X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่านนิยาย แม่ทัพอยู่บน ข้าอยู่ล่าง บทที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 16

บทที่ 6

ทางวังหลวงส่งคนมาแจ้งว่าพระพันปีมีพระราชเสาวนีย์ให้เข้าเฝ้า เยี่ยเจากำชับองครักษ์ให้นำเรื่องนี้ไปบอกต่อคนของวังอันอ๋องอีกที จากนั้นก็รีบเร่งเปลี่ยนชุดเข้าวัง

กลางถนน ซย่าอวี้จิ่นสวมชุดเรียบง่าย ยืนจดๆ จ้องๆ นอกหอสุราอยู่นาน

เพราะไม่รู้ว่ารสชาติแบบใดที่ถูกปากเยี่ยเจา สุดท้ายเขาก็เร่งให้เด็กรับใช้ข้างกายสองคน คนหนึ่งอุ้มเหล้าเซ่อหงชุน* ของหอดอกซิ่งไหหนึ่ง คนหนึ่งประคองเหล้านารีแดงของหอชมธารากาหนึ่งกลับไปก่อน ขณะที่ตัวเองเดินลัดเลาะตรอกซอกซอยอันลึกลับซับซ้อนอย่างชำนาญทาง มุ่งหน้าไปที่ร้านเนื้อแพะของเหล่าเกา

เหล่าเกาสั่งสมฝีมือปรุงเนื้อแพะมานานหลายสิบปี รสชาติหอมอร่อยชั้นหนึ่งเหนือใคร แต่ด้วยเหตุผลต่างๆ ดังเช่นร้านอยู่ไกล เถ้าแก่เกียจคร้าน เถ้าแก่เนี้ยดุร้าย ลูกจ้างไม่พอ ปกติจึงขายแต่เนื้อแพะที่ปรุงเสร็จแล้วให้หอสุราใหญ่ ส่วนร้านเล็กๆ ของตัวเองกลับปิดประตูตลอดทั้งปีและต้อนรับเพียงลูกค้าประจำ ดังนั้นจึงมีคนมาที่ร้านน้อยยิ่งกว่าน้อย

ซย่าอวี้จิ่นเป็นลูกค้าประจำคนสำคัญที่ไม่ว่าดึกดื่นค่ำคืนหรือฝนตกฟ้าคะนอง เหล่าเกาก็จะออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง

ทว่าวันนี้เหล่าเกามิได้ออกมาต้อนรับเขา

ในร้านมีเพียงเสียงด่าทอสาปแช่งฟ้าดินของเขากับเสียงร่ำไห้ฟูมฟายดังลั่นของภรรยา

“ร้องไห้หน้าศพกันรึ”

ซย่าอวี้จิ่นประสบเรื่องยินดี กำลังเริงรื่นชื่นบาน ครั้นได้ยินคนร้องไห้คร่ำครวญก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ ตั้งท่าจะเข้าไปอบรมสั่งสอนสองสามคำ แต่พอเขาเห็นสภาพในร้านก็อดชะงักไปมิได้

ร้านเล็กๆ ถูกพังทำลายจนข้าวของกระจายเกลื่อนกลาด บุตรชายโทนของเหล่าเกามีเลือดออกเต็มหน้า นอนครางโอดโอยอยู่บนพื้น ภรรยาตาเดียวของเขาผมเผ้ายุ่งเหยิง ฟุบหน้ากับพื้นร้องไห้ฟูมฟาย และยังมีเสียงลับมีดที่ครัวด้านหลัง ผ่านไปครู่หนึ่งบุตรสาวขี้เหร่ของเขาก็ถือดาบวิ่งออกมาตะโกนเสียงกร้าว

“ข้าขอแลกชีวิตกับพวกมันแล้ว!”

เหล่าเกาตกใจจนถลันเข้าไปห้ามนางไว้สุดชีวิต

ซย่าอวี้จินมองจนอ้าปากตาค้าง เห็นชุ่ยฮวาพุ่งทะยานมาทางเขาก็ลนลานถอยหลบไปด้านข้าง จะได้ไม่ขวางทางผู้ที่กำลังจะเอาดาบไปฟันคน เอ่ยถามเสียงเบา

“เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่”

“จวิ้นอ๋อง@@@“

เหล่าเกาเพิ่งรับรู้ถึงการมาของเขาในเวลานี้ รีบส่งสายตาไปให้ภรรยากับบุตรสาว คนทั้งสามโผเข้าไปกอดขาเขาพร้อมกัน แผดเสียงร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตาย

“ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับพวกเราด้วย!”

“ยะ@@@หยุดก่อน มีวาจาก็ค่อยๆ พูด มีลมก็ค่อยๆ ผาย! ข้ามิใช่ท่านเปาชิงเทียน เทพแห่งความยุติธรรม จะให้ความเป็นธรรมจากศาลใดแก่พวกเจ้าได้!” ซย่าอวี้จิ่นทั้งดิ้นทั้งถีบสุดแรงเกิดเพื่อให้หลุดจากปลอกเหล็กหกข้าง “สมควรตาย! เลิกร้องไห้ได้แล้ว ห้ามทำเสื้อผ้าข้าสกปรกนะ ขืนพวกเจ้ายังร้องไห้อยู่อีกข้าจะไปแล้ว!”

* เหล้าเซ่อหงชุน เป็นเหล้าขาวชนิดหนึ่งที่มีต้นกำเนิดมาจากเมืองเซ่อหง

เหล่าเกาได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็หยุดร่ำไห้ในพริบตา ใบหน้าหม่นหมองแปรเปลี่ยนเป็นสดใส ตวาดภรรยากับบุตรสาวให้หยุดร้องไห้และไปดูแลบุตรชาย ขณะที่ตัวเองเก็บเก้าอี้ที่ขาไม่หักตัวหนึ่งบนพื้นขึ้นมา เช็ดแล้วเช็ดอีก จากนั้นก็เชิญซย่าอวี้จิ่นนั่งลง เริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างเดือดดาล

 

เขามีบุตรชายคนหนึ่งชื่อเกาเทียนเสียง ตัวเตี้ยม่อต้อ หน้าปรุ เป็นคนทึ่มทื่อที่ถูกทุบตีอย่างไรก็ไม่ปริปากพูดสักแอะ แต่คลั่งไคล้หมากรุกอยู่สักหน่อย ทุกครั้งที่เห็นคนเดินหมากก็จะห้ามใจไม่อยู่ ต้องเดิมพันแพ้ชนะสักสิบอีแปะ

เมื่อวานเขาถอนขนเนื้อแพะบนเตาเสร็จก็ออกไปซื้อเครื่องเทศ มีคนรู้จักคนหนึ่งชื่อเสี่ยวเอ้อร์จื่อชวนเขาไปเที่ยว ยามเดินผ่านตรอกข้างบ่อนรุ่งเรืองนานด้วยกัน เห็นคนหลายคนล้อมวงเดินหมาก ส่งเสียงเอะอะพนันขันต่อกัน ทว่าฝีมือกลับอ่อนด้อยเหลือจะกล่าว ด้านข้างยังวางเหรียญอีแปะหลายเหรียญเป็นเดิมพัน เขาเห็นแล้วก็คันไม้คันมืออยากร่วมวงด้วย

ท่านลู่คนตั้งกระดานหมากเอ่ย

‘ข้ารำคาญพวกไม่มีเงินจ่ายและเกลียดชังพวกขี้แพ้ชวนตีเป็นที่สุด เจ้าจะเล่นก็ต้องทำตามกฎ หนึ่งกระดานสามตัว! เล่นครบห้ากระดานถึงจะไปได้!’

เกาเทียนเสียงรู้สึกว่าถึงแพ้ทั้งห้ากระดานก็แค่สิบห้าอีแปะ ไม่นับว่ามากเท่าไร เขาจึงตอบตกลง รอหลังจากชายฉกรรจ์ซึ่งต่อแถวอยู่ด้านหน้าเล่นจบแล้วออกไปก็รีบตั้งกระดานหมากใหม่

หมากกระดานแรกจบ เขาแพ้ไปอย่างฉิวเฉียด พาให้นึกเจ็บใจเลยเล่นต่อ

คิดไม่ถึงว่าหมากกระดานที่สองยังคงแพ้อีก ตามมาด้วยหมากกระดานที่สาม หมากกระดานที่สี่@@@แพ้รวดติดกันทุกกระดาน

เวลานี้ชายฉกรรจ์ที่เดินออกไปแล้วคนนั้นกลับมาอีกครั้ง ในมือถือตั๋วเงินปึกหนึ่งยัดใส่มือของคนตั้งกระดานหมาก เอ่ยพลางยิ้มประจบ

‘ท่านลู่ฝีมือดี ข้าเสียให้ตั้งแปดตัว’

ท่านลู่รับตั๋วเงินมานับดูแล้วยื่นตั๋วเงินสองใบให้บุรุษด้านหลัง

‘เจ้าชนะสองตัว เอาไปเถอะ’

เกาเทียนเสียงลอบมองตั๋วเงินที่ล้วนมีมูลค่าใบละหนึ่งร้อยตำลึงแล้วถึงประจักษ์ได้ในเวลานี้ว่าดูคล้ายไม่ค่อยจะเข้าทีนัก เขาจึงฝืนยิ้มเอ่ยถาม

‘ที่ว่าตัวนี้คือ?’

ท่านลู่ถ่มน้ำลาย

‘ย่อมต้องเป็นตัวละหนึ่งร้อยตำลึงน่ะสิ’

คนจ่ายเงินกับคนรับเงินพยักพเยิดสนับสนุนกันใหญ่ ทั้งยังแอบยิ้มที่มุมปากไม่หยุด

เกาเทียนเสียงตกใจจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง รีบลุกพรวดขึ้น

‘ข้าเข้าใจผิดไป ข้าไม่เดิมพันแล้ว’

กลุ่มคนที่ตั้งวงเดิมพันกับท่านลู่เข้ามายืนล้อมเอาไว้และชกเขาหมัดหนึ่งอย่างหนักหน่วงจนเขาล้มลงไปกองกับพื้น ปากยังบริภาษด่าทอไปด้วย

‘ก็บอกแล้วว่าหนึ่งกระดานสามตัว เล่นครบห้ากระดานถึงจะไปได้! เจ้าหนุ่ม เจ้าริอ่านเข้ามาร่วมวงกับข้าแล้วยังกล้าหนีอีกหรือ มาเดิมพันกับข้าต่อซะดีๆ แล้วควักเงินออกมาจ่ายที่เสียพนันให้ข้าทั้งหมดด้วย หาไม่แล้วข้าจะกุดมือกุดเท้าเจ้าซะ! แล้วไม่ต้องมาพูดกับข้าเรื่องบ้านเมืองมีขื่อมีแปอะไรนั่นด้วย ไอ้หนุ่มตาบอดเอ๊ย ลองไปถามถึงคนชื่อท่านลู่ที่บ่อนรุ่งเรืองนานได้เลย คำพูดของท่านลู่คือกฎหมายบ้านเมือง!’

คนรอบข้างหัวเราะครืนใหญ่อีกระลอก ส่วนเสี่ยวเอ้อร์จื่อซึ่งพาเขามาที่นี่เผ่นหนีไปตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้

เกาเทียนเสียงหัวหมุนคว้างระลอกหนึ่ง เพิ่งรู้ว่าตัวเองตกหลุมพรางก็ไม่มีแก่ใจเดินหมากกระดานสุดท้าย

พริบตาเดียวเขาก็ติดหนี้ถึงหนึ่งพันห้าร้อยตำลึง ซ้ำร้ายยังถูกบังคับให้ทำสัญญาหนี้

เรื่องราวต่อจากนั้นคือการทวงหนี้ ท่านลู่พาคนมาอาละวาดพังร้านเหล่าเกา ไม่ว่าเหล่าเกาจะอ้อนวอนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์

ครั้นบีบจนถึงที่สุด ท่านลู่นั่งไขว่ห้างกระดิกเท้า คาบไม้จิ้มฟันในปาก

‘ในเมื่อคืนเงินไม่ได้ก็ช่างเถอะ ข้าเป็นคนใจดีอยู่เหมือนกัน จะยอมเสียเปรียบเจ้าสักครั้ง เหลือทางรอดให้เจ้าได้เดิน รสชาติเนื้อแพะร้านเจ้ายังพอมีดีอยู่หลายส่วน หากเจ้ามอบสูตรลับการปรุงมาก็จะถือเป็นการชดใช้หนี้หนึ่งพันห้าร้อยตำลึงนี้’

เหล่าเกาแจ่มแจ้งในบัดดล เพิ่งจะรู้ว่าเป็นหอบุปผาเมามายที่ใช้อุบายสกปรกให้ร้ายบุตรชายตน ด้วยพักก่อนหอบุปผาเมามายถูกใจสูตรปรุงเนื้อแพะของเขา คิดอยากครอบครองเป็นของตัวเองผู้เดียวเพื่อใช้เป็นอาหารชูโรงประจำร้าน จึงส่งคนมาเจรจาหลายครั้งแต่ถูกปฏิเสธอย่างไม่ไยดี

 

หลังจากซย่าอวี้จิ่นฟังจบก็ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่

“ท่านลู่@@@ข้าเคยได้ยินชื่อนี้ เขาทำงานให้กับบ่อนรุ่งเรืองนาน ชอบใช้วิธีต่ำช้าพอดู บ่อนพนันนี้กับหอบุปผาเมามายหรือ เรื่องไม่ง่ายเลย เพราะทั้งสองแห่งนี้มีฉีอ๋องเป็นเจ้าของอยู่เบื้องหลัง คนผู้นี้ไม่เหมือนข้าที่อยู่เฉยๆ ลอยไปลอยมา เขารับผิดชอบงานในราชสำนัก ได้รับความสำคัญอย่างมาก ขุนนางที่ประจบสอพลอเขาก็มีไม่น้อย เจ้าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง อีกทั้งเป็นการขัดแย้งกันในบ่อนพนัน หากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมามีแต่ตายสถานเดียว”

เหล่าเกาเอ่ยด้วยสีหน้าท้อแท้สิ้นหวัง

“ต้องยอมรับชะตากรรมไปเช่นนี้หรือ”

ภรรยากับบุตรสาวเขาเริ่มร้องโหยหวนขึ้นมาอีก

ซย่าอวี้จิ่นได้ยินเสียงร้องปานสุกรถูกเชือดก็อดอุดหูมิได้ เขาลุกพรวดขึ้นแล้วพูดอย่างมีน้ำโห

“จะร้องไห้ทำไม! ข้ายังต้องซื้อเนื้อแพะไปให้ภรรยาข้านะ! เจ้าไปตั้งไฟตุ๋นเนื้อแพะให้เปื่อยสักนิด เอาเอ็นกับเนื้อติดกระดูกอย่างละห้าชั่ง อีกประเดี๋ยวข้าจะส่งคนมารับ!”

จากนั้นก็เขาหมุนกายเดินจากไป

เหล่าเกาตั้งสติได้ก็ตบไหล่บุตรสาวทีหนึ่ง เอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มย่องผ่องใส

“จะร้องไห้ทำไม! ไม่ได้ยินจวิ้นอ๋องพูดหรือว่าอีกประเดี๋ยวจะมาเอาเนื้อแพะ ยังไม่รีบไปตั้งไฟอีก พวกเราค่อยๆ ตุ๋นเนื้อแพไปรอไป”

 

ต้นฤดูใบไม้ผลิอากาศยังหนาวเย็น ประตูหน้าของบ่อนรุ่งเรืองนานติดตัวอักษรคำว่า ‘เงินทองไหลมา’ ไว้ทางซ้าย ติดตัวอักษรคำว่า ‘เก่าไปใหม่มา’ ทางขวา ด้านในมีผู้คนเนืองแน่น แต่ละคนล้วนตื่นเต้นคึกคักจนเหงื่อซึมเต็มหน้าผาก เสียงลูกเต๋าชนกระทบกันประสานเสียงตะโกนด้วยความดีใจและปวดใจ คละเคล้าไปด้วยกลิ่นอายของคนชั้นต่ำอย่างพรรณนาไม่ถูก

ไกลออกไปมีเกี้ยวหลังงามสีเหลืองประดับม่านบังสีแดง ปลายยอดหลังคาเป็นสีเงินสูงเด่นอวดสายตาผู้คนเคลื่อนใกล้เข้ามาและหยุดลงหน้าประตูช้าๆ

ผู้ติดตามทำหน้าละห้อยเข้าไปเลิกม่านขึ้น ด้านในเป็นคุณชายสูงศักดิ์รูปงามดุจหยกไร้ตำหนิ สวมเสื้อคลุมบรรดาศักดิ์ลายมังกรสี่เล็บสีขาว บนใบหน้าประดับรอยยิ้มเจิดจ้า เขาประคองเตาพกให้ความอบอุ่นขณะก้าวเท้าเดินเอ้อระเหยเข้าไปในบ่อนพนัน

ท่านลู่เห็นเกี้ยวหลังนี้แต่ไกล นึกว่ามีคนใหญ่คนโตมาหาเรื่องเลยรีบร้อนออกมารับหน้า ครั้นเห็นผู้ที่มาคือซย่าอวี้จิ่น คุณชายเสเพลผู้โด่งดังก็อดระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจมิได้ แต่แล้วพลันฉุกคิดได้ว่าเขาชอบเล่นพนันจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว ทว่าน้อยครั้งนักที่จะมาเข้าบ่อนอย่างเอิกเกริกเช่นนี้ ในใจนึกฉงนอยู่บ้างจึงถามขึ้นด้วยรอยยิ้มประจบประแจง

“จวิ้นอ๋องก็จะมาเล่นสักตาสองตาหรือขอรับ”

“ข้าผ่านมาได้ยินเสียงลูกเต๋าเลยคันไม้คันมือขึ้นมา”

ซย่าอวี้จิ่นหัวเราะผสมโรง เดินตามอีกฝ่ายไปทางนั้นทีทางโน้นที ดูจนทั่วรอบหนึ่ง สุดท้ายก็หยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะพนันสูงต่ำ

เขาดูอยู่หลายตา จากนั้นขณะรอให้ลูกเต๋าหยุดสนิทแล้วกำลังจะหงายถ้วย เขาก็ล้วงกระดาษแผ่นเล็กยับยู่ยี่ใบหนึ่งจากอกเสื้อ ไม่แม้แต่จะมองก็โยนลงไปแทงในช่อง ‘ต่ำ’ คล้ายเป็นขยะชิ้นหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น พร้อมพูดขึ้นอย่างสนุกสนาน

“มา ข้าขอเล่นสักสองตา ลงสักห้าสิบตำลึงเถอะ”

บ่อนรุ่งเรืองนานเป็นหนึ่งในบ่อนพนันที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลวง มีลูกหลานล้างผลาญตระกูลมาวางเดิมพันเป็นพันชั่งที่นี่ ฉะนั้นถึงเงินห้าสิบตำลึงไม่นับว่าเป็นจำนวนเล็กน้อย ทว่าท่านลู่ยังไม่เห็นมันอยู่ในสายตา เขากล่าวยิ้มๆ

“ท่านมาเล่นสองตา ข้าย่อมยินดีต้อนรับเป็นธรรมดาขอรับ”

จากนั้นเขาก็บุ้ยใบ้ให้เจ้ามือหงายถ้วย

ลูกเต๋าสามลูกทอยได้สอง สอง สี่ รวมเป็นแปดแต้ม ออกต่ำพอดี

เจ้ามือรีบหยิบตั๋วเงินห้าสิบตำลึงออกมา ยื่นส่งให้ซย่าอวี้จิ่นอย่างพินอบพิเทา ทว่าซย่าอวี้จิ่นกลับอุทานด้วยความตกใจ เหยียดมือไปหยิบตั๋วเงินที่โยนลงไปบนโต๊ะใบนั้นขึ้นมา ค่อยๆ คลี่ออกจนเรียบ เปิดกางให้ทุกคนมองดูอย่างถนัดถนี่พลางเอ่ยยิ้มๆ

“ข้าไม่ระวังดูตั๋วเงินผิด ที่โยนลงไปเป็นหนึ่งพันตำลึงไปเสียได้ แล้วยังชนะอีก ฮ่าๆ ช่างดวงดีจริงๆ”

สีหน้าของท่านลู่ซีดเผือดลงในชั่วอึดใจเดียว

“กล้าได้กล้าเสียน่า” ซย่าอวี้จิ่นตบไหล่เขาเบาๆ กล่าวปลอบใจ “กฎการแทงสูงต่ำ เมื่อแทงไปแล้วจะเปลี่ยนใจมิได้ ถึงอย่างไรก็ต้องมีได้มีเสีย ตานี้เป็นเจ้าที่ดวงไม่ดี แต่ว่านะ เสียหนักเกินไปเกรงว่าจะทำให้เจ้าทุกข์ใจเปล่าๆ ข้าเล่นแค่พอหอมปากหอมคอ เช่นนั้นก็หยุดแค่นี้เป็นอย่างไร”

บ่อนรุ่งเรืองนานเป็นกิจการของฉีอ๋อง เงินสองสามร้อยตำลึงพอจะขาดทุนได้ แต่ตาเดียวเสียถึงพันตำลึง เขาคงต้องถูกตำหนิรุนแรงอย่างเลี่ยงมิได้ จะอย่างไรก็ต้องหาหนทางเอาเงินก้อนนี้คืนมา

ท่านลู่คิดอ่านอย่างฉับไว มองเห็นซย่าอวี้จิ่นตั้งท่าจะไปก็เร่งรีบเข้าไปขวางหน้าไว้ เอ่ยยิ้มๆ

“ท่านเล่นตาเดียวก็กลับได้อย่างไรขอรับ มันจะดูเหมือนว่าข้าดูแลไม่ดี รับรองลูกค้าไม่ทั่วถึง ท่านต้องเล่นต่ออีกสักหลายๆ ตานะขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นฉีกยิ้มกว้างพลางถาม

“เจ้าจะรั้งข้าให้เล่นจริงหรือ”

ท่านลู่ยิ้มประจบไม่หยุด

“แน่นอนขอรับ ท่านให้เกียรติมาเยือนทั้งที เป็นหน้าเป็นตาของบ่อนพนันเรา”

ซย่าอวี้จิ่น ‘ลังเล’ อยู่เป็นนานก่อนจะพูดเสียงเฉียบขาด

“เอาเถอะ วันนี้ข้ามีโชคลาภ ไม่ต้องกลัวถูกด่า เห็นแก่ที่บ่อนพนันเจ้ามีความตั้งใจจริง ข้าก็จะอยู่เล่นสักหลายๆ ตา!”

ท่านลู่กุลีกุจอสั่งคนไปยกน้ำชา ลอบกำชับให้เปลี่ยนตัวเจ้ามือที่เก่งกาจที่สุดมาและนั่งบัญชาการอยู่ด้านข้างด้วยตัวเอง

ซย่าอวี้จิ่นก้มศีรษะ ใช้นิ้วกรีดตั๋วเงินมูลค่าสูงหลายใบในมือเล่นอย่างสุขุมเยือกเย็น รอหลังจากลูกเต๋าในถ้วยหยุดหมุนก็เลื่อนเงินสองพันตำลึงไปแทงในช่อง ‘สูง’ ทั้งหมดอย่างง่ายๆ เขานิ่งคิดแล้วรู้สึกว่าไม่พอ ค้นบนตัวได้ตั๋วเงินย่อยๆ อีกสองร้อยกว่าตำลึงก็วางลงไปด้วยกัน

เจ้ามือเริ่มสั่นสะท้าน ส่วนท่านลู่เหงื่อกาฬผุดขึ้นบนหน้าผาก

“จวิ้นอ๋อง@@@นะ@@@นี่จะแทงหนักเกินไปกระมังขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นกล่าวอย่างปราศจากเล่ห์กล

“ข้าไม่กลัว ข้าน่ะชอบความระทึกใจ ทุ่มเงินทั้งหมดในคราวเดียวแบบนี้ยิ่งระทึกใจดี นี่! เจ้ามือชักช้าไม่เปิดถ้วยสักที คงมิใช่เล่นตุกติกกระมัง”

ผีพนันคนอื่นเห็นโต๊ะทางนี้น่าสนุกก็พากันเข้ามาล้อมวงมุงดู พวกเขาล้วนเป็นพวกที่เล่นพนันจนติดเป็นนิสัย เวลานี้จึงร่วมแรงร่วมใจกันจ้องมือของเจ้ามือเขม็งพร้อมตะโกนให้เปิดถ้วยเป็นเสียงเดียวกัน

เมื่อถูกบีบคั้นหนักเข้า เจ้ามือจำใจต้องเปิดถ้วย

ลูกเต๋าในนั้นทอยได้ห้าแต้มลูกหนึ่ง หกแต้มลูกหนึ่ง และสามแต้มลูกหนึ่ง รวมเป็นสี่สิบแต้ม ออกสูงพอดี

คนทั้งกลุ่มโห่ร้องชอบใจพร้อมกัน ท่านลู่หน้ามืดไปวูบหนึ่ง แทบเป็นลมล้มพับไป

ซย่าอวี้จิ่นเก็บตั๋วเงินมา ตะโกนอย่างดีใจ

“เล่นต่อ”

ท่านลู่กัดฟันพูด

“เล่นต่อ!”

เขาส่งสายตาบอกให้เจ้ามือถอยออกมาแล้วออกโรงด้วยตัวเอง เขาไม่เชื่อหรอกว่าคนผู้นี้จะมีโชคถึงเพียงนั้น!

ตาที่หนึ่ง ออกตองหก สิบแปดแต้ม เจ้ามือกินเรียบ

ซย่าอวี้จิ่นไม่แทง

ตาที่สอง ออกตองสี่ สิบสองแต้ม เจ้ามือกินเรียบ

ซย่าอวี้จิ่นไม่แทง

ตาที่สาม ออกตองสาม เก้าแต้ม เจ้ามือกินเรียบ

ซย่าอวี้จิ่นยังคงไม่แทง

ตาที่สี่ ท่านลู่ทนต่อไปไม่ไหว ไม่กล้าเขย่าลูกเต๋าเป็นแต้มตองเลยทอยให้ได้สามแต้มสองลูก ห้าแต้มหนึ่งลูก รวมเป็นสิบเอ็ดแต้ม ออกสูง

ซย่าอวี้จิ่นรีๆ รอๆ ไม่ยอมขยับ

ท่านลู่ระบายลมหายใจเฮือกหนึ่งแผ่วๆ ตั้งท่าจะหงายถ้วยขึ้น อีกฝ่ายกลับตะโกนขึ้นว่า “ช้าก่อน” จากนั้นก็เอาเงินสี่พันห้าร้อยกว่าตำลึงวางกองในช่องสูงทั้งหมดอย่างรวดเร็ว

เงินเก้าพันตำลึงเป็นรายได้ของบ่อนพนันถึงสามเดือน

“ดวงดี@@@ดวงดี” ซย่าอวี้จิ่นนับตั๋วเงิน ตีหน้าซื่อแย้มยิ้มอย่างไร้พิษสง “เมื่อคืนมีเซียนมาเข้าฝันบอกว่าวันนี้ข้าจะมีโชคทางพนัน เห็นทีว่าจะเป็นความจริง”

ในที่สุดท่านลู่ก็รู้แล้วว่าตัวเองเจอกระดูกชิ้นโตเข้าแล้ว ฝีมือเล่นพนันของจวิ้นอ๋องมิใช่ธรรมดา เกรงว่าจะมีชั้นเชิงทีเด็ดที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ วันนี้ตัวเองคงสู้มิได้แล้ว เขาจึงทำหน้าบึ้งกล่าวขอขมาลาโทษและเชิญอีกฝ่ายกลับไป

ซย่าอวี้จิ่นเก็บตั๋วเงินขึ้นมา เอ่ยอย่างเย็นชา

“เจ้ารั้งข้าให้อยู่เล่นก็ต้องเล่นเป็นเพื่อนจนถึงที่สุด! พนันกันต่อ!”

ท่านลู่โกรธจนสั่นระริกไปทั้งร่าง พูดเสียงห้วน

“วันนี้บ่อนรุ่งเรืองนานไม่มีเงิน ไม่พนันแล้ว!”

ซย่าอวี้จิ่นกล่าวเรียบๆ

“ไม่มีเงินก็ทำสัญญายืมเงินสิ อย่างไรก็ขายลูกขายเมียมาใช้คืนได้”

ท่านลู่พูดอย่างเดือดดาล

“ข้าไม่มีเงิน ท่านยังจะบังคับให้ข้าเล่นพนัน?”

ซย่าอวี้จิ่นยกขาขึ้นไขว่ห้าง รอยยิ้มแปรเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ

“ก็วันนี้ข้ามาเพื่อบังคับให้เจ้าเล่นพนันน่ะสิ!”

ท่านลู่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าตัวเองไปล่วงเกินลูกหลานเชื้อพระวงศ์ผู้นี้ตั้งแต่เมื่อไร ครั้นเห็นใบหน้าสวยงามของเขาฉายแววกระหยิ่มยิ้มย่องเต็มเปี่ยมก็นึกอยากสั่งให้นักเลงหัวไม้สิบกว่าคนซึ่งบ่อนพนันชุบเลี้ยงไว้และมีหน้าที่ลากตัวพวกก่อกวนไปสั่งสอนในตรอกมืดมาสับเขาให้เป็นหมื่นๆ ชิ้นแล้วโยนลงไปเลี้ยงปลาในคูเมืองจนแทบทนไม่ไหว

ซย่าอวี้จิ่นสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิต เงยหน้าขึ้นเอ่ยถามอย่างหลากใจ

“ทำไม เจ้าอยากทุบตีข้ารึ”

ท่านลู่ต้องข่มใจสุดกำลังถึงจะเปล่งคำว่า “มิบังอาจ” ออกมาจากลำคอได้

“เจ้าเป็นเพียงสามัญชนคนหนึ่ง คงไม่บังอาจทุบตีจวิ้นอ๋องอย่างข้าเช่นกัน หรือเจ้าคิดจะล่วงเกินเบื้องสูง ต้องโทษประหารทั้งตระกูล?”

ซย่าอวี้จิ่นนับเงินอย่างสำราญใจต่อไป ซ้ำยังให้คนเอาตั๋วเงินมูลค่าน้อยหลายใบไปแลกเป็นเศษเงินตำลึง แจกจ่ายให้ทุกคนในบ่อนพนัน

“มา ข้าขอแบ่งโชคลาภให้ทุกคน”

ท่านลู่มองดูสีหน้าลำพองใจประหนึ่งคนถ่อยของซย่าอวี้จิ่นแล้วรู้สึกว่าไฟแค้นที่กลางอกเสมือนเนื้อเหล็กเหลวที่กำลังเดือดปุดๆ อยู่ในเตาหลอมละลายที่พร้อมจะพวยพุ่งออกมาได้ทุกเมื่อ เขาเพียรระงับใจไว้จนแทบจะกลายเป็นลูกเต่าหดหัวไปแล้วถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาหลายเฮือก เดินเข้าไปพูดเบาๆ ที่ริมหู

“จวิ้นอ๋อง ไว้หน้ากันบ้าง ท่านรู้หรือไม่ว่าเถ้าแก่ที่อยู่เบื้องหลังบ่อนพนันนี้@@@”

“เอ๊ะ? จะพูดอะไรก็เสียงดังหน่อยสิ!” ซย่าอวี้จิ่นหันหน้าไปตะเบ็งเสียงใส่เขา “เจ้าพูดว่าเจ้าของบ่อนพนันเสื่อมทรามนี้เป็นผู้ใดนะ แต่ตรองดูก็รู้ เจ้าคนที่เปิดบ่อนพนันพรรค์นี้ได้จะต้องมิใช่พวกคนดีมีศีลธรรมเป็นแน่”

แคว้นต้าฉินมีกฎห้ามมิให้เชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์และข้าราชการทำการค้าโดยปราศจากข้อยกเว้น กระนั้นขุนนางแทบทุกคนล้วนคิดหาลู่ทางพลิกแพลงต่างๆ นานาเพื่อลอบทำการค้าส่วนตัวโดยใช้วิธีการดังเช่นร่วมมือกับคนอื่น ไม่ก็อาศัยชื่อญาติพี่น้องบังหน้า

เนื่องด้วยกฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ฉะนั้นต่อให้จับได้ก็ล้วนหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

หอคณิกากับบ่อนพนันเป็นการค้าที่ทำเงินได้รวดเร็วที่สุด แต่ก็ชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่สุดด้วย

ซย่าอวี้จิ่นเสียหน้าได้ ทว่าฉีอ๋องเสียหน้ามิได้ ดุจคนเปลือยเท้าย่อมไม่เกรงกลัวคนใส่รองเท้า

เรื่องลอบเปิดบ่อนพนันพรรค์นี้หากถูกป่าวประกาศออกมาต่อหน้าธารกำนัล ก็จะกลบเกลื่อนปิดบังไว้ไม่ได้อีกต่อไป ไม่เพียงต้องถูกจักรพรรดิลงอาญา ยังกระทบต่อชื่อเสียงและอนาคตอย่างยิ่ง ขณะนี้ฉีอ๋องได้รับความไว้วางใจจากราชสำนักอยู่มาก ไหนเลยจะทำลายชื่อเสียงตัวเองได้

ทว่าซย่าอวี้จิ่นนั้นเป็นพวกที่มีชื่อเสียงย่ำแย่ถึงขีดสุดและไม่ใส่ใจยศถาบรรดาศักดิ์ใดๆ ทั้งสิ้น ต่อให้จักรพรรดิจับตัวเขากลับไปด่าทอ ตัดเบี้ยหวัดสองสามปี กักบริเวณระยะหนึ่ง เขาล้วนไม่เจ็บไม่คัน เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นสายเลือดกษัตริย์ ทั้งยังเป็นที่รักใคร่ของพระพันปีเหลือล้น หากไม่ทำความผิดมหันต์จนเกินอภัยก็จะไม่ถูกลงโทษอย่างรุนแรง

แม้ฉีอ๋องจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบหนัก เขาก็ไม่อาจลงมือเล่นงานหนานผิงจวิ้นอ๋องต่อหน้าได้ คงได้แต่ระบายโทสะลงที่ผู้ดูแลบ่อนพนันทั้งหมด

มารดามันเถอะ สมควรตายจริงๆ คนที่บัดซบยิ่งกว่าคนพาลก็คือคนพาลสูงศักดิ์

ท่านลู่ก่นด่าอยู่ในใจหลายคำ จากนั้นก็ฝืนกล้ำกลืนคำว่าฉีอ๋องกลับลงคอไป ทว่าซย่าอวี้จิ่นกลับซักไซ้ไล่เลียงอย่างดึงดันไม่เลิกรา

“บ่อนพนันนี้เป็นของผู้ใดหรือ ข้าก็อยากรู้ว่าเจ้าคนหน้าด้านหน้าทนที่อยู่เบื้องหลังผู้นี้เป็นใคร คงมิใช่ขุนนางสูงศักดิ์คนใดกระมัง” เขานิ่งคิด โคลงศีรษะพลางเอ่ย “ต้องมิใช่แน่ๆ พระพันปีตรัสไว้ว่าการพนันจะนำความวิบัติมาสู่ราษฎร ปกติเวลาข้าเข้าบ่อนถี่ไปยังทรงดุด่าข้าตั้งครึ่งค่อนวัน แล้วจะมีเชื้อพระวงศ์หรือข้าราชการหน้าไหนกล้าหักหาญน้ำพระทัยเปิดบ่อนพนันกันล่ะ เจ้าว่าใช่หรือไม่”

ต่อให้รู้กันทั่วทั้งเมืองหลวงว่าผู้หนุนหลังบ่อนพนันกับหอคณิกาทั้งหมดเป็นคนเหล่านี้ก็ทำได้เพียงโจษจันลับหลัง หามีใครกล้าพูดส่งเดชไปทั่ว

ท่านลู่อึดอัดคับใจเจียนคลั่งตาย กลับไม่สามารถพูดความจริงออกมาต่อหน้าผู้คนได้ แต่ซย่าอวี้จิ่นกลับคาดคั้นไม่หยุดจนเขาทัดทานไม่ไหว จำต้องกล่าวตอบออกไป

“ข้าเป็นคนเปิดบ่อนพนันนี้เองขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นเอ่ยอย่าง ‘แจ่มแจ้งในบัดดล’

“คาดแล้วว่าต้องเป็นคนถ่อยเช่นเจ้า”

ท่านลู่ถูกเขาด่าประณามก็โมโหจนหน้าแดงก่ำ ได้แต่กำมือเป็นหมัด ไม่กล้าชกออกไปจริงๆ

ซย่าอวี้จิ่นนับเงินเรียบร้อยก็เคาะโต๊ะ

“มา! พนันกันต่อ วันนี้ข้ามือขึ้น!”

ท่านลู่กล่าวอย่างคั่งแค้น

“วันนี้ข้าขอยอมจำนน หากชีวิตไม่สิ้นต้องได้พานพบกันอีกครั้ง เงินเก้าพันกว่าตำลึงนี้ถือว่ามอบให้ท่าน หวังว่าท่านจะเมตตาปรานีด้วยขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นตะคอกอย่างไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย

“คนฐานะต่ำต้อยเช่นเจ้าถือดีอะไรมาพานพบข้า แล้วเงินที่ข้าชนะมาได้อย่างถูกต้องชอบธรรมยังต้องให้เจ้ามอบให้ด้วยหรือ”

ท่านลู่ใช้ทั้งไม้แข็งไม้อ่อนแล้ว ทว่าอีกฝ่ายยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ยอมขยับไปไหน

พวกผีพนันที่ตั้งใจลงเดิมพันตามซย่าอวี้จิ่นนับไม่ถ้วนทางด้านหลังตะโกนให้เริ่มเล่นหมายถอนทุนคืน

ท่านลู่ตรึกตรองอยู่เนิ่นนานก็คิดอุบายอย่างหนึ่งขึ้นได้ เขาเรียกพวกนักเลงหัวไม้มาแล้วประกาศ

“วันนี้บ่อนพนันเราปิดชั่วคราว เชิญทุกคนแยกย้ายกลับไป คราวหน้าค่อยมาใหม่!”

พวกนักเลงหัวไม้เข้าใจความหมายก็เริ่มตวาดไล่คน แม้ทุกคนจะไม่เต็มใจเหลือแสนก็ได้แต่ออกไปพร้อมเสียงสบถก่นด่า ชั่วอึดใจเดียวเหลือเพียงซย่าอวี้จิ่นกับเด็กรับใช้สองสามคนที่เขาพามาด้วยอยู่ในบ่อนพนันที่ว่างเปล่าโหรงเหรง

ท่านลู่แค่นยิ้มคราหนึ่งอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ประสานมือคารวะ

“จวิ้นอ๋องสุขภาพไม่ดี อยากพักผ่อนที่บ่อนพนัน ข้าก็จะจัดคนมาปรนนิบัติพัดวี รอท่านพักผ่อนพอแล้ว อยากไปเมื่อไรก็ได้ขอรับ”

กล่าวจบเขาก็บุ้ยใบ้บอกพวกนักเลงหัวไม้ให้อยู่จับตาดูไว้ ส่วนตัวเองสาวเท้ายาวๆ ออกนอกประตูไป ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะหลบหน้าเทพโรคระบาดผู้นี้สักสองสามวัน

เงินเก้าพันกว่าตำลึงเป็นจำนวนใกล้เคียงกับที่ซย่าอวี้จิ่นคาดเดาไว้ อย่างมากเขาค่อยมาใหม่วันหลัง ก่อกวนไปเรื่อยๆ จนกว่าอีกฝ่ายจะปิดประตูเลิกกิจการ

แม้จะไม่พึงพอใจกับผลลัพธ์เท่าไร เขาก็ได้แต่เก็บตั๋วเงิน ตั้งท่าจะลุกขึ้นเดินออกไป

ทันใดนั้นมีเสียงลมระลอกหนึ่งดังลอยมาจากนอกประตู

ท่านลู่คล้ายถุงกระสอบใบหนึ่งก็ไม่ปาน ปลิวหวือมากลางอากาศก่อนจะตกลงกระแทกโต๊ะพนันเบื้องหน้าซย่าอวี้จิ่นอย่างแรงจนแตกทะลุเป็นรูใหญ่

“บัดซบ!”

สุ้มเสียงเหี้ยมเกรียมประหนึ่งปลายคมดาบเปื้อนเลือดชวนให้สะท้านเยือกขนลุก

เยี่ยเจาสวมอาภรณ์ทะมัดทะแมงสีแดงทั้งชุด ถือดาบอยู่ในมือ นำทหารคนสนิทยี่สิบกว่านายปิดล้อมบ่อนพนันไว้ทุกด้าน จากนั้นสาวเท้าเนิบนาบเข้ามามองกวาดไปรอบทิศด้วยสายตาดุดันแล้วค่อยผงกศีรษะกับซย่าอวี้จิ่น สุดท้ายตรึงสายตาอยู่ที่ร่างท่านลู่ กล่าวขึ้นโดยไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธ

“พนันต่อ!”

ซย่าอวี้จิ่นอ่านสถานการณ์ได้แจ่มแจ้งก็หน้าบานด้วยความยินดี รีบกลับไปนั่งดังเดิม

ท่านลู่ตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาเอ่ยเสียงดัง

“ท่านเป็นถึงผู้บัญชาการกองทัพใต้หล้าผู้ทรงเกียรติ ถึงกับกล้าข่มเหงราษฎร ข้าจะไปฟ้องร้องท่าน!”

เยี่ยเจาเดินเข้าไปเตะอีกฝ่ายจนกลิ้งหน้าคว่ำอีกทีแล้วเหยียบหลังเขาไว้ ออกแรงกดเท้าลงช้าๆ พลางอธิบายอย่างไม่อนาทรร้อนใจ

“สามีข้าให้เจ้าพนัน เจ้าก็ต้องพนัน”

ซย่าอวี้จิ่นเข้าใจความหมายของนาง ตบมือพร้อมพูดยิ้มๆ

“เจ้าไม่รู้หรือว่ากษัตริย์เป็นหลักของขุนนาง บิดาเป็นหลักของบุตร สามีเป็นหลักของภรรยา ข้าให้เจ้าพนัน หากนางเป็นศรีภรรยาก็ย่อมต้องจับเจ้ามาพนันกับข้า หากนางไม่อยู่ในโอวาท ข้าจะหย่ากับนางซะเลยคอยดู!”

“อืม”

เยี่ยเจาเตะคนบนพื้นอีกหลายที เสียงกระดูกข้อมือหักดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด ฟังแล้วบาดหูอยู่บ้าง

นางเอ่ยต่อท้ายด้วยเสียงราบเรียบ

“สามีเป็นหลักของภรรยา นานทีปีหนเขาจะกำชับให้ข้าทำอะไรสักอย่าง ข้าจะอาศัยตำแหน่งตัวเองฝืนคำสั่งเขาอย่างโจ่งแจ้งก็คงไม่ดีนัก”

ซย่าอวี้จิ่นเอามือไพล่หลัง เปรยขึ้นอย่างลำพองใจ

“ดูไว้ซะ นี่ก็คือสามีเป็นผู้นำ ภรรยาเป็นผู้ตาม!”

“ตะ@@@ตามประสาอะไรกัน@@@”

ท่านลู่เจ็บจนชักกระตุกไปทั้งตัว เขายังคิดจะทำปากเก่งต่อ แต่แล้วฉุกคิดถึงกิตติศัพท์ความดุร้ายของพญายมแห่งแดนดินขึ้นได้กะทันหัน เขาจึงเร่งรีบหลับตาลงพยายามแสร้งตาย

เยี่ยเจาใช้ฝักดาบกระทุ้งท่านลู่พลางถาม

“เขาไม่พนันแล้วจะเอาอย่างไรดี”

ซย่าอวี้จิ่นพูดอย่างเฉียบขาด

“ก็งัดเอาความถนัดของเจ้าออกมาใช้สิ ซ้อมเขาต่อไป!”

เยี่ยเจาโน้มกายลง เอ่ยถามด้วย ‘เจตนาดี’

“นี่ ตกลงว่าเจ้าจะพนันหรือไม่ ได้ยินที่สามีข้าสั่งแล้วใช่ไหม ไม่ต้องห่วง เรื่องทำให้คนตายทั้งเป็นอย่างน้อยข้าก็รู้เป็นร้อยวิธี”

จวิ้นอ๋องอยากพนันก็ต้องพนันจนเขาพอใจ

ยามที่ซย่าอวี้จิ่นยอมรามืออย่างหนำใจ บ่อนรุ่งเรืองนานก็สูญเงินทั้งสิ้นสิบสองหมื่นสามพันแปดร้อยตำลึง มิหนำซ้ำท่านลู่ยังต้องชดใช้ด้วยแขนข้างหนึ่ง

เรื่องน่าเสียดายคือหลังจากการพนันจบสิ้น เยี่ยเจาส่งทหารไปตรวจค้นทั่วทั้งบ่อนพนัน ทุบโต๊ะทุบเก้าอี้จนพังยับเยิน พบเงินเพียงหนึ่งหมื่นสองพันสองร้อยสามสิบสี่ตำลึง แล้วก็ยังมีวัตถุโบราณหลายชิ้นกับเศษเงินอีแปะกองใหญ่

ท่านลู่น้ำมูกน้ำตาไหลเปรอะขณะถูกดาบเล่มใหญ่จ่อไว้และบังคับให้ลงลายมือชื่อในสัญญาหนี้ ประทับรอยนิ้วมือด้วยเลือด

ซย่าอวี้จิ่นถือวัตถุโบราณพลิกดูไปมา พูดเหยียดหยามเป็นการสั่งสอนแกมให้ความรู้

“ล้วนเป็นของไร้ราคาทั้งนั้น ภาพวาดของหลี่ไป๋เหนียนภาพนี้ก็ยังเป็นของปลอม คิดไม่ถึงว่าคนอย่างเจ้านอกจากจะไม่เข้าขั้น ไม่มีคุณธรรมแล้ว แม้แต่สายตาก็ไม่เอาไหน วันหลังต้องใฝ่หาวิชาความรู้ให้มาก@@@เจ้าทำหน้าคับข้องใจอย่างนั้นให้ผู้ใดดูรึ ที่ข้าสั่งสอนเจ้าไม่ถูกต้องหรือไร”

เยี่ยเจาเคาะหัวท่านลู่ หรี่ตามองเขา

ท่านลู่ลุกลนคลานเข้ามาด้วยดวงตาแดงก่ำ กล่าวอ้อนวอน

“ขอรับ@@@จวิ้นอ๋องสั่งสอนได้ถูกต้อง@@@ข้าไร้ความดี ไร้คุณธรรม มีตาแต่หามีแววไม่@@@”

“ในเมื่อเจ้าสำนึกผิดแล้วก็ช่างเถอะ ข้าเป็นคนใจคอกว้างขวาง มิใช่คนชั่วที่พาลหาเรื่องโดยไร้เหตุผลพรรค์นั้น ไหนเลยจะเก็บเรื่องที่เจ้าล่วงเกินเช่นนี้มาใส่ใจ”

ซย่าอวี้จิ่นลุกขึ้นจากเก้าอี้ยาวที่ไม่บุบสลายเพียงตัวเดียวในบ่อนพนัน บิดขี้เกียจคราหนึ่ง ก่อนจะหยิบสัญญาหนี้ขึ้นมาตรวจทานอย่างถี่ถ้วนและโยนวัตถุโบราณที่ไร้ราคาสองสามชิ้นคืนไปอย่างใจกว้างมาก

เขาโบกมือพลางเอ่ย

“ก็แล้วกันไปแต่เพียงเท่านี้เถอะ แม้เขาจะปฏิเสธไม่ยอมพนัน ทำตัวเป็นอันธพาล แต่อะไรอภัยให้กันได้ก็อภัยให้กันซะ อย่าให้ผู้อื่นนึกว่าพวกเราวางอำนาจข่มเหงคน”

เยี่ยเจาเก็บดาบ

“จริงของท่าน”

ซย่าอวี้จิ่นใช้ภาพวาดปลอมม้วนนั้นตีหัวท่านลู่ ถอนหายใจยาวเหยียดเฮือกหนึ่งและกล่าวปลอบอย่างอ่อนโยน

“อย่าเสียใจไปเลย แพ้ชนะในบ่อนพนันเป็นเรื่องธรรมดา เจ้าก็รับเงินเล็กๆ น้อยๆ นี้ไปสร้างเนื้อสร้างตัวใหม่ซะ ถึงเรื่องใหญ่โตปานไหนก็ไม่มีขวากหนามใดที่ข้ามผ่านไปมิได้ อย่าเสียใจมากเกินไปจนคิดสั้นเด็ดขาด แม่น้ำฉินน่ะหนาวมากเลยนะ”

ใต้หล้านี้ยังมีคนที่ต่ำช้ากว่าคนผู้นี้อีกหรือ

ท่านลู่เดือดดาลจนเลือดลมตีกลับ กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง

 

ซย่าอวี้จิ่นเดินอาดๆ ยกขบวนกลับ ไม่แม้แต่จะมองเลนตมบนพื้นแม้แต่แวบเดียว พอเดินถึงหน้าประตู เขาก็เอาเหรียญอีแปะกับเศษเงินตำลึงโปรยให้ชาวเมืองบนถนนที่มุงดูอยู่ด้วยความสนใจ และหยิบตั๋วเงินสองร้อยตำลึงใบหนึ่งส่งให้ทหารคนสนิทที่เยี่ยเจาพามาเอาไปดื่มชา

เขาก้มหัวมุดเข้าไปในเกี้ยว ยังมิทันได้นั่งดีๆ นางก็ตามเข้ามา ทั้งยังยื่นมือมาตรงหน้าเขาอย่างไม่เกรงใจ

“ค่าเหนื่อยของข้าล่ะ?”

“มีปัญญาแค่นี้ยังจะมีหน้าเป็นแม่ทัพใหญ่!” ซย่าอวี้จิ่นปัดมือเยี่ยเจาออกอย่างแรง ดึงตั๋วเงินสองพันตำลึงออกมายื่นให้อันคังซึ่งตามรับใช้อยู่ข้างกาย “ไปที่ร้านเหล่าเกาก่อน แอบยัดเยียดตั๋วเงินให้เขา แล้วซื้อเนื้อแพะกับเอ็นแพะมาอย่างละห้าชั่ง จากนั้นค่อยพาคนไปบอกเขาอีกทีว่าข้าท้องเดินเพราะกินเนื้อแพะที่เขาปรุง พังร้านเขาให้ราบสักตั้ง ตบหน้าเขาสักฉาดสองฉาด ไล่ออกไปจากเมืองหลวงทั้งครอบครัว บอกเขาว่าขืนกลับมาอีกล่ะก็เจอเมื่อไรโดนดีเมื่อนั้น!”

อันคังรับทราบแล้วพาคนไปทำงาน

เยี่ยเจาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ท่านก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้น ฉีอ๋องไม่น่าจะปะติดปะต่อได้รวดเร็วว่าท่านกับเหล่าเกาเป็นสหายกัน ทว่าเขามิใช่คนโง่เขลา คงเฉลียวใจได้ในเวลาไม่นานนักแต่ก็ตามหาตัวเหล่าเกาไม่พบแล้ว เกรงว่าจะระบายความโกรธแค้นทั้งหมดลงที่ท่าน”

“ก็แค่เล่นพนันกันเท่านั้น สุนัขที่ตัวเองเลี้ยงไว้ไม่เอาไหน เขาจะทำอะไรข้าได้ กล่าวตามตรง นับแต่เมื่อสองปีก่อนที่จักรพรรดิทำพระทัยแข็งโบยข้ายี่สิบไม้และถูกพระพันปีดุด่าอีกครึ่งชั่วยาม พระองค์ก็ถอดพระทัยไปแล้ว ขอแค่ข้าไม่ก่อเรื่องใหญ่ขึ้นก็จะทรงไม่ยุ่ง คนอื่นไม่เล่นงานข้าจนเป็นเรื่องใหญ่ก็จะทรงไม่ยุ่งเช่นกัน” ซย่าอวี้จิ่นกล่าวอย่างขัดเคือง “ฉะนั้นคนถ่อยกลุ่มนั้นถึงได้กล้าเยาะเย้ยถากถางข้าต่อหน้า”

นางอดถามมิได้

“ฉีอ๋องมาคิดบัญชีกับท่านจริงๆ จะทำอย่างไร”

เขายิ้มอย่างมีเลศนัย

“จะกลัวอะไร จักรพรรดิองค์ปัจจุบันเป็นโอรสของพระพันปีและเป็นพี่น้องคลานตามกันมากับท่านพ่อข้า รักใคร่สนิทสนมกันมาโดยตลอด หากฉีอ๋องคิดบัญชีอำมหิตเกินไป ข้าก็จะแสร้งทำท่าน่าสงสารไปทูลฟ้องพระพันปี แล้วมีหรือที่จะทรงไม่ออกหน้าช่วยหลานแท้ๆ”

เขาเห็นเยี่ยเจาหันก้มหน้าครุ่นคิดก็สองจิตสองใจชั่วครู่ ก่อนจะหยิบกระดาษแดงใกล้มือมาใบหนึ่งห่อสัญญาหนี้แล้วส่งให้ผู้ติดตาม

“ช่างเถอะ เป็นคนก็ต้องเผื่อทางหนีทีไล่ไว้ ข้าก็กลัวว่าเขาจะโมโหจนมาดักตีข้าเหมือนกัน เจ้าเอาของขวัญชิ้นนี้ไปมอบให้ฉีอ๋อง บอกว่าหลานชายจัดงานฉลองครบเดือนให้ลูกสาวคนใหม่ที่เกิดจากอนุภรรยาเขา ไม่ต้องชดใช้คืนแล้ว”

“มีปัญญาแค่นี้ยังจะมีหน้าเป็นจวิ้นอ๋อง!” เยี่ยเจาฟังแล้วหัวเราะออกมา จากนั้นก็พูดอย่างขึงขังจริงจัง “วางใจเถอะ หากเขากล้าดักตีท่าน ข้าก็จะดักตีเขาทั้งตระกูลเลย เพียงแต่เงินที่ท่านชนะพนันมาก้อนนี้จะเก็บไว้มิได้”

“อืม ข้าก็มิใช่คนโง่เขลา” ซย่าอวี้จิ่นตอบอย่างเห็นพ้องด้วย “อีกไม่กี่วันจะเป็นวันเฉลิมพระชนมายุหกสิบพรรษาของพระพันปี ท้องพระคลังร่อยหรอ จักรพรรดิกำลังกลัดกลุ้มพระทัยอยู่ ข้าก็มอบเงินเล็กๆ น้อยๆ ให้พระองค์เป็นการแสดงความกตัญญูและถือโอกาสไปคุยเล่นกับพระพันปี เล่าเรื่องบ่อนพนันขี้โกงเคราะห์ร้ายให้คนแก่คนเฒ่าได้หัวเราะชอบใจ”

เยี่ยเจาโอบไหล่เขา

“นี่ ท่านใช้กลโกงอะไรกันแน่ถึงได้ชนะพนัน ฉวยโอกาสนี้ปลอดคนบอกให้ข้าฟังที”

“เคล็ดวิชาประจำตัวข้าจะถ่ายทอดให้คนนอกได้อย่างไร” ซย่าอวี้จิ่นผลักมือนาง แต่ผลักอยู่หลายครั้งก็ผลักไม่ออกจึงพูดตอบเพ้อเจ้อเรื่อยเปื่อย “ข้าได้ยินเสียงของเซียนลูกเต๋า เป็นท่านที่บอกข้าว่ากี่แต้ม”

“ท่านฟังเสียงลูกเต๋ากระมัง ผู้ใดสอนท่าน”

ซย่าอวี้จิ่นกล่าวเสียงฮึดฮัด

“ข้าเรียนรู้เอง”

เยี่ยเจาโคลงศีรษะ

“เรื่องพรรค์นี้ต่อให้มีพรสวรรค์ก็ต้องหมั่นฝึกปรือนานสิบยี่สิบปี ดูไม่ออกเลยว่าท่านก็มีความมุ่งมั่นเช่นนี้อยู่เหมือนกัน”

ซย่าอวี้จิ่นพูดเสียงขุ่น

“ผู้ใดอยากเรียนรู้กัน ข้าเกิดมาร่างกายเย็น ตอนสี่ขวบไม่ระวังตกลงไปในน้ำเย็นจัดอีกจนอาการป่วยทรุดหนัก ต้องถูกกักอยู่ในเรือนถึงสิบสี่ปีเต็มๆ ออกไปข้างนอกมิได้ โดนห้ามโน่นห้ามนี่ทุกอย่าง ชีวิตเหี่ยวแห้งน่าเบื่อหน่ายแทบเฉาตาย นอกจากเล่นลูกเต๋าแล้วข้ายังจะทำอะไรได้อีก มือซ้ายเล่นกับมือขวา เล่นนานเข้าไม่ว่าอะไรก็ล้วนแตกฉาน”

นับแต่เขารู้ความเป็นต้นมาร่างกายก็อ่อนแอมาก บางครั้งยืนอยู่ในสวนดอกไม้ เดินรับลมสองก้าวก็หมดสติไปโดยไม่รู้สาเหตุ ในห้องมีกลิ่นยาไม่เคยขาด มีหมอเคราเหลือง เคราขาว หรือไม่มีเครามาตรวจอาการตั้งไม่รู้กี่คนต่อกี่คนซึ่งพูดเป็นเสียงเดียวว่าเขามีชีวิตอยู่ไม่พ้นอายุสิบแปด วรชายาอันไท่เฟยร่ำไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ เลี้ยงดูประคบประหงมเขาราวกับไข่ในหินที่แสนเปราะบาง ไม่กล้าให้เขาตรากตรำคร่ำเคร่ง หวาดหวั่นสุดใจว่ากระทบคราเดียวเขาก็จะแตกละเอียด

เขาไม่จำเป็นต้องเล่าเรียนเขียนอ่าน ด้วยถึงเรียนไปก็เสียเปล่า

เขาไม่จำเป็นต้องฝึกคัดตัวอักษร ด้วยถึงฝึกไปก็เสียเปล่า

เรื่องใดก็ตามที่ทุ่มเทลงไปกับผู้ที่จบชีวิตได้ทุกเมื่อล้วนเป็นการสิ้นเปลืองเกินไป ไม่ว่าร่ำเรียนมากแค่ไหนหรือดีเพียงใด ผ่านไปไม่กี่ปีก็อันตรธานหายไปสิ้น

บางคราวเขาแอบฟังพวกเด็กรับใช้กับสาวใช้พูดถึงโลกภายนอก อย่างเช่นเรื่องแม่น้ำฉินที่ยาวสิบลี้กับความหรูหราฟุ่มเฟือยไร้ที่สิ้นสุดจนชวนให้ความคิดฝันไปไกล บางคราวเขานั่งพิงประตูเรือน ฟังเสียงตะโกนเอะอะครื้นเครงและเสียงฝีเท้าม้าของคนขายของจากข้างนอกที่ช่างร่าเริงสดใสปานนั้น บางคราวเขาหยิบหนังสือมาพลิกอ่าน ด้านในมีขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้ ทุ่งหญ้าทะเลทราย งดงามดุจภาพวาด

เขามองเห็นเพียงกำแพงสี่ด้านกับผืนฟ้าสีครามด้านบน สร้างมโนภาพว่าหมู่เมฆเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้

บ้างเหมือนวานร บ้างเหมือนนกกระจาบฝน บ้างเหมือนอาชาพ่วงพี@@@ทว่าเมื่อเหยียดมือออกไปกลับเอื้อมไม่ถึง

ปีที่เขามีอายุสิบสี่ ชาวหมานจินเข้ามารุกราน โม่เป่ยถูกทำลายล้าง

ข่าวแพร่มาถึง เชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ของเมืองหลวงโกลาหลกันไปหมด เขาสบช่องยามผู้คุ้มกันหละหลวม เปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์เล็ดลอดหนีออกไป

เขายืนอยู่กลางถนนใหญ่คล้ายคนโง่เขลาก็ไม่ปาน มองดูทุกอย่างตรงหน้าอย่างสนใจใคร่รู้

บุรุษวัยกลางคนที่เปิดแสดงละครลิงตีกลองผ่านไป ชายฉกรรจ์แบกถังหูลู่บนบ่าร้องตะโกนตลอดทาง สรรพสิ่งรอบตัวราวกับถูกปลุกให้ลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้น ล้วนแปลกใหม่น่าตื่นตาตื่นใจ ทั้งยังมีสีสันเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ดูอย่างไรก็ไม่เบื่อ

เขาเดินสะเปะสะปะ ได้ยินนักเล่านิทานในหอสุรากำลังเล่าถึงแม่ทัพเยี่ยอย่างออกรสออกชาติจึงชะงักฝีเท้าสดับฟัง

‘แม่ทัพเยี่ยมีอายุเพียงสิบหก กลับมีพรสวรรค์เกินคน ฝีมือบัญชาการรบฉกาจฉกรรจ์ไม่เป็นรองแม่ทัพใหญ่ในรัชสมัยก่อน เขามีรูปโฉมองอาจน่าเกรงขาม ร่างสูงเก้าเชียะ* ถือขวานศึกหนักหนึ่งร้อยยี่สิบชั่ง ขี่อาชาเมฆาขาว กล้าหาญชาญชัยอย่างที่บุรุษนับหมื่นไม่อาจเทียบเทียมได้โดยแท้ เขาเป็นทัพหน้าบุกทะลวงค่ายทหารข้าศึกด้วยตัวเอง ยามทหารข้าศึกพุ่งเข้ามา เขาตะคอกใส่เสียงหนึ่งพร้อมเงื้อขวานฟันฉับ หามีผู้ใดสกัดไว้ได้ กระทั่งศีรษะขาดตกลงบนพื้นก็ยังไม่รู้ตัว สมเป็นบุรุษเหนือบุรุษ เป็นผู้กล้าเหนือผู้กล้าขนานแท้จริงๆ’

ใต้หล้ามีบุรุษที่เก่งกาจปานนั้นเชียวหรือ

เขานั่งฟังอยู่ด้านข้างอย่างเพลิดเพลินจนลืมตัว

ทั้งที่มีอายุต่างกันไม่มาก อีกฝ่ายเป็นแม่ทัพใหญ่ที่ผาดโผนไปทั่วหล้า เขากลับเป็นสิ่งไร้ค่าที่ถูกกักขังอยู่ในเรือน

ในใจเขารู้สึกชื่นชมระคนอิจฉาเล็กน้อย ไม่เต็มใจยอมรับบ้าง ทั้งยังอับจนหนทางอยู่สักหน่อย

เรื่องเล่ายังไม่จบ แผนการหนีออกจากบ้านยังไม่สำเร็จ เขาก็ถูกคนแทะโลมด้วยเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นเด็กสาว

เขาสิ้นสติไปและถูกส่งกลับวัง

วรชายาอันไท่เฟยนั่งอยู่ตรงหัวเตียง ร่ำไห้ตลอดวัน

เขานอนฟังเงียบๆ พลางลอบอธิษฐานในใจ

หากปาฏิหาริย์มีจริงทำให้อาการป่วยข้าดีขึ้นได้ ขอให้ข้ากลายเป็นบุรุษที่องอาจห้าวหาญอย่างเยี่ยเจาด้วยเถอะ

ความใฝ่ฝันหนอความใฝ่ฝัน

“นี่” เยี่ยเจาตบไหล่เขาเยี่ยงชายชาตรี เอ่ยถามอย่างเป็นกันเอง “ท่านใจลอยไปถึงไหน”

บุรุษที่เคยเลื่อมใสศรัทธากลายมาเป็นภรรยาตน

* ร่างสูงเก้าเชียะ เป็นอติพจน์ คือโวหารภาพพจน์ที่กล่าวเกินจริง ชาวจีนมักใช้พรรณนาถึงรูปร่างที่สูงสง่าของวีรบุรุษในงานวรรณกรรม

ซย่าอวี้จิ่นบังเกิดอารมณ์ชั่วแล่นอยากหลั่งน้ำตา

เขาอยากเป็นแม่ทัพใหญ่ หาใช่ตบแต่งแม่ทัพใหญ่เป็นภรรยา!

ปัดโธ่! สวรรค์ ท่านหูหนวกไปแล้วหรือไร

ความใฝ่ฝันของซย่าอวี้จิ่นดับสลาย แต่ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป

ทว่าวันนี้เยี่ยเจาวางตัวเป็นผู้ตามได้ดียิ่ง อ้าปากก็ยกให้สามีเช่นเขาเป็นผู้นำโดยตลอด ทำให้เขายืดอกด้วยความภูมิใจต่อหน้าผู้คน บรรเทาความคับข้องหมองใจตลอดช่วงที่ผ่านมานี้ลงไม่น้อย พลอยทำให้รู้สึกว่าใบหน้านางไม่ขวางหูขวางตาอีก ด้วยเหตุนี้จึงขยับเข้าไปใกล้ ยิ้มพรายพลางเอ่ยถาม

“ตอนข้ากลับวังไปเปลี่ยนชุด ได้ยินว่าเจ้าถูกพระพันปีเรียกตัวไปเข้าเฝ้า หรือจะทรงอบรมสั่งสอนหลักการเป็นภรรยาให้เจ้าด้วยพระองค์เอง”

ไม่คาดว่านางจะพยักหน้า ยอมรับว่าเป็นจริงตามคำสัพยอกของเขาและเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมดั่งยามนำทัพออกรบ

“ทรงหวังว่าข้าจะดีต่อท่านสักหน่อย แล้วยังตรัสอีกด้วยว่าสามีภรรยาอยู่ร่วมกัน อย่าถือใจตัวเองเป็นใหญ่เกินไปนัก ให้ข้าเรียนรู้จากสตรีคนอื่นในวังให้มาก วางศักดิ์ศรีลงบ้างในเวลาที่เหมาะสม ประทินโฉม ออดอ้อนฉอเลาะ อะไรต่างๆ เหล่านี้ ข้ายังตรึกตรองอยู่เลยว่าจะทำเช่นไร”

ซย่าอวี้จิ่นตะลึงลานไปกับถ้อยคำนี้

แม้เขาจะรังเกียจที่ภรรยาตัวเองไม่มีความเป็นสตรี แต่ภรรยาที่ไม่มีความเป็นสตรีกลับดันทุรังแสร้งทำเป็นสตรีแล้วจะเป็นอย่างไรล่ะนี่

ในห้วงสมองเขาพลันวาดภาพเยี่ยเจาสวมเสื้อคลุมและกระโปรงสีแดงเข้ม มุ่นผมเป็นมวยเมฆายกสูงกลางศีรษะ ปักปิ่นทองกับหวีเสียบเงินฝังอัญมณีเต็มไปหมด เค้าหน้าเฉกเช่นบุรุษผัดแป้งขาวและแต่งแต้มกลางหน้าผากเป็นลายเหลือง* นั้นเย็นชาดุจน้ำแข็งฉายแววอำมหิต ในมือถือดาบใหญ่สองเล่ม เดินซอยเท้าสั้นๆ อย่างชดช้อย จากนั้นเรียกเขาว่าท่านพี่อย่าง ‘สะเทิ้นอาย’ พยายามทำท่าชม้ายชายตาคล้ายภรรยาบ้านอื่น

นี่จะเป็นเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวปานใด จะต้องทำให้คนขวัญผวาจนสำรอกสุราอาหารคืนก่อนหน้าออกมาได้เป็นแม่นมั่น

ซย่าอวี้จิ่นนึกภาพนั้นแล้วหน้าตาซีดเผือด กุมปากสั่นศีรษะสุดชีวิต

“อย่าเด็ดขาด เจ้าเป็นเช่นนี้ดีแล้ว!”

เยี่ยเจาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

“นั่นสิ ตั้งแต่เด็กข้าก็ไม่เคยหัดทำตัวเป็นสตรีมาก่อน ข้าก็รู้สึกว่ามันฝืนใจเกินไปแล้ว”

ซย่าอวี้จิ่นกล่าวทวนตามคำพูดนางราวกับเป็นนกแก้ว

“ใช่ๆ มันฝืนใจเกินไปแล้ว”

เยี่ยเจาถาม

“ข้านึกว่าท่านจะเกลียดมากซะอีก?”

ซย่าอวี้จิ่นเอ่ยตามสัตย์จริง

* สตรีชาวฮั่นที่ออกเรือนแล้วในสมัยโบราณนิยมตกแต่งหน้าผากด้วยสีเหลืองเป็นรูปดอกไม้ พระจันทร์ ดวงดาว หรือลายนก เรียกว่าแต้มลายเหลือง (ฮวาหวง)

“ก็เกลียดมาก แต่ข้ายิ่งเกลียดการเสแสร้งแกล้งทำ ต่อหน้าอย่างหนึ่ง ลับหลังอย่างหนึ่ง ทั้งที่ไม่ชอบกลับแสร้งทำท่าว่าชอบ คนจอมปลอมพรรค์นี้น่าชังนัก”

เยี่ยเจายกนิ้วโป้งให้เขา

“ดี! ข้าชื่นชมที่ท่านตรงไปตรงมานี่แหละ”

ซย่าอวี้จิ่นเบะปาก กล่าวอย่างปั้นปึ่ง

“มีอะไรน่าชื่นชมกัน!” เขานิ่งคิด เห็นว่ายามนี้บรรยากาศระหว่างทั้งคู่ยังดีอยู่จึงเอ่ยถามในสิ่งที่เก็บอยู่ในใจมาเนิ่นนาน “เจ้ากับข้าไม่รู้จักมักคุ้นกันมาก่อน เจ้ากลับเลือกแต่งงานกับข้า คงมิใช่เป็นเพราะได้ยินข่าวลือเหลวไหลเลอะเทอะของข้ากระมัง”

เยี่ยเจาลังเลอยู่นานถึงเอ่ยขึ้น

“มิใช่ ข้าเพียงรู้สึกว่า@@@ตัวเองนิสัยคล้ายคลึงกับท่านอยู่บ้าง คงเข้ากันได้ดี”

ซย่าอวี้จิ่นได้ยินแล้วเพียงรู้สึกถูกเยาะเย้ยถากถาง

“คล้ายคลึงอะไรกัน เจ้าเป็นผู้กล้า ข้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นเสาหลักของราชสำนัก ข้าเป็นตัวไร้ค่าของต้าฉิน เราสองคนต่างกันราวฟ้ากับเหว อันที่จริงสามปีให้หลังพอตกลงหย่ากันแล้ว เจ้าคงโล่งอกเช่นกันกระมัง อย่างน้อยเจ้าก็สามารถเลือกบุรุษที่ตัวเองพึงใจ ไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับอันธพาลเกเรที่เจ้ารังเกียจ”

เยี่ยเจาตกตะลึงไปเล็กน้อย เงยหน้าขวับแล้วเอ่ยถาม

“ผู้ใดพูดว่าข้ารังเกียจที่ท่านเป็นอันธพาลเกเร”

ซย่าอวี้จิ่นนึกถึงว่าหูชิงเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของนางจึงไม่อยากเปิดเผยออกไป เพียงพูดอย่างคลุมเครือ

“ทุกคนล้วนพูดเช่นนี้ทั้งนั้น ตั้งแต่แต่งงานวันแรกเป็นต้นมาข้าไม่เคยรู้สึกเลยว่าเจ้าให้เกียรติข้า”

ในเกี้ยวเงียบงันไปชั่วครู่ มีเพียงเสียงฝีเท้าม้าดังก้องกังวานอยู่ด้านนอก

ทันใดนั้นเยี่ยเจาก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังสนั่นท่ามกลางความเงียบ นางหัวเราะงอหาย เอามือกุมท้อง หัวเราะจนน้ำตาแทบไหลออกมา จากนั้นนางก็สะกดกลั้นไว้ ชี้หน้าเขาพร้อมเอ่ย

“ไม่ว่าข้าจะรังเกียจท่านด้วยเรื่องใดก็ตาม ไม่มีทางที่ข้าจะรังเกียจที่ท่านเป็นอันธพาลเกเรเด็ดขาด”

ซย่าอวี้จิ่นหน้าแดงก่ำ ตะคอกถามอย่างฉุนเฉียว

“มีอะไรน่าขัน!”

“น้ำหน้าอย่างท่านน่ะหรือเป็นอันธพาลเกเร น่าขันจะตายอยู่แล้ว”

เยี่ยเจายังคงยืดตัวตรงไม่ไหว มือหนึ่งขยี้ตา

“ตั้งแต่อายุสิบสองข้าก็กล้าเป็นหัวโจกของพวกคุณชายเสเพล เที่ยวเกะกะระรานไปทั่วโม่เป่ย เป็นลูกพี่ของนักเลงเจ้าถิ่น เป็นหัวหน้าในหมู่อันธพาล ชอบใช้กำลังชกต่อยวิวาทไม่เว้นแต่ละวัน ขี้โมโหอารมณ์ร้าย เอะอะก็ทุบตีคนจนบาดเจ็บ เว้นแต่ผลักคนตาบอดลงแม่น้ำกับตีเด็กซ้อมผู้หญิงไม่เลือกหน้าแล้ว มีเรื่องชั่วช้าเลวทรามอะไรบ้างที่ไม่เคยทำมาก่อน

ข้าก่อเรื่องอยู่หลายปี นับวันทำตัวเหลวไหลขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ท่านพ่อโกรธจนทนไม่ไหว คิดจะลงไม้ลงมือสั่งสอนข้า กลับถูกข้าทำกระดูกข้อมือหัก นอนอยู่บนเตียงนานครึ่งเดือน เกือบจะขับไล่ข้าออกจากตระกูลอยู่แล้ว เป็นท่านทวดกับท่านแม่ยอมแลกด้วยชีวิตถึงปกป้องข้าไว้ได้ ในตอนนั้นมีคนมากมายในโม่เป่ยได้แต่โกรธแค้นอยู่ในใจ ไม่กล้าปริปากพูดออกมา พวกเขาล้วนแอบเผากระดาษเงินกระดาษทองไหว้พระ ภาวนาขอให้ข้าตายไวๆ ก็นับว่าเป็นการขจัดเภทภัยได้”

วัยเยาว์ที่เหลวไหลสิ้นคิด กระทำสิ่งเลวร้ายมากมายจนสาธยายอย่างไรก็ไม่หมด

ต่อมาโม่เป่ยตกอยู่ในอันตราย นางนำพากองทหารต่อต้านการรุกรานของชาวหมานจินและเสี่ยงตายโจมตีกลับ ผู้คนจึงเริ่มลืมเลือนอดีตเหล่านี้กันมากขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดจดจำเพียงแต่แม่ทัพใหญ่ผู้กล้าหาญมากกลยุทธ์ องอาจปราศจากความพรั่นพรึงจนทำให้ข้าศึกได้ยินชื่อก็ขวัญหนีดีฝ่อเท่านั้น ทว่าความหลังที่ไม่อยากหวนกลับไปมองเหล่านั้นนางกลับไม่กล้าลืม มีความผิดบางอย่างที่นางกระทำเอาไว้ ต้องชดใช้ไปชั่วชีวิต

เยี่ยเจาแย้มยิ้มอยู่ดีๆ แต่แล้วจู่ๆ นางก็ยิ้มไม่ออก

เป็นครั้งแรกที่ซย่าอวี้จิ่นมองเห็นความสำนึกผิดอย่างล้ำลึกบนใบหน้าเยือกเย็นเด็ดเดี่ยวของอีกฝ่าย

นางก้มหน้าลง ดวงตาหม่นหมอง

“เลิกพูดเถอะ เรื่องเลวทรามที่ข้าทำไว้มากกว่าท่านนัก”

ซย่าอวี้จิ่นขยับเข้าไปใกล้นาง ลูบศีรษะนางพลางกล่าวปลอบ

“นี่@@@เด็กดี ผู้หลงผิดกลับตัว ทองยังแลกมิได้นะ”

เยี่ยเจาทุกข์ใจอยู่บ้างในทีแรก แต่พอเห็นเขาแสดงท่าทางรนหาเรื่องเจ็บตัว หางตาก็กระตุกริกๆ

“ฟังดูแล้วเจ้าบัดซบกว่าข้าจริงๆ ก็ว่าไม่ได้ที่เจ้าไม่ชอบเอ่ยถึงอดีต” ซย่าอวี้จิ่นดูคล้ายไม่รู้ตัวสักนิด ยังคงพูดปลอบโยนต่อไป “แต่คนหาใช่เทวดา ตอนนี้เจ้ากลับเนื้อกลับตัวแล้ว ทุกคนก็คงให้อภัยเจ้า”

เยี่ยเจาเห็นพ้องด้วย

“นั่นสิ ถ้าเป็นนิสัยข้าในกาลก่อน พฤติกรรมของท่านในเวลานี้จะต้องถูกทุบตีจนกระดูกร้าวสองสามท่อนแล้วค่อยต่อยจมูกหัก นอนพักรักษาตัวบนเตียงครึ่งปีแน่นอน”

ซย่าอวี้จิ่นรีบหดมือกลับแล้วเปรยขึ้น

“เจ้ากลับตัวแล้วช่างดีจริงๆ หนอ”

นัยน์ตาดำขลับของเขากลิ้งกลอกหลุกหลิก ดูคล้ายเจ้าเพียงพอนหิมะที่กระทำเรื่องชั่วร้ายได้เป็นผลสำเร็จแล้วส่งยิ้มให้นางอย่างเจ้าเล่ห์

เมื่อถูกถ้อยคำเหลวไหลเลอะเทอะของเขารบกวนภวังค์ความคิด เยี่ยเจาก็สลัดความทรงจำที่น่าชังทิ้งไปชั่วคราว นางล้วงตำราเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ เปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“พระพันปีพระราชทาน ‘บัญญัติสตรี’ ที่อดีตอัครมเหสีเซี่ยวฮุ่ยทรงเขียนขึ้นเองให้ข้าเล่มหนึ่ง”

ซย่าอวี้จิ่นสบประมาท

“เจ้าอ่านไปก็เสียเปล่า”

เยี่ยเจาพูดอธิบาย

“ตั้งแต่เล็กข้าก็ชมชอบแต่เล่นดาบเล่นทวน เกลียดการท่องตำราเป็นที่สุด หลังจากเป็นทหารแล้วจำเป็นต้องอ่านตำราพิชัยยุทธ์กับสารต่างๆ ถึงได้เริ่มเล่าเรียนด้วยความจำใจ น่าเสียดายที่ข้าไร้พรสวรรค์ อ่านออกเขียนได้แค่งูๆ ปลาๆ จนบัดนี้พออ่านอะไรที่ใช้ถ้อยความสละสลวยสักหน่อยเป็นต้องปวดศีรษะ ดังนั้นผู้ใดก็ตามในกองทัพที่ส่งบันทึกมาแล้วข้าอ่านไม่เข้าใจ ข้าก็จะลากตัวคนผู้นั้นออกไปโบย ตอนนี้ทุกคนล้วนฉลาดขึ้น รู้จักสื่อความของตนด้วยวิธีการที่ง่ายดายที่สุดแล้ว น่าเสียดายที่อัครมเหสีเซี่ยวฮุ่ยทรงมีวิชาความรู้สูงส่ง ความสามารถเชิงประพันธ์โดดเด่น ถ้อยคำสำนวนไพเราะสวยงามยาวเหยียดเป็นบทๆ ยังมีโวหารเปรียบเทียบที่กินความลึกซึ้ง ข้าอ่านบัญญัติสตรีไปสามบรรทัดก็สัปหงกแล้ว”

ซย่าอวี้จิ่นเอ่ยอย่างขุ่นเคือง

“เจ้าเขียนหนังสือหย่าได้ดีมากเลยมิใช่หรือ”

เยี่ยเจาเอามือไพล่หลัง เอ่ยอย่างทะนงตน

“พวกงานอักษรสารข้าย่อมต้องมีกุนซือทำแทนให้เป็นธรรมดา” นางชะงักครู่หนึ่งแล้วคุยอวด “เจ้าจิ้งจอกเขียนหนังสือได้เยี่ยมยอดเอาการอยู่ ลายมือก็สวยงามมาก”

หนังสือหย่ายังกล้าให้คนนอกเขียน

ซย่าอวี้จิ่นถูกคนตรงหน้ายั่วโมโหจนเริ่มระอาใจ แต่เยี่ยเจายังคงกล่าวสืบไป

“วันหลังข้าค่อยเอาบัญญัติสตรีไปให้พวกที่ปรึกษาทัพกับกุนซืออ่าน หลังจากพวกเขาอ่านเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งแล้วก็ให้อธิบายความให้ข้าฟังรอบหนึ่ง”

“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังต้องไปหากุนซือ เจ้ายังติงว่าตัวเองขายหน้าไม่พออีกหรือ”

ซย่าอวี้จิ่นรีบแย่งบัญญัติสตรีมาพลางเอ่ยอย่างกระแทกกระทั้น

เยี่ยเจายักไหล่

“อีกไม่กี่วันพระพันปีอาจทดสอบข้าก็เป็นได้ อย่างน้อยข้าต้องทำความเข้าใจว่าในนั้นเขียนว่าอะไรบ้าง จะได้ตบตาเอาตัวรอดไปได้ มิต้องทำให้คนแก่คนเฒ่าผิดหวังเกินไป”

ซย่าอวี้จิ่นผลักนางออก พลิกตำราไปพลางพูดอย่างโมโหโทโสไปพลาง

“เอาเถอะ! ข้าจะอ่านให้เจ้าเอง”

เยี่ยเจาลูบศีรษะเขาอย่างพึงพอใจ

“ได้เช่นนี้ก็ดียิ่ง”

“ไสหัวไป!”

นางเห็นเขาบันดาลโทสะก็รีบมุดออกไปนอกเกี้ยว สองเท้าแตะพื้นเบาๆ ตัวก็โผนทะยานขึ้นไปบนหลังย่ำหิมะที่ติดตามมาโดยตลอด

นางโบกมือให้เขาก่อนจะตวัดแส้คราหนึ่ง ควบอาชาตะบึงไป

ซย่าอวี้จิ่นเอนหลังพิงพนัก ถือตำราอ่านอย่างขะมักเขม้น

อ่านไปพักใหญ่เขาพลันรู้สึกไม่ค่อยชอบมาพากลนัก

ไฉนสุดท้ายกลายเป็นเขาที่อ่านบัญญัติสตรีอย่างเอาจริงเอาจัง ส่วนภรรยาเขากลับกลายเป็นคนที่อยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร

บ้าเอ๊ย!

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 16

Comments

comments

Jamsai Editor: