สามารถอ่านบทก่อนหน้าได้ที่ >> บทที่ 2 และบทที่ 3
บทที่ 4
รอยเฆี่ยน
นางนึกไม่ถึงว่าจะเห็นรอยเฆี่ยนบนตัวเขา
แม้เขาจะรีบหันกลับไป แต่นางเห็นรอยเฆี่ยนรุนแรงที่ตัดกันไปมาบนแผ่นหลังของเขาแล้ว
อีกทั้ง…เขาผอมมาก
ตั้งแต่วินาทีที่เข้ามาในห้อง นางก็เห็นแล้วว่าร่างกายเขาผอมมาก กล้ามเนื้อแข็งแกร่งตึงแน่นเหมือนก้อนหิน แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เขาก็ยังผอมจนแทบเห็นโครงกระดูก
จวบจนตอนนี้เคลจึงตระหนักว่าตัวเองไม่ควรทะเล่อทะล่าเข้ามา แต่นางที่เหน็ดเหนื่อยเกินไปโมโหจนขาดสติ ลืมว่าต้องควบคุมอารมณ์ตัวเอง
ต่อให้เขาไม่ถือสาที่คนอื่นจะเห็นรอยแผลบนตัว แต่เขาต้องไม่ชอบให้คนอื่นเห็นว่าเขาผ่ายผอมขนาดนี้แน่ ชายหนุ่มตรงหน้าดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก เหมือนหมีตัวใหญ่ที่หิวโซมาหลายเดือน
การที่เขาหันหลังอย่างรวดเร็วทำให้นางรู้ว่าเขาใส่ใจกับเรื่องนี้มากจริงๆ
แทบจะในเวลาเดียวกัน นางตระหนักได้ว่าทำไมทุกครั้งเวลาออกจากบ้านเขาถึงต้องสวมอุปกรณ์ของอัศวินพวกนั้น เกราะอ่อนที่ทั้งหนาและแข็งแกร่ง เกราะห่วงโซ่และเสื้อตัวยาวล้วนทำให้เขาดูบึกบึนกว่าความเป็นจริงมาก ผู้ชายคนนี้รู้ดีว่าเขาต้องรักษาภาพลักษณ์จอมปลอมของตัวเองในอดีตที่เคยสูงใหญ่กำยำไว้ เพราะหากแม้แต่ลอร์ดของปราสาทยังกินไม่อิ่ม ทุกคนย่อมตกอยู่ในความสิ้นหวัง
แต่นางเข้ามาแล้ว อีกทั้งเขายังยืนอยู่ตรงนั้น ข้ารับใช้ขนถังอาบน้ำเข้ามาอย่างยากลำบาก นางจะจากไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้ แบบนั้นจะทำให้ทุกอย่างเสียเปล่า
เคลจึงเทน้ำลงในถังอาบน้ำอย่างรีบร้อน สั่งคนอื่นๆ ให้รีบเทน้ำลงไปเพื่อให้ไอน้ำปกคลุมไปทั่วห้อง โชคดีที่ความกลัวทำให้ข้ารับใช้เหล่านั้นไม่กล้ามองเขาแม้แต่แวบเดียว
หลังจากนั้นนางก็บังคับให้ตัวเองมองเขาอีกครั้ง
ใต้คางของชายผู้นั้นเกร็งแน่น เส้นเลือดบนหน้าผากนูนขึ้น สองมือกำหมัด ดวงตาฉายความกระอักกระอ่วนและโทสะที่สะกดกลั้นไว้ไม่อยู่
หากเขายกมือขึ้นตบตีนาง นางคงไม่แปลกใจแม้แต่น้อย นางเกือบจะหันหลังหนีไปแล้ว แต่ในชั่วอึดใจเคลพลันตระหนักว่าหากตัวเองหนีไปเรื่องราวมีแต่จะแย่ลง
อีกทั้งให้ตาย เขาจำเป็นต้องอาบน้ำจริงๆ
นางจะหนีไม่ได้ ดังนั้นนางจึงกำพรมขนแกะในมือแน่นและท้าทายเขา
เขาหรี่ตาลง เคลรอให้เขาตวาดไล่นางออกจากห้อง แต่วินาทีต่อมาเขากลับก้มตัวถอดกางเกงขายาวเข้ารูปออก เผยให้เห็นท่อนขาทั้งสองที่ผอมทว่าแข็งแรง ตลอดจนความเป็นชายตรงหว่างขาที่ฮึกเหิมชี้ตั้ง
ใช่ว่านางไม่เคยเห็นผู้ชายเปลือยมาก่อน ผู้หญิงที่เลี้ยงดูนางมาไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา เพื่อเสาะหาใครบางคน ผู้หญิงคนนั้นจึงเดินทางไปทั่วทุกแว่นแคว้น นางเคยพบพระราชาของแคว้น เคยพบอัศวิน แม้แต่ข่านแห่งมองโกลในดินแดนตะวันออกอันห่างไกลก็เคยพบมาแล้วครั้งหนึ่ง นางเคยเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิแห่งอินเดียด้วยซ้ำ
เพราะอย่างนี้เองนางจึงตระหนักดีว่าผู้ชายสามารถทำอะไรผู้หญิงได้บ้าง นางรู้ดีว่าปกติส่วนนั้นของผู้ชายไม่ชี้ตั้งเช่นนั้น จะเป็นเฉพาะเวลาตื่นเต้น
ไอร้อนขุมหนึ่งผุดขึ้นมา ความคิดที่จะหลบหนีผสมปนเปกับความลนลานเขินอายพุ่งขึ้นมาในตัวนางอีกครั้ง นางฝืนข่มไว้อย่างสุดความสามารถ มองเขาก้าวเข้ามาอย่างอกสั่นขวัญแขวน เขาหยุดอยู่ตรงหน้าและก้มหน้ามองนาง
ชั่ววินาทีนั้นเคลไม่อาจขยับเขยื้อน ไม่อาจหายใจ กลัวว่าเขาจะทำกับนางเหมือนที่ชนชั้นสูงพวกนั้นทำกับข้ารับใช้หญิง แต่ท้ายที่สุดเขาเพียงแต่หันหลังก้าวเข้าไปในถังอาบน้ำ
จากนั้นเขาก็นั่งลง น้ำร้อนที่มีอยู่ครึ่งถังสูงขึ้นอีกเมื่อเขานั่งลงไป
นางผ่อนลมหายใจและม้วนแขนเสื้อ จุ่มพรมขนแกะให้เปียกและฟอกสบู่ จากนั้นก็เริ่มอาบน้ำให้เขาโดยไม่พูดอะไร
นางเคยอาบน้ำให้เด็กผู้ชาย เขาก็แค่ตัวโตขึ้นอีกนิด ไม่แตกต่างอะไรหรอก หญิงสาวไม่ปล่อยให้ตัวเองคิดมาก แต่ออกแรงช่วยเขาขัดมือเท้า แผ่นหลัง และใต้รักแร้เหมือนทำให้เด็กๆ
เคลรู้ว่าเขาจ้องนางอยู่ตลอด แต่นางแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
สิ่งที่แตกต่างจากเด็กผู้ชายคือขนบนตัวเขาดกมาก เส้นขนสีดำแผ่ไปตามหน้าอก ใต้ท้อง และกระจายอยู่ใต้รักแร้ ส่วนที่ดำที่สุดอยู่บริเวณหว่างขา นางจงใจละเลยตำแหน่งนั้นจนกระทั่งไม่อาจหลีกเลี่ยงไม่ทำความสะอาดส่วนนั้นได้อีก
นางควรจะล้างเท้าเขาเป็นส่วนสุดท้าย เขามีเท้าที่ใหญ่มากและห้อยอยู่บนขอบถัง นิ้วเท้าหยาบกร้านแห้งแตกเต็มไปด้วยคราบสกปรก นางเกือบจะละเลยความเป็นชายตรงหว่างขาเขาและตรงดิ่งไปล้างเท้าให้แล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าทำแบบนั้นดูจงใจเกินไป
สายตาเขาตามติดนางเหมือนเงา
แค่อีกส่วนหนึ่งของร่างกายที่ต้องทำความสะอาดเท่านั้น หญิงสาวบอกตัวเองและยื่นมือเล็กไปจับความเป็นชายของเขาที่อยู่ใต้น้ำอย่างสุขุม ตอนใช้พรมขนแกะขัดถูทำความสะอาด เขาแข็งขึงอีกครั้งในฝ่ามือนาง แถมยังขยายใหญ่จนน่าตกใจ นางใช้น้ำล้างส่วนสำคัญของเขาโดยเร็วที่สุดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แต่กลับมิอาจละเลยการเต้นตุบๆ ของเขาได้
ทันใดนั้นเขาก็คว้ามือนางและดึงออก
เคลตกใจสะดุ้ง เหลือบตาขึ้นอย่างตื่นลน เห็นใบหน้าเขาตึงเครียด ปีกจมูกขยายออกขณะถลึงตาเอ่ยว่า “พอแล้ว”
น้ำที่กระเด็นไปทั่วทำเอาใบหน้าและเสื้อผ้าตรงหน้าอกของนางเปียก นางจ้องเขา หัวใจเต้นรัว
เขากำข้อมือนางแน่น แผงอกกำยำสะท้อนขึ้นลง นัยน์ตาสีดำลึกจนไม่เห็นก้นบึ้ง
“ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ…ออกแรงเยอะขนาดนั้น…”
ด้วยคิดว่าตัวเองรุนแรงเกินไปจนทำให้เขาเจ็บ คำขอโทษจึงถูกโพล่งออกมาจากริมฝีปาก
“ข้าเพียงแต่…ข้าเหนื่อย…งานยุ่งมาทั้งวัน…”
เขามองนาง สัมผัสได้ว่าชีพจรบนข้อมือนางเต้นระรัว ดวงหน้าเล็กซีดขาวจนแทบไร้สีเลือด ดวงตาฉายแววตื่นตระหนกที่ปิดไม่มิด
ความเป็นชายตรงหว่างขาเต้นตุบๆ อยู่ในน้ำ
เขาไม่ได้เจ็บ เขาแค่ต้องการระบาย
ความเงียบของเขาทำให้นางเข้าใจในที่สุด เขาเห็นแววตระหนกและตื่นกลัวในดวงตาที่เบิกกว้างของนาง
“นายท่าน ข้าขออภัยอย่างยิ่ง แต่ท่านพูดถูก ข้าไม่ได้นอนหลับพักผ่อนให้ดีมาหลายวันแล้ว หากข้าล่วงเกินท่าน ขอท่านโปรดอภัยด้วย”
น้ำเสียงอ่อนน้อมของนางไม่ได้ทำให้เขาคลายมือ
“เจ้าควรรู้ว่าข้าเป็นเจ้าของปราสาทแห่งนี้ หากเจ้าอยากอยู่ที่นี่ก็ไม่ควรล่วงเกินข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
“ข้าปะ…” นางพยายามแย้ง
แต่เขาขัดคำพูดนางเสียงห้วน จ้องนางเขม็งและเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่านี่ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าอยากอยู่ แต่ความเป็นจริงคือเจ้าไม่มีทางเลือกแล้ว ข้าเองก็เช่นกัน! ข้าขอบใจเจ้ามากที่ช่วยเจอรี่ไว้ แต่การที่เจ้าท้าทายอำนาจข้าต่อหน้าทุกคน นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะยอมรับได้ ข้าจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก เจ้าเข้าใจหรือไม่”
นางมองเขา เม้มปากแน่นพลางพยักหน้า
“เจ้าไม่ได้นอนมากี่วันแล้ว” เขาถามนาง
เคลไม่คิดว่าเขาจะสังเกตเรื่องนี้ด้วย นางเงียบไป นานทีเดียวจึงตอบว่า “ถ้ามีคนจะบุกเข้ามาจับท่านไปเผาได้ทุกเมื่อ ท่านจะนอนหลับหรือ”
หางตาเขากระตุก สบถเสียงค่อยและปล่อยมือนาง
เคลเห็นดังนั้นก็เหมือนได้รับอภัยโทษ รีบหดมือที่ถูกเขาบีบจนเกือบหักกลับมาทันที
เขาถลึงตาจ้องนางอย่างขุ่นเคือง จากนั้นก็ยื่นมือไปคว้าพรมขนแกะที่นางทำหล่นอยู่ในน้ำขึ้นมาขัดถูตัวเองแรงๆ
เนื่องจากเขาทำน้ำกระจายไปทั่วและด้วยเกรงว่าจะถูกน้ำกระเด็นใส่จนเปียก นางจึงรีบลุกและถอยออกไป แต่กลับได้ยินเขาเอ่ยว่า “ไปหยิบผ้าแห้งมาให้ข้า”
นางก้าวเร็วๆ ออกจากประตู เห็นบนพื้นนอกห้องมีผ้าสะอาดกับโจ๊กข้าวโอ๊ตวางอยู่ พวกคนขี้ขลาดเหล่านั้นรู้ว่าเขากำลังโมโหจึงหนีหายไปหมดแล้ว
นางยกโจ๊กชามนั้นและหยิบผ้าแห้งขึ้นมา หมุนตัวกลับเข้ามาในห้องเห็นผู้ชายคนนั้นกำลังสระผม เขาออกแรงเยอะกว่านางมาก สระเสร็จเขาก็จุ่มหัวลงในน้ำและลุกขึ้นยืนอีกครั้ง น้ำร้อนไหลลงจากร่างเป็นสายเหมือนน้ำตก เขาใช้มือทั้งสองจับผมดำที่เปียกโชกปัดไปข้างหลัง จากนั้นก็ก้าวเท้าออกจากถังอาบน้ำ
นางแทบไม่อยากเชื่อว่าเขาจะออกมาทั้งอย่างนี้จึงอดโพล่งออกไปไม่ได้
“นายท่าน ท่านยังอาบไม่สะอาด!”
เขาชะงัก มุ่นคิ้วจ้องนางอย่างไม่อยากเชื่อ
“เจ้าว่าอะไรนะ”
เห็นเขาขมวดคิ้วท่าทางดุดัน นางจึงเปลี่ยนคำพูดทันที
“ข้าหมายความว่าข้ายังไม่ได้ถูหลังให้ท่านเลย”
เขาเงียบ ส่วนนางไม่รู้เพราะอะไรจึงสังเกตเห็นหยดน้ำแวววาวบนตัวเขา ตลอดจนกล้ามเนื้อกำยำและรอยแผลที่อยู่ใต้หยดน้ำเหล่านั้น
ผู้ชายคนนี้ดูน่ากลัวจริงๆ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหัวใจนางถึงเต้นรัว
จากนั้นในที่สุดเหมือนผ่านไปหนึ่งพันปี เขายินดีนั่งลงในถังอาบน้ำอีกครั้ง
นางวางของไว้บนโต๊ะและเดินกลับไปข้างถัง หยิบพรมขนแกะชิ้นนั้นขึ้นมาและไปยืนข้างหลังเขา ลงมือถูหลังให้
กล้ามเนื้อบนหลังเขากำยำมากเช่นกัน เหมือนก้อนหินอย่างไรอย่างนั้น แต่ก็ผ่ายผอมมาก นางเห็นกระดูกไหล่ที่อยู่ใต้ผิวดำคล้ำของเขาอย่างชัดเจน แต่ที่ต่างจากเด็กผู้ชายพวกนั้นและนางคือผิวของเขาหนากว่า แม้รอยเฆี่ยนพวกนั้นจะเป็นแผลเก่า แต่ดูออกว่าตำแหน่งที่มีแผลอ่อนแอกว่าส่วนอื่นๆ
นางไม่เข้าใจ เขาเป็นถึงลอร์ด จะเคยถูกเฆี่ยนได้อย่างไร
แม้รอยแผลเป็นจากการถูกเฆี่ยนเหล่านั้นจะดูเหมือนผ่านมานานแล้ว แต่ก็ยังอธิบายเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ดี ทว่านางไม่กล้าถามมาก ได้แต่ขัดหลังเขาอย่างระมัดระวัง
เริ่มแรกนางยังกลัวว่าจะทำเขาเจ็บ ภายหลังจึงพบว่านางกังวลใจเกินกว่าเหตุ เขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย และหากนางไม่ออกแรงให้มากพอก็ไม่อาจล้างคราบสกปรกเหล่านั้นออกไปได้ นางใช้เวลาอยู่นานกว่าจะขัดคราบที่ติดอยู่บนหลังเขาออกไปได้
เริ่มแรกเขายังเกร็งเล็กน้อย แต่ภายหลังก็ค่อยๆ ผ่อนคลาย
แผ่นหลังเขานอกจากรอยเฆี่ยนแล้วยังมีรอยแผลเก่า มีทั้งใหญ่และเล็ก นางไม่อาจทำเป็นมองไม่เห็นรอยแผลจากมีดดาบมากมายบนตัวเขาได้ นี่ไม่ใช่เรือนร่างของชาวนาคนหนึ่ง และไม่ควรเป็นเรือนร่างของท่านลอร์ดผู้มีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบายเช่นกัน
ที่นี่ห่างจากศูนย์กลางจักรวรรดิมาก กันดารมากทีเดียว แม้บางครั้งจะมีสงครามขนาดเล็ก แต่ไม่ถี่ถึงเพียงนั้น อีกทั้งผิวกายเขาค่อนข้างคล้ำ นางจึงสงสัยว่าเขาไม่น่าจะเติบโตที่นี่
ชนชั้นสูงหลายคนมักส่งลูกชายไปที่อื่นเพื่อเป็นเด็กรับใช้และรับคำชี้แนะจากอัศวิน จากนั้นก็ฝึกฝนตัวเองจนเป็นอัศวิน บางทีสถานที่ที่เขาถูกส่งตัวไปอาจไม่สงบสุขนัก
หากเป็นเช่นนั้นจริงย่อมอธิบายเรื่องราวได้มากมาย
ถูหลังเสร็จ นางเห็นว่าผมเขาดูเหนียวเหนอะและสกปรกกว่าเดิม รู้สึกคันไม้คันมือจึงลองฟอกสบู่ลงไปและสระผมให้เขาอีกครั้ง
ผู้ชายคนนั้นนั่งขัดสมาธิในถัง เขาไม่ได้ประท้วง ปล่อยให้นางขยี้ผมเขาจนเกิดฟอง จากนั้นนางก็ใช้กระบวยตักน้ำขึ้นมาล้างฟองบนศีรษะเขาอย่างระมัดระวัง
เนื่องจากเขาไม่ขยับตัวเลย ชั่วขณะหนึ่งนางจึงคิดว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว ทว่าหลังจากที่นางสระผมเขาจนสะอาด เขาก็ลุกขึ้นจากน้ำอีกครั้ง
เคลถอยไปก้าวหนึ่งอย่างอดไม่ได้ แต่ครั้งนี้นางสังเกตเห็นว่าความปรารถนาตรงหว่างขาเขาไม่ได้ผงาดตั้งเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
เขาก้าวออกจากถังอาบน้ำและก้มหน้ามองนาง
“เจ้าพอใจหรือยัง”
หากนางตอบว่าไม่ เขาคงจะคลุ้มคลั่ง ดังนั้นนางจึงพยักหน้า
เขาเดินผ่านข้างกายนางไปและหยิบผ้าแห้งบนโต๊ะขึ้นมาเช็ดตัว
เคลผ่อนลมหายใจและเริ่มเก็บข้าวของ คิดไม่ถึงว่ากลับได้ยินเสียงเขาประกาศขึ้นข้างหลัง
“นับแต่วันนี้ไปเจ้านอนที่นี่”
หญิงสาวตกตะลึง หันขวับกลับไปมองชายหนุ่มทันที
เขาหันหลังให้นาง เรือนร่างกำยำเปล่าเปลือยขณะยกมือขึ้นเช็ดเรือนผมสีดำที่เปียกชื้น
นางเอ่ยอย่างตื่นตระหนก
“ข้านอนที่นี่ไม่ได้ ข้ามีคนป่วยต้องดูแล”
“ลิซ่ากับโซเฟียสามารถทำแทนเจ้าได้”
“คนพวกนั้นต้องทาน้ำมันและเคาะปอดระบายเสมหะเป็นเวลา…”
“เรื่องพวกนี้พวกนางสองคนผลัดกันทำได้ สิ่งที่คนป่วยพวกนั้นต้องการคือการที่เจ้าได้หลับพักผ่อนอย่างเต็มที่” เขาหันกลับมาและเดินเข้ามาหานาง ทำให้นางจำต้องถอยไปข้างหลัง “หากเจ้าล้มป่วย ความหวาดกลัวจะยิ่งแพร่ไปในปราสาท ให้ตายเถอะ ที่นี่นอกจากเจ้าแล้วไม่มีใครรู้ว่าควรป้องกันโรคระบาดอย่างไร นี่คือห้องของข้า ไม่มีใครกล้าบุกเข้ามาลากตัวเจ้าไปที่ลานเพลิงแน่ เจ้าสามารถหลับพักผ่อนได้อย่างสบายใจ”
ที่นางกังวลไม่ใช่คนอื่น
“ข้านอนที่นี่ไม่ได้” เคลบิดมืออย่างประหม่า เงยหน้ามองเขาด้วยสีหน้าลนลานและบอกว่า “ผู้คนจะคิดว่าข้าเป็นคู่นอนของท่าน”
“เช่นนั้นพวกเขายิ่งไม่กล้ามาหาเรื่องเจ้า”
นางมองชายหนุ่มที่ยังคงเช็ดผมด้วยใบหน้าซีดขาว นานทีเดียวจึงพูดออกมาอย่างอ่อนแรง
“นี่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา ข้าทำอย่างนั้นไม่ได้…ท่านทำอย่างนั้นไม่ได้…พวกเราจะนอนด้วยกันไม่ได้…” วิธีพูดของนางทำให้เขาเข้าใจประเด็นที่นางกังวลในที่สุด จึงเหลือกตาใส่นางอย่างอดไม่ได้
“สวรรค์ เจ้ารู้ไว้เถอะว่าสิ่งที่ข้าไม่อยากทำมากที่สุดในตอนนี้คือการสร้างปากที่กินข้าวได้เพิ่มขึ้นมาอีก” เขามองนางอย่างเหลืออด “ข้าไม่แตะต้องเจ้าหรอก ข้าไม่มีแรงจะทำเรื่องอย่างนั้นและไม่มีเวลาด้วย หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะรีบกอบโกยเวลานอนซะ พรุ่งนี้พวกเราต้องไปขนอาหารในห้องใต้ดินของเจ้ากลับมา ระหว่างทางไม่มีเวลาพัก ทางที่ดีถึงเวลานั้นเจ้าควรมีพละกำลังที่เพียงพอ”
เขาพูดพลางใช้ผ้าผืนนั้นพันรอบเอว ก่อนจะหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ ไขว่ห้างและยกชามโจ๊กข้าวโอ๊ตขึ้นมากิน
เคลหน้าซีด รู้ดีว่าเขาตัดสินใจไปแล้ว แต่ยังคงพยายามเป็นครั้งสุดท้าย
“ข้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้วหรือ”
เขาปรายตามองนางก่อนพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“เจ้าคิดว่าข้ามีหรือไง”
เคลมองเขากินโจ๊กข้าวโอ๊ตชามนั้นจนหมดอย่างพูดไม่ออก ครุ่นคิดหาความเป็นไปได้ต่างๆ ในการหลบหนี
เขาบอกว่าจะไม่แตะต้องนาง แต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเขาแค่พูดไปอย่างนั้นเองหรือไม่
ตอนเขายืนขึ้น นางอดถอยไปหนึ่งก้าวไม่ได้และรีบเอ่ยว่า “หากข้าต้องนอนที่นี่ ข้าต้องกลับไปเอาของบางอย่าง ทั้งยังต้องสั่งงานพวกลิซ่า”
เขาหรี่ตามองนาง
“อย่าทำเรื่องโง่ๆ เจ้ารู้ว่าตัวเองหนีไม่พ้นหรอก ละแวกนี้มีคนยินดีรับตัวแม่มดไว้ไม่มาก หากเจ้าหนีไปรังแต่จะทำให้คนมั่นใจยิ่งขึ้นว่าเจ้าร้อนตัว หากมีคนตายเพราะอย่างนี้ นั่นย่อมกลายเป็นความผิดเจ้า เป็นเพราะคำสาปชั่วร้ายของเจ้า”
ให้ตายเถอะ! เขาพูดถูก!
นางเกลียดเหลือเกินที่ต้องยอมรับว่าเขาพูดถูก แต่นางไม่มีทางวิ่งชนะเขา ไม่มีทางต่อสู้ชนะเขา อีกทั้งต่อให้นางวิ่งออกไปจากห้องนี้ได้ นางก็หนีออกจากปราสาทแห่งนี้ไม่ได้ ต่อให้นางหนีออกไปได้ ข่าวลือก็จะนำมาซึ่งการล่าแม่มด
ก่อนหน้านี้นางอาศัยม่านหมอกในป่าและคิดว่ามันช่วยปกป้องนางได้ แต่ถ้าเขาบุกเข้ามาได้ นั่นหมายความว่าคนอื่นก็ทำได้เช่นกัน
“ข้าไม่ใช่แม่มด” นางพูดอย่างขุ่นขึ้ง
“ข้าเชื่อ” เขาเลิกคิ้วพลางกอดอก ใช้คางพยักพเยิดไปนอกหน้าต่าง “แต่คนที่เจ้าต้องโน้มน้าวไม่ใช่ข้า เป็นคนที่อยู่ข้างนอกพวกนั้น”
น่าโมโห! น่าโมโห! น่าโมโหจริงๆ!
นางอยากย่ำเท้าเหลือเกิน แต่สุดท้ายก็ได้แต่หมุนตัวเดินออกไปอย่างเดือดดาลและออกแรงกระแทกปิดประตู
เขาไม่ได้หยุดยั้งนาง เขารู้ว่านางต้องกลับมาแต่โดยดี
ตอนเคลกลับมา ผู้ชายคนนั้นนั่งอยู่ที่โต๊ะ อาศัยแสงเทียนจับปากกาขนห่านเขียนอะไรบางอย่างในหนังสือ
เขาสวมเสื้อขนแกะตัวยาวแล้ว เส้นผมสีดำสนิทเปียกชื้นระอยู่บนบ่า
ตอนนางเข้ามาเขาเงยหน้ามองแวบหนึ่ง จากนั้นก็เลิกคิ้ว
“นั่นคืออะไร” เขาถาม
“อะไรคืออะไร”
“ของที่อยู่ในมือเจ้า”
“ฟูกนอนของข้า” นางเชิดคางพลางหอบฟูกของตัวเองเดินไปยังผนังที่อยู่ไกลจากเตียงใหญ่ของเขามากที่สุด จากนั้นก็ปูมันลงบนพื้นติดหน้าต่าง
“หากเจ้านอนอยู่บนพื้นย่อมไม่มีใครเชื่อว่าเจ้าเป็นผู้หญิงของข้า”
“หากท่านไม่พูดย่อมไม่มีใครรู้ว่าข้านอนบนพื้น”
เขาแค่นยิ้ม
เสียงหัวเราะหยันนั้นทำให้นางอดขึงตาใส่เขาไม่ได้
“รู้ไว้เถอะ อยู่ที่นี่ต่อให้เจ้าแค่ผายลมเสียงก็ดังไม่ต่างจากฟ้าผ่า” เขาไม่อยากเชื่อเลยว่านางจะโง่เขลาถึงเพียงนี้ “ทุกคนที่นี่ล้วนคอยแอบดูเจ้าอยู่หลังประตูหน้าต่าง”
“ข้ารู้” นางหันกลับไปปูฟูกนอนบนพื้นข้างหน้าต่างต่อพลางพูด “เพราะฉะนั้นข้าจึงบอกโซเฟียว่านี่เป็นของที่ท่านต้องการ พรุ่งนี้เช้าข้าจะเก็บมันก่อนที่พวกนางจะเข้ามา”
ผ้าปูเตียงกับพรมผืนบางต้านลมหนาวที่พัดเข้ามาจากหน้าต่างไม่ได้แม้แต่น้อย แต่เขาไม่ได้พูดอะไรอีก เอาแต่มองหญิงผู้นั้นปูที่นอนข้างหน้าต่างอย่างดื้อรั้น จากนั้นนางก็ถอดรองเท้าและแกะแถบผ้าที่มัดผมออก
นอกจากปอยผมสีขาวตรงหน้าผากแล้วเส้นผมนางยาวและดำมาก นางหันกลับไปหยิบหวีออกมาจากตะกร้าใบเล็กที่นำมาด้วย จากนั้นหยิบขวดใบเล็กออกมา เทน้ำมันลงบนฝ่ามือเล็กน้อย เขามองนางนวดน้ำมันด้วยฝ่ามือทั้งสองจนอุ่นร้อน ก่อนจะทาบนใบหน้าและลำคอ
ก่อนกลับมานางไปอาบน้ำแล้ว กระโปรงที่นางสวมอยู่ไม่เหมือนก่อนหน้านี้
บางทีอาจเพราะความประหม่า นางจึงทำอะไรอย่างรวดเร็ว
เดิมทีเขาคาดหวังว่านางจะถอดถุงเท้ายาวสีดำทั้งสองข้าง แต่นางไม่ทำเช่นนั้น พอทาน้ำมันเสร็จนางก็หันหลังให้เขาและซุกตัวเข้าไปในพรมสีเทาอย่างรีบร้อน ราวกับทำแบบนี้แล้วจะสามารถกันตัวเองจากโลกภายนอกได้
เขาแค่นเสียงหยันและก้มหน้าคำนวณสิ่งที่อยู่ตรงหน้าต่อให้เสร็จ
เนิ่นนานผ่านไป เขาวางกระดาษเนื้อหยาบและเป่าเทียนดับไฟ
จังหวะที่ไฟในห้องดับวูบ เคลกลั้นหายใจ ยามนี้เองที่นางตระหนักว่าตัวเองควรหันไปเผชิญหน้ากับเขา เวลาเขาเข้ามาใกล้นางจะได้ป้องกันได้ทัน นางอยากพลิกตัว แต่กลับไม่กล้าขยับตัวส่งเดช เกรงว่าจะเป็นการดึงดูดความสนใจเขา
นางได้ยินเสียงเขาเคลื่อนไหวอยู่ในห้อง แต่เสียงนั้นอยู่อีกฟากใกล้กับเตียง ไม่มาถึงตรงนี้ ไม่ได้ขยับใกล้เข้ามาเลย
หลังจากนั้นเขาก็ขึ้นไปบนเตียง ทุกอย่างสงบลง
หญิงสาวผ่อนลมหายใจที่เก็บกลั้นอยู่ในอกออกมา จากนั้นถึงกล้าปรับท่านอนช้าๆ ขยับพรมให้กระชับยิ่งขึ้นเพื่อกันลมหนาวที่พัดเข้ามาทางหน้าต่าง
ทว่าแม้นางจะห่มผ้าอย่างแน่นหนาแล้วก็ยังคงรู้สึกว่าลมพัดเข้ามาจากตรงฝ่าเท้า นางข่มความรู้สึกอยากลุกขึ้นเอาพรมห่อเท้า แล้วพยายามยัดพรมเข้าไปใต้ฝ่าเท้าแทน
นางปรับท่าอยู่พักใหญ่จนมั่นใจว่าไม่มีลมเล็ดลอดเข้ามาได้แล้วจึงพอใจและหยุด ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ
ดวงจันทร์สลัวรางค่อยๆ ไต่ขึ้นมาอยู่ในกรอบหน้าต่าง ก่อนจะเลื่อนสูงขึ้นเรื่อยๆ
นางจ้องดวงจันทร์เลือนรางที่ดูเหมือนถูกคลุมด้วยผ้าโปร่งอีกที มองเมฆลอยมาและลอยผ่านไป
ให้ตาย พรมผืนนี้บางเกินไป
เคลแอบกอดตัวเองใต้พรม ใช้ฝ่ามือถูแขนอย่างระมัดระวังและพยายามไม่ส่งเสียง แต่นางก็ยังหนาวมากอยู่ดี หนาวจนตัวสั่นสะท้าน ไอร้อนแต่ละคำที่พ่นออกมาจากปากกลายเป็นไอสีขาว
น่าโมโหจริง เห็นได้ชัดว่านางเลือกสถานที่ผิด หากรู้แต่แรกนางควรเลือกนอนข้างกองไฟ แต่กองไฟนั้นอยู่ใกล้เตียงเขามากเกินไป
นางยิ่งนอนยิ่งรู้สึกหนาว อดใช้สองขาถูกันไปมาไม่ได้ พยายามเพิ่มความอบอุ่นให้กับตัวเอง ขณะเดียวกันก็แอบพ่นลมหายใจใส่ฝ่ามือเย็นเฉียบทั้งสองข้าง จากนั้นถูมือไปมา แต่ร่างกายก็ยังสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่
ขณะที่นางคิดว่าตัวเองต้องหนาวตายอยู่ที่นี่แน่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังจากข้างหลัง นางพยายามหันกลับไปอย่างตื่นตระหนก แต่เนื่องจากห่อตัวเองแน่นเกินไปทำให้ไม่อาจเคลื่อนไหวอย่างอิสระ กว่านางจะหมุนตัวกลับมา ผู้ชายคนนั้นก็ก้าวยาวๆ เข้ามาแล้ว เขาคว้าตัวนางพร้อมทั้งพรมขึ้นบนบ่า
“ท่านทำอะไร!” นางอุทานอย่างตื่นตกใจ
“เจ้าส่งเสียงดังสวบสาบ หนวกหูชะมัด!” เขาคำรามพลางแบกนางและหมุนตัวเดินไปที่เตียงหลังใหญ่
“ขอโทษ ข้าขอโทษจริงๆ ข้าสาบานว่าข้าจะเงียบ ท่านวางข้าลงเถอะนะ…”
“ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องเงียบมากแน่!” เขาโยนนางลงบนเตียงอย่างไม่สบอารมณ์ “เพราะขืนเจ้ายังนอนอยู่ตรงนั้นต่อไป พรุ่งนี้เช้าทั้งเจ้าและพรมผืนนี้ต้องแข็งเป็นน้ำแข็งแน่นอน รอให้ข้าไปเก็บศพ!”
นางดิ้นรนอยู่ในพรมเนื้อนิ่มที่ห่อตัวอยู่ พยายามจะเอามือและเท้าออกมา แต่เขาเอนกายตามลงมาและใช้มือยาวโอบนางไว้แน่นๆ ผ่านพรม จากนั้นพาดท่อนขายาวมาก่ายตัวนางไว้ เสร็จแล้วค่อยคลุมด้วยผ้าห่มของตัวเอง
นางดิ้นรนหนักกว่าเดิม แต่กลับได้ยินเขาบอกว่า “เว้นเสียแต่เจ้าอยากให้ข้าขึ้นคร่อมบนตัวเจ้า หาไม่ก็อย่าขยับตัวส่งเดชอีก”
คำขู่ของเขาอยู่ชิดริมหู ทำเอานางแข็งทื่อไปทันที ไม่กล้าขยับตัว
ลมหายใจร้อนผ่าวของชายหนุ่มที่พ่นออกมาเป่าติ่งหูนางไม่หยุด ทำให้หนังศีรษะของนางชาหนึบ แขนแข็งแกร่งของเขาโอบกอดนางไว้เหมือนคีมเหล็ก ทำให้นางหายใจไม่ออก
“อย่าทำให้ข้าเสียเวลาอีกเลย หลับตาซะและรีบๆ นอน” เขาออกคำสั่งริมหูนางอย่างขุ่นเคือง
สถานการณ์แบบนี้จะให้นางนอนหลับได้อย่างไร
หัวใจของเคลเต้นรัวอย่างบ้าคลั่งเหมือนกวางน้อยที่ถูกนายพรานไล่ล่าอยู่ในป่า แต่ผู้ชายข้างหลังราวกับจะหลับไปในชั่วพริบตา นางได้ยินเสียงลมหายใจเขาที่ยาวขึ้นทุกที รู้สึกว่าหัวใจเขาที่แนบอยู่กับแผ่นหลังนางเต้นช้าและมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ
นางไม่กล้าขยับ ถึงขั้นไม่ค่อยกล้าหายใจด้วยซ้ำ เกรงว่าจะเป็นการรบกวนเขาและทำให้เขาลงมือทำอะไรบางอย่างที่นางไม่อยากให้เขาทำ
ผ่านไปครู่ใหญ่ และผ่านไปอีกครู่ใหญ่
เขายังคงไม่ขยับ จังหวะหัวใจและลมหายใจสม่ำเสมอยิ่ง จากนั้นเขาก็เริ่มส่งเสียงกรน
เสียงกรนที่ดังเหมือนฟ้าผ่าทำเอานางตกใจสะดุ้ง ผ่านไปอีกครู่ใหญ่นางจึงมั่นใจว่าเขาหลับไปแล้วจริงๆ เขาแค่อยากนอนและคิดว่านางต้องการการพักผ่อน
แม้นางจะสงสัยเหลือเกินว่าตัวเองจะหลับได้ภายใต้สถานการณ์นี้หรือไม่ แต่เขาพูดไม่ผิด ไม่มีใครกล้าบุกเข้ามาในห้องของเขาและดึงนางออกไปจากอ้อมอกเขา
ส่วนเขาเห็นได้ชัดว่าไม่สนใจนางแม้แต่น้อย อย่างน้อยคืนนี้ก็ไม่มีความสนใจ
หัวใจที่เต้นรัวของนางจึงค่อยๆ เต้นช้าลง สุดท้ายจังหวะหัวใจก็เปลี่ยนเป็นเนิบช้า
ห่างออกไปในป่าทึบ หมาป่าฝูงหนึ่งเห่าหอนกับพระจันทร์ แต่เสียงหอนนั้นอยู่ไกลมาก อีกทั้งสิ่งที่อยู่นอกกำแพงหินไม่ใช่อันตรายใกล้ตัว
แต่ผู้ชายที่ร่างกายแนบติดกับนางอยู่นั้นใช่
นางควรจะระมัดระวังตัวต่อไป แต่การไม่ได้หลับสนิทเกือบครึ่งเดือนทำให้เรื่องนี้เป็นไปได้ยากเหลือเกิน อีกทั้งผู้ชายข้างหลังยังเหมือนเตาผิง แผ่ไอร้อนที่ชวนให้รู้สึกสบายตัวออกมา ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายเย็นเฉียบของนางผ่านพรม
อากาศหนาวเย็นถูกเขากันไว้ข้างนอก
ความรู้สึกปลอดภัยที่หายไปนานผุดขึ้นอย่างไร้สาเหตุ ทำให้ร่างกายนางผ่อนคลาย
พอร่างกายอบอุ่น ไม่นานนางก็หาวไม่หยุด หนังตาหลุบลงครั้งแล้วครั้งเล่า แม้เสียงกรนของเขาจะดังอยู่ข้างหู หนวกหูอย่างยิ่ง แต่ดวงตาของนางยังคงปิดลงในชั่วจังหวะที่ไม่ทันระวัง
ความคิดสุดท้ายก่อนหลับไปคือพรุ่งนี้นางต้องต้มชาสมุนไพรแก้คัดจมูกให้เขา เขาจะได้หุบปากและใช้จมูกสูงโด่งของตัวเองหายใจ
เขาตื่นขึ้นมาตอนฟ้าสาง หญิงสาวในอ้อมกอดห่มผ้าแน่นและหลับสนิท นางพลิกตัวกลับมากลางดึกและอิงซบเขา ศีรษะเล็กพิงอยู่บนไหล่ของเขา เส้นผมสีดำล้อมกรอบดวงหน้าเล็กขาวซีด
ปอยผมสีขาวตรงหน้าผากนางยังคงสะดุดตา เขารู้ว่าเส้นผมของบางคนกลายเป็นสีขาวตั้งแต่อายุสิบกว่าขวบ แต่ส่วนใหญ่ผมของคนเหล่านั้นจะค่อยๆ ขาวทั้งศีรษะ เขาไม่เคยเห็นใครเป็นอย่างนาง นอกจากปอยผมตรงหน้าผากแล้ว ผมส่วนอื่นของนางดำสนิทเหมือนท้องฟ้าราตรีกลางฤดูหนาว
เพราะเหตุนี้เองทำให้นางยิ่งดูแปลกประหลาด แต่ความจริงพอมองนานๆ เข้าเขากลับรู้สึกคุ้นเคยกับความแตกต่างจากคนอื่นของนางโดยไม่รู้ตัว
นางหลับสนิทไม่ขยับเขยื้อน ริมฝีปากเล็กนุ่มเนียนเผยอเล็กน้อย ขนตายาวหลุบลง มือเล็กขาวกระจ่างจับพรมตรงหน้าอกแน่น ท่าทางราวกับกลัวใครจะมาแย่งไป แต่เนื่องจากหลับสนิทเกินไป นิ้วของนางจึงคลายออกนานแล้ว
ผู้หญิงคนนี้งดงามจริงๆ แถมร่างกายนางยังไม่มีกลิ่นเหม็นแม้แต่น้อย
เพื่อความแน่ใจ เขาขยับเข้าไปใกล้และสูดดมสองทีอย่างอดไม่ได้
ไม่มี
ร่างกายนางไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่เพียงไม่เหม็น แต่ยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของใบหญ้า
น่าจะมาจากน้ำมันที่นางทา กลิ่นหอมอ่อนจางเหล่านั้นเหมือนแผ่ออกมาจากผิวขาวดุจหิมะของนาง ทำให้เขาอยากอ้าปากกัดนางสักคำอย่างอดใจไม่อยู่
แต่หากเขาทำอย่างนั้นจริง นางคงตกใจจนไม่กล้านอนที่นี่อีก
นางเป็นผู้หญิงที่แปลกประหลาดที่สุดตั้งแต่เขาเคยพบเจอมาจริงๆ
พิลึก เฉลียวฉลาด กล้าหาญ และแปลกประหลาด
อาจเพราะท่าทีในตอนแรกที่เขาแสดงต่อนาง ผู้หญิงคนนี้จึงหวาดกลัวเขามาก ทุกครั้งที่เขาเข้าใกล้นาง นางจะทำท่าสะดุ้งโหยงและอยากกระโดดหนี นางพยายามปกปิดความตกใจและความหวาดหวั่นนั้นแล้ว แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงความกลัวของนางเสมอ
ฟ้ารู้ว่านางมีเหตุผลที่จะกลัวจริงๆ
เขาเคยเห็นว่าผู้คนล่าแม่มดอย่างไร เคยเห็นกลุ่มคนแสดงความคลุ้มคลั่งยามเผาแม่มดทั้งเป็น เมื่อเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นแล้วย่อมยากจะหยุดยั้ง ความหวาดหวั่นและความกลัวทำให้ผู้คนตกอยู่ในความบ้าคลั่งยากจะควบคุม
บางทีเขาอาจไม่ควรรั้งตัวนางไว้ที่นี่ในขณะที่ทุกคนคิดว่านางเป็นแม่มด แต่ในสถานการณ์เช่นนี้เขาต้องการความช่วยเหลือมากจริงๆ ความช่วยเหลือแบบไหนก็ได้
อีกทั้งนอกจากนางจะมีอาหารในห้องใต้ดินแล้ว นางยังมีความรู้ในการรักษาโรค ดังนั้นเขาจึงต้องการความไว้ใจจากผู้หญิงคนนี้และต้องการให้นางมีสุขภาพแข็งแรง เขาจะได้ประคับประคองปราสาทบัดซบหลังนี้ให้คงอยู่ต่อไปได้
ชายหนุ่มถอนหายใจ ระงับความวู่วามของตัวเองแล้วดึงแขนออกจากศีรษะนาง
เนื่องจากเหน็ดเหนื่อยเกินไป นางไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย ไม่มีวี่แววว่าจะตื่นเลย
เขาลุกจากเตียง เดินไปที่โต๊ะหยิบเสื้อผ้าของเมื่อวานขึ้นมาหมายจะสวมใส่ ฟองสบู่ในถังอาบน้ำกลางห้องหายไปแล้ว น้ำเย็นหมดแล้ว บนผิวน้ำมีคราบสกปรกน่ากลัวลอยอยู่ เขาเห็นแล้วขมวดคิ้ว สวรรค์ เขาสกปรกขนาดนี้เชียวหรือ
เขาจำได้ว่าตัวเองเพิ่งอาบน้ำไปเมื่อเจ็ดวันก่อนเองนี่นา
น้ำสกปรกถังนั้นทำให้เขาอดบ่นในใจไม่ได้ จากนั้นก็ยกเสื้อผ้าในมือขึ้นมาดม
กลิ่นเหม็นบาดจมูกทำให้ใบหน้าเขาบิดเบี้ยวทันใด รีบขยับเสื้อผ้าออกห่างทันที
ให้ตาย บางทีนางอาจพูดถูก เจ็ดวันอาบน้ำหนึ่งครั้งนานเกินไปจริงๆ
เขาโยนเสื้อผ้าเหม็นๆ ลงไปในน้ำ เดินไปยังหีบเสื้อผ้าด้านข้างหาเสื้อผ้าสะอาดมาสวมใส่ หลังสวมอุปกรณ์ทุกอย่างจนครบ เขาก็ก้าวยาวๆ ไปที่เตียงและเขย่าตัวนางปลุกให้ตื่นอย่างหยาบคาย
“ตื่นได้แล้ว! หากเจ้าคิดจะไปกับข้าก็เร่งมือหน่อย พวกเราไม่อาจสิ้นเปลืองเวลาได้อีกแล้ว!”
บทที่ 5
เคลไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะหลับไม่รู้เรื่องเช่นนี้
ตอนผู้ชายคนนั้นเขย่าตัวนางปลุกให้ตื่น เขาแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว จังหวะที่นางยังตื่นไม่เต็มตา เขาก็เร่งให้นางสวมรองเท้ากับเสื้อผ้าเหมือนต้อนแกะ จากนั้นก็ลากนางไปที่ม้า กว่านางจะได้สติอีกครั้งเขาก็บรรทุกนางควบม้าออกจากปราสาทเสียแล้ว ม้าควบทะยานไปบนเส้นทางเล็กๆ ในชนบท หากนางคว้าเข็มขัดเขาไว้ไม่ทัน ป่านนี้คงร่วงตกจากม้า ล้มก้นจ้ำเบ้าอยู่บนพื้นแล้ว
เขาควบม้าอย่างรวดเร็วตลอดทาง เพื่อไม่ให้ตัวเองตกจากม้า นางจึงได้แต่กอดเอวเขาแน่นจากข้างหลัง พอได้สติอีกครั้งนางถึงพบว่าสถานการณ์รอบด้านย่ำแย่เพียงใด
สีเทา
ทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าหม่นเทาและหนักอึ้ง
ท้องฟ้าเป็นสีเทา ใบหน้าของชายหนุ่มเป็นสีเทา แม้แต่ผืนดินเย็นเฉียบยังเป็นสีเทา กระทั่งต้นไม้ในป่าก็เป็นสีเทาหม่นไปหมด
เคลมองทิวทัศน์ตรงหน้าอย่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก
หากบอกว่าสถานการณ์ในปราสาทเรียกว่าแย่ สถานการณ์นอกปราสาทคงอธิบายได้ด้วยคำว่าอนาถเท่านั้น
ทุกหนแห่งที่พวกเขาควบม้าผ่านเปี่ยมด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย
หมู่บ้านเกษตรกรรมที่ไร้ผู้คน ทุ่งข้าวสาลีที่ถูกทิ้งร้าง บ้านเรือนที่ชำรุดทรุดโทรม…
ไม่ว่าที่ใดล้วนเต็มไปด้วยความหดหู่ ราวกับทุกหมู่บ้านที่พวกเขาผ่านไม่มีชาวบ้านหลงเหลืออยู่เลย แม้บางครั้งจะเห็นคนบ้าง แต่ทาสติดที่ดินเหล่านั้นส่วนใหญ่ล้วนผอมจนแก้มซูบตอบ ดวงตาเลื่อนลอยสิ้นหวัง
เขาควบม้าอยู่เกือบครึ่งวัน นางเหนื่อยจนแทบจะซบหลังเขาหลับไป แต่แล้วกลับรู้สึกว่าเขาหยุดกะทันหัน นางลืมตาและเหยียดตัวตรง เมื่อพบว่าเขาพยายามลงจากม้าจึงรีบปล่อยมือ
กว่าจะได้สติเขาก็ลงจากม้าและเดินไปแล้ว นางถึงได้เห็นว่ามีเด็กหนุ่มกับเด็กหญิงคนหนึ่งยืนอยู่ข้างบ้านชาวนา มือของเด็กหนุ่มถือพลั่ว ด้านข้างเป็นเนินดิน บนเนินดินมีไม้กางเขนปักอยู่เบี้ยวๆ
เด็กหนุ่มคนนั้นมองเขาอย่างแข็งกร้าว ส่วนเด็กหญิงหลบไปอยู่ข้างหลัง
ชายหนุ่มหยุดอยู่ในระยะห่างจากพวกเขาครึ่งฟุต ไม่รู้เขาพูดอะไรกับเด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มเอาแต่เงียบ สุดท้ายก็ยื่นมือชี้ไปยังบ้านหลังเล็กข้างๆ ชายหนุ่มฟังแล้วปลดถุงผ้าใบเล็กที่เอวโยนให้อีกฝ่าย
เด็กหนุ่มไม่ได้รับถุงผ้านั้นไว้ทันที เขาเองก็ไม่ได้สนใจ แต่หันหลังเดินไปยังบ้านหลังเล็กและผลักประตูเข้าไป ไม่นานก็นำรถลากคันหนึ่งออกมา
ตอนเขาเข้ามาใกล้ นางพลิกตัวลงจากม้า การไม่ได้ขี่ม้านานทำให้นางรู้สึกปวดระบมจนแทบทนไม่ไหว แข้งขาอ่อนจนเกือบทรุดลงบนพื้น ต้องรีบคว้าอานม้าพยุงตัวเองไว้
ไม่กี่ชั่วอึดใจต่อมา ความรู้สึกเจ็บชาอ่อนแรงก็ดีขึ้นเล็กน้อย นางเดินเข้าไปช่วยเขานำรถลากไปคล้องกับสายหนังตรงหน้าอกม้า
ชายผู้นั้นมองนางปราดหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรมาก หลังจากคล้องสายกับรถลากแล้วก็ช่วยพานางขึ้นม้า
ความจริงนางอยู่บนรถลากได้และเกือบจะโพล่งออกไปแบบนี้แล้ว ตอนนี้บนนั้นว่างเปล่า แต่เขาอุ้มนางขึ้นบนหลังม้าแล้ว นางจึงได้แต่ยื่นมือไปจับเอวเขาแต่โดยดี
เขาควบม้ามุ่งหน้าต่อไป นางหันกลับไปมองสองพี่น้องคู่นั้นอย่างอดไม่ได้ เด็กหนุ่มมองมาทางนี้อย่างระแวดระวัง ส่วนเด็กหญิงย่อตัวลงเก็บถุงผ้าที่หล่นอยู่บนพื้นแล้วเปิดออก
แม้จะห่างออกมาระยะหนึ่งแล้ว เคลยังคงมองเห็นเด็กหญิงคนนั้นเบิกตาโตและดึงขากางเกงพี่ชาย เด็กหนุ่มคนนั้นย่อตัวลงบ้าง
นั่นเป็นเนื้อแห้ง นางรู้
ผู้ชายคนนี้แบ่งเสบียงอาหารของตัวเองให้พี่น้องคู่นั้น
จากนั้นสองพี่น้องก็หายไปจากสายตา
ม้าที่ลากรถลากไม่อาจควบทะยานเหมือนก่อนหน้านี้ได้ แต่ก็ไม่ช้าสักเท่าไร ในหัวนางเต็มไปด้วยภาพของสองพี่น้องเมื่อครู่นี้
เห็นได้ชัดว่าเนินดินนั้นคือสุสาน นางนั่งอยู่บนม้าและเห็นชัดเจนว่าข้างเนินดินนั้นยังมีเนินดินเก่าอีกห้าเนิน ข้างบนมีหญ้าสีเขียวขึ้นเต็ม ไม้กางเขนก็ไม่ใหม่นัก น่าจะก่อขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้ว
เขามุ่งหน้าต่อไปเรื่อยๆ ส่วนนางกลับคิดถึงพี่น้องสองคนนั้น สงสัยว่าเด็กคนนั้นเพิ่งจะฝังผู้ใหญ่คนสุดท้ายในหมู่บ้านไปหรือเปล่า
แม้เขาจะมอบเนื้อตากแห้งให้พวกเขา นางก็อดคิดไม่ได้ว่าเด็กหนุ่มกับเด็กหญิงคนนั้นจะใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านแห่งนั้นต่อไปได้อย่างไร พอลมเย็นพัดมา นางได้สติจึงพบว่าเขาควบม้าพ้นทุ่งนาราบเรียบแล้ว กำลังเข้าเขตป่า
ในป่ามืดสลัวเริ่มมีหมอกสีขาวปรากฏ ยิ่งมุ่งไปข้างหน้าหมอกก็ยิ่งหนา ยื่นมือออกไปแทบไม่เห็นนิ้วทั้งห้า นางสงสัยว่าเขาแยกแยะทิศทางได้อย่างไรในภาวะที่มองไม่เห็นเส้นทางข้างหน้าเลย แต่ที่ทำให้นางประหลาดใจคือเขาไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ไม่ได้หยิบอุปกรณ์ใดๆ ออกมา ไม่ได้ลงจากม้าไปทิ้งสัญลักษณ์ไว้ เขาเพียงแต่ขี่ม้าฝ่าหมอกหนาที่ปกติทำหน้าที่คอยคุ้มครองนาง ราวกับหมอกพวกนี้ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเขา
จวบจนเขาหยุดที่หน้ากระท่อมหลังเล็กของนางในป่าและพลิกตัวลงจากม้า จากนั้นก็ยื่นมือมาโอบเอวนางแล้วอุ้มนางลงมา ในที่สุดนางก็ห้ามความสงสัยไว้ไม่อยู่ ขมวดคิ้วแหงนหน้าจ้องผู้ชายตรงหน้าและเอ่ยถาม
“ท่านทำได้อย่างไรกันแน่”
“ทำอะไร” เขาก้มหน้าหลุบตามองนาง มือใหญ่ยังคงวางอยู่บนเอวบาง
“ฝ่าหมอกนั่นเข้ามาที่นี่” นางไม่ได้ถอยหลัง สองมือยังคงวางบนไหล่ของเขาเพราะขาขวายังอ่อนแรงอยู่เล็กน้อย
เขาไม่ได้ตอบ แต่ย้อนถามว่า “ห้องใต้ดินของเจ้าอยู่ที่ใด”
ก่อนหน้านี้ตอนเขามาไม่เห็นสถานที่ใดที่ดูเหมือนทางเข้าห้องใต้ดินเลย
นางจ้องเขาและหันหลังเดินนำไปยังกระท่อมหลังเล็ก เขาตามอยู่ข้างหลัง นางเดินเข้าประตูและตรงดิ่งไปที่ชั้นหนังสือ ก่อนจะดึงหนังสือหนาหนักเล่มหนึ่งออกมา
ชั้นหนังสือค่อยๆ เลื่อนออกไปด้านข้าง เผยให้เห็นเส้นทางข้างหลัง เส้นทางนั้นทอดยาวลงไปข้างล่าง นางจุดตะเกียงน้ำมันและถือตะเกียงเดินนำลงไป
ชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังตามลงมา นางวางตะเกียงลง
พอชายหนุ่มเห็นห้องใต้ดิน ใบหน้าก็ฉายความประหลาดใจอย่างปิดไม่มิด
ห้องนี้มีขนาดใหญ่กว่ากระท่อมเสียอีก ภายในเย็นมาก รักษาอุณหภูมิให้ต่ำไว้ ผนังบางส่วนมีน้ำแข็งเกาะอยู่ด้วยซ้ำ
ชั้นวางของที่ทำจากไม้หลายชั้นวางชิดผนัง ข้างบนเต็มไปด้วยกระสอบป่านที่บรรจุอาหารไว้ ยังมีไหกระเบื้องอีกนับไม่ถ้วน ชั้นหนึ่งวางชีสไว้จำนวนมาก บนขื่อไม้อีกด้านแขวนแฮมกับเนื้อตากแห้งไว้มากมาย ลึกเข้าไปยังมีถังไม้หลายใบตั้งอยู่
ไม่ต้องให้นางบอกเขาก็รู้ว่านั่นคืออะไร เขาได้กลิ่นหอมของสุรา
เขาเดินเข้าไปโดยไม่รู้ตัว รู้ว่าพวกนั้นทั้งหมดคือสุรา ไม่ได้มีแค่เบียร์เท่านั้น แต่ยังมีไวน์ด้วย
“เจ้าบอกว่าเจ้าไม่ใช่แม่มด” เขาได้ยินตัวเองพูด
“ข้าไม่ใช่”
เขาหันกลับไป เห็นหญิงสาวผู้นั้นถือตะเกียงน้ำมันพลางเบิกตาสีเขียวมรกตใสกระจ่าง พ่นไอสีขาวขมุกขมัวออกมาขณะพูด
“ข้าเพียงแต่มีท่านอาที่ร่ำรวยอาศัยอยู่ที่เวนิส นางมักจะให้คนส่งของมาให้ข้าเพื่อให้มั่นใจว่าข้าไม่ได้อดตายอยู่ที่นี่”
เขารู้ว่าเวนิสอยู่ที่ใด เขาเคยได้ยินชื่อเมืองทางตอนใต้อันห่างไกลทว่าเจริญรุ่งเรืองแห่งนั้น
“ทำไมเจ้าถึงไม่อยู่ที่นั่น”
“วุ่นวายเกินไป” นางมองเขาและตอบ “ข้าชอบความสงบมากกว่า”
นางตอบเร็วมาก เร็วเกินไป
เขารู้ว่าคำตอบนี้มีปัญหา แต่ไม่ได้ซักไซ้ต่อ เพียงแต่มองนางและเอ่ยว่า “ความรู้สึกด้านทิศทางของข้าดีมาก”
ชั่วขณะหนึ่งที่นางคิดตามไม่ทันและมองเขาอย่างอึ้งงัน
“ข้าไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ข้าไม่ต้องใช้เครื่องมือบอกทิศทางตั้งแต่เด็กแล้ว” เขาบอกนางและอธิบายว่า “ต่อให้ปิดตาข้าและนำไปทิ้งในป่า ข้าก็สามารถเดินออกไปเองได้อย่างง่ายดาย”
เคลจ้องดวงตาสีดำสนิทของเขา วินาทีนี้นางพลันตระหนัก
เขารู้ว่าเด็กผู้ชายเมื่อปีก่อนไม่ได้หลงทาง แต่ถูกนำไปทิ้งที่นั่น เพราะเขาก็เคยถูกนำไปทิ้งเหมือนกัน ถูกปิดตาและนำไปทิ้งในป่า
เป็นไปไม่ได้ เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ เขาเป็นท่านลอร์ด แถมยังเป็นบารอน นางเคยถามข้ารับใช้หญิงเหล่านั้นจึงรู้ว่าเขามีฐานันดรศักดิ์ นั่นหมายความว่าเขาเป็นบุตรชายของบารอน บารอนคนหนึ่งไม่มีทางทิ้งลูกชายของตัวเอง…
แต่ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าไม่เหมือนกำลังโกหก
นางอยากโน้มน้าวตัวเองว่าเขาไม่ได้พูดถึงตัวเองแต่พูดถึงเด็กผู้ชายคนนั้น ทว่าตอนนั้นเด็กชายไม่ได้ถูกปิดตาแต่เขาถูกปิด
เนื่องจากความรู้สึกด้านทิศทางของเขาดีมาก เขาสามารถหาหนทางกลับบ้านได้ คนพวกนั้นจึงปิดตาเขา
ตอนนั้นครอบครัวเขาคงตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทิ้งเขา
เรื่องนี้อธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงรับเด็กที่ไม่มีบ้านเข้ามาในปราสาท
เคลมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างตกตะลึง อยากถามให้ชัดเจนว่าเขาเป็นชนชั้นสูงทำไมจึงถูกทอดทิ้ง แต่ยังไม่ทันเอ่ยปากเขาก็หันหน้ากลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ยื่นมือไปคว้าอาหารพวกนั้นแบกใส่บ่าแล้วเดินออกไป
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงบอกนาง เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มานานมากแล้ว แต่จู่ๆ คำพูดนั้นก็ถูกโพล่งออกมา
เขาไม่ควรพูด เขามีปัญหามากพออยู่แล้ว ไม่ต้องการข่าวลือที่กวนใจมากกว่านี้ เขาอยากเตือนนางว่าอย่าพูดออกไปส่งเดช แต่ทำแบบนั้นจะยิ่งน่าสงสัย เหมือนเป็นการตอกย้ำว่านี่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับเขา
ชายหนุ่มหงุดหงิดกับความประมาทของตัวเองเล็กน้อย ได้แต่ขนเสบียงอาหารกลับไปมาเงียบๆ
นางก็เงียบเช่นเดียวกับเขา
ระหว่างที่ขนของ เขาเห็นนางก็เดินกลับไปมาเช่นกัน นางขุดต้นไม้และเด็ดสมุนไพรกำใหญ่จากแปลงสมุนไพรหลังกระท่อมมาด้วย จากนั้นค่อยมาช่วยเขาขนเสบียงอาหารกับไหดินเผาที่บรรจุน้ำมันหอมระเหยขึ้นรถ ขนอยู่หลายรอบ ในที่สุดรถลากก็ถูกบรรทุกของจนเต็ม นางหาเชือกป่านมาให้เขามัดเสบียงอาหารไม่ให้เคลื่อนที่ เขาไม่รู้ว่านางไปเอาไก่มาจากที่ไหนสองตัว ทั้งยังจูงแพะมาอีกหนึ่งตัว
เขาจ้องสัตว์เลี้ยงเหล่านั้น เพิ่งจะตระหนักว่าซุปเนื้อของนางมาจากไหน นางต้องเลี้ยงสัตว์ไว้อยู่แล้ว ไก่สามารถออกไข่ได้ แพะสามารถผลิตน้ำนม เดิมทีปราสาทของเขาก็มี แต่เดือนที่แล้วเขาถูกบีบให้ฆ่าสัตว์ที่เหลืออยู่ไม่กี่ตัวเพื่อนำไปทำซุปป้อนคนที่ล้มป่วยให้พวกเขาอดทนต่อไปได้ น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่กินแล้วอาเจียนออกมา
นางปิดประตูทางเข้าห้องใต้ดิน เก็บเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวอีกเล็กน้อย
เขามัดของอยู่ข้างนอกและขึ้นไปนั่งรอนางบนรถลาก นางเดินออกมาและปิดประตูหน้าต่างอย่างระวังก่อนจะหมุนตัวเดินมาที่รถลาก
นางดูประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเขานั่งอยู่ด้านหน้ารถลาก ราวกับคิดว่าเขาจะโง่งมและยืนกรานนั่งอยู่บนหลังม้าตามเดิม
จะว่าไปบางทีเขาควรยืนกรานที่จะขี่ม้ากลับ นั่นเป็นสิ่งที่ชนชั้นสูงไร้สมองทำ แต่การทำแบบนั้นปัญญาอ่อนเกินไป คราวก่อนของที่เขานำมายังไม่นับว่ามาก แต่ครั้งนี้เขาบรรทุกของเต็มรถ เส้นทางกลับยังอีกยาวไกล หากจะให้ม้าตัวนี้บรรทุกของมากมายขนาดนี้ แถมยังบรรทุกคนอีกสองคนย่อมเป็นการทรมานมันเกินไป วันข้างหน้าเขายังต้องพึ่งมันช่วยไถนา การนั่งบนรถลากทำให้ภาระที่มันต้องแบกรับน้อยลงหน่อย
พอนางเดินช้าๆ มาที่รถ เขาก็ก้มตัวยื่นมือออกไปดึงนางขึ้นมา
“เดี๋ยวก่อน ที่ตรงนี้เล็กเกินไป ข้าไม่สามารถ…”
“อย่าโง่น่า เจ้านั่งได้…ให้ตายเถอะ!”
เขาฝืนยัดตัวนางลงในที่นั่งด้านข้างและขยับซ้ายขวาไปมา จากนั้นก็พบว่าที่นางพูดเป็นความจริง สะโพกของนางอวบอิ่มกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก ตอนแรกเขาคิดว่านั่นเป็นเพียงผ้าจากกระโปรงนางเท่านั้น จึงยื่นมือออกไปพยายามยัด แต่พอมือใหญ่ตะปบลงไปกลับพบว่านั่นไม่ใช่ผ้า
แม้เขาจะผอมลงมาก แต่เดิมทีโครงกระดูกเขาใหญ่อยู่แล้ว จึงไม่มีพื้นที่เหลือให้นางมากนัก ประกอบกับดาบที่เอวกินพื้นที่ไปไม่น้อย ก้นของนางจึงหย่อนลงมาได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
สะโพกของผู้หญิงคนนี้อวบอิ่มและเด้งมาก เขาจับแล้วได้เนื้อเต็มมือ
“ทำไมก้นเจ้าจึงใหญ่ถึงเพียงนี้” จู่ๆ เขาก็โพล่งคำพูดนี้ออกมาดื้อๆ
นางสูดหายใจเฮือก ตีมือเขาออกด้วยใบหน้าแดงซ่าน
“นี่เป็นขนาดปกติต่างหาก ข้าไม่ได้อดมื้อกินมื้อสักหน่อย!” นางสวนกลับอย่างเขินอายแกมโมโห “ข้าจะนั่งเบียดแบบนี้ไปตลอดทางไม่ได้! ถอดดาบของท่านออกซะ!”
“นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้” เขาได้สติและตอบนาง “พวกเราขนเสบียงอาหารมาทั้งคันรถ แม้ข้าจะคลุมด้วยผ้าป่านแล้ว แต่ก็อาจพบเจอโจรระหว่างทาง หากเกิดเรื่องขึ้นจริง เจ้าคงไม่อยากให้ดาบข้าอยู่ในจุดที่เอื้อมหยิบไม่ถึงตอนพวกเราถูกปล้นแน่นอน”
ได้ยินเช่นนั้นนางก็ถลึงตาใส่เขาและเอ่ยว่า “เช่นนั้นอย่างน้อยท่านก็ขยับมันไปข้างหน้าหน่อย”
ข้อเสนอนี้พอรับได้ เขาดึงดาบไปข้างหน้า นางจับกระโปรงและนั่งเบียดกับเขาบนแผ่นไม้เล็กแคบ สะโพกอวบอิ่มของนางเติมพื้นที่ว่างที่เหลือจนเต็ม เบียดเสียดกับเขาอย่างแนบชิด
นั่งแบบนี้ไม่สบายเลย แต่ทั้งสองไม่มีทางเลือกอื่น
เขากระตุกเชือกบังเหียนเบาๆ บังคับม้าให้เดินไปข้างหน้า ลากรถเข้าไปในหมอกขาวหนาทึบ
นางไม่พูดอะไรอีก นั่งเงียบมาตลอดทาง เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน พวกเขาฝ่าสายหมอกหนาออกไปท่ามกลางความเงียบ
เมื่อพ้นจากป่าและผ่านหมู่บ้านที่สองพี่น้องอาศัยอยู่อีกครั้ง นางอดมองไปรอบด้านไม่ได้ แต่กลับไม่เห็นเงาของพวกเขาเลย
เขารู้ว่านางหาอะไรจึงอดพูดไม่ได้ “อย่าหาเลย พวกเขาไม่ออกมาแล้วล่ะ”
นางกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อยเมื่อถูกเขาจับได้ สุดท้ายยังคงพูดว่า “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาจะไม่ออกมา”
“หากเจ้าเห็นข้าก่อน เจ้าจะออกมาหรือไม่” เขาย้อนถาม
นางอึ้งไปและเข้าใจทันที ตอบตามตรงว่า “ไม่”
เขาเป็นอัศวิน เป็นชนชั้นสูง รู้จักแต่ตักตวง ไม่รู้จักการให้ ช่วงปกติอาจไม่เป็นไร แต่ในช่วงเวลาแบบนี้ คนทั่วไปเมื่อเห็นเขาแล้วย่อมต้องหลีกหนีไปให้ไกล
เขาบังคับม้ามุ่งหน้าต่อไปช้าๆ จากหมู่บ้านเกษตรกรรมแห่งนั้นและทุ่งนามา ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็อดพูดขึ้นไม่ได้
“ข้าไม่คิดว่าในสถานที่นั้นจะมีคนอื่นอีกนอกจากสองพี่น้องคู่นั้น”
“ข้ารู้” เขากุมเชือกบังเหียนไว้หลวมๆ “ดังนั้นข้าจึงบอกให้เขาเก็บข้าวของและพาน้องสาวมาหาข้าที่ปราสาท”
คำพูดนี้ทำเอานางตะลึงและเงียบไปครู่ใหญ่ แต่เขารู้สึกได้ว่านางไม่มีทางเงียบไปแต่เพียงเท่านี้
ตามคาด ไม่นานนางก็ถามอีกครั้ง
“ท่านคิดว่าพวกเขาจะมาหรือไม่”
“เมื่อหิวย่อมมา” เขาตอบ
คำตอบสั้นกระชับทว่าตรงกับความเป็นจริงทำให้นางไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่มองไปข้างหน้าเงียบๆ
ม้าข้างหน้าไม่อาจควบทะยานได้อย่างรวดเร็วเหมือนขามา ทำให้เส้นทางกลับดูยาวนานและไกลเหลือเกิน
เขาได้กลิ่นหอมที่โชยมาจากตัวนาง
แรกเริ่มนางนั่งตัวตรง แต่หนทางที่ไม่เห็นจุดสิ้นสุด ทิวทัศน์แห้งแล้งที่ดูคล้ายกันไปหมด ตลอดจนแรงโยกเป็นจังหวะสม่ำเสมอของรถทำให้นางผ่อนคลายแผ่นหลังและเอวลงโดยไม่รู้ตัวในที่สุด
นางเหนื่อยแล้ว
ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้หลับพักผ่อนอย่างเต็มที่มานาน การหลับพักผ่อนแค่คืนเดียวไม่อาจทำให้สภาพร่างกายนางฟื้นฟูขึ้นมาได้ เขาเห็นนางแอบปิดปากหาว ร่างกายแข็งทื่อแอบเอนพิงเขาโดยไม่รู้ตัว ไม่ถึงครึ่งทางนางก็เริ่มสัปหงก มีครั้งหนึ่งเกือบตกจากรถ นางได้สติทันทีและรีบนั่งตัวตรงอีกครั้ง แต่ไม่นานเหตุการณ์เดิมก็เกิดซ้ำอีกรอบ
สถานการณ์อันตรายแบบนี้เกิดขึ้นหลายครั้งจนเขาทนดูต่อไปไม่ได้ จึงตัดสินใจดึงนางมานั่งบนตัก
เคลสะดุ้งโหยง ลนลานจนอยากจะกระโดดขึ้นมา แต่เขาจับเอวนางไว้
“อย่าดื้ออีกเลย จะนอนก็นอนเถอะ” เขาจ้องนาง
ปากนุ่มเนียนของนางขยับเล็กน้อย แต่ไม่ได้เปล่งเสียงออกมาและปิดลงอีกครั้ง คงรู้ว่าการประท้วงตอนนี้โง่เขลาเพียงใด เพราะนางง่วงจนแทบลืมตาไม่ขึ้นแล้ว
แม้จะพยายามประคองสติไว้ แต่ผ่านไปไม่นานนางก็เริ่มผงกหัวหงึกหงักอีกครั้ง สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้และซบไหล่เขาหลับไปไม่รู้เรื่อง
หนทางยาวไกล แต่หญิงสาวในอ้อมอกแผ่กลิ่นหอมจางๆ เบี่ยงเบนความสนใจเขาไปได้บ้าง แม้นางจะมีสะโพกอวบอิ่ม แต่ตัวไม่หนักมาก เห็นได้ชัดว่าเนื้อบนตัวนางล้วนอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ความคิดนี้ทำให้ความปรารถนาตรงหว่างขาฮึกเหิมขึ้นมาทันใด เขาสบถในใจและรีบเบนความคิดไปเรื่องอื่น
หากโชคดี เสบียงอาหารของนางจะทำให้พวกเขาอดทนได้จนกว่าข้าวโอ๊ตจะถึงเวลาเก็บเกี่ยว เขาหวังเพียงว่าเซบาสเตียนจะนำเมล็ดพันธุ์กลับมาทันเวลา เขาจะได้หว่านเมล็ดถั่วเหล่านั้นระหว่างทุ่งนา ถ้าทุกอย่างราบรื่น ไม่แน่สถานการณ์อาจจะดีขึ้น
แม้การขาดแรงงานทำนาจะเป็นปัญหา แต่อย่างน้อยตอนนี้เขายังไม่ต้องคิดถึงเรื่องการพักนา เขาอยากให้ตัวเองจดจำความรู้เกี่ยวกับการทำนาได้มากกว่านี้เหลือเกิน แต่ความทรงจำเหล่านั้นอยู่ห่างไกลเกินไป
เขาต้องการกำลังคนออกมาช่วยเขาทำนามากกว่านี้ แต่เขาไม่อาจบังคับคนเหล่านั้นได้ หากจะบอกว่าเขาได้เรียนรู้อะไรจากกองทัพบ้าง นั่นคือช่วงเวลาที่กินไม่อิ่ม แต่ยังไม่หิวตาย ผู้คนจะอดทนต่อไป แต่หากกินไม่อิ่มแล้วยังถูกกดดัน การกบฏย่อมเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างต่อไป
เรื่องราวมากมายทำให้เขาเริ่มรู้สึกปวดหัว
เขากำเชือกบังเหียนแน่น สูดหายใจเฮือกหนึ่ง แต่กลับได้กลิ่นหอมหวานจากตัวนาง กลิ่นกายนางเจือกลิ่นจากป่าไม้ บรรเทาเส้นประสาทอันตึงเครียดของเขาและทำให้เขาก้มหน้าลงมอง
ลมหนาวพัดปะทะใบหน้านาง พาให้ดวงหน้าเล็กขาวซีดแดงเรื่อขึ้น
มองใบหน้ายามหลับสนิทของนางแล้ว จู่ๆ เขาก็บังเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดในใจ
ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าทุกคนในปราสาทรวมทั้งตัวเขาด้วยไม่เคยเป็นมิตรกับนางเลย
ความจริงนางสามารถเก็บซ่อนอาหารในห้องใต้ดินของตัวเองต่อไป ในยุคสมัยนี้ผู้คนต่างปรารถนาจะเก็บเสบียงอาหารของตัวเองไว้ แต่นางกลับนำมันออกมาเลี้ยงดูกลุ่มคนที่อาจจะทำร้ายนางเหล่านั้น
หากนี่ไม่เรียกว่าจิตใจดีงาม เขาก็ไม่รู้ว่าอะไรถึงจะนับว่าใช่
เขาใช้ผ้าคลุมกันลมห่อร่างแบบบางของนางอย่างระวัง ในใจรู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้เป็นสิ่งดีๆ อย่างแรกที่เกิดขึ้นในชีวิตเขาในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา
เขาได้แต่หวังว่าโชคดีของเขาจะคงอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
เคลตื่นขึ้นมาท่ามกลางแสงไฟไหววูบจากคบเพลิง
นางกะพริบตามองผิวดำคล้ำตรงหน้าและรู้สึกถึงชีพจรที่เต้นอยู่ข้างใต้ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้สติ เขาพานางกลับมาถึงปราสาทแล้ว ผู้ชายคนนี้กำลังอุ้มนางขึ้นไปบนหอหลัก
เขาใช้เสื้อคลุมกันลมห่อตัวนางไว้ ให้ใบหน้านางซบอยู่บนไหล่ของเขา
ตอนเขาเดินผ่านช่องธนูบนหอ นางเห็นว่าท้องฟ้าข้างนอกมืดแล้ว
“วางข้าลงเถอะ” นางหาวพลางกระตุกเสื้อเขา เอ่ยว่า “ข้าต้องไปตรวจดูอาการของคนป่วยเหล่านั้น”
“พวกเขาสบายดี”
“ท่านไม่ใช่พวกเขา” นางยืนกราน “วางข้าลง”
แม้เสียงพูดของนางจะเบามาก แต่เขาจับแววยืนกรานในน้ำเสียงของนางได้ จากนั้นนางก็เริ่มยุกยิกไปมาเหมือนหนอน ทำให้เขาจำต้องหยุดเดิน
เขาขมวดคิ้วพลางหลุบตามองนาง
“ข้าไปดู…แค่ครู่เดียวเท่านั้นแหละ…” นางพูดพลางหาว ทั้งยังขยี้ตาอย่างงัวเงีย
ฉับพลันนั้นเขารู้ว่านางไม่ละความพยายามเพียงเท่านี้แน่ จึงได้แต่วางนางลง
ตอนที่สองเท้าของนางแตะพื้น นางยืนได้ไม่มั่นคงนัก แต่นางจับผนังประคองตัวเองอย่างรวดเร็วและก้าวลงบันไดอย่างระวัง
เขาเดินตามหลังนางไปด้วยเหตุผลที่เขาเองก็ไม่เข้าใจ
นอกหอหลัก บรรดาข้ารับใช้ยังคงยุ่งง่วนกับการขนย้ายข้าวของที่พวกเขาสองคนนำกลับมา ครั้นเห็นเขากับนางปรากฏตัวอีกครั้งก็พากันหยุดมือ จากนั้นก็มองเขากับนางอย่างตะลึงงัน เหมือนเช่นก่อนหน้านี้ที่พวกเขาเห็นท่านบารอนอุ้มนางนั่งรถกลับมานั่นแหละ
เขาขมวดคิ้วมองทุกคน ทำให้คนเหล่านั้นเลื่อนสายตาออกไปอย่างรวดเร็ว
บางทีอาจเพราะชินแล้ว หรืออาจเพราะเหน็ดเหนื่อยจนไม่อาจสนใจเรื่องอื่นๆ นางจึงไม่ได้สังเกตสีหน้าแปลกประหลาดของข้ารับใช้เหล่านั้น เพียงแต่ปิดปากหาวติดต่อกัน เดินตัดลานด้านในปราสาทช้าๆ มุ่งหน้าไปยังทางขึ้นหอคอยบนซุ้มประตู
ลิซ่ากำลังดูแลคนป่วยในหอคอย เห็นนางกับเขาแล้วก็อึ้งไป
เคลฝืนอดทนกับความง่วงพลางถามอาการคนป่วยกับข้ารับใช้หญิงคนนั้น ลิซ่าแอบชำเลืองมองท่านบารอนที่อยู่ข้างหลังนางพลางตอบตามตรง
แม่ครัวอาเจียนของที่กินเข้าไปออกมา ช่างไม้ชื่อพอลมีเสมหะที่ไอไม่ออก ทหารองครักษ์พวกนั้นยังมีสภาพทุรนทุราย ใบหน้าซีดเผือด แต่อาการของเด็กๆ เริ่มดีขึ้นแล้ว
นางสั่งให้ลิซ่าไปตามชาร์ล็อตมาผลัดเวร
จากนั้นเขาก็เห็นผู้หญิงคนนั้นโน้มน้าวแม่ครัวสูงวัยที่แสนดื้อรั้นให้กินอาหารอีกครั้ง ช่วยพอลเคาะปอดระบายเสมหะ นางเดินไปหาทุกคนและแตะหน้าผากกับหน้าอกของพวกเขา ทาน้ำมันที่แช่สมุนไพรบนตุ่มน้ำกับตุ่มหนองตามตัวให้พวกเขา
นางปลอบโยนพวกเขาเสียงแผ่ว บอกว่าพวกเขาจะไม่เป็นอะไร ให้กำลังใจและให้คำชมเชยอย่างอ่อนโยน ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ หลังการปลอบโยนของนาง ดูเหมือนอาการของทุกคนจะดีขึ้น เด็กคนหนึ่งที่เดิมทียังเป็นไข้ร้องไห้โยเยหลังได้รับสัมผัสจากนางก็หลับไปอย่างสงบ
ชั่ววูบหนึ่งที่เขารู้สึกว่ามือเล็กของนางสามารถปัดเป่าความเจ็บปวดของพวกเขาได้จริงๆ เสียงหายใจหนักหน่วง เสียงสะอึกอย่างไม่สบายตัว เสียงหอบหายใจอย่างทรมานค่อยๆ บรรเทาลงและหายไปหลังได้รับสัมผัสจากนาง
เมื่อไม่มีเสียงเหล่านั้นรบกวน ดูเหมือนทุกคนจะสงบลง
ไม่นานนักชาร์ล็อตก็เดินเข้ามา พอเห็นเขานางก็สะดุ้งโหยง รีบก้มศีรษะย่อตัวแสดงความเคารพ
“นายท่าน”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้เคลก็หันขวับกลับมาทันที เขาเห็นความตกตะลึงบนใบหน้านาง ถึงรู้ว่านางเพิ่งตระหนักว่าเขาอยู่ที่นี่ก็ตอนนี้เอง
นางเหน็ดเหนื่อยเกินไป ไม่ได้สังเกตว่าเขาตามอยู่ข้างหลัง
ชั่วพริบตานั้นนัยน์ตาของเคลสะท้อนความประหม่าและไม่สบายใจเล็กน้อย แต่นางตั้งสติได้อย่างรวดเร็วและกำชับเรื่องสำคัญกับชาร์ล็อต
หลังจากนั้นนางก็วุ่นวายอยู่ข้างโต๊ะพักหนึ่ง สุดท้ายจึงสูดหายใจลึกเดินเข้ามาหาเขา เงยหน้ามองเขาและเอ่ยว่า “นายท่าน ข้าคิดว่าข้านอนที่นี่น่าจะดีกว่า”
“แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้น” เขาตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ปากเล็กนุ่มเนียนของนางขยับเล็กน้อย แต่ไม่ได้เปล่งคำพูดใดๆ ออกมา ก่อนจะหุบลงอีกครั้ง ดวงตามีแววขุ่นเคืองและยอมรับชะตากรรม
เขาเบี่ยงตัว ส่งสัญญาณให้นางเดินนำไปก่อน
เคลเม้มปาก ไม่ได้โต้เถียงกับเขาต่ออย่างชาญฉลาด แต่เดินผ่านเขาไปล้างมือ
เขารอจนนางล้างมือเสร็จแล้วก็เดินตามนางอยู่ข้างหลัง ลงบันได ตัดผ่านลาน เข้าไปในทางเข้าหอคอยหลักและขึ้นบันไดไปทีละก้าว
ทั้งที่หลับบนรถไปแล้ว แต่ขานางยังคงกะโผลกกะเผลกนิดๆ
ความจริงหลังจากดูแลคนป่วยเหล่านั้นนางเดินลำบากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด การขึ้นบันไดสำหรับนางแล้วเป็นเรื่องยากลำบากกว่าปกติ
ข้อเท้าอ่อนแอของนางกวนใจเขาเป็นพิเศษ ทำให้เขารู้สึกคันไม้คันมือ
คบเพลิงในหอลุกไหม้เงียบๆ เสียงฝีเท้าของทั้งสองดังสะท้อนไปมา
“บอนน์” จู่ๆ คำนี้ก็ถูกโพล่งออกมา เขาได้ยินตัวเองพูด “บอนน์เป็นชื่อของข้า”
นางเงียบและเดินต่อไปช้าๆ ไม่รู้เพราะอะไรความเงียบนั้นจึงทำให้ไหล่เขาเกร็งแน่นโดยไม่รู้สาเหตุ
หญิงสาวตรงหน้ายันผนังและก้าวขึ้นบันไดอีกหลายก้าว หลังจากนั้นนางก็ตอบโดยไม่หันกลับมา
“ท่านเป็นบารอน ข้าควรเรียกท่านว่านายท่านหรือท่านบารอน”
เขาไม่เคยอยากได้ตำแหน่งบัดซบนั่นแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มเม้มปากเดินตามนางขึ้นไป พอนางเดินถึงขั้นสุดท้ายฝีเท้าก็ซวนเซเล็กน้อย เขาปราดเข้าไปคว้าตัวนางไว้และตัดสินใจอุ้มนางขึ้นมาเสียเลย จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า
นางหอบหายใจเบาๆ รีบคว้าไหล่ของเขาพยุงตัวเองอย่างลนลานตอนเขาเดินตัดห้องโถงใหญ่
“นายท่าน…”
เดิมทีนางอยากบอกให้เขาวางนางลง แต่เห็นเขามีสีหน้าเคร่งเครียด ตามองตรงไปข้างหน้าโดยไม่เหลือบมองนางแม้แต่น้อย ริมฝีปากบางเม้มแน่น คิ้วดกขมวดมุ่น ท่าทางเหมือนกำลังไม่พอใจ นางจึงหุบปากอย่างรู้กาลเทศะ ได้แต่ปล่อยให้เขาอุ้มนางก้าวยาวๆ เดินตัดห้องโถงกว้างใหญ่ มุ่งหน้าไปยังหอคอยอีกหลังที่มีบันไดวน เขาก้าวขึ้นบันไดอย่างรวดเร็วไม่กี่ทีก็ถึงห้อง จากนั้นจึงวางนางลง
นางมองเขาอย่างตกใจไม่หาย ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นอะไรกันแน่ เดิมทีนางอยากถอยไปข้างหลัง แต่มือเขายังโอบเอวนางอยู่
“ข้าชื่อบอนน์” เขาขมวดคิ้วและก้มหน้าจ้องนาง “อีกหน่อยเจ้าเรียกข้าว่าบอนน์ก็พอ ไม่ต้องเรียกนายท่านหรือท่านบารอน”
ทำแบบนี้ผิดหลักเกณฑ์ นางไม่ควรเรียกชื่อเขาตรงๆ แบบนี้ไม่ดีอย่างยิ่ง การทำแบบนั้นทำให้เขากับนางใกล้ชิดกันเกินไป เขาไม่ใช่คนระดับเดียวกับนาง อีกอย่างนางไม่ชอบชนชั้นสูง
แต่นางรู้สึกได้ถึงความหงุดหงิดและความประหม่าอย่างไร้สาเหตุของเขา นัยน์ตาลึกล้ำคู่นั้นมีความขุ่นเคืองที่นางอธิบายไม่ถูก ทั้งยังเจือความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวด ความรู้สึกเหล่านั้นบีบคั้นหัวใจนาง
เคลมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ตรงหน้า รู้สึกลำคอตีบตันขึ้นมาดื้อๆ
“บอนน์แปลว่าหมี”
จวบจนได้ยินเสียงแหบพร่าของตัวเองสะท้อนไปมาบนผนังหิน นางถึงรู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป
เขามองนางอย่างตะลึงงัน หางตาที่เกร็งแน่นผ่อนคลายลง จากนั้นมุมปากก็โค้งขึ้น
“ใช่ บอนน์แปลว่าหมี”
นั่นเป็นรอยยิ้ม รอยยิ้มที่ทำให้เส้นสายแข็งกร้าวบนใบหน้าเขาอ่อนโยนลง ทำให้นางเกือบยื่นมือไปลูบไล้ใบหน้าเขา
เคลสะดุ้งกับความคิดชั่วแล่นนั้น รีบกำหมัดแน่นหยุดยั้งตัวเอง แต่กลับไม่อาจห้ามไม่ให้ตัวเองหน้าแดงใจสั่น
ชั่ววินาทีนั้นนัยน์ตาสีดำของเขาลึกเข้มกว่าเดิม ในชั่วจังหวะสั้นๆ นางยังคิดว่าเขาจะก้มหน้าจุมพิตนาง ริมฝีปากของเขาอยู่ใกล้เหลือเกิน ใกล้จนนางแทบสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเขา
แต่วินาทีต่อมาเขากลับหดมือที่แตะอยู่บนเอวนางกลับไปและถอยหลังกะทันหัน ปลดกุญแจพวงใหญ่ที่เอวและส่งให้นาง
“นี่เป็นกุญแจทั้งหมดในปราสาท เจ้าเก็บไว้ ข้าสั่งให้คนต้มน้ำแล้ว อีกประเดี๋ยวพวกนางจะยกน้ำขึ้นมา ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการ เจ้าอาบน้ำเสร็จก็นอนก่อนเถอะ” พูดจบก็หันหลังก้าวลงบันได
เคลมองแผ่นหลังของเขา ดวงหน้าเล็กแดงซ่านและร้อนผ่าวในพริบตา รู้สึกสองขาอ่อนแรง นางกุมหัวใจที่เต้นรัวเร็ว นานทีเดียวกว่าจะได้สติ
พวงกุญแจที่อยู่ในมือหนักอึ้ง แม้เขาจะบอกทุกคนว่านางเป็นหัวหน้าผู้ดูแล แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะมอบกุญแจทั้งหมดในปราสาทให้นางเช่นนี้
นางไม่คิดว่าเขาจะเชื่อใจนางจริงๆ
ก้มหน้ามองกุญแจดอกใหญ่ที่ร้อยเข้าด้วยกันด้วยห่วงเหล็กแล้ว หัวใจนางบังเกิดความรู้สึกที่ยากจะแยกแยะ ได้แต่กำห่วงเหล็กแน่นและหมุนตัวผลักประตูเดินเข้าไปในห้อง
คืนนั้นนางอาบน้ำเสร็จแล้วเอนกายลงบนเตียง ระหว่างครึ่งหลับครึ่งตื่นก็รู้สึกว่าเขาเข้ามาในห้อง
เคลลืมตาอย่างสะลึมสะลือ เห็นผู้ชายคนนั้นเดินไปมาอยู่ในห้อง นางหลับตาลงอีกครั้งอย่างเหนื่อยล้า ฟังเสียงเขาเคลื่อนไหวในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น
นางได้ยินเสียงน้ำเบาๆ รู้ว่าเขากำลังอาบน้ำโดยใช้น้ำที่นางอาบไปแล้ว
ทันใดนั้นความรู้สึกขวยเขินก็ไต่ไปทั่วร่าง แต่นางเหนื่อยจนไม่อาจลุกขึ้นมาห้ามปรามเขา ไม่ง่ายเลยกว่าจะลืมตาได้อีกครั้ง เห็นเขาหลับตาเอนกายอยู่ในถังอาบน้ำและพรูลมหายใจยืดยาวออกมา
ความเหน็ดเหนื่อยยากจะบรรยายแผ่อยู่เต็มใบหน้าเขา
ความอับอายก่อนหน้านี้ค่อยๆ สลายหายไปเมื่อเห็นใบหน้าเหนื่อยล้านั้น
แทบจะในเวลาเดียวกัน นางคิดได้ว่าความจริงแล้วผู้ชายคนนี้ต้องการการพักผ่อนยิ่งกว่านางเสียอีก เพียงแต่เขาฝืนอดทนมาตลอด
เขาเป็นเจ้าของปราสาท เป็นลอร์ดของที่นี่ เขาจะให้คนอื่นเห็นความเหนื่อยล้าของตัวเองไม่ได้
ขณะที่นางคิดว่าเขากำลังผ่อนคลายอยู่ในถังอาบน้ำ เขากลับยกมือขึ้นถูหน้าตัวเอง ชำระล้างร่างกายและลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยิบผ้ามาเช็ดตัวอย่างเร่งรีบ
เขาผอมเกินไปแล้วจริงๆ นางคิดอย่างงัวเงีย ผู้ชายคนนี้ต้องกินให้มากหน่อย
เขาเดินเข้ามาในจังหวะนี้ เป่าตะเกียงก่อนจะขึ้นมาบนเตียง
นางเพิ่งตระหนักภายหลังว่าเขาไม่ได้สวมเสื้อผ้า แต่เขาไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น แค่นอนอยู่บนเตียงและหลับไปอย่างรวดเร็ว
เขาเหนื่อยแล้ว นางก็เช่นกัน
ดังนั้นนางจึงเลิกคิดมาก ทำใจให้สบายและบอกตัวเองให้นอนซะ
สามารถอ่านบทอื่นๆได้ที่ >> บทนำและบทที่ 1 | บทที่ 2 และบทที่ 3 | บทที่ 4 และบทที่ 5
ติดตามต่อได้ใน คู่มนตราสาปรัก หรือ สั่งซื้อที่ JamShop เร็วๆนี้
Comments
comments