X
    Categories: คู่มนตราสาปรักทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่านนิยาย คู่มนตราสาปรัก บทที่ 2 และบทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 29

สามารถอ่านบทก่อนหน้าได้ที่ >> บทนำและบทที่ 1

 

บทที่ 2

หญิงสาวพุ่งออกจากห้องโถงมืดสลัวและวิ่งลงบันไดอย่างรวดเร็ว

มองออกไปนอกบันไดเล็กแคบเห็นลานขนาดเล็กเมื่อครู่นี้ ข้างลานมีบ้านอยู่หลายหลัง ประตูหน้าต่างของบ้านทุกหลังล้วนปิดสนิท

ด้วยรู้ว่าการที่ตัวเองวิ่งหนีอย่างลนลานไม่ทำให้อะไรดีขึ้น นางจึงบังคับให้ตัวเองหยุดวิ่งและยืดอกเดินผ่านลานแห่งนั้นไปอย่างสุขุม จากนั้นจึงพบว่าประตูปราสาทถูกปิดตั้งนานแล้ว

น่าโมโหจริง

ปราสาทแห่งนี้มีกำแพงแน่นหนา ประตูปราสาทเป็นสะพานชักขนาดใหญ่ที่ยกเก็บได้ แม้มันจะยังวางอยู่ แต่ทั้งด้านในและด้านนอกประตูปราสาทมีประตูเหล็กชักรอกขนาดใหญ่อีกสองบาน ประตูชักรอกด้านนอกเปิดอยู่ก็จริง แต่ด้านในปิดแล้ว

บนประตูเหล็กสีดำมีโซ่เหล็กติดอยู่ โซ่เหล็กคล้องผ่านรอกเหล็กด้านบนประตูที่ฝังอยู่กับกำแพงหิน โซ่นั้นเชื่อมไปยังเครื่องกว้านบนพื้น การเปิดประตูต้องหมุนเครื่องกว้าน อาศัยการหมุนของโซ่ในการยกประตูขึ้นลงเพื่อเปิดปิด

มองปราดเดียวก็รู้ว่านางไม่อาจเปิดมันได้ด้วยตัวเอง แต่ก็ยังอดยื่นมือไปลองดูไม่ได้

นางจับเครื่องกว้านบนพื้น แต่เครื่องกว้านหนักเกินไป แม้จะออกแรงทั้งหมดที่มีก็ขยับเขยื้อนมันไม่ได้แม้แต่น้อย นางรู้สึกได้ว่ามีดวงตานับไม่ถ้วนแอบมองนางจากด้านหลังบานประตูหน้าต่าง ทำเอาเหงื่อเย็นของนางไหลไม่หยุด ขนอ่อนหลังคอลุกชัน

วิธีนี้โง่เกินไป นางเปิดประตูบานนี้ไม่ได้ อีกไม่นานคนพวกนั้นก็จะรู้ว่านางไม่ได้มีความสามารถพิเศษ จากนั้นพวกเขาก็จะกรูกันออกมาล่าแม่มดอย่างนางที่ไม่มีเวทมนตร์แม้แต่น้อย

นางร้อนใจจนเหงื่อแตกพลั่ก ไม่กล้าหันกลับไปเพราะกลัวว่าจะเห็นคนเปิดประตูออกมา

เวลานี้เองมีมือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นออกมาหมุนเครื่องกว้านให้นาง

นางตกใจกระโดดหลบไปด้านข้าง หันกลับไปก็พบว่าเป็นท่านลอร์ดที่ทำตัวเป็นโจรปล้นชิงและลักพาตัวนางคนนั้น นางมองเขาหมุนเครื่องกว้านที่หนักอึ้งอย่างง่ายดายด้วยความประหลาดใจ ประตูเปิดออกพร้อมเสียงดังครืดคราด จากนั้นเขาก็หันหลังจากไปโดยไม่เหลือบแลนางแม้แต่น้อย

แม้จะยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เขาจึงปล่อยตัวนาง แต่โชคดีแบบนี้ไม่ได้พบเห็นกันบ่อยๆ

นางไม่คิดมากอีก คว้าชายกระโปรงและเดินเข้าไปในเส้นทางมืดสลัวของซุ้มประตูอย่างรวดเร็ว กว่าจะมาถึงด้านนอกปราสาทนางก็แทบจะวิ่งเหยาะๆ และพบว่าตัวเองอยู่ในหุบเขาเล็กๆ แห่งหนึ่ง

ปราสาทแห่งนี้สร้างอยู่บนหินผาของหุบเขา รอบด้านล้อมด้วยแม่น้ำกลายเป็นคูเมืองตามธรรมชาติ การจะออกไปต้องข้ามสะพานหินอีกที สะพานชักแบบยกเก็บได้ที่ติดกับปราสาทเมื่อวางออกไปจะสอดประสานกับสะพานหินด้านนอกพอดี หากมีศัตรูโจมตี คนในปราสาทแค่ยกสะพานชักขึ้นก็จะกลายเป็นปราการด่านที่สาม

นางหอบหายใจ จนกระทั่งวิ่งผ่านสะพานชักนั้นแล้วจึงชะลอฝีเท้าลงในที่สุด นางก้าวเท้าทำท่าจะเดินออกไป แต่อดหันกลับไปมองข้างหลังไม่ได้

ผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ในลานด้านในปราสาท หันหลังให้นางพลางแหงนหน้ามองปราสาทของเขา เวลาเดียวกันเด็กหญิงในชุดผ้าเนื้อหยาบสีเทาก้าวออกมาจากในบ้าน เดินเข้าไปหาเขาและดึงขากางเกงเขา

เขาก้มหน้ามองและขมวดคิ้วให้เด็กน้อย

แต่เด็กหญิงกลับไม่กลัวเขาแม้แต่น้อยและยื่นสองมือออกไปหาเขา

เขามองเด็กคนนั้นอยู่เนิ่นนาน

หลังจากนั้นสิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจอย่างยิ่งก็คือเขาก้มตัวอุ้มเด็กน้อยตัวสกปรกมอมแมมขึ้นมา ท่าทีปราศจากความรุนแรง

น่าโมโหจริง นางไม่ควรหันกลับไปเลย

ผู้ชายคนนี้ปล้นนาง แถมยังลักพาตัวนางมาที่นี่โดยไม่ฟังเหตุผล ความเป็นความตายของคนพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนาง…

แต่เขาปล่อยนางออกมา

และที่น่าโมโหก็คือนางอยากรู้ว่าทำไมเขาถึงลักพาตัวนาง

สถานที่แห่งนี้กำลังเกิดโรคระบาด ดังนั้นเขาจึงถามนางว่ารู้วิธีรักษาโรคบ้าๆ นั่นหรือไม่

แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาง

หญิงสาวบังคับให้ตัวเองหันหลังและก้าวขึ้นไปบนสะพานหินอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย

คนพวกนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับนางแม้แต่น้อย การช่วยเหลือพวกเขาไม่ส่งผลดีต่อนาง ดูผลลัพธ์ของความใจอ่อนเมื่อปีที่แล้วของนางสิ!

เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่หลงทาง นางใจดีรับตัวเขาไว้และดูแลเขา สุดท้ายเมื่อเขาหายดีก็กลับบ้าน แต่กลับบอกคนอื่นว่านางทำอะไรบ้าง ทั้งที่นางขู่เขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่สุดท้ายเด็กคนนั้นก็ปิดปากตัวเองไม่ได้ ทำเอาตอนนี้นางไม่แน่ใจว่าตัวเองจะอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังเล็กนั้นต่อไปได้หรือไม่

น่าโมโหจริงๆ!

สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าหมอนั่นฝ่าม่านหมอกเข้ามาได้อย่างไร แต่เห็นได้ว่าเขาพบวิธีแล้ว และเป็นไปไม่ได้ที่นางจะรู้สึกปลอดภัยหากยังอยู่ในกระท่อมหลังนั้น

เด็กคนนั้นเป็นตัวปัญหา เหมือนผู้ชายคนนี้ที่เป็นตัวปัญหา นางไม่อาจช่วยเขาแก้ไขปัญหาโรคระบาดได้ หากนางช่วยเขาจริง คนพวกนั้นจะยิ่งคิดว่านางเป็นแม่มด

นางไม่ใช่!

นางไม่ใช่แม่มดเลือดเย็นไร้ความปรานีพวกนั้น นางรู้ว่านอกป่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ปีก่อนเด็กคนนั้นเล่าให้นางฟังบางส่วน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของนาง

นางไม่ได้สร้างฝน ไม่ได้สร้างความอดอยาก ไม่ได้แพร่โรคระบาดไปทั่ว ไม่ได้สาปแช่งผู้คน!

ที่เหตุการณ์กลับกลายเป็นแบบนี้ไม่ใช่ความผิดของนาง…

แต่แม้จะบอกตัวเองแบบนี้แล้ว นางก็ยังหยุดฝีเท้าที่ปลายสะพานหิน

แม้เมื่อครู่จะรีบหนีเอาชีวิตรอด แต่แค่มองปราดเดียวนางก็เห็นว่าสภาพภายในปราสาทย่ำแย่เพียงใด เหมือนปราสาทและหมู่บ้านเกษตรกรรมส่วนใหญ่ที่นางเคยเห็นมานั่นแหละ สถานที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยความสกปรกเละเทะ บนพื้นมีมูลไก่มูลม้าเกลื่อนอยู่ทุกหนแห่ง นอกจากเขาแล้ว ทุกคนที่นางเห็นผ่านๆ ล้วนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ยุง หนอน และแมลงสาบไต่คลานและบินว่อนไปทั่ว บนพื้นเต็มไปด้วยน้ำขัง อากาศเหม็นคลุ้งไปหมด

สถานที่แห่งนั้นเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรคและโรคระบาด ต่อให้นางไม่ใช่แม่มด ไม่มีลูกแก้วพยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคต นางก็ตัดสินได้ว่าอีกไม่นานคนในปราสาทจะติดโรคทั้งหมดและตายไปกว่าครึ่ง ต่อให้ไม่ตาย อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็ต้องอดตาย

ที่ทำให้นางโมโหมากยิ่งขึ้นก็คือนางรู้ว่าเด็กผู้ชายคนนั้นไม่ได้หลงทาง เด็กคนนั้นคิดว่าตัวเองหลงทาง แต่นางรู้ว่าไม่ใช่ เขาถูกผู้ใหญ่พาไปทิ้งในป่าต่างหาก

นางตระหนักดีกว่าใครว่าเด็กคนนั้นเป็นเพียงปลายยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น

ผู้ชายที่มาปล้นนางมีปราสาท แต่ความอดอยากและโรคระบาดทำให้เขายากจนจนไม่เหลือเงินสักแดง เขาหมดสิ้นหนทางแล้ว ดังนั้นเมื่อได้ยินเรื่องราวของเด็กผู้ชายคนนั้น เขาจึงมาลักพาตัวนาง

เขาไม่เหลือหนทางอีกแล้ว

โอ ให้ตายเถอะ ข้าจะต้องเสียใจภายหลังแน่นอน!

หญิงสาวสบถในใจ แต่สุดท้ายก็กำมือและกลับหลังหัน ก้าวยาวๆ ไปบนสะพานหินที่เดินผ่านมาอีกครั้ง เดินกลับไปบนสะพานชักและตรงดิ่งเข้าไปในซุ้มประตู

นางยังไม่ทันเข้าไปในปราสาท เขาก็หันกลับมาเพราะเสียงเอะอะของผู้คน

ก่อนที่ความกล้าหาญของนางจะหมดไป นางก้าวยาวๆ ไปหยุดตรงหน้าเขาและจ้องชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาดุดัน แม้มือข้างหนึ่งของเขาจะอุ้มเด็กหญิงมอมแมมคนหนึ่งอยู่ แต่ดูแล้วก็ยังน่ากลัวอยู่ดี ก่อนที่นางจะนึกเสียใจ นางสูดหายใจลึกและเอ่ยขึ้น

“ข้าไม่ใช่แม่มด ไม่รู้เวทมนตร์ รักษาโรคระบาดไม่เป็น แต่ข้ารู้วิธีดูแลคนป่วย รู้วิธีป้องกันไม่ให้โรคระบาดแพร่ออกไปจนทำให้สถานการณ์แย่ลง หากท่านยินดีรับรองความปลอดภัยของข้าและทำตามที่ข้าบอก ข้าจะบอกวิธีแก่ท่าน”

เขาจ้องนาง

นางทำท่าเหมือนเตรียมตัวมาฆ่ามังกร สองมือกำหมัดแน่น แผ่นหลังเหยียดตรง ศีรษะเล็กแหงนเงยขึ้นและจ้องเขาเขม็งด้วยดวงตาใสกระจ่าง ริมฝีปากคู่งามเม้มแน่น

สายลมอ่อนพัดผ่านไป พาให้ปอยผมสีขาวตรงหน้าผากนางปลิวขึ้นมา

“ว่าอย่างไร ท่านเห็นด้วยหรือไม่”

แอนนี่ในอ้อมแขนกอดคอเขาแน่น เขาจ้องหญิงสาวตรงหน้า รู้ว่าตัวเองไม่มีทางเลือก เขาตระหนักดีกว่าใครว่าสถานการณ์ในดินแดนของเขาอยู่นอกเหนือการควบคุมไปนานแล้ว ชาวบ้านละแวกใกล้ๆ ส่วนใหญ่ป่วยตายไปหมด โรคระบาดบัดซบนั่นแพร่กระจายอยู่ตามหมู่บ้านโดยรอบ ปีก่อนทำให้คนตายไปจำนวนหนึ่ง ปีนี้สถานการณ์ยิ่งแย่กว่าเดิม

หลายวันก่อนคนในปราสาทเริ่มล้มตายอีกครั้ง

ตอนที่เขาพบว่านางไม่ใช่ยายแก่ที่มีความรู้ด้านสมุนไพรชนิดต่างๆ เขาโมโหและผิดหวังมาก เขาไม่เชื่อในเวทมนตร์ของแม่มด แต่เขารู้ว่าหญิงชราที่ปลีกตัวออกจากสังคมไปอาศัยอยู่ตามลำพังในป่าเขาและศรัทธาในเทพเจ้าโบราณเหล่านั้นมีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรเก่าแก่ พวกนางไม่ได้รักษาโรคด้วยการระบายเลือดเพียงอย่างเดียว

นางไม่แก่ แต่นางรู้หนังสือ ในยุคสมัยนี้คนรู้หนังสือมีไม่มาก ผู้หญิงที่รู้หนังสือยิ่งหายาก เขาเดาว่านางเป็นหนึ่งในคนจำนวนน้อยเหล่านั้น ถึงอย่างไรหญิงชราก็ต้องผ่านวัยสาวมาก่อน

ดังนั้นเขาจึงมองหญิงสาวร่างเล็กที่แปลกประหลาดตรงหน้าและพยักหน้าตกลง

“ได้”

“อย่างแรก บอกคนของท่านว่าข้าไม่ใช่แม่มด” นางมองเด็กหญิงในอ้อมแขนเขา เด็กคนนั้นยังเล็กมาก หน้าตาน่ารักไร้เดียงสา ยังไม่รู้จักหวาดกลัวตำนานของแม่มด นางดึงสายตากลับมาและจ้องเขา “บอกพวกเขาว่าข้าเป็นหัวหน้าผู้ดูแลคนใหม่ของที่นี่”

เขาขมวดคิ้ว

“แต่เจ้าเป็นผู้หญิง”

นางจ้องเขาอย่างไม่อยากเชื่อ

“หากท่านหวังว่าแค่โบกไม้กายสิทธิ์แล้วข้าจะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นผู้ชายได้ เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้”

ในจังหวะนี้เองเขารู้ว่านางเข้าใจ นางตระหนักดีว่าเขากำลังจนตรอกและต้องการความช่วยเหลือมากเพียงใด

ความกระอักกระอ่วนใจฉายในดวงตา แนวคางเขาเกร็งแน่น ปีกจมูกบานขยาย ก่อนจะเอ่ยเสียงห้วนว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเพิ่งจะเทเจ้าออกมาจากกระสอบป่าน”

หญิงสาวจ้องเขาตาไม่กะพริบ

“นั่นไม่ใช่ปัญหาของข้า ข้าเชื่อว่าท่านสามารถหาวิธีพูดและแก้ไขปัญหานี้ได้”

หางตาเขากระตุก แต่สุดท้ายก็จำต้องผงกศีรษะตกลง

“ได้ เจ้าเป็นหัวหน้าผู้ดูแลที่เพิ่งมาใหม่”

“ขอเพียงเป็นเรื่องเกี่ยวกับโรคระบาด ทุกคนในปราสาทแห่งนี้ต้องเชื่อฟังข้าและทำตามวิธีที่ข้าบอก”

“เฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับโรคระบาดเท่านั้น” เขาย้ำ

“แน่นอน วางใจเถอะ ข้าไม่รั้นอยู่ที่นี่โดยไม่จากไปหรอก รอให้สถานการณ์คลี่คลายเมื่อไร ข้าจะจากไปโดยเร็วที่สุด” นางมองเขาและบอกว่า “ท่านต้องส่งคนไปทำความสะอาดมูลสัตว์ที่อยู่บนพื้นให้สะอาด อย่าให้คนเอาอุจจาระและปัสสาวะมาเทบนลานอีก ข้ารู้ว่าหลายคนเคยชินกับการทำแบบนี้ แต่สภาพแวดล้อมที่สกปรกเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้โรคระบาดแพร่ไปทั่ว หลังทำความสะอาดมูลสัตว์เหล่านั้นออกไปแล้วค่อยล้างด้วยน้ำเดือดและกวาดน้ำสกปรกทั้งหมดลงไปในทางระบายน้ำ อย่าให้น้ำขังอยู่เต็มไปหมด ยุงกับหนอนจะเพาะพันธุ์ในแหล่งน้ำขัง ดังนั้นท่านต้องปิดฝาบ่อน้ำด้วย น้ำดื่มทั้งหมดต้องผ่านการต้มให้เดือดก่อนถึงจะดื่มได้ คนป่วยเหล่านั้นอยู่ที่ใด ท่านต้องรวมพวกเขาไว้ด้วยกันและแยกออกจากคนอื่นๆ”

“ข้าทำแล้ว” เขาไม่ได้โง่ เขาเคยอยู่ในกองทัพ รู้ว่าโรคระบาดติดต่อกันได้ เขาชี้ไปยังอาคารหลังหนึ่งในลานด้านในปราสาท “พวกเขาอยู่ในนั้น”

นางอึ้งไปครู่หนึ่ง เห็นชัดว่าคิดไม่ถึงว่าเขาจะรู้แนวปฏิบัติ แต่ไม่นานก็ตั้งสติได้

“ดีมาก”

นางจับกระโปรงและยกชายขึ้นเดินลิ่วๆ ไปยังอาคารหลังนั้น

เขาตามนางไปโดยไม่รู้ตัว แต่ไม่ลืมวางเด็กหญิงในอ้อมแขนลงบนพื้นก่อน เขาไม่อยากให้เด็กน้อยเข้าใกล้อาคารหลังนั้น

หญิงสาวเปิดประตูแล้วก้าวเข้าไป นางตกใจทันทีและถอยออกมาอย่างรวดเร็ว เขารู้ว่าเพราะอะไร ในนั้นเหม็นมาก

เขาคิดว่านางคงไม่เข้าไปอีกแล้ว ทว่านางเพียงแต่มองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าบนชุดกระโปรงของตัวเอง ปิดปากกับจมูกและผูกไว้ด้านหลังศีรษะ จากนั้นสูดหายใจลึกก่อนจะก้าวเข้าไปอย่างเด็ดเดี่ยว

นางเปิดประตูหน้าต่างและตรวจดูอาการคนป่วย

ในห้องมีคนนอนอยู่สิบกว่าคน นอกจากผู้ใหญ่แล้วยังมีเด็กอีกสี่คน แม่ครัวของเขาก็นอนอยู่ตรงนั้นด้วย ความจริงนางเป็นคนแรกที่เป็นโรค

อากาศในห้องแย่มาก คนป่วยส่วนใหญ่กำลังไอ พวกเขานอนอยู่บนพรมในสภาพอ่อนแอ

นางตรวจดูอาการของทุกคน พอเห็นไมเคิลที่สูงใหญ่เหมือนโทรลและกินที่นอนถึงสองที่ นางก็สังเกตเขามากขึ้น ความหิวโหยและการเป็นโรคทำให้ชายผู้น่าสงสารคนนั้นผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ทว่าแม้จะเหลือแต่โครงกระดูกก็ยังดูออกว่าเขาเป็นคนหล่อเหลา

นางไม่ได้พูดอะไรมาก แต่หันกลับไปส่งสัญญาณให้เขาออกไปด้วยกัน

พอออกมาข้างนอกแล้วนางก็ดึงผ้าเช็ดหน้าออก มองเขาและบอกว่า “ที่นี่ไม่ได้ ห้องที่อากาศถ่ายเทดีกว่านี้อยู่ที่ใด”

เขายกมือชี้ไปยังหอคอยแห่งหนึ่งบนกำแพงปราสาท

“ตรงนั้น”

นางหันไปมอง ก่อนจะหมุนตัวเดินไปสำรวจดู ระหว่างทางไม่ลืมคว้าไม้กวาดที่ถูกวางทิ้งอยู่ตรงมุมกำแพงติดมือไปด้วย

เขาตามไปอีกครั้ง เห็นนางหันกลับมามองโดยไม่หยุดเดินและเอ่ยว่า “สั่งให้คนไปต้มน้ำมาก่อน”

เขาขมวดคิ้ว แต่ภายใต้ท่าทียืนกรานของนาง เขาหันไปทางห้องครัวและสั่งว่า “โซเฟีย ต้มน้ำเดือดมาหนึ่งหม้อ!”

นางพยักหน้าอย่างพอใจและหันกลับไปอีกครั้ง เดินตัดลานด้านในปราสาทและไต่บันไดขึ้นไปบนหอคอย

หญิงผู้นี้เวลาเดินขาจะกะโผลกกะเผลก แปดส่วนน่าจะเคยได้รับบาดเจ็บที่ขา ยามเดินอยู่บนที่ราบเห็นไม่ชัด แต่พอนางขึ้นบันได เขาก็เห็นชัดว่าขาขวาของนางต้องออกแรงมากกว่าปกติ นางจับด้ามไม้กวาดอย่างระวังพลางประคองผนังเดินขึ้นไป เขาเห็นน่องของนางใต้กระโปรง แต่นางสวมถุงเท้าสีดำ ทำให้เขาไม่เห็นว่าขานางผิดปกติตรงไหน

นางขึ้นบันไดไปถึงบนหอคอยแล้ว หอแห่งนี้ก่อจากหิน แม้ด้านที่หันออกนอกปราสาทจะมีช่องธนูอยู่เพียงไม่กี่ช่องเท่านั้น แต่ด้านที่หันเข้าด้านในปราสาทกลับมีหน้าต่างสูงครึ่งตัวคนอยู่หลายบาน นางเปิดหน้าต่างไม้ ลมเย็นพัดเข้ามา ขณะเดียวกันแสงแดดอบอุ่นก็ส่องเข้ามาด้วย

เขามองนางสำรวจห้องนี้ด้วยท่าทางอย่างราชินี

นางพยักหน้าและหันมาประกาศว่า “ที่นี่ดีมาก แสงแดดเพียงพอ อากาศถ่ายเท ข้าจะทำความสะอาดที่นี่ ท่านมีผ้าปูที่นอนกับเสื้อผ้าสะอาดอีกหรือไม่ หากมีก็ให้คนนำขึ้นมา หากไม่มีก็รีบไปซักให้สะอาด เสื้อผ้าและผ้าปูที่นอนของคนป่วยต้องพยายามซักทุกวัน ซักเสร็จแล้วยังต้องต้มให้เดือด ข้าต้องการสมุนไพร สารสกัด และน้ำมันหอมระเหยในบ้านข้า ข้าเชื่อว่าท่านรู้ว่าของเหล่านั้นอยู่ที่ใด”

เขารู้ แต่ยังคงเอ่ยปากถาม

“สารสกัดอะไร”

“ขวดแก้วที่บรรจุของเหลวพวกนั้นไง ข้าต้องการใบเสจ หญ้าลาเวนเดอร์ โรสแมรี่ และดอกคาโมไมล์…” ครั้นเห็นเขาขมวดคิ้ว นางก็ชะงักไปครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเขาฟังไม่รู้เรื่องว่านางพูดอะไร นางจึงเปลี่ยนเป็นพูดว่า “ช่างเถอะ ท่านเอามาให้หมดเลยแล้วกัน ระวังอย่าทำแตกล่ะ”

เขาหันหลังจากไป แต่กลับได้ยินเสียงนางร้องเรียก

“นายท่าน”

เขาหยุดและหันกลับมา

ผู้หญิงเผด็จการคนนั้นมองเขาและย้ำอีกครั้งว่า “ข้าไม่ใช่แม่มด ไม่รู้เวทมนตร์ ท่านเข้าใจใช่หรือไม่”

เขาเห็นแววกังวลในดวงตานาง จึงตอบไปว่า “ข้ารู้”

 

ชายผู้นั้นจากไปแล้ว

ฟังเสียงเขาก้าวลงบันไดและค่อยๆ ห่างออกไป นางยังคงประหม่าเล็กน้อย คล้ายจะรู้สึกวิงเวียน สงสัยว่าตัวเองวู่วามจนหาเรื่องยุ่งยากเข้ามาในชีวิตหรือเปล่า แต่ตอนที่นางสูดหายใจลึกๆ สงบสติอารมณ์นั้นเอง นางก็ได้ยินเสียงเขาดังก้องมาจากในลาน

นางแอบชะโงกหน้ามองผ่านหน้าต่างลงไป เขายืนอยู่ในลานและพูดกับข้ารับใช้หลายคนที่ถูกเรียกออกมา

นางได้ยินเป็นบางคำ เช่น…ไม่ใช่แม่มด หัวหน้าผู้ดูแล ต้องเชื่อฟังคำสั่งนาง

ดีมาก เขากำลังชี้แจงเรื่องของนาง นางรู้สึกโล่งอก

ไม่นานข้ารับใช้ชายคนหนึ่งก็จูงม้าออกมา เขาพลิกตัวขึ้นม้าและควบจากไป

หลังจากนั้นนางก็เห็นข้ารับใช้หญิงสองคนยกหม้อใส่น้ำเดินออกมาจากประตูบานหนึ่ง หม้อใบนั้นมีควันสีขาวลอยอวล น้ำเดือดที่นางต้องการนั่นเอง

นางคิดว่าทั้งสองจะยกน้ำขึ้นมาข้างบนจึงกวาดพื้นต่อ

คิดไม่ถึงว่าพอนางกวาดหญ้าที่ถูกกองอยู่ตรงนี้นานเท่าไรแล้วไม่รู้ออกไปจนสะอาด รออยู่นานกลับไม่เห็นใครขึ้นมา นางชะโงกหน้ามองออกไปก็พบว่าน้ำเดือดหม้อนั้นถูกวางอยู่หน้าประตูหอคอย ข้ารับใช้หญิงสองคนนั้นหายตัวไปแล้ว

นางค้อนปะหลับปะเหลือก รู้ว่าทุกคนยังคงหวาดกลัวนาง จึงต้องลงไปข้างล่างด้วยตัวเอง แต่น้ำหม้อนั้นหนักเกินไป แถมยังมีควันลอยกรุ่น นางไม่สามารถยกมันขึ้นบันไดโดยไม่ทำหกได้ นางสูดหายใจลึกและเดินออกไปนอกประตู

หลายคนที่เดิมทีทำความสะอาดลานอยู่ พอเห็นนางเดินออกมาก็หนีหายไปหมด

หญิงสาวมองประตูหน้าต่างที่ปิดแน่นสนิทเหล่านั้น จำประตูที่ข้ารับใช้หญิงเปิดออกมาเมื่อครู่นี้ได้ จึงรวบรวมความกล้าเดินตัดลานตรงเข้าไปเคาะประตู

เสียงสูดหายใจอย่างตื่นตระหนกดังมาจากข้างใน แต่ไม่มีใครเปิดประตู

เป็นอย่างที่คิด คนพวกนี้กลัวนางมากกว่าที่นางกลัวพวกเขาเยอะ

นางไม่เปลืองแรงเคาะประตูอีก แต่เอ่ยปากตรงๆ ว่า “ข้ารู้ว่าเมื่อครู่นี้นายท่านบอกพวกเจ้าแล้วว่าข้าเป็นหัวหน้าผู้ดูแลคนใหม่ของที่นี่ ข้าต้องการให้คนยกน้ำขึ้นไปบนหอคอย พวกเจ้าต้องช่วยข้า หรือพวกเจ้าคิดจะขัดคำสั่งนายท่าน”

นางไม่ชอบขู่ใคร แต่นางต้องการความช่วยเหลือจริงๆ

ในห้องเงียบสนิท นางรออยู่ครู่ใหญ่ หลังจากนั้นในที่สุดประตูก็เปิดออก

ผู้หญิงในชุดข้ารับใช้ยืนหน้าซีดอยู่หลังประตู ข้ารับใช้หญิงอีกคนหลบอยู่ข้างหลังตัวสั่นเทา

ข้ารับใช้ทั้งสองอายุไม่มาก อย่างมากก็สิบสี่สิบห้า แม้จะมาเปิดประตูแล้ว แต่สีหน้ายังคงหวาดหวั่น พูดเสียงตะกุกตะกักว่า “คุณหนู…คุณผู้หญิง…ขอโทษด้วย…ข้า…เอ่อ พวกข้าไม่ได้…”

ครั้นเห็นพวกนางทำท่าเหมือนใกล้ร้องไห้ออกมาเต็มที นางก็ลอบถอนหายใจและเอ่ยถามหน้านิ่ง

“เจ้าชื่ออะไร”

“โซเฟีย…”

“เจ้าล่ะ” นางเลิกคิ้วถาม

“ลิ…ลิซ่า…”

นางมองเด็กสาวสองคนและเอ่ยว่า “ข้าชื่อเคล คำพูดของนายท่านพวกเจ้าได้ยินชัดแล้วใช่หรือไม่”

เด็กสาวสองคนผงกหัวอย่างหวาดกลัว

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ก็ช่วยข้ายกน้ำขึ้นไปบนหอคอย”

“เจ้าค่ะ” พวกนางตอบรับพร้อมกันและรีบเบียดตัวออกจากประตูเหมือนนกพิราบสองตัว ตอนผ่านหน้านาง ทั้งสองพยายามหลบเลี่ยงสุดชีวิต ด้วยกลัวว่าหากสัมผัสนางแล้วจะถูกพิษจนถึงแก่ชีวิตในทันที

นางไม่อาจบังคับการกระทำของใครได้ ได้แต่ลอบถอนหายใจอีกครั้งและหันหลังเดินกลับไปที่หอคอย สั่งการให้พวกนางช่วยทำความสะอาดห้องและใช้น้ำเดือดเช็ดล้างพื้นไม้ หลังจากนั้นค่อยย้ายโต๊ะ เก้าอี้ และเตียงเข้ามา

สุดท้ายเมื่อถามดูก็พบว่าความจริงเด็กสองคนนี้อายุสิบห้าสิบหกแล้ว

ปราสาทแห่งนี้ไม่มีผ้าปูเตียงสะอาดเลย นางไม่แปลกใจแม้แต่น้อย จึงไปดึงพรมแขวนบนผนังในห้องโถงของหอหลักลงมา ม้วนพรมผืนนั้นและนำกลับมาปูพื้น การกระทำของนางทำเอาข้ารับใช้หญิงทั้งสองตื่นลนจนทำอะไรไม่ถูก แต่ทั้งสองไม่กล้าห้ามนาง

หลุยส์ที่อยู่ในโรงเลี้ยงม้าเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบสองปี เดิมทีนางคิดว่าเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่สังเกตดูใกล้ๆ ถึงพบว่าเขาอายุน้อยมาก เพียงแต่รูปร่างสูงกว่าคนอื่นเท่านั้น ทั้งยังผอมอย่างยิ่ง ดูเหมือนท่อนไม้ที่แขวนผ้าเอาไว้

นางจับเขาที่หลบไปซ่อนในโรงเลี้ยงม้าได้และสั่งให้เขาช่วยเคลื่อนย้ายคนป่วยเหล่านั้น จากนั้นก็สั่งให้เด็กสาวสองคนต้มน้ำเดือดมาอีกหม้อ

นอกจากนั้นนางยังเจอเด็กตัวผอมสกปรกอีกหลายคนในห้องอื่นๆ และเรียกพวกเขามาช่วยด้วย

ไม่นานนางก็พบว่าคนส่วนใหญ่ในปราสาทแห่งนี้ป่วยตายไปหมดแล้ว โซเฟียที่อายุสิบหกเป็นคนอายุมากที่สุดที่ยังสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นปกติ

นางไม่รู้ว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ แต่นอกจากคนป่วย คนที่นางพบเห็นมากที่สุดในปราสาทล้วนเป็นเด็กวัยรุ่นและเด็กที่อายุค่อนข้างน้อย อีกทั้งพวกเขาไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายล้วนสกปรกอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นปราสาทหลังนี้ เด็กเหล่านี้ หรือคนป่วยในห้องนั้น ทุกอย่างล้วนต้องทำความสะอาดครั้งใหญ่

ไม่นานหญิงสาวก็ตกใจเมื่อพบว่าสถานการณ์ภายในปราสาทแย่กว่าที่นางคิดเอาไว้

นางรู้ว่าความอดอยากและโรคระบาดทำให้สถานการณ์ข้างนอกรุนแรงมาก แต่นางไม่รู้ว่ามันจะเลวร้ายถึงขั้นนี้ ความหวาดกลัวที่จะถูกพวกเขาทำร้ายสลายหายไปหมดเพราะความตื่นตกใจ นางม้วนแขนเสื้อขึ้นและสั่งให้พวกเขายกน้ำมาล้างพื้นลานด้านในปราสาท จากนั้นก็อาบน้ำล้างตัวเองให้สะอาด

พอได้ยินคำว่าอาบน้ำก็แทบไม่มีใครสมัครใจ คนที่นี่ไม่มีความเคยชินแบบนี้ นางรู้ว่าคนที่นี่ได้อาบน้ำปีละสองหนก็นับว่าดีมากแล้ว แต่นางยืนกรานคำสั่งนี้

เด็กๆ ทำหน้าโกรธขึ้ง แต่ไม่มีใครกล้าฝ่าฝืนคำสั่ง เว้นแต่แอนเดอร์สันที่ทำหน้าที่เฝ้าประตู

“ท่านจะสั่งพวกเราไม่ได้!” เด็กหนุ่มคนนั้นพูดท้าทาย

แอนเดอร์สันเป็นคนที่ดูแข็งแรงที่สุดในบรรดาทุกคน เขาสูงกว่านางหนึ่งช่วงศีรษะด้วยซ้ำ

นางแหงนหน้ามองเด็กหนุ่มที่ตัวสูงกว่า เลิกคิ้วเอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้าไม่ได้สั่งพวกเจ้า ข้าแค่บอกว่าหากไม่อาบน้ำ คนต่อไปที่จะนอนอยู่ตรงนี้จะเป็นเจ้า”

คำพูดนี้ทำให้เด็กที่อยู่ข้างๆ สูดหายใจดังเฮือก

นางเพิ่งตระหนักภายหลังว่าตัวเองพูดผิดเสียแล้ว คำขู่นี้เหมือนคำสาปแช่งเกินไป แม้แต่แอนเดอร์สันที่พยายามจะต่อต้านนางยังหน้าซีด

“ท่านห้าม…ห้ามสาปแช่งข้านะ…ข้าไม่ได้บอกว่าจะไม่อาบสักหน่อย…” แอนเดอร์สันถอยไปก้าวหนึ่งและประท้วงตะกุกตะกัก น้ำเสียงสั่นเครือ

“ข้าไม่ได้สาปเจ้า” นางรีบอธิบาย แต่ไม่ทันเสียแล้ว

เด็กหนุ่มคนนั้นมีท่าทางหวาดหวั่น หลุยส์ที่อยู่ด้านข้างถอดเสื้อผ้าออกอย่างรวดเร็วและวิ่งไปอาบน้ำล้างตัวเองจนสะอาดที่ริมบ่อน้ำ เด็กผู้ชายคนอื่นตามไปติดๆ กลัวว่าหากช้าไปจะต้องคำสาปนาง

หลังจากนั้นแม้แต่แอนเดอร์สันผู้ดื้อรั้นก็ยังถอดเสื้อผ้าและเดินไปยังบ่อน้ำ

นางพูดไม่ออก ได้แต่ลอบถอนหายใจและยอมรับว่าตัวเองโชคร้าย หันกลับไปก็เห็นเด็กหนุ่มผมสีทองตาสีฟ้าคนหนึ่งยืนอยู่ด้านข้าง

เด็กหนุ่มคนนั้นก้าวลงมาจากกำแพงเมืองพลางมองนาง เคลรอให้เขาคัดค้าน แต่เด็กหนุ่มผมทองคนนั้นกลับเพียงผงกหัวให้นางและหันหลังเดินไปยังบ่อน้ำอย่างเชื่อฟัง

เห็นดังนั้นนางก็ถอนใจอย่างโล่งอกอีกครั้ง นางได้ยินเด็กคนอื่นๆ เรียกเขาว่าแอนโธนี่

แอนโธนี่ดูสุขุมเยือกเย็นกว่าคนอื่นๆ แต่นางรู้ว่าเขาไม่เหมือนแอนเดอร์สันที่ชอบโวยวาย หากแอนโธนี่ต่อต้านนางเมื่อไร เด็กทุกคนจะต้องทำตามเขาแน่

นางเพิ่งสังเกตเมื่อครู่นี้เองว่าองครักษ์ที่ถือหอกยาวบนกำแพงปราสาทล้วนเป็นคนปลอมที่สวมเสื้อผ้า เด็กหนุ่มคนนั้นทำหน้าที่คอยเปลี่ยนตำแหน่งของพวกมัน

เห็นได้ว่าเวลาท่านลอร์ดจอมโจรคนนั้นไม่อยู่ แอนโธนี่ก็คือหัวหน้าของคนพวกนี้

ครั้นรู้ว่าตัวเองผ่านด่านนี้ไปได้ชั่วคราวแล้ว เคลก็สูดหายใจลึกๆ และหันไปยังกลุ่มเด็กผู้หญิงที่ยืนเบียดชิดกันเหมือนกระต่ายที่ต้องการความอบอุ่น จากนั้นก็สั่งให้โซเฟียนำพวกนางไปตักน้ำที่บ่อและเข้าไปอาบน้ำในห้องครัว

นางรู้ว่ายังมีคนซ่อนตัวอยู่ในห้อง แต่นางสงสัยว่าที่นี่ยังมีผู้ใหญ่เหลืออยู่อีกหรือไม่

หญิงสาวใช้น้ำอุ่นเช็ดตัวให้คนป่วย จากนั้นก็สั่งเด็กที่อายุมากหน่อยนำเปลหามที่ทำขึ้นชั่วคราวมาเคลื่อนย้ายคนป่วยขึ้นไปบนหอคอยอย่างระมัดระวัง

ผู้ชายที่ตัวใหญ่เหมือนโทรลหนักเกินไป นางไม่คิดว่าลำพังเด็กพวกนั้นจะเคลื่อนย้ายเขาได้ จึงตัดสินใจให้เขานอนอยู่ในห้องเดิมไปก่อน รอผู้ชายคนนั้นกลับมาแล้วค่อยว่ากัน

กว่าจะเคลื่อนย้ายคนป่วยเสร็จพระอาทิตย์ก็เคลื่อนคล้อยไปทางทิศตะวันตกแล้ว นางพบว่าอาหารเพียงอย่างเดียวที่หลงเหลืออยู่ในห้องครัวคือข้าวโอ๊ตสำหรับม้า เนื้อตากแห้งขึ้นราชิ้นหนึ่ง แครอตเหี่ยวๆ สองสามหัว และกะหล่ำปลีดองสามกระปุก

ภายในห้องครัวที่ว่างเปล่านั้นไม่มีแม้แต่แป้งสาลีสักชาม

นางมองห้องครัวที่อัตคัดเหลือแสนอย่างตะลึงงัน นานทีเดียวที่พูดอะไรไม่ออก จากนั้นก็เริ่มภาวนาให้ท่านลอร์ดที่ขัดสนผู้นั้นปล้นบ้านนางมาให้หมดและไม่ลืมเอาซุปเนื้อหม้อนั้นของนางกลับมาด้วย

ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าการที่เมื่อคืนเขาไม่ได้กินซุปเนื้อหอมกรุ่นหม้อนั้นของนาง หากไม่เพราะมีปณิธานอันแน่วแน่ไม่ธรรมดา ก็เป็นเพราะเขาเป็นคนโง่งมคนหนึ่ง

นางหวังว่าเหตุผลจะเป็นอย่างแรก หากเป็นเช่นนั้นเขาย่อมรู้ว่าควรนำอาหารที่เห็นทั้งหมดกลับมาด้วย

ตอนเขาควบม้ามาถึงสะพานหินหน้าประตูชักรอก เขารู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง แต่ยังบอกไม่ถูกว่าคืออะไร

แม้เขาจะตระหนักดีว่าลอร์ดบริเวณใกล้เคียงก็เหมือนเขาที่ยังเอาตัวแทบไม่รอด แต่ไม่มีใครรู้ว่าลอร์ดพวกนั้นจะคิดว่าการปล้นชิงเป็นความคิดที่ดีหรือไม่ เพราะฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วพี่น้องคาร์ลบัดซบนั่นส่งคนมาปล้นธัญพืชในไร่ที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของเขา

เขาคอยสังเกตสถานการณ์รอบตัวอย่างระแวดระวัง

ประตูชักรอกยังคงปิดอยู่ตามคำสั่ง คนปลอมที่เขาสั่งให้นำไปตั้งบนกำแพงปราสาทยังดูปกติเหมือนเดิม เขาสั่งให้แอนโธนี่คอยย้ายตำแหน่งคนปลอมเหล่านั้น ปราสาทดูสงบมาก ตำแหน่งของห้องครัวมีควันสีขาวม้วนตัวเป็นเกลียว ไม่มีร่องรอยการถูกโจมตี

เมื่อเขาเข้ามาใกล้ แอนเดอร์สันยกประตูขึ้น

ท้องฟ้าเริ่มมืดสลัว หอคอยบนซุ้มประตูจุดคบเพลิงแล้ว

นี่เป็นสิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกับเมื่อวาน

เขาให้แม่มดคนนั้น ไม่ใช่ ผู้หญิงคนนั้นอยู่ในปราสาท

เขาไม่คิดว่านางจะสร้างปัญหามากนัก ตอนเขาเดินทางไปต่างแดน เขาเคยพบเห็นคนที่อวดอ้างว่าตัวเองรู้เวทมนตร์ แต่พวกเขาเหล่านั้นล้วนเป็นนักต้มตุ๋น อาศัยความเข้าใจผิดของผู้คนหลอกกินหลอกดื่มเท่านั้น

เขาสังเกตเห็นแสงไฟที่ลอดออกมาจากหน้าต่างบนหอคอย เดาว่าผู้หญิงคนนั้นคงหาเทียนไขที่เหลืออยู่จนเจอ แม้จะยากจน แต่ในปราสาทยังมีเทียนไขเพียงพอ ที่น่าสลดใจก็คือเหตุผลที่ทำให้เทียนไขยังเพียงพอเพราะความอดอยากในช่วงสองปีมานี้ทำให้ผู้คนล้มตายไปมาก

บางทีความรู้สึกผิดปกติของเขาคงมาจากแสงไฟในหอคอยแห่งนั้น

เขาควบม้าเข้าไปในปราสาท ตัดผ่านด้านล่างของหอคอยและสังเกตช่องสังหารด้านบนอย่างระแวดระวัง ยามเกิดสงครามช่องเหล่านั้นใช้สำหรับเทน้ำมันร้อนหรือยิงธนูเพื่อโจมตีศัตรูที่บุกรุกเข้ามา แต่ตอนนี้พวกมันปราศจากความเคลื่อนไหว เขาสัมผัสไม่ได้ถึงไอสังหาร

ทว่าก็ยังมีบางอย่างผิดปกติอยู่ดี ความรู้สึกผิดแปลกนั้นทำให้เขาขมวดคิ้วมุ่น

พอควบม้าผ่านด้านล่างหอคอย เขาลงจากม้าที่ลานด้านในปราสาท หลุยส์ที่คอยดูแลคอกม้าเดินออกมาช้าๆ เด็กคนนั้นดูอารมณ์เสียเล็กน้อย แต่เขาเป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

เขาสั่งให้หลุยส์ขนของบนรถลากลงมา แอนเดอร์สันกับแอนโธนี่เข้ามาช่วยเหลือโดยไม่ต้องสั่ง

ในห้องครัวมีแสงไฟ เขายกหม้อซุปเนื้อที่เย็นชืดและผลักประตูเข้าไป เห็นโซเฟียกำลังต้มโจ๊กข้าวโอ๊ต เจ้าสิ่งนั้นไม่มีอะไรให้น่าพูดถึง เขาส่งซุปเนื้อในมือให้ข้ารับใช้หญิง

“เติมซุปเนื้อหม้อนี้ลงไป”

โซเฟียเบิกตาโตเมื่อเห็นซุปเนื้อหม้อนั้นและยื่นมือไปรับอย่างนอบน้อม

“เจ้าค่ะนายท่าน”

“ผู้หญิงคนนั้น ข้าหมายถึงหัวหน้าผู้ดูแลคนใหม่อยู่ที่ใด”

“เอ่อ…นางอยู่ด้านหลังหอหลักเจ้าค่ะ…” โซเฟียตอบอย่างขลาดกลัว

ได้ยินดังนั้นเขาก็หันหลังออกจากห้องครัวและมุ่งหน้าไปด้านหลังหอหลัก ใจครุ่นคิดว่าจะบอกนางอย่างไรดีว่าเขาปล้นนางอีกแล้ว

หรือบางทีเขาอาจไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ในยุคสมัยนี้ใครบ้างที่ไม่เคยปล้นชิง

เขาต้องการอาหารและนางมีอาหาร ง่ายๆ เท่านั้นเอง อีกทั้งนางอาศัยอยู่ในดินแดนของเขา ผลผลิตทั้งหมดของนางมีส่วนหนึ่งที่เป็นของเขา ในเมื่อหลายปีมานี้นางไม่เคยจ่ายส่วยเลย เขาก็แค่ยึดสิ่งที่นางติดค้างเขาอยู่กลับมาเท่านั้น

แต่คุณธรรมในใจดันผุดขึ้นมาเวลานี้ หลักการของอัศวินที่นักบวชบันทึกไว้ในหนังสือกำลังตำหนิความเลวทรามต่ำช้าของเขา

เขาสลัดมันออกจากหัวด้วยความโมโห

หลักการอัศวินบ้าบออะไรกัน

เขาแค่นเสียงหยันและก้าวยาวๆ อ้อมหอหลัก แต่แล้วกลับเห็นภาพอันแปลกประหลาดบนพื้นที่ว่างด้านหลัง

ผู้หญิงคนนั้นไปหาหม้อเหล็กขนาดใหญ่พิเศษมาจากไหนไม่รู้สองใบและก่อไฟที่ลานด้านหลัง ตัวนางยืนอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก มือถือไม้ยาวคนน้ำในหม้อที่เดือดปุดๆ

ฟืนใต้หม้อเหล็กลุกโหมรุนแรง แสงจากเปลวเพลิงข้างล่างส่องสะท้อนใบหน้านาง ไอร้อนลอยขึ้นมาเหนือหม้อ เหงื่อเม็ดเป้งผุดซึมบนหน้าผาก ทำให้เส้นผมดำแซมขาวของนางแนบติดไปกับใบหน้าและลำคอ การคนหม้อใหญ่ใบนั้นต้องใช้แรง ดังนั้นตอนนี้นางจึงกัดฟัน ใบหน้าบิดเบี้ยว ดูน่ากลัวกว่าปกติ

ผู้หญิงตรงหน้าดูเหมือนแม่มดที่กำลังเคี่ยวยาพิษอย่างไรอย่างนั้น

“สวรรค์! เจ้าทำบ้าอะไรอยู่”

นางสะดุ้งโหยงจนเกือบพลัดตกลงมาจากม้านั่ง เขาควรปล่อยให้นางร่วงลงมา แต่เขากลับปราดเข้าไปโดยอัตโนมัติและประคองนางไว้

นางลูบหน้าอกหอบหายใจและยืนอย่างมั่นคงอีกครั้ง ยกมือขึ้นจับปอยผมที่ร่วงลงมาเหน็บไว้หลังหู จากนั้นขึงตาใส่เขาอย่างไม่พอใจ

“ข้าทำอะไร? ท่านดูไม่ออกหรือ ข้ากำลังซักผ้าอยู่น่ะสิ”

“ซักผ้า?”

เขาหดมือที่แตะหลังนางอยู่กลับมา ขมวดคิ้วอย่างเคลือบแคลงพลางหันไปมองในหม้อ ถึงเห็นว่าสิ่งที่แช่และเดือดปุดอยู่ข้างในเป็นเสื้อผ้าทั้งนั้น

“ยังมีผ้าปูเตียงด้วย” นางขึงตาพูด

“เจ้าเอาเสื้อผ้าพวกนี้มาต้มทำไม” ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้วหรือ

“เพราะในปราสาทของท่านไม่มีเสื้อผ้าและผ้าปูเตียงที่สะอาดเลย” นางใช้สองมือกอดอก มองเขาและพูดต่อ “ข้าบอกท่านแล้ว เสื้อผ้าและผ้าปูเตียงของคนป่วยต้องต้มด้วยน้ำเดือด คราบและสิ่งสกปรกที่สะสมมานานพวกนี้ใช้แค่น้ำในบ่อกับน้ำในแม่น้ำล้างไม่สะอาด! ต้องนำพวกมันไปต้มถึงจะขจัดพิษได้!”

พอนางเอ่ยคำว่า ‘พิษ’ ออกมา ทั้งสองต่างได้ยินเสียงสูดหายใจดังขึ้นไม่ไกลออกไป

สวรรค์ เขาทนกับพวกชอบแอบฟังมามากพอแล้ว!

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว แต่กลับเห็นนางเหลือกตาในจังหวะเดียวกันและย่ำเท้า จากนั้นก็หันไปแผดเสียงใส่ช่องธนูเล็กๆ บนชั้นสองของหอหลักว่า “โอ ให้ตาย! ข้าไม่ใช่แม่มด!”

เขาถลึงตาจ้องหญิงสาวคลุ้มคลั่งตรงหน้า อดพูดไม่ได้ว่า “หากไม่อยากให้ผู้อื่นคิดว่าเจ้าเป็นแม่มด เจ้าก็อย่าทำแบบนี้”

“ข้าแค่กำลังซักเสื้อผ้า!” นางหันกลับมาโวยเขาอย่างดุดัน

“สภาพเจ้าดูไม่เหมือนกำลังซักเสื้อผ้า แต่เหมือนแม่มดแก่ที่กำลังต้มซุปกระดูกคนมากกว่า”

นางเชิดคางเล็กจิ้มลิ้ม สองมือที่ไขว้อยู่ตรงหน้าอกจับแขนตัวเองแน่นและกัดฟันพูดว่า “นายท่าน ข้าจะซาบซึ้งมากหากท่านหยุดกระพือข่าวลือนี้เสียที อีกอย่างข้าขอเตือนความจำท่านว่าตอนนี้ข้าเป็นหัวหน้าผู้ดูแลของที่นี่ หากข้าเป็นแม่มดก็มีแต่จะทำให้สถานการณ์ของท่านย่ำแย่กว่าเดิม ข้าเชื่อว่าพวกเราคงไม่อยากให้นักล่าแม่มดมาที่นี่หรอกใช่หรือไม่ ตอนนี้ปัญหาของท่านมากพออยู่แล้ว”

ชั่วขณะหนึ่งที่เขารู้สึกว่าดวงตานางมีประกายไฟแลบออกมาจริงๆ

ถูกต้อง เขาไม่อยากเพิ่มปัญหาให้มากไปกว่านี้

เขาจึงพยักหน้าตอบเสียงห้วนว่า “อย่าโง่น่า ข้าไม่หาปัญหาใส่ตัวอยู่แล้ว”

“ดีมาก ในเมื่อพวกเราเห็นตรงกัน เชื่อว่าท่านคงไม่ถือสาที่ข้าจะต้มเสื้อผ้าหม้อนี้ให้ท่านต่อไป” นางพูดพลางหันกลับไปและไม่สนใจเขาอีก กำไม้ที่จุ่มอยู่ในหม้อเดือดอีกครั้งและออกแรงกวนผ้า

นานทีเดียวเขาจึงพบว่านางยุติบทสนทนาครั้งนี้ด้วยตัวเอง

เนื่องจากน้อยครั้งที่จะมีคนปฏิบัติเช่นนี้กับเขา เขาอึ้งไปครู่หนึ่ง ผู้หญิงคนนี้แค่ไม่ได้โบกมือไล่เขาออกไปตรงๆ เท่านั้น

เขาควรตำหนินางที่ไร้มารยาท แต่มือเขายังหลงเหลือเหงื่อจากแผ่นหลังนาง เสื้อผ้าที่นางสวมอยู่เปียกเหงื่อไปกว่าครึ่งแล้ว

มองหญิงสาวที่ออกแรงคนหม้อใบใหญ่ตรงหน้า เขาพูดอะไรไม่ออก ได้แต่หันหลังจากไป พอเขาเดินเข้าไปในลานด้านในปราสาทข้างหน้าหอหลักถึงได้พบว่าหินที่ปูอยู่บนพื้นถูกคนขัดล้างอย่างแรง คราบสกปรกและตะไคร่สีเขียวที่เคยเกาะอยู่หายไปหมด

แทบจะในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มพบว่าเขารู้แล้วว่าความรู้สึกผิดปกติก่อนหน้านี้มาจากอะไร

ชายหนุ่มไม่เชื่อสายตาตัวเองนัก เขาเดินไปยังประตูปราสาทด้านนอกอย่างอดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นทางเดินใต้หอคอยบริเวณซุ้มประตู หรือสะพานชักนอกประตูและสะพานหินที่ห่างออกไป ทุกอย่างถูกล้างจนสะอาดสะอ้าน

กลิ่นเหม็นที่คลุ้งอยู่ในอากาศตลอดเวลาหายไป แม้จะไม่หายไปทั้งหมด แต่ปลอดโปร่งขึ้นมากจริงๆ จากนั้นพอหลุยส์ออกมาจากคอกม้าและยืนล้างมือริมบ่อน้ำ เขาสังเกตเห็นว่าคราบบนใบหน้าของเด็กคนนั้นหายไปแล้ว เส้นผมที่ติดกันเป็นก้อนตลอดทั้งปีก็ถูกสระจนสะอาด

เขาเงยหน้ามองแอนโธนี่ที่อยู่บนกำแพงปราสาท ก่อนจะหันไปมองลิซ่าที่ยกหม้อโจ๊กข้าวโอ๊ตขึ้นไปบนหอคอยเหนือซุ้มประตู ตลอดจนเด็กคนอื่นๆ ที่กำลังยุ่งง่วน

ทุกคนไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย แม้แต่ละคนจะทำหน้ากลัดกลุ้มกังวล แต่ล้วนดูสะอาดและสบายตา

กว่าเขาจะได้สติ เขาก็ย้อนกลับไปยังพื้นที่ว่างด้านหลังหอหลักอีกครั้ง

ใต้กำแพงปราสาท หญิงผู้นั้นยังคงออกแรงต้มเสื้อผ้า ข้างกายนางมีถังใส่เสื้อผ้าที่ซักเสร็จแล้วรอต้มวางอยู่ ในถังไม้ใบใหญ่อีกใบเป็นน้ำสะอาด

นางใช้ท่อนไม้เกี่ยวเสื้อผ้าขึ้นมาและนำไปล้างในน้ำสะอาด จากนั้นใส่ลงในกะละมังไม้

พอนางเทเสื้อผ้าอีกกองลงในหม้อและกำไม้ท่อนนั้นเพื่อออกแรงคนเสื้อผ้าอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าตัวเองคิดอะไร แต่เขาเดินเข้าไปกำไม้ท่อนนั้น

เคลอึ้งไปและเหลือบตามองเขา ดวงตาฉายความประหลาดใจ นางลังเลครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยมือ ปล่อยให้เขาเป็นคนควบคุมไม้ท่อนนั้น

เขายืนอยู่ข้างหม้อพลางคนเสื้อผ้าที่เดือดพล่านในหม้อตามอย่างนาง

นางไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่หันหลังถอยออกไป

เขามองนางเดินไปข้างกองเสื้อผ้าที่ผ่านการซักในน้ำสะอาดแล้ว นางหยิบพวกมันขึ้นมาทีละตัว บิดให้แห้ง สะบัด ก่อนจะนำไปตากบนเชือกป่าน

เดิมทีเชือกไม่ได้อยู่ตรงนั้น เห็นได้ชัดว่านางขุดมันออกมาจากที่ใดที่หนึ่งในปราสาท และตัดสินใจเปลี่ยนที่นี่ให้เป็นลานตากเสื้อผ้า

“เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าโรคระบาดเกิดจากการถูกวางพิษในเสื้อผ้า” เขามองนางและอดถามไม่ได้

“ไม่ใช่แน่นอน” นางตอบโดยไม่หันกลับมา “การต้มเสื้อผ้าเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคระบาดมีมานานแล้ว เพียงแต่คนที่นี่ลืมไปแล้วว่าควรทำอย่างไร หากที่นี่ยังมีคนแก่อยู่ก็น่าจะรู้”

แต่คนแก่ตายไปหมดแล้ว

โรคระบาดและความอดอยากต่อเนื่องหลายปีทำให้คนแก่ส่วนใหญ่ในที่แห่งนี้ตายไปหมด

เห็นได้ว่านางตระหนักถึงความจริงข้อนี้

เขาคนเสื้อผ้าต่อไปเงียบๆ ไอร้อนที่ระเหยขึ้นมารมใบหน้าเขา ไม่นานก็ทำให้เขาเหงื่อออกเต็มตัว

“ทำไมเจ้าถึงไม่สั่งข้ารับใช้หญิงมาต้มเสื้อผ้าพวกนี้” เขาอดถามอีกครั้งไม่ได้

“เพราะข้าไม่คิดว่าคนที่นี่จะกล้ากินอาหารที่ข้าเป็นคนทำ”

คำพูดนี้ทำให้มุมปากเขาโค้งขึ้นอย่างอดไม่ได้ เกือบจะส่งเสียงหัวเราะออกมา

ความรู้สึกขบขันที่เกิดขึ้นทำให้เขาอึ้งไปเล็กน้อย เขานิ่วหน้าและเก็บรอยยิ้ม เกี่ยวเสื้อผ้าเหล่านั้นขึ้นมาและไม่พยายามชวนนางคุยอีก

 

เขาช่วยนางซักเสื้อผ้าและผ้าปูเตียงทั้งหมด ทั้งยังช่วยตาก

บอกตามตรง นางคิดว่าเขาจะเหมือนชนชั้นสูงที่นางเคยพบเจอมา ดีแต่ออกคำสั่ง คิดไม่ถึงว่าเขาจะลงมือช่วยด้วยตัวเอง

แม้ปราสาทแห่งนี้ดูเหมือนจะเข้าสู่ทางตันแล้ว แต่บางคนแม้ความตายรออยู่ตรงหน้าก็ยังไม่ยอมรับความจริง

จะว่าไปหากเขาเป็นคนแบบนั้น เขาคงไม่ไปลักพาตัวนางมา

หลังตากเสื้อผ้ากับผ้าปูเตียงเสร็จ นางเดินตามหลังเขากลับไปด้านหน้าหอหลัก รอให้เขาระเบิดอารมณ์กับวิธีการอันเผด็จการและเอาแต่ใจของนาง แต่ผู้ชายคนนั้นกลับไม่ได้พูดอะไร แม้เขาจะช่วยนางขนน้ำมันหอมระเหยกับสารสกัดบนรถลากขึ้นไปบนหอคอยเหนือซุ้มประตู เห็นพรมแขวนในห้องโถงใหญ่ที่เป็นมรดกของตระกูลถูกเอามาเป็นพรมปูพื้นเขาก็ไม่ได้โมโห

เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มตัวโตที่ดูเหมือนทายาทของยักษ์ในป่าตามตำนานไม่อยู่ในหอคอยเหมือนคนป่วยคนอื่นๆ เขาจึงเอ่ยถาม

“ไมเคิลล่ะ เขาอยู่ที่ใด”

“ยังอยู่ที่เดิม” นางตอบ “ข้าไม่คิดว่าอาศัยแค่แรงของเด็กพวกนั้นจะพาเขาขึ้นมาบนนี้ได้ เขาตัวหนักเกินไป ข้ากลัวว่าหากพวกเขาเสียการทรงตัวจะไม่ทันระวังทำเขาร่วงลงไป”

เขาพยักหน้าและลงไปข้างล่าง

เคลคิดว่าเขาจะไปตามเด็กผู้ชายตัวโตหน่อยอีกสองคนมาช่วย แต่ครู่ใหญ่หลังจากนั้นนางก็เห็นเขาแบกคนตัวโตเดินขึ้นบันไดทีละก้าว เห็นแล้วน่าตกใจ

เนื่องจากบันไดวนที่จะขึ้นมาบนหอคอยแคบและเล็กเกินไป ไม่สามารถเดินสวนกันได้ เขาจึงแบกไมเคิลขึ้นมาเอง

ความจริงเด็กตัวโตคนนั้นแทบจะอุดช่องทางของบันไดไว้ทั้งหมด เขาแบกเด็กคนนั้นไว้บนบ่าและเอียงตัวเดินขึ้นบันได ตอนแรกนางเห็นแค่แผ่นหลังที่โค้งงอจนดูเหมือนภูเขาของคนตัวโตเท่านั้น แต่มองไม่เห็นเขา รอจนเขาแบกคนเดินขึ้นมาบนหอคอยแล้ว นางถึงตกใจเมื่อพบว่าข้างหลังไม่มีคนอื่นอีกแล้ว เขาแบกคนตัวใหญ่นั้นขึ้นมาด้วยตัวเอง

ชายหนุ่มแบกคนเดินตัดกลางห้อง คุกเข่าลงบนพื้นและวางไมเคิลลงบนฟูกนอนอย่างระมัดระวัง

แม้ลมหายใจจะหอบเล็กน้อย แต่ดูท่าทางแล้วเขาสามารถแบกคนผู้นี้เดินไปได้อีกไกลอย่างสบายๆ วินาทีนี้นางรู้สึกโชคดีที่ตัวเองไม่ใช่ศัตรูของเขา

ผู้ชายคนนี้แข็งแกร่งจนน่ากลัว

พอเขาหันหลังจากไปเงียบๆ นางรู้สึกโล่งอก

ผ่านไปครู่ใหญ่ ลิซ่ายกโจ๊กข้าวโอ๊ตหม้อเล็กเข้ามา โจ๊กหม้อนั้นเติมซุปเนื้อลงไป นางเดาว่าเขาขโมยซุปเนื้อหม้อนั้นของนางมาด้วย

นางป้อนโจ๊กให้คนป่วยเหล่านั้น คนส่วนใหญ่ล้วนไม่อยากอาหาร พวกเขาอยากนอนครางอยู่บนเตียงมากกว่า การเช็ดตัวและเคลื่อนย้ายเมื่อตอนบ่ายสูบพลังของพวกเขามากเกินไป

โชคดีที่นางค้นเจอกระปุกน้ำผึ้งในบรรดาขวดและกระปุกทั้งหลาย นางผสมน้ำผึ้งกับน้ำและเติมเกลือ จากนั้นค่อยๆ ป้อนให้พวกเขา

กว่านางจะจัดการทุกอย่างเสร็จก็ดึกมากแล้ว

นางนั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างที่ขอให้แอนเดอร์สันยกขึ้นมาให้ ดื่มโจ๊กที่เหลือจนหมดอย่างรวดเร็วพลางมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง

ช่องธนูบนผนังของหอหลักมีแสงไฟลอดออกมา ยิ่งมองสูงขึ้นไปบนหอ ช่องธนูเล็กแคบนั้นก็ยิ่งใหญ่ขึ้น ช่องธนูตรงชั้นสามกลายเป็นหน้าต่างแคบยาว พอถึงชั้นบนสุด หน้าต่างก็ขยายกว้างมาก

หลังจากยุ่งง่วนอยู่ที่นี่หนึ่งวัน นางเริ่มรู้สภาพโดยรวมของที่นี่แล้ว รู้ว่าชั้นหนึ่งของหอหลักเป็นเล้าหมูและสถานที่เลี้ยงสัตว์อื่นๆ เพียงแต่ตอนนี้ข้างในนอกจากหญ้าแห้งที่ขึ้นราแล้วไม่มีอย่างอื่น นั่นเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่นางต้องจัดการหลังจากนี้ ชั้นสองเป็นคลังอาวุธ ห้องโถงเพดานสูงบนชั้นสามมีบันไดแยกออกไปต่างหาก ชั้นที่สูงกว่านั้นนางยังไม่ได้ขึ้นไป แต่เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นที่อยู่ของผู้ชายคนนั้น

ปราสาทแห่งนี้สร้างอยู่บนหน้าผา หอหลักอยู่ตรงกลาง สิ่งก่อสร้างอื่นๆ ที่ก่อจากดินผสมไม้กระจายอยู่ภายในกำแพงปราสาท ถูกโอบล้อมด้วยกำแพงอันแน่นหนา นอกจากหอคอยบนซุ้มประตู ยังมีหอคอยที่สร้างจากหินอีกสี่แห่งตั้งตระหง่านอยู่บนกำแพงปราสาทในตำแหน่งต่างๆ

นางแยกแยะได้อย่างรวดเร็วว่านี่เป็นปราสาทอัศวิน น่าจะเคยเป็นชายแดนสำคัญของจักรวรรดิโรมัน ด้านหลังหอหลักมีลานอาบน้ำที่ถูกทิ้งร้าง พื้นที่ระหว่างหอหลักกับหออื่นๆ มีห้องน้ำอยู่ ระบบการจัดการน้ำเสียแบบง่ายๆ ทำให้สามารถระบายของเสียผ่านท่อลำเลียงไปยังบ่อน้ำเสียที่อยู่ชั้นล่างสุดได้โดยไม่ต้องขุดรูบนเชิงเทินหรืออาศัยช่องเชิงเทินเทของเสียลงไปในคูน้ำที่ล้อมรอบปราสาท

นอกจากบ่อน้ำในลานด้านในปราสาท บนหอคอยยังมีรางเก็บน้ำสำหรับเก็บกักน้ำฝน แต่รางเหล่านั้นไม่ได้ถูกล้างมานานเท่าใดแล้วไม่รู้ ข้างในเต็มไปด้วยตะไคร่สีเขียวกับหนอนตัวเล็กๆ ด้านล่างมีซากหนอนกับแมลงที่แยกแยะไม่ออกทับถมอยู่ นางไม่กล้าใช้น้ำที่อยู่ข้างใน แต่หากทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว รางเก็บน้ำนั้นจะทำให้นางทำอะไรสะดวกขึ้นมาก

ต่างจากเมืองใหญ่ทางตอนใต้ที่เป็นเมืองการค้า ที่นี่ไม่มีเตาผิงกับปล่องควัน ทำให้การระบายควันเป็นปัญหา แต่หลายแห่งก็ไม่มีเช่นกัน ที่นี่ไม่ใช่เวนิส นางจะเรียกร้องมากเกินไปไม่ได้

แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ความจริงปราสาทหลังนี้มีโครงสร้างที่ดีทีเดียว ดูท่าคงมีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปี เห็นได้ชัดว่าในอดีตเคยรุ่งเรืองมาก่อน

หากเป็นในอดีต พอตกกลางคืนหอทุกแห่งในปราสาทแห่งนี้จะต้องจุดคบไฟแน่นอน แต่ยามนี้มีเพียงหอคอยบนซุ้มประตูกับหอหลักเท่านั้นที่มีแสงไฟ

ผ่านไปครู่ใหญ่ ไฟที่อยู่ชั้นล่างค่อยๆ ถูกดับไปทีละดวง เหลือเพียงแสงไฟที่ส่องออกมาจากหน้าต่างชั้นบนสุด

นางสงสัยว่าเป็นเพราะนางอยู่ที่นี่ทำให้เขานอนไม่หลับหรือเปล่า แต่บอกตามตรง ก็สมควรแล้วล่ะ

หลังกินโจ๊กข้าวโอ๊ตคำสุดท้ายลงไป นางก็เอาชามกับหม้อไปเก็บในครัว จากนั้นเดินตัดลานกลับขึ้นไปบนหอคอย ในบ้านที่สร้างจากไม้ยังคงมีคนแอบมองนางอยู่ แอนโธนี่กับแอนเดอร์สันที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูคอยสังเกตนางอย่างใกล้ชิด

พวกเขาอาจเกรงว่านางจะถือโอกาสเปิดประตูปราสาทตอนกลางคืนหรือใช้คำสาปวางยาพิษกับพวกเขากระมัง

เนื่องจากเหน็ดเหนื่อยจนไม่มีแรงจะประท้วงหรือโมโห นางจึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น มือจับผนังพลางไต่ขึ้นบันได กลับเข้ามาในห้องอีกครั้งและนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นลงมือผสมสารสกัดกับน้ำมันหอมระเหยที่สามารถบรรเทาอาการเจ็บหน้าอก รักษาอาการคันผิวหนัง คอยดูแลคนป่วยที่ไอไม่หยุดเหล่านั้น

บทที่ 3

อีกวันกำลังจะหมดไป ดวงอาทิตย์ยามสนธยาดูเหมือนเหล็กที่ถูกเผาไฟจนแดง กำลังจมลงสู่ก้อนเมฆไกลออกไป

หลังฟ้ามืด เขาเห็นผู้หญิงคนนั้นเดินย่ำไปบนพื้นหิน มุ่งหน้าไปยังลานด้านหลัง เก็บผ้าปูเตียงที่ตากแห้งแล้วอีกชุด

เจ็ดวันก่อนตอนที่นางย้อนกลับมา เขายังไม่แน่ใจในการตัดสินใจของตัวเองนัก เขายังไม่เคยได้ยินว่าผู้หญิงสามารถเป็นหัวหน้าผู้ดูแลปราสาทได้ แต่บอกตามตรง เขาไม่มีทางเลือกอื่น

คนในปราสาทยังคงหวาดกลัวนางมาก แม้โซเฟียกับลิซ่าจะทำงานกับนางทุกวัน แต่หากมีโอกาสพวกนางมักจะหลบไปให้ไกลเสมอ

ไม่มีใครอยากเข้าใกล้นาง ผู้หญิงคนนั้นไม่เคยบ่นเรื่องนี้ นางรู้จักเรียกร้องและรู้วิธีในการสั่งข้ารับใช้เหล่านั้นให้ทำงาน แต่นางไม่เคยหวังว่าทุกคนจะต้องยิ้มแย้มหรือเป็นมิตรกับนาง

เจ็ดวันมานี้ ตอนกลางคืนนางคอยดูแลคนป่วยที่ถูกกันให้ไปอยู่ในหอคอยเหนือซุ้มประตูด้วยตัวเอง ตอนกลางวันคอยสั่งการให้ข้ารับใช้เหล่านั้นทำความสะอาดปราสาททั้งหลัง

นางกำจัดหญ้าชื้นในคอกเลี้ยงสัตว์กับคอกม้า เก็บกวาดยุ้งฉางที่ไม่มีธัญพืชอยู่จนสะอาดและเปิดประตูหน้าต่างทุกบานให้อากาศถ่ายเท สั่งให้ทุกคนขัดถูซอกมุมที่มีคราบสกปรก

นางทำความสะอาดลานอาบน้ำที่ถูกทิ้งร้างและบังคับให้ทุกคนทำความสะอาดร่างกายตัวเอง นอกจากนี้ยังไปหาหม้อเหล็กเก่าๆ มาจากโรงตีเหล็กเพื่อใช้แทนอ่างไฟ จุดไฟให้ความอบอุ่นแก่คนป่วยในหอคอยบนซุ้มประตู

กฎเกณฑ์ที่นางตั้งขึ้นมีมากมายนับไม่ถ้วน นอกจากอาบน้ำ คนที่เข้าออกห้องคนป่วยยังต้องผูกผ้าปิดปากและจมูก แม้จะเข้าไปเพียงครู่เดียวก็ต้องล้างมือ คนที่เข้าออกห้องครัวและรับหน้าที่ทำอาหารก็ต้องล้างมือเช่นกัน ก่อนกินข้าวทุกคนต้องล้างมือ โชคดีที่พวกเขาขาดแคลนทุกอย่างยกเว้นน้ำ

นอกจากนี้ปีศาจสาวที่ชอบล้างมือยังสั่งให้คนทำความสะอาดรางเก็บน้ำทั้งหมดภายในปราสาท ดังนั้นตอนนี้นอกจากน้ำในบ่อแล้ว พวกเขายังมีน้ำฝนในรางเก็บน้ำที่สามารถใช้ได้

นางยังสั่งให้ข้ารับใช้ผู้หญิงเข้าไปในป่าเก็บดอกยาร์โรว์ ดอกแดนดิไลออน และใบมิ้นต์กลับมาต้มเป็นชาสมุนไพรให้ทุกคนดื่มทุกวัน นอกจากนี้ยังเด็ดสิ่งที่เขามองแล้วเหมือนวัชพืชกลับมาต้มและใช้น้ำสมุนไพรนั้นเช็ดตัวให้คนป่วย

ในปราสาท ข้ารับใช้หญิงและเด็กผู้ชายทั้งหมดถูกนางใช้วิ่งไปวิ่งมาทั้งวัน ทุกคนเหน็ดเหนื่อยจนไม่มีแรงจะบ่น แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับขยันขันแข็งยิ่งกว่าใคร

เขาสังเกตเห็นว่าขาขวาของนางกะโผลกกะเผลกหนักกว่าเก่า

เขายืนอยู่ตรงหน้าต่างหอหลัก หลุบตามองหญิงสาวด้านล่างหอบผ้าปูเตียงเดินกะเผลกอ้อมหอหลักกลับไปยังหอคอยบนซุ้มประตูด้านหน้า ก่อนจะหายเข้าไปตรงทางเข้า

ทุกคนพากันหลบนาง แต่ก็อดสังเกตนางไม่ได้

เขาเข้าใจความสงสัยและความหวาดกลัวของคนเหล่านั้น หลายวันมานี้เขาเห็นคนพวกนั้นจับกลุ่มคุยกันเรื่องแม่มดที่น่ากลัวคนนั้น ทุกคนไม่รู้ว่านางทำอะไรกับคนป่วยที่น่าสงสารบนหอคอยนั้นบ้าง

ความจริงนางไม่ได้ทรมานคนป่วยเหล่านั้นเลย เขาหาเวลาไปดูอยู่หลายครั้ง นางแค่เช็ดเหงื่อให้พวกเขาและเช็ดตัว ยามที่พวกเขาต้องการ นางจะป้อนน้ำและชาที่ต้มจากสมุนไพรเหล่านั้นให้ดื่ม

อาการของคนป่วยโรคระบาดเหล่านั้นเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย บางคนถึงขั้นไม่ได้สติ แต่ก็มีหลายคนที่ใบหน้าไม่ซีดขาวเหมือนก่อนหน้านี้อีก เสียงหอบไอน่ากลัวที่ดังไม่หยุดเริ่มลดลงไปตั้งแต่คืนแรกที่นางมาถึง ไม่ดังตลอดทั้งคืนและทำให้ผู้คนอกสั่นขวัญแขวนเหมือนเมื่อก่อนอีก

ห้องคนป่วยก็ไม่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นน่ากลัวเหมือนก่อนหน้านี้ นางคอยเปลี่ยนเสื้อผ้ากับผ้าปูเตียงที่เลอะปัสสาวะและอุจจาระให้พวกเขาทุกวัน แถมยังใช้น้ำมันหอมระเหยที่แช่สมุนไพรนวดทาร่างกายให้พวกเขา ทำให้ที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นหอมที่ทำให้คนผ่อนคลาย

ไม่รู้เป็นเพราะความบังเอิญหรือการยืนกรานรักษาความสะอาดสภาพแวดล้อมของนางใช้ได้ผล ตั้งแต่ผู้หญิงคนนั้นมาที่นี่ คนในปราสาทก็ไม่ล้มป่วยเพราะโรคระบาดอีก

หนึ่งปีที่ผ่านมา ลูกน้องและทาสติดที่ดินของเขาตายไปกว่าครึ่ง ปราสาทแห่งนี้เหลือแต่เปลือกนอก เพื่อนบ้านที่โชคร้ายเหมือนเขาแต่ดุร้ายกว่าอาจมาปล้นชิงเขาได้ทุกเมื่อ แถมเขายังลักพาตัวผู้หญิงที่อาจเป็นแม่มดมาเป็นหัวหน้าผู้ดูแล

ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเขาไม่มีอาหารเพียงพอจะเลี้ยงคนได้ทุกคน

ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ เขายังคงรู้สึกเหมือนในที่สุดตัวเองก็เห็นแสงแห่งความหวังท่ามกลางความมืดมน

เขาสูดหายใจลึก หันกลับไปแขวนธนูกับขวานไว้บนผนังตามเดิม ก่อนจะลงบันไดกลับไปที่ห้องโถงใหญ่

โซเฟียกับลิซ่ายกโจ๊กข้าวโอ๊ตเข้ามา แทบจะทุกคนมารวมตัวกันที่โต๊ะยาวในห้องอาหารเพื่อกินมื้อเย็น

ระหว่างที่ดื่มโจ๊กเปล่าที่ใสจนแทบไม่ต่างจากน้ำ เขาสังเกตเห็นอีกครั้งว่าแม้จะผ่านมาหลายวันแล้ว แต่ทุกคนยังคงรักษาความสะอาดของตัวเอง

แม้เขาจะบอกแล้วว่านางไม่ใช่แม่มด แต่ทุกคนยังคงหวาดกลัวผู้หญิงคนนั้นอย่างยิ่ง กลัวว่าหากไม่ทำตามที่นางสั่งจะต้องคำสาปที่น่ากลัว

หลุยส์ที่หิวจัดเลียชามด้วยความรู้สึกไม่เพียงพอ แต่สองมือของเขานั้นขาวสะอาด ผมของลิซ่าไม่ยุ่งเหยิงอีกแล้ว แต่ถูกมัดไว้อย่างดี ดูเหมือนแอนเดอร์สันจะเลิกใช้มือเกาไปทั่วตัว เหาและเห็บที่แต่ก่อนเคยไต่อยู่เต็มตัวทุกคนหายไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

ในห้องโถงใหญ่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่นของสมุนไพร โซเฟียบอกว่าผู้หญิงคนนั้นบอกว่าสมุนไพรเหล่านั้นขับไล่แมลงได้ จึงสั่งให้นางเผาสมุนไพรในห้อง ของสิ่งนั้นมีประโยชน์มาก

พอได้ยินนางพูดอย่างนี้ เขาพบว่าหมู่นี้ตัวเองไม่ถูกเห็บในห้องโถงกัดอีกแล้ว นั่นทำให้เขาใคร่ครวญว่าจะหยิบสักกำขึ้นไปใช้ในห้องดีหรือไม่

หลังกินข้าว เขากลับมาที่ห้องของตัวเอง ถอดอุปกรณ์และเสื้อผ้าบนตัวรวมถึงรองเท้าถุงเท้าออก สวมไว้เพียงเสื้อยาวตัวหนึ่ง มือถือดาบและเอนกายลงบนเตียง

ตอนเขาปิดตาหลับ เขาได้กลิ่นเหม็นเหงื่อของตัวเองและอดคิดไม่ได้ว่าบางทีเขาน่าจะอาบน้ำสักหน่อย

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

“นายท่าน! นายท่าน! แย่แล้วเจ้าค่ะ!”

เขาคว้าดาบและสวมเสื้อขนแกะตัวยาวกับรองเท้าทันที จากนั้นก็พุ่งไปเปิดประตู

“เกิดอะไรขึ้น”

“แม่มด…แม่มดคนนั้น…” ข้ารับใช้หญิงหน้าซีดเหมือนศพ น้ำตาคลอหน่วยพลางชี้ไปนอกหน้าต่างตรงทิศที่ตั้งของหอคอยอย่างหวาดหวั่น “นางพาเจอรี่ขึ้นไปบนกำแพงปราสาท นางจะโยนเจอรี่ลงมา นางคิดจะสังเวยเจอรี่ให้กับซาตาน!”

ชายหนุ่มตะลึงและหันไปมอง เมื่อมองผ่านหน้าต่าง เขาเห็นว่าใต้ดวงจันทร์กลมโตสลัวรางมีเงาคนคนหนึ่งอุ้มห่อของยืนอยู่บนกำแพงปราสาท

ให้ตาย!

เขาลอบสบถและวิ่งลงบันไดอย่างรวดเร็วโดยไม่เสียเวลาคิด พุ่งผ่านลานด้านในปราสาท ไต่ขึ้นบันไดตรงซุ้มประตู กระโดดข้ามแอนโธนี่ที่นอนกอดพรมอยู่บนพื้น เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยงเพราะเสียงของเขาและขยี้ตาตื่นขึ้นมา ชายหนุ่มไม่สนใจ เอาแต่ปราดไปยังกำแพงปราสาทที่ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่

เดิมทีคิดว่าเขาจะช่วยเหลือเด็กคนนั้นจากเงื้อมมือนางไม่ทันเสียแล้ว แต่พอขึ้นไปบนกำแพงปราสาท เขากลับพบว่าตัวเองเข้าใจบางอย่างผิดไป

ผู้หญิงคนนั้นอุ้มเจอรี่ที่มีผมสีทองอยู่จริงๆ แต่นางไม่ได้มีความคิดจะโยนเด็กลงจากกำแพงปราสาทเลย นางเพียงแต่อุ้มเด็กน้อยในวัยห้าขวบเดินกลับไปกลับมาบนกำแพงปราสาทที่เชื่อมระหว่างหอคอยหนึ่งไปสู่อีกหอคอยหนึ่ง มือโยกตัวเด็กช้าๆ ขณะที่ปากฮัมเพลงกล่อมเด็กด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ครั้นได้ยินเสียงเขาวิ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว นางอุ้มเด็กน้อยหันกลับมา จมูกกับปากยังมีผ้าปิดอยู่ แต่เสียงเพลงที่ออกจากปากไม่ได้หยุดชะงัก เห็นดาบในมือเขาแล้วนางก็ประหลาดใจเล็กน้อย แต่เสียงเอะอะโวยวายของผู้คนในลานทำให้นางเข้าใจเรื่องราว ข้างล่างมีคนมารวมตัวกันตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

นางมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์พลางเลิกคิ้ว ปากฮัมเพลงต่อไปพลางเดินเข้ามาหาเขาช้าๆ โดยไม่ลืมยื่นมือออกไปลูบหลังเด็กน้อยด้วย

เขาเป็นคนปัญญาอ่อน

ไม่ต้องให้นางเอ่ยปาก หัวสมองของเขาก็ผุดคำพูดนี้ขึ้นมา

นางสามารถจากไปตั้งแต่เจ็ดวันก่อนแล้ว แต่นางไม่ได้ไป ตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมาผู้หญิงคนนี้ดูแลคนป่วยด้วยตัวเองจนแทบไม่หลับไม่นอน เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงคิดว่านางจะฆ่าเด็กคนนั้น

ใบหน้าและศีรษะของเด็กผู้ชายซบอยู่บนบ่านาง หน้าผากเกลี้ยงเกลามีเหงื่อซึมและแดงเรื่อ แก้มยังหลงเหลือคราบน้ำตา เห็นได้ชัดว่าเพิ่งร้องไห้มา แต่ยามนี้เด็กน้อยหลับตา แม้จะยังสะอื้นเป็นพักๆ แต่ใกล้จะหลับแล้ว ใบหน้าดูสบายใจและวางใจ

นางหยุดตรงหน้าเขาห่างไปไม่กี่ก้าวโดยไม่ลืมโยกเด็กเบาๆ ตามจังหวะเดิม

สายตาตำหนิของนางทำให้เขาพูดไม่ออก ทั้งยังรู้สึกกระอักกระอ่วน ชายหนุ่มเก็บดาบลงในฝักและหันหลังเดินลงบันไดไปข้างล่าง ไล่ให้ทุกคนเข้านอน

ตอนเขากลับมาอีกครั้ง เห็นนางอุ้มเด็กผู้ชายอยู่ใต้แสงจันทร์ยามค่ำคืน นางไม่ได้ฮัมเพลงแล้วและไม่ได้เดินกลับไปกลับมาอีก แต่ยังคงไกวมือไปมา เจอรี่อายุห้าขวบ แม้จะตัวเล็กกว่าเด็กวัยเดียวกันทั่วไป แต่สำหรับนางยังคงหนักเกินไป ขาขวาของนางต้องรับภาระหนักขึ้น ดังนั้นนางจึงพิงราวกำแพง แม้จะเป็นเช่นนี้นางกลับไม่คิดที่จะวางเด็กน้อยลง

กลางดึกอากาศหนาวเย็น ทำให้ลมหายใจที่นางพ่นออกมาเป็นควันสีขาวขมุกขมัวแม้จะมีผ้าปิดปากอยู่

ลมหนาวบาดกระดูกพาให้เรือนผมสีดำสลับขาวของนางปลิวขึ้นมา

เขาเดินเข้าไปและวางดาบพิงกำแพง ก่อนจะยื่นมือให้นาง

นางจ้องเขาด้วยแววตาอึ้งงันเล็กน้อย เอ่ยเสียงค่อยว่า “เขายังหลับไม่สนิท รออีกประเดี๋ยว”

ชายหนุ่มพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ แต่ยังคงยื่นมือออกมาหานาง

นางไม่ได้ปล่อยเด็ก แต่บอกเขาว่า “เขาอาจจะแพร่โรคให้ท่าน”

ได้ยินเช่นนี้แล้วเขาก็ยังคงไม่ยอมวางมือ

เห็นเขายืนกราน นางจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านต้องปิดปากและจมูก”

“เอาผ้าของเจ้าให้ข้า” เขาเอ่ยเสียงแหบหนัก

นางอึ้งไป ลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ดึงผ้าเช็ดหน้าที่ผูกไว้กับศีรษะยื่นให้เขา

ชายหนุ่มผูกผ้าผืนนั้นกับศีรษะตัวเองให้เรียบร้อยและยื่นมือไปหานางอีกครั้ง

ครั้งนี้นางจึงส่งเด็กให้เขาอย่างระมัดระวัง

เด็กคนนี้มีไข้เล็กน้อย เขาเดาว่านี่เป็นเหตุผลที่นางขึ้นมาที่นี่ บนกำแพงปราสาทอากาศถ่ายเทดีและไม่มีคนอื่น แม้เด็กจะร้องไห้งอแงก็ไม่รบกวนใคร

เขารับเด็กผู้ชายผมสีทองมาและให้เด็กน้อยซบไหล่เขาหลับ เจอรี่นิ่วหน้าท่าทางกึ่งหลับกึ่งตื่น แต่มือนางยังคงลูบหลังเด็กน้อยเบาๆ ทำให้เด็กคนนั้นผ่อนคลายอย่างรวดเร็ว เมื่อมั่นใจว่าเด็กจะไม่ตกใจตื่นแล้วนางจึงหดมือกลับมา

“เจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว” เขาบอกนางเสียงค่อย

ใต้ตาของนางปรากฏรอยคล้ำ เห็นได้ชัดว่าพักผ่อนไม่เพียงพอติดต่อกันหลายคืน

นางกระตุกมุมปากพลางส่ายหน้า ตอบเสียงแผ่วว่า “เขายังหลับไม่สนิท อาจตื่นขึ้นมาได้ทุกเมื่อ เชื่อข้าเถอะ ท่านไม่อยากรับมือกับเขาตามลำพังแน่นอน”

ชายหนุ่มจ้องนาง ครู่ใหญ่จึงเอ่ยว่า “งั้นก็ไปนั่งตรงนั้น”

เคลมองไปตามทิศทางที่เขาพยักพเยิด เห็นกำแพงปราสาทบริเวณนั้นสูงกว่าส่วนอื่นๆ และมีบันไดขึ้นไป เนื่องจากปราสาทหลังนี้สร้างอยู่บนหน้าผาขนาดใหญ่ ทำให้แนวกำแพงสูงต่ำไม่เท่ากันตามลักษณะภูมิประเทศ มีหลายจุดที่มีบันไดแบบนี้ เนื่องจากขาขวาเจ็บเหลือเกิน ประกอบกับเหน็ดเหนื่อยมาหลายวันหลายคืน นางรู้สึกอ่อนล้าจริงๆ จึงเดินตรงไปช้าๆ และนั่งบนขั้นบันไดหินอย่างยากลำบาก

พอเอ็นกับกระดูกได้ผ่อนคลาย นางก็ถอนหายใจเบาๆ ออกมาอย่างอดไม่อยู่

นี่เป็นตำแหน่งที่สูงที่สุดของบริเวณนี้ มองผ่านเชิงเทินบนแนวกำแพงออกไปจะเห็นทิวทัศน์ได้ไกลมาก

ภายใต้แสงจันทร์สลัว นางเห็นหมู่บ้านข้างหน้าเลือนราง ยังมีทุ่งนาด้านข้างและป่าที่รายล้อมอยู่ แต่ไกลออกไปอีกก็เห็นไม่ชัดแล้ว

ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าทำตามอย่างนาง อุ้มเด็กน้อยเดินไปมาบนกำแพงปราสาทในจังหวะสม่ำเสมอ บางทีอาจเพราะเพิ่งลุกขึ้นมาจากเตียง เขาจึงดูไม่เหมือนยามปกติเวลาสวมใส่เสื้อเกราะห่วงโซ่

เสื้อขนแกะนุ่มนิ่มทำให้เขาดูไม่น่ากลัวถึงเพียงนั้น

หลายวันมานี้นางเห็นเขาขี่ม้าออกจากปราสาทไปล่าสัตว์ทุกวัน ส่วนใหญ่เขามักจะล่าสัตว์กลับมาได้เสมอ บางครั้งเป็นนกอพยพที่บินผ่านแถบนี้ บางครั้งเป็นกระต่ายป่าผอมโซ บางครั้งก็เป็นปลา หากโชคดีหน่อยเขาจะล่าสัตว์ได้มากหน่อย หากโชคไม่ดีกลับมามือเปล่าก็มีเหมือนกัน แต่นอกจากนางแล้ว เขาไม่เคยจับคนอื่นกลับมาอีก

สัตว์ที่เขาล่าได้มีจำนวนไม่มาก เนื้อน้อยอย่างยิ่ง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเนื้อ เมื่อเติมเข้าไปในโจ๊กเปล่าย่อมดีกว่าไม่เติมอะไรเลย พอจะเพิ่มรสชาติได้บ้าง

ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่อาหารที่ปล้นมาจากนางก็ถูกใช้จนเกือบหมด

“ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านไม่อาจอาศัยการล่าสัตว์เลี้ยงดูคนทั้งปราสาทได้”

ตอนเขาเดินมาตรงหน้านางอีกครั้ง นางอดถามไม่ได้

ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อยแต่ไม่หยุดเดิน เขาหันหลังเดินย้อนกลับไป แต่ดูจากสีหน้าและท่าทีของเขา นางรู้ว่าเขาตระหนักถึงเรื่องนี้ดี

นางควรจะเก็บคำพูดนั้นไว้ แต่ตอนนี้มีผู้คนมากมายอ้าปากรออาหารอยู่ แม้แต่โจ๊กข้าวโอ๊ตรสชาติย่ำแย่นั่นยังใกล้หมดเต็มที นางสงสัยว่าเขาจะสามารถประคับประคองสถานการณ์ไปได้ถึงเมื่อไร

เขาเดินกลับมาช้าๆ ทิ้งคำพูดประโยคหนึ่งไว้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“ใกล้จะถึงเทศกาลอีสเตอร์แล้ว อีกไม่นานก็จะหว่านเมล็ดพันธุ์ได้ สถานการณ์จะดีขึ้น”

พูดจบเขาก็เดินจากไป

นางไม่ควรยุ่งเรื่องเขาอีก แต่ตอนเขาเดินกลับมาอีกครั้ง นางได้ยินตัวเองพูดว่า “ข้าคิดว่าเมล็ดพันธุ์ทั้งหมดถูกกินจนเกลี้ยงตั้งแต่ฤดูหนาวแล้วเสียอีก”

เขาขมวดคิ้วมองนาง

“เจ้ารู้ได้อย่างไร”

“ลิซ่ากับชาร์ล็อตบอกข้า” ครั้นเห็นเขาทำหน้าเย็นชา เม้มปากและเดินจากไปอีกครั้ง นางอดพูดไม่ได้ “ข้าเป็นหัวหน้าผู้ดูแล ต้องรู้สถานการณ์ของเสบียงอาหาร อีกทั้งยุ้งฉางของท่านว่างเปล่า ในโรงครัวก็เหลือเพียงข้าวโอ๊ตไม่กี่กระสอบเท่านั้น”

ภาวะอดอยากปีที่แล้วรุนแรงเกินไป นางได้ยินข้ารับใช้หญิงพวกนั้นคุยกัน จึงรู้ว่าพวกเขาเอาของที่สามารถกินได้ทั้งหมดมากิน ไก่ เป็ด วัว แกะถูกฆ่ากินไม่เหลือ แม้แต่หมากับแมวยังถูกคนในหมู่บ้านจับมาต้มน้ำแกง บางคนถึงขั้นจับหนูมากินด้วยซ้ำ

ปกติธัญพืชที่เก็บเกี่ยวได้ต้องเก็บไว้ครึ่งหนึ่งเพื่อเป็นเมล็ดพันธุ์สำหรับปีหน้า แต่ฤดูร้อนอันยาวนานที่เต็มไปด้วยพายุทำให้พื้นที่เพาะปลูกกว่าครึ่งจมอยู่ใต้น้ำ ส่งผลให้ผลผลิตน้อยจนกินไม่อิ่มท้อง ภาวะอดอยากหนึ่งปีผู้คนยังทนได้ ครั้นสองปีผ่านไปสถานการณ์ก็เริ่มอยู่นอกเหนือการควบคุม พอถึงปีที่สามความหิวโหยเกินขนาดทำให้ผู้คนไม่สนใจเมล็ดพันธุ์สำหรับปีหน้าอีกแล้ว แม้แต่เปลือกไม้กับรากหญ้ายังมีคนกิน นับประสาอะไรกับเมล็ดพันธุ์ ประกอบกับคนแก่ที่มีประสบการณ์เป็นโรคระบาดตายไปทีละคน ฤดูหนาวอันหนาวเหน็บยาวนานมีแต่จะทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม

เขาเดินจากไปและเดินกลับมาใหม่ ขมวดคิ้วเอ่ยเพียงว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”

นั่นสิ ราวกับว่านางอิ่มได้โดยไม่ต้องกินอาหารอย่างนั้นแหละ

เห็นเขาเดินจากไปอีกครั้ง เคลกอดตัวเองพลางกระชับเสื้อคลุมกันลมที่สวมอยู่ มองแผ่นหลังของชายหนุ่มพลางค้อนปะหลับปะเหลือก บ่นเสียงค่อยว่า “ผู้ชายก็อย่างนี้แหละ”

นางคิดว่าเสียงตัวเองเบาพอแล้ว แต่สายลมพัดเสียงนางไปถึงหูเขา

เขาหันมามองนาง นางได้แต่จ้องกลับโดยไม่พูดอะไร

ผู้ชายคนนั้นขมวดคิ้วและหันหลังเดินจากไป ไม่นานก็เดินกลับมาอีก หยุดตรงหน้านางและโน้มตัวถามว่า “เจ้าชื่ออะไร”

“เคล” นางกอดตัวเองพลางแหงนหน้ามองชายหนุ่มใต้แสงจันทร์ “ข้าชื่อเคล”

“ไม่มีนามสกุล?” เขาขมวดคิ้วน้อยๆ

“ข้าไม่ใช่ชนชั้นสูง” มีแต่พวกชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะมีนามสกุล ชาวบ้านตัวเล็กๆ อย่างนางมีแค่ชื่อก็ไม่เลวแล้ว

เขาพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ มองนางและถามต่อ

“แอปเปิ้ลของเจ้ามาจากไหน”

“เด็ดมาจากต้น” นางตอบ

“พวกมันดูสดใหม่มาก” อีกทั้งฤดูหนาวเพิ่งผ่านพ้นไป ไม่มีทางที่นางจะหาแอปเปิ้ลที่สดขนาดนี้ได้ในป่า

นางมองเขาเงียบๆ

นางไม่ควรบอกเขา แต่ตลอดเจ็ดวันที่อาศัยอยู่ในปราสาททำให้นางเข้าใจเรื่องหนึ่ง ผู้ชายที่ดูดุร้ายคนนี้รับเด็กละแวกใกล้เคียงทั้งหมดที่ไร้บ้านมาอยู่ด้วย เดิมทีเด็กเหล่านั้นไม่ได้อาศัยอยู่ในปราสาท โซเฟียเป็นลูกสาวเจ้าของโรงอบขนมปังในหมู่บ้านเกษตรกรรม ที่บ้านของชาร์ล็อตเลี้ยงแกะ แอนโธนี่เป็นลูกชายของช่างเหล็ก พ่อของแอนเดอร์สันเป็นคนฆ่าสัตว์ พ่อแม่ของหลุยส์กับแอนนี่เป็นทาสติดที่ดิน…

ก่อนหน้าที่สถานการณ์จะเลวร้าย เด็กมากมายพวกนั้นล้วนอาศัยอยู่นอกปราสาท จนกระทั่งโรคระบาดและความอดอยากพรากทุกอย่างไปจากพวกเขา

เขาเป็นลอร์ด มีหน้าที่ดูแลชาวบ้านอยู่แล้ว แต่ความจริงแค่เขาปิดประตูปราสาท เสบียงอาหารในปราสาทก็เพียงพอให้เขาสามารถใช้ชีวิตอย่างสบายไปได้อีกนาน

ชนชั้นสูงมากมายล้วนทำเช่นนี้ ปิดประตูปราสาท ลงกลอนยุ้งฉาง จากนั้นดื่มสุราและร้องรำทำเพลงตามปกติ เลือกที่จะไม่สนใจความอดอยากและโรคระบาดภายนอกปราสาท

ดังนั้นแม้จะรู้ดีว่าไม่ควรพูดออกมา แต่สุดท้ายนางก็แหงนหน้ามองเขาและพูดว่า “ข้ามีห้องใต้ดิน ข้าจะเก็บหิมะในฤดูหนาวไว้ในนั้น พอเข้าฤดูร้อน ใต้ดินจะยังคงมีความเย็น หิมะจะทำให้อาหารที่อยู่ในนั้นเก็บได้นานยิ่งขึ้น”

เขามองนาง นัยน์ตาสีดำเปล่งประกายระยับสว่างขึ้นเล็กน้อย

“แต่ท่านอย่าคาดหวังว่าในนั้นจะมีอาหารมากมาย ข้าไม่ได้คิดว่าจะต้องเลี้ยงคนทั้งปราสาท”

นางเตือนเขา แต่ดวงตาของผู้ชายตรงหน้ายังคงเปล่งประกาย

หลังจากนั้นเขาก็อ้าปากเอ่ยคำพูดที่สร้างความประหลาดใจแก่นางออกมา

“ข้าเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้”

นางอึ้งไป เบิกตากว้างมองเขาด้วยความตกใจ

“ท่านเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้?”

เขาผงกศีรษะ บอกนางว่า “ไม่เยอะ แต่ขอเพียงพวกเราอดทนจนผ่านสองสามเดือนนี้ไปได้ รอให้ถึงเวลาเก็บเกี่ยว สถานการณ์ก็จะดีขึ้น”

เคลคิดไม่ถึงว่าผู้ชายคนนี้จะเก็บเมล็ดพันธุ์สำหรับเพาะปลูกไว้ล่วงหน้า แต่ที่เหนือความคาดหมายยิ่งกว่าคือเขาบอกเรื่องนี้กับนาง

ราตรีดำสนิทกว่าเดิม ลมเย็นพัดกรูเกรียว นำพาเมฆดำมาบดบังดวงจันทร์

นางกระชับเสื้อคลุมกันลมให้แน่นขึ้นพลางเหลือบตามองชายหนุ่มที่ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า เด็กน้อยบนบ่าเขาหลับสนิทแล้ว เหมือนรู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัย

ชายหนุ่มอุ้มเด็กคนนั้นและใช้มือใหญ่ลูบหลังเบาๆ นางเห็นว่าบนฝ่ามือดำคล้ำของเขามีรอยแผลเป็นตื้นลึกไม่เท่ากันอยู่ ระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วโป้งมีปุ่มแข็งหยาบอยู่ด้วย

มือของผู้ชายคนหนึ่งมักจะบอกเล่าเรื่องราวได้มากมาย

จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงตัวเองถามว่า “เพราะอะไร”

“อะไรเพราะอะไร” เขาเลิกคิ้วเข้ม

“เพราะอะไรท่านถึงบอกข้าเรื่องเมล็ดพันธุ์”

“เพราะว่าเจ้าเป็นหัวหน้าผู้ดูแล” เขาหลุบตามองนางและยื่นมือใหญ่ที่แข็งแกร่งหยาบกร้านออกไป “และตอนนี้พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว”

ตอนที่นางบอกเรื่องห้องใต้ดินออกไป นางก็ไม่มีหนทางให้ถอยอีก

ดังนั้นนางคิดว่าตัวเองคงจะลงเรือลำเดียวกับเขาแล้วจริงๆ เพียงแต่เรือลำนี้อาจจมลงได้ทุกเมื่อ แต่บอกตามตรง นางมีทางเลือกที่ไหนเล่า

หากนางไม่รู้อะไรเลย บางทีนางอาจใช้ชีวิตอยู่ในป่าคนเดียวโดยไม่สนใจความเป็นความตายของคนอื่นได้ แต่ผู้ชายคนนี้ฝ่าม่านหมอกเข้าไปลากตัวนางออกมา ทำให้นางมองเห็นสถานการณ์ทั้งหมดจนนางมิอาจปิดตาของตัวเอง ไม่อาจทำเป็นไม่รับรู้สถานการณ์ของโลกภายนอกได้อีก

นางจ้องมองเขาอยู่เนิ่นนาน

เนิ่นนานผ่านไป นางวางมือเล็กบนมือใหญ่ของเขาที่ดูเหมือนแผ่นหนัง

เขาจับมือเล็กเย็นเฉียบของนางและกุมไว้ ก่อนจะดึงนางขึ้นมาจากขั้นบันไดหิน นางถูกบังคับให้เผชิญหน้ากับเขา ใบหน้าแทบจะแนบติดกัน

ใกล้เกินไป

นี่เป็นความคิดแรกที่ผุดขึ้นมา

อุ่นเหลือเกิน

นี่เป็นความคิดที่สอง ผู้ชายคนนี้แผ่ไอร้อนออกมาทั่วร่าง เหมือนเตาผิงอย่างไรอย่างนั้น

นางควรรีบถอยออกไป แต่เรือนร่างแข็งแกร่งและแผงอกกว้างของเขากั้นขวางลมหนาวไว้ จากนั้นนางก็พบว่าแม้จะยืนอยู่บนขั้นบันไดหิน นางก็ยังเตี้ยกว่าเขาครึ่งช่วงศีรษะ

หลังจากนั้นนางก็ได้กลิ่นจากตัวเขา หญิงสาวขมวดคิ้ว

เวลานี้เองคิ้วและตาสีดำสนิทของเขาโค้งลงนิดๆ

…เขากำลังยิ้ม

ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นปิดปากเขาอยู่ แต่นางรู้ว่าเขากำลังยิ้ม

เคลจ้องมองผู้ชายตรงหน้า ทั้งที่ใบหน้าเขาถูกบดบังไปครึ่งหนึ่งเพราะมีผ้าผูกอยู่ ดูแล้วค่อนข้างเหมือนโจร แต่ไม่รู้เพราะอะไรนางจึงรู้สึกหน้าแดงใจสั่น เขายังไม่ปล่อยมือ วินาทีนี้เองนางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามือใหญ่ที่กุมมือนางอยู่หยาบกร้านและแห้งสบายทั้งยังร้อนมาก กันไอเย็นหนาวเหน็บออกไปหมดและนำพาความอบอุ่นมาให้แทน สบายจนนางเกือบจะถอนหายใจออกมา

ความรู้สึกสบายและปลอดภัยที่ถ่ายทอดมาจากเขาทำเอานางสะดุ้งโหยง แม้จะหยุดเสียงถอนหายใจนั้นไว้ได้ทัน แต่กลับมิอาจหยุดยั้งหัวใจไม่ให้เต้นรัว นางได้แต่รีบชักมือกลับมา ถอยไปข้างหลังอีกขั้นและอีกขั้น ดึงระยะห่างออกจากกัน

“นายท่าน หากพวกเราจะลงเรือลำเดียวกัน ท่านต้องอาบน้ำโดยเร็วที่สุด”

เคลไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร นางไม่ได้ตั้งใจจะฉีกหน้าเขา แต่คำพูดนี้กลับถูกโพล่งออกมา รอยยิ้มพลันหายไปจากนัยน์ตาเขา ทำเอาหัวใจนางหดเกร็ง

ชายหนุ่มจ้องนาง เคลรู้สึกประดักประเดิดอย่างยิ่ง บางทีนางควรถอนคำพูดและชวนเขาคุยเรื่องอื่น แต่นางอยากให้เขาอาบน้ำจริงๆ

“ข้าต้องการให้ท่านเป็นแบบอย่างให้พวกเด็กผู้ชาย ท่านเป็นเจ้าของปราสาท หากท่านเป็นผู้นำในการรักษาความสะอาด พวกเขาย่อมปฏิบัติตามต่อไปได้”

หญิงสาวประสานมือทั้งสองข้างไว้ตรงหน้าแน่นๆ พลางมองชายหนุ่มขมวดคิ้ว นางคิดว่าเขาจะโกรธหรือยกมือขึ้นทำร้ายนาง ทำโทษที่นางไร้มารยาท นางรู้ว่าพวกชนชั้นสูงอารมณ์แปรปรวน รู้ว่าเวลากินอิ่มและเมามายพวกเขาสามารถทำเรื่องโหดร้ายและน่ากลัวอย่างไรได้บ้าง

แต่ผู้ชายคนนี้ไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น เอาแต่มองนางอยู่นานก่อนจะพูดขึ้น

“ข้าต้องอาบทุกๆ กี่วัน”

นางกะพริบตา ยังคิดว่าตัวเองฟังผิดไป แต่ผู้ชายคนนี้เอาแต่อุ้มเด็กน้อยและเลิกคิ้วมองนาง

“เจ็ดวัน?” เขาถาม

ตัวเลขนี้ห่างจากตัวเลขที่นางคิดไว้มากเกินไป หางตานางกระตุกทีหนึ่ง และเขามองออก

“ห้าวัน?” คิ้วเข้มของเขาขมวดนิดๆ แต่นางยังคงเงียบ เขาจึงโพล่งออกมาอย่างตกตะลึง “คงมิใช่สามวันกระมัง”

หากบอกว่าความจริงนางอยากให้เขาอาบน้ำทุกวัน ไม่รู้เขาจะคิดว่านางบ้าไปแล้วหรือเปล่า

แม้จะพูดความคิดในใจออกไป เคลก็ยังสงสัยว่าเขาจะทำได้หรือ อีกทั้งแม้แต่นางเองยังรู้สึกว่าข้อเรียกร้องนี้ไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงเลย ดังนั้นนางจึงสูดหายใจลึกแล้วตอบอย่างอ้อมค้อม

“ข้าไม่ได้เรียกร้องว่านับแต่นี้ไปจะต้องเป็นเช่นนี้ตลอด แต่อย่างน้อยในช่วงที่เกิดโรคระบาด ทุกครั้งเวลาท่านกลับจากข้างนอกจะต้องล้างมือ ล้างหน้า ก่อนกินข้าวก็ต้องล้างมือให้สะอาดด้วย”

“เจ้าน่าจะรู้ว่าคนที่นี่ส่วนใหญ่ปีนึงอาบน้ำสองครั้งก็นับว่าดีมากแล้ว”

“นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมผู้คนถึงมักจะล้มป่วย” นางตอบอย่างสุขุม

เขาจ้องนาง สุดท้ายก็พยักหน้ารับปาก

“ได้ ข้าจะอาบ”

นางฟังแล้วสูดหายใจลึก พูดต่อว่า “หากท่านจะไปเอาเสบียงที่ห้องใต้ดินของข้า ข้าจะไปด้วย”

เขาเลิกคิ้ว

“หากข้าต้องอาศัยอยู่ที่นี่ชั่วคราว ข้าต้องเก็บข้าวของเครื่องใช้มามากกว่านี้” นางบอกเขา “อีกทั้งสารสกัดพวกนี้อีกไม่นานก็จะถูกใช้หมด ข้าต้องการสมุนไพรที่อยู่ในแปลงสมุนไพรพวกนั้นจริงๆ”

เขาฟังแล้วพยักหน้าอีกครั้ง รับปากว่า “ก่อนออกเดินทางข้าจะบอกเจ้า” พูดพลางอุ้มเด็กน้อยหันหลัง ก่อนจากไปเขาไม่ลืมก้มตัวหยิบดาบเล่มนั้นขึ้นมาด้วย

เคลเดินตามหลังเขาลงจากหอคอย มองเขาวางเด็กน้อยลงบนฟูกนอนอย่างระมัดระวัง

ตอนลุกขึ้นมา เขามองฟูกนอนยับยุ่งของนางปราดหนึ่ง

ไม่รู้ทำไมหัวใจถึงเต้นแรง แต่เขาไม่ได้หยุดสายตา เพียงกวาดมองไปทั่วห้องต่อ

ทุกคนหลับหมดแล้ว ได้ยินเสียงไอเบาๆ ดังเป็นครั้งคราว

ตะเกียงน้ำมันดวงหนึ่งส่องแสงสลัวอยู่บนโต๊ะ กาน้ำที่มีน้ำอยู่ครึ่งหนึ่งวางอยู่ด้านข้าง

เขามองน้ำมันหอมระเหยกับสารสกัดที่พร่องไปกว่าครึ่ง ก่อนจะหมุนตัวและเดินมาหานาง

หญิงสาวอดถอยไปหนึ่งก้าวไม่ได้ แต่เขาหยุดแค่ตรงหน้า ไม่ได้ขยับเข้ามาอีก

“เจ้าทำได้ดีมาก” เขาดึงผ้าเช็ดหน้าบนใบหน้าออกและส่งคืนให้นาง

เคลมองเขาอย่างประหลาดใจ ตามไม่ทันความคิดของเขา ได้แต่ยื่นมือไปรับผ้าของตัวเองกลับมา

“หากต้องการอะไรอีกให้บอกข้า” พูดจบก็เดินผ่านข้างกายนางไป

คราวนี้นางตรึงเท้าตัวเองไว้ บังคับไม่ให้ตัวเองหลบเลี่ยงเขา

“นายท่าน เสื้อผ้าที่ท่านสวมทางที่ดีกลับห้องแล้วควรเปลี่ยนซะ น้ำมูกของเจอรี่อาจเปื้อนบ่าท่าน แล้วก็อย่าลืมล้างมือด้วย ตรงนั้นมีน้ำสะอาดกับสบู่”

เขาหยุดเดิน ก้มหน้าขมวดคิ้วจ้องนางเขม็ง

“เพื่อป้องกันโรคระบาดแพร่กระจาย เวลาเข้าออกที่นี่ทุกครั้งต้องล้างมือ” นางเตือนเขา “ครั้งก่อนข้าบอกท่านไปแล้ว”

นางเคยบอก

ชายหนุ่มเดินไปล้างมือที่ข้างประตูและหันกลับมาอีกครั้ง

นางคิดว่าเขาจะพูดอะไร แต่สุดท้ายเขากลับไม่ได้พูดอะไรเลย เพียงแต่เลื่อนสายตาลงไปข้างล่างจับจ้องสองมือของนางที่ประสานกันแน่น เพราะเหตุนี้เองเคลถึงพบว่าตัวเองยังคงประสานมือไว้ด้วยกันแน่น มือทั้งสองที่ซีดขาวเปิดเผยความประหม่าที่นางพยายามปกปิดไว้

หัวใจเต้นรัวขึ้นทันที

นางคลายมือออกทันใด แต่ไม่ทันแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นแล้ว

“เจ้าไม่ต้องกลัว”

เขาถอนสายตากลับมาที่ใบหน้านาง เสียงทุ้มพร่าแผ่วเบาดังขึ้น

หญิงสาวบังคับให้ตัวเองจ้องเขากลับ อดพูดไม่ได้ว่า “คนโง่เท่านั้นแหละที่จะไม่กลัว”

เขาจับจ้องนางและกระตุกมุมปากยิ้มโดยไม่มีเสียง พยักหน้าก่อนจะเปิดประตูก้าวออกไป

 

เทศกาลอีสเตอร์ผ่านมาและผ่านไป

เทศกาลที่เดิมทีเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง ในวันเวลาแห่งความยากลำบากเช่นนี้กลับไม่ได้รับความสนใจมากนัก ชายหนุ่มยืนอยู่ในทุ่งนาพลางหว่านเมล็ดพันธุ์กำสุดท้ายออกไป

เอวของเขาปวดมาก หลังก็เจ็บมาก เวลาผ่านมาหลายปี เขาเกือบลืมไปแล้วว่าการปลูกข้าวในทุ่งนาลำบากเพียงใด หลายวันมานี้เขาพาเด็กหนุ่มในปราสาทออกมาจัดการกับพื้นที่เกษตรกรรมใกล้ๆ แต่ดูเหมือนพื้นที่ที่ต้องจัดการจะกว้างขวางไร้ขอบเขต

ในหมู่บ้านเหลือผู้ชายอยู่ไม่กี่คน เขารู้ว่าตัวเองสามารถสั่งคนเหล่านั้นมาช่วยทำนาได้ ทว่าแม้แต่ผู้ดูแลที่คอยช่วยเขารวบรวมกำลังของชาวบ้านก็ตายไปเมื่อสองเดือนก่อนแล้ว

ดังนั้นเขาจึงได้แต่ไปตีฆ้องเอง แต่ผ่านไปครึ่งวัน ในลานของหมู่บ้านกลับมีผู้ชายออกมารวมตัวกันอย่างเชื่องช้าแค่สามคนเท่านั้น

“ต้องขออภัยด้วยขอรับนายท่าน คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ป่วยตายไปหมดแล้ว”

ชายคนหนึ่งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราพูดเสียงแหบอย่างเหนื่อยล้า

สามคนดีกว่าไม่มีเลย

เขามองผู้ชายสามคนนั้น รู้ว่ามีคนแอบดูอยู่ในบ้านมากกว่านี้

เขาจึงอ้าปากพูดด้วยระดับเสียงที่ดังเกินความจำเป็นสำหรับสามคนฟัง “ข้าเชื่อว่าพวกเจ้ารู้ว่าข้าเป็นใคร ข้ามีเมล็ดพันธุ์ ข้าต้องการคนช่วยหว่านเมล็ด ทุกคนที่มาไถนาและปรับหน้าดินที่นี่จะได้รับโจ๊กข้าวโอ๊ตหนึ่งชามทุกวัน หลังเก็บเกี่ยวแล้วข้ายังจะแบ่งเมล็ดพันธุ์ให้พวกเจ้าตามความต้องการด้วย”

คำพูดของเขาทำให้ชายสามคนที่ทำท่าหมดอาลัยตายอยากกระปรี้กระเปร่าขึ้นเล็กน้อย แม้แววหดหู่ยังคงมีอยู่ในดวงตาของพวกเขา แต่ย่อมดีกว่าไร้ความหวังอย่างสิ้นเชิง

บ้านในหมู่บ้านเหล่านั้นยังคงเงียบ ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น เขาไม่ได้ไปเคาะประตูทีละบ้านและลากตัวคนเหล่านั้นออกมา เพราะตระหนักดีว่าการใช้กำลังบีบบังคับเป็นวิธีที่แย่ที่สุด

เขาจึงเดินนำผู้ชายสามคนไปจัดการกับทุ่งนาที่เปียกแฉะและซ่อมแซมรั้ว

เขาลงไปช่วยในทุ่งนาด้วยตัวเอง สวมสายคล้องให้กับม้าที่เหลืออยู่เพียงตัวเดียวในปราสาท ตอนแรกมันไม่คุ้นกับอุปกรณ์แบบนี้เท่าไร มันเป็นม้าศึก ไม่ใช่สัตว์ที่ใช้ทำนา แต่ภายใต้การปลอบประโลมของเขา ในที่สุดมันก็ลากเครื่องมือไถนาเดินไปข้างหน้า

หลังหิมะละลาย ทุ่งนาเต็มไปด้วยน้ำ โคลนเปื้อนเต็มตัวเขาไปหมด เช่นเดียวกับม้าของเขา เขาไม่เชี่ยวชาญการทำนาเลย

หลังการใช้แรงงานมาตลอดทั้งวัน เขามักจะเหนื่อยจนแทบลืมตาไม่ขึ้น ปวดเอวเมื่อยหลังไปหมด แต่วันแรกและวันที่สองผ่านไป วันที่สามและวันที่สี่ผ่านไป พอถึงวันที่ห้าก็มีผู้ชายมาช่วยเพิ่มอีกห้าคน

เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะพวกเขาหวาดเกรงอำนาจของลอร์ด หรือแค่คิดง่ายๆ ว่าอยากได้อาหารสักมื้อเพื่อเอาชีวิตรอดต่อไป

ไม่ว่าอย่างไร ในที่สุดทุ่งนาไม่กี่ผืนนั้นก็พลิกดินเสร็จ

แม้จะมีม้าคอยช่วย แต่พื้นที่ส่วนที่เขาเป็นคนพลิกดินนั้นเละเทะมาก เนินดินบิดเบี้ยวดูเหมือนงูตัวใหญ่ ไม่เหมือนทาสติดที่ดินที่ทำงานเงียบๆ เหล่านั้น พวกเขาจัดการทุ่งนาได้อย่างเป็นระเบียบ แต่ไม่มีใครแสดงความเห็นต่อผลงานอันย่ำแย่ของเขาสักคน

สามวันก่อนเขาเริ่มให้คนหว่านเมล็ดพันธุ์ งานนี้สบายหน่อย ขอเพียงในปราสาทมีคนว่างก็จะถูกเรียกไปช่วยงานในนา แต่การหว่านเมล็ดก็ต้องอาศัยทักษะพิเศษเหมือนกัน เขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองโง่เขลาขนาดนี้มาก่อนเลย

โชคดีที่เขาเป็นลอร์ด เป็นชนชั้นสูง ไม่มีใครคาดหวังว่าเขาจะมีความสามารถในการทำนา

สุดท้ายเขาก็จัดการเรื่องนี้เสร็จ

มองเมล็ดพันธุ์ที่ถูกหว่านลงบนดินที่เปียกชุ่ม จากนั้นย้อนกลับไปมองผลการทำงานตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาสูดหายใจลึกๆ ภายใต้แสงอาทิตย์ยามสนธยา

ตอนนี้เขาได้แต่หวังว่าเหตุการณ์จะราบรื่นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ

วันนั้นตอนเขาพาเด็กเหล่านั้นกลับไปที่ปราสาท แต่ละคนเหน็ดเหนื่อยจนนอนหงายท้อง หลุยส์แทบจะลุกไม่ขึ้น แอนเดอร์สันเหนื่อยจนนอนแผ่อยู่กับพื้น เขาต้องจูงม้าเข้าไปในคอกด้วยตัวเองและถอดสายคล้องให้มัน ทำความสะอาดกีบเท้า ใช้แปรงขัดคราบโคลนบนตัว จากนั้นค่อยขนหญ้าแห้งมาให้มันกิน

ตอนฟ้าใกล้มืดเขาเหนื่อยจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้น เวลานี้เองเขาได้ยินเสียงกะละมังไม้หล่นลงบนพื้นจึงเงยหน้าพรวด เห็นทุกคนในลานมองไปข้างหน้าอย่างตะลึงงัน

จากนั้นเขาก็เห็นในสิ่งที่ทุกคนเห็น

หญิงสาวผมดำชุดดำจูงเด็กคนหนึ่งเดินออกมาจากหอคอยบนซุ้มประตู นางจูงเด็กน้อยไปยังลานด้านในปราสาท ตรงไปข้างห้องครัวและใช้น้ำร้อนที่สั่งให้คนต้มไว้ก่อนแล้วอาบน้ำสระผมให้เขา

ชั่วครู่หนึ่งที่ชายหนุ่มกลั้นหายใจ ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง สิ่งที่เห็นคือเด็กคนหนึ่งที่เคยอ่อนแอจนลงจากเตียงไม่ได้ กับผู้หญิงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นช่วยเด็กคนนั้นถอดเสื้อผ้าและล้างตัว…อาการของเจอรี่ดีขึ้นแล้ว

เด็กผมทองคนนั้นยืนอยู่กลางลาน แม้ใบหน้าจะยังซีดขาว แต่ริมฝีปากที่เคยเขียวคล้ำมีเลือดฝาดแล้ว แถมยังกำลังหัวเราะ

เสียงหัวเราะร่าแผ่กระจายอยู่ในอากาศ ทำให้ผู้คนมารวมตัวกันอย่างอดไม่ได้และมองเด็กคนนั้นอย่างไม่อยากเชื่อ

เรื่องนี้เหมือนปาฏิหาริย์

สองปีมานี้คนที่เป็นโรคระบาดแทบไม่มีใครหายเลยโดยเฉพาะเด็กที่อายุยังน้อย แต่เด็กคนนี้อดทนจนรอดชีวิตมาได้ เขายืนอยู่ตรงนั้นและกำลังหัวเราะ แถมยังวิ่งหลบไปมาตอนที่เคลฉีดน้ำใส่

ตุ่มบนตัวเขาตกสะเก็ดแล้ว ไม่มีน้ำไหลออกมาอีก ดวงตาก็ไม่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยเหมือนแต่ก่อน

ชาร์ล็อตอ้าปากกว้าง แอนเดอร์สันเบิกตาโต กะละมังไม้ในมือลิซ่าร่วงลงบนพื้น โซเฟียยกสองมือขึ้นปิดปาก ส่วนหลุยส์ลืมเขาซึ่งเป็นเจ้าของปราสาทหลังนี้ไปสนิท

ทุกคนรวมถึงตัวเขาด้วยต่างจ้องเคลกับเจอรี่เหมือนถูกมนตร์สะกด

จากนั้นวินาทีต่อมาโซเฟียก็ปราดเข้าไปทั้งน้ำตาและกอดเด็กน้อยผมทองคนนั้น

“เจอรี่ โอ เจอรี่…”

เคลสะดุ้งโหยง หลังจากนั้นถึงเห็นว่าทั้งโซเฟียและเจอรี่ล้วนมีผมสีทอง ดวงตาสีฟ้า แถมพวกเขายังมีรอยกระและมีจมูกสูงโด่งเหมือนกันอีกด้วย

เคลเพิ่งจะพบว่าเจอรี่กับโซเฟียเป็นพี่น้องกันก็ตอนนี้เอง

นางไม่ได้ห้ามเด็กผู้หญิงคนนั้น เพียงแต่ยื่นกระบวยตักน้ำในมือให้โซเฟีย

“อาบน้ำเขาให้สะอาดและเช็ดทั้งตัวให้แห้ง หากผมยังไม่แห้งอย่าให้ถูกลม” นางกำชับ “นับตั้งแต่คืนนี้ไปเขาไม่ต้องไปอยู่ในหอคอยบนซุ้มประตูแล้ว”

เด็กสาวคนนั้นร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลเต็มไปหมด มองนางและพยักหน้าไม่หยุด

“ได้…ได้…ขอบคุณ…คุณผู้หญิง…ขอบคุณมาก…”

เคลอยากแก้ไขคำเรียกของเด็กสาวคนนี้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีนักจริงๆ นางจึงพยักหน้าและลุกขึ้นจะกลับหอคอย แต่เนื่องจากเหนื่อยล้าเกินไป พอยืนขึ้นจึงรู้สึกหน้ามืด

ให้ตาย นางกำลังจะเป็นลม

นี่เป็นสถานการณ์ที่แย่ที่สุด นางคิดพลางยื่นมือออกไปหมายจะคว้าอะไรพยุงตัวเอง แต่กลับเซถอยไปสองก้าว ขณะที่คิดว่าจะต้องล้มก้นจ้ำเบ้าให้อับอายขายหน้าทุกคนนั้นเอง มือใหญ่คู่หนึ่งก็ประคองเอวนางไว้ ช่วยนางทรงตัว

แผงอกแข็งแกร่งของชายหนุ่มแนบอยู่ข้างหลังนางเหมือนกำแพง

จู่ๆ นางก็รู้สึกลนลาน อยากก้าวไปข้างหน้าให้พ้นจากการประคองของเขา แต่ในชั่ววินาทีสั้นๆ มือใหญ่บนเอวนางกลับกระชับแน่นขึ้น ทำเอานางหัวใจเต้นรัว

“อย่าทำแบบนี้” เขาพูดเสียงค่อย “หากเจ้าเป็นลมตอนนี้มีแต่จะสร้างความตื่นกลัว พวกเขาจะคิดว่าเจ้าป่วย”

นางตัวแข็งทื่อ ไม่ขยับตัวอีก

“ตอนนี้สูดหายใจลึกๆ”

หญิงสาวบังคับให้ตัวเองสูดหายใจลึกๆ บอกให้ตัวเองตั้งสติ

หลังสูดหายใจลึกหลายครั้ง ความมืดตรงหน้าก็หายไป สภาพแวดล้อมรอบด้านชัดเจนขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกว่าโชคดีคือเนื่องจากแขนเสื้อของนางกว้างจึงสามารถบดบังมือเขาที่อยู่บนเอวได้พอดี อีกทั้งตอนนี้ทุกคนกำลังจ้องมองพี่น้องคู่นั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นความอ่อนแอชั่ววูบของนาง

เว้นแต่เขา

เคลยืนให้มั่นคงและเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง

เขาลังเล สุดท้ายก็ปล่อยมือ นางจึงหันกลับไปเผชิญหน้ากับเขา

ดวงอาทิตย์ยามสนธยาย้อมท้องฟ้าให้เป็นสีแดง ทำให้ใบหน้าสกปรกของเขาดูเหนื่อยล้ากว่าเดิม แต่ชายหนุ่มตรงหน้ากลับเม้มปากแน่นจ้องนางเขม็ง

“เจ้าไม่ได้นอนมากี่วันแล้ว”

“ข้านอนทุกวัน” นางตอบตาไม่กะพริบ

“ให้ตายเถอะ” เขาสบถเสียงค่อยพลางแค่นเสียง “เจ้าดูเหมือนคนที่ถูกต่อยเข้าที่ตาสองหมัด”

คำพูดนี้ทำเอาหางตานางกระตุกนิดๆ นางโกรธโดยไม่มีสาเหตุและโพล่งออกไป

“กลิ่นตัวท่านก็เหมือนลงไปกลิ้งในเล้าหมูมาหนึ่งรอบเช่นกัน ข้าจำได้ว่าท่านสัญญาว่าจะอาบน้ำทำความสะอาดตัวเอง!”

คำพูดนี้ทำให้เส้นเลือดบนหน้าผากเขาปูดขึ้นมา

“ถ้าหากเจ้าใส่ใจเรื่องการอาบน้ำของข้าขนาดนี้ บางทีเจ้าน่าจะต้มน้ำแล้วนำไปส่งให้ข้าที่ห้องด้วยตัวเอง ขัดหลังและล้างเท้าให้ข้า!”

ได้ยินดังนั้นดวงตาของเคลก็มีเพลิงโทสะพุ่งออกมาทันที

“หากนายท่านยินดีชำระล้างร่างกายตัวเองให้สะอาดย่อมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว!” พูดจบนางก็หมุนเท้าและสะบัดหน้าเดินไปยังห้องครัว

ให้ตาย! เขาไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่ผู้หญิงคนนี้น่าโมโหเหลือเกิน ชั่ววูบหนึ่งที่เขาอยากยื่นมือออกไปคว้าตัวนาง แต่คนในลานได้ยินเสียงโต้แย้งระหว่างเขากับนางแล้ว ส่วนนางก็เดินเข้าไปในครัวด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด

เขาขึงตาดุใส่ทุกคนและหันหลังก้าวยาวๆ เข้าไปในคอกม้า ใส่หญ้าแห้งเข้าไปในคอกอย่างเดือดดาล เทน้ำสะอาดให้ม้าตัวนั้น เสร็จแล้วก็เดินกลับหอหลักด้วยความโมโห

ตลอดทางทุกคนล้วนหลบให้ห่างจากเขา

ชายหนุ่มขึ้นไปบนหอ ตัดผ่านห้องโถงใหญ่และก้าวขึ้นไปบนบันไดวนกลับห้องตัวเอง จากนั้นก็ปิดประตูดังโครม

เขาถอดรองเท้ากับถุงเท้าที่สกปรก ถอดเสื้อเกราะห่วงโซ่กับเสื้อที่เปียกเหงื่อและโคลน ใจก่นด่าผู้หญิงสมควรตายคนนั้นอย่างขุ่นขึ้ง เจ็ดวันก่อนเขาอาบน้ำไปแล้ว แต่การพลิกดินและหว่านเมล็ดพันธุ์ทำให้เขาเหนื่อยจนปวดหลังเมื่อยเอวไปหมด ทุกวันหลังกลับมาพอหัวถึงหมอนก็แทบจะหลับทันที เขาไม่ลืมล้างมือก็นับว่าดีมากแล้ว แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับยังไม่พอใจ

หาว่าเขาไปกลิ้งในเล้าหมูมา? ในเล้าหมูมีโคลนเยอะขนาดนี้เสียที่ไหน ที่นั่นถูกนางขัดล้างจนสะอาดสะอ้าน เตียงของพระราชายังไม่สะอาดเท่าเล้าหมูของเขาด้วยซ้ำ!

เสียงเคาะประตูพลันดังขึ้น เขาหันไปมอง ยังไม่ทันเอ่ยปากผู้หญิงคนนั้นก็ถือกาน้ำร้อนเข้ามาเสมือนว่าในห้องไม่มีใคร ข้างหลังเป็นแอนเดอร์สันกับหลุยส์ที่ขนถังอาบน้ำตามเข้ามา

เขาหันกลับมาทันที ทั้งประหลาดใจและโมโห

ทั้งสองทำตามคำสั่งนางวางถังอาบน้ำไว้กลางห้อง นางเทน้ำร้อนในมือลงไปอย่างยากลำบากเล็กน้อย ไอร้อนลอยขึ้นมา แต่น้ำหนึ่งกาไม่เพียงพอ แช่ฝ่าเท้าของเขายังไม่มิดด้วยซ้ำ

ราวกับกลัวเขาจะเปลี่ยนใจ ข้ารับใช้หญิงคนแล้วคนเล่าถือกาน้ำกับถังน้ำเข้ามาในห้อง พวกนางเทน้ำร้อนกับน้ำเย็นลงในถัง ไม่นานไอร้อนก็แผ่อวลไปทั่ว

เขาจ้องผู้หญิงคนนั้น แต่นางไม่มองเขาเลย เพียงแต่ส่งกาน้ำให้ลิซ่า หยิบสบู่กับพรมขนแกะผืนเล็กขึ้นมา จากนั้นก็หันมามองเขา

ท่ามกลางไอน้ำสีขาวขมุกขมัว เขายังคงเห็นแววตระหนกที่วูบขึ้นในดวงตานางยามนางเห็นร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่าของเขา ทำให้เขาคิดว่านางจะถอยหนีไป

แต่นางไม่ได้ทำเช่นนั้น นางเพียงแต่เลิกคิ้วโก่งสวยและอ้าปากเอ่ยขึ้น

“นายท่าน จะต้องให้ข้าช่วยถอดกางเกงออกด้วยหรือไม่”

หางตาเขากระตุกนิดๆ ก่อนจะถอดเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายบนตัวต่อหน้านาง

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

สามารถอ่านบทอื่นๆได้ที่ >> บทนำและบทที่ 1 | บทที่ 2 และบทที่ 3 | บทที่ 4 และบทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 29

Comments

comments

Jamsai Editor: