บทที่ 4
หมู่นี้เยี่ยเจามีเรื่องกลัดกลุ้มใจอยู่บ้าง
นางต่อยตีได้ เดินทัพได้ ตั้งค่ายกลได้ วางอำนาจบาตรใหญ่ได้ มีเพียงเรื่องรับมือน้ำตาสตรีประการเดียวที่ไม่ค่อยจะได้ความนัก แล้วน้ำตาของวรชายาอันไท่เฟยก็ราวกับไม่มีวันหมดสิ้น อยากไหลก็ไหล ร่ำไห้จนนางได้แต่พิศวงงงงวย
ดังเช่นเมื่อวานซืน ตอนนางไปคารวะก่อนไปประชุมขุนนางตามปกติ วรชายาอันไท่เฟยเอ่ยขึ้นอย่างขุ่นเคืองใจว่า@@@
’เป็นโชคของข้านักที่เจ้ามาคารวะและตั้งอกตั้งใจปรนนิบัติทุกวัน ทำให้ข้าผ่ายผอมลงไปเป็นกอง’
สตรีล้วนรักสวยรักงาม เยี่ยเจาทึกทักเอาเองแล้วรีบกล่าวเยินยอ
’ดีเหลือเกิน ท่านผอมลงยิ่งงามขึ้น ดูเหมือนจะอ่อนวัยขึ้นสิบปีเลยทีเดียวเจ้าค่ะ’
วรชายาอันไท่เฟยอ้าปากค้าง มองนางอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะปล่อยโฮเสียงหนึ่งพร้อมน้ำตาไหลพรากๆ ลงมา
เยี่ยเจางุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก นึกว่านางป่วยก็รีบเร่งไปเชิญแพทย์หลวงมา ไต่ถามเขาว่าอาการคุ้มดีคุ้มร้ายมาจากสาเหตุใด
แพทย์หลวงชราลูบเคราสีขาวครุ่นคิดอยู่นานสองนาน กล่าวว่าคนเราแก่ตัวลงธาตุไฟขาดสมดุล อารมณ์ปรวนแปรได้ง่าย จากนั้นจึงสั่งยาหลายเทียบให้ กำชับกำชาว่าต้องกินตรงตามเวลา นางก็ต้มยากับมือแล้วยกไปให้และนำถ้อยคำของแพทย์หลวงบอกต่อแม่สามีอีกทอด
ไม่คาดว่าวรชายาอันไท่เฟยไม่เพียงไม่ยอมกินยา ทั้งยังร่ำไห้หนักขึ้น นางต้องซื้อถังหูลู่* กลับมาปลอบใจอีก
ซย่าอวี้จิ่นซึ่งขอบตาดำคล้ำรุดมาหานางอย่างลุกลนแล้วเอ่ยขึ้น
”ยกเลิกสัญญาเถอะ ถือเป็นความผิดข้าเอง เจ้าไม่ต้องปรนนิบัติท่านแม่แล้ว”
”นอกจากการเซ่นไหว้ฟ้าดิน กษัตริย์ บรรพบุรุษ และบูรพาจารย์แล้ว การกตัญญูต่อผู้อาวุโสเป็นหน้าที่ที่พึงปฏิบัติ สิ่งที่ท่านแม่กล่าวไว้ก็ชอบด้วยเหตุผล มีสะใภ้บ้านใดกันที่ไม่กตัญญู ต่อให้นางไม่เห็นว่าข้าเป็นสะใภ้ ผู้เยาว์ไม่กตัญญูต่อผู้อาวุโสก็เป็นความผิดเช่นกัน ยิ่งกว่านั้นข้านำทัพมาหลายปี ให้ความสำคัญกับคำมั่นสัญญาและคุณธรรมน้ำมิตรที่สุด ในเมื่อข้าตกปากรับคำแล้วก็จะต้องทำให้ได้ตลอดรอดฝั่ง จะล้มเลิกกลางคันได้อย่างไร หาไม่แล้วข้าจะหลงเหลือศักดิ์ศรีและความน่ายำเกรงในกองทัพอยู่รึ”
เยี่ยเจาปฏิเสธอย่างขึงขังก่อนจะสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป ไม่แลมองซย่าอวี้จิ่นที่ยืนนิ่งเป็นท่อนไม้อยู่ที่เดิมอีกแม้แต่แวบเดียว
ปัญหาจุกจิกหยุมหยิมในบ้านน่ารำคาญใจเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องขี้ผงเท่านั้น สิ่งที่ทำให้นางกลัดกลุ้มยิ่งกว่าคือทหารใหม่ของเมืองหลวงสามหมื่นนายที่ถูกเกณฑ์เข้ามาเมื่อไม่นานมานี้เพื่อแทนที่ทหารชราหรือทหารบาดเจ็บพิการ
ราษฎรในแถบเมืองหลวงร่ำรวยเงินทอง ใบไม้ร่วงจากต้นก็ต้องมีสักสองใบที่หล่นกระทบผู้ที่เป็นวงศ์วานว่านเครือกับขุนนาง พวกเขาเห็นว่าชาวหมานจินถูกพิชิตราบคาบ คงไม่เข้ามารุกรานสร้างความระส่ำระสายในเร็ววันนี้เลยเข้าร่วมกองทัพโดยมีจุดประสงค์แอบแฝง
มีพวกอันธพาลเกียจคร้านสันหลังยาวไม่น้อยที่พึ่งพาเส้นสายเข้ามานั่งกินนอนกิน บ่ายเบี่ยงเกี่ยงงาน เพียงหมายรับเบี้ยหวัดสองสามปีโดยไม่ลงแรงอะไรทั้งสิ้น ยังมีลูกขุนนางเสเพลที่สิ้นหวังกับการสอบรับราชการ เห็นว่าทัพใหญ่ของเมืองหลวงคงไม่เคลื่อนไปถึงแนวหน้าโดยง่าย เช่นนั้นย่อมต้องปลอดภัยวางใจได้ พากันอาศัยสัมพันธ์ส่วนตนแทรกตัวเข้ามา ด้วยอยากรับเงินบำนาญสองสามปีและได้เป็นขุนนางสักตำแหน่ง
* ถังหูลู่ เป็นขนมหวานเคลือบน้ำตาลชนิดหนึ่ง ใช้ผลไม้ เช่นสตรอเบอรี่ พุทราจีน ฯลฯ เสียบไม้ไผ่เป็นไม้เหมือนลูกชิ้นแล้วจุ่มลงในน้ำเชื่อม
ในช่วงเข้ารับการฝึกฝนพวกเขาถือตัวว่ามีคนหนุนหลัง แบ่งพรรคแบ่งพวกในกองทัพ ทั้งดื่มสุรา เที่ยวหอคณิกา เล่นพนันสารพัด เห็นวินัยทหารไร้ความหมาย ถูกครูฝึกตวาดดุเล็กน้อยก็กล้าโต้เถียงคอเป็นเอ็น
เยี่ยเจาได้รับคำร้องทุกข์จากผู้ใต้บังคับบัญชากลับยับยั้งเรื่องเหล่านี้เอาไว้ทั้งหมด ไม่เพียงไม่ลงโทษ กระทั่งตะคอกสักคำก็หามีไม่ พวกเขาจึงยิ่งกำเริบเสิบสาน ไม่เห็นนางอยู่ในสายตามากขึ้นทุกขณะ ทั้งยังแอบเยาะเย้ยลับหลัง คาดเดาเอาว่านางเป็นเสือกระดาษตัวหนึ่ง ข่าวที่เล่าลือกันนั้นเกินความจริงไปมาก การชนะศึกหมานจินครั้งใหญ่นางคงอาศัยบารมีที่สั่งสมมาของสกุลเยี่ย มีลูกน้องสนับสนุน สร้างความดีความชอบได้เพราะโชคช่วย แล้วยังฝันเฟื่องจะยืนอยู่เหนือศีรษะบุรุษอีก
สตรีก็คือสตรีวันยังค่ำ จะมีปัญญาจัดการอะไรได้
เยี่ยเจาได้ยินข่าวลือเหล่านี้เพียงยิ้มรับ ไม่ให้ความสนใจ
เมื่อวานมีทหารใหม่ตั้งกลุ่มเล่นพนันดื่มสุราในยามดึก เอะอะเอ็ดตะโรไม่หลับไม่นอนตลอดคืน ไม่เข้าร่วมการฝึกช่วงเช้า ครูฝึกจึงส่งคนไปตามตัว
พวกเขากำลังคึกคะนองด้วยฤทธิ์สุราและถือว่ามีกำลังมากกว่าจึงทุบตีทหารที่นำความมาบอก
เยี่ยเจาเลิกประชุมขุนนางมาถึงกองทัพนครหลวง ได้ฟังเรื่องนี้ก็สั่งการกับนายทัพทั้งหมด
“ได้เวลาแล้ว ไปทำงานเถอะ”
เหล่านายทัพรับทราบ พาทหารมุ่งหน้าไปที่เรือนพักทหาร จับตัวการก่อเหตุทั้งยี่สิบสามคนมัดมือมัดเท้าอย่างแน่นหนา ลากไปบนแท่นยกกลางลานฝึก คุกเข่าเบื้องหน้าทหารทั้งกองทัพ
หัวโจกของกลุ่มนี้ชื่อหม่าโหย่วเต๋อ เป็นหลานชายของหม่ากุ้ยเหรินซึ่งเป็นพระสนมคนโปรด ตระกูลเขายังมีขุนนางที่มีอำนาจในราชสำนัก ฉะนั้นย่อมผยองตนเต็มเปี่ยม เขาไม่เชื่อสักนิดว่าเยี่ยเจาจะทำอะไรตัวเองได้ ซ้ำยังเอ่ยด้วยสีหน้าทะเล้นยียวน
“ท่านแม่ทัพ ข้าสำนึกผิดแล้ว ข้าเลอะเลือนไปชั่วขณะ ละเว้นข้าด้วย อีกประเดี๋ยวข้าจะไปขอขมาลาโทษต่อพี่น้อง วันหน้าไม่กล้าอีกเด็ดขาดแล้วขอรับ”
เยี่ยเจาสวมชุดเกราะเงิน แผ่นหลังเหยียดตรงยืนบนแท่นยก นางฟังคำอ้อนวอนจบก็มิได้เอ่ยวาจาใด เพียงโบกมือไปทางด้านข้าง
นายกองก้าวออกมาข้างหน้า ในมือถือป้ายเหล็กอาญาศึกบูรพกษัตริย์ ตะโกนอ่านเสียงดังทีละข้อ
“หนึ่ง เสียงกลองไม่เข้า เสียงฆ้องไม่หยุด ธงยกไม่ลุก ธงลดไม่หมอบ นี้คือฝ่าฝืน มีโทษประหาร
สอง ขานชื่อไม่ตอบ ยามเรียกไม่มา เลยวันไม่ถึง ขัดขืนวินัย นี้คือชักช้า มีโทษประหาร
สาม ตกดึกเอ็ดอึง สายไม่เห็นตัว ไม่ตรงเวลา บอกยามไม่ชัด นี้คือหย่อนยาน มีโทษประหาร
สี่ พูดบ่นร้องทุกข์ ยั่วยุนายทัพ ไม่สำรวมตน ดื้อด้านแข็งข้อ นี้คือก่อกวน มีโทษประหาร
ห้า คุยหยอกเสียงดัง เมินเฉยข้อห้าม หลบหนีจากค่าย นี้คือละเลย มีโทษประหาร
หก ปากคมปากกล้า ปั้นน้ำเป็นตัว ยุแยงทหาร สร้างความแตกแยก นี้คือปลุกปั่น มีโทษประหาร@@@”
กฎกองทัพที่สืบทอดจากบรรพชนบัญญัติข้อห้ามไว้สิบเจ็ดประการ โทษประหารห้าสิบสองข้อ ทุกถ้อยทุกคำหนักแน่นมั่นคงดุจเหล็กกล้า ปลุกสติของคุณชายเสเพลยี่สิบสามคนที่คุกเข่าจนอกสั่นขวัญแขวน บางคนที่ใจเสาะก็ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าไปแล้ว
เวลานี้ทุกคนเพิ่งกระจ่างแจ้งว่าท่านแม่ทัพมีเจตนาสังหารพวกเขาแต่แรกแล้ว ก่อนหน้านี้เพียงอดกลั้นไว้ชั่วคราว รอให้กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตค่อยเชือดไก่ให้ลิงดู
ผู้ใดก็ไม่อยากเป็นไก่ที่ถูกเชือดตัวนั้น
“ไว้ชีวิตด้วย!”
“ท่านแม่ทัพไว้ชีวิตด้วย ข้ามีบิดามารดาต้องกตัญญู มีบุตรภรรยาต้องเลี้ยงดู!”
“คราวหลังไม่กล้าแล้ว!”
เสียงโขกศีรษะดังเป็นทอดๆ บางคนตกใจจนปัสสาวะราดกางเกง
เยี่ยเจาไม่แยแส โบกมือพลางเอ่ย
“เพชฌฆาต เตรียมตัว”
เพชฌฆาตยี่สิบสามคนถือดาบเล่มใหญ่ไปยืนอยู่ด้านหลังพวกเขา
หม่าโหย่วเต๋อเห็นท่าไม่ดี รีบตะโกนพูด
“อาหญิงข้าเป็นกุ้ยเหริน กำลังตั้งครรภ์อยู่ ใกล้จะได้ขึ้นเป็นพระชายาแล้ว! พ่อข้าเป็นขุนนางใหญ่ขั้นสาม! พี่ชายข้าดูแลกรมปกครอง! ผู้ใดกล้าสังหารข้า ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่!”
เยี่ยเจาถือแส้เหล็กไหล เอ่ยเสียงเย็น
“สกุลเยี่ยปกครองกองทัพ ยึดถือแต่กฎกองทัพ ไม่เห็นแก่สายสัมพันธ์”
หม่าโหย่วเต๋อแผดเสียง
“น้ำหน้าสตรีเช่นเจ้ารึ หากกล้าสังหารข้า อาหญิงข้าจะต้องไม่ปล่อย@@@ปล่อย@@@”
เขายังกล่าวไม่จบความ แส้เหล็กไหลแฉลบแหวกอากาศมาอย่างปราศจากสุ้มเสียง กลายเป็นดาบฟันเข้ากลางลำคอขาดสะบั้น ศีรษะหล่นลงไปบนพื้นในชั่วอึดใจเดียว นัยน์ตาเขายังเหลือกค้าง แลมองฝุ่นดินบนพื้นอย่างหวาดผวา จวบจนโลหิตแดงฉานพวยพุ่งออกมาจากคอสาดกระเซ็นไปทั่วทุกที่ ลำตัวซึ่งคุกเข่าอยู่ถึงล้มลงกับพื้นดังตึง ราวกับเขาเพิ่งตระหนักว่าเรื่องที่ตัวเองจบชีวิตลงนั้นเป็นจริง
ทหารทั้งหมดเงยหน้าขึ้น สะท้านเยือกจนลมหายใจสะดุดเฮือกหนึ่งขณะมองเยี่ยเจาอย่างเหลือเชื่อ
“ไม่กล้า?” นางเช็ดคราบเลือดบนแส้เหล็กไหลไปพลางเอ่ยไปพลาง “ในครั้งนั้นที่ผู้เฒ่าเยี่ยชุนประจำการอยู่ที่โม่เป่ย เขาเคยตัดหัวน้องชายร่วมสายเลือดที่ชักช้าจนเสียแผนการรบเองกับมือ ถึงได้ฝึกทหารเหล็กสกุลเยี่ยได้สำเร็จ เป็นที่ลือลั่นจนชนเผ่าหมานทุกเผ่าโดยรอบไม่กล้าเข้ามารุกรานง่ายๆ พวกเจ้าอยู่ใต้เบื้องบาทโอรสสวรรค์ ประจำการอยู่ในเมืองหลวง เป็นแนวป้องกันสุดท้ายของจักรพรรดิและราษฎร ยิ่งสมควรปฏิบัติตามกฎกองทัพ เลิกคิดพึ่งพาโชคหรือดวง นั่งกินนอนกินไม่เอาการเอางาน รอกระทั่งข้าศึกบุกมาจวนตัวแล้วถึงลับมีดลับดาบ”
นางยิ่งพูดยิ่งโกรธ เสียงยิ่งดังขึ้น
“เพิกเฉยต่อกฎกองทัพ เห็นวินัยทหารไร้ความหมาย ไอ้พวกลูกสุนัข! เพิ่งคลานออกมาดูโลกภายนอก ขนยังขึ้นไม่เต็มตัวก็ริอ่านแข็งข้ออวดดี มารดามันเถอะ! เห็นข้าเยี่ยเจาเป็นนักบวชถือศีลหรือไร เจ้าพวกไร้ค่าปัญญาตื้น!”
คนในกองทัพล้วนหยาบกระด้างไม่รู้หนังสือ ผรุสวาทคำหยาบไม่เป็นย่อมมิใช่คนกันเอง
เสียงตะคอกของแม่ทัพใหญ่สะท้อนก้องในลานฝึกไม่ขาดสาย เป็นถ้อยคำสั้นๆ ได้ใจความ อบรมสั่งสอนไป ขุดบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นขึ้นมาก่นด่าไปจนทุกคนเข้าใจกระจ่างแจ้งในที่สุด
ไอ้หน้าไหนกันที่พูดว่านางเป็นสตรี!
บางคนตั้งสติได้ หวนคิดถึงเรื่องดีๆ ที่ตัวเองก่อเอาไว้ก็ตกใจจนเข่าอ่อน ตัวโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่ บางคนหน้าตาซีดเผือด ส่งเสียงถกเถียงกันดังระงม กระทั่งเพชฌฆาตยังถูกด่าจนยืนเป็นเบื้อใบ้
เยี่ยเจาด่าจนสาแก่ใจก็หยุดพูดแล้วออกคำสั่ง
“ชิวเหล่าหู่! คุมการลงโทษ!”
“ให้ข้าทำ ข้าขอลงมือเอง ข้ารอมานานแล้ว”
ชิวเหล่าหู่เป็นอดีตโจร หลังจากเข้าร่วมกับกองทัพก็สร้างความดีความชอบในการรบจนได้รับตำแหน่งขุนพลโหยวจีและเป็นผู้สังหารข้าศึกที่เหี้ยมหาญที่สุด ครั้นกลับมาเมืองหลวงสักพักแล้วมิได้ฆ่าคนเลย เขาก็คันไม้คันมือแต่แรก
เขาก้าวเข้าไปทันที ผลักเพชฌฆาตที่ยืนอึ้งอยู่ออกไป เหวี่ยงดาบฟันฉับหนึ่ง ศีรษะคนก็ขาดกระเด็นหัวหนึ่งอย่างเพลิดเพลินสาแก่ใจ
ศีรษะคนยี่สิบสามหัวกลิ้งไปสองสามตลบอยู่บนแท่นยกก่อนจะหยุดนิ่งไม่ไหวติง โลหิตอุ่นร้อนไหลท่วมเจิ่งนองเต็มพื้นดุจสายน้ำ กลิ่นคาวค่อยๆ ลอยคละคลุ้งขึ้นประหนึ่งนรกบนดิน
ชิวเหล่าหู่ยังคงหัวเราะเสียงดัง
“ท่านแม่ทัพ ขออีกหลายๆ คน ข้ายังไม่หนำใจเลย!”
ทั่วทั้งลานฝึกเงียบสนิทไร้สุ้มเสียง ทหารทุกคนยืนเป็นระเบียบในพริบตา ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ
นายกองเดินย่ำผ่านกองเลือดมาข้างหน้า หยิบรายชื่อผู้ถูกลงโทษฐานฝ่าฝืนกฎกองทัพยาวเหยียดออกมาแผ่นหนึ่ง ตะโกนอ่านออกเสียง
“หลัวต้าโหย่ว ชักนำให้จับกลุ่มเล่นพนัน มีโทษประหาร อู๋ลี่ ชักนำให้จับกลุ่มเล่นพนัน มีโทษประหาร@@@”
ทหารที่ชักนำให้จับกลุ่มเล่นพนันสิบสี่นายกับทหารที่กดขี่ข่มเหงชาวบ้านสิบสองนายต้องโทษประหาร ทหารที่มีส่วนร่วมในการกระทำผิดอีกสามร้อยยี่สิบเจ็ดนายต้องโทษโบยหนึ่งร้อยไม้ ทหารที่ไม่กลับค่ายตลอดคืนเจ็ดร้อยหกสิบแปดนายต้องโทษโบยห้าสิบไม้
ในบรรดาคนเหล่านั้นมีห้าร้อยสี่สิบสามคนถูกร้องเรียนว่าดูหมิ่นผู้บังคับบัญชา ต้องโทษโบยเพิ่มอีกยี่สิบไม้ รวมแล้วถูกประหารยี่สิบหกคน ถูกโบยหนึ่งพันเก้าสิบห้าคน และดำเนินการลงโทษทันที
เห็นเพียงในลานฝึกมีศีรษะคนหลายสิบหัวกองสุมกันอยู่ แม่ทัพใหญ่เตะหัวหนึ่งที่ขวางหน้าตนออกไปด้วยสีหน้าเฉยเมย ยืนอยู่กลางกองโลหิตคุมการลงโทษด้วยตัวเอง
คนนับพันถอดกางเกงออกนอนคว่ำหน้าเรียงเป็นแถว เสียงไม้โบยเนื้อดังขึ้นเป็นทอดๆ ประสานเสียงร่ำไห้ดังสะท้านสะเทือนไปถึงท้องนภา
เหตุการณ์น่าอนาถในกองทัพนครหลวงแพร่สะพัดออกไปในเวลาอันรวดเร็ว ครอบครัวใดที่มีลูกหลานเป็นทหารอยู่ในนั้นพากันแตกตื่นขวัญเสีย คนตายก็ตายไปแล้ว ครอบครัวของคนเป็นที่ยังถูกโบยอยู่ หากมิใช่รีบเร่งใช้สายสัมพันธ์ส่วนตนก็ไปขอความเมตตา แต่ผู้ที่ไปกองทัพนครหลวงเพื่อพบแม่ทัพใหญ่ล้วนถูกไล่กลับ ส่วนที่คฤหาสน์เจิ้นกั๋วกง หวงซื่อปิดประตูไม่รับแขก ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น
มีหลายคนที่หัวไว วิ่งโร่ไปยังวังอันอ๋อง ดึงมือวรชายาอันไท่เฟยร้องไห้คร่ำครวญ วรชายาอันไท่เฟยปฏิเสธคำอ้อนวอนของสหายคุ้นเคยหลายคนมิได้ก็ให้คนส่งสารไปถึงสะใภ้ ขอให้นางเมตตาปรานีเพื่อเห็นแก่หน้าสหายตน
เยี่ยเจารับสารมา พยักหน้าพลางเอ่ย
“สหายของท่านแม่ก็ต้องไว้หน้ากันบ้าง เปลี่ยนเอามือดีของเราไปโบยเจ้าพวกที่อยู่ในรายชื่อนี้ ระวังอย่าโบยจนตายล่ะ”
ผู้ช่วยแม่ทัพรายงาน
“ท่านแม่ทัพ โบยเสร็จตั้งนานแล้วขอรับ ตายไปสิบสามคน ความหมายของท่านคือ@@@โบยอีกรอบ?”
นางส่ายหน้าแล้วเอ่ยอย่างใจกว้าง
“ช่างเถอะ ชำระสะสางเรื่องในกองทัพเป็นครั้งแรก ผ่อนปรนสักหน่อยก็ไม่เสียหาย พวกเจ้าไปสั่งสอนเจ้าพวกไร้ค่าบนพื้นให้ดี บอกให้พวกมันรู้ว่าอะไรคือวินัยทหาร ถ้ามีคนฟังไม่เข้าใจก็ลากตัวไปโบยอีกยี่สิบไม้ จะได้หลาบจำ ส่วนคนที่ฟังเข้าใจแล้วก็ปล่อยตัวไปพักรักษาตัวมากๆ เถอะ”
ผู้ช่วยแม่ทัพออกไปปฏิบัติตามคำสั่ง
ในกองทัพนครหลวง ทุกคนต่างหันมาคร่ำเคร่งศึกษาหาความรู้กันจ้าละหวั่นไปหมดในบัดดล ขอเพียงเป็นผู้ที่ยังมีลมหายใจอยู่ล้วนท่องกฎกองทัพกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ขะมักเขม้นเสียยิ่งกว่าสอบจอหงวน เยี่ยเจาอิ่มเอมใจยิ่งนักกับความขยันหมั่นเพียรของทุกคน
ขุนนางหลายคนพอรู้ข่าวก็โกรธจนไปเข้าเฝ้า หมายกราบทูลว่าเยี่ยเจาโหดร้ายทารุณ ลงโทษเกินกว่าเหตุ ทำให้ทหารมากมายเสียขวัญกำลังใจ
โอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันเป็นผู้มีเมตตากรุณาคนหนึ่ง นกที่เลี้ยงไว้ตายไปยังหลั่งน้ำตาให้สองหยด ย่อมไม่กระทำเรื่องโหดเหี้ยมเป็นธรรมดา ทว่าน่าเสียดายที่ตอนนั้นพระองค์กำลังเล่นกับนกกระจอกแสนรู้ที่ได้รับบรรณาการมาใหม่อย่างใจจดใจจ่อ ลืมเลือนขุนนางที่คุกเข่าอยู่ด้านนอก ถ่วงเวลาพวกเขาไปสองชั่วยามเต็มๆ
รอจนถึงเวลาที่เรียกตัวเข้าเฝ้า ศีรษะคนก็หลุดจากบ่าไปแล้ว โบยก็โบยไปแล้ว พระองค์ได้แต่พูดปลอบขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่น้ำตาไหลนองหน้าสองสามคำสั้นๆ ให้พวกเขาดูแลกวดขันลูกหลานให้ดี แล้วออกพระราชโองการตำหนิเยี่ยเจาเล็กๆ น้อยๆ พอเป็นพิธี จากนั้นก็เล่นกับนกต่อไป ส่วนเยี่ยเจาก็วางพระราชโองการทิ้งไว้ด้านข้างอย่างไม่สะดุ้งสะเทือนอะไร
ทุกคนเห็นจักรพรรดิแสดงท่าทีเช่นนี้ก็กระจ่างแจ้งในใจ ยิ่งกว่านั้นตระกูลใหญ่ใดก็ตามที่มีลูกหลานเอาถ่านอยากรับราชการทหาร ล้วนอาศัยการสอบรับราชการเป็นขุนนางฝ่ายบู๊เพื่อเข้าร่วมกองทัพ ไม่ถึงขั้นกระทำเรื่องชั่วช้าพรรค์นั้น หากเป็นลูกหลานที่ได้รับความเอ็นดูโปรดปรานก็หักใจส่งพวกเขาไปลำบากตรากตรำมิได้ ฉะนั้นนอกจากพวกอันธพาลข้างถนนแล้ว คนที่ตายไปส่วนใหญ่เป็นคนไม่เอาไหนหรือไม่เป็นที่โปรดปราน ถึงจะเสียใจเหลือประมาณ แต่เมื่อลอบคิดคำนวณดูแล้ว การล่วงเกินเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์เพื่อคนพวกนี้จึงไม่คุ้มค่าเป็นอันมาก
มีหลายคนที่ดูทิศทางลมได้ว่องไว รีบประจบประแจงว่ากองทัพนครหลวงระเบียบวินัยหย่อนยานไม่เป็นท่า เหมาะสมแล้วที่จะจัดการด้วยวิธีเด็ดขาดฉับไวดุจอสนีบาต ถึงจะรักษาแผ่นดินต้าฉินให้ดำรงอยู่ไปนานหมื่นปี
กระนั้นยังมีผู้ที่ขาดปฏิภาณไหวพริบดังเช่นหม่ากุ้ยเหริน ก่อนเข้าวังนางกับหลานชายสนิทสนมกันดี เมื่อได้ยินข่าวการตายของเขา นางก็เดินท้องโย้ ร้องไห้กระซิกกระซี้ไปหาจักรพรรดิเพื่อขอความเป็นธรรมให้แก่นาง
จักรพรรดิหยอกล้อนกพลางถามอย่างไม่อนาทรร้อนใจ
“หลานชายเจ้าเข้ากองทัพนครหลวงเพราะอะไร”
หม่ากุ้ยเหรินกล่าว
“เขาอยากทำงานรับใช้ต้าฉินตั้งแต่เล็ก มีใจจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริงเพคะ”
จักรพรรดิถามต่อ
“หนทางในการทำงานรับใช้ต้าฉินมีไม่น้อย ทั้งสอบรับราชการ ทำการค้า หรือทำไร่ไถนาล้วนปลอดภัยมากทั้งสิ้น แล้วเหตุใดหลานชายเจ้าต้องเป็นทหารให้ได้”
หม่ากุ้ยเหรินไม่กล้าบอกว่าหลานชายตัวเองนั้นบุ๋นไม่สู้บู๊ไม่เอา อาศัยสัมพันธ์ส่วนตนเข้าไปหาเงินทองใช้ไปวันๆ จึงได้แต่พูดเสียงสะอื้น
“เขามีศรัทธาต่อกองทัพอย่างแรงกล้า อยากเป็นทหารสร้างความดีความชอบทำงานรับใช้พระองค์ ทั้งยังเป็นการเชิดชูวงศ์ตระกูล ทว่าอุดมการณ์ยังไม่บรรลุ พลั้งทำผิดกฎกองทัพเล็กๆ น้อยๆ กลับต้องจบชีวิตลงด้วยน้ำมือแม่ทัพเยี่ย น่าเวทนานัก”
จักรพรรดิทอดถอนใจ
“น่าเวทนาจริงๆ ในกองทัพจะสร้างความดีความชอบมิใช่เรื่องง่าย มันต้องแลกด้วยศีรษะเชียวนะ ว่าแต่เขาอายุเท่าไร เข้าร่วมกองทัพนานกี่เดือนแล้ว”
หม่ากุ้ยเหรินรีบเอ่ย
“เขาอายุยี่สิบสามเพคะ เข้าไปได้สามเดือนกว่าแล้ว”
“ไฉนผู้ที่อยากสร้างความดีความชอบในกองทัพผู้หนึ่งอยู่มาจนอายุยี่สิบสาม เข้าร่วมกองทัพสามเดือนกว่ายังไม่กระจ่างแจ้งกฎกองทัพของบรรพชนสิบเจ็ดข้ออีก”
หม่ากุ้ยเหรินจนวาจาไปชั่วขณะ แต่ยังคงกล่าวเถียงข้างๆ คูๆ
“เป็นแม่ทัพเยี่ยที่ชี้แนะสั่งสอนไม่ดี สังหารคนส่งเดชเพคะ”
จักรพรรดิสะบัดแขนเสื้อ เอ่ยเสียงห้วน
“เยี่ยเจาถือแส้เหล็กไหลของบรรพชน ลงโทษหลานชายเจ้าตามกฎกองทัพของบรรพชน หรือเจ้าเห็นว่าคำสอนของบรรพชนไม่ถูกต้อง กฎกองทัพที่บรรพชนตั้งขึ้นคือการสังหารคนส่งเดชหรือ กำแหงสิ้นดี!”
“มิใช่เพคะ@@@ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้หมายความเช่นนั้น มะ@@@หม่อมฉันปวดท้องเพคะ”
นางหลั่งน้ำตา ตัวสั่นเทิ้มโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่
“อย่าคุกเข่าอยู่เลย เจ้ามิใช่ตัวคนเดียวแล้ว น้ำตาไหลมากเกินไปไม่ดีต่อเด็กในท้องนะ” จักรพรรดิรีบเร่งพยุงพระสนมคนโปรดให้ลุกขึ้นพร้อมเอ่ยปลอบ “เรื่องนี้สุดปัญญาจะแก้ไขได้แล้ว แต่เจ้ายังมีญาติสนิทอีกคนอยู่ในกองทัพกระมัง เราเดาว่าเขากับเยี่ยเจาก็คงไม่ถูกชะตากัน ในเมื่อเขามีใจอยากตอบแทนแผ่นดินและเชิดชูวงศ์ตระกูล มิสู้แต่งตั้งเขาเป็นขุนนางเล็กๆ สักตำแหน่งแล้วย้ายไปอีกที่เถอะ เจ้าว่าไปที่ค่ายทหารแนวหน้าที่ซีหนาน* เป็นอย่างไร ที่นั่นมีโอกาสสร้างความดีความชอบมากที่สุด เมื่อข่าวชัยชนะมาถึง เราจะเลื่อนตำแหน่งปูนบำเหน็จให้เขาดีๆ”
ชายแดนซีหนานมีชนต่างเผ่ารุกราน กอปรกับมีแมลงและหมอกควันเป็นพิษเหลือคณานับ ค่ายทหารแนวหน้าของกองทัพซีหนานได้รับฉายาว่า ‘กองกำลังเดนตาย’ มักเป็นนักโทษที่ถูกส่งตัวไปเป็นทหารหรือคนท้องถิ่นที่ยากจนสิ้นไร้ไม้ตอก ผู้ที่สามารถอดทนอยู่ได้หลายปีและมีชีวิตรอดมาได้ มาตรว่าจะได้เลื่อนตำแหน่งและร่ำรวย กลับมีจำนวนน้อยนิดนับนิ้วได้
หม่ากุ้ยเหรินคิดตามทันในที่สุด นางรีบคุกเข่าลงโขกศีรษะอ้อนวอน
“ไม่อยากไปก็ช่างเถอะ ไยต้องทำเช่นนี้ด้วย” จักรพรรดิพยุงหม่ากุ้ยเหรินขึ้นเป็นคำรบที่สอง อมยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “แม้จะแต่งตั้งรัชทายาทแล้ว โอรสก็มีไม่น้อยแล้ว แต่เรายังคงรักลูกในท้องเจ้าอย่างมาก หากเป็นองค์หญิงน้อยที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายเจ้าจะเป็นการดีที่สุด คงต้องงามสะคราญเหนือใครเป็นแน่”
หม่ากุ้ยเหรินวิงเวียนตาลายวูบหนึ่ง นางชักจะเจ็บท้องขึ้นมาแล้วจริงๆ
* ซีหนาน เป็นคำเรียกดินแดนทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนในสมัยโบราณ ได้แก่ มณฑลซื่อชวน (เสฉวน) อวิ๋นหนาน (ยูนนาน) กุ้ยโจว และซีจั้ง (ทิเบต) ในปัจจุบัน
ในกองทัพนครหลวง งานการทุกด้านที่ต้องสะสางให้เข้าที่เข้าทางหลังการลงโทษยังไม่เสร็จสิ้น
เยี่ยเจานั่งตัวตรงอยู่ในห้องแม่ทัพใหญ่ ตรวจดูบันทึกต่างๆ จนเวลาล่วงเลยถึงยามพลบค่ำโดยไม่รู้ตัว
หูชิงเตร่เข้ามาอย่างเอ้อระเหย เขาสาวเท้าไปที่ข้างกายนางแล้วเดินวนรอบหนึ่ง
นางรับรู้ถึงการมาของอีกฝ่ายในที่สุดจึงเงยหน้าขึ้นเอ่ย
“เจ้าจิ้งจอก หลายวันนี้เพื่อสั่งสอนพวกชาติสุนัขกลุ่มนั้น ต้องลำบากเจ้าแล้ว มิใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรวบรวมโทษทัณฑ์ได้ครบถ้วนขนาดนั้น”
“สมควรแล้ว” เขาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ อย่างเป็นกันเองและเอ่ยถามนาง “พรุ่งนี้ตรงกับวันหยุดพอดี พวกเราไปดื่มสุรากันดีหรือไม่”
เยี่ยเจาโคลงศีรษะ
“@@@คอไม่แข็ง”
“ข้าไม่รังเกียจ”
“ข้าหมายถึงเจ้าต่างหากที่คอไม่แข็ง”
หูชิงลูบจมูกอย่างเก้อกระดาก
“โธ่เอ๋ย มันก็ครือๆ กันทั้งสองฝ่าย อย่ามัวติติงกันเองเลย”
เยี่ยเจามองดูบันทึกที่กองสูงเป็นตั้ง
“วันหลังเถอะ”
“ไม่ได้!”
เยี่ยเจาขมวดคิ้ว
“เพราะอะไร”
หูชิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วโอดครวญ
“คนอย่างเจ้านี่นะ@@@ลืมเลือนสัญญารักมั่นนิรันดร์ระหว่างเราสองคนไปแล้วหรือ”
เยี่ยเจาตกใจจนตัวแข็งทื่อไปทั้งร่าง เอ่ยถามอย่างระวังภัย
“เจ้าจะเล่นลวดลายอะไรอีก”
หูชิงมองนางด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม
“เจ้าเดาดูสิ”
เยี่ยเจาขบคิดครู่หนึ่งแล้วหรี่ตาลง กล่าวข่มขู่
“ถึงข้ากับจิ้งจอกตลบตะแลงเช่นเจ้าจะเป็นมิตรที่ดีต่อกันก็หาได้ยับยั้งมิให้ข้าใคร่ครวญเป็นบางครั้งว่าสมควรบีบคอเจ้าให้ตายอย่างไรดี”
“หึๆ เคราะห์ดีที่แค่บางครั้ง เคราะห์ดีที่แค่ใคร่ครวญ” หูชิงสัพยอกนาง แต่ครั้นเห็นนางเริ่มชักสีหน้าก็รีบพูดตามตรง “ครั้งนั้นพวกเราสาบานว่าแม้ต้องตายก็จะล้างแค้นให้ได้ คืนก่อนหน้าการลอบโจมตีเจ้าพูดว่าหากทุกคนรอดชีวิตกลับมาก็จะเลี้ยงสุราชั้นหนึ่งของเมืองหลวง หรือเจ้าลืมไปแล้ว?”
เยี่ยเจาได้ฟังก็คลี่ยิ้ม ไหนเลยจะลืมเลือนราตรีนั้นได้
ท้องฟ้าไร้ทั้งแสงดาวและแสงเดือน ทหารสามพันนายที่หนีรอดจากการเข่นฆ่าทำลายล้างโม่เป่ยรวมตัวกันอยู่บนยอดภูเขาเฮยซาน ลับดาบลับอาวุธเป็นประกายคมกริบ ทุกคนดื่มเลือดร่วมสาบาน ปฏิญาณว่าแม้ต้องตายก็จะล้างแค้นให้ได้
ไม่มีสุราย้อมใจ ใช้น้ำสะอาดแทน
ไม่มีเนื้อชิ้นใหญ่ ใช้ขนมรังนก* แทน
ตอนนั้นนางลุกขึ้นยืนบอกกับทุกคน
‘หากได้ชัยชนะกลับเมืองหลวง ข้าจะขอเชิญพี่น้องทุกคนไปดื่มสุราเลิศรสร่วมกัน!’
ทุกคนหัวเราะครื้นเครง
‘ลำพังแค่สุราเลิศรสมิได้! ต้องมีเรือสำราญที่ดีที่สุดบนแม่น้ำฉินและนางระบำที่งามที่สุดของตรอกหกสันติ ท่านแม่ทัพอย่าตระหนี่ถี่เหนียวไปเลย คราวนี้พวกเราจะต้องดื่มให้ท่านสิ้นเนื้อประดาตัวให้ได้!’
นางพูดยิ้มๆ
‘เช่นนั้นก็ดื่มกันสามวันสามคืนไปเลย!’
‘ดี!’
‘โบกสะบัดธงชัย!’
‘พบกันใหม่ที่เมืองหลวง!’
ทุกคนกระดกน้ำดื่มรวดเดียวหมดแล้วขว้างชามแตกกระจาย ตะโกนเสียงดังลั่นอย่างฮึกหาญ จากนั้นสวมชุดเกราะทองแดง วิ่งทะยานลงเขาพร้อมนาง บุกทะลวงค่ายทหารข้าศึก
สงครามชี้ชะตา! สู้รบด้วยชีวิต!
ราตรีนั้นพวกนางเอาชนะข้าศึก ทว่ามีพี่น้องหนึ่งพันสองร้อยสามสิบเจ็ดคนมิได้กลับมาอีก
หกปีให้หลัง พี่น้องสามพันคนในครั้งนั้นเหลือเพียงห้าร้อยสามสิบสองคน
เหล่าหวงที่ร้องละครเป็นตายไปแล้ว เจ้าหมาน้อยหัวดื้อตายไปแล้ว เสี่ยวเหอที่ร้องเพลงรักได้หวานซึ้งตรึงใจยิ่งกว่าเสียงนกคีรีบูนตายไปแล้ว เหล่าเมาที่มีฝีมือทำอาหารเป็นเลิศตายไปแล้ว เหล่าหนิวที่ใช้ใบหญ้าสานเป็นตั๊กแตนได้ตายไปแล้ว เถี่ยจู้ที่วันๆ บ่นแต่อยากหาภรรยาสักคนตายไปแล้ว อาหนิวที่ชอบต่อล้อต่อเถียงเป็นที่สุดก็ตายไปแล้ว@@@
มีอะไรควรค่าแก่การฉลองยิ่งกว่าการมีชีวิตอยู่
“ต้องดื่ม สุรานี้ต้องดื่ม! รีบไปจับจองเรือสำราญบนแม่น้ำฉินทุกลำ ไปเรียกตัวนางระบำ นักบรรเลงที่เก่งที่สุดของตรอกหกสันติมาให้หมดเดี๋ยวนี้เลย! ข้าจะเลี้ยงพี่น้องทุกคนดื่มสุราเลิศรสที่สุด!”
หมู่นี้ซย่าอวี้จิ่นรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่บ้าง กว่าเขาจะพูดกล่อมจนมารดาอารมณ์ดีได้มิใช่ง่ายดาย พอมีสหายกินสหายเที่ยวมาชักชวนไปดื่มสุราฟังนักเล่านิทานด้วยกัน เขาเลยตอบตกลง
ไม่คาดว่าความตื่นเต้นสนใจของชาวเมืองที่มีต่อเรื่องตีทัพของหมานจินแตกราบคาบยังไม่ลดน้อยถอยลง เดินเข้าร้านสุราริมแม่น้ำฉินสิบร้าน มีเก้าร้านกำลังเล่าตำนานความกล้าหาญของเยี่ยเจา เรื่องเล่าเต็มไปด้วยการต่อเติมเสริมแต่งเกินความจริง นักเล่านิทานก็พูดจนน้ำลายแตกฟอง เรียกเสียงโห่ร้องชอบใจจากทุกคนเป็นระลอกและมีการตกรางวัลกันไม่ขาดสาย ขณะที่ร้านสุดท้ายกำลังเล่าเรื่อง ‘บันทึกรักนกขมิ้น’ เป็นเรื่องราวของหนุ่มรูปงามกับสาวสะคราญโฉมแอบลอบฝากสารนัดพบกันใต้จันทรา
* ขนมรังนก (วัวโถว) ขนมนึ่งชนิดหนึ่งทำจากแป้งข้าวโพด แป้งเกาเหลียง หรือแป้งธัญพืชชนิดอื่น โดยปั้นเป็นรูปกรวยคว่ำ ด้านล่างเป็นโพรงคล้ายรังนก
ในร้านมีลูกค้าหลงเหลืออยู่บางตาซึ่งล้วนขนลุกด้วยความหวานเอียน ซย่าอวี้จิ่นลังเลครู่หนึ่งแล้วตกลงปลงใจเข้าไปฟังให้ขนลุกอีกคน
“ใต้แสงโคม แม่นางจินอิงมองดูพัดกับสารรักของชายในดวงใจอย่างเศร้าสร้อย ในนั้นเขียนไว้ว่ารออีกสามปีให้หลังเมื่อเขาสอบรับราชการได้ก็จะมาสู่ขอ ครั้นหนุ่มคนรักได้เป็นจอหงวนแล้ว นางกำลังแย้มยิ้มด้วยความเบิกบานใจ ไม่คาดว่าบิดามารดาจะละโมบในเงินทอง ถึงกับลอบยกนางให้หมั้นหมายกับลูกชายเสเพลของนายอำเภอ เช่นนี้จะทำอย่างไรดี แม่นางคนดีแสนจะทุกข์ระทมใจจริงๆ”
“นี่มันสุนัขผายลมหรือไร”
ซย่าอวี้จิ่นง่วงงุนจนอยากหลับ เปลือกตาบนหลุบลงมาชนเปลือกตาล่างไม่หยุด
คุณชายเสเพลด้านข้างกำลังเมียงมองหญิงงามที่เดินผ่านมาทางนอกหน้าต่าง พลันอุทานขึ้นด้วยความตกใจ
“เอ๊ะ? นั่นมิใช่แม่ทัพเยี่ยหรอกหรือ”
คุณชายเสเพลคนอื่นพากันชะโงกหัวออกไป เอ่ยอย่างประหลาดใจบ้าง
“จริงด้วย! จวิ้นอ๋อง นั่นมิใช่ภรรยาท่านรึ นางมาทำอะไรที่ริมแม่น้ำฉิน ดะ@@@ด้านข้างยังมีบุรุษคนหนึ่ง ท่าทางสนิทสนมกันมาก”
“อะไรนะ”
ซย่าอวี้จิ่นทะลึ่งพรวดขึ้นจากเก้าอี้ หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เขารีบไปเกาะขอบหน้าต่าง เขม้นมองไปทางริมแม่น้ำฉิน แลเห็นเยี่ยเจาสวมอาภรณ์เรียบง่ายตามสบาย ยืนอยู่ใต้ต้นหลิวอย่างองอาจผึ่งผาย เป็นเหตุให้สตรีน้อยใหญ่ทั้งหลายเหลียวมอง ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างกายนางเป็นบุรุษหนุ่มกำยำล่ำสันผู้หนึ่ง สวมชุดทหาร กำลังพูดคุยยิ้มหัวกัน
หลังจากหนุ่มกำยำล่ำสันคนนั้นเดินลงไปในเรือสำราญข้างฝั่งก็มีบุรุษกล้ามโตวิ่งมาอีกคน เขาตบตัวเยี่ยเจาเบาๆ คราหนึ่งด้วยความตื่นเต้นยินดี กล่าวอะไรบางอย่างสองสามคำดังลั่นอย่างไม่ยำเกรงแล้วลงไปในเรือสำราญเช่นกัน
ไม่นานนักชายฉกรรจ์ร่างใหญ่หน้าเหี้ยมหลายคนก็กระโดดลงจากม้า แต่ละคนล้วนแย้มยิ้มหัวเราะกับเยี่ยเจา ใกล้ชิดคุ้นเคยจนแทบจะโผเข้าไปกอดคอโอบไหล่กันด้วยความระลึกถึง
มีบุรุษเดินเข้าไปคนแล้วคนเล่า กลุ่มแล้วกลุ่มเล่าไม่ขาดสาย ทั้งอ้วนผอมสูงต่ำดำขาว คนหนุ่มคนแก่ หล่อเหลาขี้เหร่ ไม่ว่ารูปลักษณ์ใดมีทั้งสิ้น มีเพียงจุดเดียวที่เหมือนกันคือสนิทสนมกับภรรยาเขามาก
ต่อจากนั้นหญิงคณิกา นางระบำรำร้อง และนักดนตรีนับร้อยคนทยอยมาถึง ต่างแยกย้ายกันก้าวลงไปในเรือสำราญลำต่างๆ ทีละคน มีสองพี่น้องฮวาเจียวกับฮวาซิวแห่งหอร้อยบุปผา ไซ่เฟิ่งหวงกับไซ่หรูอี้แห่งหอหมื่นวสันต์ หมู่ตานกับฝูหรงแห่งหอผกาหอม ลู่เชียนเชียนกับฉู่เซวียนเอ๋อร์แห่งเรือนแพรแดง หลี่ชิวห่าวกับโม่ซีจวินแห่งเรือนเพลงสกุณา
สิบยอดหญิงงามชื่อดังที่สุดของหอคณิกาใหญ่ห้าแห่งมากันพร้อมหน้า อาภรณ์หรูหราสะบัดพลิ้วปลิวไหว ป้ายหยกกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊ง งามเฉิดฉายละลานตาไปทั้งแม่น้ำฉิน
สุดท้ายเยี่ยเจาก็เดินลงไปในเรือสำราญลำที่ใหญ่ที่สุดเช่นกัน นี่มันเรื่องอะไรกันแน่
นักเล่านิทานในร้านสุรายังคงเล่าต่อไปอย่างลื่นไหลเป็นฉากๆ ถึงตอนคุณหนูจินอิงลอบนัดพบหนุ่มคนรักใต้แสงจันทร์ พูดพร่ำรำพันถึงความรักที่มีต่อกัน
ซย่าอวี้จิ่นขยี้ตาหยิกแก้ม รู้สึกเพียงชีวิตคนเราดั่งอยู่ในความฝัน
เหล่าสหายกินสหายเที่ยวเห็นท่าไม่ได้การ เค้นสติปัญญาสรรหาถ้อยคำมาปลอบใจกันพัลวัน
“นางเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ ย่อมต้องต่างจากสตรีทั่วไป จะอย่างไรก็ต้องมีงานเลี้ยงสังสรรค์บ้าง”
“แต่ก่อนนางกินอยู่หลับนอนร่วมกับทหารหลายสิบหมื่น คงเคยชินเสียแล้ว มิใช่เรื่องใหญ่โตอะไร”
“สตรีคนหนึ่งกับบุรุษคนหนึ่งเข้าไปในห้องจะต้องมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันแน่ หากแต่สตรีคนหนึ่งกับบุรุษทั้งกลุ่มเข้าไปในห้อง ไม่มีทางเกิดอะไรขึ้นทั้งสิ้น”
“ใช่ จวิ้นอ๋องวางใจได้ ท่านคงไม่ถูกสวมเขาหรอก ยิ่งไม่มีทางถูกสวมเขาคราวเดียวหลายร้อยเขา”
“นั่นสิๆ แล้วพวกหญิงคณิกาชื่อดังคงไม่ถูกตาต้องใจภรรยาท่านหรอก”
ซย่าอวี้จิ่นกำมือจนข้อนิ้วส่งเสียงดังเปาะๆ สีหน้าประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวซีด รอกระทั่งเรือสำราญเคลื่อนออกจากฝั่งแล้วเขาจึงฝืนเค้นเสียงออกจากลำคอ
“ข้ามีภรรยาที่ไหนกัน เป็นเรื่องเหลวไหลที่สุดในใต้หล้าเลยทีเดียว ไปหาเรือสำราญมาซิ คืนนี้ข้าจะล่องแม่น้ำฉินกับเหล่าสาวงามให้สำราญใจ”
“จวิ้นอ๋อง ท่านแม่ทัพทุ่มเงินไปมากมายขนาดนั้น ไหนเลยยังจะมีเรือสำราญเหลืออีก”
“เรือสำราญของเหล่าหลี่ลำนั้นน่าจะซ่อมแซมไปได้พอสมควรแล้ว ให้เขาเอาออกมาเถอะ”
“สาวงามถูกท่านแม่ทัพกวาดตัวไปหมด เหลือแต่หน้าเก่าๆ พวกนั้นจะเป็นที่เยาะเย้ยขบขันได้นะ”
“คราวก่อนหลิวเอ้อร์หลางบอกว่าพวกนักพรตหญิงอารามเขาหนาวเหน็บล้วนหน้าตาพริ้มเพรา อ่อนหวานฉอเลาะ รู้อกรู้ใจผู้อื่นมิใช่หรือ เอารถม้าไปจ้างมาสักสองสามคนแล้วให้เปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ก็พอ”
“จวิ้นอ๋อง เกิดท่านแม่ทัพบันดาลโทสะจะทำอย่างไร”
“ไสหัวไปไกลๆ เลย ข้าเห็นนางไปดื่มเหล้าเคล้านารียังไม่บันดาลโทสะ นางจะมีโทสะทำไม”
“จวิ้น@@@จวิ้นอ๋อง@@@ข้ารู้สึกไม่สบายท้อง คราวหน้าค่อยมาใหม่อีกทีได้หรือไม่”
“ผู้ใดใจเสาะเผ่นหนีกลางคัน คอยดูว่าวันหน้าข้าจะเล่นงานมันผู้นั้นถึงตายอย่างไร!”
ตลอดสิบลี้ของแม่น้ำฉิน โคมไฟเปล่งแสงเรืองรองกลางราตรีมืดมิดจนสว่างไสวดุจยามกลางวัน เรือสำราญลอยละล่องคลอเสียงดนตรีดีดสีตีเป่าอ้อยอิ่ง ตรึงฝีเท้าของผู้คนที่ผ่านไปมานับไม่ถ้วนให้หยุดลงสดับตรับฟัง กลิ่นอายความสำเริงสำราญคละเคล้าเสียงจอกสุรากระทบกัน เป็นบรรยากาศที่แสนรื่นรมย์น่าหลงใหล
เยี่ยเจานั่งอยู่ในเรือสำราญ หากแต่ปราศจากหญิงคณิกาชื่อดังแนบชิด มีเพียงนักดนตรีฝีมือดีอายุราวสามสิบสี่สิบ แต่ละคนถือกลองถือพิณบรรเลงท่วงทำนองเพลงเชิดชูนักรบ
ผู้ที่นั่งอยู่ในงานเลี้ยงล้วนเป็นคนที่กลับจากโม่เป่ยแล้วได้เลื่อนตำแหน่ง มีทั้งผู้บัญชาการเขต ผู้บัญชาการทหารม้า หัวหน้าราชองครักษ์หู่เปิน (หัวหน้าองครักษ์พยัคฆ์โผน) ขุนพลพิเศษ ขุนพลโหยวจี ขุนพลเพี่ยวฉี (ขุนพลอาชาเหิน) ขุนพลเชอจี้ (ขุนพลม้าและรถศึก) รวมยี่สิบกว่าคน ตลอดจนองครักษ์ประจำตัว ที่ปรึกษาทัพและทหารคนสนิทข้างกายแม่ทัพอีกหกคนนั่งเรียงรายกันเต็มพรืด ทั้งหมดเป็นสหายที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมาแล้วทั้งสิ้น
เมื่อสุราฤทธิ์แรงล่วงลำคอไปหลายกา พวกเขาค่อยๆ เริ่มเมามายกันสามส่วนก็พากันหวนคิดถึงเหตุการณ์สู้รบที่ดุเดือดโหดร้ายในครั้งนั้น บางคนทุ่มเถียงกัน บางคนสะอึกสะอื้น บางคนภาคภูมิใจ บางคนคึกคักตื่นเต้น บางคนร่ำไห้น้ำมูกน้ำตาไหล แล้วก็มีบางคนเปลือยอกเต้นระบำ
“วันนี้เพื่อมาดื่มสุราจอกนี้ฉลองกับเหล่าพี่น้อง แม้แต่ลูกชายแต่งงานข้าก็ไม่สนใจแล้ว!”
“เจ้าบ้า ลูกชายแต่งงาน แล้วเจ้าแส่เข้าไปยุ่งอะไรด้วย”
“มารดาเจ้าสิ! ลูกชายข้าแต่งงาน ไฉนข้าจะแส่เข้าไปยุ่งมิได้”
“ใช่ๆ เจ้าจะแส่เข้าไปยุ่งก็เรื่องของเจ้า ดื่มอีก!”
ชิวเหล่าหู่ขว้างจอกสุรา ถลันเข้าไปบีบคอนายกองที่ได้แต่งสะใภ้ผู้นั้น กล่าวตะคอกใส่
“อุวะ! เจ้ามีลูกชายจะแต่งภรรยาหรอกหรือ ไฉนไม่มาสู่ขอลูกสาวข้าก่อน”
นายกองปล้ำสู้กับเขาอุตลุดพลางก่นด่า
“ไสหัวไปไกลๆ เลย! ลูกชายข้าเป็นบัณฑิตสุภาพ ข้าไม่อยากเห็นเขาวันๆ ถูกภรรยาเงื้อดาบไล่ฟันไปไกลสิบถนน ซ้ำยังตอบโต้กลับมิได้!”
ชิวเหล่าหู่เอ่ยอย่างโมโหโทโส
“โง่เง่า!”
ขุนพลพิเศษอู๋ช่วยพูดไกล่เกลี่ย
“เหล่าหู่เอ๋ย ตอนอยู่โม่เป่ย แม่หมูยังล้ำค่ากว่าเตียวฉาน* ทหารที่อยากแต่งลูกสาวเจ้าเป็นภรรยามีไม่น้อย เจ้าหลับหูหลับตาเลือกลูกเขยสักสองคนก็หมดเรื่อง”
“พวกหยาบคายไม่รู้หนังสือสักตัวนั่นน่ะไม่ได้หรอก” ชิวเหล่าหู่ส่ายหน้า “ข้าเหมือนคนหูหนวกตาบอด ถูกเอารัดเอาเปรียบซึ่งหน้าก็ยังไม่รู้เรื่องมาตลอดชีวิต โดนเศรษฐีเจ้าของที่ดินบีบคั้นจนต้องขึ้นเขาไปเป็นโจร ตอนนี้ลืมตาอ้าปากได้แล้ว จะต้องหาคู่ครองที่เป็นปัญญาชนให้พวกลูกสาว จะได้มีหลานชายเป็นจอหงวนสักคน!” จากนั้นเขาก็หันไปตะโกนพูดกับหูชิง “กุนซือหู ข้ายกลูกสาวให้แต่งงานกับเจ้าไปเลยทั้งคู่ก็แล้วกัน ถึงอย่างไรพวกนางสองพี่น้องก็รักใคร่กันดี แต่งคนหนึ่งกำนัลให้คนหนึ่งตามอย่างหวงๆ อิงๆ** อะไรนั่นก็ได้ รับรองว่าเจ้าไม่ขาดทุน!”
หูชิงแทบสำลัก กล่าวหยอกเย้า
“ลูกสาวท่านคนเดียวก็สามารถซ้อมข้าแทบปางตายได้ หากเป็นสองคนก็เอาชีวิตข้าไปเลยดีกว่า ทุกคนล้วนเป็นคนคุ้นเคยกันแล้ว เหลือทางรอดให้ข้าสักสายเถอะ”
ทุกคนหัวเราะครื้นเครงตามไปด้วย
“รอหลังจากสอบรับราชการครั้งหน้าเสร็จสิ้น พวกเราไปลักพาตัวคนที่สอบผ่านมาสองคน เอาที่หน้าตาเกลี้ยงเกลาสักหน่อย จากนั้นมัดตัวส่งเข้าห้องหอไปเลย ให้เป็นลูกเขยรังโจรปรนนิบัติน้องสาวทั้งสองดีหรือไม่”
ชิวเหล่าหู่ซัดกำปั้นใส่ตัวการออกความคิดพิเรนทร์ไปสองหมัด ตะโกนเอ่ยกับเยี่ยเจาโดยตรง
“ท่านแม่ทัพ! ท่านต้องเป็นธุระให้ลูกสาวข้านะ ความสุขชั่วชีวิตของพวกนางฝากไว้ที่ท่านแล้ว!”
เยี่ยเจารับคำซ้ำๆ
“ได้ๆ”
องครักษ์สวี่รีบรุดมาประชิดข้างกายชิวเหล่าหู่ กล่าวอ้อนวอนอย่างน่าเวทนา
“พี่หู่ ยกน้องชิวหวาให้ข้าเถอะนะ ข้าอยากได้นางมาหลายปีแล้ว อย่าเอาของดีมีค่าไปให้บัณฑิตไส้แห้งพวกนั้นเลย หากมิใช่ตอนนั้นนางติดสอยห้อยตามท่านแม่ทัพทั้งเช้าทั้งเย็น ทำเอาทุกคนนึกว่านางเป็นผู้หญิงของท่านแม่ทัพจึงไม่กล้าลงมือ ป่านนี้ท่านคงได้เป็นท่านตาไปแล้ว”
* เตียวฉานหรือเตียวเสียนเป็นหนึ่งในสี่ยอดหญิงงามแห่งแผ่นดินจีน ผู้ได้รับสมญาว่า ‘จันทร์หลบโฉมสุดา’ ชื่อของนางปรากฏในนิทานและวรรณคดีเรื่องสามก๊ก แต่ไม่มีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์
** มาจาก ‘หวงอิง’ เป็นคำเรียกย่อชื่อของเอ๋อหวงและหนี่ว์อิง บุตรสาวสองคนของกษัตริย์เหยาผู้เป็นแบบอย่างในการปกครองสมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์ของจีน กษัตริย์เหยายกบุตรสาวทั้งสองให้แก่ซุ่น ก่อนจะสละตำแหน่งให้เขาขึ้นเป็นกษัตริย์สืบทอดต่อจากตน
ชิวเหล่าหู่เยาะเย้ยเสียงดัง
“ตามเกี้ยวสตรีคนหนึ่งยังไม่กล้า แค่เรื่องนี้เจ้าคู่ควรแต่งลูกสาวข้าเป็นภรรยารึ”
“นั่นสิ” เยี่ยเจาตบหน้าผากเขาพลางเอ่ยด้วยอาการเมาเล็กน้อย “เมื่อไรที่อ่านหนังสือออกครบทุกตัวและฝึกใจให้กล้าพอ เจ้าค่อยไปสู่ขอนางกับท่านพ่อตา”
ทุกคนหัวเราะครืนใหญ่อีกระลอก
ท่ามกลางเสียงคะยั้นคะยอให้ดื่ม เยี่ยเจากรอกสุราลงท้องไปอีกเจ็ดแปดจอกก็เริ่มเมามากขึ้น
“สาวงามล่ะ? ไฉนบนเรือสำราญลำนี้ไม่มีสาวงาม รีบไปเรียกสักสองคนมาร่ายรำสิ วันนี้ข้าจะสนุกกับทุกคนให้เต็มที่”
หูชิงเอ่ยยิ้มๆ
“พี่น้องสังสรรค์กัน ร่ำสุราสรวลเสเฮฮา จะต้องการสาวงามไปทำไม ตอนนี้แต่ละคนในนี้ล้วนเป็นขุนนางใหญ่โต เจ้ายังกลัวพวกเขาจะเป็นเช่นเมื่อก่อน ไปเที่ยวซ่องนางโลมยังต้องขอติดหนี้ไว้ก่อนหรือ”
“ถูกต้อง!”
ทุกคนโคลงศีรษะ หวนคิดถึงความหลังแล้วเอ่ยอย่างสะท้อนใจ
“ตอนนี้พวกเราไม่ขัดสนเงินทองไปเที่ยวซ่องนางโลมแล้ว ยิ่งกว่านั้นถ้าไปดื่มกับท่านแม่ทัพ หญิงโคมแดงแต่ละคนล้วนจ้องท่านตาเป็นประกาย พวกเราถึงไม่ต้องเสียอารมณ์ เคราะห์ดีที่ท่านเป็นสตรีถึงทำให้พวกนางถอดใจ มิเช่นนั้นคงหมดหวังจริงๆ”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย?”
เยี่ยเจาฉงนฉงาย
“มี!”
เสียงคำรามอย่างขัดเคืองดังสนั่นหูแทบแตก
เยี่ยเจาให้เหตุผล
“หญิงงามทิวทัศน์งามล้วนเป็นสิ่งเจริญตาเจริญใจ ข้าจึงชอบเหลียวมองซ้ำ มิได้คิดเป็นอื่น@@@”
“โห่!”
คนทั้งหมดพากันตบโต๊ะด้วยอารมณ์ฮึกเหิมลำพอง
เยี่ยเจาไม่ต่อปากต่อคำอีก ดื่มสุราเงียบๆ ดังเดิม
เมื่อไร้สาวงามให้มองชม พวกเขาได้แต่ชะเง้อชะแง้คอยาว จากนั้นก็เดินไปที่ดาดฟ้าเรือกันทีละคนสองคน แย่งกันดูสาวงามบนเรือสำราญลำอื่น
แม่ทัพโม่เอ่ยขึ้น
“ดูนั่น! ยังคงเป็นฝูหรงแห่งหอผกาหอมที่ทรวดทรงงามที่สุด! หน้าอกหน้าใจใหญ่อะร้าอร่ามจริงๆ ให้ตายสิ!”
ที่ปรึกษาเฉียนส่ายหน้า
“เจ้าคิดผิดถนัดแล้ว ฮวาซิวต่างหากที่มีนัยน์ตาสุกใสพราวเสน่ห์ ประกายตาหวานซึ้งแวววาวดุจพรายน้ำใส ทรวดทรงก็อ้อนแอ้นอรชรดั่งกิ่งหลิวลู่ลม เป็นหญิงงามเลิศไม่มีผู้ใดเทียม”
ขุนพลเชอจี้ขยับเข้ามาใกล้ เพ่งมองแล้วกล่าวเหยียดหยาม
“ตาไม่ถึง ลีลาเริงรักของพวกนางมีหรือจะสู้ลู่เชียนเชียนได้”
“ใช่แล้ว ช้าก่อน!” ชิวเหล่าหู่พลันตะเบ็งเสียงขึ้น “พวกสาวๆ บนเรือสำราญทางซ้ายนั่นรูปโฉมช่างพริ้มเพราจริงๆ พวกเจ้ารีบมาดูเร็ว หอคณิกาไหนกัน”
“คนตรงกลางงามแฉล้มที่สุด เพียงแต่ตัวสูงไปเล็กน้อย”
“ปัญญาทึบ! สตรีเอวบางขายาวถึงชวนมอง!”
“ท่วงท่าของสตรีคนนั้น@@@พวกคุณหนูตระกูลใหญ่ยังทาบไม่ติดเลย!”
“ดูเหมือนไม่เคยเห็นในหอคณิกาแถวแม่น้ำฉินมาก่อนเลย ให้คนเรือแล่นเรือเข้าไปใกล้ๆ สิ จะได้ดูให้เต็มตาอีกที”
พวกเขารีบร้องชวนทุกคนให้มาดูหญิงงาม ซ้ำยังผิวปากหยอกเย้านางด้วย
เยี่ยเจาก็เดินไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน นางเห็นเรือสำราญใหม่เอี่ยมอยู่ไม่ไกล กำลังแล่นเข้ามาหาพวกตน
บนหัวเรือมีสาวงามหลายคนยืนห้อมล้อมคนงามซึ่งสวมเสื้อคลุมหนังขลิบริมด้วยขนจิ้งจอกสีขาว ยืนตระหง่านกลางผู้คน แลดูสง่าโดดเด่น เส้นผมดำขลับที่มัดรวบไว้ง่ายๆ ถูกลมตีหลุดรุ่ยร่ายลงมาหลายปอย รอจนเรือสำราญแล่นมาใกล้ พอจะเห็นผิวกายเรียบเนียนดุจหยกงามได้รำไร และดวงตาสีดำทอประกายระยิบระยับใต้โคมไฟ
แม้เห็นรูปหน้าไม่ชัดเจน ทว่าอาศัยเพียงรัศมีสูงศักดิ์ที่แผ่ออกมาทั่วทั้งสรรพางค์กายก็ข่มให้หญิงคณิกาชื่อดังทั้งหมดกลายเป็นหญิงงามดาษดื่นได้ พวกขี้เมาส่งเสียงผิวปากต่อไปอย่างทะลึ่งตึงตังหมายจะแทะโลม
เยี่ยเจามองอยู่ครู่หนึ่งแล้วกระแอมไอเสียงหนักๆ
“หยุดผิวปากได้แล้ว นั่นสามีข้าเอง”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments