X
    Categories: overgraYตรารักสายเลือดบาปทดลองอ่าน

ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 2 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 3

แสงดาราพาดผ่าน ดวงชะตาเคลื่อนคล้อย

 

กลางดึก รถม้าคันหนึ่งแล่นออกจากเมืองอย่างช้าๆ

ระหว่างที่รถม้าวิ่งไปข้างหน้า ตัวรถก็ส่ายไปซ้ายทีขวาที ราวกับเรือลำน้อยที่กำลังล่องอยู่เหนือน้ำ ปล่อยให้สายลมพัดพา

‘บาดแผลของเขาเป็นอย่างไรบ้าง’

ท่ามกลางสติที่เลื่อนลอย ข้างหูแว่วเสียงของชายหนุ่มผู้หนึ่ง น้ำเสียงนั้นนุ่มนวลชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย ประหนึ่งสายน้ำอุ่นไล้ผ่านใบหน้า

‘รอยแทงที่หลังมือสาหัสมากขอรับ บาดเจ็บถึงกระดูกเลยทีเดียว ผู้น้อยทายาที่นายท่านให้เขาแล้ว แต่คงจะออกแรงไม่ได้สักพัก โชคดีที่แผลตรงหน้าอกไม่ลึกมาก ไม่บาดเจ็บถึงอวัยวะภายใน…’ เสียงสูงแปร่งหูของผู้ชายอีกคนเอ่ยตอบ

‘ฟังดูเหมือนไม่ร้ายแรงถึงชีวิต’ น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นดังขึ้นอีกครั้ง

‘จริงอยู่ที่บาดแผลไม่นับว่าร้ายแรง แต่ว่า…’ น้ำเสียงของอีกฝ่ายแฝงความเคลือบแคลง

‘ทำไมหรือ มีเรื่องใด’

อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงกดต่ำจนฟังไม่ชัด

‘เหตุใดจึงมีเรื่องเช่นนี้!’ น้ำเสียงของเด็กหนุ่มพลันเปลี่ยนไป บ่งบอกว่าตกตะลึงยากจะเชื่อ ‘เขายังเด็กอยู่เลย ไฉนจึงมีคนกล้าทำ…กับเขา…’

‘แม้ยากจะเชื่อ แต่ก็เป็นเรื่องจริงขอรับ ผู้น้อยเพิ่งจะช่วยทายาให้เขาเมื่อครู่’

ความเงียบปกคลุมอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่น้ำเสียงอบอุ่นของเด็กหนุ่มจะดังขึ้น ‘เรื่องนี้รู้แค่เจ้ากับข้าสองคน ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด’

‘ขอรับ’ ฝ่ายนั้นชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถามขึ้น ‘นายท่านจะให้คนพาเขากลับไปรักษาตัวที่วังก่อนหรือไม่ขอรับ’

‘อืม…’ เด็กหนุ่มนิ่งคิดอยู่นาน ‘ข้าเดินทางคราวนี้กินเวลาเดือนกว่า หากให้นำเขากลับวัง ด้วยบาดแผลที่ยากจะอธิบายบนร่างเขาตอนนี้เกรงว่าจะดึงดูดความสงสัยที่ชวนให้เข้าใจผิดได้ เขาอายุยังน้อย หากมีข่าวลือเสียหายแพร่ออกไป วันหน้าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน ในเมื่ออาการไม่ร้ายแรงมากก็พาไปด้วยเสียเลย…’

‘นายท่านจะพาเขาไปมองโกลด้วยหรือขอรับ’ อีกฝ่ายดูตกใจเล็กน้อย

‘คราวนี้แค่ไปอวยพรวันเกิดเท่านั้น พาคนไปเพิ่มอีกหนึ่งคงไม่เป็นไร อีกทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าผู้ใดทำเรื่องต่ำทรามเช่นนี้ หากเกิดเหตุพลิกผันทำให้เด็กคนนี้ตกไปอยู่ในกรงเล็บหมาป่าอีกครั้ง จะไม่ยิ่งเลวร้ายกว่าหรอกหรือ’ เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างหนักแน่น ‘ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ามิใช่สำเร็จวิชาแพทย์มาแล้ว?’

อีกฝ่ายดูยุ่งยากใจแต่ก็ไม่ขัดขวางอีก ‘ถ้าเช่นนั้นพรุ่งนี้ผู้น้อยจะเตรียมรถม้าเพิ่มอีกคัน คงมิอาจให้นายท่านทนเบียดเสียดกับเด็กคนนี้’

เด็กหนุ่มพลันรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมอง เขามองเข้ามาภายในรถ เอ่ยอย่างอ่อนโยน ‘เจ้าตื่นแล้วหรือ’

ในความมืด เด็กน้อยจ้องตอบเขาแน่นิ่ง

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีคนใช้น้ำเสียงนุ่มนวลเช่นนี้พูดกับเขา เด็กน้อยเพ่งสายตา คิดจะมองคนตรงหน้าให้ชัดเจน

อาศัยแสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา เขาพยายามลืมตาอย่างสุดความสามารถ อยากจะดูให้ชัดกว่านี้ ภาพที่เห็นคือเค้าโครงหน้าเรียวยาว เครื่องหน้าทั้งห้าได้สัดส่วน งดงามกว่าผู้คนที่เขาเคยแอบมองผ่านมุมของห้องครัวเหล่านั้นเสียอีก คิ้วตาจมูกปากดูแล้วสบายตาสบายใจยิ่ง อีกทั้งสีหน้าก็อบอุ่นอ่อนโยน ไม่ต่างจากน้ำเสียง ครั้งแรกที่เขาได้เห็นเด็กหนุ่มก็จดจำจนยากจะลืมเลือน

เขามั่นใจว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นคนที่รูปงามที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา

‘ไม่ต้องกลัว ที่นี่ไม่มีใครทำร้ายเจ้า’ เด็กหนุ่มปลอบเขาอย่างเอาใจใส่

ไม่เคยมีใครใส่ใจเขาเช่นนี้มาก่อน ชั่วขณะนั้นในอกพลันร้อนวูบ

‘เจ้าช่างโชคดีนักที่คืนนี้ได้มาพบผู้สูงศักดิ์เข้า เพราะมีกิจธุระยืดเยื้อ นายท่านของข้าจึงต้องออกเดินทางช้ากว่ากำหนดครึ่งวัน เผอิญพบเจ้านอนอยู่ข้างถนน หากช้ากว่านี้ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง’

เด็กน้อยไม่สนใจชายอีกคนเลยแม้แต่น้อย เอาแต่จ้องมองเด็กหนุ่มคนนั้น

‘เจ้าเป็นลูกหลานสกุลใด’ บ่าวรับใช้ของเด็กหนุ่มซักถาม

เขาขยับกายเล็กน้อย คิดจะตอบ ทว่ากลับไม่รู้ควรจะตอบอย่างไร เขาไม่รู้ว่าตัวเองมาจากสกุลไหน

‘เจ้าชื่อแซ่อะไร’ บ่าวรับใช้ผู้นั้นถามอีกครั้ง

เด็กน้อยนิ่งงัน ตอบไม่ถูก ตั้งแต่จำความได้ มารดาเพียงเรียกเขาว่า ‘ลูก’ ไม่เคยเรียกเป็นอย่างอื่น นอกจากมารดาแล้วก็ไม่มีใครเป็นฝ่ายพูดคุยกับเขาก่อน

‘เหตุใดจึงไม่ยอมพูดเล่า จำได้หรือไม่ว่าถูกผู้ใดทำร้าย’ บ่าวรับใช้ถามต่อไปอีก

ถูกใครทำร้าย เด็กน้อยพลันนึกถึงสีหน้ายามที่มารดาถือมีดหั่นผัก กับสีหน้าของนายท่านผู้นั้นยามที่อ้าปากกว้าง เขาสั่นเทาไปทั้งร่าง ในหัวว่างเปล่า

‘พอแล้ว ไม่ต้องถามอีก เขาตระหนกจนเสียขวัญหมดแล้ว’ เด็กหนุ่มสั่งบ่าวรับใช้ให้หยุดถาม ในน้ำเสียงอ่อนโยนปรากฏแววตำหนิ

‘โชคดีที่นายท่านใจกว้าง หากเป็นผู้อื่น ไม่แน่ว่าจะเห็นเป็นเรื่องยุ่งยากแล้วส่งให้จวนว่าการจัดการโดยตรง’

เด็กน้อยได้ยินก็ตระหนกลนลาน ในใจรู้สึกว่า ‘จวนว่าการ’ จะต้องมิใช่สถานที่ที่ดีเป็นแน่ คนที่นั่นอาจรังเกียจที่เขาสกปรกโสมม อาจจะตีเขา รังแกเขา หรือไม่ก็อาจจะฆ่าเขาเลยก็ได้…

‘ช่วย…ช่วยข้าด้วย…’ เด็กน้อยร่างกายสั่นเทา พูดด้วยเสียงเบาสั่นสะท้าน ฟังดูไร้ที่พึ่ง ‘ข้า…ข้าไม่อยากตาย’

เด็กหนุ่มชะงักนิ่ง สำหรับเขาการช่วยคนจากข้างถนนกินแรงแค่ยกมือขึ้นเท่านั้น ไม่ต่างจากช่วยหมาช่วยแมว เพราะเป็นเรื่องง่ายดายจึงไม่เคยเก็บมาใส่ใจ แต่ยามได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยปากขอร้อง กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ยากที่จะไม่หวั่นไหว โดยเฉพาะอีกฝ่ายยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ซ้ำร่างกายยังถูกทำร้ายสาหัสถึงเพียงนี้

‘เจ้าไม่เป็นอะไรหรอก นายท่านมิใช่ช่วยเจ้าไว้แล้วหรอกหรือ’

เด็กน้อยได้ฟังก็รีบหันไปมองเด็กหนุ่ม ท่าทางราวกับคนจมน้ำที่คว้าจับขอนไม้ไว้ได้ ด้วยกลัวขอนไม้จะหลุดลอยไป จึงเรียกตามด้วยน้ำเสียงเบาหวิว ‘นายท่าน…’

เด็กหนุ่มถูกเสียงเรียก ‘นายท่าน’ ทำให้ตะลึงงันจนอดทอดถอนใจไม่ได้ รอบกายมีคนเรียกขานเขามากมาย แต่กลับไม่มีสักครึ่งคนที่เอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงเว้าวอนเช่นนี้ ชั่วขณะนั้นก็ยิ่งเกิดความรู้สึกสงสาร

‘เจ้าจะเรียกนายท่านมิได้ ต้องเรียกว่าผู้มีพระคุณ’ บ่าวรับใช้เอ่ยแก้

เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเป็นการบอกไม่ให้ส่งเสียง เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะเก็บเด็กคนนี้ไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่เด็กน้อยเรียกเขาว่านายท่านก็ถูกต้องแล้ว ครั้นเห็นอีกฝ่ายจ้องตนด้วยสองตาทอประกายคาดหวังปนหวาดหวั่น เสมือนว่าบนโลกใบนี้มีเพียงเขาที่เป็นที่พึ่ง คิดเช่นนั้นเด็กหนุ่มก็รู้สึกราวกับตัวเองเป็นวีรบุรุษผู้กล้าในเรื่องเล่าจอมยุทธ์ ท่องไปทั่วยุทธภพช่วยเหลือผู้อ่อนแอ ในใจจะไม่รู้สึกฮึกเหิมได้อย่างไร

ความคิดวาบผ่านหมื่นขุนเขา เพียงพริบตาทิวทัศน์ก็แปรเปลี่ยนไปหลากหลาย เด็กหนุ่มเห็นเด็กน้อยตัวสั่นไม่หยุด ก็รีบปลดผ้าคลุมลงจากตัว ค่อยๆ ห่มทับบนร่างของเขา

‘นายท่านจะหนาวเอาได้นะขอรับ ประเดี๋ยวผู้น้อยจะหาเสื้อคลุมอีกผืนมาให้เขาเอง’

‘ผืนนี้ของข้าอุ่นที่สุดแล้ว ให้เขาก่อนเถิด’ เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเบา ย้ายสายตามองไปที่ใบหน้าของเด็กน้อย ‘หลับเถิด อยู่ข้างกายข้าจะไม่มีผู้ใดกล้ารังแกเจ้าทั้งนั้น’

จะไม่มีผู้ใดกล้ารังแกเขา เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาปลอดภัยแล้ว? ดวงตาทั้งสองข้างที่เอาแต่จ้องเด็กหนุ่มเบิกกว้างขึ้นกว่าเดิม เมื่อก่อนท่ามกลางราตรีอันเงียบสงัด เขาจะนั่งอยู่ข้างบานหน้าต่างเพียงลำพัง เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า คิดไปว่าสุดปลายฟากฝั่งของดวงดาวอาจจะมีเขาอีกคนหนึ่งที่กำลังใช้ชีวิตอย่างเบิกบานใจอยู่ก็เป็นได้

ชั่วขณะนั้นดวงตาทั้งคู่ของนายท่านช่างสว่างไสวเหลือเกิน ราวกับเก็บดวงดาวบนฟากฟ้าเอาไว้ เด็กน้อยคิด บางทีเขาอาจจะกระโดดข้ามไปถึงดวงดาวแล้วก็เป็นได้…

อาบน้ำหลั่งน้ำตา ใจที่รวดร้าวดังวันวาน

 

คืนที่ดวงดาวเต็มผืนฟ้า

ในห้องอันกว้างขวาง ด้านหลังฉากบังลมฝังอัญมณีล้ำค่า เงาร่างสวมชุดคลุมยาวสีขาวของเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังเทน้ำร้อนลงในอ่าง ก่อนจะนำผ้าสะอาด สบู่หอม รวมไปถึงกาน้ำชาอุ่นร้อนวางบนโต๊ะเตี้ยด้านข้างอย่างพิถีพิถัน

บานประตูเปิดออก คนผู้หนึ่งก้าวเข้ามาพร้อมเอ่ยกับผู้ที่อยู่ด้านหลังฉากบังลม “เตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือยัง”

“เตรียมเสร็จแล้ว ใช้อาบน้ำได้เลย” เขาจุ่มมือลงในน้ำ กวักมือเบาๆ ทำให้เกิดเสียงน้ำกังวานใส

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ประกายตาของคนที่อยู่ด้านนอกฉากก็วูบไหวเล็กน้อย เขาเร่งฝีเท้า เมื่อเห็นเด็กหนุ่มในชุดขาว แววตาก็ฉายรอยยินดี แต่ไม่ได้เอ่ยคำใด

เด็กหนุ่มในชุดขาวปรนนิบัติเขา ปลดสายรัดเอว ถอดเสื้อตัวนอก เสื้อตัวใน จนเหลือเพียงกางเกงตัวใน ก่อนจะพับเสื้อผ้าวางไว้บนชั้นไม้อย่างเป็นระเบียบ ขณะจะหมุนกายเดินจากไปกลับถูกดึงมือเอาไว้

“พี่สามยังมีเรื่องใดอีกหรือ”

เด็กหนุ่มชุดขาวก็คือหรูซิ่ว เขาเงยหน้าขึ้นถาม

อีกฝ่ายมองเขา นิ่งเงียบอยู่นานถึงค่อยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อยู่ต่อสิ”

“อีกเดี๋ยวอาจมีคนเข้ามา”

องค์ชายสามได้ยินก็เดินไปปิดประตูให้แน่นหนา หน้าต่างก็ถูกปิดจนมิดชิด

หรูซิ่วมองเงียบๆ อดเตือนเสียงเบาไม่ได้ “พี่สาม เดี๋ยวจะหนาวเอาได้”

องค์ชายสามไม่สนใจ เมื่อหับหน้าต่างเรียบร้อยดีแล้วก็เดินเข้ามาหาเด็กหนุ่ม กุมมือเขาไว้ไม่ปล่อย

หรูซิ่วเงยหน้าขึ้นยิ้ม “พี่สาม ท่านทำตัวหน้าไม่อายอีกแล้ว”

“เพราะถูกเจ้าบังคับหรอก” องค์ชายสามบีบเคล้นฝ่ามือเขาเบาๆ

ฝ่ามือทั้งสองข้างนั้นเป็นมือของผู้สูงศักดิ์ อบอุ่นและมั่นคง ต่างกับมือผอมแห้ง หยาบกร้าน และเย็นเฉียบของหรูซิ่ว เมื่อถูกกุมมือเอาไว้เขาก็อดรู้สึกอบอุ่นเข้าไปถึงหัวใจไม่ได้

“รีบลงไปแช่ในน้ำเถิด ข้าจะช่วยถูหลังให้ท่าน” หรูซิ่วเร่ง

ไม่นาน คนหนึ่งก็ลงไปนั่งในอ่าง มีเพียงไหล่ที่โผล่พ้นน้ำ ส่วนอีกคนก็ย้ายม้านั่งเข้ามานั่งข้างๆ มือถือผ้าสะอาดถูแผ่นหลังและต้นคอให้

“ครั้งสุดท้ายที่เจ้าช่วยถูหลังให้ข้า ผ่านมานานมากเหลือเกิน” ชายหนุ่มพูด

“ข้างกายพี่สามมีคนตั้งมากมาย ทั้งยังคล่องแคล่วมีไหวพริบ ชาติกำเนิดขาวสะอาด ไหนเลยจะเหลือที่ให้บ่าวรับใช้” หรูซิ่วหยอกล้อ ทว่าอีกคนหันร่างกลับมามองด้วยสีหน้าตำหนิ

“ปากคู่นี้ไฉนจึงแหลมคมไม่เคยเปลี่ยน” องค์ชายสามคว้าข้อมือเขามากุมไว้ “ชอบทำให้ผู้อื่นรู้สึกผิดอยู่ร่ำไป”

“นายท่านไม่ชอบฟัง ผู้น้อยไม่พูดก็ได้ขอรับ ท่านจะได้ไม่ต้องโมโห” เขาคิดจะดึงมือกลับ แต่องค์ชายสามไม่ยอมปล่อย

คนทั้งสองสบตากันอยู่ชั่วครู่ หรูซิ่วเป็นฝ่ายเบนสายตาหลบก่อน องค์ชายสามพลันจับปลายคางของเขา บังคับให้หันหน้ากลับมา การกระทำหยาบคายที่เห็นได้น้อยครั้งทำให้หรูซิ่วประหลาดใจจนชะงักไป

“คนที่โมโหคือเจ้าต่างหาก” องค์ชายสามคลายมือ เปลี่ยนเป็นลูบไล้แก้มแทน ก่อนจะใช้นิ้วหัวแม่มือปัดผ่านขนตาเขาเบาๆ “ทุกครั้งที่เจ้าโกรธ ก็จะจงใจเรียกข้าว่านายท่าน คิดว่าข้าไม่รู้หรือ”

หรูซิ่วไม่ตอบ สีหน้าเริ่มมีแววแข็งขืน องค์ชายสามพลันขยับเข้าไปหา คว้าร่างเขาเข้ามากอดก่อนจะก้มหน้ายึดครองริมฝีปากของเขา

คนที่ถูกโอบกอดดิ้นรนขัดขืน ทว่าคนที่อยู่ในอ่างน้ำกลับไม่ยอมปล่อย ทำให้น้ำสาดกระเซ็นไปทั่ว

หรูซิ่วถูกจูบจนแทบหายใจไม่ทัน เมื่อสบจังหวะสูดลมหายใจได้ก็รีบร้อง “ท่านกำลังบังคับข้า…”

“ข้ายอมถอยให้เจ้ามากแล้วต่างหาก!” องค์ชายสามตัดบทเขา ก่อนจะคว้าไหล่ทั้งสองข้างของหรูซิ่ว ตะโกนเสียงต่ำอย่างดุร้ายยิ่งกว่าเดิม “หากข้าจะบังคับเจ้า ตอนที่เจ้าแอบหนีกลับมาจิงเฉิงตอนนั้น ข้าคงบังคับให้เจ้าจากไปแล้วไม่ต้องกลับมาอีก ข้าจะได้ไม่ต้องรู้สึกปวดใจอยู่ทุกวันเช่นนี้”

“พี่สาม…” สีหน้าของหรูซิ่วพลันแปรเปลี่ยน กัดฟันถามด้วยน้ำตาสองสายที่ไหลลงมา “หากข้าไม่ยอมไป ท่านจะทำเช่นไร”

เห็นอีกฝ่ายหลั่งน้ำตา องค์ชายสามก็ออกแรงรั้งร่างเขาเข้ามากอด ใบหน้าที่มักเยือกเย็นสงบนิ่งปรากฏร่องรอยลำบากใจ เป็นนานกว่าจะพูดขึ้น “ข้าก็ให้เจ้ากลับมาแล้วมิใช่หรือ!”

“ชีวิตนี้ของข้า พี่สามเป็นผู้ช่วยเอาไว้ ทั้งชื่อ ทั้งฐานะล้วนเป็นพี่สามที่มอบให้…” หรูซิ่วสะอื้น “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านก็ไล่ข้าไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”

องค์ชายสามคลายมือออก ครั้นเห็นอีกฝ่ายยังร่ำไห้ก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะดึงเขากลับเข้ามาในอ้อมกอดอีกครั้ง แนบแก้มตนกับหน้าผากของเขา “เห็นทีเจ้าจะยิ่งโตก็ยิ่งเหมือนเด็ก ขึ้นเสียงใส่ไม่กี่คำก็ร้องห่มร้องไห้เสียแล้ว”

“พี่สามกลับยิ่งโตยิ่งถอยหลัง นิสัยขี้โมโหแย่ยิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก”

“เจ้ามีหน้ามาวิจารณ์ข้าด้วยหรือ” องค์ชายสามยิ้ม

“พี่สามเสียใจแล้วใช่หรือไม่ ที่ปีนั้นเลือกเก็บตัวปัญหาอย่างข้ามา ตอนแรกท่านควรจะปล่อยข้าให้นอนรอความตายอยู่ตรงนั้น”

องค์ชายสามยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิมพลางลูบหัวเขา “ข้าไม่เคยนึกเสียใจที่ช่วยเจ้า เมื่อก่อนข้าอาจไม่รู้ แต่ตอนนี้เจ้าทำให้ข้าอยากเห็นหน้าเจ้าตลอดเวลา”

“นี่เรียกว่าใส่ร้ายผู้อื่น ตั้งแต่ถูกท่านช่วยเอาไว้ ข้าเฝ้านึกอยู่ตลอดว่าจะทำให้ท่านเบิกบานใจได้อย่างไร กลัวอยู่ทุกขณะว่าหากวันใดเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้น ท่านก็จะทิ้งข้าไว้ที่มองโกล”

“ต่อให้ข้าอยากจะทิ้ง เกรงว่าคงมีคนไม่ยอม” องค์ชายสามจงใจหยอกล้อ อาศัยเรื่องนี้ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น แต่กระนั้นก็ยังอดทอดถอนใจไม่ได้ “เวลาผ่านไปรวดเร็วจริงๆ นับดูแล้วก็สิบสี่ปีแล้วหรือนี่”

ผ่านไปสิบสี่ปีแล้ว ตอนนั้นเด็กหนุ่มเฉลียวฉลาดในอ้อมกอดคนนี้ยังไม่รู้หนังสือเลยสักตัว กระทั่งชื่อของตัวเองก็ไม่มี

หวนนึกกลับไป…

 

‘ไม่รู้ชื่อแซ่จริงๆ หรือ’

องค์ชายสามกลับเข้ามาในกระโจม หลังจากได้ยินบ่าวรายงานก็อดรู้สึกสงสารไม่ได้

‘เป็นเช่นนั้นจริงพ่ะย่ะค่ะ ระยะนี้กระหม่อมลองคุยกับเขาอยู่หลายครั้ง เท่าที่ได้ยินมา เขาไม่เคยออกจากบ้าน คนในบ้านก็ไม่ได้ตั้งชื่อให้ เพียงเรียกเขาว่าเด็กน้อย’

บ่าวรับใช้รายงานอย่างละเอียด เขาฟังแล้วก็อดส่ายหน้าไม่ได้

คืนนั้นหลังจากช่วยคนมาแล้ว รุ่งสางของอีกวันเขายังคงพักผ่อนอยู่ในรถม้า บ่าวรับใช้ก็ตระเตรียมรถม้าอีกคันไว้พร้อมสรรพ ทั้งยังย้ายเด็กน้อยไปที่รถม้าคันนั้นเรียบร้อย เพราะบาดเจ็บอยู่ ระหว่างทางเด็กน้อยจึงไม่ได้ลงจากรถไปไหน เขาเองก็ไม่อาจลดเกียรติเป็นฝ่ายเข้าไปเยี่ยมดูอาการ จนกระทั่งมาถึงมองโกลก็ยุ่งวุ่นวายกับงานเลี้ยงติดต่อกันหลายวัน จึงไม่มีกะจิตกะใจคิดถึงเรื่องอื่น เช้านี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีเวลาว่างคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้

‘บาดแผลของเขาดีขึ้นบ้างแล้วกระมัง หากสามารถเคลื่อนไหวได้แล้วก็พาเขาเข้ามา’ องค์ชายสามนั่งอยู่ภายในกระโจม ด้านข้างจุดธูปหอมไว้ดอกหนึ่ง เขายกชาขึ้นจิบ ก่อนจะหยิบพู่กันขึ้นบรรจงเขียนตัวอักษร

ไม่นานก็เห็นบ่าวรับใช้พาคนเข้ามา

‘องค์ชายสาม เขามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ’

องค์ชายสามขานรับคำหนึ่งพลางเงยหน้าขึ้นช้าๆ กลับเห็นเด็กน้อยคุกเข่าโขกหัวให้เขา เอ่ยเสียงดัง ‘ขอบพระคุณนายท่านที่ช่วยชีวิตขอรับ!’

‘เขายังไม่หายดี เจ้าให้เขาคุกเข่าได้อย่างไร!’ องค์ชายสามตวัดสายตามองบ่าวรับใช้ทีหนึ่ง ก่อนจะหันมามองเด็กน้อย น้ำเสียงอ่อนลง ‘เจ้าลุกขึ้นเถิด’

เด็กน้อยลุกขึ้นยืน ทว่ายังคงก้มหน้า

องค์ชายสามเห็นเช่นนั้นก็อดยิ้มบางมิได้ ‘ไม่ต้องกลัว เงยหน้าขึ้นสิ’

เด็กน้อยได้ยินก็ใช้สองมือกำชายเสื้อ เงยหน้าขึ้นมองผู้มีพระคุณ องค์ชายสามตกตะลึง คืนนั้นในรถม้ามืดมากจนมองได้ไม่ชัด วันนี้พอได้เห็นแล้วก็พบว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กน้อยสะอาดสะอ้านท่าทางเรียบร้อยคนหนึ่ง ผิวกายขาวกระจ่าง เครื่องหน้าราวกับสลักเสลา หากไม่ได้โกนผม บอกว่าเป็นเด็กผู้หญิงเขาก็เชื่อ

‘มือของเจ้าขยับไหวหรือไม่’ องค์ชายสามถาม ทว่าเมื่อเห็นเขาตัวสั่นเทา แววตาเริ่มมีแววหวาดหวั่นก็ทนใจแข็งไม่ไหว เรียกให้เขาเข้ามาหา ลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ‘เหตุใดจึงเอาแต่ตัวสั่น ข้าน่ากลัวนักหรือ’

เด็กน้อยรีบส่ายหน้า ก่อนจะทำใจกล้าเงยหน้าขึ้นสบตา ไม่ว่าจะเป็นยามกลางคืนหรือกลางวัน เขาก็รู้สึกว่านายท่านช่างรูปงามเหลือเกิน น้ำเสียงก็ไพเราะ บนร่างมีกลิ่นหอมที่ชวนให้รู้สึกสบายใจยิ่ง และยามที่นายท่านลูบหัวเขาก็อ่อนโยนอย่างมาก

‘คงเพราะได้รับความสะเทือนใจมาก่อน เวลานอนจึงไม่ค่อยสงบนัก ตอนแรกกระหม่อมจะช่วยทายาให้เขา พอเขาเห็นกระหม่อมยกมือขึ้นก็หวาดกลัวจนหน้าซีดเผือดเลยพ่ะย่ะค่ะ’ บ่าวรับใช้ขององค์ชายสามมองออกว่าเจ้านายเกิดความเมตตา จึงพูดเสริมจนน้ำลายแตกฟองอยู่ด้านข้าง ‘พอกระหม่อมสั่งให้คนยกยาไปให้ ตอนแรกเขาก็ไม่กล้าดื่ม ยังมี…บาดแผลเก่าบนร่างของเขาอีกหลายแห่ง คล้ายรอยถูกหยิกพ่ะย่ะค่ะ’

องค์ชายสามไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน ยิ่งไม่เคยเห็นคนที่กล้าทำ ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกทั้งใจอ่อนทั้งสงสัย อดมองไปที่ร่างของเด็กน้อยไม่ได้ บ่าวรับใช้ของเขาเห็นเช่นนั้นก็รีบม้วนแขนเสื้อทั้งสองข้างของเด็กน้อยขึ้น เผยให้เห็นรอยช้ำสีม่วงหลายแห่งบนแขน มีทั้งที่สีจางไปแล้วและสีคล้ำเข้ม เด็กหนุ่มตื่นตระหนกอยู่ไม่น้อย จิตใจฮึกเหิมของวีรบุรุษผู้กล้าลุกโชนอีกครั้ง เขาเอ่ยกับเด็กน้อยด้วยเสียงหนักแน่น ‘จากนี้ไปหากใครกล้าทำเช่นนี้กับเจ้าอีก ข้าจะไม่ละเว้นมันผู้นั้นแน่’

‘ยังไม่รีบขอบพระทัยอีก! องค์ชายสามทรงเมตตาเจ้าเช่นนี้ หาไม่ได้จากที่ใดแล้วนะ’

เด็กน้อยได้ยินก็หมายจะก้มลงคุกเข่า ทว่าถูกองค์ชายสามห้ามเอาไว้ ‘พอแล้ว เมื่อครู่ก็โขกหัวไปแล้ว ไม่ต้องคุกเข่าอีกก็ได้ ข้าได้ยินว่าเจ้าไม่มีชื่อหรือ’

เด็กน้อยพยักหน้า

‘มิสู้องค์ชายสามทรงช่วยตั้งให้สักชื่อเล่าพ่ะย่ะค่ะ’ บ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านข้างแนะนำ ดวงตาขององค์ชายสามพลันสว่างวาบ เห็นชัดว่าถูกใจอย่างยิ่ง

‘ข้าขอคิดดูก่อน’ องค์ชายสามยิ้มน้อยๆ ก่อนจะนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ ‘ถ้าอย่างนั้น เจ้าคงจะไม่รู้หนังสือด้วยเป็นแน่’

เด็กน้อยพยักหน้าอีกครั้ง เขาไม่ได้ตัวสั่นแล้ว ทั้งยังกล้ามองอีกฝ่ายตรงๆ

องค์ชายสามเห็นใบหน้าของเขาแม้จะยังไร้เดียงสา แต่ในแววตากลับฉายรอยฉลาดเฉลียว จึงเอ่ยขึ้นว่า ‘เอาเช่นนี้แล้วกัน ถึงอย่างไรข้าอยู่ที่นี่ก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว มิสู้ข้าจะเขียนอักษรสักหลายๆ ตัวให้เจ้าเอาไปคัดลอก โชคดีที่เจ้าบาดเจ็บที่มือซ้ายไม่ใช่มือขวา ถือพู่กันเขียนอักษรคงไม่เป็นไร’

นายท่านจะสอนเขาเขียนตัวอักษร? สำหรับเด็กน้อยแล้ว นายท่านแสนดียิ่งกว่าเทพเซียนเสียอีก ถึงขั้นยอมสอนเขาด้วยตัวเอง! เด็กน้อยตะลึงลาน ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกยินดีจนไม่รู้จะบรรยายอย่างไร ทั้งไม่รู้จะเอ่ยเช่นไร ทำได้แค่สูดจมูก ขยี้ตา ปาดเช็ดน้ำตาแห่งความดีใจ บ่าวรับใช้ขององค์ชายสามคอยพูดเห็นดีเห็นงามด้วยจากด้านข้าง บอกว่าเขามีบุญวาสนา บอกว่าในหมู่องค์ชายทั้งหมด องค์ชายสามเป็นผู้ที่รอบรู้และเขียนอักษรได้งดงามที่สุด บอกว่าโชคร้ายของเขาได้กลายเป็นดีแล้ว

‘เริ่มจากตัวง่ายๆ ก่อน! ข้าจะเขียนกลอนไม่กี่วรรคแล้วกัน อืม…เจ้าเข้ามานี่สิ มาช่วยข้าฝนหมึก’ องค์ชายสามตื่นเต้นอย่างมาก รีบดึงเขาไปข้างโต๊ะหนังสือ ก่อนจะกุมมือสอนว่าควรจับแท่งหมึกฝนอย่างไร รวมทั้งสอนว่าควรจับพู่กันเช่นไร

บ่าวรับใช้ขององค์ชายสามที่ยืนมองอยู่ด้านข้างรู้สึกว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง แม้องค์ชายสามจะยังอายุน้อยใจร้อนวู่วาม แต่กลับเป็นอาจารย์ที่ดีได้ถึงเพียงนี้ อีกอย่างหนึ่งพระองค์เพิ่งจะสิบเก้าปี ทว่ากลับคบหาพบปะพี่น้องคนอื่นๆ ของตนน้อยครั้งนัก มาวันนี้เพราะเกิดใจเมตตา คงเห็นเด็กน่าสงสารที่เก็บมาจากข้างถนนคนนี้เป็นน้องชายแล้วกระมัง

เด็กน้อยฝนหมึกอย่างตั้งใจ ก่อนจะมององค์ชายสามถือพู่กันคัดอักษร จดจำทุกการเคลื่อนไหว ทุกสายลายเส้น สลักเอาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ

ด้านในกระโจม ธูปหอมเผาไหม้ไปเรื่อยๆ องค์ชายหนุ่มนั่งสง่าอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ คัดบทกลอนด้วยสีหน้าจดจ่อ เด็กน้อยน่าเอ็นดูยืนมองผู้มีพระคุณอยู่ด้านข้าง สายตาเต็มไปด้วยความเทิดทูน

กลิ่นของธูปหอมอ้อยอิ่งอยู่ระหว่างคนทั้งสอง ราวกับโชคชะตาที่ผูกปมช้าๆ แรกเริ่มอาจมีเพียงเส้นเดียว ทว่าต่อมากลับเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ไม่อาจแก้ได้อีก

ใจปรารถนาที่ถาโถม ดวงจิตที่โจนทะยาน

 

ผ่านไปสิบวันติดต่อกัน เมื่อใดที่องค์ชายสามมีเวลาว่างก็จะเรียกเด็กน้อยเข้ามาหา สอนเขาถือพู่กันเขียนอักษรด้วยตัวเองอย่างกระตือรือร้น ทั้งยังกระตุ้นให้เด็กน้อยฝึกคัดลอกอักษรข่ายซู* ที่ตนเขียน

องค์ชายสามเริ่มศึกษาตั้งแต่อายุได้หกขวบ ไม่เคยขาดอาจารย์มากชื่อเสียงผู้ทำหน้าที่คอยชี้แนะ ทั้งการเขียนอักษรหรือเนื้อหาบทเรียน ข้างกายยังมีชนชั้นสูงลูกหลานแปดกองธงเป็นสหายร่วมเรียนจำนวนมาก แน่นอนว่าเมื่อเขาได้ทำหน้าที่อาจารย์เป็นครั้งแรก อีกทั้งลูกศิษย์ยังเป็นเด็กน้อยน่าสงสารที่ตนช่วยเอาไว้ จะไม่ทุ่มสุดตัวสั่งสอนได้อย่างไร

ที่ทำให้องค์ชายสามตื่นเต้นยินดีก็คือเด็กน้อยฉลาดเฉลียวกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก ไม่เพียงมีพรสวรรค์เหนือกว่าบ่าวรับใช้ในวังที่เคยเรียนหนังสือมาก่อน แต่ยังเหนือกว่าสหายร่วมเรียนในอดีตเสียอีก เขาคัดกลอนห้าพยางค์สี่วรรคออกมาหลายบทด้วยความตื่นเต้น วันต่อมาเด็กน้อยก็ท่องจำได้อย่างไม่มีตกหล่น องค์ชายสามดีใจยิ่ง ทุกวันจึงคัดกลอนสิบบทให้เด็กน้อยท่องจำ รวมทั้งคัดลอกตัวอักษรง่ายๆ จากในบทให้

‘หญิงงามมองม่านมุก รอนานทุกข์ขมวดคิ้วสวย เพียงเห็นน้ำตารินโรย มิรู้เจ้าเคืองผู้ใด’

เสียงใสดังแว่วมา ครั้นองค์ชายสามเดินเข้ากระโจมก็เห็นเด็กน้อยคัดอักษรไปด้วยอ่านออกเสียงไปด้วย จึงไม่รู้ตัวว่ามีคนเข้ามาใกล้ เพียงแต่เด็กน้อยใช้น้ำเสียงเจื้อยแจ้วอ่านกลอนบทนี้ออกมา กลับทำให้องค์ชายสามรู้สึกลนลานเก้อกระดากอยู่ในใจ โชคดีที่ในกระโจมไม่มีคนอื่น

เขาเพียงรู้สึกต้องใจกลอน ‘ย่วนฉิง’** ของหลี่ไป๋*** ขึ้นมาชั่ววูบ เพราะบางครั้งที่มีงานเลี้ยงจัดขึ้นในวัง เขามักจะเห็นพระมารดาแต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหราไปร่วมงาน แต่กลับนั่งเหม่อลอยเพียงลำพัง คิ้วเรียวสวยแฝงด้วยความระทมทุกข์ ตรงตามที่กลอนบรรยายเอาไว้ แต่คาดไม่ถึงว่าเด็กน้อยจะท่องกลอนบทนี้สื่ออารมณ์ได้ดียิ่ง

เขาเข้าไปยืนข้างโต๊ะหนังสือเงียบๆ เด็กน้อยเขียนคำว่าหลี่ไป๋สองคำลงบนกระดาษ ขณะลากพู่กันเขียนคำว่าหญิงงามใกล้จะเสร็จ จู่ๆ ก็ยกแขนเสื้อขึ้นมาขยี้ตา

‘เป็นอะไรไป’ องค์ชายสามถาม น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยน

เด็กน้อยก้มหน้า ตอบเสียงเบา ‘คิดถึงท่านแม่’

องค์ชายสามนิ่งงัน ไม่คิดเลยว่าเด็กน้อยอ่านกลอนบทนี้ครั้งแรกก็โศกเศร้าถึงเพียงนี้ ความรู้สึกของเด็กน้อยคล้ายกับตัวเขาในวันที่คัดกลอนบทนี้ไม่มีผิด เห็นทีมารดาของเด็กน้อยก็เป็นผู้เจ็บปวดที่ถูกหมางเมินเหมือนกับพระมารดาของเขา

‘เจ้าอยากกลับไปหาแม่หรือ…’

เด็กน้อยรีบส่ายหน้า ‘ข้าจะอยู่กับนายท่าน’

องค์ชายสามเห็นเขามีท่าทีหวาดกลัวก็ลูบหัวเขาเบาๆ ไม่ซักไซ้อีก เพียงหยิบกระดาษบนโต๊ะขึ้นมาดูลายมือของเด็กน้อยอย่างละเอียด คิดดูแล้วก็เพิ่งจะผ่านมาเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น เด็กน้อยกลับเรียนรู้ตัวอักษรได้มากมาย อีกทั้งยิ่งเขียนก็ยิ่งงาม ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว

‘เจ้าคงจะตั้งใจมาก’ เขาพยักหน้าชื่นชม เมื่อเงยหน้าก็เห็นเด็กน้อยมองมาด้วยแววตาเปล่งประกาย คล้ายมีคำจะพูด จึงหัวเราะเบาๆ พลางถาม ‘มีอะไรหรือ’

‘นายท่าน’ สีหน้าของเด็กน้อยเต็มไปด้วยความคาดหวังแฝงความเขินอายอยู่เล็กน้อย ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น ‘นายท่านจะเรียกข้าว่าอะไรหรือ’

องค์ชายสามฉีกยิ้มกว้างน่ามอง ตบหน้าผากตัวเองหนึ่งที ‘ข้าเกือบจะลืมไปเสียแล้ว ขอข้าคิดก่อนนะ’

เด็กน้อยเขินอายอยู่บ้าง แต่มองมาที่เขาไม่ยอมละสายตาไปไหน องค์ชายสามพินิจมองอย่างละเอียด ครั้งแรกที่ได้เจอก็รู้สึกว่าน่ารักน่าเอ็นดู เมื่ออยู่ร่วมกันช่วงเวลาหนึ่ง ก็รู้สึกว่าเด็กน้อยไม่เพียงมีเครื่องหน้าละเมียดละไม แววตาและสีหน้าก็นุ่มนวลอย่างยิ่ง พอเห็นลายมือ แม้จะยังไม่เก่งกาจ แต่ลายพู่กันก็ปรากฏให้เห็นความประณีตอยู่ในที

เขาเงยหน้ายิ้มมองเด็กน้อย ‘คิ้วตาสลักเสลา เฉลียวฉลาดสง่างาม นับจากนี้เรียกเจ้าว่าซิ่วเอ๋อร์**** ก็แล้วกัน’

ซิ่วเอ๋อร์…

องค์ชายสามตื่นเต้นยินดียิ่ง เขารีบจับพู่กัน เขียนอักษรซิ่วลงไปบนกระดาษขาว

‘ซิ่ว หมายถึงความสง่าและความงามพร้อม หวังว่าเจ้าจะไม่ละทิ้งชื่อนี้’ องค์ชายสามยิ้มบาง แววตาอ่อนโยนยิ่ง

‘ขอรับ’ เด็กน้อยตื้นตัน เบิกบานจนตัวแทบจะลอยได้ เขาหันไปมองตัวอักษรซิ่วที่องค์ชายสามเป็นผู้เขียน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย รีบเอ่ยว่า ‘ขอบคุณนายท่าน’

สง่าและงามพร้อม นายท่านมอบชื่อที่ดีถึงเพียงนี้ให้เขา เขาจะไม่มีวันละทิ้งชื่อนี้อย่างแน่นอน

หลายวันหลังจากนั้น เขาติดตามองค์ชายสามกลับจิงเฉิง องค์ชายสามบอกกับพ่อบ้านผู้ดูแลวังว่าเขาเป็นเด็กรับใช้ที่ชินอ๋องแห่งมองโกลมอบให้ ต้องดูแลอย่างเอาใจใส่ ทำให้เมื่อแรกเข้ามาอาศัยอยู่ในวังขององค์ชายสาม เด็กน้อยก็มีฐานะสูงกว่าบ่าวรับใช้คนอื่นๆ เล็กน้อย ไม่มีใครกล้าปฏิบัติกับเขาอย่างรังเกียจ ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ตัวเขาก่อนหน้านี้ไม่เคยกล้าคิดหวัง

เด็กน้อยยังค้นพบว่าบ่าวรับใช้ที่ฐานะค่อนข้างสูงในวัง ชื่อของแต่ละคนจะนำหน้าด้วยอักษร ‘หรู’ อย่างเช่นบ่าวรับใช้คนสนิทขององค์ชายสามทั้งสี่คน ตั้งชื่อตามสี่ฤดู เรียกว่าหรูชุน หรูซย่า หรูชิว หรูตง* คนที่ติดตามไปมองโกลและคอยรักษาแผลให้เขามาตลอดทางก็คือหรูซย่า

ส่วนเขา องค์ชายสามบอกกับทุกคนว่าเขาชื่อหรูซิ่ว

แต่น่าเสียดายที่เขาอายุยังน้อย ทั้งยังไม่เคยผ่านการอบรมสั่งสอนมาก่อน จึงไม่อาจรับใช้อยู่ข้างกายองค์ชายสาม ต่อมาเขาได้ยินว่าบ่าวรับใช้ข้างกายขององค์ชายสามล้วนผ่านการอบรมอย่างเข้มงวดมาตั้งแต่เด็ก เมื่ออายุเต็มสิบขวบ พ่อบ้านจะคัดเลือกผู้ที่มีรูปลักษณ์และความสามารถอันดับต้นๆ ขึ้นมาทำหน้าที่ แม้เขาจะเป็นบ่าวรับใช้ที่ชินอ๋องแห่งมองโกลมอบให้ก็ไม่อยู่ในข้อยกเว้น

เพื่อให้ตัวเองมีคุณสมบัติเพียงพอให้ถูกเลือก เขาจึงพยายามอย่างสุดความสามารถ เรียนรู้งานในวังขององค์ชายสาม เพื่อที่วันหนึ่งจะได้มีโอกาสรับใช้…

 

“ซิ่วเอ๋อร์”

เสียงเรียกสนิทสนมดึงเขากลับมาจากความทรงจำในวันวาน

“สวมเสื้อผ้าบางเช่นนี้ ระวังจะจับไข้”

ใครคนหนึ่งสวมกอดเขาจากทางด้านหลัง ร่างกายที่เดิมเย็นเฉียบพลันอบอุ่นขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาหันกลับไปมององค์ชายสาม ยิ้มพลางพูด “คิดว่าท่านหลับไปแล้วเสียอีก เหตุใดจึงมาที่ห้องหนังสือได้”

“เจ้าไม่อยู่ในห้อง ข้าจึงคิดว่าเจ้าคงอยู่ไม่สุขอีกแล้ว” องค์ชายสามโอบเอวของเขา ก่อนจะลูบไล้ลงไปที่สะโพก

“ตอนนี้ผู้ใดกันแน่ที่อยู่ไม่สุข” หรูซิ่วยิ้ม พูดจบก็พลันรู้สึกว่าตัวเองถูกหยิกไปหนึ่งที

ตอนเย็นเหตุการณ์ที่คนทั้งสองโอบกอดกันทำให้กำแพงที่เคยขวางกั้นระหว่างทั้งคู่ถูกทำลายลงในที่สุด เมื่อองค์ชายสามเห็นว่าหรูซิ่วไม่มีท่าทีเย็นชาทั้งไม่ทำปั้นปึ่งใส่ ในใจก็ยินดียิ่งนัก ดึกดื่นค่อนคืนจึงมุ่งไปหาหรูซิ่วที่ห้องแต่กลับไม่เห็นคน จึงรีบมาตามหาที่ห้องหนังสือ และก็เป็นไปตามคาด เมื่อเปิดประตูเข้ามาก็เห็นเงาร่างเพรียวบางของเด็กหนุ่มที่อยู่ในใจของเขาผู้นั้น

“ซิ่วเอ๋อร์” เห็นคิ้วตาของอีกฝ่ายผ่อนคลาย องค์ชายสามก็เบิกบานนัก ยิ่งไม่อยากปล่อยคนในอ้อมแขนไปไหน เขาเหลือบไปเห็นกองกระดาษบนโต๊ะซึ่งมีรายชื่อขุนนางเขียนเรียงตามฝ่ายต่างๆ เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายทุ่มเทแรงใจทำทุกอย่างเพื่อเขาก็ยิ่งปวดใจ “ดึกดื่นเช่นนี้เจ้ามัวทำอะไรอยู่!”

หรูซิ่วผลักเขาออกเบาๆ ทว่ายังคงตามใจ คว้าเสื้อนอกขึ้นมาสวม “ฝ่าบาททรงกำจัดคนจากฝ่ายสั่วเอ๋อถูออกไปได้หลายคน แม้จะบอกว่าเป็นขุนนางขั้นห้าลงไป แต่ก็ส่งผลกระทบไม่น้อย นอกจากนี้ยังทรงมอบหมายให้จิ่นเฟิ่งเป้ยเล่อเป็นผู้จัดการ จิ่นเฟิ่งเป้ยเล่อมีสัมพันธ์อันดีกับวังซู่ชินอ๋อง ตั้งแต่เรื่องวุ่นวายเมื่อคราวก่อนเป้ยเล่อองค์โตแห่งวังซู่ชินอ๋องก็ตั้งตัวเป็นศัตรูกับองค์ชายแปด ไม่รู้ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นไปในทิศทางใด”

“ขุนนางที่ถูกฝ่าบาททรงกำจัดไปคราวนี้ล้วนแต่เป็นคนไม่มีผลงาน อีกทั้งพระองค์เสด็จไปคาหล่าชิ่นครานี้ยังทรงให้องค์รัชทายาทติดตามไปด้วย เห็นทีคงจะยังโปรดองค์รัชทายาทอยู่ไม่น้อย” องค์ชายสามดึงตัวเขาให้นั่งลงบนเก้าอี้กว้างหน้าโต๊ะหนังสือ

“บางทีผู้ที่ฝ่าบาททรงคิดตัดกำลังก็คือสั่วเอ๋อถู ไม่ใช่องค์รัชทายาท” หรูซิ่วหยิบพู่กันจุ่มน้ำหมึก ก่อนจะขีดฆ่ารายชื่อขุนนางทีละชื่อ จากนั้นจึงเปลี่ยนพู่กัน เขียนคำว่า ‘จิ่นเฟิ่งเป้ยเล่อแห่งวังกงชินอ๋อง’ ลงตรงที่ว่าง

“หรืออาจแค่ทรงตักเตือนสั่วเอ๋อถู” องค์ชายสามจุดเทียนเพิ่มให้เขาอีกสองเล่ม ก่อนจะก้มลงมองตัวอักษร ลายพู่กันหนักแน่นพลิ้วไหว ทั้งยังแฝงความมั่นใจคล่องแคล่วอยู่ในที จึงอดพูดขึ้นไม่ได้ “ลายมือของเจ้า เมื่อก่อนดูแล้วก็คล้ายของข้า แต่ระยะนี้ยิ่งดูยิ่งรู้สึกว่าไม่เหมือน”

หรูซิ่ววางพู่กันลงพลางถอนใจ “หลายปีก่อนท่านสั่งไม่ให้ข้าลอกเลียนลายมือท่าน มาตอนนี้กลับถอนใจบอกว่าลายมือข้าไม่เหมือนท่าน องค์ชายสามช่างปรนนิบัติยากเสียจริง ดูท่าหลังจากนี้ข้าคงไม่ต่างจากยืนบนแผ่นน้ำแข็งบางๆ”

“ยื่นมือขวามา” องค์ชายสามพลันเอ่ยขึ้น หรูซิ่วไม่เข้าใจแต่ก็ยังยื่นมือออกไป องค์ชายสามสีหน้าเรียบกระด้าง เมื่อหรูซิ่วแบมือออก เสียง ‘เพียะ’ ก็ดังขึ้น ที่แท้องค์ชายสามก็ตีมือเขาไปหนึ่งที ไม่หนักไม่เบา

“พี่สาม?” เขานิ่งงันไม่เข้าใจ

“เมื่อก่อนตอนเป็นอาจารย์ให้เจ้า น่าจะสั่งสอนให้เข้มงวดกว่านี้” องค์ชายสามจงใจแสดงสีหน้าเคร่งขรึม ขมวดคิ้วตำหนิ “หลายปีมานี้ทำเจ้าเสียนิสัย ไม่มีสัมมาคารวะ กล้าล้อเลียนผู้เป็นอาจารย์เชียวหรือ”

หรูซิ่วดึงมือกลับพลางแย้ง “อาจารย์กล่าวผิดแล้ว ความผิดของศิษย์มิใช่ไม่มีสัมมาคารวะ”

“ยังจะกล้าเถียงอีกหรือ!” สีหน้าองค์ชายสามยังคงบูดบึ้ง แต่ก็ซักไซ้ต่อ “เช่นนั้นเจ้าผิดเรื่องใดกันแน่ สารภาพออกมาตามตรง มิเช่นนั้นจะถูกตี”

“ขอข้าคิดก่อน ความผิดของศิษย์ก็คือ…ถูกตามใจจนเหลิงกระมัง” แววตาของหรูซิ่วเต็มไปด้วยความขบขัน

องค์ชายสามได้ยินที่เขาพูดเช่นนั้นก็รู้สึกสนใจ สีหน้าฉลาดเฉลียวแบบนี้เป็นสิ่งที่ตนรักใคร่มาโดยตลอด จึงอดใจไม่ไหว ดึงคนเข้ามากอดแน่น ริมฝีปากแนบชิดกับใบหูของเขา พูดเสียงเบา “เจ้าลูกศิษย์ดื้อด้านคนนี้นี่ เมื่อรู้ว่าข้าตามใจ เจ้าก็อย่าทำให้ผู้เป็นอาจารย์ยุ่งยาก ต่อจากนี้ห้ามแง่งอนอีกได้หรือไม่ คราวนี้เจ้าโกรธนานนัก ทำร้ายถึงร่างกายจะไม่ทำให้อาจารย์ปวดใจได้อย่างไร”

สีหน้าของหรูซิ่วผ่อนคลายลง แต่ไหนแต่ไรองค์ชายสามเยือกเย็นหนักแน่น น้อยครั้งที่จะเป็นฝ่ายเอ่ยคำพูดสนิทสนมเช่นนี้อย่างเปิดเผย ชั่วขณะนั้นเขาตื้นตันใจจนอดซบกายอิงอ้อมอกไม่ได้ สัมผัสถึงหัวใจที่เต้นอย่างมั่นคงของอีกฝ่าย

“หากฝ่าบาททรงคิดจะสนับสนุนองค์รัชทายาท แต่ขณะเดียวกันก็มีพระประสงค์จะตัดกำลังสั่วเอ๋อถู เช่นนั้นก่อนที่จะเสด็จกลับจิงเฉิงจะต้องมีการเคลื่อนไหวอีกแน่” เนิ่นนานหรูซิ่วถึงทำลายความเงียบ วิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้า

“หากเป็นเช่นนั้น จะต้องมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับขุนนางที่ลำดับขั้นสูงกว่านี้เป็นแน่” เมื่อองค์ชายสามพูดขึ้น คนทั้งสองก็พลันนึกถึงหลี่กั๋วจู้ สีหน้าของหรูซิ่วเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้าง องค์ชายสามนึกโกรธตัวเองว่าไม่ควรเอ่ยถึงคนผู้นี้ขึ้นมาเลย จึงรีบจุมพิตต้นคอของหรูซิ่ว สองมือเริ่มเคลื่อนไหว

หรูซิ่วถูกองค์ชายสามก่อกวนจนไม่มีสมาธิคิดเรื่องอื่นอีก เขาอดไม่อยู่หันหน้าไปจุมพิต

ถูกคนรักเป็นฝ่ายเริ่มจูบก่อน องค์ชายสามแววตาพลันสว่างวาบ สองมือตวัดร่างเขาเข้ามากอด ร่างกายของคนทั้งสองเมื่อเทียบกันแล้ว องค์ชายสามสูงใหญ่กำยำกว่ามาก ช่วงบ่ากว้างกว่าเล็กน้อย ท่อนแขนก็มีพละกำลังมากกว่า ด้วยเหตุนี้หรูซิ่วที่แม้จะตัวสูงเช่นเดียวกันจึงถูกกดไว้ใต้ร่างอย่างง่ายดาย

“พี่สาม…” เขารู้สึกถึงมือของอีกฝ่ายที่สอดเข้ามาใต้เสื้อผ้า จึงครางเสียงเบาอย่างห้ามไม่อยู่ ระหว่างเรียวขาถูกสัมผัสอย่างอ่อนโยน ทำให้สองแก้มของเขาแดงเรื่อ

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ปัดป้อง องค์ชายสามก็คว้ามือเขาให้สอดเข้ามาในเสื้อของตน เมื่อรู้สึกถึงปลายนิ้วเย็นเฉียบที่ลากผ่านจุดอ่อนไหว องค์ชายสามก็ร้อนวูบไปทั้งอก ประคองท้ายทอยของหรูซิ่ว กดจูบลึกล้ำ

ความปรารถนาที่เก็บกดเอาไว้ทั้งวันพลันถาโถมออกมาทั้งหมดกลางห้องหนังสือในคืนนี้

ทันใดนั้นองค์ชายสามก็ดึงหรูซิ่วให้เดินไปยังห้องปีกที่อยู่หลังชั้นหนังสือ ประตูเพิ่งปิดลงเขาก็ดันร่างคนในอ้อมกอดลงบนเตียง ส่วนตนรีบตามประกบ เอียงหัวขบกัดใบหูของหรูซิ่วเบาๆ กระซิบเสียงหวาน “ครั้งแรกของพวกเราก็เป็นที่นี่”

หรูซิ่วขานรับเสียงหนึ่ง จัดการถอดชุดขององค์ชายสามออก คนทั้งสองสบตากันในความมืดก่อนจะจุมพิตดูดดื่มอีกครั้ง ริมฝีปากแนบชิด ลิ้นเกี่ยวกระหวัด ไม่นานริมฝีปากก็ผลัดเปลี่ยนลากไล้ไปยังเรียวขาของอีกฝ่าย ท่ามกลางราตรีอันเงียบสงัดได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจและเสียงหัวใจเต้น

องค์ชายสามพลิกร่างคนที่อยู่บนเตียง ทั้งสองกอดกันแนบแน่น คนหนึ่งคว้ายึดหัวเตียงเอาไว้ อีกคนกอดเกี่ยวไม่ยอมปล่อย เสียงครางดังขึ้นระลอกหนึ่ง การรุกรานสำรวจครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้เกิดเสียงกระทบไม่ขาดสาย

ไม่นานเสียงครางก็เปลี่ยนเป็นเสียงหอบหายใจเบาหวิวราวกับเสียงแมว สลับกับเสียงเรียกชื่อคนรัก ทว่ายังไม่ทันเปล่งออกมาจนจบ แผ่นหลังของฝ่ายหนึ่งก็หยัดโค้ง ใบหน้าฝังลงบนฟูก ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็เร่งอารมณ์รักจนเต็มเปี่ยม ความร้อนปะทุอย่างรุนแรง ชั่วขณะเดียวกันคนทั้งสองพลันแนบชิดสนิทแน่น ปล่อยจิตใจให้ล่องลอย เปล่งเสียงครางออกมาพร้อมกัน…

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

 

* อักษรข่ายซู เป็นรูปแบบตัวอักษรที่เน้นความพลิ้วไหวของลายเส้น จนถูกเรียกว่าเป็นตัวอักษรต้นแบบ ถือกำเนิดในช่วงปลายราชวงศ์ฮั่น ก่อนจะเข้าสู่ยุคทองในช่วงราชวงศ์ถัง ตัวอักษรข่ายซูเป็นรูปแบบที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดในปัจจุบัน

** ย่วนฉิง เป็นกลอนห้าพยางค์สี่วรรคที่หลี่ไป๋แต่งขึ้นเพื่อบรรยายถึงอารมณ์ตัดพ้อ ขมขื่นของสตรีที่นั่งรอคนรักอยู่เพียงลำพัง

*** หลี่ไป๋ (คริสต์ศักราช 701 – คริสต์ศักราช 762) นักกวีผู้มีชื่อเสียงในสมัยราชวงศ์ถัง ถูกยกย่องให้เป็นยอดกวีร่วมกับตู้ฝู่

**** ซิ่ว(秀) เป็นคำที่แปลได้หลายความหมาย มักจะบรรยายถึงสิ่งที่พลิ้วไหวสวยงาม คำว่าน่าเอ็นดู (清秀) ละเมียดละไม (秀气) นุ่มนวล (秀逸) ประณีต (秀致) ที่องค์ชายสามใช้ล้วนเป็นคำที่ประกอบด้วยด้วยตัวอักษรซิ่ว

 

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

Editor Jamsai: