บทที่ 2
“นายท่าน นายท่าน…ข้าขอร้องล่ะ…”
บนถนนการค้า เสียงอ้อนวอนอย่างทุกข์ระทมลอยมา
ผู้คนได้ยินเสียงต่างหันกลับไปมอง เห็นสามีภรรยาคู่หนึ่งร้องไห้พลางตะโกนกับชายฉกรรจ์หลายคนที่ขนของไปโดยที่พวกเขาไม่ยินยอม
ชายฉกรรจ์ที่ถูกคว้าตัวไว้ผลักสองสามีภรรยาออกอย่างไม่ปรานี ยกมือขึ้นสั่งลูกน้องด้วยสีหน้าดุดัน “ยังจะยืนอึ้งอยู่ทำไม ขนของไปให้หมด!”
หญิงวัยกลางคนเห็นชายฉกรรจ์เหล่านี้ไม่ไว้หน้า เพื่อความอยู่รอดจึงคลานเข่าทั้งน้ำตานองหน้าไปหาชายหนุ่มท่าทางสุภาพที่ยืนอยู่ด้านข้างและอ้อนวอน
“คุณชายสกุลโจว! คุณชายสกุลโจว! ครอบครัวของเรามีสามสิบแปดชีวิต อาศัยการค้านี้หาเลี้ยงชีพ ท่านยึดสินค้าของพวกเราไป พวกเราย่อมอยู่ต่อไปไม่ได้…ใต้เท้า! ใต้เท้า…ได้โปรดเถอะ…ข้าขอร้อง…ท่านทำบุญทำทาน ถือว่าทำบุญทำทาน เมตตาพวกเราเถอะนะ…ข้าโขกศีรษะให้ท่านแล้ว…” พูดพลางโขกศีรษะไปด้วย ขณะเดียวกันก็คว้าตัวสามีที่มัวแต่ยืนอึ้งให้คุกเข่าลงโขกศีรษะด้วยกัน “เหล่าหลี่ เจ้ายังจะยืนบื้ออยู่ทำไม รีบมาขอร้องคุณชายสิ! รีบบอกเขาว่าเดือนหน้าพวกเราจะเอาเงินมาคืน ไม่ เป็นอีกสิบวัน ไม่สิ อีกสามวัน ขอเวลาอีกสามวัน ท่านอะลุ่มอล่วยให้พวกเราอีกแค่สามวันก็พอ”
เถ้าแก่ร้านมองโจวชิ่ง ทั้งตกใจและหวาดหวั่น แต่ภายใต้การเร่งเร้าของภรรยา เขายังคงคุกเข่าลง ร้องไห้ไปกับภรรยาและโขกศีรษะให้คุณชายในชุดสีฟ้านวลผู้นั้น
“คุณชายสกุลโจว…ข้าโขกศีรษะให้ท่านแล้ว…ข้าขอร้องท่าน ได้โปรดเถอะ…โปรดให้ทางรอดกับพวกเราด้วย…”
ชายหนุ่มมองคู่สามีภรรยาที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหล โขกศีรษะจนศีรษะแทบแตก เอ่ยเสียงเรียบเพียงว่า
“เถ้าแก่หลี่ ติดหนี้ต้องชดใช้ นี่เป็นเรื่องสมเหตุสมผล เงินข้าไม่ได้บังคับให้ท่านยืม ใบยืมเงินข้าไม่ได้บังคับให้ท่านลงชื่อ โฉนดบ้านยิ่งมิใช่ข้าเป็นฝ่ายบอกให้ท่านนำมาค้ำประกัน การค้าของท่านไม่ดีก็มิใช่ข้าเป็นคนขัดขวางทางทำมาหากินของท่านมิใช่หรือ”
เถ้าแก่หลี่คุกเข่าอยู่บนพื้น ร้องไห้อ้อนวอนอย่างเศร้าสลด
“คุณชายสกุลโจว นี่เป็นบ้านบรรพบุรุษสกุลหลี่ของข้า…ข้าตกลงการค้าครั้งใหญ่ไปแล้วจริงๆ เดือนหน้าก็สามารถคืนเงินท่านได้แล้ว…ได้โปรดผ่อนปรนให้ข้าอีกสักสองสามวันเถอะ…ให้เวลาข้าอีกสองสามวัน…ข้าจะสูญเสียบ้านบรรพบุรุษไปไม่ได้จริงๆ…”
โจวชิ่งฟังแล้วโน้มตัวลง ก้มหน้าจ้องตาเถ้าแก่หลี่
“เถ้าแก่หลี่ อยู่ในแวดวงการค้าย่อมต้องว่าไปตามกติกาการค้า ท่านก็รู้นี่ ข้าผ่อนปรนให้ท่านแล้ว ใครจะมาผ่อนปรนให้ข้าเล่า”
หลี่ซื่อ* ด้านข้างฟังแล้วทนไม่ไหว โผเข้าไปคว้าเสื้อผ้าของโจวชิ่ง อ้อนวอนทั้งน้ำตา
“คุณชายสกุลโจว ขอร้องท่านล่ะ…” นางยังพูดไม่จบ เนื่องจากโจวชิ่งตวัดสายตามองมาอย่างเย็นชาจึงหวาดกลัวจนหดมือกลับไป แต่ยังน้ำตาไหลพูดเสียงสั่นอย่างอดไม่ได้
“พวกเรา…พวกเรามีบิดามารดาต้องดูแล…ยัง ยังมีลูกเล็กที่ต้องเลี้ยงดู…”
โจวชิ่งมองนางจากที่สูง ตอบเพียงประโยคเดียวว่า
“เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”
ได้ยินดังนั้นหลี่ซื่อก็ปล่อยโฮเสียงดัง เถ้าแก่หลี่ทรุดนั่งลงบนพื้นด้วยใบหน้าสิ้นหวัง
โจวชิ่งมองพวกเขาสองคน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นใช้สายตาเย็นชากวาดมองผู้คนรอบด้านที่ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์
ผู้คนในตลาดเห็นดังนั้นก็ต่างพากันเบนสายตาไปทางอื่น
เขายิ้มเย็นอย่างไร้เสียง หันไปอ้าปากสั่งการลูกน้อง
“โม่หลี ไม่ต้องขนไปทั้งหมด ควรขนไปเท่าไรก็เอาไปเท่านั้น อย่าให้ผู้อื่นพูดได้ว่าข้าโจวชิ่งฉวยโอกาสเอาเปรียบผู้อื่น”
“ขอรับ” ชายหนุ่มที่ติดตามข้างกายโจวชิ่งก้มหน้ารับคำ ดีดลูกคิดคำนวณราคาสินค้าอย่างรวดเร็วระหว่างที่ชายฉกรรจ์ขนสินค้าขึ้นไปบนรถ
กว่าโม่หลีจะยกมือร้องบอกว่าหยุด ชายฉกรรจ์เหล่านั้นก็ขนสินค้าในร้านไปเกือบหมด เหลือไว้เพียงสินค้าหีบเล็กหีบเดียวเท่านั้น
“คุณชาย พอแล้วขอรับ” โม่หลีพูดพลางยื่นลูกคิดกับสมุดบัญชีให้โจวชิ่งดู
โจวชิ่งเหลือบมองแวบหนึ่ง ยื่นมือไปปัดๆ ชุดคลุมที่ถูกหลี่ซื่อจับจนยับเมื่อครู่นี้ จากนั้นก็หันไปพูดกับสองสามีภรรยาที่ร้องไห้ฟูมฟายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เถ้าแก่หลี่ อย่าหาว่าข้าไม่ให้เวลาท่าน พรุ่งนี้เช้าข้าจะส่งคนมาเก็บกวาด ถึงเวลานั้นหากท่านยังจะยึดบ้านไว้ อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ” พูดจบก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างเฉยชา
เถ้าแก่หลี่มองดูร้านค้าของตนที่ถูกขนของไปจนเกือบหมด มองแผ่นหลังเย็นชาของชายผู้นั้นแล้ว ครั้นคิดว่าบ้านบรรพบุรุษของตนที่ตกทอดมานับสิบรุ่นกำลังจะสูญสิ้นไป เขาก็ขาดสติ ร้องไห้พลางตะโกนด่าโจวชิ่งเสียงดังด้วยน้ำตานองหน้า
“โจวชิ่ง! เจ้าหลอกให้ข้าเอาบ้านบรรพบุรุษไปค้ำประกัน ทั้งยังไม่ยอมผ่อนปรนให้ข้าอีกสองสามวัน ยังจะบังคับขนสินค้าข้าไปอีก ไม่ยอมให้ข้าเอาสินค้าไปหมุนเป็นเงิน ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเจ้าคิดจะยึดบ้านหลังนี้…เจ้ามันพ่อค้าเจ้าเล่ห์ใจดำ! ชั่วร้ายไร้คุณธรรม! เจ้าต้องไม่ตายดี! โจวชิ่ง เจ้าต้องไม่ตายดี…”
เสียงร้องไห้และเสียงก่นด่าดังไปทั่วถนนใหญ่และตรอกเล็กตรอกน้อย เสียงสูดหายใจอย่างตื่นตระหนกดังขึ้นเป็นระลอก
ทว่าโจวชิ่งที่ถูกด่ากลับเหมือนไม่ได้ยิน เขาไม่หยุดเดินด้วยซ้ำ ยังคงเอามือไพล่หลังเดินไปบนถนนใหญ่ช้าๆ
“เจ้าสารเลวโจวชิ่ง! เจ้าต้องไม่ตายดีแน่…ไม่ตายดีแน่…”
เถ้าแก่หลี่ยังคงร้องไห้ฟูมฟาย คนอื่นเห็นเข้าเกรงว่าจะเกิดเรื่อง จึงรีบเข้าไปห้ามเหล่าหลี่ไม่ให้ตะโกนอีก
โจวชิ่งไม่ใส่ใจความโกลาหลเบื้องหลังแม้แต่น้อย เดินไปบนท้องถนนที่มีตลาดยามเช้า ผู้คนด้านหน้าต่างหลีกทางให้อย่างหวาดเกรง จากนั้นเขาก็เห็นคนที่ยืนอยู่กลางถนน
คนผู้นั้นรูปร่างผอมบาง สวมเสื้อสีคราม ใบหน้าขาวสะอาด ดวงตาใสกระจ่างเหมือนจะมองเห็นไปถึงก้นบึ้ง
ทุกคนต่างหลบทาง มีเพียงคนผู้นั้นที่ไม่หลบ ยืนขวางอยู่ตรงหน้า
คนผู้นั้นหาใช่ใครอื่น แต่เป็นเศรษฐีใหม่ในเมือง ใต้เท้าเวิน…เวินจื่ออี้ผู้ใจบุญที่โด่งดังที่สุดในเมืองช่วงสองสามปีมานี้
เขาเดินไปตรงหน้าคนผู้นั้น
คนผู้นั้นจ้องมองเขา
ผู้คนต่างมองสองคนที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองอย่างประหม่า อดรู้สึกกลัวไม่ได้ แต่ก็อยากมอง
เสียงร้องไห้และเสียงก่นด่าอย่างแค้นเคืองของเหล่าหลี่ยังคงสะท้อนอยู่ในอากาศ ทำให้บรรยากาศตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม
“ไยต้องทำเช่นนี้ด้วย”
ท่านเวินผู้ใจบุญมองเขา ขมวดคิ้วน้อยๆ เอ่ยถามเสียงเรียบ
ท่านโจวผู้ใจบาปหลุบตามองอีกฝ่าย เพียงคลี่ยิ้มเย็นชา
“ข้าพอใจ”
“โจวชิ่งเจ้าคนสารเลว! เจ้าต้องไม่ตายดี…ไม่ตายดีแน่…” เสียงก่นด่ายังคงลอยมา
ท่านเวินผู้ใจบุญเม้มปาก นัยน์ตาสีดำหม่นแสง
ท่านโจวผู้ใจบาปยิ้มพลางก้าวเดินสวนทางกับอีกฝ่าย มุ่งหน้าไปยังท่าเรือและขึ้นเรือไป
“โจวชิ่งเจ้ามันคนสารเลว! เจ้าต้องไม่ตายดี…ต้องไม่ตายดี…”
เสียงร้องไห้และเสียงก่นด่าอย่างไม่ยินยอมยังคงดังอยู่เบื้องหลัง ลอยตามสายลมขึ้นไปบนท้องฟ้า เนิ่นนานก็ไม่จางหายไป
ดวงอาทิตย์ยามสนธยาสีแดงส้มค่อยๆ จมหายไปหลังอาคารและชายคามากมายที่ห่างไกลออกไป
ลงจากเรือแล้ว ชายหนุ่มก็ก้าวขึ้นไปบนอาคาร นั่งลงบนเตียงหลัวฮั่น* พิงข้างหน้าต่าง จากตำแหน่งนี้เขาสามารถมองเห็นหลังคากระเบื้องและชายคาโค้งมากมายที่ซ้อนทับกัน ยังมีกระดิ่งทองแดงที่แขวนอยู่ใต้ชายคา
พอลมพัดมา กระดิ่งทองแดงใต้ชายคาก็ส่งเสียงเบาๆ
สรรพสิ่งตรงหน้าถูกแสงยามเย็นย้อมจนเป็นสีเหลืองทอง ก้อนหินที่ปูอยู่บนถนนใหญ่เบื้องหน้า บ้านเรือนและหออาคารฝั่งตรงข้าม แม้แต่หญิงสาวที่พิงอยู่ข้างหน้าต่างยังเปล่งแสงสีทอง ราวกับทำขึ้นจากทองคำแท้อย่างไรอย่างนั้น
แน่นอนว่าไม่ใช่ พอผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไป ทุกอย่างก็จะคืนสู่สภาพเดิม
กำแพงสีขาว กระเบื้องสีดำ หินสีเทา กระเบื้องเคลือบเก่าคร่ำคร่า โคมไฟสีแดงเก่าซีด ยังมีคิ้วตาอิดโรยที่ต่อให้นอนพักสามวันก็ยังยากที่จะขจัดออกไป…
แต่พอราตรีมาเยือน โคมไฟถูกจุดขึ้น หลังดื่มสุราไปสามคำรบ สรรพสิ่งจะถูกย้อมด้วยสีสันอันงดงาม มองอะไรก็ดูเหมือนมายาความฝันไปหมด ไม่เหมือนจริง
เขาจ้องมองเมืองอันงดงามและทรุดโทรมนอกหน้าต่าง มองดูมันปลดเปลื้องอาภรณ์สีทองและดูแก่ชราเหมือนสตรีอายุร้อยปี แต่แล้วพอโคมไฟถูกจุดขึ้น มันก็งดงามเจิดจรัสอีกครั้ง
ลมกลางคืนที่โชยพัดหอบเอาเส้นผมของเขาขึ้นมา โจวชิ่งหลับตาลง แต่กลับได้กลิ่นแป้งและชาดเหล่านั้น ยังมีกลิ่นอาเจียนและกลิ่นเหม็นเปรี้ยวของสุราที่ไม่ว่าจะใช้น้ำหอมมากมายเพียงใดก็กลบไม่มิด
ทว่าแม้จะมีกลิ่นเหล่านั้น รถม้าคันแล้วคันเล่า เกี้ยวหลังแล้วหลังเล่า เรือลำแล้วลำเล่าก็ยังมุ่งหน้ามายังถนนสายนี้
เสียงพิณดังขึ้นตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ เสียงหัวเราะหวานของเหล่าสตรีดังขึ้น เหล่าบุรุษหัวเราะเสียงดัง เอะอะโวยวาย ห้องครัวของหอสุราติดเตา กระทะตะหลิวถูกกวัดแกว่งไปมา ไม่นานอาหารก็ทยอยออกมา ต่อให้ในอากาศเจือกลิ่นเหม็นอะไรอยู่จริง ก็ถูกกลิ่นหอมของอาหารและกลิ่นเครื่องหอมจากตัวแม่นางทั้งหลายกลบไปหมด
เขาได้ยินเสียงลูกเต๋า ได้ยินเสียงโห่ร้อง บ่อนพนันเริ่มมีเสียงเอะอะจอแจแล้ว
ราตรีค่อยๆ ดึกยิ่งขึ้น
คนส่วนใหญ่ในเมืองเข้านอนแล้ว แต่ความครึกครื้นที่นี่เพิ่งจะเริ่มต้น
ในลานของหอรับวสันต์มีการสร้างเวทีขึ้นมาตั้งแต่แรกเริ่ม นายท่านทั้งหลายที่มาดูละครนั่งประจำที่ เสี่ยวเอ้อร์ยกสุราน้ำชามาให้นายท่านทั้งหลายอย่างขยันขันแข็ง ส่งผ้าเช็ดมือและยกอาหารมาให้
ไม่เหมือนบนท้องถนนตอนกลางวันที่สตรีดูละครต้องหลบอยู่ในเพิงเล็กๆ ในหอรับวสันต์สตรีสามารถนั่งดูละครเป็นเพื่อนนายท่านทั้งหลายหน้าเวทีได้
ตอนละครลั่นฆ้องเปิดฉาก โจวชิ่งก็ลืมตา ก่อนจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้า รวบผมและสวมเกี้ยว
ครั้นลงมาชั้นล่างก็เห็นบนเวทีเป็นยอดบุปผาของหอรับวสันต์ในชุดบุรุษ รับบทเป็นแม่ทัพเอ้อร์หลาง* กวัดแกว่งง้าวประดับพู่แดง ร้องตวาดเสียงหวาน ประลองฝีมือกับตัวละครอีกตัว นายท่านทั้งหลายด้านล่างเวทีโห่ร้องว่าดีติดๆ กัน
นายกองพันฉินมาแล้ว ผู้ช่วยเจ้าเมืองจางมาแล้ว ที่ปรึกษาเฉินจากจวนอ๋องก็มาด้วย เขามากับน้องภรรยาของใต้เท้าเจ้าเมือง นั่งอยู่ด้านหน้าสุดของเวที กระซิบกระซาบกันเป็นพักๆ ด้านข้างยังมีแม่นางคนหนึ่งคอยปรนนิบัติเป็นอย่างดี
โจวชิ่งก้าวลงมาจากชั้นบน ยังอยู่บนขั้นบันไดและไปไม่ถึงเวที ทุกคนก็ลุกขึ้นประสานมือทักทายกับเขาเสียแล้ว เขายิ้มคารวะตอบ ต้อนรับทุกคนอย่างเกรงใจ แม่นางด้านข้างส่งสุรามาให้ เขาก็รับมาถือไว้ แต่ยังไม่ทันยกขึ้นจรดริมฝีปากก็รู้สึกผิดปกติ
สุรานี้มีพิษ
เขายิ้ม ดื่มหมดรวดเดียวโดยไม่ถือสา
สุราล่วงเข้าไปในลำคอ หอมเข้มข้นและเผ็ดร้อน แผดเผาลำไส้จนรู้สึกเหมือนถูกไฟลวก
เขาไม่แม้แต่จะกะพริบตา ยิ้มพูดคุยและคารวะสุรากับผู้อื่น ดื่มสุราลงไปอีกหลายจอก
ครั้นเห็นโจวชิ่งดื่มสุราจอกแล้วจอกเล่า ระหว่างนี้มีคนตกใจ มีคนยินดี บางคนคลางแคลงไม่แน่ใจ แต่กลับไม่มีใครพยายามหยุดยั้งเขา
การมาพบปะลูกค้าระหว่างการแสดงเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของเขา แม้แต่ละครบนเวทียังคำนวณไว้แล้วว่าต้องหยุดครู่หนึ่ง รอให้เขาทักทายลูกค้าเสร็จแล้วค่อยแสดงต่อ
เสียงฆ้องดังขึ้นอีกครั้ง โจวชิ่งก้าวเดินไปยังบ่อนพนัน
ในบ่อนพนันเสียงผู้คนดังยิ่งกว่า ทุกคนเบียดเสียดอยู่ข้างโต๊ะ ตะโกนวางเดิมพันเสียงดังอย่างตื่นเต้นฮึกเหิม
เจ้ามือเขย่าลูกเต๋า ร้องบอกให้ทุกคนเอามือออกจากโต๊ะ ดำเนินการละเล่นอันมีเสน่ห์เย้ายวนครั้งแล้วครั้งเล่า
นักพนันที่นี่ไม่มีใครมีเวลาว่างเหลือบมองโจวชิ่ง แต่เจ้ามือทั้งหลายหูตาไวและสังเกตเห็นว่าเขามา ส่งเสียงตะโกนอย่างขยันขันแข็งกว่าเดิม
เขาเอามือไพล่หลังยืนดูอยู่ข้างหลังครู่หนึ่ง สั่งลูกน้องด้านข้างว่าอย่าให้คุณชายสกุลขุนนางคนหนึ่งแพ้มากเกินไป พอเงยหน้าหมายจะหมุนตัวเลิกม่านออกจากบ่อนพนัน ร่างกายยังไม่ทันหันไป ชายฉกรรจ์หลายคนก็ฉวยโอกาสตอนเขาเผลอ พุ่งออกมาจากกลุ่มคนที่ส่งเสียงวางเดิมพันดังเซ็งแซ่ ในมือของแต่ละคนถือดาบเล่มใหญ่
“โจวชิ่ง! เอาชีวิตของเจ้ามา!”
สุรานั้นมีปัญหา เขาเดาได้อยู่แล้วว่าต้องมีคนมาก่อกวน ชายหนุ่มเหลือบมองนักฆ่าพวกนั้นอย่างเย็นชา ไม่มีท่าทีตกใจหรือสะทกสะท้าน เขายกขาถีบไปยังคนด้านหน้าสุดที่พุ่งเข้ามา จากนั้นก็โคจรพลังและอ้าปากพ่นสุราพิษไปยังดวงตาของคนที่สอง
สุราพิษเหมือนลูกธนู อีกฝ่ายปิดตาร้องโหยหวนและล้มลงกับพื้น เขาไม่สนใจ แย่งดาบมาจากคนที่สามอย่างรวดเร็วแล้วใช้มันสกัดอาวุธลับที่พุ่งมาจากอีกทาง ส่งอาวุธลับกลับไปทางเดิมได้ทั้งหมด…
คนที่สี่ถูกอาวุธลับที่ย้อนกลับมาทำร้าย ร้องโหยหวนและล้มลง โจวชิ่งหมุนตัวกลับไปฟาดฟันคนที่ห้า ถือโอกาสปลิดชีวิตคนที่หกที่เดิมทียืนรับฟังคำสั่งข้างกายเขา แต่กลับกลายเป็นคนทรยศที่เงื้อดาบขึ้นมาหมายจะฆ่าเขา
จากนั้นเขาก็หมุนปลายเท้า พลิกดาบในมือและตวัดออกไปตรงช่วงเอว จัดการนักฆ่าสองคนที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่กลัวตายในคราวเดียว
ผู้คนเพิ่งจะกะพริบตา ละอองเลือดก็สาดกระเซ็นไปทั่วดุจสายฝน นักฆ่าหกคนตายไปห้า มีเพียงคนที่สองที่ตาบอดเพราะสุราพิษที่พุ่งเข้าสู่ดวงตาสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ เพราะหลังจากล้มลงบนพื้นและร้องโหยหวน เขาก็ไม่ได้โจมตีโจวชิ่งอีก
เลือดสีแดงฉานไหลลงมาตามร่องบนดาบเล่มใหญ่ของโจวชิ่ง
หนึ่งหยด สองหยด สามหยด…
ลูกค้าในบ่อนพนันมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ท่ามกลางกองเลือดอย่างตื่นตระหนก แต่ละคนใบหน้าซีดเผือด ท่าทางเหมือนหนูที่ตกใจและขดตัวอยู่มุมผนัง หลบอยู่ใต้โต๊ะ ไม่มีใครกล้าขยับตัวแม้แต่น้อย
โจวชิ่งถือดาบเปื้อนเลือดมองทุกคนและกระดกมุมปาก รอยยิ้มนี้ทำเอาผู้คนหวาดผวากว่าเดิม ไม่กล้าขยับเขยื้อนมากยิ่งขึ้น ไอสังหารบนร่างยังคงไม่ลดเลือนไป อบอวลอยู่ในอากาศ
ยามที่เขาย่างเท้าออกไป นักพนันทั้งหลายถอยไปข้างหลังโดยไม่รู้ตัว
ครั้นเขายกมือขึ้น หนังศีรษะของทุกคนก็ตึงแน่น
โจวชิ่งอมยิ้ม วางดาบเล่มใหญ่ลงบนโต๊ะช้าๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือ ยิ้มน้อยๆ พลางพูดกับลูกค้าในบ่อนพนัน
“ขออภัยด้วย รบกวนความสนุกของทุกท่านแล้ว ตาเมื่อกี้ข้าจะจ่ายให้ทั้งหมด” เขาเอ่ยเสียงเรียบและหันไปสั่งเจ้ามือด้านข้าง “เหล่าอู่ ให้นายท่านทั้งหลายไปพักผ่อนในหอสุราก่อน แล้วทำความสะอาดที่นี่ซะ”
“ขอรับ” เหล่าอู่ผงกศีรษะ ฉีกยิ้มเชื้อเชิญลูกค้าที่ได้รับความตกใจในทันที
โจวชิ่งไม่ได้อยู่ที่นี่ต่อ หมุนตัวจากไป
ครั้งนี้ไม่มีใครพยายามขัดขวางเขาอีก
เขาเลิกม่าน ก้าวออกไปบนระเบียงทางเดิน ข้ามสะพานเล็กและลำธาร เดินผ่านภูเขาจำลอง จากนั้นก็ก้าวขึ้นไปบนอาคารด้วยท่าทางผ่อนคลายท่ามกลางสายตาของทุกคน
ครั้นกลับถึงห้องพัก เขาก็ถอดเสื้อผ้ากับเกี้ยวที่เปื้อนเลือดออก สวมเพียงเสื้อตัวในสีขาวเรียบ นั่งลงบนตั่งคนงามริมหน้าต่าง โน้มตัวไปบนโต๊ะเล็กบนตั่ง มองทิวทัศน์ยามค่ำคืนไกลออกไป
มีคนเคาะประตูเบาๆ เป็นหญิงสาวที่ชิงตำแหน่งยอดบุปผามาได้ติดต่อกันหลายปีผู้นั้น
แม้จะมีบานประตูขวางกั้น เขาก็ยังได้กลิ่นหอมจากกายนาง
“เข้ามา” เขาพูดโดยไม่หันไปมอง
หญิงสาวก้าวเข้ามาช้าๆ
“คุณชาย ท่านสบายดีหรือไม่”
โจวชิ่งยังคงไม่หันไปมอง เอาแต่ทอดสายตาไปไกล
“ดีสิ ย่อมดีอยู่แล้ว” เขากุมกุญแจเงินอันเล็กที่เอว ใช้ท้องนิ้วลูบไล้มันขณะย้อนถามเสียงเรียบ “จะไม่ดีได้อย่างไร”
ได้ยินดังนั้นหญิงสาวก็ชะงักเท้า ไม่กล้าเดินเข้ามาอีก
พอนางหยุดเดินกลับทำให้เขายิ้ม…รอยยิ้มเสียดสี
นางกลัวเขา เขารู้ ผู้คนในเมืองนี้ล้วนกลัวเขา แม้จะติดตามข้างกายเขามาหลายปี หญิงผู้นี้ก็ยังกลัวเขา…กลัวแทบแย่
เขาคือโจวชิ่ง เขาอยากให้ใครอยู่ คนผู้นั้นก็ต้องอยู่ เขาอยากให้ใครตาย คนผู้นั้นก็ต้องตาย
ขอเพียงเป็นคนที่มีหัวสมอง ก็ต่างรู้ว่าควรหวาดกลัวเขา
หญิงสาวถอยออกไปอย่างรู้กาลเทศะ
ลมกลางคืนโชยมา พัดเส้นผมดำสนิทของเขาจนปลิวขึ้นอีกครั้ง
โจวชิ่งหลับตาลง กุมกุญแจเงินโบราณอันเล็กไว้ในฝ่ามือแน่น สัมผัสสายลม สัมผัสความอุ่นร้อนมั่นคงในมือ
ในเมืองแห่งนี้มีสตรีเพียงคนเดียวที่ไม่กลัวเขา
ดวงตาดำกระจ่างใสของหญิงสาวผุดขึ้นตรงหน้า
เขามองเห็นชัดเจนว่าดวงตาดำขลับคู่นั้นจ้องมองเขาผ่านประกายระยิบระยับ จ้องมองเขาผ่านถนนใหญ่และตรอกเล็ก
จ้องมองเขาผ่านดอกท้อและต้นหลิวสีเขียว
หลายปีมานี้ดวงตากระจ่างใสคู่นั้นมักเฝ้ามองเขาอยู่ตลอดเวลา
เฝ้าดูเขาทำเรื่องเลวร้าย ทำสิ่งที่ขัดต่อศีลธรรม…
แม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว โจวชิ่งยังคงจดจำครั้งแรกที่พบนางและท่าทางไร้เดียงสาของนางได้อย่างชัดเจน
แม้จะสวมเสื้อผ้าบุรุษ แต่ดวงหน้าขาวเนียนของนาง ผิวนุ่มชุ่มชื้นที่แค่สัมผัสก็เหมือนจะแตกได้ ปลายนิ้วนุ่มเนียน เรือนผมยาวดำขลับนุ่มลื่น เรือนร่างเล็กบาง ยังมีกลิ่นกายหอมที่มิอาจแยกแยะผิดไปได้ ล้วนประกาศชัดว่านางเป็นสตรี
สตรีที่ปลอมตัวเป็นบุรุษ
นางถูกปล้นชิง แต่ไม่รู้แม้กระทั่งว่าต้องร้องตะโกน
เขานั่งอยู่บนอาคาร มองปราดเดียวก็เห็นนาง
นางยังไม่ทันเข้าประตูมา เขาก็รู้แล้วว่านางต้องถูกปล้นแน่ เสื้อผ้าของนางดีเกินไป รองเท้ากับหมวกใหม่เกินไป รูปร่างเล็กเกินไป นิ้วมือทั้งสิบงดงามเกินไป ท่วงท่ายามเดินบอบบางเกินไป ถุงใส่เงินที่ถืออยู่ในมือหนักเกินไป ตั้งแต่หัวจรดเท้ามองอย่างไรก็เป็นแกะอ้วนตัวหนึ่ง
แกะอ้วนตัวน้อย
เดิมทีเขาไม่อยากสนใจนาง หากเป็นเวลาอื่น บางทีเขาอาจไม่ยุ่งเรื่องนี้ แต่ยามนั้นเป็นตอนเช้าตรู่ นางเป็นลูกค้าคนแรกของโรงจำนำในวันนั้น
โจรผู้นั้นไร้ตาเกินไป นางเองก็ดื้อรั้นเกินไป ให้ตายก็ไม่ยอมปล่อยมือ
และวันนั้นบังเอิญว่าอารมณ์เขาไม่ดีนัก เห็นแล้วหงุดหงิด กว่าจะได้สติ หนังสือก็หลุดมือไปแล้ว
เขาเดินเข้าไปใกล้ถึงพบว่าเดิมทีนางน่าจะมีหน้าตาไม่เลว น่าเสียดายที่ใบหน้าถูกทำร้ายจนบวม
เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง เขารู้ เพราะเขาเติบโตขึ้นมาบนกองแป้งชาดตั้งแต่เล็ก
นางใจกล้ามาก มองเขาอยู่ตลอด แม้จะถอยไปก้าวหนึ่งและกลั้นหายใจตอนเขาประชิดเข้าไป แต่สีหน้ายังคงสุขุมผิดปกติ ทั้งยังเอ่ยขอบคุณเขา
จนกระทั่งหมุนตัวกลับเข้าไปในอาคารแล้ว เขาอดหันไปมองนางอีกครั้งไม่ได้ หญิงผู้นั้นยกมือขึ้นจัดการกับผมยาวของตัวเอง สวมหมวกใบเล็กให้ดี แขนเสื้อยาวไหลเลื่อนลงไปจนเห็นแขนผอมบางขาวซีด
เขาสังเกตเห็นว่ามือนางกำลังสั่น ก่อนก้าวเดินนางสูดหายใจลึกหลายเฮือก ลูบหน้าอกตรวจสอบให้มั่นใจว่าถุงใส่เงินยังอยู่กับตัวแล้วค่อยเดินออกจากตรอก
เขาดึงสายตากลับมาและอ่านหนังสือในมือ ไม่นานก็รู้สึกถึงสายตาที่มองมาจากข้างล่าง
…เป็นนาง
เขาเงยหน้ามองไป นางไม่ได้เลื่อนสายตาออกไป แต่แหงนหน้ามองเขาอยู่บนถนน ทั้งยังผงกศีรษะให้เขา
หญิงผู้นี้กล้าหาญยิ่งนัก เขาคิด แต่กลับไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
เขาไม่สนใจกุลสตรีสกุลใหญ่ และไม่คิดจะเพิ่มความวุ่นวายให้ตัวเอง แต่บนท้องถนนไม่ค่อยพบเจอสตรี อีกทั้งสตรีที่ใจกล้าบ้าบิ่นอย่างนาง สวมเสื้อผ้าบุรุษเดินไปทั่วเช่นนี้ยิ่งมีน้อย หลายปีมานี้เขายังไม่เคยพบเจอสักคน จึงยากที่จะไม่สังเกตนาง
ทุกครั้งที่เห็นมักต้องหยุดมองนางให้นานหน่อย
เขาไม่รู้ว่านางเป็นแม่นางบ้านใด เป็นคุณหนูสกุลใด แต่เขามักจะเห็นนางเดินไปมาบนท้องถนน
เริ่มแรกมาหาซื้อหูกทอผ้า เป็นหูกทอผ้าเก่า ไม่ดีนัก แต่กลับซื้อทีเดียวหลายตัว จากนั้นเป็นฝ้าย ซื้อคราวเดียวสิบกว่าชั่ง แต่กลับแบ่งมารับหลายครั้ง ครั้งละหลายชั่ง นางเป็นคนแบกเอง ใช้ร่างเล็กๆ กับมือผอมบางคู่นั้นมาหิ้ว มาขน
ครั้งหนึ่งเขาขี่ม้าออกจากบ้าน พบนางในไร่นานอกเมือง นางกำลังพูดคุยกับหญิงชาวนา ครั้งนั้นนางสวมชุดสตรี ใบหน้าคล้ำลงเล็กน้อยเพราะเดินทางไปมาอยู่ข้างนอก แต่เขาเห็นหูกทอผ้าเก่าที่ถูกขนลงมาจากรถ บนรถเทียมลายังมีหูกทอผ้าอีกตัว รอนำไปส่งให้อีกครอบครัวหนึ่ง
ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดเอาเสียงพูดคุยของนางมา แม่นางที่สวมเสื้อผ้าดีขนาดนั้น ปกติเวลาพูดเสียงจะไม่ดังถึงเพียงนั้น เขาหันไปมองถึงพบว่าหญิงผู้นั้นเป็นนาง
เขานั่งอยู่บนม้า ปล่อยให้ม้าเดินช้าๆ ไปข้างหน้า มองนางจากที่ไกลๆ ครู่หนึ่ง
นางเดินตามตื๊อหญิงชาวนาไปตามเส้นทางในชนบทที่ตัดกันไปมา หญิงชาวนาลงไปในนา นางก็ตามลงไปในนาข้าวที่มีน้ำด้วยโดยไม่กลัวว่ารองเท้าผ้าปักกับชุดกระโปรงจะเปื้อนโคลนในท้องนา ทำเอาหญิงชาวนาผู้นั้นตกตะลึง
เพราะเป็นคุณหนู ถึงได้ไม่กลัวหากรองเท้าจะสกปรกหรือเสียหาย แต่ก่อนครอบครัวนางจะต้องร่ำรวยมากแน่ๆ นางถึงได้ไม่ใส่ใจของนอกกายเช่นนี้ แต่เพราะอย่างนี้การที่นางสวมรองเท้าย่ำลงไปในท้องนาจึงยิ่งดูแปลกประหลาด
คุณหนูทั่วไปที่บ้านร่ำรวยอย่าว่าแต่ลงไปในท้องนาเลย เห็นหนอนแค่ตัวเดียวก็หวีดร้องเสียงดังลั่นแล้ว แม้แต่หญิงสาวในหอรับวสันต์ รองเท้าผ้าปักเปื้อนน้ำฝนยังโอดครวญอยู่ครึ่งค่อนวัน ใครบ้างที่เป็นเหมือนนาง
หลังจากนั้นอีกเดือนกว่า เขาเห็นนางกลับมาสวมชุดบุรุษ ลากห่อสัมภาระเดินลัดเลาะไปตามถนนและตรอกซอย ถามร้านค้าทีละร้าน ถามเถ้าแก่คนแล้วคนเล่าว่ามีใครจะรับซื้อสินค้าของนางบ้างหรือไม่
ไม่ใช่ว่าเขาสังเกตนางเป็นพิเศษ แต่เป็นเรื่องยากที่จะไม่สังเกต
คุณหนูที่ครอบครัวตกต่ำ เกินครึ่งล้วนปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามชะตากรรมหรือเลือกที่จะแต่งงาน แต่นางกลับไม่ได้ทำอย่างนั้น
นางคิดทำการค้า เอาลูกปัดหยกมาจำนำแลกเป็นเงินเพื่อไปทำการค้า อีกทั้งนางยังสามารถหาการค้าที่ทำเงินได้จริงๆ
เพียงแต่นางไม่รู้ว่าการทำการค้านั้นมีหลักการอยู่
เขาให้โม่หลีที่ติดตามข้างกายคอยสะกดรอยตามนาง ดูว่านางพักที่ใด เป็นลูกสาวบ้านใด
ข่าวที่โม่หลีนำกลับมารายงานทำเอาเขาตะลึงไปเล็กน้อย
เขาคิดว่าบ้านนางตกต่ำแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะไม่ใช่ บิดานางเป็นเศรษฐีในเมือง ฐานะมั่งคั่งร่ำรวย นางเป็นคุณหนูใหญ่ แต่กลับอาศัยอยู่ในบ้านพักนอกเมือง ข้างกายมีเพียงบ่าวสูงวัยที่บ้างป่วยบ้างพิการคอยรับใช้
‘สามเดือนก่อน คนข้างกายนางใครกันที่ป่วย’
‘ติงชุ่ยที่เลี้ยงดูนางมาตั้งแต่เล็กจนโตเคยป่วยอยู่พักหนึ่ง’
ได้ยินเช่นนี้เขาก็อดเลิกคิ้วไม่ได้
โม่หลีเล่าถึงสาเหตุที่นางไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่แบบคร่าวๆ แม้แต่เรื่องที่นางไปหาแม่รอง ขอให้อีกฝ่ายเชิญหมอแต่กลับถูกปฏิเสธ เขาก็สืบมาอย่างชัดเจน โม่หลีผู้นี้ทำงานละเอียดมาแต่ไหนแต่ไร เขาเชื่อว่าต่อให้เขาถามถึงบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรของนาง โม่หลีก็สามารถตอบได้
เพราะเขาถามไปแล้ว เพราะเขาเคยถาม โม่หลีจึงใส่ใจหญิงผู้นั้น
นั่นทำให้เวลาโม่หลีเห็นหญิงผู้นั้น เขามักจะเหลือบมองนางมากเป็นพิเศษ
เพราะเหตุนี้โอกาสที่ได้เห็นนางจึงมีมากขึ้น
ตอนอยู่ในหอสุรา เขาเห็นนางเดินอยู่บนท้องถนน เขาอยู่ชั้นบนของโรงจำนำก็มองเห็นนาง แม้แต่เดินอยู่บนถนนยังพบเจอกันโดยบังเอิญ
นางถูกคนไล่ออกมา ล้มคะมำอยู่บนพื้น สภาพอเนจอนาถยิ่ง กว่าจะได้สติ เขาก็เดินไปตรงหน้านางเสียแล้ว
นางเงยหน้าขึ้น ดวงตาดำกระจ่างสะท้อนแววกระอักกระอ่วน
ดวงหน้าเล็กที่ถูกโจรทำร้ายจนบวมก่อนหน้านี้หายดีแล้ว แต่หลังจากเทียวไปเทียวมาในช่วงที่ผ่านมา นิ้วมือทั้งสิบของนางไม่ขาวเนียน ผิวพรรณไม่ขาวปานหิมะเหมือนตอนที่เขาเจอนางครั้งแรกอีกแล้ว ทว่าดวงตาคู่นั้นยังคงใสกระจ่างและมุ่งมั่น
แม้จะอับอาย แต่ดวงตายังคงฉายแววยืนหยัด
นางถูกไล่ออกมาจากร้านค้าหลายสิบร้าน เฉพาะที่เขาเห็นก็เจ็ดแปดครั้งแล้ว
แม้จะถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า นางกลับไม่ละความพยายาม ไม่คิดที่จะยอมแพ้
นางเก็บผ้าเหล่านั้นขึ้นมาอย่างรีบร้อนราวกับผ้าพวกนั้นเป็นของล้ำค่า
เพื่ออะไรกันแน่ เขาอยากถาม แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เพียงเอ่ยปากบอกให้นางไปซื้อยันต์คุ้มภัย
นางไป เขารู้
คืนนั้นโม่หลีปากมากพูดถึงนาง ภายหลังตอนอยู่บนอาคาร เขาเห็นนางประสบความสำเร็จในการทำการค้าบนถนนการค้าทางทิศตะวันตกของเมือง
ฤดูหนาวปีนั้น เขาพบนางบนถนนอีกหลายครั้ง
ทุกครั้งที่เจอกัน นางมักจะพยักหน้าทักทายเขา ทุกครั้งเวลาเจอเขา ส่วนลึกของนัยน์ตากระจ่างใสคู่นั้นมักฉายแววยินดีออกมาโดยไม่รู้ตัว
นางไม่เคยเป็นฝ่ายชวนเขาคุย แต่นางดีใจทีเดียวที่ได้เจอเขา
เขารู้ เขารู้สึกได้ เขาควรบอกนางว่าอย่าทำแบบนี้อีก อย่างน้อยก็อย่าไปสนใจนาง
ช้าเร็วหญิงผู้นี้ก็ต้องรู้ว่าเขาไม่ใช่คุณชายที่แสนดีอะไร ยันต์คุ้มภัยที่นางซื้อทุกเดือน เงินที่หามาด้วยความยากลำบากที่ต้องจ่ายออกไป สุดท้ายแล้วก็ตกมาอยู่ในมือเขา แต่ยากเหลือเกินที่เขาจะทำเป็นมองไม่เห็นนาง โดยเฉพาะในเมืองแห่งนี้มีน้อยคนที่เห็นเขาแล้วจะเผยสีหน้ายินดีออกมาอย่างบริสุทธิ์จริงใจเช่นนั้น
นางมักจะเป็นเช่นนี้ ยกมุมปากระบายยิ้มให้เขาโดยไม่รู้ตัว ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองนางมากขึ้นอย่างไร้สาเหตุ แต่เขาไม่เคยแสดงสีหน้าดีๆ กับนาง ไม่เคยยิ้มให้นางมาก่อน ไม่เคยตอบรับหรือพยักหน้าให้ ทว่าพอเจอเขา นางกลับยังคงผงกศีรษะให้
วันที่สี่เดือนหนึ่ง บนถนนเพิ่งมีพ่อค้ามาเปิดแผงขายของ เขานั่งอยู่ตรงที่เดิมบนชั้นสองของโรงจำนำและเห็นหญิงผู้นั้นอีกแล้ว
นางสวมชุดสตรี ไปจุดธูปที่ศาลเจ้ากับสตรีที่เป็นคนเลี้ยงดูนาง ข้างกายมีแม่นางน้อยอายุราวสิบสองสิบสามตามมาด้วย
นั่นเป็นญาติห่างๆ ของนาง สายตาไม่ดี ไปไหนก็ต้องมีคนคอยจูง
ตอนนั้นการค้าของนางดีขึ้นแล้ว คนขับรถขาเป๋ที่บ้านนางบังคับรถเทียมลา บรรทุกนาง หญิงวัยกลางคนผู้นั้น และแม่นางน้อยผู้นั้นมาที่นี่ด้วยกัน
โม่หลีทำตัวจุ้นจ้านคอยดูแลการค้าของนางเป็นพิเศษ แต่เหตุผลหลักคือสินค้าของนางดีจริงๆ โม่หลีเคยเอามาให้เขาดู ฝีเข็มบนผ้าแน่นหนามาก ลูบแล้วบางเบา สัมผัสนุ่มลื่นประณีต แม้จะเป็นผ้าฝ้าย แต่กลับไม่ด้อยไปกว่าผ้าไหมผ้าแพรเลย
เขาควรบอกโม่หลีว่าอย่าจุ้นจ้านมากนัก แต่กลับลืมพูดอยู่เรื่อย
ทุกสองสามวันนางจะขนสินค้ามาขาย ทุกเดือนนางจะไปที่หอสุรา จ่ายเงินซื้อยันต์คุ้มภัย
เขามักเห็นเงาร่างที่ยุ่งง่วนนั้นวิ่งเข้าวิ่งออกร้านค้าต่างๆ วิ่งวุ่นไปมาอยู่ภายใต้สายตาเขา ดูเหมือนลูกข่างอย่างไรอย่างนั้น
เขามองนางจูงแม่นางน้อยลงจากรถเทียมลา พาแม่นางน้อยผู้นั้นไปซื้อถังหูลู่* กับพ่อค้าด้านข้างหนึ่งไม้ ก่อนเข้าไปจุดธูปในศาลเจ้า นางเงยหน้ามองมายังชั้นสองของโรงจำนำด้วยความเคยชิน ลืมไปว่าวันนี้ตัวเองไม่ใช่พ่อค้ารับซื้อผ้าและนำมาขายต่อ ลืมไปว่าตัวเองสวมชุดสตรี ไม่ได้แต่งกายเป็นบุรุษ
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่นางมักทำเช่นนี้เสมอ
ไม่ว่าอากาศจะแจ่มใสหรือฝนจะตก เวลาผ่านตรงนี้นางมักจะเงยหน้าขึ้นมาเหลือบมองแวบหนึ่ง จากนั้นเมื่อเห็นเขา นางก็จะพยักหน้าให้
วันนั้นนางก็ทำเหมือนเช่นทุกวัน พยักหน้าให้เขา
เพียงแต่ครั้งนี้นางสวมชุดสตรี คนข้างๆ มองเห็น คนขาเป๋มองเห็น หญิงวัยกลางคนข้างกายก็มองเห็น
ก่อนเข้าไปในศาลเจ้า คนขาเป๋พูดกับหญิงวัยกลางคนข้างกายนางสองสามคำ หญิงผู้นั้นรีบก้าวไปข้างหน้าพูดอะไรบางอย่างกับนาง นางชะงักฝีเท้าทันใดแล้วหันกลับมาแหงนหน้ามองเขา
เขากระจ่างแจ้งดีว่านางรู้ฐานะเขาเมื่อไร ชั่วขณะนั้น ชั่วเสี้ยวเวลานั้น
ผู้คนมักมีนิสัยปากมาก เหมือนเช่นคนขาเป๋ที่เป็นใบ้นั่น
นางมองเขาจากที่ไกลๆ ดวงตามีความตะลึงงันที่ยากจะปกปิด
เขาหลุบตามองนางอย่างเย็นชา เดิมทีคิดว่านางจะรีบเบนสายตาออกไป จะตระหนก จะหวาดกลัว ทว่านางกลับเอาแต่มองเขา จับจ้องเขานิ่งๆ จ้องจนเขาโกรธอย่างไร้สาเหตุ กำหนังสือในมือแน่นโดยไม่รู้ตัว
สุดท้ายหญิงวัยกลางคนผู้นั้นก็เอ่ยคำพูดอีกหลายคำ นางถึงได้หลุบตาลง จูงแม่นางน้อยผู้นั้นเข้าไปในศาลเจ้าด้วยกัน
เขาคือโจวชิ่ง ลูกชายของโจวเป้า ตอนนี้นางรู้แล้ว
เพียงครู่เดียวนางก็ออกมา เพียงแต่ครั้งนี้นางจะไม่เงยหน้าอีก ไม่มองเขาอีก ไม่สอดส่ายสายตาหาเขาอีก
เขาคิดว่าตนควรจะเดินออกไป อย่านั่งอยู่ตรงนี้ต่อไปเลย ควรไปจัดการงานเบ็ดเตล็ดที่มีเป็นกองได้แล้ว
วันนี้เป็นวันเปิดตลาด เรื่องที่รอให้เขาไปทำกองสูงเป็นภูเขา
ทว่าหลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป* ด้วยเหตุผลที่เขาเองก็บอกไม่ได้ เขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม พลิกดูหนังสือที่เขาท่องได้จนคล่องแล้ว
หิมะปลิวว่อน โปรยปรายลงมา เนื่องจากลมพัดจึงปลิวอยู่พักหนึ่งก่อนจะมาทับถมกันอยู่บนขอบหน้าต่าง ไม่ก็กองอยู่บนพื้น
ในศาลเจ้ามีควันธูปลอยอวล บนท้องถนนมีเสียงผู้คนเอะอะจอแจ
ตอนนางกลับออกมา เขามองปราดเดียวก็เห็นนางแล้ว หญิงวัยกลางคนด้านข้างกางร่มให้แม่นางน้อย นางเองก็กางร่มคันหนึ่ง ร่มกระดาษน้ำมันบดบังใบหน้านาง เขาเห็นเพียงชายกระโปรงของนาง กระโปรงขาวเรียบนั้นดูสูงสง่ายิ่ง ตอนนางยื่นมือไปยกชายกระโปรงขึ้น เขาเห็นว่าภายใต้ชายกระโปรงหนาหลายชั้นเป็นรองเท้าผ้าปักที่ดูค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับหญิงสาวทั่วไป
นั่นเป็นเท้าธรรมชาติ ยุคสมัยนี้คุณหนูที่มีฐานะล้วนรัดเท้า แต่นางกลับไม่ได้รัด
โจวชิ่งมองรองเท้าผ้าปักคู่นั้นก้าวข้ามธรณีประตู ก่อนจะหายลับไปใต้ชายกระโปรงที่พลิ้วไหวอีกครั้ง
หญิงวัยกลางคนพาแม่นางน้อยไปยังรถเทียมลา เจ้าของรองเท้าผ้าปักกลับหยุดอยู่หน้าศาลเจ้า ร่มกระดาษน้ำมันถูกยกขึ้นเล็กน้อย เอียงไปด้านข้าง
เขาจดจำชั่วเวลานั้น จดจำภาพในตอนนั้นได้อย่างชัดเจน จำได้ว่าเขาเห็นมือที่กางร่มของนาง จำหิมะที่โปรยปรายลงมาช้าๆ จำดวงหน้าเล็กที่ปรากฏอยู่ใต้ร่มกระดาษน้ำมันได้ เขายังจำได้ว่ายามนางเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากเนียนพ่นไอสีขาวขมุกขมัวออกมาท่ามกลางสายลมหนาวเหน็บ
เขาจำได้ว่านางเลิกคิ้ว ใช้ดวงตาที่ใสกระจ่างดุจค่ำคืนในฤดูร้อนจ้องตรงมาที่เขา
โจวชิ่งคิดว่าครั้งนี้นางควรจะหวาดกลัวเขาแล้ว ต่อให้ไม่กลัวก็ควรจำได้ว่าตัวเองแต่งตัวอย่างไร ควรตระหนักได้ว่าตัวเองเป็นสตรี
แต่นางไม่กลัว ยังคงมองหาเขา
หิมะปลิวว่อนกลางอากาศ บนท้องถนนเสียงผู้คนยังคงจอแจ เขากลับได้แต่มองนาง
จากนั้นนางก็ค่อยๆ ยกมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อขึ้นและแบมือออก
เขาเห็นยันต์คุ้มภัยสีแดงอันหนึ่งอยู่กลางฝ่ามือเล็กของนาง มันเป็นสีแดง ไม่ใช่สีเหลือง
นั่นเป็นยันต์คุ้มภัยจากศาลเจ้า ไม่ใช่ยันต์ที่ขายในหอสุรา
นางจ้องมองเขา เมื่อแน่ใจว่าเขาเห็นแล้วจึงหมุนตัวนำมันไปห้อยไว้ที่คอของสิงโตหินหน้าประตูศาลเจ้า ไม่ใช่สิงโตตัวใหญ่ แต่เป็นสิงโตตัวเล็ก
…สิงโตน้อย
เขาพูดอะไรไม่ออก
นางกางร่มหมุนตัวจากไปแล้ว ขึ้นรถเทียมลา หายลับไปอีกด้านของถนนใหญ่ แต่ยันต์คุ้มภัยสีแดงสดอันนั้นยังคงอยู่ตรงหน้าประตูศาลเจ้า บนตัวของสิงโตหินตัวเล็กนั้น
รถเทียมลาวิ่งไปไกลแล้ว หิมะยังคงโปรยปรายเริงระบำ
ชั่วขณะหนึ่งที่หางตาเขากระตุกเล็กน้อยด้วยความลังเล
บางทีเขาไม่ควรทำอย่างนี้ เขารู้ดีว่ามีคนจับตามองเขาอยู่อย่างลับๆ
โจวชิ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่าง จ้องสีแดงสดนั้นเนิ่นนาน แต่สุดท้ายเขาก็ยังคงก้าวลงจากอาคาร เดินไปหน้าประตูศาลเจ้าท่ามกลางลมหิมะ มองกุญแจเงินอันนั้นแล้วยื่นมือไปปลดมันลงมา
บนยันต์คุ้มภัยถูกนางผูกกุญแจเงินเก่าๆ ไว้อันหนึ่ง นั่นเป็นกุญแจอายุยืน บนตัวกุญแจขนาดเล็กแต่อวบอิ่มสลักตัวอักษรไว้สี่คำ…
‘อายุยืนยาว’
เขามองกุญแจอันเล็กบนฝ่ามือ รู้สึกพูดไม่ออก
เมืองแห่งนี้มีผู้คนตั้งเท่าไรสาปแช่งเขากับโจวเป้าให้ไปตาย แต่นางกลับต้องการให้เขาอายุยืนยาว?
เขามองกุญแจเงินโบราณ อดไม่ได้ที่จะรวบนิ้วมือเข้าด้วยกันช้าๆ กำมันไว้ในฝ่ามือ
ชั่วขณะหนึ่ง เหมือนเขายังรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิอุ่นๆ ที่นางทิ้งไว้บนกุญแจ รู้สึกว่าไอร้อนนั้นแผ่จากฝ่ามือเข้าไปสู่หัวใจ
เขาไม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ นางคิดอย่างไร นางน่าจะรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร รู้ว่าพ่อของเขาทำอะไร แต่นางยังคงขอยันต์คุ้มภัยให้เขา มอบกุญแจเงินโบราณอันนี้ให้เขา
มีคนเฝ้าดูอยู่ เขารู้ เขาสามารถรู้สึกได้ แต่นี่หาใช่สิ่งที่เขาบังคับ หาใช่สิ่งที่เขาช่วงชิงมา แต่เป็นสิ่งที่นางจะให้
…นางมอบให้เขา
โง่จริงๆ เขาคิด แต่ยังคงกำกุญแจอายุยืนนั้น เดินตัดผ่านกลุ่มคนบนท้องถนน หมุนตัวขึ้นไปบนอาคาร
โง่จริงๆ…
ชายหนุ่มลืมตามองทิวทัศน์ยามราตรี แต่การย้อนนึกถึงความทรงจำในอดีตกลับทำให้เขากำกุญแจเงินโบราณในมือแน่นอย่างห้ามตัวเองไม่ได้
จังหวะนั้นมีคนมาหาเขาอีกแล้ว แต่คนผู้นั้นไม่กล้าเคาะประตู เพียงยืนอยู่นอกประตูเงียบๆ
เขาคลายมือจากกุญแจเงิน ปล่อยให้กุญแจเงินกับยันต์คุ้มภัยสีแดงสดทิ้งตัวลงไปบนแผงอก ไหลเข้าไปในเสื้อ จากนั้นจึงหันไปเอ่ยปาก
“เข้ามา”
คนผู้นั้นได้ยินจึงยืดตัวขึ้นก่อนจะเปิดประตู
ผู้มาไม่ใช่ใครอื่น เป็นโม่หลี เขาผลักเปิดประตูอย่างนอบน้อม เข้ามาแล้วกลับยืนอยู่ข้างประตู เปิดทางให้คนข้างหลังก้าวเข้ามา
ข้ารับใช้สองคนยกสุราอาหารเข้ามาอย่างระวัง อีกคนยกอ่างน้ำ อีกคนนำผ้าสะอาดมาให้ ในกลุ่มคนเหล่านั้นยังมีคนหนึ่งหอบสมุดตั้งหนึ่งมาด้านข้าง เป็นสมุดบัญชีของหอสุรา โรงจำนำ และหอรับวสันต์ ยังมีร้านค้าและกิจการยิบย่อยอื่นๆ อีกหลากหลายมากมายไม่ต่ำกว่าร้อยร้าน
ข้ารับใช้วางของลงบนโต๊ะและจากไป มีเพียงโม่หลีที่ยังอยู่ เขาปิดประตูแล้วเดินไปข้างโต๊ะ
โจวชิ่งล้างมือในอ่าง แต่กลับไม่ได้กินอาหารพวกนั้น เขาหยิบส้มขึ้นมาลูกหนึ่ง แกะเปลือกช้าๆ พลางเอ่ยโดยไม่เหลือบมองอีกฝ่ายด้วยซ้ำ
“รายงานมาเถอะ”
พอได้รับคำสั่ง โม่หลีก็อ้าปากทันที รายงานด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“โรงจำนำหยวนเซิงรับเงินจำนวนเจ็ดหมื่นห้าพันตำลึง รับของจำนวนหนึ่งร้อยหกสิบสองชิ้น หอสุราเรืองโรจน์รับเงินจำนวนหนึ่งแสนแปดหมื่นเก้าพันห้าร้อยตำลึง ขายยันต์คุ้มภัยออกไปได้หนึ่งพันสองร้อยยี่สิบแปดชิ้น…”
โจวชิ่งนั่งอยู่บนตั่งพักผ่อนข้างหน้าต่าง ฟังโม่หลีรายงานบัญชีเงียบๆ
ท่ามกลางความมืด เขามองพระจันทร์ที่ลอยอยู่เหนือยอดไม้ มองสายลมหอบพัดก้อนเมฆจนม้วนตัว
โม่หลีรายงานบัญชีอย่างฉะฉานด้วยเสียงดังกังวาน รายงานบัญชีของกิจการที่บ้านเสร็จก็เริ่มรายงานเรื่องน้อยใหญ่ในสกุลขุนนาง รายงานเรื่องน้อยใหญ่ในสกุลขุนนางเสร็จก็ตามด้วยเรื่องน้อยใหญ่ของสกุลชาวยุทธ์ จากนั้นค่อยเป็นเรื่องน้อยใหญ่ของสกุลพ่อค้า
โม่หลีรายงานทีละเรื่องด้วยน้ำเสียงราบเรียบมั่นคง จะหยุดเฉพาะตอนที่โจวชิ่งยกมือขึ้นเท่านั้น รอจนอีกฝ่ายโบกมือเป็นสัญญาณให้พูดต่อ เขาจึงเปิดปากอีกครั้ง
กว่าโม่หลีจะหยุด เวลาก็ผ่านไปครึ่งค่อนคืนแล้ว
เสียงกลองและฆ้องในหอรับวสันต์เงียบไปตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้
เพลงที่แม่นางทั้งหลายร้องค่อยๆ เงียบไป แต่บางครั้งยังได้ยินเสียงเครื่องเป่าและเครื่องสายดังมาจากแม่น้ำฝั่งตรงข้ามของอาคาร
ใต้แสงจันทร์ คลื่นน้ำกระเพื่อมไหวส่งเสียงเบาๆ โคมไฟดวงใหญ่สีแดงดับไปทีละดวง
ยามสี่* คนเดินตรวจตราบอกโมงยามเคาะกรับไม้
ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่มืดที่สุด
โจวชิ่งโบกมือ ให้โม่หลีสั่งข้ารับใช้ยกสุราอาหารออกไป
โม่หลีทำงานเงียบๆ จากนั้นก็ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
สายลมยังคงพัดพลิ้ว เขายกมือขึ้น ดีดลมออกจากปลายนิ้วดับเทียนไข พาให้ห้องที่สว่างไสวพลันมืดลง
ค่ำคืนนี้กำลังจะจบลงแล้ว
เขายังคงนั่งงอเข่าพิงหน้าต่าง มองเมืองแห่งนี้เงียบๆ
หากมีคนแหงนหน้ามองขึ้นมา จะเห็นชายเสื้อเขาพลิ้วไหวอยู่ข้างหน้าต่าง
พริบตาถัดมาชายเสื้อก็หายวับไปในความมืดประหนึ่งภูตผีปีศาจ ไม่เห็นร่องรอยอีก
* ธรรมเนียมการเรียกขานสตรีที่แต่งงานแล้วของจีนจะใช้คำว่า ‘ซื่อ’ (แปลว่านามสกุล) ต่อท้ายนามสกุลเดิมของสตรี บางครั้งอาจเพิ่มนามสกุลของสามีไว้หน้าสุดเพื่อระบุให้ชัดขึ้นก็มี
* เตียงหลัวฮั่น เป็นเครื่องเรือนสมัยโบราณของจีน ใช้สำหรับนั่งรับแขกหรือนอนเล่น ลักษณะคล้ายตั่งขนาดใหญ่ แต่ไม่ใช้เป็นเตียงนอนในห้องนอน
* แม่ทัพเอ้อร์หลาง เป็นเทพองค์หนึ่งตามความเชื่อจีน ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งสวรรค์ มีสามตา อาวุธคู่กายคือง้าวสามคม
* ถังหูลู่ เป็นชื่อขนมหวานเคลือบน้ำตาลชนิดหนึ่ง แต่เดิมใช้ผลซานจา (พุทราป่า) เสียบไม้ไผ่เป็นแท่งเหมือนลูกชิ้นแล้วจุ่มลงในน้ำเชื่อมให้ผิวนอกแข็งตัวเป็นเงาวาว รสชาติเปรี้ยวอมหวาน ปัจจุบันดัดแปลงเป็นผลไม้ชนิดอื่นด้วย เช่น สตรอเบอรี่ กีวี่ สับปะรด เป็นต้น
* หนึ่งก้านธูป เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคนจีนโบราณ บางตำราว่าประมาณครึ่งชั่วโมง บางตำราว่า 1 ชั่วโมง
* สมัยโบราณจีนแบ่งช่วงเวลาตอนกลางคืนออกเป็นห้ายาม โดยยามหนึ่งเริ่มเวลา 19.00 น. ถึง 21.00 น. ดังนั้นยามสี่จึงเป็นเวลา 01.00 น. ถึง 03.00 น.
Comments
comments