บทนำ
เพลิงกำลังลุกไหม้อย่างรุนแรงและร้อนระอุ พาให้สะเก็ดไฟสีแดงจ้าปลิวว่อน
ท่ามกลางเปลวเพลิงร้อนแรงมีเงาสีดำกำลังดิ้นรน
ผู้หญิงสิบสามคนถูกมัดกับเสาไม้และถูกไฟแผดเผา เสียงกรีดร้องอย่างทรมานดังก้องอยู่ในอากาศ ผู้คนที่มุงดูสบถด่าด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว ดวงตาสะท้อนความตื่นเต้น สะใจ และบ้าคลั่ง
นักบวชชูไม้กางเขนพลางสาปแช่งเหล่าแม่มด สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า
เปลวเพลิงเผาไหม้รุนแรงขึ้นทุกที พุ่งสูงขึ้นไปบนฟ้า
เสียงร่ำไห้และกรีดร้องของหญิงสาวเหล่านั้นค่อยๆ หายไป จากนั้นกลุ่มคนก็จากไปด้วยความพึงพอใจ นักบวชที่ทำหน้าที่ขับไล่ปีศาจจากไปแล้ว
ในอากาศเหลือเพียงกลิ่นเนื้อไหม้และควันสีดำที่ม้วนตัวเป็นเกลียว
สุดท้ายไฟมอดดับไปหมด เหลือไว้เพียงศพไหม้เกรียมที่ถูกมัดติดกับเสาไม้ดำๆ
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ตกดิน ดวงจันทร์ขาวบริสุทธิ์ไต่ขึ้นมาบนผืนฟ้าราตรี ส่องแสงไปบนผิวทะเลสาบและศพของหญิงสาวริมทะเลสาบที่ไม่ได้จมน้ำตาย แต่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดและถูกเผาทั้งเป็น
ทันใดนั้นท่ามกลางราตรีเงียบสงัดเกิดเสียงดังสวบสาบ เด็กหญิงในชุดผ้าเนื้อหยาบสีเทา ใบหน้าซีดขาวก้าวออกมาจากป่าทึบ นางแอบย่องไปข้างหน้า ดวงตาคู่โตคอยหันไปมองข้างหลังด้วยความกังวลเป็นระยะ แต่ในป่าเงียบมาก ไม่เห็นเงาคน
เด็กหญิงเดินไปตรงหน้าศพที่สามที่ดำเกรียม ใช้ทั้งมือและเท้าในการปีนขึ้นไปบนเถ้าถ่านนั้น หลายครั้งที่เถ้าถ่านใต้ฝ่าเท้าถล่มลงทำให้นางเสียการทรงตัว ถึงขั้นล้มหน้าคะมำจนใบหน้าเต็มไปด้วยขี้เถ้า แต่นางยังคงปีนต่อไปจนกระทั่งถึงเสาไม้ที่มัดศพไหม้เกรียมไว้
เสาไม้สูงใหญ่ที่ผ่านการเผาไหม้ด้วยเปลวเพลิงร้อนแรงเปราะบางลงก็จริง แต่ยังคงตั้งตระหง่านไม่ล้มลง ศพที่หงิกงอก็เช่นกัน นางเงยใบหน้าเล็กมองศพสีดำนั้น ยื่นมือออกไปสัมผัสสองขาที่เคยขาวสะอาดงดงาม ทว่าบัดนี้กลับถูกไฟเผาจนเปลี่ยนรูป
เถ้าถ่านชิ้นหนึ่งร่วงลงมาจากศพที่ไหม้เกรียมยามนางแตะสัมผัส
เด็กหญิงเบิกตาโต แหงนมองเถ้าถ่านที่มีรูปร่างเหมือนคนด้วยความสงสัย ไม่อาจทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้
เรื่องราวไม่ได้เป็นไปตามที่นางคาดหวัง นางไม่เข้าใจแต่กลับรู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก เด็กน้อยยื่นมืออีกข้างออกไปและใช้สองมือกุมขาขวาของมารดาไว้
ความเจ็บปวดสุดแสนแผ่ไปทั่วร่าง แต่มารดายังคงไม่ขยับเขยื้อน
เส้นผมของนางชี้ตั้งกลางอากาศทีละเส้น ตุ่มน้ำผุดขึ้นบนร่างกายทีละตุ่ม ความร้อนระอุน่ากลัวโถมเข้าใส่ แต่นางไม่ยอมแพ้ น้ำตาไหลรินออกจากดวงตา เด็กน้อยกัดฟันแน่น ไม่ยอมหดมือกลับไป
จากนั้นความเจ็บปวดแสนสาหัสก็แผ่ไปทั่วร่างจนแทบอยากจะกรีดร้อง แต่นางยังคงไม่หดมือกลับ เวลานี้เองนางมองผ่านดวงตาที่พร่าเลือนด้วยน้ำตาและเห็นขาขวาของมารดาเริ่มเปลี่ยนจากสีดำเกรียมกลับสู่สภาพเดิมช้าๆ แต่ขาขวาของนางกลับเหมือนอยู่ในเตาไฟ เจ็บปวดจนแทบทรงตัวไว้ไม่อยู่
นางทำได้ นางรู้ว่านางทำได้ นางไม่เจ็บ…ไม่เจ็บ…ไม่เจ็บ…
จังหวะนี้เองมือขาวกระจ่างข้างหนึ่งโผล่ออกมาจากความมืดและคว้ามือเล็กของนางไว้ ดึงมือนางออกจากขาขวาของมารดา
“ไม่ได้”
เด็กหญิงหอบหายใจและหันกลับไปอย่างตื่นตระหนก เห็นหญิงสาวผมดำในชุดดำทั้งตัวยืนอยู่ด้านข้าง ผู้หญิงคนนั้นโน้มตัวและก้มหน้ามองนาง จับจ้องนางด้วยดวงตาดำสนิทและเอ่ยเสียงเย็นว่า “เจ้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้”
เป็นคน จะให้คนรู้ไม่ได้
มารดาเคยบอกไว้ จับตัวนางไว้แน่นพลางกำชับ ‘อย่าให้คนอื่นรู้ว่าเจ้าทำอะไรได้บ้าง’
นางควรจะหนีไป ต้องวิ่งหนีไปซ่อนตัว มารดาบอกให้นางหนี ให้นางซ่อนตัว แต่เทียบกันแล้วนางอยากให้มารดาพูดกับนางอีกครั้งมากกว่า
“นางตายแล้ว” หญิงผู้นั้นถาม “เจ้าเข้าใจหรือไม่”
เด็กน้อยจ้องหญิงผู้นั้นและคิดถึงกระต่าย ลูกนก และปลาที่ตายไป มารดาเคยบอกว่าพวกมันตายไปแล้ว หัวใจไม่เต้นและไม่หายใจแล้ว ไม่อาจช่วยได้
“แสดงว่าเจ้าเข้าใจ” หญิงสาวมองนางและปล่อยมือ
เด็กหญิงหอบหายใจพลางมองหญิงสาวตรงหน้า น้ำตารินไหลลงมาอีกครั้ง นางไม่ละความพยายามเพียงเพราะอย่างนี้ แต่ลุกขึ้นอย่างโงนเงนและยื่นมือไปหามารดาที่ร่างไหม้เกรียมอีกครั้ง
เปลวไฟพุ่งขึ้นกลางใจไปสู่สมอง
หญิงสาวหรี่ตามองเด็กหญิงหัวรั้นอย่างเย็นชา ชั่วขณะหนึ่งที่นางไม่อยากสนใจเด็กคนนี้อีก ความสามารถพิเศษของเด็กคนนี้ทำให้นางคิดถึงอดีตอันไกลโพ้น นางยืดตัวขึ้นและหันหลังจากไป
‘ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนอย่างไร’ เสียงของบุรุษดังขึ้นในหัว ‘เจ้าไม่เป็นอย่างนั้น ข้ารู้’
หญิงสาวเดินต่อไปข้างหน้าอย่างหงุดหงิด แต่รอยยิ้มของเขากลับปรากฏขึ้นตรงหน้า ทำให้นางชะงักฝีเท้า
เวลาผ่านไปหลายร้อยปีแล้ว นางแทบจะจำใบหน้าของเขาไม่ได้แล้ว แต่กลับยังจำรอยยิ้มของเขาได้ รอยยิ้มที่ประทับอยู่ในใจนาง
ข้ารู้
นางหลับตาและกำหมัดแน่น
สายลมพัดผ่านทะเลสาบปะทะใบหน้า เหมือนสัมผัสอ่อนโยนจากฝ่ามือเขา พาให้หัวใจนางหดรัด
เจ้าคนน่าโมโห
นางคิดอย่างขุ่นแค้น จากนั้นก็สูดหายใจลึกพลางลืมตาที่เปียกชื้นเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังก้าวยาวๆ กลับไปหาเด็กคนนั้นอย่างขุ่นเคือง
เด็กหญิงยังคงยืนอยู่ที่เดิม มือเล็กวางบนขาที่ไหม้เกรียม ขาขวาที่เคยเป็นสีดำเริ่มกลับคืนสู่สภาพเดิม แต่ผิวบนฝ่าเท้าข้างขวาของเด็กหญิงกลับเริ่มบิดเบี้ยว ตุ่มน้ำพุพองผุดขึ้นมามากยิ่งขึ้น
หญิงสาวยื่นมือไปกระชากมือเล็กข้างนั้นออกอีกครั้ง ความรู้สึกเจ็บปวดจู่โจมเข้ามาในจังหวะที่นางแตะข้อมือของเด็กคนนั้น
ภาพเปลวเพลิงปรากฏขึ้น ดวงตาอ่อนโยนของหญิงสาวผมดำ ดวงหน้าที่เปียกชื้นน้ำตา กระท่อมหลังเล็กในป่า การทรยศของคนในหมู่บ้าน นักบวช การมาถึงของอัศวิน ผู้หญิงคนนั้นเอาตัวเด็กหญิงไปซ่อนไว้ นางถูกโยนลงไปในทะเลสาบ ถูกไฟแผดเผา…
นางสลัดภาพเหล่านั้นทิ้งไป ขึงตามองเด็กหญิงที่น้ำตาไหลพรากเต็มใบหน้าและพูดอย่างฉุนเฉียว
“นางตายแล้ว ต่อให้เจ้าฟื้นฟูร่างนี้ขึ้นมาใหม่ นางก็ไม่มีทางลืมตาตื่นขึ้นมา ต่อให้ตื่นขึ้นมา นั่นก็ไม่ใช่มารดาของเจ้า นางจะไม่โอบกอดเจ้า ไม่คุยกับเจ้า ไม่ยิ้มให้เจ้า ไม่บอกว่านางรักเจ้าอีก…”
เด็กหญิงเบิกตาโตจ้องนางอย่างโกรธแค้นและตื่นตระหนก วินาทีต่อมาเด็กน้อยก็เริ่มดิ้นรน พยายามจะผลักนางออก
หญิงสาวไม่ปล่อยมือ แต่คว้ามือทั้งสองของเด็กน้อยเอาไว้แน่นและโน้มตัวลงจ้องอีกฝ่ายอย่างโมโห “นางจะเป็นเพียงเปลือกที่ไร้วิญญาณ รอวิญญาณร้ายมาครอบงำ หรือไม่ก็หิวตายเท่านั้น! เจ้ารู้เรื่องนี้ มารดาเจ้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าจะทำแบบนี้ไม่ได้ จะช่วยสิ่งที่ตายไปแล้วไม่ได้! นางตายแล้ว! เจ้าเข้าใจหรือไม่ ไม่อาจช่วยได้แล้ว! เจ้าเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้! ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้! เจ้าทำแบบนี้ไม่เพียงช่วยนางไม่ได้ ยังจะทำร้ายตัวเองอีก!”
นางพูดได้ครึ่งเดียวใบหน้าของเด็กหญิงก็เต็มไปด้วยน้ำตา ความเจ็บปวดไม่สิ้นสุดโถมเข้าใส่ นางเห็นเด็กน้อยอ้าปากหอบหายใจ อดทนกับความเจ็บ แต่สุดท้ายก็สะกดกลั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่และอ้าปากกว้างร้องไห้โฮออกมา
ความเจ็บปวดโถมทะลัก
นางปล่อยมือทันที มองเด็กคนนั้นคุกเข่าร้องไห้ฟูมฟายอยู่บนพื้น ขาขวาของเด็กหญิงยังคงมีตุ่มน้ำ ตุ่มน้ำเหล่านั้นแผ่ลามไปบนน่อง แผลไฟลวกทำให้เด็กน้อยมิอาจทรงตัวอยู่ได้ แต่นางรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ร้องไห้เพราะความเจ็บปวดทางร่างกาย
เด็กคนนี้เพิ่งจะตระหนักว่าตัวเองสูญเสียคนที่รักที่สุดไปแล้ว ต่อให้แลกด้วยทุกอย่างมารดาของนางก็ไม่กลับมา
ลมพัดก้อนเมฆมารวมตัวกัน ราวกับสวรรค์ต้องการแสดงความเสียใจไปกับเด็กหญิงด้วย ฝนจึงกระหน่ำเทลงมา
หญิงสาวยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน มองเด็กหญิงคุกเข่าร้องไห้โฮอยู่ท่ามกลางเถ้าถ่าน วินาทีนี้นางเหมือนเห็นเด็กหญิงอีกคนคุกเข่าอยู่บนผืนดินที่ไหม้เกรียมอีกแห่งและร้องไห้ฟูมฟาย
ท่ามกลางฝนที่ตกหนัก เด็กหญิงร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกไม่หยุด นางเองก็ยืนอยู่ที่เดิมตลอดเวลา
ไกลออกไป เสียงฟ้าร้องดังครืนคราน สายฟ้าผ่าลงมาบนผืนฟ้าราตรีเป็นระยะ ลมพายุพัดหวีดหวิวไม่หยุด สายลมแรงพัดกระหน่ำใส่ป่าทึบ ทำให้ทะเลสาบที่เดิมเรียบสงบเกิดคลื่นลูกใหญ่
นางไม่ขยับไปไหน ไม่ได้แหงนหน้ามอง เอาแต่ยืนหลุบตามองเด็กคนนั้น
ฝนตกอยู่ตลอด เด็กหญิงก็ร้องไห้อยู่ตลอด แผดเสียงร้องออกมาอย่างเต็มที่
หลังจากนั้นไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดเด็กน้อยก็เหนื่อยและหยุดร้อง เสียงร้องไห้โฮแปรเปลี่ยนเป็นเสียงสะอึกสะอื้น
ลมฝนค่อยๆ สงบลงเช่นกัน
พอฟ้าสาง ลมฝนหยุดแล้ว ร่างกายนางเปียกปอน เด็กผู้หญิงก็เช่นกัน
เสื้อผ้าและเรือนผมของทั้งสองยังคงมีน้ำหยด เหมือนเพิ่งขึ้นมาจากทะเลสาบอย่างไรอย่างนั้น
ภายใต้แสงแห่งรุ่งอรุณ นางเห็นว่าตุ่มน้ำบนขาขวาของเด็กหญิงหายไปแล้ว แต่ยังหลงเหลือรอยแผลไฟไหม้อยู่เล็กน้อย
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ ในที่สุดเด็กหญิงก็เงยหน้าอย่างขลาดกลัว เบิกดวงตาบวมแดงมองนางอีกครั้งด้วยใบหน้าไร้เดียงสา
กว่าจะรู้ตัวนางก็ยื่นมือออกไป เหมือนในอดีตที่ชายผู้นั้นยื่นมือให้นางและเอ่ยถาม
“เจ้าชื่ออะไร”
เด็กหญิงลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือเล็กขึ้นยื่นไปหานาง สูดจมูกและอ้าปากตอบว่า “เคล”
นางกุมมือของเด็กน้อย ความเจ็บปวดคืบคลานเข้ามาในใจอีกครั้ง ทำให้นางรู้สึกไปด้วย นางเกือบจะปล่อยมือและโยนเด็กคนนี้กลับไปยังกองเถ้าถ่านนั้นแล้ว แต่ราวกับชายผู้นั้นสิงอยู่ในร่างนาง นางโน้มตัวอุ้มเด็กหญิงขึ้นมา และได้ยินเสียงตัวเองพูดว่า “ข้าชื่อหลิง”
เด็กหญิงยื่นมือทั้งสองออกไปโอบคอนางและวางศีรษะบนบ่านาง
ความเจ็บปวดไม่สิ้นสุดยังคงอยู่ แต่นางเริ่มทนได้แล้ว นางพยายามไม่ทำให้ตัวเองได้รับผลกระทบ นางเกลียดความสามารถนี้ของตัวเองเหลือเกิน อยากลบความทรงจำของเด็กคนนี้ยิ่งนัก
เมื่อจำไม่ได้ย่อมไม่เจ็บปวด
ใช่ว่าแต่ก่อนนางไม่เคยทำเรื่องแบบนี้ นางเกือบจะทำแบบนั้นแล้ว สะกดจิตเด็กคนนี้และลบความเจ็บปวดเหล่านั้นออกไปซะ แต่เสียงของเขาดังขึ้นอีกครั้ง
‘เกิดเป็นมนุษย์ พวกเราจะเรียนรู้จากความเจ็บปวด’
เสียงของชายหนุ่มผุดขึ้นมาจากความทรงจำอันห่างไกล
‘ฟังเจ้าก็บ้าแล้ว’
นางได้ยินเสียงตัวเองตอบกลับไปอย่างเย็นชาและไม่เห็นด้วยในตอนนั้น เขาเพียงแต่ยิ้ม ยิ้มพลางกุมกระชับมือนาง
ใบหน้าเขาเลือนรางเสียแล้ว แต่เสียงหัวเราะของเขากลับชัดเจนยิ่ง เสียงหัวเราะนั้นนำมาซึ่งความอบอุ่น ทำให้หัวใจนางทั้งอบอุ่นและเจ็บปวด
เดิมทีนางคิดว่าตัวเองหัวใจด้านชาไปตั้งแต่เมื่อพันปีก่อนแล้ว เหลือไว้เพียงความโกรธและความแค้น คิดไม่ถึงว่าจะได้พบเขา
นางควรลบความทรงจำของเด็กคนนี้เสีย เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าเด็กหรือนางย่อมไม่เจ็บปวดอีก ทว่านางตระหนักดีกว่าใครว่าวิธีนั้นใช้ไม่ได้ผล เด็กคนนี้ต้องจดจำทุกอย่างเอาไว้ จึงจะไม่ผิดพลาดในเรื่องเดิมอีก
ดังนั้นนางจึงไม่ทำอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่อุ้มเด็กคนนั้นแล้วหันหลัง
ป่าตรงหน้าไม่ได้เขียวขจีเหมือนเมื่อวานตอนนางผ่านมาแล้ว ราวกับแค่ชั่วข้ามคืนป่าทั้งผืนก็เปลี่ยนจากฤดูร้อนเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ก่อนจะเป็นฤดูหนาว ทั้งที่เป็นฤดูร้อนที่อากาศร้อนที่สุด แต่ต้นไม้ส่วนใหญ่ในป่ากลับผลัดใบจนไม่เหลือใบ แม้จะมีบางต้นที่เหลือใบอยู่ แต่ก็ห้อยอยู่บนกิ่งไม้ในสภาพใกล้ร่วงเต็มที ทั้งเหลืองกรอบและเหี่ยวแห้ง
เด็กคนนี้ควบคุมตัวเองไม่ได้ นางดูดพลังเข้าไปมากเกินไปและปล่อยออกมา
ป่าผืนนี้ไม่มีแม่มดพิทักษ์ผืนดินแล้ว ทั้งยังสูญเสียภูตไปนาน การจะฟื้นฟูให้กลับเป็นเหมือนเดิมอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลานับร้อยปี
ยามนางอุ้มเด็กน้อยจากไป ทุกย่างก้าวล้วนก่อให้เกิดสายลมบางๆ ที่พัดพาใบไม้ให้หลุดร่วงมากกว่าเก่า กวาดเอาสีสันในป่าไปมากยิ่งขึ้น
นางไม่เหลือบแลป่าแห่งนั้น อุ้มเคลหมุนตัวจากไปโดยไม่เหลียวหลัง
บทที่ 1
หมอกสีขาวขมุกขมัว
ท่ามกลางม่านหมอกหนาทึบ ต้นไม้สูงใหญ่ยืนต้นตระหง่านอยู่กลางราตรี เถาวัลย์อวบหนานับไม่ถ้วนเกี่ยวเลื้อยไปมาตามกิ่งไม้
ในป่าเงียบสนิทจนไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
ชายหนุ่มเดินอยู่กลางหมอกหนาที่ยื่นนิ้วทั้งห้าออกไปแล้วมองไม่เห็นด้วยความระมัดระวัง ย่ำเท้าไปบนใบไม้เปื่อยเปียกชื้นที่ทับถมกันเป็นชั้นๆ จากนั้นในที่สุดหมอกหนาที่โอบล้อมเขาอยู่ก็เริ่มเบาบาง เขายังคงเดินหน้าต่อไปอย่างระมัดระวัง
หมอกข้างหน้าจางลงทุกที เขาไม่รู้สึกถึงสายลม แต่ได้ยินเสียงน้ำจากลำธาร
เงามืดที่ปรากฏอยู่กลางป่าทึบชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อม่านหมอกสลายไป
แสงจันทร์อ้างว้างสาดส่องลงมา ทะลุใบไม้สีดำ ทะลุม่านหมอกสีขาวที่ค่อยๆ สลายตัวไป และส่องไปยังกระท่อมหลังเล็กที่ตั้งอยู่ในส่วนลึกของป่าทึบ
กระท่อมหลังนั้นสร้างจากไม้บนพื้นที่ราบที่ปรากฏอยู่กลางป่าลึกอย่างน่าแปลก หลังคามุงด้วยหญ้าฟาง ข้างกระท่อมมีกังหันน้ำตัวเล็กหมุนช้าๆ หลังกระท่อมมีปล่องควันซึ่งพบเห็นได้น้อยในแถบนี้กำลังพ่นควันสีขาว
หากกระท่อมหลังนี้ตั้งอยู่ข้างทุ่งข้าวสาลีซึ่งเป็นพื้นที่ราบจะดูปกติธรรมดามาก แต่เมื่ออยู่ในป่าลึกที่ไม่เห็นร่องรอยคนกลับดูแปลกประหลาดยิ่ง อีกทั้งที่นี่ยังไม่มีถนนหนทางที่ตัดผ่านป่าออกสู่ถนนภายนอกเลย
ไม่มีคนปกติที่ไหนจะมาสร้างบ้านที่นี่ ไม่มีที่ใดอันตรายไปกว่าในป่าอีกแล้ว ในป่าเต็มไปด้วยสัตว์นานาชนิด นอกจากนายพรานแล้วน้อยคนนักที่อยากจะเข้ามา
ชายหนุ่มมองกระท่อมหลังเล็กด้วยความตระหนกและก้มตัวลงอย่างรวดเร็ว
นอกกระท่อมไม่เห็นเงาผู้ใด… เขาพรางตัวอย่างระมัดระวังพลางสังเกตการณ์
ด้านหลังกระท่อมไม้มีฟืนที่ผ่าแล้วกองอยู่ ยังมีแปลงผักอุดมสมบูรณ์อีกแปลงหนึ่ง
ราตรีในป่าลึกเงียบสงัด เงียบจนแทบจะได้ยินเสียงเต้นของหัวใจตัวเอง
แสงอบอุ่นส่องออกมาจากหน้าต่างบานเล็ก ดูอบอุ่นเป็นพิเศษเมื่ออยู่ในป่าทึบท่ามกลางราตรีในต้นฤดูใบไม้ผลิ เขาอ้อมไปด้านข้างกระท่อมและมองผ่านหน้าต่างที่เปิดอยู่เข้าไป เห็นเตาและหม้อเหล็กใบใหญ่ที่แขวนอยู่เหนือเตา
ของที่อยู่ในหม้อเหล็กเดือดปุดๆ อาหารที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกลิ้งวนไปมาอยู่ในหม้อ
กลิ่นหอมของอาหารฟุ้งอยู่ในอากาศ เป็นซุปเนื้อใส่แครอตกับผักสด น้ำซุปนั้นหอมกรุ่น แต่กลับปลุกความอยากอาหารของเขาไม่ได้เลย
ในยุคสมัยนี้ ต่อให้เนื้อที่อยู่ในหม้อเป็นเนื้อคน เขาก็ไม่แปลกใจนัก
ฉับพลันนั้นเสียงนกกระพือปีกดังมาจากด้านบนทางขวามือ ชายหนุ่มตกใจ เงยหน้ามองทันที
แค่นกฮูกตัวหนึ่ง
เขาจ้องนกที่บินห่างไปไกล คลายมือที่กุมดาบซึ่งเหน็บอยู่ข้างเอวออก ชายหนุ่มเม้มปากและก้มตัว ขยับไปด้านข้างกระท่อมและมองผ่านหน้าต่างเข้าไปอย่างระวัง
ภายในกระท่อมไม่ใหญ่นัก กวาดตามองรอบเดียวก็เห็นทุกอย่างในนั้นแล้ว
ธนูอย่างดีแขวนอยู่บนฝาผนัง บนโต๊ะนอกจากตะเกียงน้ำมันที่ไม่ได้จุดแล้วยังมีแอปเปิ้ลหนึ่งกระจาด บนพื้นข้างเตียงปูพรมเปอร์เซียหรูหรา เครื่องปั่นด้ายตั้งอยู่มุมห้อง บนขื่อแขวนสมุนไพรแห้งนานาชนิด รวมถึงไส้กรอก แฮม บนราวไม้ติดผนังมีทัพพีหลายประเภทแขวนอยู่ รวมถึงหม้อตื้นลึกแบบต่างๆ บนชั้นวางของมีโหลแก้วรูปทรงหลากหลายวางเรียงราย ในโหลแก้วเป็นของเหลวที่ไม่รู้ว่าคืออะไร บ้างก็แช่สมุนไพร บ้างก็แช่หนอนหรืองูไว้
อาหารอุดมสมบูรณ์ที่อยู่ในกระท่อมทำให้ทุกอย่างดูไม่เหมือนจริงยิ่งขึ้นไปอีก หิมะในฤดูใบไม้ผลิเพิ่งจะละลาย ตามหลักแล้วไม่น่าจะมีแอปเปิ้ลสดๆ แต่ผลไม้ที่ดูเหมือนผลไม้ปีศาจกลับตั้งอยู่ตรงนั้น ผิวมันวาวอวบอิ่ม สภาพเหมือนเพิ่งเด็ดมาจากต้นอย่างไรอย่างนั้น
ในกระท่อมไม่มีคน แต่เขาไม่คิดว่าคนผู้นั้นจะจากไปไหนไกล เพราะซุปเนื้อยังเดือดพล่าน เขาเดาว่าคนในบ้านแค่ออกไปข้างนอกในระยะใกล้ๆ เท่านั้น อีกไม่นานก็จะกลับมา
ชายหนุ่มยันมือกับขอบหน้าต่างแล้วกระโดดเข้าไป สังเกตเห็นว่าข้างเตาในห้องครัวมีโถดินเผาเรียงเป็นแถว ข้างในเป็นผงสีต่างๆ
เขาหรี่ตา บางทีเขาอาจไม่ควรลอง แต่เขาอยากรู้ว่าของพวกนั้นคืออะไร
เขาคว้าส่วนหนึ่งขึ้นมาดมและเลียดู
เป็นเกลือ แน่นอนอยู่แล้ว
ยังมีเนื้อตากแห้ง อบเชย พริกไทยดำ น้ำตาล ด้านข้างมีขิงอยู่ส่วนหนึ่งด้วย ไม่นานเขาก็พบว่าของพวกนี้ไม่ใช่ยาพิษแต่เป็นเครื่องเทศ
เครื่องเทศที่แพงยิ่งกว่าทองคำ
อีกทั้งพวกนี้ยังเป็นเครื่องเทศเพียงไม่กี่ชนิดที่เขารู้จัก เกรงว่าเครื่องเทศอื่นๆ ที่เขาไม่รู้จักคงมีราคาไม่น้อย ยังไม่รวมถึงโถแก้วบนชั้นวางของและพรมทอลายซึ่งไม่ใช่ของที่หาได้ง่ายๆ ผนังที่ติดกับเตียงยังมีหนังสืออีกหนึ่งตู้ด้วย
กระดาษพบเห็นได้น้อยมากในดินแดนแห่งนี้ หนังสือยิ่งหายากเข้าไปใหญ่
ไม่ว่าใครที่อาศัยอยู่ในกระท่อมหลังนี้จะต้องมีเงินมหาศาล ทั้งยังรู้หนังสือ
ตรงมุมข้างตู้หนังสือมีไม้กวาดที่ทำจากหญ้าฟางอันหนึ่งวางอยู่ บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมกระท่อมหลังนี้จึงสะอาดถึงเพียงนี้ เขาไม่ได้ใส่ใจไม้กวาดอันนั้นนัก เขาเคยได้ยินตำนานพวกนั้น แต่คิดว่าไม่น่าเชื่อถือ
ชายหนุ่มก้าวเข้าไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมา ตัวอักษรที่อยู่ข้างในเป็นภาษาละติน แต่อีกเล่มไม่ใช่ เขาไม่รู้จักตัวอักษรแบบนั้น ตัวอักษรในเล่มข้างๆ เขาก็ไม่รู้จักเช่นกัน
หนังสือทุกเล่มที่อยู่บนชั้นล้วนประณีตงดงาม บางเล่มมีภาพประกอบด้วย หนังสือหลายเล่มมีแถบกระดาษที่เขียนบางอย่างแทรกเอาไว้ ในนั้นมีดอกหญ้าแห้งอยู่ ทำให้หนังสือแผ่กลิ่นหอมจางๆ ออกมา
หนังสือเหล่านี้ถูกพลิกอ่านหลายครั้ง ไม่ได้มีไว้เพื่อประดับเท่านั้น
ชายหนุ่มปิดหนังสือและวางคืนที่เดิม
หนังสือพวกนี้ทำให้เขามั่นใจในเป้าหมายของการเดินทางมาครั้งนี้มากยิ่งขึ้น แต่เพื่อความแน่ใจ เขายังคงค้นกระท่อมหลังนั้นอย่างรวดเร็ว
เตียงหนึ่งหลัง หมอนหนึ่งใบ ผ้าห่มหนึ่งผืน ปากกาขนนกหนึ่งด้าม หมึกหนึ่งขวด เสื้อผ้าหนึ่งหีบ ใต้เตียงมีหีบไม้ใบเล็กที่บรรจุเหรียญทองไว้ ในกระท่อมไม่มีรองเท้าอีกคู่หรือเสื้อผ้าของบุรุษ หลักฐานทุกอย่างแสดงชัดว่าเจ้าของกระท่อมเป็นสตรี เหมือนกับข่าวที่เขาได้รับมา หญิงชราคนนี้อาศัยอยู่ตามลำพัง
แม้กระท่อมหลังนี้จะไม่มีไม้กางเขน แต่เขาก็ไม่เห็นสัญลักษณ์ของพวกที่บูชาปีศาจหรือซาตานเหมือนกัน…
ฉับพลันนั้นเขาได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาแต่ไกล จึงปราดไปที่หน้าต่างและมองออกไป
มีคนสวมชุดคลุมสีดำถือตะกร้าเดินออกจากป่าและกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ หมวกคลุมสีดำปกปิดใบหน้าของผู้มา ฝีเท้าเชื่องช้าและกะโผลกกะเผลก ตลอดจนปอยผมสีขาวที่โผล่พ้นออกมาจากหมวกคลุมทำให้เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายอายุมากแล้ว
พอคนผู้นั้นเงยหน้ามองมาทางนี้ เขาก็หดตัวหลบไปจากหน้าต่างทันที
ก่อนมาที่นี่เดิมทีเขายังไม่มั่นใจว่าตัวเองต้องการทำอะไรกันแน่ แต่วินาทีนี้เขารู้ว่าตัวเองไม่มีทางเลือกแล้ว
เขาต้องพานางกลับไป
ชายหนุ่มก้าวยาวๆ ไปที่มุมห้อง คว้ากระสอบป่านที่บรรจุกะหล่ำปลีอยู่เต็มขึ้นมาแล้วเทกะหล่ำปลีออก จากนั้นก็ไปหลบข้างประตูโดยเร็วและเฝ้ารอ
หญิงชราผู้นั้นเดินย่ำผืนหญ้าจนมาถึงนอกประตูพร้อมเสียงดังสวบสาบ ในที่สุดก็ผลักประตูไม้และเดินเข้ามา
เมื่อเห็นกะหล่ำปลีหล่นเกลื่อนเต็มพื้น นางตะลึงงันอย่างเห็นได้ชัด
เขาไม่รอให้นางตั้งตัว ใช้กระสอบป่านครอบตัวนางจากข้างหลังอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พลิกตัวนางจนตีลังกา นางหวีดร้องเสียงหลง ตะกร้าเห็ดในมือหล่นกระจาย เท้าชี้ฟ้าหน้าทิ่มดินขณะดิ้นรนอยู่ในกระสอบป่าน เขาหมุนกระสอบอย่างรวดเร็วและผูกเชือก เอ่ยปากขู่เสียงเย็นว่า “เงียบ หาไม่ข้าจะฆ่าเจ้าซะ”
นางตัวแข็งทื่อ ไม่เคลื่อนไหวอีก
เขาแบกนางขึ้นบ่า มือคว้าทรัพย์สินที่ถือโอกาสปล้นมาเมื่อครู่นี้ขึ้นมาด้วยและหมุนตัวเดินออกไป
“ไฟ! ดับไฟก่อน!” เสียงประท้วงอู้อี้ดังมาจากในกระสอบป่าน
เขาขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้หยุดเดิน
“หากเจ้าจะพาข้าไปจากที่นี่ เจ้าต้องดับไฟก่อน! หาไม่ไฟจะไหม้ป่าทั้งหมด!” แม้เสียงที่ลอดออกมาจากในกระสอบจะไม่ชัดและแหบพร่า แต่สื่อความหมายได้ชัดเจน นางเริ่มดิ้นรนอีกครั้ง
เขาหยุดเดิน ไม่ใช่เพราะนางก่อกวนเขา แต่เพราะเขารู้ว่านางพูดถูก
ชายหนุ่มวางนางกับทรัพย์สินที่ปล้นมาได้ลงบนพื้น แม้จะอยากโยนนางลงไป แต่เขาไม่แน่ใจว่ากระดูกของคนแก่อย่างนางจะทนรับไหวหรือไม่ เขาจึงก้มตัววางนางลงแล้วค่อยหมุนตัวเดินไปข้างเตาไฟ ตักน้ำในโอ่งขึ้นมาสาดใส่ถ่านไฟให้มอดดับ
พอเขาจัดการเตาไฟเสร็จ หันกลับมาก็เห็นกระสอบป่านเคลื่อนไหวยุกยิกเหมือนตัวหนอน พยายามจะขยับไปที่ประตู
เขาคว้าตัวนางที่ดิ้นดุกดิกเหมือนหนอนขึ้นมาและแบกขึ้นบ่าดังเดิม นางส่งเสียงฮึดฮัด
เขาคิดว่านางจะขัดขืน แต่นางกลับใช้เสียงแหบพร่าไม่ชัดเจนพูดว่า “นี่ เจ้าไม่ต้องทำแบบนี้ หากเจ้าต้องการเงิน ข้ามี…”
ครั้งนี้เขาไม่ได้สนใจนาง เพียงแต่โน้มตัวคว้ากระสอบใส่ของมีค่าที่กวาดมาได้ขึ้นมาอีกครั้ง เสียงเหรียญทองกระทบกันใสกังวานทำให้นางตื่นตกใจเมื่อรู้ว่าเขาเจออะไรบ้างแล้ว
นางตระหนักถึงสถานการณ์จึงเปลี่ยนคำพูดเป็นว่า “เอาเถอะ ข้าคิดว่าเจ้าคงหาเหรียญทองของข้าพบแล้ว ถ้าหากเจ้ายินดีดื่มซุปเนื้อลงไปด้วยข้าจะซาบซึ้งใจมาก ข้าไม่อยากกลับมาเก็บหม้อที่มีหนอนไต่ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด”
หากเขายอมดื่มซุปในหม้อทั้งที่ไม่รู้ว่าคืออะไร หัวสมองเขาคงผิดปกติแน่ๆ ใครจะไปรู้ว่านางใส่อะไรลงไปบ้าง ด้วยเหตุนี้เขาจึงแบกนางก้าวยาวๆ ออกจากกระท่อมอบอุ่นหลังนั้นโดยไม่พูดอะไร
“ข้ารู้นะว่าเจ้าคิดว่าข้าเป็นอะไร แต่ข้าไม่ใช่…”
อากาศเย็นเยียบข้างนอกปะทะเข้ามา เขาเดินหน้าต่อไป
“ได้โปรดฟังข้าเถอะ…”
เพื่อให้นางหุบปาก เขาผิวปากเป็นเสียงดังกังวาน
ม้าสีดำตัวใหญ่วิ่งออกมาจากป่า เขาโยนนางขึ้นไปและพลิกตัวขึ้นม้าตามมา
หญิงชราตื่นตระหนกอีกครั้ง เขาได้ยินเสียงนางสบถด่าไม่หยุด บางคำเป็นภาษาต่างถิ่นด้วยซ้ำ เขาไม่ได้ตั้งใจฟัง ถึงอย่างไรแปดส่วนก็คงกำลังด่าเขาอยู่แน่ๆ นางบ่นตลอดทางไม่หยุด ทั้งข่มขู่และเอาผลประโยชน์เข้าล่อ สุดท้ายเมื่อเขาควบม้าขึ้นไปบนทางภูเขาที่ขรุขระ นางก็หุบปากอย่างชาญฉลาด ไม่เสี่ยงอันตรายพูดพล่ามจนอาจกัดลิ้นตัวเองขาดและเปลืองน้ำลายโดยเปล่าประโยชน์อีก
ม้าสีดำตัวโตบรรทุกเขาวิ่งฝ่าหมอกหนาสีขาวและป่าทึบ
กว่าเขาจะพาหญิงชราออกจากป่าได้ก็เป็นเวลารุ่งสางแล้ว หมอกบริเวณชายป่าเบาบางลงและค่อยๆ สลายหายไป แสงแดดส่องผ่านม่านหมอกและใบไม้ลงมายังผืนแผ่นดิน
เมื่อหมอกสีขาวสลายหายไป ป่าไม้เบาบางลงเรื่อยๆ ฉับพลันสรรพสิ่งรอบด้านก็ปลอดโปร่ง
แสงแดดสาดส่องทิวทัศน์เบื้องหน้าช้าๆ ทุ่งนาผืนแล้วผืนเล่าปรากฏตรงหน้า ลำธารสายเล็กล้อมทุ่งข้าวสาลีไว้ตรงกลาง ห่างออกไปมองเห็นกระท่อมหลังเล็ก
มองผ่านๆ นี่น่าจะเป็นทิวทัศน์ที่งดงาม
แต่หากสังเกตให้ละเอียด ทุ่งข้าวสาลีเหล่านั้นถูกทิ้งร้างแล้ว ตอนควบม้าผ่านกระท่อมหลังนั้นเห็นได้ว่าหญ้าฟางที่อยู่ข้างบนเริ่มขึ้นรา หน้าต่างไม้บนผนังก็ทรุดโทรมไปนานแล้ว
เขาเห็นกระท่อมหลังนี้ตั้งแต่ขามา มันถูกทิ้งร้างมาเนิ่นนาน เจ้าของบ้านแปดส่วนไม่ตายก็คงหลบหนีไปจากที่นี่แล้ว ทุ่งข้าวสาลีที่ไม่มีคนดูแลมีวัชพืชขึ้นเต็ม เครื่องมือเกษตรกรรมถูกโยนทิ้งไว้ด้านข้างเนื่องจากขึ้นสนิมและชำรุดหมดแล้ว แม้แต่หัวขโมยยังไม่ต้องการ
พอถึงพื้นที่ราบอีกครั้งหญิงชราก็พยายามพูดอีก แต่เขาไม่ให้โอกาสนาง ควบม้าให้เร็วขึ้นและทะยานขึ้นไปบนภูเขา
ภูมิประเทศและสถานการณ์แบบเดียวกันปรากฏขึ้นซ้ำๆ ทุ่งนา บ้านร้าง และผืนป่ากว้างใหญ่ไร้ขอบเขตที่โอบล้อมสิ่งเหล่านี้ไว้ บางครั้งเขาเห็นทาสติดที่ดินหลายคนที่ไม่หลบเลี่ยง พวกเขาส่วนใหญ่จะยืนแข็งทื่ออยู่ในทุ่งนาหรือบ้านหลังเก่าด้วยสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก โค้งหลังห่อไหล่ ดวงตาสะท้อนแววแห่งความตาย ดูเหมือนศพที่ตายไปนานแล้ว
บนผืนดินแห่งนี้แม้จะมีแสงอาทิตย์ที่หาได้ยากยิ่งสาดส่องลงมา แต่ทุกหนแห่งก็ยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย ไม่ว่าคนหรือสัตว์ล้วนผอมแห้งจนเห็นกระดูก ดูซึมเศร้าและน่าหดหู่
ตอนเขาควบม้าผ่านหมู่บ้านเกษตรกรรมที่ถูกทิ้งร้าง สถานการณ์ย่ำแย่กว่าเดิม บ้านเรือนกว่าครึ่งปิดประตูแน่นสนิท ส่วนอีกครึ่งบานประตูแค่ปิดไว้หลวมๆ นั่นแสดงว่าข้างในมีคนอยู่ ทว่าพอเปิดประตูเข้าไปส่วนใหญ่จะพบเจ้าของบ้านที่ตายไปแล้ว บนถนนที่เฉอะแฉะไปด้วยโคลนไม่เพียงปราศจากผู้คน แม้แต่หมาหรือแมวสักตัวยังไม่เห็น นกสักตัวก็ไม่มี ทั้งหมู่บ้านมีแต่ความสกปรก ชำรุดทรุดโทรม เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นคลุ้งและกลิ่นอายแห่งความตาย
แต่ก่อนที่นี่ไม่เป็นแบบนี้ เขาจำได้ว่าที่นี่เคยคึกคักรุ่งเรือง มีตลาดนัดเดือนละสองครั้ง ผู้คนที่อาศัยอยู่ละแวกใกล้เคียงจะมาชุมนุมแลกเปลี่ยนทำการค้ากัน แต่วันเวลาดีๆ ได้ผ่านพ้นไปแล้ว
เขาควบม้าออกจากหมู่บ้านแห่งนั้นและขึ้นไปบนเนินเขาอีกครั้ง เข้าสู่ป่าอีกแห่งหนึ่ง
สัตว์พาหนะที่อยู่ใต้ร่างรู้ทางกลับบ้านเป็นอย่างดี มันวิ่งไปบนเส้นทางคดเคี้ยวเล็กๆ อย่างรวดเร็ว
ไม่นานมันก็วิ่งผ่านเส้นทางเล็กๆ ที่เชื่อมต่อระหว่างภูเขามาถึงปลายทาง
สิ่งก่อสร้างสีเทาขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า กำแพงหินสีเทามีตะไคร่สีเขียวขึ้นเต็มเพราะปริมาณฝนจำนวนมาก ทำให้ดูอับชื้นและมืดสลัว
แม้จะมีแสงแดดที่หาได้ยากสาดส่องอยู่ก็ไม่ทำให้มันดูดีขึ้นแม้แต่น้อย อันที่จริงแสงสว่างที่ส่องลงมากลับยิ่งทำให้สภาพชำรุดทรุดโทรมนั้นชัดเจนกว่าเดิม
ชายหนุ่มสูดหายใจลึกพลางเม้มปาก รวบเชือกบังเหียนและควบม้าเข้าไป
“นายท่าน! เป็นนายท่าน นายท่านกลับมาแล้ว!”
เนื่องจากเหนื่อยเกินไปนางจึงนอนนิ่งอยู่ในกระสอบป่าน ไม่พยายามต่อต้านอีก จนในที่สุดเขาก็หยุดม้า แทบจะในช่วงเวลาเดียวกันกับที่นางได้ยินเสียงคนและตื่นตัวทันที
“นายท่าน นั่นคืออะไร อาหารใช่หรือไม่ขอรับ”
“ไม่ใช่”
ถูกต้อง นางไม่ใช่อาหาร
วินาทีต่อมาเจ้าคนน่าโมโหก็ลากนางลงมาจากหลังม้าอย่างหยาบคายและแบกนางขึ้นบน…น่าจะบ่าของเขา
นางส่งเสียงฮึดฮัดและอดดิ้นไม่ได้ จากนั้นก็ได้ยินเสียงคนสูดหายใจ
“โอ นายท่าน ท่านทำอะไร”
“สิ่งที่อยู่ในกระสอบคงไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในป่า…”
“โอ สวรรค์…”
“นายท่าน ท่านไป…”
“เป็นแม่มด…”
“นังปีศาจกินคนผู้นั้น…”
“พระเยซูคริสต์ พระแม่มารี โปรดคุ้มครองพวกเราด้วย…”
กลุ่มคนกระซิบกระซาบกันด้วยความตื่นตระหนก เด็กบางคนร้องไห้จ้า
นางหยุดดิ้นรนและเอ่ยปากแย้ง
“ข้าไม่ใช่แม่มด! เขาเข้าใจผิดแล้ว!”
เสียงสูดหายใจดังขึ้นอีกหลายครั้ง
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบคำถามของพวกเขา เอาแต่แบกกระสอบป่านที่บรรจุนางไว้ก้าวไปข้างหน้าพลางออกคำสั่ง
“หลุยส์ มาดูแลม้า! แอนโธนี่ แอนเดอร์สัน ปิดประตู! ลิซ่า ห้ามเป็นลม! โซเฟีย มารับหมวกข้าและนำไปแขวน!”
“แต่นางจะสาปแช่งพวกเรา พวกเราทั้งหมดจะตายอยู่ที่นี่…”
“นางไม่ทำอย่างนั้นหรอก นางไม่ใช่แม่มด พวกเราจะไม่ตาย…” ชายหนุ่มพูดอย่างเหลืออดพลางกระตุกเชือกที่มัดกระสอบป่านออกแล้วเทตัวนางออกมาเหมือนเทกะหล่ำปลี ปากประกาศว่า “นางเป็นแค่หญิงแก่ที่เคยร่ำเรียนหนังสือมาเท่านั้น!”
นางร่วงลงมาจากกระสอบป่าน กลิ้งไปบนพื้นสองตลบและรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย พอนางเงยหน้าหมวกคลุมบนหัวก็หลุดลงมา
แสงแดดแสบตาเกินไป แรกเริ่มนางเห็นไม่ชัด แต่นางได้ยินเสียงความเงียบที่น่ากลัว เสียงเอะอะรอบด้านก่อนหน้านี้หายไปสิ้น เหมือนทุกคนหยุดลมหายใจในชั่ววินาทีนี้
นางกะพริบตาและกะพริบตาอีกครั้ง ในที่สุดก็ปรับสายตาให้เข้ากับแสงที่แยงตาได้ และเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนแยกขาก้มหน้าขมวดคิ้วจ้องนางอย่างตกตะลึง
เขาสวมชุดเกราะห่วงโซ่คลุมทับด้วยเสื้อสั้น ที่เอวเหน็บดาบ ใบหน้าแข็งกร้าวดุดันเหมือนหินผา
“ข้าไม่ใช่แม่มด” นางมองผู้ชายท่าทางดุดันคนนั้นและรีบเอ่ยปาก เสียงแหบแห้งเหมือนเสียงหญิงชราดังขึ้นในลานกว้างอันเงียบสงัดและสะท้อนอยู่ในอากาศ
ชายหนุ่มไม่ตอบอะไร แต่เด็กหญิงด้านข้างอ้าปากร้องไห้โฮออกมากะทันหัน
เสียงร้องไห้กับความตื่นตระหนกเหมือนโรคติดต่อ มันแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว กลุ่มคนแตกฮือและวิ่งหนีไปคนละทิศคนละทาง พริบตาเดียวก็หายไปหมด
นางตะลึงงัน ยังไม่ทันรู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น หันกลับไปก็เห็นเพียงชายเสื้อกับชายกระโปรงหายเข้าไปหลังบานประตู ตามมาด้วยเสียงปิดประตูหน้าต่างดังโครมๆ
แทบจะในเวลาเดียวกัน นางเพิ่งตระหนักว่าตัวเองอยู่ในปราสาทแห่งหนึ่งที่ก่อจากหิน
“บัดซบ!”
เสียงสบถของชายหนุ่มทำให้นางแหงนหน้ามองเขาอีกครั้ง หมอนั่นไม่ได้หนีไปไหน แต่กลับถลึงตาใส่นางด้วยใบหน้าโกรธเกรี้ยวและคำรามใส่นางว่า “เจ้าควรเป็นหญิงชราคนหนึ่ง!”
เขาไม่ควรเอ่ยคำพูดนั้นออกมา แต่เสียงคำรามนั้นถูกโพล่งออกมาแล้ว ในเวลาเดียวกันเขาก็ได้ยินเสียงหอบหายใจอย่างตื่นตระหนกและเสียงร้องไห้ของคนที่หลบเข้าไปในบ้าน
เขาตระหนักดีถึงสาเหตุที่คนเหล่านั้นหวาดกลัว
เขาคิดว่าคนที่เขาพากลับมาเป็นยายแก่คนหนึ่ง เขาบอกทุกคนว่านางเป็นหญิงชรา แต่นางไม่ใช่! คนที่มีตาแค่มองก็รู้แล้ว
ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่คนแก่ แม้นางจะตัวเล็กแต่นางไม่แก่แม้แต่น้อย ไม่เพียงไม่แก่ นางยังดูอ่อนเยาว์งดงาม ผิวพรรณเนียนละเอียด เครื่องหน้าประณีต จมูกจิ้มลิ้มน่ารัก ริมฝีปากดูอ่อนนุ่มเหมือนกลีบดอกไม้ นอกจากนี้นางยังมีเรือนผมสีดำขลับยาวถึงเอว
แต่หากมีเพียงเท่านี้ทุกคนคงไม่หวาดหวั่นขนาดนี้ แม้เขาจะทำผิดพลาดน้อยมาก แต่ก็มีบ้างเป็นบางเวลาที่เขาอาจจะเข้าใจผิด และนางอาจจะไม่ใช่แม่มด
แต่ให้ตายเถอะ! นางดูเหมือนแม่มดชะมัด
ท่ามกลางกลุ่มผมสีดำสนิทของนางมีปอยผมสีขาวปรกลงมาตรงหน้าผากด้านขวาดูเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ แถมดวงตาคู่นั้นของนาง…ดวงตาบัดซบคู่นั้นยังเป็นสีเขียวมรกตอีก
หลังจากเขาพ่นเสียงคำรามออกไป นางกลับไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัว เพียงแต่เบิกดวงตาสีเขียวใสกระจ่างเหมือนบ่อน้ำแร่ในป่าโตกว่าเดิม
“ขอโทษที่ทำให้เจ้าผิดหวัง” นางจ้องเขาตรงๆ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
คำพูดที่ใกล้เคียงกับการประชดเสียดสีเช่นนี้ทำให้เขาโมโหยิ่งขึ้นอย่างไร้สาเหตุ เสียงแหบแห้งเหมือนหญิงชราของนางไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย เพื่อไม่ให้เรื่องราวย่ำแย่ไปกว่านี้ ทำให้ผู้คนตื่นตระหนกหวาดกลัวมากไปกว่าเดิม เขาคว้าตัวนางขึ้นมาและแบกขึ้นบ่าอีกครั้ง ก่อนจะก้าวยาวๆ เข้าไปในอาคาร
“นี่! เจ้า! ปล่อยข้านะ!” นางดิ้นรนส่งเสียงประท้วงอยู่บนบ่าเขา “จะพาข้าไปไหน”
คำตอบของเขาคือการฟาดก้นนางหนึ่งทีพร้อมเสียงตวาด “หุบปาก!”
การถูกฟาดก้นทำให้นางสูดหายใจด้วยความอับอาย แต่ยังคงพยายามสะกดความหวาดกลัวในใจและบอกผู้ชายป่าเถื่อนคนนี้ว่า “ข้าไม่ใช่แม่มด ข้าพยายามบอกเจ้าระหว่างทางแล้ว เจ้าเข้าใจผิดเอง”
“แต่เจ้าอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้น!” ชายผู้นั้นตะคอกอย่างฉุนเฉียวพลางแบกนางก้าวสวบๆ เข้าไปในประตูบานหนึ่ง ขึ้นบันไดเล็กแคบ
“นั่นบอกได้เพียงว่าข้าอาศัยอยู่ที่นั่น ไม่ได้หมายความว่าข้าเป็นแม่มด!” นางฝืนข่มความหวาดหวั่น ทุบเกราะห่วงโซ่เย็นเยียบบนแผ่นหลังเขาและพยายามโต้แย้ง “เพียงเท่านี้ก็ปักใจเชื่อว่าข้าเป็นแม่มด โง่เง่าเกินไปแล้ว!”
“นั่นเป็นบ้านของแม่มด!” เขาแบกนางเดินขึ้นบันไดอย่างรวดเร็ว
“นั่นเป็นแค่กระท่อมที่ตั้งอยู่ในป่า!” นางแย้งด้วยความโมโห
เขาฟาดก้นนางอย่างเดือดดาลอีกที คำรามว่า “ได้ยินหรือไม่ว่าข้าสั่งให้เจ้าหุบปาก!”
นางได้ยิน แต่นางไม่หยุดพูด ยังคงดิ้นรนต่อไปและส่งเสียงประท้วงอยู่บนบ่าเขา
“โปรดใช้หัวสมองของเจ้าคิดดูหน่อยเถอะ หากข้าเป็นแม่มดจริงป่านนี้ข้ากลายร่างเป็นอีกาหนีไปแล้ว!”
เขาถีบประตูบานหนึ่งให้เปิดออก เดินเข้าไปในห้องมืดสลัวก่อนโยนนางลงบนพื้น นางล้มลงบนพื้นและพบว่าตัวเองถูกโยนลงมาตรงหน้ากองไฟ แม้ฟืนในนั้นจะเผาไหม้หมดแล้ว เหลือเพียงสะเก็ดไฟอยู่เล็กน้อย แต่นางก็ยังตกใจจนสูดหายใจเฮือก ตะเกียกตะกายลุกขึ้นพลางคว้าคีมคีบถ่านจากกองไฟมากำแน่นด้วยสองมือ ใบหน้าซีดเผือดขณะชูคีมเหล็กใส่เขา
“อย่าเข้ามานะ! เจ้าจะเผาข้าไม่ได้ ข้าไม่รู้วิชาแม่มดอะไรทั้งนั้น!”
การกระทำของนางทำเอาชายหนุ่มขมวดคิ้วเข้ม
เขาไม่สนใจคีมคีบถ่านในมือนางแม้แต่น้อยและตรงดิ่งเข้าไปอย่างเดือดดาล
นางตกใจถอยกรูดไปข้างหลังพลางกวัดแกว่งคีมเหล็กในมือใส่เขา “หากข้าเป็นแม่มดจริง เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าปล้นชิงและจับตัวมาง่ายๆ อย่างนั้นหรือ”
เขาไม่ได้สงบลงเพราะคำพูดนี้ ยังคงสืบเท้าเข้ามา นางพยายามโจมตีเขา แต่พริบตาเดียวคีมเหล็กก็ถูกเขาคว้าไปและโยนทิ้ง
ชายผู้นั้นมีกำลังมหาศาล ด้วยรู้ว่าตัวเองสู้เขาไม่ได้ นางหอบด้วยความตกใจ ได้แต่ปล่อยมือทันทีและเปลี่ยนเป็นยกชายกระโปรงวิ่งวนรอบกองไฟแทน แม้นางจะเคลื่อนไหวรวดเร็ว แต่พริบตาถัดมาชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังก็กระโจนเข้าใส่นางจนนางล้มลง นางออกแรงดิ้นรนเต็มที่อย่างหวาดหวั่น หันกลับไปกำหมัดต่อยหน้าเขาพลางกรีดร้องเสียงแหลม
“เจ้าคนปัญญาอ่อน! โง่เง่า!”
“เงียบ! หุบปาก!” เขาตวาด แต่นางดิ้นแรงเกินไปจนเขาจำต้องคว้ามือทั้งสองของนางไว้ กดขาทั้งสองข้างและตรึงนางไว้บนพื้น นางยังคงกรีดร้องอย่างโกรธเกรี้ยวหวั่นกลัว
“อย่าเผาข้านะ! เจ้ารู้ว่าข้าไม่ใช่แม่มด เหมือนที่เจ้าบอกคนเหล่านั้นไปเมื่อครู่นี้ ข้าเป็นแค่คนที่ร่ำเรียนหนังสือมามากหน่อยเท่านั้น…”
ผู้หญิงคนนี้หนวกหูเหลือเกิน เขาได้แต่ยกสองมือของนางขึ้นไปเหนือหัว มืออีกข้างที่ว่างปิดปากนางและตวาดขึ้น
“ให้ตายเถอะ! เจ้า! หุบปากซะ! ข้าไม่เผาเจ้าหรอก!”
คำพูดนี้ทำให้นางสงบลงในที่สุด นางหอบหายใจพลางเบิกตากว้างจ้องเขา
“ข้าไม่เผาเจ้า” เขาจ้องนางอย่างไม่พอใจและคำรามเสียงต่ำ “แต่ข้าไม่รับรองว่าคนอื่นจะไม่ทำอย่างนั้น หากเจ้าไม่ใช่แม่มดก็อย่าเอาแต่กรีดร้องเสียงแหลมเหมือนแม่มดเช่นนี้!”
นางมองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ
“เงียบ ดีมาก เงียบเหมือนเช่นตอนนี้ หากเจ้ายังจะแหกปากโวยวาย ข้าจะโยนเจ้าออกไปจากปราสาทของข้า ปล่อยให้ชาวบ้านที่โง่งมพวกนั้นจัดการกับเจ้า!”
คำขู่ของเขาได้ผลทีเดียว นางไม่ดิ้นรนอีกแล้ว
ชายหนุ่มโล่งอก นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยมือ
นางไม่ได้ร้อง แต่หุบปากอย่างว่าง่าย เมื่อมั่นใจว่านางไม่ร้องอีก เขาจึงปล่อยนางให้เป็นอิสระอย่างไม่สบอารมณ์และลุกขึ้นยืน
หญิงสาวลุกขึ้นนั่งทันที ใช้ทั้งมือและเท้าถอยกรูดให้ห่างจากเขาเป็นระยะสามฟุต
“บัดซบชะมัด!” เขาสบถอย่างไม่พอใจ
นางมองผู้ชายตัวโตที่เกาผมดำยุ่งเหยิงพลางย่ำเท้าไปมาตรงหน้า
ไม่เหมือนผู้ชายทั่วไป เขาไม่ได้ไว้หนวด แต่นั่นกลับทำให้เส้นสายแข็งกร้าวบนใบหน้าเขาคมชัดยิ่งขึ้น ดูดุดันและอำมหิตอย่างยิ่ง
แม้เขาบอกว่าจะไม่เผานาง แต่นางไม่ได้เชื่อเขาอย่างแท้จริง นางแอบยืนขึ้นและกวาดตามองไปรอบๆ โดยเร็วเพื่อหาทางหลบหนี แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าห้องมืดสลัวห้องนี้สร้างจากหิน หลังคาสูงมาก บนผนังหินแขวนพรมผนัง ขวานกับดาบแขวนไขว้กันอยู่ ยังมีโล่อีกหลายอันแขวนอยู่ด้านข้าง เก้าอี้ไม้ตัวใหญ่วางอยู่บนยกพื้นริมผนังอีกด้านห่างออกไป โต๊ะยาวสองตัววางอยู่สองฝั่งของห้อง บนคานมีวงแหวนเหล็กสำหรับตั้งเทียนไขแขวนอยู่หลายอัน
นางแยกแยะได้อย่างรวดเร็วว่าที่นี่เป็นห้องโถงใหญ่ ห้องโถงอัศวิน ที่นี่คือปราสาท
เดี๋ยว เมื่อครู่นี้เขาบอกว่านี่เป็นปราสาทของเขา?
หัวสมองนางสับสนไปหมด แต่เมื่อครู่นี้เขาแบกนางไต่ขึ้นมาบนหอจริงๆ นางเพิ่งตระหนักได้ตอนนี้เองว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคืออัศวิน เป็นท่านลอร์ด ไม่ใช่โจรหรือนักล่าแม่มดที่ไหน
“ท่านมีปราสาททั้งหลัง ยังจะปล้นชิงข้าอีก?” คำพูดนี้ถูกโพล่งออกไปโดยไม่ทันคิด
นางได้สติเมื่อพูดออกไป อยากหยุดตัวเองก็ไม่ทันเสียแล้ว
ผู้ชายตรงหน้าหยุดย่ำเท้า สองมือเท้าเอวยืนอยู่ตรงหน้านาง ถลึงตาจ้องนางอย่างขุ่นเคือง
“ข้าสั่งให้เจ้าพูดแล้วหรือ”
แน่นอนว่ายัง นางหุบปากทันที แต่เขาเอาแต่ยืนจ้องตากับนางอยู่อย่างนั้น นางมองเขาอย่างระแวดระวัง แทบจะได้ยินเสียงหัวสมองเขาทำงาน
ฐานะที่เปลี่ยนไปของเขาไม่ได้แก้ไขสถานการณ์ของนางในตอนนี้ ลอร์ดกับอัศวินที่ศรัทธาในพระเจ้าก็เผานางให้ตายได้อยู่ดี ที่ต่างออกไปคือก่อนหน้านี้เขาบอกแล้วว่าเขาจะไม่ทำอย่างนั้น
นางไม่ได้เชื่อเขามากนัก แต่เป็นคนย่อมต้องมีความหวัง
นางรู้ว่าผู้ชายคนนี้ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะจัดการกับนางอย่างไร นางอดทนอยู่นาน ในที่สุดก็อดพูดไม่ได้และพยายามทำเสียงให้นอบน้อมมากที่สุด
“นายท่าน…” พอนางเอ่ยปาก เส้นเลือดบนหน้าผากเขาก็นูนขึ้นมาอีกครั้ง นางรีบจับกระโปรง โค้งเอวงอเข่าพูดอย่างสุขุมว่า “ข้าเชื่อว่าท่านรู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงความเข้าใจผิดเท่านั้น ข้าไม่รู้ว่าท่านไปฟังใครพูดอะไรมากันแน่ แต่ข้าเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง รูปโฉมและเสียงของข้าทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่าย ดังนั้นข้าจึงอาศัยอยู่คนเดียวในป่า…”
นางมองชายหนุ่มที่ขมวดคิ้วดกหนาอย่างประหม่า เลียริมฝีปากที่แห้งผากพูดต่อ “ข้าไม่รู้วิชาแม่มดอะไรทั้งนั้นและไม่เคยทำร้ายผู้ใดมาก่อน หากท่านอนุญาต ข้าอยากกลับบ้านของตัวเอง แน่นอนว่าข้าสามารถกลับเองได้ ไม่ต้องรบกวนท่าน…”
เขายกมือขึ้นหยุดคำพูดนางและเอ่ยเสียงเย็น
“ฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งหลงทางในป่า”
นางได้ยินแล้วหัวใจกระตุก มองเขาอย่างระแวดระวังพลางพูด
“นายท่าน เด็กคนนั้นหลงทาง ตอนนั้นหิมะตก ข้าจำต้องรับตัวเขาไว้ ข้าไม่ได้หลอกล่อหรือลักพาตัวเขา พอพ้นฤดูหนาวเขาก็จากไปและกลับบ้าน ครั้งสุดท้ายที่ข้าเห็นเขา เขายังร่าเริงสดใส”
เขาใช้สองมือเท้าเอวจ้องนางด้วยสีหน้าเย็นชา
“เจ้ารับตัวเด็กผู้ชายคนนั้นไว้?”
นางบ่นในใจ แต่ยังคงพยักหน้าตอบ
“ใช่”
“ก่อนหน้านี้เด็กคนนั้นติดโรคระบาด” เขาชี้ประเด็นเสียงเย็น
นางทำหน้าตกใจ หลุบตาก้มหน้าและเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อมระมัดระวังกว่าเดิม
“เขาเป็นไข้ แต่ข้าไม่ได้สนใจเขามากนัก แค่ให้เขาดื่มซุปร้อนๆ เท่านั้น เดิมทีข้าคิดว่าเขาจะตาย แต่ภายหลังเขากลับหายเอง…”
นางพูดจบ ชายหนุ่มก็ยื่นมือมาคว้าคอนางกะทันหัน บังคับให้นางเงยหน้าขึ้น ใต้คางของเขาเกร็งแน่นขณะจ้องนางเขม็งและเอ่ยเสียงเย็น
“เจ้าคิดว่าข้าปัญญาอ่อนหรือ”
นางตกใจจนหน้าซีด เห็นใบหน้าดุร้ายของเขาประชิดเข้ามา
“แน่นอน…แน่นอนว่าไม่ใช่อย่างนั้น นายท่าน” นางหายใจไม่ค่อยออก แต่พยายามตอบไปอย่างสุขุมเยือกเย็น “แต่บางครั้ง บางคนที่เป็นโรคระบาดก็สามารถรอดชีวิตได้”
“เขาหายเอง?” หางตาเขากระตุก
“เขาหายเอง” นางทวนคำพูดเขาอย่างหนักแน่น
“เจ้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น?” เขาถามซ้ำอีกครั้งเสียงขุ่น
“ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น” นางตอบตาไม่กะพริบ
เขาจ้องนางอย่างขุ่นเคือง สีหน้าดุดันและดวงตาสีดำเย็นชาคู่นั้นทำให้นางอยากถอยไปข้างหลังเหลือเกิน แต่เขายังคงบีบคอกับคางนางแน่น นิ้วโป้งกับนิ้วชี้จิกไปบนผิวนาง ทำเอานางเจ็บจนน้ำตาคลอ
“บอกข้า เจ้ารู้วิธีรักษาโรคระบาดหรือไม่”
ลมหายใจหอบหนักของชายหนุ่มเป่ารดใบหน้านาง ความเจ็บปวดและความหวาดกลัวทำให้นางไม่อาจควบคุมร่างกายไม่ให้สั่นเทา แต่นางยังคงยืนกรานคำเดิม
“ข้าไม่รู้…”
“หนังสือที่อยู่ในบ้านเจ้าพวกนั้นไม่ได้บันทึกไว้หรือว่าต้องจัดการอย่างไร”
“ไม่มี…” นางตอบเสียงสั่น
ริมฝีปากของชายหนุ่มเม้มเป็นเส้นตรงอีกครั้ง หางตากระตุกเล็กน้อยพลางสูดหายใจลึก ถามอีกครั้งว่า “หมายความว่าหากข้าพาเด็กผู้ชายคนนั้นมายืนยันกับเจ้า เขาก็จะตอบเช่นเดียวกันหรือ”
“แน่นอน” นางยืนกราน
“ข้าไม่เชื่อเจ้า” เขากำมือแน่นและออกแรงบีบคางนางมากกว่าเดิม “เจ้ารักษาเด็กผู้ชายคนนั้นจนหายดี”
“ข้าเปล่า…” นางยืนกรานเสียงแหบด้วยความประหม่า “เขาหายดีเอง นายท่านพบเห็นอะไรมามาก น่าจะรู้ว่าบางครั้งบางคนก็สามารถอดทนกับโรคระบาดได้และมีชีวิตรอดโดยที่พวกเราไม่รู้ว่าเหตุผลคืออะไร”
ความโกรธวูบขึ้นในส่วนลึกของนัยน์ตาดำสนิท
วินาทีนี้ความคิดน่ากลัวมากมายผุดขึ้นในหัว
นางรู้ว่าขอเพียงเขาต้องการ เขาสามารถหักคอนางได้เหมือนหักต้นข้าวต้นหนึ่ง
ขณะที่นางคิดว่าตัวเองคงหนีความตายไม่พ้นแล้วเป็นแน่จู่ๆ เขาก็สบถออกมาและปล่อยมือ นางหอบหายใจและถอยไปหนึ่งก้าว แต่ไม่กล้าถอยไปไกลนัก กลัวจะทำให้เขาโกรธ
แนวคางของชายหนุ่มที่สวมเสื้อเกราะห่วงโซ่เครียดเกร็งขณะยกมือขึ้นสางเส้นผมสีดำอย่างหงุดหงิด
ใบหน้าอ่อนล้าของเขาทำให้นางอึ้งไป เขาเม้มปากอีกครั้ง รูม่านตาสีดำหดลง
นางอยากหันหลังวิ่งหนีไปเหลือเกิน แต่นางตระหนักดีว่าหากไม่ได้รับอนุญาตจากเขา นางไม่มีทางหนีออกไปจากปราสาทแห่งนี้ได้ นางจึงยืนอยู่ที่เดิมอย่างกล้าๆ กลัวๆ มองเขาพลางรอคำตัดสิน
หลังจากนั้นชายหนุ่มก็สบถเสียงค่อยและโบกมือไล่นางด้วยความโมโห
“ช่างเถอะ เจ้าไปซะ”
นางอึ้งงัน ชั่ววูบหนึ่งที่สงสัยว่าทำไมตัวเองถึงโชคดีเช่นนี้
นางไม่ขยับไปไหน ทำให้เขาตวาดอีกครั้งอย่างไม่พอใจ
“อย่าให้ข้าต้องพูดเป็นครั้งที่สอง อาศัยช่วงที่คนข้างนอกยังไม่ทันตั้งตัว เจ้ารีบไสหัวไปให้ไกลๆ!”
ได้ยินดังนั้นนางก็ได้สติทันทีและพบว่าตัวเองรักษาชีวิตเอาไว้ได้แล้ว นางจับกระโปรงและหมุนตัวจากไปโดยไว
โปรดติดตามตอนต่อไป…
สามารถอ่านบทอื่นๆได้ที่ >> บทนำและบทที่ 1 | บทที่ 2 และบทที่ 3 | บทที่ 4 และบทที่ 5
Comments
comments