สามารถอ่านบทก่อนหน้าได้ที่ >> บทที่ 4 – บทที่ 6
บทที่ 7
เผยจื่ออวี๋เพิ่งจะก้าวออกจากบ้านสกุลหวงได้ไม่ถึงสองก้าวก็ได้ยินเสียงตวาดอย่างดุดันลอยมาเข้าหู
“เผยจื่ออวี๋ หยุดให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
เผยจื่ออวี๋หันหน้าไปมองแล้วก็เห็นร่างอ้วนกลมของเคอโหย่วจินที่กำลังเตรียมเล่นงานนางเต็มที่ “เคอโหย่วจิน เจ้าเรียกข้ามีธุระอะไร”
นางรู้ดีว่าตนกับเคอโหย่วจินไม่ได้มีสายสัมพันธ์อันดีอะไรต่อกันนัก เพราะฉะนั้นการที่อีกฝ่ายเรียกนางเอาไว้ย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่
เคอโหย่วจินถลกแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นท่อนแขนใหญ่ล่ำขณะชี้นิ้วถามอย่างเหี้ยมเกรียม “บอกข้ามาว่าเจ้าเข้าไปทำอะไรในบ้านคุณชายหวงตั้งนานสองนาน ไม่รู้จักอายบ้างหรืออย่างไร”
“เจ้านี่มันน่าขันเกินไปหน่อยแล้ว เรื่องของข้ากับคุณชายหวงเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย เพราะเหตุใดข้าถึงต้องรายงานเจ้า” เผยจื่ออวี๋มองดูอีกฝ่ายด้วยแววตาขบขัน
“ข้าขอเตือนเจ้านะว่าคุณชายหวงเป็นของข้า ห้ามเจ้าคิดยั่วยวนเขาเด็ดขาด” เคอโหย่วจินแผดเสียงใส่นางอย่างไม่รู้จักคำว่าอาย
ถึงแม้ว่าเวลานี้ท้องถนนจะปราศจากผู้คน แต่ตอนที่คำพูดนี้หลุดออกมาก็ยังทำให้เผยจื่ออวี๋รู้สึกเหมือนฟ้าสะท้านดินสะเทือน
ท่าทางเคอโหย่วจินอยากจะแต่งงานจนประสาทหลอน หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คืออยากจะแต่งงานกับคุณชายหวงจนเป็นบ้าไปแล้ว
นี่แสดงว่าที่ระยะนี้พวกสาวๆ ที่หมายตาหวงฝู่จี้พากันหายหน้าไป คงเป็นเพราะถูกเคอโหย่วจินขับไล่หรือไม่ก็เล่นงานจนกระเจิดกระเจิงไปแล้วกระมัง
“คุณชายหวงเป็นคนของเจ้าไปตั้งแต่เมื่อใด เจ้าพูดแบบนี้ไม่รู้สึกว่ามันน่าหัวเราะเกินไปหน่อยหรือ เป็นสาวเป็นแส้แต่กลับมาร้องบอกว่าบุรุษผู้หนึ่งเป็นคนของตนกลางถนนปาวๆ เจ้าไม่มีความอายแล้วหรือ!” เผยจื่ออวี๋ย้อนถามเสียงดัง
เคอโหย่วจินเลยยิ่งแผดเสียงหนักขึ้นอย่างทั้งอายทั้งโกรธ “พ่อข้าบอกว่าคุณชายหวงเป็นผู้ดีตกยาก การที่เขาต้องอยู่บ้านโทรมๆ แบบนี้ช่างน่าเวทนานัก ดังนั้นอีกไม่นานก็จะส่งคนมาเจรจาเรื่องแต่งงาน ให้เขาได้แต่งเข้าบ้านข้า ถึงตอนนั้นคุณชายหวงก็จะเป็นสามีของข้า และหลังจากที่เราสองคนแต่งงานกันแล้ว พ่อข้าก็จะช่วยให้เขาได้เป็นขุนนางใหญ่ ท่านพ่อของข้าหวังดีต่อเขาถึงเพียงนี้ คุณชายหวงไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน”
ไม่เสียแรงที่เคอโหย่วจินเป็นน้องสาวของเคอโหย่วไฉ ไม่ใช่คนบ้านเดียวกันไม่เข้าประตูเดียวกันจริงๆ ด้วย เผยจื่ออวี๋กระตุกมุมปากอย่างเยาะหยัน “เช่นนั้นคอยให้เขาได้เป็นสามีของเจ้าก่อน แล้วเจ้าค่อยมาห้ามข้าไม่ให้เข้าใกล้เขา แต่ตอนนี้ข้าไม่มีเวลามาสนใจเจ้าหรอก”
นางยังต้องไปเตรียมการต่างๆ เรื่องสถานศึกษา ไม่มีเวลามาฟังอีกฝ่ายเพ้อพล่ามเช่นนี้หรอก
อีกอย่างจี้ซานดูเป็นคนสุภาพอ่อนโยนไม่มีพิษมีภัยอะไรก็จริง แต่ลึกๆ แล้วเขาเป็นคนที่มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีสูงมาก ถ้าหากเขายอมตกลงแต่งงานกับเคอโหย่วจินเพื่อที่จะได้เป็นขุนนางล่ะก็ ผีหลอกน่ะสิ!
เผยจื่ออวี๋หมุนตัวเตรียมจากไป แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมปล่อยตัวนางไปโดยง่าย
“หยุดนะ! เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าเข้าไปทำอะไรในบ้านของคุณชายหวง” ตราบใดที่ยังไม่ได้รับคำตอบ เคอโหย่วจินไม่มีทางปล่อยเผยจื่ออวี๋ไป นางจึงแผดเสียงใส่อีกฝ่ายหนักขึ้น
สวรรค์ แก้วหูนางแทบจะถูกเสียงคำรามราวกับแม่เสือของเคอโหย่วจินทำเอาดับไปหมดแล้ว ช่างน่ากลัวอะไรอย่างนี้
ถ้าหากจี้ซานยอมแต่งเข้าบ้านสกุลเคอจริง น่ากลัวว่ายังไม่ทันพ้นช่วงดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ เคอโหย่วจินคงทำแก้วหูเขาพังยับอย่างแน่นอน
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้นางก็อดรู้สึกสงสารหวงฝู่จี้ที่ถูกเคอโหย่วจินต้องตาเข้าไม่ได้
“ข้าไม่บอก แล้วจะอย่างไร!” เผยจื่ออวี๋หันไปทำหน้าตาล้อเลียนใส่เคอโหย่วจินที่จวนเจียนจะสติหลุดก่อนหมุนตัวพลิ้วร่างจากไป
เมื่อเคอโหย่วจินที่ถูกไฟโทสะสุมอยู่เต็มอกไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ นางก็ยกแขนล่ำๆ ขึ้นพลางตวาดใส่บริวารอย่างฉุนขาด “พวกเจ้าตาบอดกันไปหมดแล้วหรืออย่างไร ไม่เห็นหรือว่าข้าถูกนางลูกอนุมันหยามเกียรติเอา ยังไม่รีบสั่งสอนมันให้ข้าอีก!”
เผยจื่ออวี๋จึงหันกลับมามองเคอโหย่วจินที่กำลังโกรธจนไขมันกระเพื่อมแล้วก็ได้แต่แหงนหน้าขึ้นมองฟ้าอย่างปลงอนิจจัง ดูท่าว่าวันนี้นางคงก้าวออกจากบ้านโดยไม่ได้ดูฤกษ์ดูยามเสียก่อนถึงได้มาเจอเข้ากับสตรีพาลพาโลแบบนี้ นับว่าเป็นคราวเคราะห์โดยแท้
เผยจื่ออวี๋ทำหน้าตึง สองมือเท้าเอว ตามองจ้องไปที่บ่าวของเคอโหย่วจิน “จะลงมือก็ให้ไวหน่อย ข้าไม่มีเวลามากนัก”
พอคนพวกนั้นถูกนางจ้องเขม็งก็กลัวกันจนตัวสั่น และหันไปกระซิบบอกผู้เป็นนายเสียงสะท้าน “คุณหนูขอรับ…ถ้าหากเราทำร้ายแม่นางเผย คุณชายใหญ่จะไม่พอใจเอานะขอรับ…”
“กรี๊ด! แม่นางเผยอะไรกัน นางก็แค่ลูกอนุไม่มีพ่อคนหนึ่งเท่านั้น แต่พี่ชายข้าก็ยังคิดจะตบแต่งนางเข้าบ้านมาอีก ไม่ว่าใครต่อใครพูดว่าอย่างไรเขาก็ไม่ยอมล้มเลิกความคิด แต่ข้าไม่มีทางยอมให้ลูกไพร่ชั้นต่ำเช่นนี้มาเป็นพี่สะใภ้ได้เด็ดขาด แค่คิดว่านางจะเข้าห้องหอกับพี่ชายข้า ข้าก็คลื่นไส้แล้ว!” เคอโหย่วจินทำเสียงหยัน
เผยจื่ออวี๋หรี่ตาลงขณะยิ้มเยาะในใจ ที่เคอโหย่วไฉยังไม่ตัดใจเรื่องที่จะแต่งงานกับนางนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยจริงๆ
“พวกเจ้ายังไม่รีบลงมือให้ข้าอีก! สั่งสอนให้นางลูกอนุไม่มีพ่อแม่สั่งสอนได้รู้ซะว่าบุรุษที่ข้าหมายตาไม่ใช่คนที่นางจะมาใช้เสน่ห์มารยายั่วยวนได้ เอาให้จำไปจนตายเลย”
ลูกอนุ…ลูกอนุอีกแล้วหรือ!
ตอนอยู่ที่คฤหาสน์ก็ต้องถูกลูกภรรยาเอกรังแก พอออกมาแล้วก็ยังไม่วายถูกลูกภรรยาเอกของบ้านอื่นรุมรังแกอีกหรือ
แต่เดิมเผยจื่ออวี๋ไม่คิดจะเอาเรื่องเอาราวอะไรกับเคอโหย่วจิน แต่การที่อีกฝ่ายเรียกนางว่า ‘ลูกอนุ’ ซ้ำไปซ้ำมา อีกทั้งยังว่านางไม่มีพ่อแม่สั่งสอน ว่าลามไปถึงท่านแม่ของนางเช่นนี้ ช่างชวนให้เพลิงโทสะของนางยากจะดับได้จริงๆ!
เผยจื่ออวี๋สามารถทนรับการดูหมิ่นเหยียดหยามจากผู้อื่นได้ทุกอย่าง แต่อย่างเดียวที่จะไม่ยอมคือการที่คนอื่นมาดูถูกท่านแม่ของนาง ท่านแม่ของนางคือสตรีที่ดีที่สุดในโลกนับตั้งแต่ที่นางย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่ ผู้ใดก็ห้ามข่มเหงรังแกหรือดูหมิ่นหวงซื่อเด็ดขาด!
“คุณหนู พอเถอะ ขนาดลูกน้องของคุณชายใหญ่ยังทำอะไรแม่นางเผยไม่ได้…”
ท่าทางหวาดเกรงของบริวารยิ่งทำให้เคอโหย่วจินเดือดดาลจนยกเท้าถีบเขากระเด็น “ไป! ไสหัวไปจัดการนางให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
ไม่คอยให้ลูกน้องของเคอโหย่วจินเป็นฝ่ายบุกเข้ามาช่วยดับไฟแค้นให้ตามคำสั่ง เผยจื่ออวี๋ก็เปิดฉากพุ่งตรงเข้าไปก่อนแล้ว นางตวัดเท้าเตะร่างกลมๆ ของเคอโหย่วจินเสียจนกระเด้งกระดอน
แต่แค่นี้ยังไม่สาแก่ใจ นางก้มตัวลงไปกระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายขึ้นมาตบอีกสองฉาด ก่อนตวาดใส่หน้า “กล้าด่าท่านแม่ข้าหรือ เจ้าเป็นลูกภรรยาเอกแล้วอย่างไร เท่าที่ข้าเห็นพ่อแม่เจ้าก็อบรมเจ้ามาไม่ได้ดีกว่าลูกอนุอย่างข้าเลยด้วยซ้ำ!”
“โอ๊ย ข้าเจ็บ ปล่อยข้านะ พวกเจ้านิ่งกันอยู่ทำไม ยังไม่รีบ…โอ๊ย…” เคอโหย่วจินหวีดร้องเสียงแหลมไม่ต่างจากสุกรถูกเชือดออกมา
“ลูกผู้ดีมีการอบรมบ้านไหนพูดจาจิกหัวคนไม่หยุดปาก มารยาทเจ้าที่ร่ำเรียนมามันหายไปลงไหที่ไหนหมดหรือ วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่าลูกอนุชั้นต่ำที่เจ้าเรียกจะจัดการกับเจ้าอย่างไร”
“แม่นางเผย…ข้าขอร้อง ได้โปรดปล่อยคุณหนูเถอะนะขอรับ…” บ่าวของเคอโหย่วจินรีบคุกเข่าลงอ้อนวอนด้วยท่าทีร้อนรน
“ปล่อยนาง? นางกล้าพูดจาให้ร้ายท่านแม่ข้า ถ้าหากวันนี้ข้าเอานางมาทำหัวหมูไม่ได้ ข้าจะใช้แซ่ตามนางเลย!” เผยจื่ออวี๋ยังคงรัวตบตีอีกฝ่ายอย่างหนักแบบไม่คิดยั้งมือไว้ไมตรีเลยสักนิด วันนี้นางจะให้เคอโหย่วจินได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าสั่งสอน!
เพียงไม่กี่ครั้งใบหน้าของเคอโหย่วจินก็บวมปูดกลายเป็นหัวหมูแดงก่ำไปหมดแล้วจริงๆ
“แม่นางเผย คุณหนูของพวกเราเป็นแก้วตาดวงใจของนายท่าน ท่านทำเช่นนี้นายท่านอาจมีโทสะได้ และถึงแม้ว่าท่านจะมีฐานะ แต่ก็เป็นแค่สตรีคนหนึ่ง ย่อมไม่มีทางแข็งแกร่งสู้ผู้หนุนหลังนายท่านของเราได้หรอกนะขอรับ” บ่าวบ้านสกุลเคอรีบเตือนหญิงสาว
“มิผิด หากเจ้าสติดีก็รีบปล่อยข้าซะ…โอ๊ย…”
ยิ่งพูดถึงผู้หนุนหลัง เผยจื่ออวี๋ก็ยิ่งลงมือตบตีหนักขึ้น
“ผู้หนุนหลัง? ผู้หนุนหลังสกุลเคอของเจ้าใหญ่สู้ผู้หนุนหลังของพ่อแท้ๆ ข้าที่เป็นถึงฮ่องเต้ได้หรือไม่เล่า กล้าเอาผู้หนุนหลังมาขู่ข้าแบบนี้ มันหาเรื่องตายชัดๆ!” เผยจื่ออวี๋กัดกรามกรอด
“พ่อแท้ๆ ของเจ้าเป็นผู้ใด” เคอโหย่วจินไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าบิดาของเผยจื่ออวี๋เป็นใคร
“พ่อข้าก็คือแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่เผยเจิ้นเทียน ผู้เป็นที่โปรดปรานและไว้วางใจที่สุดของฮ่องเต้ เจ้ากล้าเอาเรื่องผู้หนุนหลังมาขู่ข้าอย่างนั้นหรือ ถึงข้าจะไม่ใช่ลูกคนโปรดแต่ก็เป็นสายเลือดของเผยเจิ้นเทียน เจ้านึกว่าเพราะอะไรผู้คนในเมืองนี้ถึงไม่กล้ามีเรื่องกับข้า แต่เจ้ากลับกล้ามาเปรียบเรื่องผู้หนุนหลังกับข้า!”
ถึงแม้ว่านางจะคับแค้นใจบิดาที่ไร้ความรับผิดชอบ แต่ในยุคสมัยที่บุรุษเป็นใหญ่ บางครั้งชื่อเสียงของเขาก็สามารถนำออกมาใช้ประโยชน์ได้ เพื่อมิให้ตัวนางกับมารดาถูกสตรีที่หูตาคับแคบอย่างเคอโหย่วจินดูหมิ่นเอา
ทันทีที่ชื่อของท่านแม่ทัพเผยถูกเอ่ยออกมา เคอโหย่วจินก็เหมือนถูกฟาดจนสมองทึ่มทื่อไปทันที ต่อให้นางไม่รู้ประสีประสาอย่างไรก็ยังรู้ว่าท่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่เผยเจิ้นเทียนคือใคร
โบราณว่าจะตีสุนัขก็ต้องดูเจ้าของก่อน ต่อให้เผยจื่ออวี๋กับมารดาไม่ได้เป็นที่โปรดปราน แต่ก็ยังเป็นอนุภรรยาและบุตรสาวของเผยเจิ้นเทียนอยู่ดี
มิน่าเล่าบิดานางจึงบอกพี่ชายนางเสมอว่าอย่าได้ไปหาเรื่องเผยจื่ออวี๋เด็ดขาด ต่อให้เขาจะถูกหญิงสาวเล่นงานหนักเพียงใดบิดาก็ไม่กล้าปริปาก
ยิ่งคิดว่าถ้าหากเผยจื่ออวี๋เอาเรื่องที่ตนด่าอีกฝ่ายว่า ‘ลูกไม่มีพ่อแม่สั่งสอน’ ซึ่งเท่ากับแช่งให้ท่านแม่ทัพตายนี้ไปบอกท่านแม่ทัพใหญ่แล้ว เขาจะไม่ออกหน้าเพื่อระบายโทสะแทนบุตรสาวได้หรือ น่ากลัวว่าสกุลเคอทั้งตระกูลจะถูกเหยียบราบเป็นหน้ากลองล่ะไม่ว่า
“ขะ…ขะ…ข้าผิดไปแล้ว…เผยจื่ออวี๋…ข้าขอโทษ…เจ้าเป็นผู้ใหญ่อย่าถือสาผู้น้อยเลย…” เคอโหย่วจินในตอนนี้เหมือนลูกหนังที่ถูกเจาะลม ร้องไห้โฮๆ ปานเขื่อนกั้นน้ำพังขณะอ้อนวอนและขอโทษอีกฝ่าย
“รู้ว่าผิดที่ตรงไหน” เผยจื่ออวี๋ถามเสียงหนัก
“ข้ารู้ รู้แล้ว ข้าไม่ควรดูหมิ่นมารดาเจ้า ต่อไปข้าไม่กล้าอีกแล้ว เจ้าก็อย่าถือสาข้าเลย”
เผยจื่ออวี๋ขยุ้มคอเสื้อของเคอโหย่วจินก่อนออกแรงดึงนางเข้ามาเตือนเสียงเย็น “จำใส่สมองเอาไว้ ถ้าหากข้าได้ยินเจ้าว่าร้ายมารดาของข้าอีกล่ะก็ ข้าจะฉีกปากเน่าๆ ของเจ้าซะ!”
“ไม่แล้ว ไม่อีกแล้ว” เคอโหย่วจินรับรองพลางส่ายหน้าโบกมือให้ว่อน
ในระหว่างที่เผยจื่ออวี๋กำลังนั่งคิดบัญชีแค้นอยู่บนตัวเคอโหย่วจินนั้น ก็ได้ยินเสียงคุ้นหูกลั้วเสียงหัวเราะดังขึ้น
“แม่นางเผย…”
“หะ…” เผยจื่ออวี๋เงยหน้าขึ้นมองแล้วก็เห็นหวงฝู่จี้กับหลิงอีมายืนอยู่ตรงหน้านางพอดี “คุณชายหวง…ท่านทำงานเสร็จแล้วหรือ…”
สวรรค์ น่าขายหน้ายิ่งนัก นี่นางถูกจี้ซานเห็นท่าทางเหี้ยมๆ แบบนี้มาสองครั้งสองหนแล้วนะ
“อา!” ทันทีที่ได้เห็นใบหน้างามราวหยกและเรือนร่างสูงเพรียวมีสง่าของเขา เคอโหย่วจินที่ตกหลุมรักหวงฝู่จี้อยู่ก็รู้สึกดีใจอย่างยิ่ง แต่เมื่อคิดได้ว่าตนเองถูกผู้อื่นตบจนหน้าแดงก่ำราวกับหัวหมู ไม่อาจเจอหน้าใครได้อีก ก็ร้องเสียงโหยหวนปานสุกรถูกเชือดออกมาทันที
หมดกัน ข้าไม่มีหน้าจะเจอคุณชายหวงอีกแล้ว! เคอโหย่วจินร่ำไห้อยู่ในใจ
หวงฝู่จี้พยายามกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ ก่อนเอ่ยชื่นชมออกมาว่า “พยัคฆ์ย่อมไม่ออกลูกเป็นสุนัข* จริงแท้!” เมื่อครู่ตอนที่เขาอยู่ข้างใน ได้ยินสองหญิงสาวตีฝีปากกันแล้วก็อดที่จะหัวเราะขำขันออกมาไม่ได้
ถึงเผยจื่ออวี๋จะพูดเสียงแข็งว่าไม่ยอมรับเผยเจิ้นเทียนเป็นบิดา แต่หญิงสาวกลับกลั้นใจยอมรับเขาเพราะไม่ต้องการให้มารดาต้องถูกเหยียดหยาม เห็นได้ชัดว่านางเป็นสตรีที่มีความกตัญญูต่อบุพการีโดยแท้
“แน่นอน…บิดาข้าเป็นวีรบุรุษผู้กล้า ข้าที่เป็นบุตรสาวย่อมไม่อาจน้อยหน้าได้” เผยจื่ออวี๋ฝืนใจเอ่ยชมผู้เป็นบิดาตามชายหนุ่ม
หวงฝู่จี้ยื่นมือออกมาอย่างจะช่วยดึงตัวนางขึ้น และเผยจื่ออวี๋ซึ่งเป็นคนที่มาจากยุคปัจจุบันก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ยอมยื่นมือไปให้เขาจับ และอาศัยแรงของชายหนุ่มเพื่อดึงตัวขึ้นแต่โดยดี
ทว่าในสายตาของเคอโหย่วจิน ภาพนี้ราวกับฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย เพราะในที่สุดนางก็ตระหนักชัดว่าเผยจื่ออวี๋เป็นสตรีหน้าไม่อายที่คิดจะแย่งบุรุษกับนางจริงๆ!
ไม่ได้การล่ะ ต่อให้บิดาของอีกฝ่ายจะเป็นถึงท่านแม่ทัพใหญ่เผย แต่นางจะต้องคิดหาวิธีแยกเผยจื่ออวี๋ออกจากคุณชายหวงให้จงได้ คุณชายหวงต้องเป็นของนางคนเดียว!
* ‘พยัคฆ์ไม่ออกลูกเป็นสุนัข’ สำนวนที่ใช้เป็นคำชม หมายถึงบิดาที่โดดเด่นย่อมมีบุตรที่ไม่ธรรมดา
“ข้าคิดๆ ดูแล้วว่าจะไปดูสถานศึกษาเสียหน่อย และไปเยี่ยมเยียนคนที่ทำงานอยู่ที่นั่นด้วย จะได้รู้ว่าต้องเตรียมการสอนอย่างไรและรับช่วงต่อกันได้ไม่สับสน ตอนแรกข้าคิดจะไปถามท่านที่บ้าน แต่ไม่นึกเลยว่าจะมาเจอกันที่นี่”
“เช่นนั้นเราก็ไปด้วยกันเถอะ ข้ากำลังจะไปที่สถานศึกษาอยู่พอดี พรุ่งนี้ท่านจะได้เริ่มงานสอนได้”
“เอาสิ ไปด้วยกันเลย”
ทั้งคู่ต่างทิ้งเคอโหย่วจินเอาไว้ที่เก่าและเดินเคียงกันไปในทิศทางของที่ตั้งสถานศึกษา
“คุณหนู ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่” บ่าวของบ้านสกุลเคอถามถึงใบหน้าแดงก่ำของหัวหมู ไม่ใช่สิ เคอโหย่วจินอย่างร้อนใจ
แต่เคอโหย่วจินกลับชี้นิ้วตามหลังพวกของเผยจื่ออวี๋ไปพลางถาม “อาติ้ง นางบอกว่าคุณชายหวงจะไปสถานศึกษาอย่างนั้นหรือ”
“คุณหนูอย่าลืมสิขอรับ ท่านเพิ่งรับปากแม่นางเผยว่าจะไม่ว่าร้ายคนแล้วนะขอรับ..”
“หุบปาก! สถานศึกษาที่คุณชายหวงจะไปนั่นใช่ที่พวกเด็กจนๆ เรียนกันอยู่หรือไม่” เคอโหย่วจินแผดเสียงใส่
“ใช่ขอรับ”
นัยน์ตาของเคอโหย่วจินเปล่งประกายชั่วร้าย นางมีแผนแล้ว…
“แรกเริ่มมนุษย์นั้น จิตใจใสสะอาด หากกาลผันคืนผ่าน สันดานย่อมแปรเปลี่ยน…”
ใกล้กับศาลเจ้าแม่กวนอิมอันเป็นที่สักการะของผู้คนในหมู่บ้าน มีเสียงท่องอาขยานดังแจ้วๆ มาจากสถานศึกษาที่ดูสะอาดสะอ้านและเงียบสงบแห่งหนึ่ง
“มิอบรมบุตรธิดา คือความผิดของบิดา…” พวกเด็กๆ ท่องคำไปพร้อมๆ กับชายหนุ่ม
ทันใดนั้นก็มีเสียงอุทานอย่างชื่นชมดังมาอีกคราหนึ่ง “ดูสิๆ…”
หวงฝู่จี้นิ่วหน้าและปรายตามองไปยังกลุ่มที่มาของเสียงเหล่านั้น เพื่อเป็นการบอกว่าพวกนางกำลังรบกวนการสอนอยู่ ให้เงียบเสียงกันลงหน่อยเพื่อไม่ให้กระทบต่อการเล่าเรียนของเด็กๆ
ลำพังเขาไม่มองยังพอว่า แต่พอกวาดตามองไปเท่านั้น เหล่าหญิงสาวก็ส่งเสียงกันอย่างเพ้อคลั่งมากขึ้นกว่าเก่า
“คุณชายหวงมองข้า เขามองข้า!”
“ใครว่า เขามองข้าต่างหาก”
“ข้าต่างหากล่ะ เป็นข้า…”
เสียงทะเลาะเบาะแว้งที่ดังขึ้นทางด้านหลังนั้นมีเคอโหย่วจินเป็นแกนนำ เพราะนางตวาดเสียงดังกว่าใครๆ ทำให้หวงฝู่จี้นึกอยากจะจับพวกสตรีที่มารบกวนการสอนของเขาโยนออกไปให้พ้นๆ
วันนี้เผยจื่ออวี๋นำสินค้าไปส่งที่ร้านยาหลายแห่งในตัวอำเภอ และขากลับต้องผ่านสถานศึกษา แต่เดิมนั้นหญิงสาวไม่คิดจะเข้าไปรบกวนการสอนของหวงฝู่จี้ แต่เพราะชายหนุ่มรับช่วงสอนมาได้หลายวันแล้ว ไม่รู้ว่าสอนได้เป็นอย่างไรบ้าง นางจึงอยากลองแวะเข้าไปดูสักเล็กน้อยให้หายคาใจ
“เตาโต้ว เดี๋ยวเจ้าอ้อมไปที่สถานศึกษาหน่อย คุณชายหวงรับช่วงสอนแทนอาจารย์หลี่มาได้หลายวันแล้ว ไม่รู้ว่าปรับตัวได้หรือไม่ อย่างไรพวกเราก็แวะเข้าไปดูเสียหน่อย”
“ขอรับ” เตาโต้วบังคับรถม้าให้เลี้ยวไปทางสถานศึกษา
แต่ยังไม่ทันที่รถม้าจะหยุดดีก็ได้ยินเสียงเอะอะของพวกสตรีดังมา ทำให้เผยจื่ออวี๋ขมวดหัวคิ้วฉับ ชี้นิ้วไปที่สถานศึกษาพลางถาม “เตาโต้ว สถานศึกษาของเรารับพวกสตรีเข้ามาเป็นนักเรียนตั้งแต่เมื่อไร” แค่ฟังเสียงดูก็รู้แล้วว่านี่ไม่ใช่เสียงเด็กแน่นอน
“ไม่มีนะขอรับ ข้าจำได้ว่าเรารับมาแต่เด็กๆ ทั้งนั้น ไม่มีนักเรียนที่วัยเดียวกับคุณหนูเลยสักคน” เตาโต้วสั่นศีรษะ
“ที่พอจะนับว่าเป็นสาวหน่อยก็มีแต่หลานสาวอายุสิบขวบของแม่นมอู๋ที่โตที่สุด แต่นางเป็นคนสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ไม่มีทางทำเสียงเอะอะแบบนี้แน่” เตาโต้วพยายามคิดทบทวนถึงพวกนักเรียนที่อยู่ในสถานศึกษา
“เอาเถอะ เข้าไปแล้วเดี๋ยวก็รู้” เผยจื่ออวี๋ลงจากรถม้าพร้อมโบกมือเดินนำให้ปาเจี่ยวกับเตาโต้วเดินตามเข้าไปด้วย
ทันทีที่ย่างเท้าเข้าไปในสถานศึกษาก็เห็นภาพที่พวกสาวๆ กำลังส่งเสียงทะเลาะกันอยู่ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น สถานศึกษาของนางเป็นที่สำหรับเรียนหนังสือ มิใช่ตลาดสดที่ให้คนมาตบตีกันเล่นหรอกนะ
เผยจื่ออวี๋เงี่ยหูจับประเด็นที่พวกนางทุ่มเถียงกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมันจนเข้าใจได้ว่าที่แท้แต่ละคนก็พุ่งเป้ามาที่หวงฝู่จี้กันนี่เอง หญิงสาวโค้งริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นก่อนกวักมือให้เตาโต้วกับปาเจี่ยวก้าวเข้ามา จากนั้นหญิงสาวก็กระซิบสั่งพวกเขาที่ข้างหู
ไม่นานสถานศึกษาที่มีแต่เสียงเจี๊ยวจ๊าวก็เงียบกริบไปในบัดดล และหลังความตกตะลึง สิ่งที่ตามมาคือเสียงกรีดร้องดังลั่น
“กรี๊ด!”
พอพวกสาวๆ มองดูหน้าของคู่กรณีที่เพิ่งมีปากเสียงกันก็เห็นว่าอีกฝ่ายต่างมีสภาพชุ่มโชกราวกับเพิ่งตกลงไปในน้ำแกงไก่ไม่ต่างจากตนเอง จึงพากันหันหน้าขวับไปจ้องตัวการด้วยสายตาเกรี้ยวกราด…เผยจื่ออวี๋กับบริวารทั้งสองของนางยังคงถือถังน้ำที่เพิ่งสาดเอาไว้อยู่คามือ
“เผยจื่ออวี๋ เจ้าทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร” เคอโหย่วจินยกมือขึ้นปาดผมเปียกๆ ที่ตกลงมาปรกหน้าและชี้นิ้วตวาดใส่หน้าของหญิงสาว
“นั่นสิ เจ้าสาดน้ำใส่พวกเราแบบนี้หมายความว่าอย่างไรกัน” เหล่าสตรีทั้งหลายต่างหันกลับไปเข้าข้างเคอโหย่วจินกันทันควัน
เดิมทีสถานศึกษาอันกว้างใหญ่นี้ยังมีที่ว่างเหลืออยู่อีกมาก แต่วันนี้กลับแน่นขนัดโกลาหลไปหมด เผยจื่ออวี๋กวาดตามองดูสีหน้าคลั่งรักของพวกสตรีที่ไม่ได้มีแก่ใจอยากร่ำเรียนหนังสือแต่กลับทำหน้าหนาเข้ามาจับจองที่นั่งด้วยสายตาหยามหยัน
“หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ ข้าต่างหากที่ต้องถามพวกเจ้าว่าหมายความว่าอย่างไรถึงได้ทำให้สถานศึกษากลายเป็นตลาดสดแบบนี้”
เคอโหย่วจินกัดฟันกรอด ตวาดสู้ “สถานศึกษาแห่งนี้เป็นของเจ้าหรือ ทำไมพวกเราจะมาเรียนบ้างไม่ได้” น่าชังนัก วันนี้นางอุตส่าห์สวมชุดใหม่เอี่ยมและบรรจงแต่งตัวมาอย่างดีเพื่อให้คุณชายหวงได้ชื่นชมในความงามของนาง แต่กลับถูกสตรีร้ายกาจนางนี้สาดน้ำใส่จนเครื่องประทินโฉมจางหายไปกับสายน้ำหมดแล้ว
“ต้องขออภัยอย่างสูง แต่สถานศึกษาแห่งนี้เป็นของข้า ข้าเป็นคนออกทุนสร้าง และจ่ายเงินจ้างอาจารย์มาสอนเอง ใครมีปัญหาหรือไม่” เผยจื่ออวี๋เชิดหน้าขึ้นสูงพร้อมแค่นเสียงเยาะ
“เป็นของเจ้าแล้วอย่างไร หรือว่าสถานศึกษาไม่อนุญาตให้ผู้อื่นเข้ามาร่ำเรียนหนังสือ พวกเราเองก็อยากมาเรียนเหมือนกัน” สตรีชุดสีหวานยกสองมือขึ้นเท้าเอวและก้าวออกมาเผชิญหน้ากับนาง
คนอื่นๆ จึงพยักหน้ารับ “ถูกต้อง พวกเราก็อยากมาเรียนด้วยเช่นกัน!”
“อยากเรียนหรือ ได้ จ่ายค่าเล่าเรียนมา ไม่รวมค่าอาหารกลางวันและอาหารว่าง ค่าเล่าเรียนชั้นของคุณชายหวงวันละหนึ่งตำลึง รีบควักกันออกมา พวกเจ้ามากันกี่วันแล้ว” เผยจื่ออวี๋ทำตัวเป็นแม่ค้าหน้าเลือดที่คันไม้คันมืออยากขูดรีดคนเต็มแก่
มีหลายเสียงดังมาจากทางด้านหลังของพวกสาวๆ “พวกเขามากันห้าวันแล้ว”
“ห้าวันหรือ เช่นนั้นวันนี้ก็เป็นวันที่หกสินะ คนละหกตำลึง รีบจ่ายออกมาเดี๋ยวนี้ ใครที่ไม่จ่ายก็ไสหัวไป ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่พวกเจ้าจะมานั่งชมบุรุษ” นางจงใจพูดแรงอย่างเชื่อแน่ว่าสตรีพวกนี้จะต้องยอมถอยอย่างแน่นอน
“ไม่ขูดรีดกันเกินไปหน่อยหรือ ค่าเล่าเรียนที่ไหนแพงปานนี้” สตรีอีกนางหนึ่งร้องประท้วงขึ้นมาบ้าง
“ถูกต้อง ข้าขูดรีด เพราะค่าใช้จ่ายของสถานศึกษาแห่งนี้ข้าเป็นคนออกเองทั้งสิ้น แต่ละเดือนต้องใช้เงินไม่น้อยเลย ไหนเลยจะให้พวกเจ้ามาเรียนเปล่าๆ ได้ จ่ายมา!” เผยจื่ออวี๋ยังคงแสดงท่าทางของเจ้าหนี้จอมโหดต่อไป “ไม่มีเงินก็ไสหัวไป สถานศึกษาของข้าไม่ต้อนรับ!”
ทันทีที่ได้ยินว่าไม่มีเงินก็ให้ออกไป สตรีชุดแดงนางหนึ่งก็หันไปออดอ้อนหวงฝู่จี้ที่ยืนนิ่งอย่างไม่มีปากเสียงอยู่ที่ด้านข้าง “คุณชายหวง ท่านช่วยพูดให้พวกเราหน่อยเถอะ พวกเราอยากเรียนกับท่านจริงๆ”
แต่ยังไม่ทันที่มือของสตรีชุดแดงจะแตะถูกเขา ชายหนุ่มก็ถอยหนีห่างออกไปสองก้าวได้อย่างแนบเนียนทำให้นางคว้าได้เพียงแค่อากาศธาตุและล้มคะมำลงไปที่พื้น เรียกเสียงหัวเราะครืนขึ้นมาได้ทันที
ตอนแรกหญิงชุดแดงยังนึกว่าเป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้น และคิดว่าเมื่อหวงฝู่จี้เห็นนางหกล้มจะต้องเข้ามาช่วยประคองนางอย่างอ่อนโยนแน่ๆ แต่คิดไม่ถึงว่าแม้แต่มองเขาก็ยังไม่มอง ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้หญิงสาวต้องตะกายขึ้นจากพื้นเองด้วยความอับอายก่อนวิ่งกลับเข้าไปในกลุ่มของพวกสตรีเหล่านั้น ยกมือขึ้นปิดหน้าร้องไห้กระซิก
“คุณชายหวง พวกเราตั้งใจมาเรียนกับท่าน ท่านจะไล่พวกเราไปไม่ได้นะ” เคอโหย่วจินอ้อนวอน “ข้าสืบข่าวมาแล้วว่าสถานศึกษาแห่งนี้ให้เรียนได้โดยไม่คิดเงิน แล้วมันเรื่องอะไรที่พวกเราต้องจ่ายค่าเล่าเรียนให้เผยจื่ออวี๋ด้วยเล่า”
“แม่นางเผยดูแลสถานศึกษาแห่งนี้อยู่ เรื่องค่าเล่าเรียนก็สมควรขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนางด้วย ผู้น้อยเป็นแค่อาจารย์ที่ได้รับเชิญให้มาสอนเป็นการชั่วคราวเท่านั้น ไม่อาจเข้าไปก้าวก่ายได้” หวงฝู่จี้ปรายตามองเคอโหย่วจินด้วยสายตาไม่ชอบใจครู่หนึ่งก่อนเอ่ยอย่างเย็นชา “ถ้าหากแม่นางคนใดต้องการเรียนกับข้า ก็ขอให้ชำระค่าเล่าเรียนให้ครบก่อน ผู้น้อยจึงจะยอมรับเข้าชั้นเรียนได้”
ความหมายของคำพูดนี้ก็คือหากไม่จ่ายค่าเล่าเรียนก็จงไสหัวไป
“ได้ยินที่คุณชายหวงพูดแล้วใช่หรือไม่ บนโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาเปล่าๆ หรอก รีบๆ จ่ายค่าเล่าเรียนมาให้ครบ หาไม่ก็รีบไสหัวไปจากสถานศึกษาของข้า อย่ามารบกวนบรรยากาศการเรียนการสอน”
เผยจื่ออวี๋มองดูเคอโหย่วจินด้วยหางตา การที่จู่ๆ ก็มีพวกสตรีวิ่งมาเข้าเรียนจนกระทบถึงการเรียนการสอนของเด็กๆ แบบนี้จะต้องเกี่ยวพันกับเคอโหย่วจินอย่างแน่นอน
“ถูกต้อง รีบจ่ายมา ไม่เช่นนั้นก็ไสหัวไป!” ปาเจี่ยวพูดเสียงดุดัน มือใหญ่ยันประตูเปิดผาง
“คนเหมือนกัน รูปร่างหน้าตาท่าทางดูดีแบบเดียวกัน แต่ศักดิ์ฐานะกลับไม่เหมือนกัน คนหนึ่งเป็นนักแสดง คนหนึ่งเป็นสุภาพชน คนบางคนยอมควักเงินก้อนใหญ่เพื่อให้ได้ชมละครจากนักแสดง อีกทั้งยังตกเงินรางวัลให้นักแสดงหน้าตาละอ่อนที่ร้องงิ้วอีก งิ้วเรื่องหนึ่งใช้เงินหลายสิบตำลึง แต่นักแสดงคนนั้นก็ทำเงินได้มหาศาลดุจเดียวกัน และไม่ว่านักแสดงคนนั้นจะพูดอะไร คุยอะไรก็ไพเราะน่าฟังไปหมด แม้กระทั่งผายลมก็ยังหอม ส่วนสุภาพชนที่เป็นครูสอนหนังสือนั้น หนังสือที่ถืออยู่ในมือกลับให้ความรู้สึกเหม็นเบื่อ แม้แต่เงินค่าเรียนหนึ่งตำลึงต่อหนึ่งวันสำหรับเข้ามาเรียนรู้วิชาเขียนอ่านในสถานศึกษาก็ยังตัดใจจ่ายไม่ลง” เตาโต้วที่เอียงเก้าอี้อยู่ข้างเสาแสร้งว่าเหน็บเคอโหย่วจิน
“หุบปากนะเตาโต้ว!” เคอโหย่วจินฟังไม่ออกว่าเตาโต้วกำลังว่าเหน็บแนมตนเองอยู่ แต่เพื่อมิให้ต้องเสียหน้าต่อหน้าหวงฝู่จี้นางจึงกัดฟันบอก “ก็แค่เงินไม่กี่ตำลึงเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องที่คนชั้นต่ำอย่างเจ้าจะมาพูดมากได้!”
“ต้องขออภัยด้วยแม่นางเคอ แต่ที่ผู้น้อยพูดไปก็ไม่ใช่จะว่าอะไรพวกท่าน แล้วพวกท่านจะพากันมาออกรับแทนทำไมกัน”
บรรดาสตรีที่ชื่นชมในตัวหวงฝู่จี้และหวังจะมาสร้างความประทับใจให้แก่เขา พอถูกเตาโต้วว่าเหน็บเอาแบบนี้ก็ชักจะมีสีหน้าปั้นยาก ดวงหน้าซีดเผือดปานใบผักกาดขาว
เคอโหย่วจินกัดฟันกรอดๆ ถลึงตาจ้องเผยจื่ออวี๋ที่ลอยหน้าลอยตาทวงเงินอย่างเคียดแค้น ค่าเล่าเรียนวันละหนึ่งตำลึง แบบนี้มันขูดเลือดขูดเนื้อกันชัดๆ!
นางไม่ได้เสียดายเงิน หากแต่ไหนแต่ไรมานางก็ไม่ได้ชอบเรียนหนังสือ การต้องจ่ายค่าเล่าเรียนราคาสูงลิบเช่นนี้มันทรมานใจกันเกินไป ถ้าหากแค่สิบอีแปะนางยังจะพออนุโลมยอมไตร่ตรองดูบ้าง
เดิมเคอโหย่วจินคิดจะหันหน้ากลับไปอยู่แล้ว แต่อีกใจหนึ่งก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าอาจจะมีคนที่คิดแบบเดียวกันกับนาง และมีสตรีที่ยอมจากไปไม่น้อย เมื่อถึงตอนนั้นคุณชายหวงก็จะเป็นของนางแค่คนเดียว…
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้แววตาของเคอโหย่วจินก็สว่างวาบขึ้น และควักเงินสามสิบตำลึงออกมาด้วยความยินดี “ค่าเล่าเรียนสำหรับหนึ่งเดือน เจ้านับให้ดี เวลานี้เจ้าไม่มีสิทธิ์ไล่ข้าไปแล้ว”
“หนึ่งเดือน เจ้าแน่ใจนะว่าจะมีความอดทนเรียนที่นี่ได้ถึงเดือนจริงๆ ค่าเล่าเรียนจ่ายแล้วไม่มีคืนนะ เจ้าคิดดูให้ดี” เผยจื่ออวี๋เตือนอีกฝ่ายด้วยความหวังดีด้วยเกรงว่าเคอโหย่วจินจะเสียแรงเปล่า
“ข้าคิดดีแล้ว” เคอโหย่วจินแผดเสียงใส่อีกฝ่ายอย่างโกรธจัดก่อนเดินกระแทกเท้าเข้าไปนั่งที่ที่นั่งแถวหน้าสุด และไล่เด็กที่นั่งอยู่ข้างๆ ให้ออกไป
สตรีนางอื่นล้วนมีสีหน้าปั้นยาก หลังจากสบตากันอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็มีสองสามคนที่กัดฟันยอมหยิบถุงเงินขึ้นมานับเงินส่งให้เผยจื่ออวี๋อย่างไม่เต็มใจเลยสักนิด ขณะที่มีอีกหลายคนที่ได้แต่ขบกรามและเดินออกจากสถานศึกษาไปอย่างไม่เหลียวหลังกลับมามอง
หวงฝู่จี้เห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตั้งแต่จำนวนคนที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวที่ลดน้อยลง และท่าทางหมายมั่นปั้นมือของเหล่าแม่นางที่ยอมเฉือนเนื้อตนเองจ่ายเงินค่าเล่าเรียนออกมาแล้วก็รู้สึกขำ หลังทุกคนเร่งเข้าประจำที่เรียบร้อย เขาก็เริ่มต้นสอนต่อ
เผยจื่ออวี๋ที่กอบโกยจนสมใจเอาแท่งเงินในมือออกมานั่งนับอย่างสุขสำราญอยู่ที่ที่นั่งแถวหลังสุด
นางคิดเอาไว้แล้วว่าเงินจำนวนนี้ ส่วนหนึ่งจะให้เป็นค่าแรงของหวงฝู่จี้ ส่วนหนึ่งจะให้อาจารย์หลี่ในช่วงที่ภรรยาอยู่ไฟ ถือเสียว่าเป็นของขวัญจากนักเรียนใหม่ ส่วนหนึ่งนำมาเป็นค่าอาหารและค่าใช้จ่ายจิปาถะของสถานศึกษา โดยที่ตนเองจะไม่เก็บงำเอาไว้เลยแม้แต่อีแปะเดียว
เมื่อนางแบ่งสันเสร็จเรียบร้อย หวงฝู่จี้ก็สอนเสร็จพอดี นางได้ยินเสียงเขาสั่งการบ้านส่วนของวันนี้แก่เหล่านักเรียนด้วยท่าทีสุขุมจริงจัง
“การบ้านวันนี้ให้ทุกคนกลับไปคัดลายมือมา คนที่อายุเจ็ดขวบลงไปให้คัดหนึ่งชุด อายุสิบขวบลงไปให้คัดห้าชุด อายุสิบสี่ลงไปให้คัดสิบชุด อายุสิบห้าขึ้นไปให้คัดสามสิบชุด ส่งวันพรุ่งนี้ ห้ามคนอื่นช่วยทำแทน หาไม่ถ้าข้าจับได้ จะลงโทษให้คัดห้าสิบชุด เข้าใจหรือไม่”
สิ้นเสียงสั่งของเขาก็มีเสียงร้องโอดครวญขึ้นมาทันที
เผยจื่ออวี๋หันไปมองหวงฝู่จี้ที่สั่งการบ้านด้วยสีหน้าเยียบเย็นอย่างคาดไม่ถึง นี่นางฟังผิดไปหรือไม่
อายุสิบห้าขึ้นไปให้คัดสามสิบชุด ซ้ำยังไม่ให้คนอื่นช่วยเขียนแทนอีก ถ้าหากให้คนอื่นช่วยเขียนจะถูกลงโทษให้คัดห้าสิบชุด…แบบนี้มันจงใจเล่นงานหญิงสาวอย่างพวกเคอโหย่วจินชัดๆ ทำเอาพวกนางตกใจกันแทบตาย ดูท่าว่าวันพรุ่งนี้คงไม่มีใครกล้าโผล่หน้ามาสถานศึกษาให้เผยจื่ออวี๋สูบเลือดสูบเนื้ออีก…
ดูไม่ออกเลยว่าที่แท้จี้ซานซึ่งเป็นคุณชายผู้อ่อนโยนเคร่งครัด จะมีด้านมืดอยู่แบบนี้เหมือนกัน
บทที่ 8
ฝนตกหนักตลอดทั้งคืนจนฟ้าสว่างก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดตก เผยจื่ออวี๋ที่เดิมคิดจะไปสวนสมุนไพรเพื่อดูว่าสมุนไพรโตแค่ไหนจึงจำต้องล้มเลิกความคิดไป
“คุณหนูขอรับ วันนี้ท่านคิดจะออกไปไหนหรือขอรับ” เตาโต้วถามเผยจื่ออวี๋ที่มองดูสายฝนที่เทกระหน่ำไม่หยุดอยู่นอกตัวบ้าน
“เจ้าไปเตรียมรถม้าเอาไว้ ข้าจะไปคุยกับคุณชายหวงที่สถานศึกษา ดูซิว่าเขาจะยอมรับนักเรียนโข่งอย่างเจ้ากับปาเจี่ยวหรือไม่”
หญิงสาวทำท่าคิดเล็กน้อย แต่พอเห็นเตาโต้วที่มีสีหน้ากระตือรือร้นขึ้นมาแล้วก็พูดยิ้มๆ เสริมขึ้นมาอีกประโยคว่า “แล้วก็ดูด้วยว่ายังเก็บค่าเล่าเรียนเพิ่มได้อีกหรือไม่”
พอได้ยินว่าเผยจื่ออวี๋จะยอมฝ่าฝนไปเพื่อเรื่องของเขากับปาเจี่ยว เตาโต้วก็รู้สึกซาบซึ้งใจนัก รีบพยักหน้าแรงๆ อย่างดีใจ “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้เลยขอรับ!”
เผยจื่ออวี๋ยิ้มขณะมองตามเตาโต้วกับปาเจี่ยวที่ดีอกดีใจจนแทบบ้าไป
สมัยเด็กๆ บริวารสองคนนี้ของนางเคยได้เรียนหนังสือจนถึงอายุสิบสองก่อนออกมาทำงานที่บ้านของนาง
เมื่อวานหลังจากที่พวกเขาตามนางไปที่สถานศึกษา จู่ๆ ก็บอกว่าอยากจะกลับไปเรียนเพิ่มเติมอีก จะได้มีความรู้เพิ่มขึ้น และอ่านหนังสือได้มากขึ้นด้วย การเรียนเป็นสิ่งที่ดี ด้วยเหตุนี้เผยจื่ออวี๋จึงอนุญาต
ให้พวกเขาสองคนมีความรู้มากเข้าไว้ ต่อไปจะได้ช่วยงานนางได้มากขึ้น และช่วยนางดูแลสวนสมุนไพรได้มากขึ้นด้วย เช่นนี้เผยจื่ออวี๋ย่อมยินดีอยู่แล้ว
เพราะสายฝนที่เทกระหน่ำทำให้มาถึงสถานศึกษาตอนที่ทุกคนเข้าเรียนกันไปหมดแล้ว วันนี้มีคนมาไม่มากนัก โดยเฉพาะพวกที่แอบอ้างตนเองว่าอยากเรียนหนังสืออย่างพวกหญิงสาวที่หวังมาตกเขยเต่าทองคำ* พวกนั้น ก็ไม่มีเงามาให้เห็นอีก
กลยุทธ์ถอนฟืนใต้กระทะ** ของหวงฝู่จี้ให้ผลลัพธ์ดีเกินคาด สามารถทำให้พวกหญิงสาวตื่นหนีไปได้ในครั้งเดียว ทว่าก็ยังมีคนที่ยังไม่ยอมแพ้อยู่ ตัวอย่างเช่นเคอโหย่วจิน
เห็นกระดาษที่ใช้คัดตัวหนังสือเต็มแน่นเป็นปึกแล้ว คิดไม่ถึงจริงๆ ว่านางจะคัดออกมาได้ถึงสามสิบชุด ช่างน่าเลื่อมใสโดยแท้
“เคอโหย่วจิน ดูไม่ออกเลยนะว่าเจ้าจะคัดมาได้ถึงสามสิบชุดจริงๆ”
“ทำไม เจ้าสงสัยข้าหรือ” เคอโหย่วจินกวาดตามองคู่กรณีด้วยสายตาไม่ยี่หระแวบหนึ่ง “เจ้าคงไม่ได้คิดจะฝ่าฝนมาเก็บค่าเล่าเรียนอีกใช่หรือไม่ ก็ข้าจ่ายเหมาไปทั้งเดือนแล้วนี่นา”
“ข้าต้องเก็บค่าเล่าเรียนอยู่แล้ว แต่ที่ข้ามาวันนี้ไม่ใช่เพราะจะมาเก็บค่าเล่าเรียนหรอก”
“เช่นนั้นเจ้ามาทำอะไร” เคอโหย่วจินมองจ้องอีกฝ่ายอย่างระแวงว่าเผยจื่ออวี๋จะเข้ามานั่งเรียนด้วยอีกคนหนึ่ง
“แล้วมันเรื่องอะไรของเจ้าเล่า” เผยจื่ออวี๋มองเคอโหย่วจินที่มีท่าทีพร้อมรบด้วยสายตาขบขัน
แต่เคอโหย่วจินก็ยังคงจ้องมองเผยจื่ออวี๋ด้วยสายตาระแวดระวังตัว ด้วยเกรงว่าถ้าหากอีกฝ่ายมานั่งเรียนด้วยวันนี้จะแย่งชิงเอาความโดดเด่นของนางไปจนหมด
หากเผยจื่ออวี๋ก็เพียงแค่เลิกคิ้วอย่างไม่คิดจะตอบคำถามของเคอโหย่วจินเลยสักนิด วันนี้นางพาปาเจี่ยวกับเตาโต้วมากราบอาจารย์ แต่ก่อนหน้าที่หวงฝู่จี้จะยอมรับทั้งสองคนเป็นศิษย์ นางก็ยังไม่อาจพูดอะไรได้ ไม่เช่นนั้นถ้าหากสถานการณ์ไม่เป็นไปอย่างที่คาดแล้ว พวกนางอาจถูกเคอโหย่วจินที่ชอบมองคนอื่นอย่างดูถูกเยาะหยันเอาได้
ไม่นานร่างสูงเพรียวสง่าในชุดเสื้อยาวสีฟ้านวลของหวงฝู่จี้ก็เดินเข้ามาในห้องเรียน
ทันทีที่เคอโหย่วจินเห็นชายในดวงใจ นางก็รีบถลันเข้าไปหาเป็นคนแรกพร้อมส่งการบ้านทั้งปึกไปให้เขาด้วยหวังว่าจะได้รับคำชมจากชายหนุ่ม
“คุณชายหวง นี่เป็นงานที่ข้าจุดตะเกียงทำทั้งคืนเชียวนะ ท่านดูสืว่ามีข้อผิดพลาดอะไรหรือไม่” สีหน้าของเคอโหย่วจินเต็มไปด้วยความตื่นเต้น สายตามองจ้องไปที่หวงฝู่จี้ด้วยแววตาระยิบระยับเป็นความหมายว่า ‘รีบชมข้าสิ รีบชมข้า บอกว่าข้าเก่งกาจขนาดไหน’
นัยน์ตากระจ่างใสฉายแววเยียบเย็นของหวงฝู่จี้กวาดมองการบ้านที่พลิกเปิดอยู่ในมือของเคอโหย่วจินอย่างเงียบๆ แวบหนึ่งก่อนเอ่ยน้ำเสียงเย็นชา “กลับไปคัดมาใหม่ห้าสิบรอบ และเพราะเจ้าใช้ให้คนอื่นคัดแทน ดังนั้นจึงลงโทษให้คัดใหม่อีกหนึ่งร้อยรอบ”
ใบหน้าอวบอูมของเคอโหย่วจินราวกับปรากฏรอยปริแตกขึ้นมาในพริบตา ทว่านางยังไม่วายแก้ต่างให้ตนเอง “คุณชายหวง นี่ข้าเขียนเองจริงๆ นะ…”
* เขยเต่าทองคำ หมายถึงบุรุษที่เป็นคู่ครองที่ดี
** ถอนฟืนใต้กระทะ หนึ่งในสามสิบหกกลยุทธ์ตำราพิชัยสงครามซุนวู (ซุนอู่) หมายถึงการตัดกำลังคู่ต่อสู้โดยไม่ปะทะโดยตรงเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียของฝ่ายตนซึ่งมีกำลังน้อยกว่า
หวงฝู่จี้รับการบ้านของนางมาสุ่มเปิด
“เจ้าใช้ให้คนอื่นเขียนแทน อักษรนั้นเขียนให้สวยงามยาก เขียนให้เละเทะง่าย การบ้านสามสิบแผ่นที่อยู่ในมือเจ้านี้มีลายมือของคนถึงสี่คนอยู่ แต่ไม่มีที่เจ้าเขียนเองเลยสักนิด” ชายหนุ่มตำหนิออกมาต่อหน้าทุกคนอย่างไม่มีการไว้ไมตรีเลยสักนิด “ยังมีอีก ผู้น้อยเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่นี่ ต่อไปขอให้แม่นางเคอเรียกผู้น้อยว่าอาจารย์เถิด”
เสียงหัวเราะครื้นเครงดังขึ้นทันที
เคอโหย่วจินอับอายจนโกรธไปเรียบร้อยแล้ว นางหันไปตวาดใส่พวกเด็กๆ ที่อยู่ด้านหลังอย่างโมโหจัด “หัวเราะอะไรกัน ถ้าขืนยังหัวเราะอีก ระวังข้าจะให้ท่านพ่อไล่ญาติพวกเจ้าที่ทำงานอยู่ที่บ้านข้าออกให้หมด!”
“แม่นางเคอ สถานศึกษามิใช่สถานที่ที่ท่านจะมาอวดเบ่งบารมีได้ ถ้าหากท่านระงับอารมณ์ของตนไม่อยู่ ก็เชิญท่านไปหาที่เรียนใหม่เถิด” หวงฝู่จี้พูดเสียงเย็นอย่างไร้รอยอาลัย
เมื่อถูกดูหมิ่นเป็นครั้งที่สาม เคอโหย่วจินที่ไม่เคยได้รับความลำบากหรือถูกหยามเกียรติมาตั้งแต่เล็กจนโตก็ฉุนขาดถึงขนาดปาการบ้านในมือใส่พวกเด็กๆ ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ก่อนวิ่งร้องไห้โฮๆ ออกไปทันที
“พวกเจ้าทุกคนเก็บกระดาษบนพื้นขึ้นมาแล้วเอาไปที่ห้องครัวด้านหลัง ให้แม่ครัวใช้เป็นเชื้อไฟและรีบกลับมา เราจะได้เริ่มเรียนกัน”
พวกนักเรียนจึงแยกกันไปเก็บกระดาษที่กระจายอยู่บนพื้นเพื่อนำไปให้ที่ห้องครัวด้านหลัง
หวงฝู่จี้เลิกคิ้วมองเผยจื่ออวี๋ และชำเลืองไปยังเตาโต้วกับปาเจี่ยวที่ยืนสีหน้าตื่นเต้นอยู่ด้านหลังหญิงสาว
ไม่คอยให้เขาได้เอ่ยปากถาม เผยจื่ออวี๋ก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน “คุณชายหวง ไม่ทราบว่าท่านพอจะรับเด็กนักเรียนที่เลยวัยสักหน่อยได้หรือไม่”
“ท่าน?”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ข้า เป็นเตาโต้วกับปาเจี่ยว พอได้หรือไม่” เมื่อชาติก่อนนางได้รับการศึกษาระดับที่เรียกได้ว่ารู้รอบครอบจักรวาลไปแล้ว เทียบกับคนยุคโบราณที่ใสซื่ออย่างพวกเขา องค์ความรู้ของนางย่อมมีมากกว่า เผยจื่ออวี๋ไม่ได้อวดโม้ แต่ต่อให้หวงฝู่จี้คิดจะเป็นอาจารย์ของนางจริงๆ ก็เกรงว่าเขายังมีคุณสมบัติไม่พอ
“การเรียนมิได้แบ่งแยกอายุ ขอเพียงพวกเขามีใจคิดศึกษาก็เข้ามาเรียนได้ ข้ายินดีต้อนรับเสมอ” ชายหนุ่มผงกศีรษะ “แต่พวกเขาสองคนเป็นองครักษ์ของท่าน ถ้าหากท่านให้เขามาเรียนหนังสือ แล้วเรื่องความปลอดภัยของท่านเล่า”
“วางใจเถอะ ยังมีบิดาของเตาโต้วช่วยขับรถให้ข้าได้ และฝีมือหมัดมวยของท่านลุงเตาโต้วเองก็ไม่แพ้ใครเหมือนกัน ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วง”
ได้ยินนางพูดเช่นนี้หวงฝู่จี้จึงค่อยวางใจ
“เช่นนั้นข้าไม่รบกวนการสอนของท่านแล้ว ข้าจะไปดูลูกของอาจารย์หลี่ที่ด้านหลังสถานศึกษาก่อน ท่านแม่ให้ข้าเอาเนื้อหมูกับเนื้อไก่บ้านอีกหลายตัวมาให้อาจารย์หลี่บำรุงภรรยา ต้องรีบเอาไปให้ตอนที่ยังสดๆ อยู่ด้วย” พูดจบเผยจื่ออวี๋ก็หายตัวลับไปจากสายตาของหวงฝู่จี้
ฝนยังคงตกต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จนใกล้จะได้เวลาจัดเตรียมอาหารกลางวัน เผยจื่ออวี๋ที่มาเล่นกับทารกน้อยอยู่ที่บ้านของอาจารย์หลี่ไม่ได้หวังให้เขาต้องจัดเตรียมอาหารเพิ่มให้นางด้วย หลังกล่าวคำอำลาสั้นๆ หญิงสาวก็เดินออกไปในทิศทางที่ทอดไปสู่สถานศึกษา นางคิดว่าจะให้เตาโต้วพานางกลับไปส่งที่บ้านก่อน แล้วค่อยให้เขากลับมาเรียนหนังสืออีกครั้ง
แต่ในตอนนั้นเองบ่าวของบ้านสกุลเคอคนหนึ่งก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาบอกนางด้วยน้ำเสียงตื่นๆ “แม่นางเผย เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ท่านรีบไปช่วยคุณหนูของข้าด้วยเถิด ชักช้าจะไม่ทันกาล!”
เผยจื่ออวี๋ไม่เข้าใจ “ช่วยคุณหนูของเจ้า? คุณหนูของเจ้าเป็นอะไรไป!”
“แม่นางเผย คุณหนูของข้าตกลงไปในแม่น้ำ ขอท่านรีบไปช่วยนางด้วยเถิด!” คนรับใช้บ้านสกุลเคอตะโกนด้วยน้ำเสียงแตกตื่นลนลาน
“ตกลงไปในแม่น้ำ ทำอย่างไรถึงได้ตกลงไปในแม่น้ำได้เล่า”
“พอคุณหนูของข้าออกจากสถานศึกษาไปก็แย่งเอาบังเหียนม้าของข้า ขับรถม้าออกไปอย่างมีโทสะ แต่คุณหนูไม่เคยขับรถม้ามาก่อน ม้าจึงมีอาการพยศและวิ่งเตลิด ตอนที่ข้าตามไปถึงนั้นคุณหนูกับรถม้าก็ร่วงลงไปในแม่น้ำแล้ว ข้าถึงได้รีบวิ่งมาขอความช่วยเหลือ…” บ่าวของบ้านสกุลเคอพูดรวดเดียวอย่างไม่ได้พักหายใจ
“รถม้าตกอยู่ที่ใด” ช่วยคนเป็นเรื่องใหญ่ เผยจื่ออวี๋จึงรีบซักถามทันที
“ที่คุ้งน้ำใหญ่ขอรับ”
“แย่ล่ะสิ!” เผยจื่ออวี๋อุทาน “ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนเช้ามีฝนตกตลอด กระแสน้ำช่วงตอนบนน่าจะเชี่ยวมาก ถ้าหากไม่รีบช่วยเคอโหย่วจินขึ้นมา รอจนกระแสน้ำซัดมาถึงก็ไม่ทันกาลแล้ว ต้องรีบพาคนไปช่วยนางก่อน”
“แม่นางเผย ท่านรีบไปช่วยคุณหนูของข้าด้วยเถิด!” บริวารของบ้านสกุลเคอมีท่าทีลนลาน “แม่นางเผย ท่านคือความหวังเดียวของเรา ขอท่านได้โปรดรีบไปช่วยคุณหนูด้วยเถิด…”
“ข้าจะไปเรียกคนมาก่อน” เผยจื่ออวี๋ตั้งท่าจะวิ่งเข้าไปในสถานศึกษา
“แม่นางเผย ข้าวิ่งเร็วกว่า ข้าจะไปตามคนที่ร่างกายแข็งแรงมาสักหลายๆ คนเอง แต่ขอให้ท่านไปอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูก่อนเถิด ขอร้องล่ะ”
“ได้ๆ ข้ารู้แล้ว เจ้ารีบไปตามคนมา ข้าจะไปอยู่เป็นเพื่อนเคอโหย่วจินเอง” เผยจื่ออวี๋รีบถกกระโปรงขึ้นวิ่งไปตามทางที่บ่าวของบ้านสกุลเคอบอกอย่างไม่ติดใจสงสัยอะไร
แต่ผู้ใดจะรู้ว่าบ่าวรับใช้คนนั้นกลับยืนมองตามเงาร่างของเผยจื่ออวี๋ที่วิ่งฝ่าฝนไปอยู่ที่เก่าด้วยสายตาเย็นชา มุมปากขยับยกขึ้นอย่างมีเลศนัย
ตามคนอย่างนั้นหรือ ข้าได้รับคำสั่งจากคุณหนูให้มาหลอกเจ้าไปสั่งสอนต่างหาก ผู้ใดใช้ให้เจ้าทำให้คุณหนูขายหน้าต่อหน้าคุณชายหวงกันเล่า ถ้าขืนข้าตามคนไปจริงจนแผนของคุณหนูไม่สำเร็จ ข้าก็งี่เง่าจนสุดประมาณแล้ว
พอเดินพ้นสถานศึกษาไปได้ เขาก็ล้วงหยิบเอาทองสองก้อนที่คุณหนูของตนตกรางวัลให้ออกมาเดาะเล่น ผิวปากอย่างสบายใจขณะเดินไปทางที่ตนซ่อนรถม้าไว้
เผยจื่ออวี๋แยกไม่ออกว่าสิ่งที่หยดลงมาจากใบหน้าคือเม็ดฝนหรือเหงื่อของตนกันแน่ แต่การช่วยชีวิตคนเป็นเรื่องเร่งด่วน ทว่าหลังจากที่นางเร่งฝีเท้าสุดชีวิตวิ่งมาตรงจุดที่บ่าวของบ้านสกุลเคอชี้บอกกลับไม่เห็นวี่แววของเคอโหย่วจินและรถม้าของนางที่ร่วงตกลงไปเลย
หรือว่าจะถูกน้ำพัดไปแล้ว
หญิงสาวรีบก้าวเข้าไปตะโกนร้องเรียกที่ริมน้ำด้วยความรู้สึกร้อนใจดั่งไฟลน “เคอโหย่วจิน เคอโหย่วจิน เจ้าได้ยินข้าหรือไม่ เคอโหย่วจิน…”
เคอโหย่วจินที่ซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้าไม่ห่างออกไปนักแสยะยิ้มเย็น ตามองเผยจื่ออวี๋ที่เที่ยวตามหานางตาไม่กะพริบ
เผยจื่ออวี๋ ทั้งๆ ที่เจ้าก็รู้ดีว่าข้าพึงใจคุณชายหวง แต่ก็ยังจงใจทำให้ข้าเสียหน้าต่อหน้าเขา ทำให้เขาไล่ข้าออกจากสถานศึกษา ความแค้นนี้ไม่ชำระไม่ได้แล้ว! ถ้าหากวันนี้ข้าไม่สั่งสอนเจ้าเสียบ้างก็อย่ามาเรียกข้าว่าเคอโหย่วจินเลย!
เคอโหย่วจินเห็นหญิงสาวขยับเข้าใกล้ริมน้ำมากขึ้นทุกขณะ เพียงก้าวพลาดไปแค่ก้าวเดียวเท่านั้นก็อาจร่วงตกลงไปในน้ำได้ นางจึงไม่รอช้า ดึงชายกระโปรงขึ้นและผลักเผยจื่ออวี๋ที่ยืนหมิ่นเหม่อยู่ให้ร่วงตูมไปในทันที
เสียงสายฝนกับเสียงน้ำที่ซัดสาดทำให้เผยจื่ออวี๋ไม่ค่อยได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ของเคอโหย่วจินนัก แต่พอรู้สึกถึงความผิดปกติ นางก็หันหน้ากลับไปมอง แต่ก็ไม่ทันแล้ว เมื่อร่างอ้วนกลมของเคอโหย่วจินวิ่งเข้ามาประชิดจนนางตั้งรับไม่ทัน เคอโหย่วจินใช้ทั้งสองมือผลักเผยจื่ออวี๋เต็มแรงทำให้หญิงสาวผงะตกลงไปในน้ำทันที
“กรี๊ด!” เผยจื่ออวี๋ร้องเสียงแหลมออกมาด้วยความตกใจ ร่างบางร่วงลงน้ำดัง “ตูม” ผิวน้ำแตกกระจายเป็นสาย
พริบตาเดียวนางก็ถูกกระแสน้ำซัดห่างออกห่างจากฝั่งไปไกล ต้องใช้เรี่ยวแรงไปมากกว่าจะทำให้ตนเองขึ้นมาหายใจเหนือผิวน้ำได้ โชคยังดีที่ตรงนี้ยังมีก้อนหินใหญ่พอให้นางมีหลักยืนได้มั่น
เผยจื่ออวี๋ตวาดใส่เคอโหย่วจินด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “เคอโหย่วจิน เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ!”
เคอโหย่วจินยืนอยู่บนฝั่ง สองมือเท้าสะเอว มองดูภาพเบื้องหน้าอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องและหัวเราะอย่างสะใจ “เผยจื่ออวี๋เอ๋ยเผยจื๋ออวี๋ วันนี้แหละข้าจะสั่งสอนเจ้าให้รู้ว่าการที่เจ้ากล้ามาแย่งคุณชายหวงกับข้า ก็ต้องมีจุดจบอยู่ใต้ก้นแม่น้ำแบบนี้!”
เห็นสีหน้าของเคอโหย่วจินที่เคียดแค้นนางจนอยากจะฉีกกระชากกันให้เป็นชิ้นๆ แล้ว เผยจื่ออวี๋ที่กำลังตกที่นั่งลำบากอยู่ก็รู้สึกปลงสังเวชอีกฝ่ายขึ้นมาทันที
นางอยากจะตวาดใส่หน้าเคอโหย่วจินเหลือเกินว่าทางที่ดีเจ้าจงกลับไปส่องกระจกดูหน้าตนเองก่อนเถิดว่ารูปร่างเป็นกระปุกแบบนี้ยังต้องให้สตรีอื่นมาแย่งชิงบุรุษกับตนเองด้วยหรือ ลำพังแค่เห็นเขาก็เผ่นไปไกลเองแล้ว
แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาตีฝีปากกัน เพราะกระแสน้ำเชี่ยวกรากขึ้นทุกขณะจนนางแทบจะทรงตัวไม่อยู่ เผยจื่ออวี๋ต้องยื่นมือออกไปจับเถาวัลย์ที่ยื่นออกมาจากริมฝั่งถึงพอจะฝืนยืนให้มั่นได้
“ท่าทางเจ้าจะยืนไม่ไหวแล้ว จะให้ข้าช่วยดึงขึ้นมาหรือไม่เล่า!” เห็นเผยจื่ออวี๋แช่อยู่ในน้ำด้วยสภาพอเนจอนาถแล้ว เคอโหย่วจินก็ยินดียิ่งนัก สองมือเท้าเอวแหงนหน้าขึ้นหัวเราะลั่น
ลูกอนุเอ๋ย! ช่างไม่รู้จักดูน้ำหน้าตนเองเสียบ้างเลยว่าตัวเจ้าก็เป็นเหมือนอย่างแม่ของเจ้านั่นแหละ ดีแต่ยั่วยวนบุรุษ คุณชายหวงเป็นของข้า ผู้ใดก็อย่าหมายแม้แต่จะมองเขา
ช่วยดึงหรือ คิดอยากจะจับหัวข้ากดลงน้ำล่ะไม่ว่า
เผยจื่ออวี๋ไม่เชื่อว่าเคอโหย่วจินจะมีน้ำใจจึงยกมือขึ้นลูบน้ำออกจากหน้า ก่อนยึดจับรากไม้ค่อยๆ ฉุดลากตนเองขึ้นมา
“เจ้าไม่ต้องเกรงใจ ถ้าอยากให้ข้าช่วยดึงก็แค่บอกมาก็พอแล้ว” เคอโหย่วจินแสร้งทำเป็นเหมือนจะยื่นมือมา แต่ก็หดกลับไป “แค่บอกว่าช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย แค่นี้ข้าก็จะลากเจ้าขึ้นมาแล้ว”
เผยจื่ออวี๋กลอกตาด้วยความหน่ายใจ เคอโหย่วจินจะช่วยนางน่ะหรือ คอยชาติหน้าเถอะ หรือต่อให้นางได้เกิดใหม่อีกจริงๆ ก็จะขอถีบหญิงผู้นี้ลงน้ำก่อนหน้าที่เคอโหย่วจินจะถีบนางลงน้ำอีกหนให้ได้
เผยจื่ออวี๋นึกสังเวชหญิงอย่างเคอโหย่วจินอยู่ในใจ ก่อนหันมาทุ่มเทสมาธิคิดว่าจะช่วยเหลือตนเองให้พ้นจากกระแสน้ำหลากนี้ได้อย่างไรแทน
ในตอนนี้เองที่ต้นน้ำก็มีเสียงน้ำครืนดังมาแว่วๆ พร้อมกับกระแสน้ำที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น คลื่นลูกใหญ่ซัดสาดจนน้ำใสๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองเข้มขึ้น มีท่อนไม้ลอยปลิวมา
เผยจื่ออวี๋แอบตกใจ แย่แล้ว นี่แสดงว่าน้ำจากทะเลสาบทางตอนเหนือไหลบ่าลงมาแล้วแน่ๆ น้ำถึงได้พัดลงมาแรงขนาดนี้ และอีกไม่นานที่นี่ก็คงจมมิด ถ้าหากนางยังไม่ขึ้นฝั่งไปอีกก็คงต้องถูกพัดไปเหมือนขอนไม้นี่ และอาจถูกซัดไปจนไม่อาจขึ้นมาหายใจอีกเลยก็ได้
หญิงสาวออกแรงปาดหยดน้ำที่อยู่บนหน้าทิ้ง และเหนี่ยวรากไม้ในมือเพื่อปีนขึ้นฝั่งอย่างยากลำบาก ทว่ากระแสน้ำทางตอนบนนั้นทั้งแรงและเร็ว บวกกับมีท่อนไม้และก้อนหินเล็กๆ ถูกน้ำซัดมาด้วย ทำให้ตัวเผยจื่ออวี๋ที่แช่อยู่ในน้ำสูงระดับอกถูกแรงน้ำซัดใส่จนร่างกายเจ็บปวดยิ่งนัก
ได้เห็นเผยจื่ออวี๋มีท่าทีทุลักทุเลสีหน้าซีดขาวเช่นนี้ เคอโหย่วจินก็ยิ่งยิ้มร่าอย่างเบิกบานใจ ยิ่งเผยจื่ออวี๋ไม่ร้องขอให้นางช่วย เคอโหย่วจินก็ยิ่งชอบใจ ลูกอนุชั้นต่ำอย่างเผยจื่ออวี๋ไม่ต่างจากบ่าวไพร่ชั้นเลวที่สมควรตายจากไปอย่างเงียบๆ เหมือนอย่างที่มารดาของนางว่าเอาไว้
ครั้งนี้เคอโหย่วจินตั้งใจจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้หนัก เพื่อให้เผยจื่ออวี๋ได้รู้สำนึกว่าหากคิดแย่งบุรุษกับนางแล้วจะเป็นอย่างไร และอะไรที่เรียกว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ก็แค่ลูกอนุที่โดนเตะออกจากบ้านเท่านั้น แต่กลับกล้ามากำแหงต่อหน้านาง ต่อให้พ่ออีกฝ่ายเป็นแม่ทัพใหญ่แล้วอย่างไร แม่ทัพใหญ่ผู้นั้นก็อยู่ตั้งไกล ไหนเลยจะมาออกหน้าเกรี้ยวกราดแทนลูกอนุไร้ค่าผู้นี้ได้เล่า
แต่พอเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะขึ้นมาบนฝั่งได้ เคอโหย่วจินก็ฉวยเอาท่อนไม้ขนาดใหญ่เท่าลำแขนมาฟาดลงตรงหน้าเผยจื่ออวี๋ เพื่อมิให้หญิงสาวขึ้นมาบนฝั่งสำเร็จ นางยังสั่งสอนลูกอนุผู้นี้ไม่สาแก่ใจเลย เรื่องอะไรจะยอมให้อีกฝ่ายขึ้นมาได้ง่ายๆ ให้อยู่ในน้ำไปนั่นแหละดีแล้ว!
เคอโหย่วจินอาละวาดราวกับสัตว์ร้าย พอเผยจื่ออวี๋ก้าวมาข้างหน้าได้ก้าวหนึ่ง นางก็จะออกแรงให้อีกฝ่ายถอยหลังกลับไป พอหลายครั้งเข้าเผยจื่ออวี๋ก็เริ่มหมดแรงและตกลงไปในน้ำอีกครั้ง สำลักน้ำไปอีกหลายอึก
เผยจื่ออวี๋ทนทั้งที่เหลือจะทน เพราะเกรงว่าร่างอันใหญ่โตของเคอโหย่วจินจะชะโงกออกมามากเกินไปจนไม่ทันระวังและตกลงมาในน้ำด้วยอีกคนหนึ่ง จึงยอมปล่อยให้อีกฝ่ายกลั่นแกล้งได้ตามใจ หญิงสาวพยายามทำดี รู้จักรักษาระยะห่างเอาไว้ ไม่ได้อาละวาดเป็นแม่เสือร้าย และมองเห็นอีกฝ่ายเป็นแค่แมวเหมียวแยกเขี้ยวเท่านั้น
แต่…มันก็น่าให้หญิงผู้นี้ได้ลิ้มรสชาติของการตกน้ำดูสักครั้ง! เผยจื่ออวี๋ตัดสินใจใช้แผนจิตวิทยากับอีกฝ่าย พอเคอโหย่วจินฟาดท่อนไม้ลงมาขวางนางอีก นางก็คว้าท่อนไม้นั้นไว้แล้วกระชากสุดแรงจนเคอโหย่วจินที่มีร่างกายอวบอ้วนไม่ทันตั้งหลัก หล่นตูมลงน้ำจนน้ำแตกกระจาย
“ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย!” เคอโหย่วจินกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวขณะผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในน้ำ
เผยจื่ออวี๋เพียงมองดูอีกฝ่ายอย่างเย็นชา นางคว้าจับต้นหญ้าสูงที่ขึ้นอยู่บนตลิ่งพร้อมๆ เหยียบก้อนหินปีนขึ้นสู่ฝั่งก่อนหันกลับไปมองเคอโหย่วจินที่ส่งเสียงหวีดขอความช่วยเหลือด้วยประกายตาลุกวาวด้วยโทสะ
นางปัดเรือนผมเปียกชื้นที่ปรกหน้าปรกตาขึ้น ยืนกอดอกมองดูเคอโหย่วจินที่ร้องไห้ขอความช่วยเหลือไม่หยุดพลางแย้มยิ้ม ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อยากให้ข้าช่วยหรือไม่เล่า”
อีกด้านหนึ่ง อาจารย์หลี่ยกน้ำแกงไก่น้ำมันงาหม้อหนึ่งมาให้พวกนักเรียนที่สถานศึกษา ตั้งใจว่าจะมาช่วยดูแลพวกนักเรียนสักพัก แต่คิดไม่ถึงว่าจะมาเห็นหวงฝู่จี้กำลังสอนหนังสือ และเตาโต้วกับปาเจี่ยวก็กำลังเรียนอยู่ด้วย อาจารย์หลี่ย่นหัวคิ้วและวางน้ำแกงไก่น้ำมันงาลง ตามองหวงฝู่จี้อย่างสงสัย
หวงฝู่จี้วางตำราในมือลงแล้วหันไปมองท่านอาจารย์หลี่ที่กำลังมองเขาด้วยแววตาไม่เข้าใจเช่นกัน “ท่านอาจารย์หลี่ มีปัญหาอะไรหรือ”
“อาจารย์หวง ข้านึกว่าท่านกับเตาโต้วและปาเจี่ยวไปช่วยแม่นางเคอแล้ว ก็เลยปรึกษากับภรรยาว่าจะมาช่วยดูแลพวกนักเรียนให้ก่อน…”
“ช่วยแม่นางเคอ? แม่นางเคอเป็นอะไรไปหรือ” หวงฝู่จี้ชักรู้สึกแปลกๆ
เตาโต้วและปาเจี่ยวที่นั่งอยู่หลังห้องได้ยินแล้วก็รู้สึกผิดหูจึงรีบเข้ามาถาม
ปาเจี่ยวถามน้ำเสียงร้อนใจ “ท่านอาจารย์หลี่ว่าอะไร ทำไมพวกข้าถึงไม่รู้เรื่อง”
อาจารย์หลี่ตกใจ “หรือบ่าวของบ้านสกุลเคอไม่ได้มาขอความช่วยเหลือจากพวกท่าน”
“ท่านอาจารย์หลี่ คุณหนูของข้ามิใช่กำลังเล่นอยู่กับลูกของท่านที่บ้านหรอกหรือ” เตาโต้วถามอย่างตกใจ
อาจารย์หลี่สั่นศีรษะ “แม่นางเผยออกมาเมื่อตอนประมาณยามซื่อ* แล้ว”
“อาจารย์หลี่ ตกลงว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ท่านรีบเล่ามาเร็ว” หวงฝู่จี้รู้ได้ทันทีว่าเรื่องนี้จะต้องมีนอกมีในอะไรบางอย่าง จึงรีบคว้ามืออาจารย์หลี่มาถามอย่างร้อนใจ
“ตอนที่แม่นางเผยออกไปจากเรือนข้าได้พบกับบ่าวของบ้านสกุลเคอ บอกว่าคุณหนูของเขาตกน้ำ ขอให้แม่นางเผยช่วยไปปลอบใจแม่นางเคอก่อน ส่วนตัวเขาจะมาหาคนหนุ่มแรงดีที่สถานศึกษาไปช่วยด้วย บังเอิญว่าตอนนั้นข้ามีเรื่องให้ต้องเดินออกมาก็เลยได้ยินที่พวกเขาคุยกันเข้า” อาจารย์หลี่รีบเล่าเรื่องให้ทุกคนฟังอย่างสั้นกระชับ
ในตอนนี้เองพวกแม่ครัวจากห้องครัวก็ยกถังข้าวเข้ามาในสถานศึกษาพอดี พอได้ยินที่พวกเขาคุยกันเข้าก็เผลอสอดปากขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ “ข้าเพิ่งเห็นบ่าวของบ้านสกุลเคอกำลังเล่นลูกเต๋ากับผู้อื่นอยู่ที่ศาลาข้างศาลเจ้าแม่กวนอิมอยู่เลย”
ทันทีที่ได้ยินแม่ครัวพูด หัวใจของหวงฝู่จี้ก็ทิ้งดิ่งลงในทันที “ดูท่าว่านี่จะเป็นแผนการบางอย่าง…เตาโต้ว เจ้ารีบไปเอารถม้าที่ข้างวัดเดี๋ยวนี้…”
สั่งเสร็จ ชายหนุ่มก็ดึงชายเสื้อขึ้นและตรงไปที่ศาลเจ้าแม่กวนอิมแห่งนั้น
แล้วก็เป็นอย่างที่แม่ครัวว่าไว้ คือบ่าวของบ้านสกุลเคอผู้นั้นกำลังเล่นลูกเต๋าอยู่กับพวกคนแก่ๆ อย่างสนุกสนาน อีกทั้งในปากยังคาบกุนเชียงย่างอันหนึ่ง เคี้ยวหนุบหนับอย่างสุขสำราญอีกด้วย
หวงฝู่จี้คว้าตัวเขามาชกเปรี้ยงโดยไม่บอกไม่กล่าว ทำให้เจ้าคนรับใช้ที่กำลังคาบกุนเชียงอยู่ถึงกับกุนเชียงกระเด็น ปากเบี้ยวไปในทันที
“เจ้าหลอกแม่นางเผยไปที่ไหน” หวงฝู่จี้ตวาดกร้าว
“บอกมา! เจ้าหลอกคุณหนูของข้าไปที่ไหน หากไม่ยอมพูดความจริง ข้าจะกระทืบให้ตาย!” ปาเจี่ยวฉวยเอาท่อนไม้ที่อยู่ด้านหนึ่งมาฟาดใส่เจ้าคนรับใช้ใจคดนั่น
* ยามซื่อ คือช่วงเวลา 9.00 น.ถึง 11.00 น.
“โอ๊ย อย่าตีข้าๆ คุณหนูข้าให้ข้าหลอกแม่นางเผยไปที่แม่น้ำใหญ่นั่น บอกว่าจะสั่งสอนนาง…” บ่าวบ้านสกุลเคอทนถูกกระทืบไม่ไหวจึงยอมสารภาพ
พอคนเฒ่าคนแก่หลายคนได้ยินต่างก็ร้องด่ากันออกมาให้แซ่ด
“ไร้คุณธรรมเหลือเกิน เหตุใดถึงมีนิสัยร้ายกาจเช่นนี้ได้!”
“ลูกสาวบ้านนี้ ต่อไปจะมีผู้ใดกล้าแต่งนางอีก!”
“จริงด้วยๆ”
จังหวะนั้นเองก็มีชายสวมชุดหญ้าคนหนึ่งเดินเข้ามาหลบฝนในศาลา พอได้ยินเรื่องที่พวกเขาพูดกันก็รีบบอกว่า “ที่พวกท่านพูดกันเป็นความจริงหรือ ถ้าหากว่าแม่นางเผยอยู่ที่นั่นจริงๆ ล่ะก็แย่แน่ เพราะน้ำจากทะเลสาบทางตอนเหนือเพิ่งไหลบ่า ตอนนี้น้ำในแม่น้ำกำลังเชี่ยวมาก โดยเฉพาะแถวคุ้งน้ำนั่นน่ะ น้ำท่วมจะมิดฝั่งอยู่แล้ว…”
หวงฝู่จี้แตกตื่น รีบลากตัวชายคนนั้นเข้ามาถาม “ที่ท่านพูดมาเป็นความจริงหรือ!”
“จริงเสียยิ่งกว่าจริง เรื่องพวกนี้เอามาล้อกันเล่นได้หรือ”
“ช้าไม่ได้แล้ว ปาเจี่ยว เจ้ารีบกลับไปเอาเชือกที่สถานศึกษาแล้วรีบตามพวกข้าไป ข้าจะล่วงหน้าไปดูก่อน ถ้าหากชักช้าเกรงว่าแม่นางเผยจะมีอันตรายได้”
“ขอรับ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
ปาเจี่ยวเองก็ไม่กล้ารอช้า รีบกระโดดขึ้นรถม้าของสกุลเคอทันที เขาตวัดสายบังเหียนบังคับม้ากลับไปเอาอุปกรณ์ช่วยคนที่สถานศึกษา สวนกับรถม้าของเตาโต้วที่กำลังวิ่งมาพอดี
หวงฝู่จี้ไม่รอให้เตาโต้วหยุดรถม้าได้สนิทก็กระโดดขึ้นรถม้าอย่างไม่กล้าเสียเวลา พลิ้วตัวขึ้นไปนั่งและบอกให้เตาโต้วเร่งบังคับรถไปที่คุ้งน้ำอย่างรวดเร็ว
“เตาโต้ว รีบไปให้เร็วที่สุด ข้าเป็นห่วงว่าถ้าหากไปช้าแล้วจะไม่ทันกาล!” เขาสั่งเตาโต้วพลางไม่ลืมหยิบเอาพลุสัญญาณที่ใช้ติดต่อกับเหล่าองครักษ์ยามฉุกเฉินขึ้นมายิงขึ้นไปบนอากาศ
ตอนที่เตาโต้วบังคับม้าไปถึงที่คุ้งน้ำนั้น หลิงอีและหลิงซานต่างก็มาถึงกันแล้ว พวกเขามาที่นี่กันได้อย่างไรก็ไม่ทราบ แต่เรื่องช่วยเหลือคุณหนูของตนสำคัญกว่า ดังนั้นเตาโต้วจึงไม่มีเวลามาคิดอะไรให้วุ่นวาย
ตอนที่พวกเขาทุกคนไปถึงที่ริมฝั่ง ภาพที่เห็นก็คือเผยจื่ออวี๋ที่เนื้อตัวเปียกโชกกำลังใช้แขนข้างหนึ่งเกาะกอดต้นไม้ พร้อมเอนร่างออกไปนอกริมฝั่งเพื่อยื่นมือที่มีท่อนไม้ลงไปให้เคอโหย่วจินจับ หญิงสาวพยายามออกแรงลากเคอโหย่วจินที่ร้องไห้ไม่หยุดจนใบหน้าซีดขาวขึ้นมา
หวงฝู่จี้รีบไปดึงตัวหญิงสาวเอาไว้ ไม่ให้นางทำเรื่องเสี่ยงอันตรายอีก “อวี๋เอ๋อร์ ปล่อยมือ! เจ้าเสี่ยงเกินไปแล้ว”
ทว่าทันทีที่คลายมือออก เคอโหย่วจินก็ลื่นพรืดกลับลงไปในน้ำ และเพียงชั่วพริบตาก็ถูกซัดห่างจากฝั่งไปไกลลิบ
“ช่วยด้วย”
กระแสน้ำที่เชี่ยวกรากมากขึ้นทุกขณะไม่ได้พัดพามาแค่เพียงดินทราย หากมีทั้งท่อนซุงและก้อนหินใหญ่น้อยลอยตามมาด้วยจนสภาพของลำน้ำนั้นกลายเป็นสีโคลนไปหมด
และเมื่อเงี่ยหูฟังให้ดีจะพบว่านอกจากเสียงน้ำแล้ว ยังมีเสียงครืนโครมดังแทรกมาอย่างน่ากลัวว่าคงเกิดเหตุดินถล่มขึ้น
ยิ่งทอดเวลานานไปเท่าไร ก็ยิ่งน่ากลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ดินถล่มขึ้นได้ เวลานี้พวกเขาไม่มีเวลาให้ขบคิดกันอีก หวงฝู่จี้เลิกคิ้วขึ้นมองไปทางหลิงอีและหลิงซานเป็นสัญญาณด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
พวกเขาสองคนรับเอาเชือกในมือของปาเจี่ยวที่รีบตามหลังมามัดหัวท้ายเข้ากับก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ตามองไปที่เคอโหย่วจินที่ร้องด่าโทษฟ้าโทษฝนอย่างบ้าคลั่งอยู่กลางลำน้ำ ก่อนขยับเชือกในมืออย่างรู้จังหวะ ทำเป็นบ่วงบาศหมุนคว้างอยู่กลางอากาศหลายรอบแล้วใช้วิชาตัวเบาเหินร่างสะบัดเชือกออกไปที่กลางแม่น้ำที่ซัดสาดเป็นพายุคลั่งแห่งนั้น
คนอื่นๆ ที่วิ่งตามมาช่วยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลิงอีกับหลิงซานใช้วิธีการใด ถึงได้คล้องเชือกไปที่ตัวเคอโหย่วจินที่ร้องกรี๊ดๆ ราวกับเป็นบ้าสลับกับร้องไห้สะอึกสะอื้นได้สำเร็จ
เผยจื่ออวี๋มองดูการแสดงบ่วงบาศราวกับคาวบอยในยุคปัจจุบันของคนทั้งคู่ แล้วก็เห็นลูกหนังกลมๆ ลูกหนึ่งลอยหวือขึ้นมาจากกระแสน้ำอันบ้าคลั่งพร้อมกับเสียงกรีดร้องของเคอโหย่วจิน
ลูกหนังพุ่งตัวมาราวกับลูกธนูจนบ่าวของบ้านสกุลเคอรู้สึกเหมือนถูกยิงใส่อย่างกะทันหัน เขาล้มพับลงไปเหมือนขวดพิน ลุกไม่ขึ้นอีกเลย
พอเห็นเคอโหย่วจินรอดพ้นจากน้ำขึ้นมาได้ เผยจื่ออวี๋ก็ทรุดฮวบลงอย่างหมดเรี่ยวแรงอยู่ในอ้อมแขนของหวงฝู่จี้ราวกับลูกหนังถูกปล่อยลม
“อวี๋เอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่” หวงฝู่จี้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอย่างโล่งอก
ระหว่างทางที่รีบรุดมาที่นี่อย่างไม่รู้ว่านางจะดีร้ายประการใดนั้น เป็นความรู้สึกที่น่าหวาดหวั่นและร้อนรนอย่างที่เขาไม่เคยเป็นมาก่อน มันกลุ้มสุมรุมเร้าเข้ามาปานประหนึ่งเถาวัลย์ที่ผูกมัดหัวใจเขาไว้อย่างแน่นหนาจนไม่อาจหายใจได้ จวบจนกระทั่งเขาได้เห็นนางปลอดภัยไร้อันตรายแล้ว พันธนาการหัวใจอันน่าอึดอัดนั้นถึงได้คลายตัวลง และวับหายไปอย่างไร้ร่องรอย กลับมาหายใจได้สะดวกอีกครา
“จะไม่เป็นไรได้อย่างไร เกือบถูกเคอโหย่วจินฆ่าตายแล้ว!” หญิงสาวพูดปนหอบ “นางผลักข้าตกน้ำ แต่ดวงข้ายังแข็งถึงได้ปีนขึ้นฝั่งมาเองได้ หาไม่มีหวังคงถูกน้ำพัดไปไกลลิบ ที่นางเป็นอย่างตอนนี้ก็เพราะทำตนเองทั้งนั้น”
ชายหนุ่มไม่ใส่ใจเรื่องที่บุรุษสตรีไม่อาจใกล้ชิดกัน จัดแจงอุ้มนางวิ่งตรงไปที่รถม้า
เวลานี้เผยจื่ออวี๋ไม่เหลือแรงที่จะขัดขืนเขาแล้วจริงๆ เมื่อมีคนอาสามาเป็นพาหนะให้เปล่าๆ นางจึงไม่ลีลาปฏิเสธให้มากความ
ทว่าในขณะที่ทุกคนกำลังเร่งถอนตัวกลับกันด้วยความเป็นห่วงว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์ดินถล่มตามมานั้น เคอโหย่วจินกลับยังนั่งร้องไห้กระซิกๆ อยู่ที่พื้น
“โอ๊ย…เจ็บ เจ็บเหลือเกิน” เคอโหย่วจินจอมเจ้าเล่ห์นั่งทับอยู่บนตัวบ่าวรับใช้ร้องโหยหวนขึ้นมาสุดเสียงโดยไม่สนใจว่าบริวารที่รับน้ำหนักตัวนางอยู่แทบจะถูกนางทับตายอยู่รอมร่อ
“เคอโหย่วจิน พอได้แล้ว! เจ้าปลอดภัยแล้วยังจะร้องหาสวรรค์วิมานอะไรอีก!” เผยจื่ออวี๋ตวาดอย่างมีโทสะแต่ไร้กำลัง เพราะต้องการให้อีกฝ่ายหุบปากเสียที
“โอ๊ย!” เคอโหย่วจินยังคงแผดเสียงร้องโหยหวนขึ้นอีก
“หุบปาก!” แก้วหูของเผยจื่ออวี๋จวนเจียนจะปริร้าวเพราะเคอโหย่วจิน นางฉุนขาดจนต้องตวาดใส่ “ยังไม่รีบลุกขึ้นอีก! พวกเราต้องรีบออกไปจากที่นี่แล้ว”
แต่เคอโหย่วจินกลับแผดเสียงกลับมา “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาตวาดข้า!”
หวงฝู่จี้มองดูกระแสน้ำที่ทวีความรุนแรงขึ้นถึงขนาดสามารถพัดไม้ท่อนใหญ่ที่ลอยตามน้ำมาให้ปลิวหายไปในดินเลน ตามมาด้วยท่อนไม้ที่ถูกก้อนหินใหญ่ที่ลอยตามมากระแทกจนรูปผิดร่าง ก็แอบร้องในใจว่า…แย่แล้ว!
“รีบไป พวกเราต้องรีบไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ กระแสน้ำเชี่ยวขึ้นทุกที ถ้าขืนยังชักช้าอยู่อีก มีหวังได้ตายพร้อมกับเคอโหย่วจินแน่” ชายหนุ่มตวาดสั่งทุกคนด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
เผยจื่ออวี๋กวาดตามองดูกระแสน้ำที่พัดพาก้อนหินใหญ่ให้ปลิวไปไกลแล้วก็อุทาน “เคอโหย่วจิน เจ้ายังอยากมีชีวิตอยู่หรือไม่ ถ้าอยากก็ลุกขึ้นมา”
ผ่านไปพักใหญ่ แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมขยับ และพวกเขาก็ไม่มีเวลาให้คุณหนูใหญ่เจ้าน้ำตาได้เล่นบทโศกอยู่ที่นี่อีก เผยจื่ออวี๋จึงตวาดใส่หน้าเคอโหย่วจินอย่างมีโทสะเต็มที่ว่า “เคอโหย่วจิน ยังไม่ลุกขึ้นมาอีก อยากถูกฝังทั้งเป็นอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่”
“ข้า…ข้าเดินไม่ไหว…นอกจากคุณชายหวงจะอุ้มข้า!” เคอโหย่วจินร้องไห้ใส่หน้านาง
ลุกขึ้นไม่ไหว? ลุกขึ้นไม่ไหวแต่มีแรงมาตวาดใส่นางราวกับสิงโตเหอตงเนี่ยนะ เผยจื่ออวี๋นึกอยากจะประเคนฝ่ามือให้อีกฝ่ายสักสองฉาด แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะทำแบบบนั้น เพราะนางยังต้องแปรโทสะให้เป็นพลังเพื่อต่อสู้ต่อไป
“หากยังรักชีวิตอยู่ก็รีบลุกขึ้นมา”
“ถ้าจะให้ข้าลุกก็ต้องให้คุณชายหวงอุ้มข้า!”
นี่มันเวลาใดกันแล้ว เคอโหย่วจินยังจะมาเล่นแง่หึงหวงอะไรอีก เผยจื่ออวี๋รู้สึกยอมแพ้อีกฝ่ายเลยจริงๆ
แต่ถึงหญิงสาวจะเรียกร้องอย่างไร ก็ต้องขึ้นอยู่กับหวงฝู่จี้ว่าจะยอมทำตามหรือไม่
หวงฝู่จี้ที่มีสีหน้าเย็นชาเพียงปรายตามองไปที่หลิงอีแวบหนึ่ง
หลิงอีจึงก้าวยาวๆ เข้าหาร่างอวบอ้วนนั้น และใช้มือเพียงข้างเดียวลากตัวเคอโหย่วจินโยนขึ้นไปบนรถเหมือนโยนซากสัตว์อะไรสักอย่าง และอึดใจต่อมาเขาก็พลิกมือจับร่างอ้วนกลมของนางยัดเข้าไปในรถม้าราวกับกำลังสะบัดโคลนเลนจนเผยจื่ออวี๋ได้แต่มองด้วยอาการปากอ้าตาค้าง
ตอนแรกนางกะจะให้ปาเจี่ยวกับบ่าวของบ้านสกุลเคอแบกเคอโหย่วจินขึ้นมา แต่หลิงซานก็จับบ่าวของบ้านสกุลเคอพาดบ่าข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็สะพายห่อผ้า พลิ้วร่างขึ้นมานั่งบนรถม้าอย่างมั่นคงแล้ว
อากัปกิริยาของคนรับใช้ทั้งสองของจี้ซานดูคล่องแคล่วว่องไว ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนรับใช้ตามบ้านทั่วไปเลยสักนิด ตรงกันข้ามพวกเขากลับมีวรยุทธ์สูงส่งราวกับเป็นองครักษ์ของราชสำนักก็ไม่ปาน!
หวงฝู่จี้อุ้มเผยจื่ออวี๋ขึ้นไปที่ข้างรถม้าแล้วตบไหล่นางเบาๆ “ยังไม่รีบขึ้นรถม้าอีก มัวแต่ใจลอยเดี๋ยวก็ไม่ทันพอดี”
ยามนั้นเผยจื่ออวี๋ที่ถูกกิริยาแคล่วคล่องของหลิงอีและหลิงซานทำเอาตาค้างไปถึงได้สติ นางก้มหน้าลงเพื่อสลัดความตื่นตะลึงทั้งหมดออกไปจากสมอง เวลานี้มิใช่เวลาที่จะมาสงสัยที่มาของผู้อื่น แต่ต้องรีบหนีเอาชีวิตรอดก่อน ว่าแล้วเผยจื่ออวี๋ก็ถกกระโปรงขึ้นนั่งบนรถม้าอย่างว่องไว
เมื่อทุกคนขึ้นรถม้ากันหมดแล้ว กระแสน้ำก็เอ่อล้นขึ้นมาบนฝั่งพอดี หลิงอีสะบัดสายบังเหียนควบม้ารถตีคู่ไปกับปาเจี่ยวอย่างเต็มที่ ทำเอาม้าที่อยู่ด้านหน้าวิ่งห้อราวกับมีสัตว์ร้ายวิ่งไล่ตามหลังมาติดๆ
รถม้าวิ่งตะบึงเต็มกำลังไปตามถนนที่เป็นดินเลนและเป็นหลุมเป็นบ่ออย่างรวดเร็วอย่างไม่มีลังเล ด้วยเกรงว่าถ้าหากเผลอเหม่อไปแม้แต่เพียงนิดเดียว พวกเขาทั้งหมดบนรถม้าก็อาจถูกกระแสน้ำเชี่ยวกรากกลืนกินไปก็เป็นได้…
บทที่ 9
เผยจื่ออวี๋นอนมองผ้าม่านเตียงที่ปักเป็นลวดลายประณีตงดงามอยู่เป็นนานแล้วก็อดทอดถอนใจออกมาไม่ได้… หากนางเป็นพืช นางนอนอยู่เช่นนี้คงรากงอกไปแล้ว นี่ยังต้องถูกบังคับให้นอนไปอีกนานเท่าไรกัน
วันนั้นนางถูกเคอโหย่วจินวางแผนเล่นงานจนเกือบจมน้ำตายอยู่ใต้กระแสน้ำที่เชี่ยวกราก แต่ยังดีที่สามารถหนีรอดออกมาได้ก่อนหน้าที่ดินจะถล่ม
เพียงแต่หลังจากที่หวงฝู่จี้พาทุกคนหนีออกมาได้ไม่นาน เผยจื่ออวี๋ก็รู้สึกว่าตนเองไม่ค่อยสบาย เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว เป็นไข้ตัวสั่นไม่หยุด
อาจเพราะหลังจากที่นางตกลงไปในน้ำและถูกพวกท่อนไม้กับก้อนหินที่โดนน้ำพัดมากระแทกใส่อยู่เป็นระยะ ทำให้ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลน้อยใหญ่ ซ้ำยังแช่อยู่ในน้ำอีกเป็นนานจึงทำให้แผลเกิดอาการอักเสบขึ้นมา
ยังไม่ทันกลับถึงบ้าน เผยจื่ออวี๋ก็มีไข้ขึ้นสูงจนหมดสติ ไม่รู้เรื่องอะไรถึงสามวันเต็มๆ จนวันที่สี่ถึงพอจะค่อยๆ ได้สติกลับคืนมา จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบครึ่งเดือนแล้ว
ได้ยินท่านแม่บอกว่าตอนที่ท่านหมอจางมาเห็นสภาพน่าอเนจอนาถของนางก็ฉุนขาด ด่ากราดเคอโหย่วจินเสียไม่มีชิ้นดีและงัดเอาวิชาการแพทย์ทั้งหมดเพื่อช่วยนางกลับออกมาจากประตูนรกจนได้
ท่านหมอจางกำชับท่านแม่เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าให้ดูแลนางดีๆ และให้พักผ่อนอยู่แต่บนเตียงอย่างเดียว คอยรักษาร่างกายให้อบอุ่นเข้าไว้ ห้ามลงจากเตียงไปเดินเล่นที่ใดเด็ดขาด โดยบอกว่านางได้รับบาดเจ็บภายในสาหัสจึงห้ามเดิน หาไม่ถ้าเกิดรักษาอาการบาดเจ็บภายในได้ไม่ดีพอ อาจมีโรคเรื้อรังติดตัวไปตลอดชีวิต
คำพูดประโยคนี้ทำเอาท่านแม่ของนางร้อนใจจนแทบเป็นบ้า ทุกวันเป็นต้องคอยจับตาดูนางเอาไว้เหมือนผู้คุมดูแลนักโทษ ด้วยกลัวว่าเผยจื่ออวี๋จะไม่ยอมทำตามคำสั่งของท่านหมอ และแอบลงจากเตียงมาเดินเล่นสะเปะสะปะ
แต่แทนที่เผยจื่ออวี๋จะรู้สึกปลื้มใจ นางกลับรู้สึกว่าตนเองพอจะลุกขึ้นได้แล้ว และน่าออกกำลังกายเพื่อยืดเส้นยืดสายบ้าง แต่ท่านแม่ของนางกลับทำตัวเป็นชาวแคว้นฉี่กลัวฟ้าถล่ม* คอยแต่จะจับนางยัดกลับลงไปบนเตียงอย่างเดียว นี่ถ้าไม่นับเรื่องที่ต้องลงจากเตียงไปทำธุระส่วนตัวบ้างแล้วล่ะก็ เวลาอื่นๆ ก็อย่าหวังว่าจะได้ลงจากเตียงอีกเลย
อาจพูดได้ว่าครึ่งเดือนมานี้ นางถูกเลี้ยงดู ราวกับเทพสุกรอย่างไรอย่างนั้น
ในตอนนี้เองที่เรือนด้านนอกมีเสียงเหมือนมีคนจะเข้ามา ทั้งที่หลายวันนี้แขกเหรื่อที่มาเยี่ยมต่างถูกกันไว้ที่นอกประตูเรือนทั้งสิ้น และมีหลิงอีคอยเฝ้าไม่ให้ใครเข้ามาได้
เผยจื่ออวี๋คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจี้ซานจะให้หลิงอีมาคอยเฝ้าที่หน้าห้องนาง เพื่อมิให้ผู้อื่นมารบกวนการพักผ่อนของหญิงสาว และหลิงอีเองก็ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้เป็นนายอย่างเคร่งครัด ใครมาคนหนึ่งเป็นต้องถูกไล่กลับไปคนหนึ่ง ใครมาเป็นคู่ก็ต้องถูกไล่กลับไปเป็นคู่ และถ้าหากใครคิดจะบุกฝ่าเข้ามา เป็นต้องถูกเขาหิ้วคอโยนออกไปนอกเรือนอย่างไม่เสียเวลาพูดกันสักประโยค
แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะนางเองก็ไม่ชอบต้อนรับแขกที่ปากไม่ตรงกับใจพวกนั้น
* ชาวแคว้นฉี่กลัวฟ้าถล่ม เป็นสำนวนจีน มีที่มาจากเรื่องเล่าในสมัยโบราณ แคว้นฉี่มีชายอยู่คนหนึ่ง วันๆ กลัวแต่ฟ้าจะถล่มลงมาจนไม่เป็นอันกินอันนอน สำนวนนี้จึงหมายถึงคนที่มัวเป็นกังวลกับสิ่งที่ไม่มีเหตุผล หรือกังวลเกินกว่าเหตุ
ซึ่งพอบรรดาแขกเหรื่อที่แวะเวียนมารู้ว่าไม่อาจเข้าพบเผยจื่ออวี๋ได้ ก็ฝากของกำนัลและข้อความเอาไว้ที่หลิงอี ก่อนจากไปอย่างรู้จักกาลเทศะกันมากขึ้น แล้วเพราะเหตุใดตอนนี้ที่ด้านนอกถึงได้มีคนดื้อด้าน กล้าต่อปากต่อคำกับหลิงอีได้อีกเล่า
เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
หญิงสาวยันตัวขึ้นมาแหวกผ้าม่านออกไปร้องเรียกสองสาวใช้…เสี่ยวหงกับเสี่ยวชิงที่อยู่ทางด้านนอก “เสี่ยวชิงเสี่ยวหง พวกเจ้าเข้ามานี่หน่อย”
เนื่องจากเผยจื่ออวี๋โตเป็นสาว และมารดาก็มีอายุมากขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อนางไม่อาจอาบน้ำและต้องคอยเช็ดตัวอยู่ตลอดแบบนี้ ท่านแม่จึงถือโอกาสตอนที่นางไม่มีเรี่ยวแรงคัดค้าน ซื้อสาวใช้สองนางมาจากนายหน้าตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน
ท่านแม่บอกว่าเผยจื่ออวี๋เป็นสาวแล้ว จำเป็นต้องมีสาวใช้ประจำตัวคอยรับใช้อยู่ข้างกาย ยิ่งเวลาป่วยไข้ จะร้องเรียกหาใครสักคนก็ไม่มี
ดังนั้นหวงซื่อจึงยืนกรานไม่ยอมให้ลูกสาวทำอะไรเองอีก และอ้างเหตุผลเพื่อใช้อำนาจเผด็จการออกมาอย่างที่ต่อให้เผยจื่ออวี๋คิดจะคัดค้านก็ยังยาก
“คุณหนู มีอะไรจะสั่งหรือเจ้าคะ” เสี่ยวชิงที่มีรูปร่างค่อนข้างผอมบางคุกเข่าลงพลางเอ่ยถาม
“เสี่ยวชิง เจ้ากับเสี่ยวหงออกไปดูซิว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถ้าหากมีใครกำลังทะเลาะอยู่กับหลิงอีจริงๆ ก็อย่าให้เขาล้ำเส้นนักเล่า เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่คุณชายหวงที่เป็นเพื่อนบ้านเราให้ยืมตัวมา”
ไม่นานเสี่ยวชิงกับเสี่ยวหงก็กลับมารายงานว่าเคอฮูหยินมาขอพบนาง แต่ถูกหลิงอีสกัดไว้ที่หน้าประตู
เผยจื่ออวี๋ย่นหัวคิ้วพลางคิดในใจว่าเคอฮูหยินผู้นี้คงเป็นเพียงพอนเหลืองมาเยี่ยมเยือนไก่วันปีใหม่* แน่ ทั้งที่นางก็นอนอยู่บนเตียงมานานถึงครึ่งเดือนเข้าไปแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยเห็นสกุลเคอส่งคนมาขอโทษขอโพยเลยสักครั้ง แล้วทำไมวันนี้จู่ๆ ถึงมาได้
“เสี่ยวหง เจ้าไปบอกให้หลิงอีปล่อยนางเข้ามา เถียงกันแบบนี้ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา ถ้าเกิดเสียงดังไปถึงท่านแม่ของข้าจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่” ท่านแม่ของนางเป็นคนอ่อน ดีไม่ดีอาจถูกเคอฮูหยินผู้ดุร้ายทำให้ตกใจจนหน้าซีดก็เป็นได้
“เสี่ยวชิง เจ้าช่วยเอาเสื้อมาคลุมให้ข้าที ใส่แต่เสื้อชั้นกลางแบบนี้ ใครเห็นจะดูไม่ค่อยมีมารยาทนัก” เผยจื่ออวี๋ดึงผ้าห่มออก ลุกขึ้นมานั่งที่ขอบเตียง และชี้นิ้วไปที่เสื้อคลุมซึ่งห้อยอยู่บนราว
เสี่ยวชิงรีบช่วยนางสวมเสื้อคลุมอย่างคล่องแคล่วว่องไว และช่วยหวีรวบผมให้นางอย่างง่ายๆ ก่อนประคองเผยจื่ออวี๋ที่ยังคงอ่อนแรงสีหน้าซีดขาวไปที่ห้องโถงใหญ่อย่างระมัดระวัง
เผยจื่ออวี๋ค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้ประธานโดยมีเสี่ยวชิงคอยช่วยประคอง พอเห็นเคอฮูหยิน นางก็ไม่ได้เอ่ยโอภาปราศรัยอย่างเกรงใจ แต่ถามอย่างเปิดประตูเห็นภูเขา** ทันที “เคอฮูหยิน ไม่ทราบว่าที่ท่านมาหาข้าวันนี้มีธุระอะไรหรือ”
แม้แต่น้ำชายังไม่มีให้สักถ้วยก็ถามหาธุระกันแล้ว เคอฮูหยินรู้สึกขัดใจอยู่บ้าง แต่เพื่อเรื่องของลูกสาว นางจึงได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนเอาไว้
* เพียงพอนเหลืองมาเยี่ยมเยือนไก่วันปีใหม่ เป็นสำนวน หมายถึงคนเจ้าเล่ห์ที่หยิบยื่นความปรารถนาดีให้ย่อมมีเจตนาร้ายแฝงอยู่ โดยเพียงพอนเหลือง หรือ Yellow Weasel เป็นสัตว์กินเนื้อขนาดเล็ก รูปร่างเพรียว ขาสั้น หางสีน้ำตาลเหลือง ขนหลังสีน้ำตาลเทา ออกหากินเวลากลางคืน ชาวจีนสมัยโบราณจัดว่าเป็นสัตว์ที่ชอบลักขโมยของกินตามบ้านเรือน
** เปิดประตูเห็นภูเขา เป็นสำนวน เปรียบถึงการเปิดฉากพูดอย่างตรงไปตรงมา
“จื่ออวี๋ ได้ยินว่าเจ้าป่วยมาหลายวัน ป้าเลยตั้งใจมาเยี่ยมเจ้า…”
เคอฮูหยินพูดยังไม่ทันจบก็ถูกเสี่ยวชิงตัดบท “เคอฮูหยิน คุณหนูของข้าเป็นปอดอักเสบ ซ้ำยังบาดเจ็บภายในสาหัสจนกระอักออกมาเป็นเลือด ต้องยื้อยุดกันอยู่นานกว่าจะเอาชีวิตกลับคืนมาได้ ท่านหมอบอกว่าคุณหนูต้องพักผ่อนอยู่แต่บนเตียงเท่านั้น ถ้าหากท่านมีธุระอะไรก็รีบพูดมา อย่าได้รบกวนเวลาพักผ่อนของคุณหนูเลย”
“เจ้ามันก็แค่บ่าวชั้นต่ำ เจ้านายเขาพูดกัน เจ้ามีสิทธิ์สอดปากหรือ” นี่ถ้าหากมิใช่ว่านางไม่อาจสั่งสอนบ่าวของบ้านสกุลเผยแล้ว นางคงได้ตบปากบ่าวผู้นี้สักสองฉาดแน่ๆ
“เคอฮูหยิน สิ่งที่คนของข้าพูดมีค่าเท่ากับคำพูดของข้าเอง ท่านมีธุระอะไรก็รีบว่ามาเถิด ข้าไม่มีแก่ใจมานั่งเจรจากับท่านมากนักหรอก”
เคอฮูหยินเบ้ปากอย่างเสียหน้าก่อนกลืนน้ำลายลงคอ “เรื่องเป็นเช่นนี้ จื่ออวี๋เจ้าก็รู้ว่าวันนั้นโหย่วจินของพวกเราเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน…”
“ความหมายของเคอฮูหยินคือต้องการให้ข้ารับผิดชอบเช่นนั้นหรือ” เผยจื่ออวี๋รับยาต้มสมุนไพรที่เสี่ยวหงส่งมาให้ หัวคิ้วขมวดมุ่นและร้องโอดอยู่ในใจว่า สาวใช้ทั้งสองคนที่ท่านแม่หามาให้นั้นต่างภักดีและเชื่อฟังคำสั่งกันเสียเหลือเกิน แม้แต่ในเวลาแบบนี้ก็ยังไม่ลืมส่งยาให้นางดื่มแทนน้ำชา
“เปล่าๆ พวกเราไหนเลยจะกล้าให้จื่ออวี๋รับผิดชอบได้” เรื่องนี้สาเหตุล้วนมาจากเคอโหย่วจินของนางทั้งนั้น ถ้าหากสกุลเผยเอาเรื่องไปแจ้งทางการจริง เคอโหย่วจินคงไม่แคล้วถูกจับข้อหาเจตนาฆ่าแล้ว ลำพังแค่สกุลเผยไม่เอาเรื่องก็นับว่าสวรรค์คุ้มครอง ไหนเลยจะกล้ามาเรียกร้องให้เผยจื่ออวี๋รับผิดชอบอีก
เผยจื่ออวี๋ดื่มยาต้มสมุนไพรไปคำหนึ่ง “เช่นนั้นเคอฮูหยินก็รีบพูดธุระออกมาเถิด ท่านก็เห็นว่าข้ายังต้องดื่มยา”
“เรื่องเป็นเช่นนี้ คือนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา โหย่วจินของเราก็ป่วยจนลุกไม่ขึ้น แม้แต่ยาก็ดื่มไม่ลง ท่านหมอบอกว่านางเป็นโรคใจ จำเป็นต้องใช้ยาใจรักษา…”
“เคอฮูหยินต้องการให้ข้าไปเยี่ยมเคอโหย่วจิน?!”
“ไม่ ไม่ใช่” เคอฮูหยินรีบโบกไม้โบกมือ
นั่นก็ไม่ใช่ นี่ก็ไม่ใช่ แล้วที่เคอฮูหยิน ‘ลดตัวลงมา’ หานางในวันนี้เพราะต้องการสิ่งใดกันแน่
“จื่ออวี๋เอ๋ย เจ้ากับโหย่วไฉและโหย่วจินของเรานับว่ารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก จนเจ้าเกือบจะได้เป็นสะใภ้ข้าแล้วด้วยซ้ำ…โหย่วจินของเรามีใจให้คุณชายหวงที่เป็นเพื่อนบ้านของเจ้ามาตลอด แม้แต่ตอนล้มป่วยก็ยังพะวงหาถึงแต่เขา…ข้าเลยอยากจะให้เจ้าช่วยบอกให้คุณชายหวงไปเยี่ยมเยียนโหย่วจินของเราสักหน่อยได้หรือไม่…”
ทันทีที่เคอฮูหยินเอ่ยเรื่องไร้ยางอายนี้ออกมา เผยจื่ออวี๋ก็ถึงกับอ้าปากค้างและมองเคอฮูหยินอย่างไม่เชื่อสายตา
จะขอให้ข้าไปพูดเรื่องพวกนี้กับคุณชายหวงเนี่ยนะ แล้วผู้ใดกันที่จะเป็นสะใภ้ของบ้านท่าน เคอฮูหยินเอ๋ยเคอฮูหยิน ท่านไม่หลงตัวเกินไปหน่อยหรือไง!
“สำหรับเรื่องซองแดงนั้นทางเราไม่ลืมให้เป็นสินน้ำใจแน่นอน”
คนสกุลเคอเห็นนางเป็นอะไร แม่สื่อมืออาชีพหรืออย่างไรถึงจะให้ซองแดงกัน!
หางตาของเผยจื่ออวี๋กระตุก วางชามยาลงในลักษณะกระแทก นางมองจ้องเคอฮูหยินด้วยสายตาเยียบเย็น “ขออภัยอย่างยิ่ง เรื่องนี้ข้าช่วยไม่ได้ เชิญเคอฮูหยินไปหาผู้รอบรู้ท่านอื่นเถอะ!”
ให้จี้ซานไปบ้านสกุลเคอก็เข้าแผนพวกฮูหยินที่จะได้บังคับเขาไปขึ้นเตียง ผลักให้จี้ซานเข้าไปในเตาไฟเช่นนั้น นางมีหวังได้รู้สึกผิดไปจนตายล่ะไม่ว่า!
“ขอแค่เจ้าออกปากเรื่องนี้เท่านั้น เชื่อว่าคุณชายหวง…”
“เสี่ยวชิงส่งแขก! ถ้าหากเคอฮูหยินไม่ยอมไปก็ให้หลิงอีเข้ามาเอาตัวฮูหยินออกไปส่ง” เผยจื่ออวี๋ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ และให้เสี่ยวหงประคองกลับเข้าห้อง ทิ้งให้เคอฮูหยินยืนเก้ออยู่ตรงที่เดิม
“เคอฮูหยิน เชิญ!” เสี่ยวชิงผายมือ
เคอฮูหยินมองดูเผยจื่ออวี๋ที่หันหลังกลับไปอย่างไม่สนใจด้วยสายตาคับแค้น พร้อมกับก่นด่าตามหลัง “เหมือนมารดาเจ้าไม่มีผิด เป็นไพร่ชั้นต่ำทั้งนั้น นี่คงกลัวว่าโหย่วจินของเราจะแย่งคุณชายหวงไปล่ะสิ…”
เผยจื่ออวี๋หยุดฝีเท้าลงทันที สูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ ก่อนตวาดลั่น “หลิงอี! แขกของคุณชายเจ้าเข้าบ้านผิด รบกวนช่วยมาพานางไปด้วย!”
ไม่ถึงอึดใจ หญิงสาวก็รู้สึกได้ว่ามีกระแสลมพัดวูบเข้ามาในตัวบ้าน และชั่วพริบตาต่อมาร่างของเคอฮูหยินก็หายวับไป
เผยจื่ออวี๋โค้งมุมปากขึ้นอย่างเย็นชา
เห็นข้าเผยจื่ออวี๋เป็นแมวป่วย และมารดาข้าเป็นมะพลับนิ่ม* หรือไร พวกสกุลเคอของเจ้าถึงได้จะรังแกกันง่ายๆ ได้
คิดจะให้นางเป็นแม่สื่อแม่ชักก็เอาตนเองไปเป็นเป้าล่อเองเถิด อย่าหวังว่านางจะยอมรองมือรองเท้าให้เลย
“คุณหนู คุณชายหวงมาเยี่ยมท่านเจ้าค่ะ” เสี่ยวชิงรีบเดินกลับเข้ามารายงานเผยจื่ออวี๋ในห้องชั้นใน
เผยจื่ออวี๋ที่กำลังนั่งพิงหัวเตียงอ่านหนังสืออยู่ปรายตามามองเล็กน้อย “ใช่ว่าจี้ซานไม่เคยมาบ้านเราเสียหน่อย เสี่ยวชิง เจ้าจะตื่นเต้นอะไรนักหนา”
“ก็ก่อนหน้านี้คุณชายหวงจะตรงเข้ามาเยี่ยมท่านที่เรือนด้านในนี้เลย แต่วันนี้กลับหยุดคุยกับฮูหยินอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ก่อน ข้าก็เลยรู้สึกว่ามันแปลกๆ หรือท่านไม่แปลกใจเจ้าคะ” เสี่ยวชิงถาม
เผยจื่ออวี๋หันไปมองนางแวบหนึ่ง เสี่ยวชิงเป็นคนฉลาด ทั้งที่เพิ่งจะมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานก็สามารถเข้าใจเรื่องราวภายในบ้านทั้งหมด และรู้ดีด้วยว่านายสาวเช่นนางมีกฎห้ามเรื่องอะไรบ้าง
ซึ่งถ้าหากต่อไปอีกฝ่ายยังมีใจภักดีอยู่เช่นนี้ เผยจื่ออวี๋ก็จะให้การสนับสนุน เพื่อที่ต่อไปเสี่ยวชิงจะได้มาเป็นมือซ้ายขวาให้แก่นางด้วย
ทว่าสิ่งที่เสี่ยวชิงพูดมาก็ทำให้เผยจื่ออวี๋รู้สึกเอะใจ เพราะอะไรจู่ๆ ท่านแม่ของนางถึงได้เรียกจี้ซานไปคุยด้วย ทั้งที่นางก็สั่งห้ามมารดาไปแล้วว่าอย่าคิดสร้างเรื่องวุ่นวาย โดยเฉพาะเรื่องคิดจับคู่ให้นางกับจี้ซาน นี่คงไม่ใช่ว่าท่านแม่ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจหรอกนะ
หลังจากที่เผยจื่ออวี๋ตกน้ำวันนั้น จี้ซานเป็นคนอุ้มนางกลับมาที่บ้าน ท่านแม่คงไม่คิดว่าเรื่องนี้ทำให้นางเสื่อมเสียจนเกิดความคิดเรื่องที่จะจับคู่นางกับจี้ซานขึ้นมาอีกครั้ง และหยิบยกเอาเรื่องนี้มาให้จี้ซานรับผิดชอบกระมัง
* มะพลับนิ่ม อุปมาถึงคนที่อ่อนแอไร้อำนาจ ต้องตกเป็นเบี้ยล่างถูกคนอื่นข่มเหงรังแก
“เสี่ยวชิง เจ้ารีบไปแอบฟังดูซิว่าท่านแม่ของข้ากับจี้ซานคุยอะไรกัน แล้วรีบกลับมารายงานข้า” เผยจื่ออวี๋คิดๆ ดูก็รู้สึกว่าไม่เข้าที จึงรีบสั่งให้เสี่ยวชิงไปสืบข่าวก่อน
“คุณหนูวางใจเถอะเจ้าค่ะ ข้าให้เสี่ยวหงไปแอบฟังดูแล้ว ท่านไม่ต้องร้อนใจไป” เสี่ยวชิงหยิบหม้อยาที่อยู่บนเตาเล็กด้านข้างขึ้นมารินยาสมุนไพรที่ต้มเสร็จใส่ชาม
ได้ยินเสี่ยวชิงพูดแบบนี้ เผยจื่ออวี๋ค่อยรู้สึกเบาใจลงไปได้มาก นางสูดหายใจก่อนเอนตัวกลับลงไปนอนบนเตียง “เช่นนั้นก็ดี”
“คุณหนู ท่านอย่ากังวลไปเลย ดื่มยาก่อนเถอะเจ้าค่ะ ข้าเติมน้ำผึ้งดอกสาลี่ลงไปแล้ว รับรองว่าดื่มง่าย” เสี่ยวชิงใส่ก้อนน้ำแข็งที่เตรียมพร้อมเอาไว้อยู่ที่ด้านข้างลงไปในชามน้ำแกง ทำให้ยาสมุนไพรที่เพิ่งต้มเสร็จใหม่ๆ เย็นลง ก่อนตักน้ำผึ้งลงไปผสมอีกช้อน
“ต้องดื่มอีกหรือ…” เผยจื่ออวี๋ทำหน้าขมเมื่อรู้ว่าต้องดื่มยาอีก
“ท่านหมอจางบอกว่าต้องดื่มยานี้ติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งเดือน อาการบาดเจ็บภายในของคุณหนูถึงจะหายสนิทนะเจ้าคะ”
เผยจื่ออวี๋หยัดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วรับเอายามาพลางบ่นกระปอดกระแปด “ข้าสงสัยว่าท่านหมอจางจะหาข้ออ้างมาล้างแค้นข้ามากกว่า” นางรู้จักกับท่านหมอจางมาตั้งแต่เด็ก และเคยแผลงฤทธิ์ใส่เขาไม่น้อย มาตอนนี้ถ้าเขาจะหาเรื่องมาเอาคืนนางบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
“แค่กๆ คุณหนูเจ้าขา ท่านหมอจางออกจะเป็นคนดีมีวิชาความรู้ จะหาเหตุมาแกล้งคุณหนูได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ ท่านรีบดื่มยาเถอะเจ้าค่ะ จะได้หายไวๆ”
มีเสี่ยวชิงคอยจับตาดูอยู่แบบนี้ เรื่องจะแอบเทยาทิ้งเป็นอันลืมไปได้เลย เผยจื่ออวี๋จึงได้แต่ดื่มลงคอไปอย่างกล้ำกลืนฝืนทน
ในขณะที่เสี่ยวชิงกำลังจับจ้องนายสาวให้ดื่มยาอยู่นั้น ที่หางตาก็พลันเหลือบไปเห็นเงาคนวอบแวบอยู่ที่หน้าต่างพอดี “คุณหนูเจ้าขา เสี่ยวหงกำลังพาคุณชายหวงเดินมาแล้วเจ้าค่ะ”
เผยจื่ออวี๋จึงส่งชามน้ำแกงไปให้เสี่ยวชิง “ไปชงชามาหน่อย”
ความจริงนางไม่ค่อยอยากให้จี้ซานเข้ามาในห้องส่วนตัวของนางเท่าไร แต่ช่วงที่นางเป็นไข้ไม่ได้สติหลายวันนั้น ชายหนุ่มก็เข้ามาดูนางโดยมีท่านแม่คอยอยู่ข้างๆ หลายครั้ง เรียกได้ว่าเวลานี้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเขาดูคลุมเครืออย่างมาก
ในความคิดของเผยจื่ออวี๋ที่มาจากโลกศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด หญิงสาวไม่รู้สึกว่าเรื่องพวกนี้จะเป็นกระไรนัก คนเป็นเพื่อนกันย่อมต้องดูแลกันอยู่แล้ว แต่คนโบราณที่เคร่งระเบียบประเพณีทั้งหลายต่างไม่ได้คิดกันแบบนั้น
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดที่ทำให้จี้ซานต้องอุ้มนางตอนกลางวันแสกๆ ซ้ำยังแล่นเข้ามาหานางในห้องติดๆ กันหลายวันแบบนี้ แต่ในสายตาของคนนอก พวกเขาสองคนก็ย่อมต้องมีความสัมพันธ์อะไรกันบางอย่าง
ดูท่าว่านางคงต้องเริ่มเกริ่นๆ เรื่องนี้กับชายหนุ่มในเร็วๆ นี้แล้ว เพื่อมิให้จี้ซานเข้าใจผิด หาไม่พวกเขาอาจถูกจับคลุมถุงชนกันทั้งคู่ก็เป็นได้
“คุณหนูเจ้าขา คุณชายหวงมาเยี่ยมท่านเจ้าค่ะ” เสี่ยวหงเดินนำหวงฝู่จี้เข้ามาในห้องส่วนตัวชั้นใน
เวลานี้เผยจื่ออวี๋ได้ย้ายจากเตียงมานั่งที่ตั่งเตี้ยข้างหน้าต่าง ร่างบางเอกเขนกพิงโต๊ะเตี้ยอยู่
หวงฝู่จี้แหวกม่านลูกปัดเข้ามา พอเห็นนางลงจากเตียงได้และสีหน้าก็ดีขึ้นมาก เขาก็พลอยโล่งใจไปด้วย ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ ที่อ่านไม่ออก “ดูเจ้าฟื้นตัวได้ไม่เลวเลย”
“จี้ซาน ทำให้ท่านต้องเป็นห่วงแล้ว ถ้าหากวันนั้นไม่ได้ท่านไปช่วยข้ากับเคอโหย่วจินได้ทันเวลา เกรงว่าวันนี้ข้ากับนางคงได้ไปเฝ้ายมบาลด้วยกันแล้ว” หลายวันที่ผ่านมานี้นางยังไม่ได้ขอบคุณเขาเลยสักครั้ง วันนี้จึงถือโอกาสตอนที่ชายหนุ่มมาเยี่ยมบอกขอบคุณเขาเสียหน่อย
“ท่านไม่ถือสาเรื่องที่เคอโหย่วจินทำกับท่านหรือ” เขานั่งลงฝั่งตรงข้ามกับนาง และรับน้ำชาที่เสี่ยวชิงยกมาให้
“ข้ามิใช่นักบุญ จะให้ไม่โกรธเลยได้อย่างไร แต่ที่นางทำแบบนี้ก็เพราะมีเหตุผลอยู่ ผู้ใดใช้ให้ท่านเป็นบุรุษที่นางหมายปองกันเล่า นางนึกว่าข้าจงใจกลั่นแกล้งนางต่อหน้าท่าน ถึงได้หาโอกาสมาระบายความแค้นกับข้าเช่นนี้” หญิงสาวยิ้มล้อเลียนพลางกล่าวอย่างสบายๆ
ได้ยินเผยจื่ออวี๋เอ่ยวาจาหยอกเย้าเช่นนี้ หวงฝู่จี้กลับขมวดหัวคิ้วเข้าหากันนิดๆ น้ำเสียงเย็นลง “นั่นเป็นเรื่องที่นางคิดเองเออเองทั้งนั้น ไม่เกี่ยวกับข้า”
“จริงสิ วันนี้ที่บ้านท่านมีแขกนี่นา” นางกำลังหมายถึงเคอฮูหยิน “ท่านไม่กลับไปรับรองก่อนหรือ”
หวงฝู่จี้แค่นเสียงเย็น “แขกอะไรกัน คนไร้มารยาทที่มาโดยไม่ได้รับเชิญนั่น ข้าให้หลิงอีส่งตัวให้ทางการไปแล้ว”
ร้ายกาจกว่านางเสียอีก! มุมปากของเผยจื่ออวี๋กระตุกนิดๆ “แต่…ถึงท่านจะไม่ได้ไปฟ้องทางการ หากการที่ท่านวิ่งมาหาข้าที่นี่ก็ทำให้คนเข้าใจผิด ชี้หน้าว่าข้าเป็นคนไม่มียางอายได้ ลำพังว่าข้านั้นช่างเถิด แต่ลากเอาแม่ข้ามาว่าด้วยนี่สิ เรื่องนี้ข้ารับไม่ได้เด็ดขาด”
เผยจื่ออวี๋มีเจตนาเตือนชายหนุ่มถึงฤทธิ์ร้ายของลมปากคน ว่าเขาควรไปมาหาสู่กับบ้านนางให้น้อยลงหน่อย เพื่อมิให้หญิงสาวต้องถูกนินทาว่าร้ายลับหลัง
หวงฝู่จี้ผู้เฉลียวฉลาดมีหรือจะไม่เข้าใจความหมายของหญิงสาว บุรุษสตรีมิอาจใกล้ชิดกัน และพวกเขาสองคนก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อันใด ตัวเผยจื่ออวี๋เองก็ไม่ได้คิดอะไรกับเขา นางจึงไม่อยากให้ใครต้องเข้าใจผิดจนสร้างความลำบากใจให้
ส่วนตัวเขาที่มีฐานะเป็นองค์ชาย ย่อมรู้ว่าตนไม่มีสิทธิ์จัดการเรื่องการแต่งงานด้วยตนเอง ทำให้จำต้องเก็บซ่อนความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อเผยจื่ออวี๋เอาไว้แค่ในใจ เพื่อไม่ให้เป็นการทำร้ายนาง เพราะถึงอย่างไรเขาก็อยู่ที่นี่ได้อีกแค่ไม่นาน จึงไม่ควรทำให้นางต้องมีปัญหาอีก…
“วางใจเถอะ พวกเขาจะไม่มีโอกาสชี้หน้าว่าท่านได้อีกแล้ว”
คำพูดของชายหนุ่มฟังดูแปลกๆ ราวกับมีความนัยอะไรบางอย่าง เผยจื่ออวี๋จึงเอียงคอมองอีกฝ่าย “ท่าน…”
“รอให้อาจารย์หลี่มารับช่วงงานสอนได้เมื่อไร ผู้น้อยก็จะจากไปแล้ว” เขาครุ่นคิดอยู่นานก่อนตัดสินใจมาบอกกล่าวเผยจื่ออวี๋ก่อน เผื่อว่ามีเหตุให้ต้องรีบร้อนจากไปจนอาจไม่ได้กล่าวคำอำลากันอีก
“ท่านจะไปแล้วหรือ!” เผยจื่ออวี๋ตกใจ
พอได้ยินว่าเขาจะไป ความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้ถาโถมเข้าใส่หัวใจของนางอย่างรุนแรงจนรู้สึกเจ็บแปลบ อึดอัดคับข้องไปหมด เพราะอะไรกันนะ
ยังไม่ทันที่เผยจื่ออวี๋จะได้รู้ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นคืออะไร หวงฝู่จี้ก็ลุกขึ้นประสานมือตอบคำถามของนาง
“ถูกต้อง ข้ากลัวว่าอาจต้องรีบออกเดินทางจนไม่อาจมาลาท่านได้ จึงตั้งใจมาบอกเสียตั้งแต่เนิ่นๆ”
เผยจื่ออวี๋นิ่งอึ้งไปนิดหนึ่งก่อนตอบรับ “อ๋อ…”
“เช่นนั้น ผู้น้อยขอลาก่อน”
ทั้งที่หวงฝู่จี้จากไปได้พักใหญ่แล้ว แต่เผยจื่ออวี๋กลับยังคงนั่งเหม่อลอยอยู่ที่เก่าอย่างไม่อาจเรียกสติกลับคืนมาจากคำบอกลาของชายหนุ่มได้
นางเป็นอะไรไปนะ
ในราตรีอันมืดมิดและมีลมแรง บนภูเขาจงหลิงที่เงียบสงัดพลันสว่างไสวขึ้นด้วยแสงไฟราวกับเป็นเวลากลางวัน
“จับตัวได้หรือไม่”
“ไม่ได้ รีบหาอีกเร็วเข้า! อย่าให้พวกมันหนีรอดไปจากภูเขาจงหลิงได้”
“ปิดทางเข้าออกให้หมด คอยดูไว้ว่าพวกมันจะหนีไปทางไหน!”
เสียงตวาดอย่างกราดเกรี้ยวจากพวกหัวหน้าสั่งให้ออกค้นหาตัวคนสี่คนที่ลอบขึ้นเขามาในคืนเดือนมืด ทำให้ภูเขาจงหลิงยุ่งวุ่นวายไปหมด
ถ้าหากจับตัวทั้งสี่คนนั้นไม่ได้ และของที่พวกนั้นขโมยไปถูกนำออกไปจากที่นี่จริงๆ มีหวังแย่แน่ เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงต้องเอาชีวิตของบุคคลปริศนาทั้งสี่ไว้ที่ภูเขาจงหลิงนี้ให้ได้
“ถ้าหากพวกมันขัดขืน ไม่ว่าจะเป็นคนของเราหรือคนของไส้ศึกที่ลอบแฝงตัวมาก็ให้ฆ่าทิ้งทันที อย่าได้ละเว้น ฆ่าผิดหนึ่งร้อยยังดีกว่าปล่อยให้รอดไปได้หนึ่งคน เข้าใจหรือไม่!”
“ขอรับ!”
ณ ภูเขาจงหลิงด้านที่ติดกับสวนสมุนไพรเป็นด้านที่มีการเฝ้าระวังค่อนข้างหละหลวม ชายหนุ่มชุดดำสามคนต่างช่วยกันคุ้มกันชายหนุ่มคนหนึ่งตัดผ่านป่าทึบไปอย่างช้าๆ
“นายท่าน เป็นอย่างไรบ้างขอรับ” หลิงอีดึงผ้าปิดหน้าออกเอ่ยถามหวงฝู่จี้ที่มีหน้าซีดเผือดด้วยความเป็นห่วง
“เป็นข้าที่ทำให้พวกเจ้าต้องลำบาก” ถึงแม้ว่าฝีเท้าของเขาจะว่องไวกว่าคนทั่วไป แต่เมื่อต้องมาเผชิญกับการไล่ล่าเช่นนี้ก็ยังยากที่จะปลีกตัวหนีไปได้ ยิ่งพิษหงอนกระเรียนแดงที่ได้รับมาเมื่อก่อนหน้านี้เพิ่งถูกขจัดออกไปได้ไม่นาน วรยุทธ์ที่สูญหายไปจึงยังไม่กลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ ต่อให้หวงฝู่จี้คิดจะใช้วิชาตัวเบาหลบหนีการจับกุมก็ทำได้แค่คิด เพราะไม่มีกำลังพอจะทำได้ดังใจ
“นายท่าน อย่าพูดเช่นนี้สิขอรับ ถ้าหากไม่ใช่ท่านไหวตัวทัน ข้ากับหลิงซานคงติดกับดักของตวนอ๋องไปแล้ว” หลิงเอ้อกึ่งเดินกึ่งวิ่ง พร้อมคอยเฝ้าคุ้มกันอยู่ที่ด้านหลังอย่างระมัดระวัง
หวงฝู่จี้หอบหายใจหนักพลางโบกมือ “ไม่เป็นไร พวกเรารีบไปกันเถอะ”
เพื่อป้องกันมิให้คนที่ไล่ล่ามาจากทางด้านหลังเห็นร่องรอยของพวกเขา ทั้งสี่คนจึงต้องคลำทางหนีกันไปในความมืด โดยอาศัยดวงดาวบนท้องฟ้ายามรัตติกาลช่วยนำทาง
ในระหว่างที่ทั้งสี่คนกำลังคลำทางกันไปในผืนป่าอันมืดสนิทนั้น จู่ๆ หลิงซานที่นำทางอยู่ด้านหน้าก็วิ่งกลับมาบอกด้วยสีหน้าแตกตื่น “แย่แล้ว นายท่าน ข้างหน้าเป็นน้ำตกและเป็นช่องเขาขาด พวกเราไม่มีทางหนีอีกแล้ว”
องครักษ์ทั้งสามมองหน้ากันอย่างตื่นๆ หลิงอีรีบเอ่ยซักอย่างไม่อยากเชื่อ “หลิงซาน เจ้ามองไม่ผิดแน่นะ”
หลิงซานส่ายหน้า และเมื่อพวกเขาทั้งสามคนเงี่ยหูฟังกันให้ดีแล้วก็พบว่ามีเสียงครืนโครมของน้ำตกดังแว่วมาจริงๆ
“น่าตายนัก ตอนนี้พวกเราก็ย้อนกลับทางเก่ากันไม่ได้ด้วย” หลิงเอ้อกล่าวอย่างร้อนใจ และนึกอยากจะซัดฝ่ามือตนเองให้ตายๆ ไปซะ เพราะถ้าหากเขาไม่ประมาทก็คงไม่ทำให้นายท่านต้องพลอยเข้ามาติดกับอย่างไร้ทางให้ถอยหนีเช่นนี้
“หลิงเอ้อ นี่มันไม่ใช่เวลาจะมาโทษตนเองนะ เราต้องคิดกันก่อนว่าจะฝ่าวงล้อมนี้ออกไปอย่างไร” หวงฝู่จี้แหงนหน้าขึ้นมองดวงดาวที่พราวแสงอยู่แล้วก็สั่งเสียงหนัก “อย่าช้าอยู่เลย เดินหน้าต่อไป”
เมื่อพวกเขามาถึงที่น้ำตกสูงชัน หวงฝู่จี้ก็อาศัยแสงดาวมองลงไปที่เบื้องล่างของน้ำตกด้วยใบหน้าสงบเยียบเย็น
เขาจำที่เผยจื่ออวี๋เคยบอกได้ว่าแหล่งที่มาของน้ำในทะเลสาบที่ใช้หล่อเลี้ยงสวนสมุนไพรนั้นก็คือน้ำตกขนาดใหญ่บนภูเขาจงหลิงนี้เอง
และถ้าหากเขาคาดการณ์ไม่ผิด ทางน้ำของน้ำตกนี้จะต้องตัดผ่านทะเลสาบที่อยู่ข้างๆ สวนสมุนไพรแน่ๆ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจในชั่วอึดใจนั้นทันที
“พวกเจ้าสามคนฟังให้ดี น้ำตกนี้เป็นทางรอดทางเดียวของข้า ทันทีที่ข้ากระโดดลงไป พวกเจ้าสามคนก็รีบใช้วิชาตัวเบาหนีไปซะ อย่าได้เสียเวลาต่อสู้กับใครอีกเด็ดขาด พอข้ากลับไปได้เมื่อไรจะต้องเห็นหน้าพวกเจ้าทั้งสามคนอีก นี่เป็นคำสั่ง!”
น้ำตกแห่งนี้สูงไม่น้อยกว่าสามสิบสี่สิบจั้ง ซ้ำที่ด้านล่างยังอาจมีก้อนหินใหญ่อยู่อีกมากมาย ถ้าหากกระโดดลงไปแล้วชนกับก้อนหินเข้าก็มีหวังได้ตายเท่านั้น หรือต่อให้ระดับน้ำลึกมากพอ แต่แรงปะทะกับผิวน้ำนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทนรับได้
“ไม่ได้นะขอรับนายท่าน มันอันตรายเกินไป” พอพวกหลิงอีรู้ถึงการตัดสินใจของหวงฝู่จี้แล้วก็พากันร้องห้ามเสียงดัง
“ข้าว่ายน้ำเก่งแค่ไหน พวกเจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือ” หวงฝู่จี้กวาดตามองลูกน้องผู้ภักดีทั้งสามด้วยสายตาเยือกเย็น “พวกเจ้าสามคนต้องรักษาตัวกลับมาหาข้าให้ได้ล่ะ”
ยังไม่ทันสิ้นคำ ชายหนุ่มก็ออกแรงกระโดดลงไปในน้ำตกอย่างไม่มีลังเล
และเพราะการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วนั้น ทำให้พวกหลิงอีทั้งสามคนไม่มีใครรั้งตัวเขาเอาไว้ได้ทัน นอกจากได้แต่มองดูร่างของหวงฝู่จี้จมหายไปในน้ำตกเท่านั้น เวลานี้ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็สายเกินไปแล้ว ทั้งสามคนจึงแยกย้ายกันหนีออกเป็นสามทาง
เงาร่างทั้งสามหายวับไปในผืนป่าอันมืดสนิท
โปรดติดตามตอนต่อไป…
สามารถอ่านบทอื่นๆได้ที่ >> บทที่ 1 – บทที่ 3 | บทที่ 4 – บทที่ 6 |
Comments
comments