามาตั้งแต่เกิดได้ จนนางเกือบคิดไปเองว่าเขาไม่น่าจะใช่คนสามัญทั่วไป
นี่ถ้าหากหวงฝู่จี้ไม่ได้มีสีหน้ายิ้มแย้มน่าเข้าใกล้แบบนี้ เขาคงไม่ต่างจากเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ นางอาจเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นท่านอ๋องหรือองค์ชายสักองค์ มากกว่าจะเป็นคุณชายตระกูลสูงที่ประสบอุทกภัยจนบ้านแตกสาแหรกขาดเช่นนี้
“เอาล่ะ ตอนนี้ท่านได้เห็นประตูเมืองทั้งสี่แล้ว ยังอยากไปที่ใดอีกหรือไม่ ถือโอกาสที่ยังเช้าอยู่นี้ให้เตาโต้วพาท่านไปก่อน เพราะวันพรุ่งนี้ข้ายังต้องทำงาน คงไม่มีเวลาออกมาพาท่านเดินเที่ยวตามถนนอีก”
“ได้ยินว่าภูเขาที่อำเภอชุ่ยถีเป็นดินเลนสีแดงใช้ทำกาน้ำได้ดีนัก ข้าเลยอยากรู้ว่าดินแดงของที่นี่ใช้ทำกาน้ำได้ดีจริงหรือไม่ ท่านพอจะพาข้าไปดูได้หรือไม่”
“ท่านจะทำกาน้ำหรือ”
“การค้าของตระกูลข้าล้วนล่มสลายไปกับสายน้ำหมดแล้ว ข้าเลยอยากหาหนทางทำการค้าใหม่ และการทำกาน้ำก็ไม่เลวนัก สามารถทำเงินได้ดีทีเดียว”
“ท่านทำกาได้?” หญิงสาวรู้สึกแปลกใจ
“ข้าสนใจอยู่” อันที่จริงสิ่งที่เขาสนใจมีอยู่มากมาย “เวลานี้ข้าคิดแค่จะทำงานเลี้ยงปากท้องไปให้ได้ชั่วคราวก่อน แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมองหาวัตถุดิบที่จะนำมาทำเป็นอย่างแรก”
เผยจื่ออวี๋ใช้นิ้วชี้เคาะริมฝีปากสีแดงชุ่มชื้นเบาๆ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด “ขอข้าคิดดูก่อน…ถึงอำเภอชุ่ยถีนี้จะมีภูเขาล้อมรอบสามด้าน แต่ภูเขาที่มีดินแดงอยู่ก็มีจำนวนไม่มากนัก ที่ใกล้ที่สุดก็น่าจะมีแต่ภูเขาจงหลิงเท่านั้น”
“ภูเขาจงหลิง?”
“ใช่ มีเพียงเขาลูกนั้นที่มีดินเป็นสีแดง แต่ถ้าหากท่านอยากได้ดินของที่นั่น เกรงว่าคงจะหาได้เฉพาะปีนี้เท่านั้น”
“เฉพาะปีนี้? เพราะเหตุใดเล่า”
“ภูเขาจงหลิงเป็นภูเขาลูกใหญ่ของที่นี่ ดินบริเวณเชิงเขาส่วนหนึ่งเป็นสีแดง ซึ่งเชิงเขาที่มีดินแดงนั่นอยู่ห่างจากสวนสมุนไพรของข้าไปไม่เท่าไร เพียงเดินเลาะไปแค่ครึ่งชั่วยามก็ถึง แต่ภูเขาลูกนี้นอกจากต้นไม้ไร้ประโยชน์ที่ได้แต่เอามาทำเป็นไม้ฟืนแล้วก็ไม่มีต้นอะไรขึ้นได้อีก ในสายตาของพวกเราที่นี่จึงมองเห็นว่าที่นั่นเป็นแค่เขารกร้างลูกหนึ่ง เลยไม่มีใครให้ความสนใจมาก่อน แต่เมื่อเร็วๆ นี้ ภูเขาลูกนั้นได้ถูกขายออกไปในราคาที่สูงลิบ อีกทั้งยังมีการกั้นพื้นที่จนเหลือแค่บริเวณเล็กๆ ไว้ให้ชาวบ้านได้เข้าไปเก็บฟืนกันเท่านั้น และในปีหน้าเขาจะปิดกั้นอย่างถาวร ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปเก็บฟืนได้อีก”
หวงฝู่จี้ตาเป็นประกายขึ้นมาทันที “ถูกขายไปทำอะไรหรือ”
เผยจื่ออวี๋เอียงศีรษะคิด “ก่อนหน้านี้แม่นมอู๋เล่าให้ฟังว่าได้ยินชาวบ้านที่เก็บฟืนแถวนั้นบ่น บอกว่าไม่รู้บนเขามีสมบัติอะไรถึงได้มีการเฝ้าระวังแน่นหนาขนาดนั้น ทั้งที่บนเขาก็มีแต่ไม้ฟืนอย่างเดียว อีกทั้งพอมีคนคิดจะเข้าไปอีกก็ถูกไล่ตะเพิดออกมา”
ภูเขาลูกนั้นน่าสงสัยจริงๆ ด้วย หวงฝู่จี้ลอบกำหมัดอยู่ใต้แขนเสื้อแน่น
“หากจะบอกว่าไม่อยากให้ชาวบ้านขึ้นเขาไปเก็บฟืน เพราะเกรงว่าจะไปกระทบกับกิจการเผาถ่าน ก็ไม่เห็นว่าพวกเขาจะเผาถ่านออกมาขายเลยเหมือนกัน”
เผยจื่ออวี๋เคยขบคิดถึงปัญหาข้อนี้ และเคยให้คนไปสืบข่าวดูแล้ว เพราะถึงอย่างไรสวนสมุนไพรของนางก็อยู่ในเขตพื้นที่ใกล้เคียงกัน ย่อมต้องรู้จักระมัดระวังเอาไว้ แต่ถึงกระนั้นปัญหานี้ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ และในขณะเดียวกันเจ้าของคนใหม่ก็ไม่ได้ทำอะไรที่ทำให้พวกต้องเดือดร้อนหรือรู้สึกเป็นห่วง ซ้ำยังมาช่วยอุดหนุนสวนสมุนไพรของนางเป็นจำนวนมากอีกด้วย
“เช่นนี้ท่านยังจะไปอีกหรือ”
ได้ยินเผยจื่ออวี๋พูดแบบนี้ หวงฝู่จี้ยิ่งอยากจะไปเยือนดูสักครั้ง
“ขอข้าไปดูสักหน่อยเถอะ กว่าจะถึงปีหน้าก็ยังมีเวลาอีกตั้งครึ่งปีมิใช่หรือ เวลานี้ขอแค่รู้ว่าดินใช้ได้ก่อน ถ้าหากว่าเหมาะกับการใช้ทำกาจริงๆ ข้าค่อยไปทำเรื่องตกลงกับเจ้าของที่ทีหลังก็ได้”
“ก็จริงนะ ท่านแค่จะซื้อดินเท่านั้นนี่นา ไม่น่าจะมีปัญหาได้หรอก” เผยจื่ออวี๋ผงกศีรษะก่อนเลิกผ้าม่านไปสั่งเตาโต้ว “เตาโต้ว ไปที่สวนสมุนไพร”
“ขอรับ” เตาโต้วกระตุกบังเหียนในมือแล้วม้าก็วิ่งตะบึงออกไป
โปรดติดตามตอนต่อไป…
สามารถอ่านบทอื่นๆได้ที่ >> บทที่ 1 – บทที่ 3 | บทที่ 4 – บทที่ 6 |
Comments
comments
อยากอ่านต่อเมื่อไหร่หนังสือจะออกวางขายค่ะ