X
    Categories: ทดลองอ่านปรปักษ์จำนนมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 5

ตอนที่สาม

 เว่ยเซ่ามุ่งหน้าสู่ห้องหนังสือ เมื่อใกล้ถึงกลับชะงักฝีเท้าแล้วเหลียวมองรอบทิศ

จวนซิ่นในยามกลางวันนั้นมีคนไม่มากจึงมักให้ความรู้สึกเงียบเหงาวังเวงอยู่บ้าง นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่เพิ่งถึงยามโฉ่ว เป็นช่วงเวลาที่รัตติกาลลุ่มลึกกว่ายามใด รอบด้านจึงยิ่งเงียบสงัด ข้ารับใช้ในจวนซิ่นล้วนดำดิ่งในห้วงฝัน

สายตาของเขากวาดไปเบื้องหลัง จับนิ่งที่หอถานไถซึ่งถูกม่านราตรีวาดเค้าโครงออกมาอย่างแจ่มชัด

ชั่วครู่ให้หลังชายหนุ่มก็ขึ้นมาอยู่บนหอสูงตระหง่านหลังนี้ซึ่งปลูกสร้างบนดินที่อัดแน่นจนกลายเป็นฐานสูง ยามที่เขาพิงราวกั้นท้ารับสายลมราตรีอันหนาวเสียดกระดูก ทอดสายตามองกำแพงเมืองและท้องทุ่งเบื้องนอกที่อยู่ใต้ม่านรัตติกาลอันลุ่มลึกนั้นแล้ว ที่ด้านหลังพลันแว่วเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบา เขาหันหน้าไป อาศัยแสงดวงดาวเหนือศีรษะแยกแยะได้ว่าผู้มาคือกุนซือที่มีนามว่ากงซุนหยางนั่นเอง

“ราตรีเข้าหอของนายท่านแท้ๆ ไฉนจึงมายืนพิงราวกั้นอยู่ที่นี่ตามลำพังเล่าขอรับ”

กงซุนหยางคารวะเว่ยเซ่า เขาเดินเข้ามาใกล้ก่อนยิ้มกล่าว

กงซุนหยางคือที่ปรึกษาคนสนิทของเว่ยเซ่า เว่ยเซ่าเชื่อใจและให้ความสำคัญต่อเขาไม่น้อย ครั้งนี้ที่สกุลเฉียวแห่งเหยี่ยนโจวเป็นฝ่ายขอผูกไมตรีด้วยการเกี่ยวดองเป็นช่วงที่เว่ยเซ่าบังเอิญไม่อยู่ตอนที่ทูตของอีกฝ่ายมาเยือนพอดี เมื่อกลับมาได้ยินข่าวว่าสวีฮูหยินผู้เป็นย่าได้ตอบรับงานมงคลแทนตนไปแล้ว เดิมทีเขายังไม่ยอมเห็นด้วย เนื่องจากทูตเพิ่งจากไปได้ไม่นานจึงตั้งใจจะส่งคนตามไปสกัดขบวนพาทูตกลับมา ทว่ากงซุนหยางเอ่ยโน้มน้าวเขาด้วยเหตุผล สุดท้ายเว่ยเซ่าจึงรับฟังคำแนะนำของอีกฝ่ายแล้วรับปากเรื่องการแต่งงานนี้

“ท่านกงซุนไม่ห่มผ้านอนหลับให้สบายหน่อยหรือ ไยมาตากลมที่นี่เช่นกันเล่า” เว่ยเซ่าย้อนถาม

“เดิมทีข้าเมาสุราจนหลับไปแล้ว พอรู้สึกตัวตื่นก็ไม่ง่วงงุนอีก มองเห็นดวงดาวส่องสว่างเต็มฟ้าจึงมาสังเกตปรากฏการณ์ดวงดาวยามราตรีที่นี่เสียเลย ไม่คิดว่าจะพบเจอนายท่าน”

กงซุนหยางพูดจบก็หัวเราะหึๆ เดินมาถึงข้างกายเว่ยเซ่าจึงค่อยเอ่ยต่อ

“ข้าเคยได้ยินคำกล่าวหนึ่งของมณฑลเหยี่ยนโจวว่าไว้ว่า ‘เทพธิดาแห่งแม่น้ำลั่วสุ่ยงามสิบส่วน สองเฉียวงามแปดส่วน’ เดิมทีข้าไม่เชื่อ นึกว่าเพียงกล่าวเยินยอเกินจริงเท่านั้น รอจนได้ยลโฉมธิดาสกุลเฉียวในพิธีมงคลเมื่อหัวค่ำแล้ว นับว่าสมกับคำยกย่องนี้โดยแท้ ข้าดูกิริยาและสีหน้าของนางแล้ว ทั้งที่อยู่ท่ามกลางสายตาคนหมู่มากกลับไม่เผยแววขลาดกลัวแม้แต่น้อย นับเป็นกุลสตรีผู้ผ่าเผย นายท่านได้ฮูหยินที่งามพร้อมเช่นนี้ ช่างน่ายินดีน่าเฉลิมฉลองยิ่งนัก!”

เบื้องหน้าสายตาของเว่ยเซ่าพลันผุดภาพดวงหน้าน้อยๆ ที่เมื่อครู่เห็นอยู่ว่าตื่นตระหนกสุดขีดจนดวงตาเบิกกลมถึงขั้นนั้น กระทั่งเขาเห็นได้ชัดเจนว่าขนตาของนางสั่นไหว แต่นางก็ยังพยายามแสดงสีหน้าเยือกเย็นต่อหน้าเขาอย่างสุดกำลัง เว่ยเซ่านิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยขึ้นเรียบๆ “ข้าเพียงแต่ฟังคำแนะนำของท่านกงซุน พายเรือตามน้ำ พลิกแพลงตามสถานการณ์เท่านั้น ไหนเลยจะเรียกว่าน่ายินดีน่าเฉลิมฉลองได้ รุ่งเช้าข้าจะให้นางเดินทางกลับเมืองอวี๋หยางเลย”

กงซุนหยางชะงักไปเล็กน้อยก่อนชำเลืองมองผู้เป็นนาย เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าไม่ไยดีจึงเอ่ยปนยิ้ม “ก็ดีเหมือนกันขอรับ พื้นที่แถบเมืองเหอหนานควรวางแผนยึดครองอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่อาจใจเร็วด่วนได้ ในเมื่อยามนี้การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ลุล่วงไปแล้ว การให้นายหญิงเดินทางไปเมืองอวี๋หยางเพื่อปรนนิบัติญาติผู้ใหญ่ แสดงความกตัญญูแทนนายท่าน ให้นายท่านสามารถวางแผนงานใหญ่ได้อย่างเบาใจนั้นก็นับเป็นเรื่องดีเช่นกัน”

เว่ยเซ่าทำเพียงคลี่ยิ้ม ไม่ได้ต่อบทสนทนา

“เมื่อครู่ข้าสังเกตปรากฏการณ์ดวงดาวในเขตจื่อเวยหยวน* ทว่าดาวจักรพรรดิกลับยังซ่อนอยู่ใต้หมอกขาว เกรงว่าอีกไม่ช้าใต้หล้าจะโกลาหลหนักแน่ ไม่พ้นที่ราษฎรทั้งหลายต้องประสบทุกข์ยากแสนเข็ญ”

กงซุนหยางพลันทอดถอนใจกล่าวเมื่อแหงนมองผืนฟ้าประดับดาว

เว่ยเซ่าแหงนหน้ามองตามทิศทางที่เขาชี้มือ มองเห็นเพียงหมู่ดาวเกลื่อนฟ้าพราวพร่างเป็นจุดแต้ม ทว่ากลับมองความนัยอันใดไม่ออกจึงเอ่ยเพียงว่า “ความล้ำเลิศของท่านกงซุนนี้ข้านับถือเลื่อมใสเสมอมา”

กงซุนหยางสั่นศีรษะ “นายท่านชมเกินจริงแล้ว ข้าเป็นเพียงผู้ถนัดอวดคารมเท่านั้น แต่หากเอ่ยถึงยอดคนผู้ล้ำเลิศในยุคนี้แล้วก็มีอยู่ผู้หนึ่งจริงๆ ท่านผู้เฒ่ามีนามว่าไป๋สือ เป็นศิษย์สายตรงรุ่นที่ยี่สิบของสำนักโม่จยา ไม่เพียงเชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งการทูตและการปกครอง ยังมีสติปัญญาสูงเทียมฟ้า ทั้งสันทัดวิชาแพทย์ ความรู้แตกฉานอย่างลึกซึ้ง หากเปรียบข้ากับท่านผู้เฒ่าแล้วก็เป็นดั่งหิ่งห้อยบินทาบแสงดาวเดือน ไม่คู่ควรแก่การเอ่ยถึงแม้เพียงน้อยนิด”

เว่ยเซ่าเลิกคิ้ว “ยอดคนเช่นนี้ยามนี้จะไปอยู่ที่แห่งหนใดกัน”

กงซุนหยางกล่าว “วัยหนุ่มข้าสืบเสาะไปทั่วทิศ หมายกราบอาจารย์เข้าสำนักโม่จยา สวรรค์ไม่ตัดหนทางคน ในที่สุดข้าก็ได้พบท่านผู้เฒ่า แต่น่าเสียดายที่ข้าด้อยสติปัญญาจึงไม่ถูกรับเข้าสำนัก ทว่าก็มีโชคได้รับการชี้แนะจากท่านผู้เฒ่าอยู่สามเดือน ถือเป็นประโยชน์จนชั่วชีวิต เมื่อสิบปีก่อนข้าโชคดีได้พบท่านผู้เฒ่าที่ข้างทางโดยบังเอิญอีกครั้ง ถึงได้รู้ว่าจิตใจของท่านยังห่วงใยผู้คนในใต้หล้า จึงหวนคืนสู่โลกภายนอก ท่องทั่วแดนไปช่วยเหลือผู้คนด้วยวิชาแพทย์ บัดนี้ผ่านไปสิบปีแล้ว ข้าเองก็ไม่รู้ว่าท่านอยู่แห่งหนใด หากยังอยู่ดีมีสุขก็ล่วงถึงวัยเจ็ดสิบปีแล้ว”

ลมหนาวโชยมาหอบหนึ่ง กงซุนหยางพลันไอค่อกแค่ก

ในวัยหนุ่มระหว่างติดตามกองทัพ เขาเคยได้รับบาดเจ็บมาอย่างไม่คาดฝัน ภายหลังแม้อาการจะหายดีแล้ว แต่ก็ยังทิ้งต้นตอของโรคภัยไว้ ทำให้เขาไอบ่อยครั้ง สุขภาพก็ทรุดโทรมลงไปจากเดิมมาก

“อากาศเหน็บหนาว ท่านกงซุนร่างกายอ่อนแอ ข้าส่งท่านกลับห้องดีกว่า”

เว่ยเซ่ากล่าวทันใด

กงซุนหยางปฏิเสธติดกันว่ามิกล้า บอกว่าตนกลับไปเองเป็นใช้ได้แล้ว เว่ยเซ่าจึงไม่คิดฝืนใจ เพียงปลดเสื้อคลุมของตนคลุมลงบนบ่าของกงซุนหยาง มองส่งเงาหลังของอีกฝ่ายเดินลงจากหอไป

หลังกงซุนหยางจากไป เว่ยเซ่าพิงราวกั้นอยู่ตามลำพัง สายตาทอดมองตามจิตใต้สำนึกไปยังกลุ่มดาวที่กงซุนหยางชี้ให้ตนดูเมื่อครู่นี้

นับแต่ราชวงศ์ฉินสูญเสียแผ่นดิน ทั่วหล้าล้วนร่วมไล่ล่าเพื่อช่วงชิง

ภายในใจอันทะเยอทะยานของเว่ยเซ่าค่อยๆ วาดเค้าโครงภาพอนาคตซึ่งแจ่มชัดขึ้นทุกที

ตั้งแต่อายุสิบขวบเขาก็นั่งอยู่บนหลังม้าติดตามบิดาซึ่งเป็นผู้ว่าการมณฑลโยวโจวสู้ศึกกับชาวซยงหนูที่ข้ามพรมแดนเข้ามารุกราน บิดาในสายตาของเขาไม่ต่างจากเทพเซียน ทว่าสิบปีก่อนสกุลเฉียวตระบัดสัตย์ละทิ้งคุณธรรม เป็นเหตุให้เขาต้องสูญเสียบิดาผู้การุณย์กับพี่ชายคนโตไปอย่างปวดร้าว เขาไม่เคยเชื่อคำชี้แจงของสกุลเฉียวที่ว่า ‘คนส่งสารถูกดักสังหารกลางทาง’ คนที่เทียบไม่ได้กระทั่งหมูหมาเยี่ยงนั้น สักวันหนึ่งเขาจะต้องบดขยี้คนสกุลเฉียวให้สาสมใจ เหตุที่ท่านย่าตอบรับการแต่งงานครั้งนี้บางทีอาจเพราะเล็งเห็นประโยชน์ของพื้นที่มณฑลเหยี่ยนโจวก็เป็นได้

ถึงจะแต่งหญิงสกุลเฉียว แต่ก็เป็นไปเพื่อสนองคืนแค้นอีกฝ่ายด้วยวิธีการเดียวกันเท่านั้น นอกจากความรังเกียจที่การแต่งงานนี้นำมาให้แก่จิตใจของตนแล้ว สิ่งอื่นเขาล้วนไม่รู้สึกว่ามีอันใดไม่เหมาะ

สำหรับบุตรีสกุลเฉียว…

เขาเบนสายตาก้มมองไปยังทิศทางของห้องหอในเรือนเซ่อหยางที่ตนเพิ่งเดินออกมาเมื่อครู่ก่อน

แลไปแต่ไกลยังคงเห็นหน้าต่างบานนั้นสะท้อนแสงเทียนแดงรำไร ภายใต้การขับเน้นของผืนรัตติกาลสีดำสนิททำให้โดยรอบดูสะดุดตาอย่างยิ่ง

ได้แต่โทษที่ชะตาของนางอาภัพเอง…เว่ยเซ่าคิดเช่นนี้ โดยไม่รู้ตัวในห้วงความคิดกลับผุดภาพเมื่อแรกเห็นนางถูกพาเดินตรงมาหาตนทีละก้าวในพิธีมงคล

รูปโฉมพอฝืนนับว่าเข้าตาได้กระมัง ทว่าเนื้อบนร่างนั้นตลอดทั้งเบื้องบนเบื้องล่างรวมกันแล้วคงหนักไม่ถึงสองตำลึง

ชายหนุ่มกระตุกยกมุมปาก

 

หลังเว่ยเซ่าจากไป เสี่ยวเฉียวก็ไม่มีแก่ใจนอนต่อ นางได้แต่ห่อผ้าห่มนั่งรออยู่ในห้องจวบจนฟ้าสาง แต่เขาก็ไม่ได้เผยโฉมมาอีก

ยามที่พวกชุนเหนียงเข้ามาปรนนิบัตินางล้างหน้าบ้วนปาก ในจวนซิ่นก็มีข่าวโจษกันว่าเจ้าสาวไม่เป็นที่พึงใจของท่านโหว เข้าหอเพียงวันเดียว วันรุ่งขึ้นก็จะถูกส่งไปไกลตัวถึงเมืองอวี๋หยางแล้ว

เมืองอวี๋หยางคือที่ตั้งหลักของสกุลเว่ย ยามนี้สวีฮูหยินผู้เป็นย่าของเว่ยเซ่าและจูซื่อ* มารดาม่ายของเขาล้วนแต่อยู่ที่นั่น

เดิมทีผู้เป็นสะใภ้ไปดูแลญาติผู้ใหญ่เพื่อแสดงความกตัญญูแทนสามีที่ภูมิลำเนาถือเป็นจารีตอันพึงปฏิบัติ ทว่าวันรุ่งขึ้นหลังแต่งงานก็จะถูกส่งไปอย่างรีบร้อนเช่นนี้…

เป็นเรื่องที่น่าอับอายขายหน้ายิ่งนัก!

แรกเริ่มชุนเหนียงยังฝืนทำเป็นไม่มีเรื่องอะไรต่อหน้าเสี่ยวเฉียว ต่อมาอดกลั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงสั่งให้สาวใช้ออกไป ก่อนที่นางจะกุมมือเสี่ยวเฉียวกล่าวทั้งน้ำตา “นายหญิง บ่าวได้ข่าวแต่เช้าว่ามีข้ารับใช้ตื่นมาเข้าห้องปลดทุกข์ตอนยามโฉ่ว มองเห็นเว่ยโหวตั้งแต่ไกล ไฉนเขาออกจากห้องหอทั้งที่ยังไม่ทันเช้าเช่นนั้นเล่า หรือว่าท่านลืมสิ่งที่บ่าวกำชับไว้ เผลอไปยั่วโทสะของเขาเข้า วันนี้เขาถึงจะส่งท่านไปที่อวี๋หยางเช่นนี้”

ความหมายของชุนเหนียงพูดให้ชัดคือตอนนี้ข้ารับใช้ในจวนซิ่นล้วนกำลังโจษกันว่ากิจในห้องหอเมื่อคืนนี้ไม่ราบรื่น เว่ยโหวไม่พอใจในตัวเจ้าสาว ดังนั้นวันนี้จึงไล่ให้นางกลับจวนสกุลเว่ยที่เมืองอวี๋หยางทันที

ความไม่เป็นธรรมและความอัดอั้นที่อยู่ในใจเสี่ยวเฉียวนั้นไม่อาจชี้แจงได้

ย่อมไม่เหมาะกระมังที่นางจะบอกชุนเหนียงว่าเจ้าบ่าวเว่ยเซ่าดื่มสุราจนเมามายกลับมา เขานอนหลับไปเพียงคนเดียวโดยไม่แม้แต่จะชายตาแลนางสักนิด นางอดทนจนครึ่งคืนหลังกระทั่งถูกความหนาวปลุกให้ตื่น แค่คิดจะหยิบผ้าห่มสักผืนมาอุ่นร่างกายเท่านั้นกลับหวุดหวิดจะถูกเขาฆ่าตายเพราะนึกว่าเป็นมือสังหารเสียได้

คนผู้นี้…ที่แท้ยามปกติเคยทำเรื่องน่าละอายใจไว้มากมายเท่าใดกันแน่ กระทั่งในห้วงนิทราก็ยังหวาดระแวงตื่นตัวได้ถึงขั้นนั้น

“ข้าไม่ได้ล่วงเกินเขาแต่อย่างใดเลย ที่จริงเมื่อคืนเขาไม่ได้แตะต้องตัวข้าด้วยซ้ำ เขาแค่ไม่ชอบข้าก็เท่านั้นเอง ท่านลุงกับสกุลเว่ยเกี่ยวดองกัน เดิมทีต่างฝ่ายก็มีจุดประสงค์ของตนเอง ในเมื่อข้ายอมออกเรือนมาเช่นนี้ ในใจย่อมเตรียมพร้อมแต่แรกแล้ว ไปอวี๋หยางแค่นี้ไม่เห็นจะเป็นไร ช้าเร็วข้าก็ต้องไปอยู่ดี ไยต้องว้าวุ่นใจว่าจะไปก่อนหรือหลังด้วย ส่วนผู้อื่นเขาพูดอันใดกันบ้างก็สุดแท้แต่คนเขาพูดไปเถิด ข้าไม่เก็บมาใส่ใจหรอก ท่านก็อย่าได้เสียใจไปเลย”

เหตุการณ์เช่นนี้ไม่มีทางเป็นครั้งสุดท้าย วันหน้ายังต้องเกิดเหตุการณ์เดียวกันนี้อีกแน่ นางไม่ปรารถนาให้ชุนเหนียงตั้งความหวังลมๆ แล้งๆ และต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปเรื่อยๆ เช่นนี้ นางจึงถือโอกาสนี้พูดให้ชัดเจนเสียเลย

“ชุนเหนียง แม้ท่านได้ชื่อว่าเป็นบ่าว แต่ข้าก็เห็นท่านราวกับเป็นมารดาครึ่งหนึ่ง ข้าแต่งมาที่สกุลเว่ย ข้างกายก็มีท่านเพียงคนเดียวที่ข้าไว้เนื้อเชื่อใจได้อย่างเต็มที่ ข้าจึงคาดหวังว่าจิตใจของท่านจะหนักแน่นไม่หวั่นไหว วันข้างหน้าเผชิญกับเรื่องใดก็สามารถช่วยเหลือข้าได้อีกแรง”

ชุนเหนียงตกตะลึง มองเสี่ยวเฉียวอย่างนิ่งงัน

แสงอรุณฉายส่องเข้ามาทางหน้าต่างทิศตะวันออก ทอดมาถึงข้างโต๊ะเครื่องแป้ง แสงตะวันสีทองอร่ามฉาบสีสันอันอบอุ่นบนผิวกายอ่อนเยาว์ของเสี่ยวเฉียว กระทั่งขนอ่อนที่เล็กละเอียดแต่ละเส้นบนติ่งหูก็ยังแลเห็นชัดถนัดตา สาวน้อยคลี่ยิ้มมองชุนเหนียงอยู่เช่นกัน นัยน์ตาเปล่งประกายระยิบวิบวับดุจมีอัญมณีหมุนวนอยู่ภายใน

นายหญิงที่เป็นเช่นนี้คือผู้ที่ชุนเหนียงคุ้นเคยทว่าก็รู้สึกแปลกหน้า แต่กระนั้นนายหญิงผู้นี้ก็ทำให้ความเชื่อมั่นผุดขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจของชุนเหนียงทีละน้อย ทั่วร่างคล้ายดั่งมีพลัง ความปรารถนาอันแรงกล้าที่อยากจะปกป้องอีกฝ่ายโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตนเองพลันบังเกิดขึ้นตามธรรมชาติ

“นายหญิงสั่งสอนได้ถูกต้อง! บ่าวจดจำไว้แล้ว! บ่าวจะหวีผมแต่งตัวให้ท่านสุดฝีมือประเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ”

ชุนเหนียงปาดน้ำตาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะคลานขึ้นมายืนที่เบื้องหลังผู้เป็นนายแล้วเริ่มหวีผมแต่งตัวให้อีกฝ่าย

นางมีมืออันแคล่วคล่องคู่หนึ่งซึ่งหวีผมแต่งตัวให้ผู้อื่นได้อย่างล้ำเลิศ อันเป็นผลมาจากการค่อยๆ เรียนรู้จนกระทั่งเพิ่มพูนอย่างรวดเร็วจากพรสวรรค์ เมื่อก่อนตอนที่มารดาของเสี่ยวเฉียวยังมีชีวิตอยู่มักเอ่ยชมมือวิเศษของนางว่าสามารถแปลงรูปโฉมของสตรีจากความงามห้าส่วนเพิ่มเป็นแปดส่วนได้

เดิมทีเมื่อคืนชุนเหนียงยังกังวลใจว่าเว่ยโหวจะไม่รู้จักหนักเบา ทำให้นายหญิงต้องทนทุกข์ นึกอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าเขากลับไม่ได้แตะต้องนายหญิงเลยแม้แต่น้อย

ความไม่ยินยอมและความอัดอั้นที่อยู่ในใจของชุนเหนียงจึงยากจะบรรยายออกมาด้วยคำพูดเช่นกัน เฉกเช่นอัญมณีที่ตนซุกซ่อนไว้ในตลับล้ำค่า ยามปกติคอยเก็บงำมิดชิดไม่ยอมแสดงต่อผู้ใด บัดนี้เมื่อส่งมอบนายหญิงถึงเบื้องหน้าอีกฝ่ายแล้ว อีกฝ่ายกลับแสดงท่าทีรังเกียจไม่เห็นอยู่ในสายตาเชียวหรือ

เดิมทีชุนเหนียงรู้สึกเคารพยำเกรงเว่ยเซ่าเป็นอย่างมาก ทว่าผ่านเหตุการณ์เช้านี้นางพลันบังเกิดความไม่พอใจขึ้นมาแล้ว

เว่ยโหวผู้นี้ที่แท้ดวงตามืดบอดถึงขั้นใดกันแน่ ถึงมองข้ามเสี่ยวเฉียวที่นางรักยิ่งไปได้ถึงขั้นนี้ กระทั่งลบหลู่เกียรติด้วยวิธีส่งนางจากไปตั้งแต่วันรุ่งขึ้นหลังการแต่งงาน

เมื่อคืนเครื่องประทินโฉมหนาเข้มซึ่งเหมาะกับงานพิธีย่อมงามหรูอย่างภูมิฐาน ทว่าแท้จริงได้กลบเสน่ห์ที่มีอยู่แต่เดิมของเสี่ยวเฉียวไป วันนี้ตนจะต้องแต่งตัวให้นายหญิงอย่างสุดฝีมืออีกครั้ง ต่อให้จากไปก็ต้องไปอย่างงดงาม จะปล่อยให้พวกเขาเก็บไปเยาะหยันไม่ได้อีกเป็นอันขาด!

จากเมืองซิ่นตูขึ้นเหนือไปอวี๋หยาง ระยะการเดินทางต้องใช้เวลาราวครึ่งเดือน ก่อนหน้านี้สวีฮูหยินส่งจงเอ่ามาจัดเตรียมงานมงคลที่นี่ ยามนี้งานพิธีลุล่วงแล้ว นายหญิงจะเดินทางขึ้นเหนือ นางย่อมร่วมทางกลับไปพร้อมกัน

ผู้ที่คุ้มกันส่งนายหญิงขึ้นเหนือ…ยังคงเป็นเว่ยเหลียง

เว่ยเหลียงเดิมทีก็เจ็บแค้นชิงชังสกุลเฉียวอย่างลึกล้ำอยู่แล้ว เมื่อครั้งที่เฉียวผิงบิดาของเสี่ยวเฉียวมาร่วมไว้อาลัยที่จวนสกุลเว่ยนั้น เขาก็คือคนแรกที่ชักดาบใส่ด้วยโทสะในโถงตั้งศพ บัดนี้เขาย่อมไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อเสี่ยวเฉียวเช่นกัน เพียงแต่ภารกิจนี้ท่านกงซุนเป็นผู้มอบหมายให้เขา เขาจึงมิอาจบอกปัดได้ อีกทั้งในใจก็รู้ดีว่าหญิงสกุลเฉียวผู้นี้แม้ในวันหน้าจะถูกลิขิตให้ไม่มีใครญาติดีด้วยแน่นอน แต่ในเมื่อนายท่านแต่งกับนางมาอย่างนี้แล้วก็บ่งชัดว่านางยังพอมีประโยชน์อยู่บ้างเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้แต่ฝืนใจรับปากไป

เว่ยเหลียงเตรียมม้าและตัวรถเสร็จแล้วก็ไปคัดเลือกผู้ติดตาม หลังสั่งให้คนยกสัมภาระส่วนตัวของเสี่ยวเฉียวออกมาจัดเก็บเรียบร้อยก็รอคอยอยู่หน้าประตูจวนซิ่น

เสี่ยวเฉียวไม่ได้ปล่อยให้ผู้อื่นคอยนาน เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น ดวงตะวันเพิ่งจะลอยไปถึงยอดหลังคาเท่านั้น นางก็พาชุนเหนียงกับเหล่าสาวใช้เดินออกมาจากเรือนเซ่อหยาง

เห็นทีว่าเมื่อเช้าชุนเหนียงจะอัดอั้นจริงๆ

หากบอกว่าอาภรณ์และเครื่องประทินโฉมของเสี่ยวเฉียวในงานมงคลเมื่อคืนนี้เพื่อให้สมกับฐานะภรรยาของท่านโหวจึงได้แต่งค่อนไปทางงดงามหรูหราดูภูมิฐาน และไม่แคล้วกลายเป็นข้อเสียให้นางดูอาวุโสเกินจริง เช่นนั้นยามนี้นอกจากให้พอเหมาะตามจำเป็นแล้ว สิ่งที่มากยิ่งกว่าคือครั้งนี้ชุนเหนียงทำให้รูปโฉมที่มีอยู่แต่เดิมของเสี่ยวเฉียวถูกขับเน้นออกมาได้อย่างชวนตะลึง ทั้งกิริยาอันน่าประทับใจก็เผยออกมาตามธรรมชาติในทุกอิริยาบถ

ชุนเหนียงเฝ้ามองและเลี้ยงดูเสี่ยวเฉียวจนเติบใหญ่ อีกฝ่ายสามารถงดงามได้ถึงขั้นใด ไม่มีใครรู้กระจ่างยิ่งไปกว่าชุนเหนียงอีกแล้ว

ชุนเหนียงเกล้ามวยผมทรงชมเซียนให้กับเสี่ยวเฉียว เรือนผมยาวทั้งหมดถูกมุ่นสูงอยู่บนศีรษะ ประดับด้วยหวีเสียบผมหยกเขียวที่เสี่ยวเฉียวโปรดปรานมากที่สุด ข้างจอนผมเสียบปิ่นระย้าอีกอันซึ่งฝังไข่มุกแดนใต้ขนาดเท่าเล็บนิ้วมือหนึ่งเม็ด นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีเครื่องประดับอื่นที่เกินควรอีก อันที่จริงดวงหน้าของสาวน้อยก็ไม่จำเป็นต้องผัดแป้งแต้มชาดมากมายแต่อย่างใด หากแป้งและชาดลงหนามากไปรังแต่จะกลบความงดงามดั้งเดิมของนาง เมื่อวานที่ชุนเหนียงแต่งหน้าเข้มให้นางอย่างนั้นก็เพราะคำนึงว่าหากแต่งหน้าอ่อนเกินไปก็จะถูกสีของชุดพิธีข่มเอาได้ เช้านี้ชุนเหนียงจึงเพียงวาดผ่านคิ้วโค้งงามนั้นเบาๆ แต้มชาดบนริมฝีปากเล็กน้อย สองแก้มทาแป้งหอมสีเมฆยามสายัณห์ชั้นบางๆ ก็เพียงพอที่ดวงหน้านั้นจะงามเฉิดฉายชวนให้หวั่นไหวแล้ว

ชุนเหนียงรู้มานานแล้วว่าชุดชวีจวี* ซึ่งเข้ารูปตลอดร่างและปล่อยชายส่วนที่เลยเข่าให้ระพื้นนั้นสามารถเผยเรือนร่างของเสี่ยวเฉียวซึ่งกำลังเปลี่ยนเป็นงดงามมากขึ้นทุกวันได้ดียิ่งกว่าชุดใดๆ นางปรนนิบัติเสี่ยวเฉียวอาบน้ำอย่างใกล้ชิด ย่อมล่วงรู้การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของอีกฝ่ายชัดเจนที่สุด ปีที่แล้วหลังจากเสี่ยวเฉียวเริ่มมีระดูก็เริ่มเห็นรูปร่างที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ทรวงอกดุจปทุมดอกตูมเริ่มนูนเด่นขึ้นมาอย่างเงียบๆ ไม่ว่าความงามหรือผิวสัมผัสล้วนละเอียดอ่อนผิดแผกไปจากสตรีที่เจริญเต็มวัยเหล่านั้น หากมิได้เห็นด้วยตาตนเองก็ยากที่จะพรรณนาได้

เสี่ยวเฉียวผิดกับสตรีที่นี่ซึ่งโดยมากจะมีรูปร่างสูงใหญ่ ธิดาเจ้าเมืองผู้เป็นนายของนางนั้นอาจจะมีโครงร่างที่เล็กบางไปสักหน่อย อีกทั้งเพิ่งถึงวัยเข้าพิธีปักปิ่น ส่วนสูงจึงยังเติบโตไม่เต็มที่ ประกอบกับเมื่อคืนนี้เรือนร่างจริงๆ ซึ่งอรชรสมส่วนถูกชุดพิธีทั้งในนอกรวมกันถึงหกชั้นบดบังไป แท้จริงแล้วเสี่ยวเฉียวมิได้ผอมแห้งดุจไม้ฟืนอย่างที่สตรีรุ่นป้าปากเปราะเหล่านั้นเยาะหยันลับหลังเมื่อเช้านี้แน่นอน

ชุนเหนียงเลือกชุดชวีจวีสีชมพูอ่อนให้เสี่ยวเฉียวสวมใส่ หลังพันอ้อมด้านหลังร่างมาทบกับตัวเสื้อด้านหน้าแล้วก็รัดด้วยสายคาดเอวปักลาย เบื้องล่างเผยให้เห็นกระโปรงจีบบานที่ทอด้วยผ้าแพรชั้นดีเนื้อนุ่มเบาปักลายด้วยไหมเงิน เนื่องจากอากาศหนาวลมแรง เมื่อจัดแขนเสื้อเรียบร้อยจึงเพิ่มเสื้อคลุมพร้อมหมวกสีชมพูอมม่วงขลิบขนสัตว์ให้อีกตัว เสื้อคลุมปราศจากเครื่องตกแต่งอื่นใด มีเพียงชายด้านหนึ่งที่ปักดอกเอ้อเหมย* เบ่งบานหนึ่งกิ่ง หากมีลมแรงก็สามารถตลบหมวกขึ้นมาสวมเพื่อเพิ่มความอบอุ่นได้ ทั้งเรียบสุภาพและไม่ขาดความสง่างามแต่อย่างใด

เครื่องแต่งกายสำหรับเดินทางซึ่งเน้นตัวตนของเสี่ยวเฉียวเป็นส่วนใหญ่ชุดนี้ ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าก็เหลือเพียงคำว่าพอเหมาะเข้าทีแล้ว ทั้งไม่ดูฟุ้งเฟ้อ ทั้งไม่เรียบง่ายจนถึงขั้นสมถะเกินไป ไม่ถือเป็นการบั่นทอนฐานะของฮูหยินท่านโหวที่เพิ่งเข้าพิธีเลยแม้แต่น้อย ยามที่นางเดินเนิบช้าต้องลมออกมานั้นก็เห็นเรือนผมดุจเส้นไหมดำประดับด้วยหยกเขียว ตัวเสื้อและกระโปรงพลิ้วไหวได้ สองตาของนางพราวระยับ ปิ่นระย้าข้างจอนผมทอประกายงดงามจับตา มองจากที่ไกลๆ เสี่ยวเฉียวประหนึ่งเป็นเทพธิดาแห่งแม่น้ำลั่วสุ่ยปรากฏกายขึ้นเหนือสายน้ำ งามสะคราญหาใดเปรียบ แม้แต่ลานหน้าเรือนสี่เหลี่ยมที่ปกติดูอึมครึมผิดธรรมดาเพราะอยู่ในช่วงฤดูเหมันต์แห่งนี้ก็ยังคล้ายถูกเติมแต่งด้วยภาพทิวทัศน์อันงามตื่นตาด้วยต้นฤดูวสันต์ ตลอดทางที่เดินออกไป ข้ารับใช้ที่พบเจอต่างมัวเหลือบมองนางจนถึงกับลืมคารวะ จวบจนนางเดินไกลออกไปทุกขณะแล้วก็ยังคงเหม่อมองเงาหลังอันงดงามนั้น ไม่อาจถอนสายตาคืนมาได้เสียที

ในที่สุดชุนเหนียงก็รู้สึกว่าลมหายใจที่ติดขัดอัดอั้นอยู่ในอกค่อยโล่งขึ้นเล็กน้อย

ผ่านประตูที่อยู่เบื้องหน้าไปก็จะมุ่งออกจากประตูใหญ่แล้ว ตรงนั้นมีบันไดหลายขั้น เป็นเพราะเมื่อคืนอากาศหนาวจัด ชุนเหนียงก็กลัวว่าขั้นบันไดจะมีเศษน้ำแข็งตกค้างอยู่จึงยื่นมือประคองเสี่ยวเฉียวไว้ ขณะที่มือเสี่ยวเฉียวยกชายกระโปรงขึ้นมาเล็กน้อยแล้วก้มหน้าลงมองขั้นบันได นางก็รู้สึกได้ว่าชุนเหนียงที่อยู่ข้างกายพลันชะงักฝีเท้า จากนั้นแขนเสื้อของนางก็ถูกอีกฝ่ายกระตุกเบาๆ

สาวน้อยช้อนตาขึ้น ก่อนจะเห็นเว่ยเซ่ายืนอยู่ริมทางเบื้องหน้าไม่ไกลนัก ข้างกายของเขายังมีบุรุษวัยกลางคนอีกผู้หนึ่ง รูปร่างคนผู้นี้ซูบผอมเล็กน้อย ไว้เคราสามกลุ่ม ใบหน้าตอบทว่าแววตากลับเจิดจ้า สีหน้าดูอมโรคจากการตรากตรำงานสะสมมาเป็นเวลานาน ดูเหมือนจะเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นคนสนิทของเว่ยเซ่า

บุรุษทั้งสองน่าจะเพิ่งมาถึงที่นี่จึงพบเจอกับนางเข้าเช่นนี้

เสี่ยวเฉียวเห็นสองตาของเว่ยเซ่ากวาดมาที่ตน ใบหน้าของเขาไร้ซึ่งความรู้สึก นางชะงักฝีเท้าเพียงเล็กน้อยก่อนจะเดินต่ออย่างหน้าตาเฉยไปที่เบื้องหน้าเขา รอจนเข้าไปใกล้แล้วใบหน้าจึงค่อยเผยรอยยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยเรียกเขาหนึ่งคำ “ท่านพี่”

บุรุษวัยกลางคนที่อยู่ข้างกายเขาค้อมกายคารวะนาง แนะนำตนเองว่าแซ่กงซุน นามหยาง เป็นกุนซือของท่านโหว

เสี่ยวเฉียวใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผงกศีรษะเล็กน้อยให้กงซุนหยางเป็นการทักทาย จากนั้นจึงหันมากล่าวกับเว่ยเซ่าต่อ “ข้าจะออกเดินทางแล้ว ต่อไปไม่อาจอยู่รับใช้ท่านพี่ได้ หวังว่าท่านพี่จะถนอมรักษาตัวด้วย” จบคำนางก็ย่อกายลงเล็กน้อย เบือนหน้าหมุนกายจากไปโดยไม่มองเขาอีก

เว่ยเซ่าคล้ายจะตะลึงไปเล็กน้อย หัวคิ้วมุ่นนิดๆ สายตาจับจ้องอยู่ที่แผ่นหลังของนาง

แม้ในใจชุนเหนียงจะขุ่นเคืองเว่ยเซ่าอยู่มาก ทว่าพบเจอกันเช่นนี้การแสดงออกภายนอกย่อมยังไม่กล้าเพิกเฉย เห็นเสี่ยวเฉียวจากไปแล้วจึงรีบคารวะคนทั้งสองก่อนหมุนกายไล่ตามไป สาวใช้ที่เหลือต่างเอาอย่างชุนเหนียงรุดตามไปเช่นกัน

“นายท่านไม่ไปส่งนายหญิงออกจากเมืองหรือขอรับ”

รอจนเงาร่างของเสี่ยวเฉียวเคลื่อนไกลออกไปทุกที กงซุนหยางก็โน้มน้าวอีกคำรบ

“ตามความเห็นของข้า นายท่านไปส่งนางออกจากเมืองจะเป็นการดีกว่า พิธีสมรสตามจารีตโบราณของราชวงศ์โจวถือการเกี่ยวดองว่าเป็นการผูกมิตรระหว่างแคว้น แม้บัดนี้จารีตจะไม่ได้เข้มงวดมากถึงเพียงนั้นแล้ว ทว่าการสมรสของผู้ปกครองที่เป็นไปอย่างปรองดองนั้นยังคงเป็นที่นิยมชมชอบของราษฎรยิ่งกว่า เพราะถึงอย่างไรนี่ก็คือคุณธรรมอันพึงยึดถือ เมื่อวานเพิ่งเข้าพิธี วันนี้นายหญิงก็เดินทางขึ้นเหนือเสียแล้ว เรื่องนี้แม้จะยังอ้างเรื่องการศึกตึงเครียดได้ ทว่าแค่ไปส่งออกจากเมืองระยะทางเพียงไม่กี่ก้าวเท่านี้ ต่อให้นายท่านงานรัดตัวเพียงใดก็ไม่เหมาะที่จะละเลยเช่นนี้ หากนายท่านไม่ไปส่ง เกรงแต่จะทำให้ชาวเมืองทั้งหลายแคลงใจได้”

เมื่อเสี่ยวเฉียวออกจากประตูใหญ่ เว่ยเหลียงกับจงเอ่าล้วนตรงมาต้อนรับ รอจนนางก้าวขึ้นรถม้าคันที่อยู่ด้านหน้าเรียบร้อยแล้ว เว่ยเหลียง จงเอ่า และคนอื่นๆ ก็แยกย้ายไปประจำที่ของตน ขณะจะออกเดินทางก็เห็นเว่ยเซ่าเดินออกมาเสียก่อน พวกเขาจึงรีบไปต้อนรับ

“เตรียมม้า ข้าจะไปส่งนางออกจากเมือง”

เสี่ยวเฉียวขึ้นนั่งในรถม้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นางพลันได้ยินเสียงของเว่ยเซ่าแว่วมาจากด้านหลัง ด้วยความสงสัยใคร่รู้จึงอดไม่ได้ที่จะเลิกม่านมองเขาปราดหนึ่ง เห็นเขายืนอยู่ตรงขั้นบันไดของประตูใหญ่กำลังรอคนไปจูงม้ามาให้ เขาหันใบหน้าด้านข้างให้นาง ถึงกระนั้นนางก็ยังมองออกว่าสีหน้าของเขาดูเจือความรำคาญใจอยู่ ราวกับสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง จู่ๆ เขาก็หันขวับมาพร้อมกับสาดสายตามายังรถม้าของนาง

เสี่ยวเฉียวจึงรีบกระถดถอยแล้วปล่อยม่านลงทันควัน

 

ขบวนรถและม้าต่างก็ออกเดินทางไปบนถนนใหญ่

ยามนี้ผู้คนบนท้องถนนเพิ่มจำนวนขึ้นตามลำดับ เมื่อเห็นว่าขบวนรถและม้ามาจากทิศทางของจวนซิ่น รถม้าขนาดใหญ่ที่อยู่กลางขบวนมีองครักษ์ติดตามทั้งหน้าหลัง เว่ยเซ่าเองก็คอยขี่ม้าอยู่ด้านข้าง คนเดินถนนจึงค่อยๆ ห้อมล้อมเข้ามาพลางร้องเรียกเขาว่าท่านโหว พอผ่านถนนไปหนึ่งสาย ผู้คนก็มากขึ้นทุกที ไม่รู้ข่าวนี้แพร่ออกไปอย่างไร ไม่นานนักผู้คนก็พูดกันว่าผู้ที่นั่งอยู่ในรถม้าคันใหญ่นั้นคือฮูหยินท่านโหวที่เพิ่งเข้าพิธีมานั่นเอง เนื่องจากการศึกกำลังตึงเครียด ท่านโหวจึงจำต้องส่งนางขึ้นเหนือในวันรุ่งขึ้นหลังพิธีแต่งงานผ่านไปเพียงวันเดียว แม้ไม่อาจหักใจพรากจากเพียงใด ทว่าไร้ซึ่งหนทางแล้วจึงได้แต่ส่งนางออกจากเมืองด้วยตนเอง อารมณ์ของชาวเมืองค่อยๆ ถูกปลุกเร้าขึ้นอย่างช้าๆ กระทั่งมีบางคนเริ่มตะโกนคารวะนายหญิงที่อยู่ในรถม้าแต่มิได้เผยโฉมขึ้นมา คนที่เหลือต่างพากันทำตามทันที

เสี่ยวเฉียวนั่งอยู่ในรถม้า นางได้ยินคนเดินถนนด้านนอกเอ่ยแสดงความเคารพต่อนาง บ้างก็อวยพรเสียงก้องให้นางเดินทางอย่างราบรื่นปลอดภัย

ในยุคนี้แม้ชนชั้นสูงจะริเริ่มผลักดันข้อปฏิบัติตามแนวคิดของสำนักหรูจยา อาทิ ยกย่องชายเหนือหญิง ไม่สนับสนุนให้หญิงแต่งงานใหม่ ทว่าเมื่อเปรียบกับค่านิยมในยุคต่อมาแล้วก็ยังถือว่ายุคนี้เปิดกว้างกว่ามากนัก ทั้งไม่มีข้อจำกัดอันเข้มงวดที่ห้ามสตรีชั้นสูงเผยโฉมต่อธารกำนัล ตอนที่อยู่มณฑลเหยี่ยนโจว เมื่อครั้งมารดาของเสี่ยวเฉียวยังมีชีวิตอยู่จะพาทั้งต้าเฉียวและเสี่ยวเฉียวไปที่ศาลเทพบุปผาร่วมงานเทศกาลซั่งซื่อ* อันเป็นหนึ่งในวันเทศกาลสำคัญช่วงเดือนสามของทุกปี ช่วงนั้นเป็นฤดูวสันต์ที่มีดวงตะวันอบอุ่นทอแสงงามตา ตลอดทางที่นั่งรถม้านั้นจะคอยเปิดม่านกว้างรับคำทักทายจากชาวเมืองที่พบเจอตามรายทาง สนุกสนานกับเทศกาลร่วมกัน ยามนี้เมื่อได้ยินเสียงเซ็งแซ่จากสองข้างทางดังขึ้นเรื่อยๆ เสี่ยวเฉียวจึงเรียกให้ชุนเหนียงม้วนม่านขึ้นทั้งสองด้าน พลางคลี่ยิ้มผงกศีรษะทักทายชาวเมืองที่อยู่ตลอดสองข้างทาง

ชาวเมืองต่างก็ไม่มีใครรู้เรื่องในอดีตระหว่างเว่ยและเฉียวสองสกุล และเนื่องจากเว่ยเซ่าครองใจราษฎรอย่างมาก พวกเขาย่อมมีความรู้สึกที่ดีในระดับเดียวกันนี้ต่อภรรยาที่เพิ่งเข้าพิธีแต่งงานของท่านโหวด้วย พวกเขาต่างมีอารมณ์ร่วมต่อสามีภรรยาที่ต้องพรากจากตั้งแต่วันรุ่งขึ้นหลังการแต่งงาน จึงพากันตามมาส่งตลอดทาง ในที่สุดก็เห็นนางเผยโฉมทักทายตอบ นางนั่งสง่าอยู่กลางรถม้าในอิริยาบถอันสุภาพงดงาม รูปโฉมกิริยาดุจเทพเซียน รอยยิ้มประหนึ่งสายลมอ่อนๆ พัดพากลิ่นหอมบางเบาผ่านมายังสถานที่ซึ่งชวนให้ผู้คนใฝ่หา นางดูเป็นกันเองน่าเข้าใกล้ ยามที่สายตาของนางกวาดผ่าน ในใจทุกคนล้วนบังเกิดความรู้สึกคล้ายฮูหยินท่านโหวกำลังทักทายตน แต่ละคนจึงพลันโห่ร้องยินดีด้วยความตื่นเต้นมิคลาย ไม่ว่าชายหรือหญิงต่างติดตามรถม้าไปตลอดทาง ผู้คนเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดล้วนห้อมล้อมอยู่บนถนนตลอดสองข้างของรถม้า เพียงหมายจะได้ยลโฉมนางอีกสักครั้ง

แรกเริ่มที่เสี่ยวเฉียวเผยโฉมคลี่ยิ้มทักทายราษฎรนั้นเพราะเป็นหน้าที่อันพึงกระทำในฐานะที่นางเป็นภรรยาท่านโหวเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าการกระทำนี้จะดึงดูดให้ผู้คนตามมาส่งอย่างล้นหลามตลอดทางเช่นนี้ เมื่อเห็นว่าบริเวณที่ไกลออกไปยังมีผู้คนวิ่งมาทางนี้อย่างไม่ขาดสายอีก ด้วยกลัวว่าจะมีคนมาเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ แล้วจะเกิดเหตุเหยียบกันอย่างไม่คาดฝันขึ้น นางจึงโบกมือให้ราษฎรที่อยู่ใกล้เคียงนี้เป็นความหมายว่าไม่ต้องส่งนางแล้ว จากนั้นเสี่ยวเฉียวจึงปล่อยม่านรถลง

 

ราษฎรส่งภรรยาท่านโหวออกจากเมือง เดิมทีถือเป็นเรื่องปกติ แรกเริ่มเว่ยเหลียงก็ไม่ได้ใส่ใจ กระทั่งเห็นผู้คนมารวมตัวกันมากขึ้นทุกที สุดท้ายถึงขั้นแย่งกันไล่ตามรถม้า ศีรษะของฝูงชนสองข้างทางล้วนคลาคล่ำราวกับอยู่ในตลาดนัด หากมิใช่สองข้างของรถม้ามีทหารผู้ติดตามคอยถือหอกขวางอยู่ตลอดทางแล้วล่ะก็ เกรงว่าผู้คนคงเบียดเสียดเข้ามาในขบวนเป็นแน่ เว่ยเหลียงร้อนใจ หันหน้าไปมองเว่ยเซ่าที่รั้งอยู่ด้านหลังเล็กน้อย ก็เห็นว่าใบหน้าของอีกฝ่ายเหมือนเจือด้วยอารมณ์ขุ่นมัวเล็กน้อย

เห็นชัดว่าสถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้อยู่ในความคาดหมายของผู้เป็นนาย

ในใจเว่ยเหลียงอดไม่ได้ที่จะเริ่มตำหนิหญิงสกุลเฉียวมากเรื่องผู้นั้น ก่อนจะมองไปทางรถม้าอีกครั้ง ยังดีที่นางปล่อยม่านลงแล้ว เขารีบกระทุ้งสะโพกม้าพลางควบเข้าไปใกล้ แล้วคุ้มกันรถม้าด้วยตนเองไปพลาง สั่งเสียงก้องให้ผู้คนแยกย้ายไปพลาง ขบวนรถม้าเคลื่อนๆ หยุดๆ อยู่เช่นนี้ จนในที่สุดพอพ้นออกจากเมืองแล้วก็ค่อยเร่งความเร็วขึ้นได้ กระทั่งเห็นว่าห่างจากประตูเมืองมาหลายลี้แล้วเว่ยเหลียงจึงสั่งให้หยุดขบวนรถม้าที่ริมทาง

หลังออกจากเมือง สีหน้าของเว่ยเซ่ายังคงลุ่มลึกดุจน้ำนิ่ง เขายิ่งไม่ได้ลงมาจากม้า รอจนพวกเว่ยเหลียงมาคำนับลาที่เบื้องหน้า ชายหนุ่มจึงค่อยสั่งการไปสองสามประโยค กำชับให้อีกฝ่ายเดินทางอย่างระมัดระวัง แล้วจึงช้อนสายตาขึ้น เหลือบมองรถม้าเบื้องหน้าที่ไม่ได้เลิกม่านขึ้นอีกเลยนับแต่ออกจากเมือง จากนั้นก็หันหัวม้ามุ่งกลับเข้าเมืองทันที

เว่ยเหลียงยืนอยู่ริมทาง มองส่งเงาร่างบนหลังม้าของเว่ยเซ่าจนลับหายไปแล้วค่อยหมุนกายมาตะโกนบอกผู้ติดตามเสียงดัง “ออกเดินทาง! ส่งนายหญิงกลับอวี๋หยางในเร็ววัน พวกเราก็จะได้กลับมากันเร็วหน่อย!”

 

หลายวันแรกของปีใหม่นี้ผ่านพ้นไปกับการเดินทาง สี่ห้าวันต่อมาขบวนของเสี่ยวเฉียวก็ถึงพื้นที่ที่เรียกว่าชิวจี๋ ซึ่งแปลว่าชุมนุมเนิน หากตัดผ่านเส้นทางบนเขาอันคดเคี้ยวที่อยู่เบื้องหน้าไปหลายลี้ก็จะเข้าเขตเมืองเหอเจียน สีท้องฟ้ายามใกล้พลบค่ำขมุกขมัว สายลมที่โชยมาราวมีดกรีดเฉือน หิมะคล้ายว่ากำลังจะตก นึกได้ว่าเส้นทางบนเขาอันคดเคี้ยวนั้นยากแก่การเดินทางในเวลานี้ เว่ยเหลียงจึงให้หยุดขบวนและค้างแรมในจุดพักเปลี่ยนม้าที่อยู่ใกล้เคียง

ในรถม้าที่เสี่ยวเฉียวนั่งมานั้นมีทั้งเตาผิงและเบาะรองนั่ง แต่กระนั้นการเดินทางทั้งวันก็ยังทำให้นิ้วเท้าของนางถูกแช่เย็นจนเป็นเหน็บชา นับประสาอะไรกับจงเอ่าและพวกสาวใช้ที่นั่งเพียงรถม้าธรรมดาซึ่งไม่มีแม้แต่เตาผิง อย่างไรเสียตัวรถม้าของนางก็ยังนั่งได้อีกหลายคน เบียดเสียดกันสักหน่อยไม่เห็นเป็นไร

เมื่อช่วงพักเที่ยงเสี่ยวเฉียวจึงให้ชุนเหนียงไปเรียกจงเอ่ากับสาวใช้มา ให้พวกนางมานั่งอุ่นกายด้วยกันในรถม้าของตน แต่จงเอ่ากลับปฏิเสธด้วยฐานะสูงต่ำนั้นมีข้อแตกต่าง นายบ่าวไม่อาจปะปนกันได้ พวกสาวใช้ค่อนข้างเกรงกลัวจงเอ่าอยู่แล้ว เห็นจงเอ่าไม่ขึ้นรถม้าคันใหญ่นี้จึงจำใจกัดฟันนั่งรถคันเดียวกับนางต่อไป

ยามนี้ได้เข้าที่พักเสียที โรงเตี๊ยมแห่งนี้แม้ทรุดโทรมคับแคบอยู่บ้าง แต่ชั่วดีอย่างไรก็อบอุ่นกว่าเบื้องนอกมากนัก เมื่อเข้าที่พักแล้วทุกคนจึงผ่อนคลายลงอย่างมาก

เสี่ยวเฉียวออกเงินขอให้หัวหน้าจุดพักเปลี่ยนม้าส่งคนไปซื้อหาสุรากับเนื้อหัวหมูมาให้เว่ยเหลียงและเหล่าทหารที่คุ้มกันตนมาตลอดทางได้ดื่มสุราอุ่นกาย หัวหน้าจุดพักเปลี่ยนม้ารู้ว่านางคือภรรยาของเว่ยเซ่า ไหนเลยจะกล้าเรียกร้องเงิน เสี่ยวเฉียวย่อมไม่ปล่อยให้เขาต้องควักเนื้อเช่นกันจึงสั่งให้ชุนเหนียงยื่นเงินไป หัวหน้าจุดพักเปลี่ยนม้าไม่อาจปฏิเสธเงินได้จึงออกไปซื้อหาและผัดเนื้อหมูอุ่นสุราขึ้นโต๊ะด้วยตนเอง เหล่าทหารต่างก็นั่งล้อมวงดื่มกินกันด้วยความซาบซึ้งที่นายหญิงเอาใจใส่ ผิดกับเว่ยเหลียงที่ยืนอยู่หน้าประตูเรือนรับรอง เขาเพียงทอดตามองฟ้าสีดำทะมึนเบื้องนอก สีหน้าดูเหมือนเจือไว้ด้วยความกังวล

อากาศหนาวจัดของแดนเหนือหลังเดือนสิบสองไม่ใช่คำโอ้อวดเลยจริงๆ

เสี่ยวเฉียวมีเท้าที่นิ่มนุ่มอยู่คู่หนึ่ง นิ้วเท้ากลมเกลี้ยง โคนเล็บสีชมพูอ่อนรูปจันทร์เสี้ยวเล็กๆ เรียงตัวเป็นระเบียบดูน่ามองยิ่งนัก เมื่อก่อนตอนที่อยู่มณฑลเหยี่ยนโจว สาวน้อยไม่เคยเป็นแผลเปื่อยในฤดูเหมันต์มาก่อน ทว่ามาที่นี่เพียงไม่กี่วันนิ้วเท้ากลับเริ่มคันยุบยิบเสียแล้ว เมื่อคืนยิ่งคันคะเยอไปถึงตับและหัวใจ ทั้งถูไถทั้งขยี้อยู่ในผ้าห่ม โชคดีที่ชุนเหนียงคิดอ่านรอบคอบ ก่อนเดินทางมานี้จึงพกขี้ผึ้งแก้แผลเปื่อยจากอากาศหนาวมาด้วย อีกฝ่ายแตะขี้ผึ้งเล็กน้อยมาทาให้นางแล้วก็ช่วยนวดคลึง วุ่นวายอยู่ครึ่งคืน กว่าจะหลับลงได้ก็ดึกดื่นมากแล้ว

เช้าตรู่วันต่อมาเสี่ยวเฉียวถูกชุนเหนียงปลุกจนตื่น อีกฝ่ายบอกว่าเบื้องนอกหิมะตก แม่ทัพเว่ยตื่นตั้งแต่รุ่งสางแล้ว ยามนี้อยู่ที่โถงใหญ่ด้านนอกคอยนางออกเดินทางอยู่ เมื่อครู่ก็เพิ่งจะส่งคนมาเร่งซ้ำ

ความง่วงงุนกำลังจู่โจม เสี่ยวเฉียวหาวหวอด กดข่มอารมณ์หงุดหงิดที่ต้องตื่นนอนไว้ ขณะที่นางถูกดึงตัวออกมาจากผ้าห่มแสนอุ่นด้วยความทุกข์ระทมแสนสาหัส ดวงตาปรือกึ่งหลับกึ่งลืม สติมึนงงขณะชุนเหนียงปรนนิบัตินางสวมเสื้อผ้า ล้างหน้าหวีผมอย่างลวกๆ นางกินอาหารที่ส่งมาเพียงไม่กี่คำ สาวใช้ที่อยู่อีกด้านพอเก็บเครื่องนอนเสร็จแล้วก็ออกจากห้องไปที่โถงใหญ่พร้อมกัน

เว่ยเหลียงที่รอคอยมาสักพักแล้วนั้นกำลังหัวเสีย ในที่สุดก็เห็นเสี่ยวเฉียวนวยนาดมาถึง ในใจแม้ขุ่นเคืองเพียงใด แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นนายหญิง เขาจึงไม่กล้าวู่วามจนเกินเหตุ คารวะอย่างขอไปทีก่อนเอ่ยเสียงกระโชกโฮกฮาก “เส้นทางบนเขาคดเคี้ยวเดินทางยากลำบาก เกรงว่าจากนี้หิมะคงตกหนักขึ้นเรื่อยๆ แน่ ออกเดินทางเร็วหน่อยจะได้ข้ามเขาไปได้เร็วขึ้น” จบคำเขาก็ตะเบ็งเสียงสั่งผู้ติดตามให้เตรียมออกเดินทาง

เสี่ยวเฉียวรู้ว่าเขาใจร้อนอยากส่งตนไปถึงเมืองอวี๋หยางโดยเร็ว นางเดินไปถึงใต้ชายคาของประตูเรือนรับรอง เห็นหิมะโปรยลงมาจากฟ้าตามคำของเว่ยเหลียงจริงดังคาด ทางระบายน้ำข้างทางล้วนมีหิมะสะสมบางๆ อยู่หนึ่งชั้น บริเวณที่อยู่ไกลล้วนขาวโพลนไปทั่ว เพียงสายลมหอบมาหนึ่งระลอก นางก็สั่นเทิ้มไปทั้งร่างแล้ว

รถม้าจอดอยู่หน้าประตูแล้ว ขณะที่เสี่ยวเฉียวกำลังจะขึ้นไปข้างในตัวรถม้านั้น บนถนนฝั่งตรงข้ามพลันมีบุรุษสี่ห้าคนเร่งรุดตรงมา ดูจากท่าทางคล้ายพ่อค้าที่ออกเดินทางแต่รุ่งสาง ทั้งหมดวิ่งมาหลบหิมะที่หน้าประตูเรือนรับรอง ขณะที่พวกเขาย่ำหิมะซึ่งอยู่ใต้ฝ่าเท้าก็มีคนในกลุ่มนี้เอ่ยปาก “ท่านแม่ทัพจะมุ่งหน้าไปเหอเจียนกระมัง เส้นทางบนเขาด้านหน้าถูกหิมะตกหนักปิดสกัดจนข้ามไปไม่ได้แล้ว!”

เว่ยเหลียงซักถามรายละเอียด กลุ่มพ่อค้าจึงแย่งกันชี้แจง ได้ความว่าพวกเขาออกเดินทางแต่รุ่งสาง พอไปถึงทางด้านหน้าก็เห็นหิมะที่สุมอยู่ด้านบนถล่มลงมา ปิดกั้นทางไปจนไม่อาจเดินทางผ่านได้โดยสิ้นเชิง

“หิมะกองสูงหลายช่วงตัวเชียวขอรับ! เคราะห์ยังดีที่หนีได้เร็วพอ! หวุดหวิดจะถูกทับอยู่ข้างใต้ด้วยซ้ำ นึกว่าจะเอาชีวิตไม่รอดเสียแล้ว!” พ่อค้าคนหนึ่งเอ่ยพร้อมแสดงท่าทางประกอบ กระทั่งยามนี้ยังใจสั่นไม่หาย

“เฮ้อ เกรงว่าต้องติดอยู่ที่นี่เสียแล้ว ไม่รู้เมื่อใดถึงจะผ่านไปได้”

พวกพ้องอีกคนของเขาพลันทอดถอนใจ

เว่ยเหลียงตะลึงงันคล้ายไม่ค่อยอยากเชื่อ ครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนเชิญเสี่ยวเฉียวเข้าไปรอในรถม้าก่อน ส่วนตนเองพาผู้ติดตามสองคนขึ้นม้าฝ่าลมหิมะไปดูให้แน่ชัด เมื่อกลับมาถึงหัวคิ้วของเขาก็ขมวดมุ่น บอกว่าเส้นทางถูกหิมะปิดตายแล้วจริงๆ วันนี้คงไม่อาจจากไปได้

เสี่ยวเฉียวฟังจบก็ป้องปากหาวหวอดแล้วก็หมุนกายกลับเข้าที่พัก รอกระทั่งสาวใช้กางเครื่องนอนปูใหม่เสร็จ นางก็มุดตัวเข้าไปนอนชดเชยที่ถูกปลุกให้ต้องตื่นแต่เช้า

จากนั้นก็ไม่มีใครมาเร่งรัดนางอีก คราวนี้เสี่ยวเฉียวได้นอนเต็มอิ่มจนรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่ายิ่งนัก ยามตื่นนอนสองแก้มที่ซุกอยู่ใต้ผ้าห่มจึงมีสีแดงระเรื่อ เท้าซึ่งได้ทาขี้ผึ้งแก้แผลเปื่อยและสวมถุงเท้าไว้ตั้งแต่ก่อนนอนก็อุ่นสบายยิ่งเช่นกัน นางลุกขึ้นมากินอาหาร กว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็เป็นเวลาหลังเที่ยงไปแล้ว

ในโถงใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าของจุดพักเปลี่ยนม้าครึกครื้นกว่าช่วงเช้ามากนัก

ผู้ที่ยังเร่งเดินทางอยู่ข้างนอกในสภาพอากาศที่เลวร้ายเยี่ยงนี้ นอกจากคนส่วนน้อยเช่นเสี่ยวเฉียวที่มีเหตุอันยากจะกล่าวแล้ว คนส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นพ่อค้าที่ค้าขายอยู่ภายนอกทั้งสิ้น ในโถงโหญ่ยามนี้จึงมีแต่ผู้ที่ย้อนกลับมาพักหลบหนาวที่นี่ชั่วคราวเพราะเส้นทางถูกปิด หัวหน้าจุดพักเปลี่ยนม้าไม่ได้ขับไล่ไสส่งพวกเขา ยังอนุญาตให้เหล่าพ่อค้ารั้งอยู่ในโถงใหญ่ด้านหน้าเป็นการชั่วคราว เพียงแต่ไม่อนุญาตให้รุกล้ำไปที่ห้องใหญ่ด้านหลังตามอำเภอใจ

ในใจเว่ยเหลียงหวังแต่จะส่งเสี่ยวเฉียวไปเมืองอวี๋หยางให้เสร็จภารกิจโดยเร็ว นึกไม่ถึงว่าเพิ่งออกมาได้ไม่กี่วัน เส้นทางกลับถูกหิมะสกัดกั้นเสียได้ เขากลัดกลุ้มรุ่มร้อนใจไม่หาย กลัวแต่ว่าคืนนี้หากมีฝนตกผสมหิมะเพิ่มมาคงผนึกรวมกันจนกลายเป็นน้ำแข็งแน่ ถึงตอนนั้นค่อยคิดจัดการกับหิมะที่ปิดทางจะยิ่งยากลำบาก รอจนถึงยามเที่ยงเห็นหิมะมีแววว่าจะซาลงตามลำดับแล้ว จึงรีบจัดกำลังคนเตรียมมุ่งหน้าไปเปิดเส้นทางทันที

เหล่าพ่อค้าต่างถิ่นก็อยากรีบเดินทางต่อใจแทบขาดเช่นกัน เมื่อเห็นแม่ทัพผู้นี้ลุกขึ้นมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจึงพากันขานรับ เว่ยเหลียงนับจำนวนคนแล้วก็พกเครื่องมือไปกันอย่างพร้อมเพรียง และสั่งการให้ทหารองครักษ์สองนายรั้งอยู่ที่นี่เพื่อดูแลฮูหยินท่านโหว ส่วนตนเองก็นำพาคนอื่นๆ เดินทางจากไป

 

ภายในห้องใหญ่ด้านหลัง ถ่านแดงในกระถางไฟกำลังลุกโชนโชติช่วง แผ่ไออุ่นไปทั่วห้อง

ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ก็เดินทางต่อไม่ได้แล้ว ชุนเหนียงจึงหยิบตะกร้างานปักออกมา นั่งล้อมกระถางไฟทำงานเย็บปักกับเหล่าสาวใช้ เสี่ยวเฉียวเอียงกายเหม่อลอยอยู่บนตั่งด้านข้าง จู่ๆ ก็มีคนมาเคาะประตู ที่แท้เป็นหัวหน้าจุดพักเปลี่ยนม้ายกเกาลัดหนึ่งจานที่เพิ่งคั่วไฟเสร็จมาให้ กลิ่นหอมหวานนั้นโชยปะทะจมูก ชุนเหนียงยื่นเงินให้หัวหน้าจุดพักเปลี่ยนม้าก่อนรับเกาลัดมา เสี่ยวเฉียวให้สาวใช้ห่อเกาลัดส่วนหนึ่งด้วยผ้าเช็ดหน้า แล้วนำไปมอบให้กับจงเอ่าที่อยู่ห้องด้านข้าง

ครู่หนึ่งสาวใช้ก็กลับมารายงานว่าจงเอ่าไม่รับ เพียงสั่งให้นำถ้อยคำมาแจ้งแทนว่าขอบคุณในเจตนาดีของนายหญิง

เสี่ยวเฉียวเห็นอีกฝ่ายไม่รับก็ไม่ฝืนใจ บอกให้เหล่าสาวใช้นำไปแบ่งกันกิน พวกนางยินดียิ่งนัก นั่งล้อมวงข้างกระถางไฟ ปอกเกาลัดไปพลาง พูดคุยสัพเพเหระเสียงเบาไปพลาง

ชุนเหนียงไม่มัวเย็บปักถักร้อยอีก ล้างมือจนสะอาดสะอ้านแล้วก็ย้ายมานั่งข้างเสี่ยวเฉียว ปอกเกาลัดให้นางกิน ปากก็บ่นว่าจงเอ่าผู้นี้ช่างใกล้ชิดได้ยากเย็น ข้ารับใช้คนหนึ่งยังเป็นถึงขั้นนี้ ไม่รู้ไปถึงที่นั่นแล้วสวีฮูหยินผู้นั้นจะเป็นเช่นไร แม่สามีของนายหญิงจะเป็นเช่นไร

นางส่งเนื้อเกาลัดสีเหลืองทองที่เพิ่งปอกเสร็จหนึ่งลูกใส่ปากจิ้มลิ้มของเสี่ยวเฉียว ส่วนตนเองถอนหายใจหนึ่งที

เสี่ยวเฉียวเห็นชุนเหนียงเริ่มวิตกกังวลแทนตนอีกแล้วจึงปอกเกาลัดลูกหนึ่งบังคับใส่ปากของอีกฝ่ายก่อนยิ้มกล่าว “ทางนั้นจะมีใครจับข้าถลกหนังกลืนกินทั้งเป็นหรือ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าทุกคนจะไม่ญาติดีกับข้าไปเสียหมด ชุนเหนียงจะกลัดกลุ้มเพื่ออันใดเล่า กินเกาลัดกันเถิด!”

ชุนเหนียงคลี่ยิ้มเอ่ยตอบ “จริงด้วยเจ้าค่ะ อย่างเช่นท่านกงซุนผู้นั้น ดูอ่อนโยนเป็นมิตรทีเดียว…”

“ไฟไหม้!”

ตอนนี้เองเสียงอึกทึกพลันดังมาจากเบื้องนอก มีคนตะโกนแจ้งเหตุเสียงดัง

ชุนเหนียงตื่นตระหนก รีบลุกขึ้นผลักประตูออกไปสังเกตการณ์ แล้วก็เห็นห้องที่อยู่หัวมุมห่างจากตรงนี้เพียงไม่กี่ห้องเกิดเพลิงไหม้ขึ้นจริง เปลวไฟกับควันหนาทึบพวยพุ่งออกมาจากทางประตูหน้าต่าง ดูท่าจะเริ่มไหม้มาจากด้านใน จงเอ่าที่อยู่ข้างห้องก็ได้ยินเสียงออกมาดูแล้วเช่นกัน

หัวหน้าจุดพักเปลี่ยนม้าวิ่งตะลีตะลานมาถึง ทางหนึ่งสั่งให้คนดับไฟไปพลาง แล้วก็กล่าวขออภัยต่อเสี่ยวเฉียวที่เดินตามออกมาไปพลาง เขาบอกว่านั่นคือห้องเก็บของทั่วๆ ไป ไม่รู้ว่าจู่ๆ เกิดเพลิงไหม้ขึ้นได้อย่างไร เห็นเปลวไฟโหมแรงยิ่งขึ้น ด้วยเกรงจะลุกลามมาถึงที่นี่ เขาจึงจำต้องเชิญฮูหยินท่านโหวไปหลบที่โถงด้านหน้าก่อนเป็นการชั่วคราว

ชุนเหนียงพุ่งตัวกลับเข้าห้อง ฉวยเสื้อคลุมออกมาให้เสี่ยวเฉียวอย่างรวดเร็ว ส่วนจงเอ่าพาสาวใช้กลับห้องพัก เก็บข้าวของมีค่าจำนวนหนึ่งก่อนตามออกมา คนทั้งหมดห้อมล้อมเสี่ยวเฉียวมาจนถึงโถงด้านหน้า

ผู้คนในเรือนรับรองล้วนติดตามเว่ยเหลียงไปเปิดเส้นทาง กำลังคนที่จะดับไฟจึงมีไม่เพียงพอ หัวหน้าจุดพักเปลี่ยนม้ารีบวิ่งกลับมาอีก อ้อนวอนขอยืมตัวทหารองครักษ์สองนายนั้นไปช่วยกันดับไฟ ทว่ากลับถูกจงเอ่าปฏิเสธทันควัน “แต่ละคนต้องรักษาหน้าที่ของตน พวกเขาสองคนมีภารกิจสำคัญติดตัวอยู่ นั่นคือการอารักขานายหญิง…”

เพิ่งขาดคำก็บังเกิดเสียงดังปัง ประตูใหญ่ที่อยู่หลังนางพลันถูกคนกระแทกเปิด คนจำนวนหนึ่งซึ่งดูคล้ายพ่อค้าทว่าในมือกลับกุมดาบพากันพุ่งปราดเข้ามา ก่อนจะโถมร่างมาหาเสี่ยวเฉียวโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

“คุ้มกันนายหญิง!”

จงเอ่ามีอาการตอบสนองที่ว่องไวอย่างยิ่ง สั่งการเสียงก้องแล้วพุ่งตัวมาเบื้องหน้าเสี่ยวเฉียว ขวางให้นางอยู่เบื้องหลังของตน

ชุนเหนียงก็ตอบสนองโดยไวเช่นกัน นางโถมร่างตามมาถึงข้างกายเสี่ยวเฉียว

ทหารองครักษ์สองนายนั้นยามปกติได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวด แม้ต้องใช้น้อยต้านมากก็ไม่ลังเลเลยสักนิด เห็นเช่นนี้แล้วต่างรีบชักดาบ เรียงหน้ากระดานขวางอยู่หน้าสุด คุมเชิงกับอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

“พวกเจ้าเป็นผู้ใดกัน ถึงกับบังอาจล่วงเกินภรรยาเยียนโหวแห่งโยวโจว!”

จงเอ่าตวาดถามเสียงกร้าว

ทันใดนั้นเสียงเกือกม้าย่ำหิมะพลันดังกระชั้นมาจากนอกประตู แทบจะในพริบตาเดียวม้าขาวตัวหนึ่งก็ทะยานฝ่าเข้าประตูใหญ่มา คนผู้หนึ่งนั่งตระหง่านอยู่บนหลังม้า ศีรษะสวมงอบ ร่างคลุมเสื้อกันหิมะซึ่งถักสานจากหญ้า ปีกหมวกกดลงต่ำ ไม่อาจเห็นโฉมหน้าได้ชัดเจน ทว่าพิจารณาจากรูปร่างแล้วน่าจะเป็นบุรุษ ทักษะการขี่ม้าของเขานับว่าเป็นเลิศ ควบบุกเข้ามาแล้วก็มิได้หยุดชะงักแม้เพียงชั่วอึดใจ ทั้งยังหอบไอหนาวของลมหิมะพุ่งตรงมาหาเสี่ยวเฉียวในทันที ทหารองครักษ์ไม่อาจต้านขวางอาชาที่ดุดันนี้ได้ จำต้องเบี่ยงหลบไปซ้ายขวา พริบตานั้นม้าขาวก็เข้าใกล้เสี่ยวเฉียว พุ่งเข้าใส่จงเอ่ากับชุนเหนียงที่อยู่เบื้องหน้า ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของสาวใช้ เสี่ยวเฉียวได้ถูกบุรุษบนหลังม้าโน้มกายรวบตัวขึ้นม้าไปแล้ว บุรุษผู้นั้นพลันรั้งบังเหียนหยุดม้ากะทันหัน จากนั้นม้าขาวก็กลับตัวพาคนทั้งสองทะยานออกไปจากประตูใหญ่ กลุ่มคนที่แต่งกายเป็นพ่อค้าในตอนแรกเป่าปากส่งสัญญาณครั้งเดียวก็ล่าถอยไปหมดสิ้นในพริบตา

ทั้งหมดนี้…เกิดขึ้นกะทันหันเหลือเกิน ตั้งแต่ต้นจนจบใช้เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น

ยามที่จงเอ่ากับชุนเหนียงถูกม้าพุ่งชน ทั้งสองต่างได้รอยฟกช้ำดำเขียวมาจำนวนหนึ่ง พวกนางไม่พะวงกับความเจ็บปวด คลานขึ้นจากพื้นได้ก็ไล่ตามมาจนถึงหน้าประตู ทว่าม้าขาวตัวนั้นได้ห้อตะบึงไปไกลกว่าครึ่งค่อนลี้แล้ว กลายเป็นแค่จุดสีขาวหนึ่งที่แต้มบนพื้นหิมะ พริบตาก็อันตรธานไปท่ามกลางทุ่งหิมะอันเวิ้งว้าง

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

sangdow Marcom: