X
    Categories: ทดลองอ่านปรปักษ์จำนนมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 5

ตอนที่หก

 

จวนสกุลเว่ยแห่งนี้มีทั้งความโอ่โถงตามแบบฉบับของคฤหาสน์ตระกูลขุนนางใหญ่ทางแดนเหนือ ทั้งยังสืบทอดตามรูปแบบของจวนโหว ประตูใหญ่เป็นแบบสามห้องหนึ่งประตู เบื้องบนเป็นหลังคาจั่วทรงสามเหลี่ยม เบื้องล่างรองฐานด้วยศิลาขนาดใหญ่ เสาคานตกแต่งด้วยภาพเขียนสีลายมังกรเท้าเดียว หน้าประตูซ้ายขวาตั้งสิงโตกริ้วสำริดหนึ่งคู่ขนาดสูงเท่าครึ่งตัวคน โถงด้านหน้าใหญ่โตโอ่อ่า เรือนด้านหลังแต่ละเรือนก็กั้นด้วยกำแพงลานแยกกันเป็นสัดเป็นส่วน กึ่งกลางเชื่อมกันไว้ด้วยลานกว้าง การจัดวางผังเรือนโดยรวมกว้างขวางกระจ่างตา

ผู้ซึ่งมีฐานะสูงสุดในสกุลเว่ยย่อมเป็นสวีฮูหยินที่บัดนี้ยังพำนักอยู่ที่เมืองอู๋จง ที่พักของสวีฮูหยินที่อวี๋หยางนี้ตั้งอยู่กึ่งกลางทางทิศเหนือ ยามนี้ยังคงว่างอยู่ จูซื่อมารดาของเว่ยเซ่าพำนักอยู่ทิศตะวันออก เสี่ยวเฉียวถูกจัดให้พักอยู่ที่เรือนประจิมซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับจูซื่อ

แม้ได้ชื่อว่า ‘เรือน’ แต่แท้จริงกลับเป็นคฤหาสน์ขนาดไม่เล็กที่แยกตัวออกมาเป็นอิสระ ข้ามประตูสองบาน ตัดผ่านลานและห้องปีกซ้ายขวาแล้ว สุดท้ายจึงมาถึงห้องนอนที่มิดชิดเป็นส่วนตัวอย่างที่สุด โดยที่มีช่องรับแสงบนหลังคาพร้อมห้องเล็กด้านข้างอย่างครบถ้วนไม่มีตกหล่น

ในเรือนประจิมมีข้ารับใช้สิบกว่าคน ทั้งหมดมาคุกเข่าต้อนรับเสี่ยวเฉียวที่นอกประตู ขานเรียกนางว่านายหญิงโดยพร้อมเพรียง

แม้ครั้งนี้กลับมาโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า ทว่าทั้งในและนอกเรือนไม่มีที่ใดไม่สะอาดสะอ้าน ในห้องนอนยิ่งปราศจากฝุ่นผง

ต่อจากนี้เสี่ยวเฉียวจะต้องพำนักอยู่ที่นี่เป็นการถาวรแล้ว

ตอนที่ชุนเหนียงกับสาวใช้จัดเก็บสัมภาระ เสี่ยวเฉียวสังเกตเห็นเสื้อผ้าบุรุษหลายชุดรวมไปถึงเครื่องใช้ทั่วไปจำนวนหนึ่งเก็บอยู่ในห้อง

เห็นทีว่าเมื่อก่อนตอนเว่ยเซ่าอยู่ที่จวน ปกติก็คงพำนักอยู่ที่ห้องนี้

ตอนอยู่ที่เมืองซิ่นตู กระทั่งอยู่ต่อหน้าจงเอ่า เว่ยเซ่าก็ยังแยกห้องนอนกับนางอย่างเปิดเผย ไม่มีความคิดจะปิดบังแม้แต่น้อย ไม่ว่าคนในครอบครัวจะมองความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาของทั้งสองเป็นเช่นไร เห็นได้ชัดว่าเขามิได้แยแสเลยสักนิด ประกอบกับท่าทีเพิกเฉยที่เขาปฏิบัติต่อนางมาตลอดด้วยแล้ว เสี่ยวเฉียวจึงคาดว่าต่อจากนี้เขาก็คงไม่ฝืนใจมาอยู่ร่วมห้องกับนางหรอก

สำหรับ ‘นายหญิง’ ที่เพิ่งแต่งเข้าสกุลมาได้ไม่นานเช่นนาง นี่ย่อมเป็นการดูหมิ่นอย่างหนึ่ง รอจนถึงพรุ่งนี้ ข้ารับใช้ทั้งเบื้องบนเบื้องล่างของสกุลเว่ยคงเอานางมาเป็นหัวข้อสนทนาพูดคุยลับหลังนางเป็นแน่

ต้นไม้มีเปลือกไม้ฉันใด คนเราก็มีหนังหน้าฉันนั้น ต้นไม้ปราศจากเปลือกห่อหุ้มไม่อาจอยู่รอดได้ คนเราไม่มีหนังหน้าแม้ไม่ถึงตาย ทว่าไม่แคล้วต้องขาดศักดิ์ศรี

เสี่ยวเฉียวก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง เพิ่งมาถึงวันแรก ใครเล่าจะยินดีกลายเป็นตัวตลกในสายตาผู้อื่นในชั่วข้ามคืน หากนางสามารถเสแสร้งเพื่อให้ได้หนังหน้ามาไว้สักผืน ถึงจะลำบากหน่อยแต่นางก็เต็มใจ

ทว่าเรื่องอย่างนี้มิใช่นางคนเดียวที่จะคลี่คลายลงได้ คาดว่าเว่ยเซ่าคงแทบอยากกำจัดนางเช่นเดียวกับตีแมลงวันด้วยซ้ำถึงจะนับว่าสะอาดตา เช่นนั้นนางคงได้แต่พยายามปลงแล้ว

โชคดีที่นางใจคอกว้างพอ ไม่ดันทุรังเอาปัญหาที่ไร้ทางแก้มาใส่หัวของตน นอกจากรูปกายภายนอกแล้ว นี่คงเป็นข้อดีอันดับหนึ่งของเสี่ยวเฉียว ดังนั้นนางจึงกำชับชุนเหนียงเป็นพิเศษ ให้อีกฝ่ายนำข้าวของที่เว่ยเซ่าทิ้งไว้จัดเก็บไปวางไว้อีกด้านหนึ่ง รอให้เขาส่งคนมารับไป

 

หลังเว่ยเซ่าสั่งประโยคเดียวทิ้งนางไว้กับพ่อบ้านแล้ว ตลอดช่วงกลางวันก็ไม่พบเห็นตัวคนอีก

เป็นไปไม่ได้ที่นายท่านสกุลเว่ยจะมีความรู้สึกดีอันใดต่อหญิงสกุลเฉียว ข้ารับใช้ก็น่าจะเป็นเช่นเดียวกัน ทว่าก็ไม่อาจนับรวมข้ารับใช้ได้ทุกคนหรอก

แม้เงินไม่อาจซื้อใจคน ทว่าซื้อคนให้เปิดปากพูดนั้นยังคงไม่ยากเท่าไรนัก

ตอนแรกที่อยู่เมืองซิ่นตู ข้ารับใช้ในจวนซิ่นส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนท้องถิ่น ไม่รู้เรื่องของสกุลเว่ยแห่งอวี๋หยางแต่อย่างใด บ่าวไม่กี่คนที่ติดตามมาพร้อมจงเอ่าล้วนเกรงกลัวนาง จึงพูดจาอึกอักไม่ยอมแพร่งพรายอันใดมากนัก จวบจนมาถึงที่นี่และเข้าที่พักเรียบร้อย ไม่ช้าชุนเหนียงก็อาศัยฝีมือในการคุมบ่าวซึ่งฝึกฝนมาตั้งแต่ที่สกุลเฉียวสอบถามจนได้รายละเอียดมามากมายเกี่ยวกับสกุลเว่ยและจูซื่อจากหญิงรับใช้อาวุโสคนหนึ่งของเรือนประจิมนามว่าปิ่งหนี่ว์

ผู้คนในยุคนี้นิยมเชื่อมสัมพันธ์กันด้วยการเกี่ยวดอง การแต่งงานจะพิถีพิถันมากในเรื่องชาติตระกูลที่เหมาะสม โดยเฉพาะตระกูลของขุนนางใหญ่จะยิ่งให้ความสำคัญในประเด็นนี้ ดังนั้นเมื่อเปรียบกับสกุลเว่ยแล้ว วงศ์ตระกูลของจูซื่อจึงนับว่ามีฐานะต่ำต้อยไปสักหน่อย แรกเริ่มบิดาของนางเป็นเพียงหัวหน้าจุดพักเปลี่ยนม้าหลักของเมืองจัว ต่อมาเข้ากองทัพทำความชอบจนได้เลื่อนขึ้นเป็นหัวหน้าองครักษ์ ได้รับความสำคัญจากท่านปู่ของเว่ยเซ่า ในศึกหนึ่งเขาช่วยบังธนูอารักขาท่านปู่ของเว่ยเซ่าจากการถูกซุ่มยิง ลูกธนูถูกจุดสำคัญจึงสิ้นใจโดยไม่อาจเยียวยาได้ ท่านปู่ของเว่ยเซ่าทั้งรู้สึกผิดบาปและสำนึกตื้นตัน เห็นสกุลจูมีบุตรีนางหนึ่งซึ่งวัยและรูปโฉมเหมาะสมกับเว่ยจิงบุตรชายคนโตของตนจึงได้สู่ขอมาเป็นลูกสะใภ้

หลังแต่งเข้าสกุลเว่ย จูซื่อได้ให้กำเนิดบุตรชายสองคน คนโตนามเว่ยเป่า ชื่อรองป๋อกง คนรองนามเว่ยเซ่า ชื่อรองจ้งหลิน เมื่อสิบปีก่อนเคราะห์ร้ายสูญเสียสามีกับบุตรชายคนโตไปในคราวเดียว จูซื่อระทมทุกข์อยู่เนิ่นนาน ไม่อาจฟื้นตัวจากความสะเทือนใจในครั้งนั้นได้ ต่อมาไม่รู้อย่างไรจึงได้เริ่มใกล้ชิดกับคุณไสย อีกทั้งยังศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง

ตลอดมาท่าทีที่สวีฮูหยินมีต่อจูซื่อนั้นแม้จะไม่เย็นชาทว่าก็ไม่อบอุ่น จูซื่อเองก็ค่อนข้างหวาดกลัวแม่สามีซึ่งเป็นถึงธิดาของท่านหญิงแห่งแคว้นจงซานผู้นี้เช่นกัน แม่สามีกับลูกสะใภ้จึงไม่สนิทสนมกันแต่อย่างใด หลายปีมานี้เมื่อเว่ยเซ่าเป็นผู้คุมกองทัพแล้ว สวีฮูหยินก็วางมือไม่ค่อยข้องเกี่ยวกับเรื่องงานอีก เวลาส่วนใหญ่ในหนึ่งปีล้วนพำนักอยู่ที่เมืองอู๋จง เหลือเพียงจูซื่อรั้งอยู่ที่คฤหาสน์อันใหญ่โตในเมืองอวี๋หยางนี้

ข้างกายจูซื่อยังอุปการะหญิงสาววัยสิบแปดที่ยังไม่ออกเรือนอยู่นางหนึ่ง นามว่าเจิ้งฉู่อวี้ เป็นหลานสาวของจูซื่อเอง บิดาของเจิ้งฉู่อวี้เคยเป็นถึงมุขมนตรีสำนักเกษตร ทว่าเคราะห์ร้ายด่วนจากไป เจิ้งฉู่อวี้ซึ่งกลายเป็นกำพร้าจึงมาพึ่งพิงพี่สาวของมารดา หลายปีก่อนผลเสี่ยงทายตามพิธีกรรมคุณไสยบอกว่าเจิ้งฉู่อวี้เป็นดาวอุปถัมภ์ของจูซื่อ หากมีนางอยู่ จูซื่อจะสามารถเลี่ยงเคราะห์ประสบโชคได้ ประจวบกับที่ตอนนั้นจูซื่อล้มป่วย ได้เจิ้งฉู่อวี้คอยดูแลทั้งวันทั้งคืนจนจูซื่อกลับมาแข็งแรงดังเดิม เมื่อจูซื่อหายดีแล้วจึงยิ่งเชื่อหมดใจ รักใคร่โปรดปรานนางยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากเจิ้งฉู่อวี้มีชาติกำเนิดไม่สูงพอ จูซื่อจึงสั่งให้บุตรชายรับนางเป็นอนุ ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดเว่ยเซ่าถึงชักช้าไม่รับตัวไปเสียที ตลอดสองปีมานี้จูซื่อเลี้ยงดูเจิ้งฉู่อวี้อยู่ข้างกาย การปฏิบัติและสิทธิ์ที่นางได้รับล้วนไม่ต่างจากการเป็นอนุของเว่ยเซ่าแล้ว ผู้คนในจวนจึงต่างเรียกขานนางว่า ‘เจิ้งซู’ ซึ่งแปลว่าหญิงงามสกุลเจิ้ง

“นายหญิง ท่านว่าเพราะเหตุใดหลังเว่ยโหวเข้าพิธีครอบเกี้ยว แล้วถึงยังรีรอไม่แต่งภรรยา หากตัดเจิ้งซูผู้นี้ออกไป ที่แท้เมื่อก่อนก็ยังมีอีกผู้หนึ่ง…”

ชุนเหนียงขยับมาถึงข้างหูของเสี่ยวเฉียวกำลังจะพูดต่อ หญิงรับใช้อาวุโสนามปิ่งหนี่ว์ผู้นั้นก็รีบร้อนเข้ามาแจ้งว่าจูซื่อเดินทางจากเขาอวี๋ซานกลับมาถึงจวนแล้ว นายท่านก็เช่นกัน จึงให้มาเชิญนายหญิงร่วมทางไปคารวะผู้ใหญ่

ชุนเหนียงชะงักกึก

เสี่ยวเฉียวแต่งกายเรียบร้อยแต่แรกแล้วจึงไม่ต้องผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก เพียงส่องคันฉ่องเล็กน้อย หยิบงานปักฝีมือเป็นเลิศที่ชุนเหนียงเตรียมไว้ให้นางล่วงหน้าออกมา จากนั้นก็เปิดประตูเดินออกไป

เว่ยเซ่ายืนอยู่ตรงทางแยกของทางเดินหินซึ่งทอดสู่เรือนบูรพา น่าจะกำลังคอยนางอยู่

นอกจากชุดนักรบแล้ว ยามปกติดูเหมือนเขาจะสวมแต่ชุดลำลองสีดำ ตอนอยู่ที่เมืองซิ่นตู หลายครั้งที่เสี่ยวเฉียวพบเห็นเขาโดยบังเอิญ มักเห็นเขาสวมชุดยาวสีดำเสมอ โชคดีที่ใบหน้ายังชวนมองจึงไม่ทำให้ดูเกินวัยไป ยามนี้เขาก็ยังสวมชุดยาวสีดำเช่นเคย ทว่าเปรียบกับชุดบนร่างของเสี่ยวเฉียวแล้ว ชุดของเว่ยเซ่ากลับมีลักษณะที่หลวมโพรกอย่างยิ่ง

ช่วงเอวของเว่ยเซ่ารัดด้วยสายคาดแถบกว้างประดับหยกขาว ขับเน้นเอวสอบบ่าผายและเงาหลังที่ยืดตรงดุจพู่กันของเขา พอดีกับที่มีสายลมจู่โจมผ่านข้างกาย หอบเอาแขนเสื้อกับชายอาภรณ์ข้างหนึ่งให้โบกพลิ้ว ลดทอนความแข็งกร้าวดุดันในยามสวมชุดนักรบ ดูแล้วให้ความรู้สึกสง่างามไม่เคร่งครัดอยู่ในที

อันที่จริงตั้งแต่ได้ยินปิ่งหนี่ว์มาแจ้งจนกระทั่งเสี่ยวเฉียวเดินมาถึงที่นี่ อย่างมากก็ไม่เกินครึ่งเค่อ ระยะทางจากลานหน้าเรือนไม่นับว่าสั้น กว่าจะเดินมาถึงต้องเสียเวลาพอสมควร ทว่าเขากลับมีท่าทางเหมือนรอนานจนหมดความอดทนแล้ว เขาเอาสองมือไพล่หลังหันขวับมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ พอเห็นนางมาถึงก็หมุนกายออกเดินสู่ทิศทางของเรือนบูรพาในทันที

ฝีเท้าของเขาก้าวเร็วตามช่วงขาที่ยาว ไม่ช้าก็ดึงระยะห่างจนทิ้งเสี่ยวเฉียวไปหนึ่งช่วง แรกเริ่มเสี่ยวเฉียวยังเร่งฝีเท้าเพื่อตามอยู่ แต่เมื่อเห็นว่าไล่ตามไม่ทันแล้วจริงๆ นางจึงร้องเรียกใส่เงาหลังของเขา “ท่านพี่ ท่านเดินช้าหน่อยไม่ได้หรือ”

ดูเหมือนเว่ยเซ่าจะตะลึงไปชั่วอึดใจ เขาชะงักกึกหันหน้ามาเหลือบมองนาง

เสี่ยวเฉียวยกชุดกระโปรงขึ้นพลางเร่งสาวเท้าหลายก้าวจนตามมาถึงข้างกายเขาทัน นางเอ่ยพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “เพื่อคารวะผู้ใหญ่ ข้าจึงแต่งกายเป็นทางการ ชุดกระโปรงค่อนข้างสอบจึงเดินได้ไม่เร็วนัก ท่านพี่รูปร่างสูงและขายาวกว่าข้า หากยังเดินเร็วเช่นนี้ ข้าก็มีแต่ต้องวิ่งตามแล้ว”

ยามนี้นางยืนอยู่ข้างกายเขา ศีรษะสูงถึงแค่หัวไหล่ ผู้หนึ่งสูงใหญ่ผู้หนึ่งเล็กกะทัดรัดเช่นนี้ หากเป็นยุคที่นางจากมายังจะได้รับคำชมว่าเป็น ‘ความต่างส่วนสูงที่ชวนเอ็นดูเป็นที่สุด’ ทว่าอยู่ที่นี่หากใช้กับนางจริงคงไม่สวยงามเช่นนั้นแล้ว

เว่ยเซ่าเหลือบมองนางอีกปราดหนึ่ง

เสี่ยวเฉียวพูดจบก็เม้มปาก มุมปากทั้งสองข้างโค้งขึ้นน้อยๆ อย่างเป็นธรรมชาติ สองตาวาวใสดุจกำลังโปรยยิ้มมองเขาอยู่

อันที่จริงเว่ยเซ่าก็ไม่ได้อยากจะไยดีนางนัก แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงปฏิเสธนางไม่ออก สุดท้ายเขาก็ฝืนขานรับดังอืม สีหน้าแข็งกระด้างเย็นชายิ่งกว่าเดิม ตวัดคางขึ้นเล็กน้อยเป็นความหมายให้นางตามเขามา จากนั้นก็หมุนกายเดินมุ่งไปเบื้องหน้าอีกครั้ง

คราวนี้ฝีเท้าของเขาผ่อนช้าลงจริงๆ เสี่ยวเฉียวจึงร่วมทางกับเขาเข้าสู่เรือนบูรพาได้อย่างสบาย

ข้ารับใช้ในเรือนบูรพามีไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน ทั้งหมดรวมตัวกันอยู่สองข้างของระเบียงทางเดิน พวกนางเห็นเว่ยเซ่าพาเสี่ยวเฉียวมาแต่ไกลจึงพากันออกมาคุกเข่าต้อนรับ เสี่ยวเฉียวอยู่ด้านหลังติดตามเว่ยเซ่าเข้าสู่ห้องใหญ่ที่จูซื่อพำนักอยู่ ท่ามกลางสายตาที่บ้างตะลึงในความงาม บ้างสนใจใคร่รู้ บ้างดูถูกเหยียดหยาม

ในห้องตกแต่งวิจิตรหรูหรา กลิ่นหอมเข้มข้นของชะมดเชียง ลอยกระจายอยู่ในอากาศ หลังจากจูซื่อมารดาของเว่ยเซ่ากลับมาน่าจะได้ผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกายแล้ว นางอยู่เบื้องหน้านั่งสง่าบนตั่งสี่เหลี่ยมซึ่งล้อมด้านหนึ่งด้วยฉากเตี้ยที่ทำจากไม้ประดู่ นางอายุราวสี่สิบต้นๆ ร่างท้วมเล็กน้อย สวมอาภรณ์หรูหรา ประดับหยกไข่มุกเต็มศีรษะ วัยสาวน่าจะเป็นโฉมสะคราญผู้หนึ่ง กระทั่งยามนี้เครื่องหน้าก็ยังคงงดงามได้รูปอยู่ ทว่าอาจเพราะปั้นหน้าบึ้งตึงมานานปีจนคุ้นชิน มุมปากจึงลู่ลงนิดๆ สองข้างมีริ้วลึกพาดยาวขึ้นไปถึงปีกจมูก ซึ่งทำให้ไม่เพียงดูสูงวัย ยังทำให้ดวงหน้าฉายแววเย่อหยิ่งด้วย

ตำแหน่งถัดลงมาทางขวามือของจูซื่อมีหญิงสาวในอาภรณ์สีม่วงอ่อนนั่งคุกเข่าอยู่ผู้หนึ่ง ท่าทางอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี สีสันของอาภรณ์ช่วยขับสีผิวขาวสะอาดตาของนางและหนุนให้รูปโฉมยิ่งดูงามพริ้มเพรา เมื่อหญิงสาวเห็นเว่ยเซ่าเข้ามา ดวงหน้าก็ระบายสีแดงระเรื่อ นางรีบลุกขึ้นจากตั่งคารวะเขาพร้อมเอ่ยเรียกว่าพี่ชาย กิริยาสุภาพชดช้อยให้อารมณ์ละมุนละไม

เว่ยเซ่าขานรับเรียบๆ เมื่อครู่หญิงสาวตั้งใจแต่งเนื้อแต่งตัวเสียยกใหญ่ ทว่าเห็นชายหนุ่มไม่ได้แลตนสักเท่าใดนัก แววตาจึงเผยความรู้สึกผิดหวังเลือนราง ครั้นมองไปทางเสี่ยวเฉียว สายตาก็ชะงักไปเล็กน้อย

เสี่ยวเฉียวรู้ว่าหญิงสาวผู้นี้น่าจะเป็นเจิ้งซูญาติผู้น้องของเว่ยเซ่านั่นเอง นางเหลือบมองแวบหนึ่งก่อนเดินตามเว่ยเซ่าไปถึงหน้าตั่งของจูซื่อ มือแนบลำตัวยืนอยู่ด้านข้าง

ตั้งแต่เสี่ยวเฉียวเดินเข้ามา จูซื่อก็คล้ายมองไม่เห็นนาง คลี่ยิ้มเบิกบานเป็นกันเองให้แต่บุตรชาย กวักมือเรียกเขามานั่งเคียงข้างตน พินิจมองเขาไม่วางตา ลูบแขนเขาพลางจุปากอุทานด้วยความปวดใจที่ครึ่งปีมานี้บุตรชายคล้ำและผ่ายผอมลงอีกแล้ว นางไถ่ถามเรื่องการอยู่การกินของเขา สุดท้ายจึงค่อยถามถึงสถานการณ์ทางการศึก เว่ยเซ่าตอบเพียงคร่าวๆ ไม่กี่ประโยค นางจึงทอดถอนใจกล่าว

“แม่เป็นสตรี แม้ไม่เข้าใจเรื่องรบทัพจับศึกก็จริง ถึงเจ้าบอกว่าราบรื่นดี แต่แม่รู้ว่าอันตรายยิ่งนัก จ้งหลิน เจ้าต้องถนอมตัวให้ดี อย่าให้เกิดเหตุผิดพลาดขึ้นกับเจ้าเป็นอันขาด”

เว่ยเซ่าปลอบโยนมารดาสองสามประโยคด้วยถ้อยคำที่นุ่มนวล

จูซื่อผงกศีรษะกล่าว “บ้านเมืองสมัยนี้แม้อันตราย แต่ลูกแม่เป็นคนดี สวรรค์ต้องเกื้อหนุน มีเทพเจ้าปกปักรักษาแน่นอน เดิมทีก็ไม่มีอันใดให้น่ากังวลนักหรอก แต่ก็มีสิ่งที่แม่กลัวที่สุด…คืออันตรายจากใจคนต่างหาก”

นางกวาดสายตามาทางเสี่ยวเฉียวเป็นครั้งแรกนับแต่เข้ามาในห้อง สายตานั้นอัดแน่นไปด้วยความชิงชังรังเกียจ

“จ้งหลิน ตอนนั้นหากพ่อเจ้าไม่เชื่อใจผู้อื่นโดยง่าย คงไม่มีทางลงเอยอย่างอนาถเช่นนั้นแน่ จนทุกวันนี้เพียงแม่นึกถึงการตายของพ่อกับพี่ชายเจ้าก็ยังจุกแน่นที่กลางอกอยู่เสมอ กลางคืนไม่อาจหลับใหล แค้นใจจนแทบอยากกินเนื้อศัตรูทั้งเป็น เจ้าต้องจำบทเรียนเก่านี้ไว้ให้มั่น อย่าได้เชื่อใจผู้อื่นง่ายๆ อีกเป็นอันขาด!”

คำว่า ‘กินเนื้อศัตรูทั้งเป็น’ นั้น อีกฝ่ายแทบจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเค้นออกมาทีละคำ สายตาจิกตรึงอยู่บนดวงหน้าของเสี่ยวเฉียว นี่มิใช่แค่ชิงชังรังเกียจธรรมดา หากแต่ยังแฝงแววอำมหิตด้วย ราวกับต้องการจะกัดกระชากเนื้อบนร่างนางออกมาทีละคำจริงๆ ก็ไม่ปาน

เดิมทีเสี่ยวเฉียวเตรียมใจที่จะถูกจูซื่อชิงชังรังเกียจอยู่แล้ว เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าความชิงชังรังเกียจของอีกฝ่ายจะโจ่งแจ้งและเหี้ยมเกรียมถึงเพียงนี้ สาวน้อยเพิ่งประสบกับเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต การเตรียมใจก่อนหน้านี้ยังทำได้ไม่เข้าขั้น ยามนี้จึงสั่นสะท้านจิตใจของนางอย่างห้ามไม่อยู่ สีหน้านางเริ่มซีดขาว ปลายนิ้วเย็นเฉียบโดยไม่รู้ตัว

เว่ยเซ่าเหลือบมองเสี่ยวเฉียวก่อนเอ่ยกับจูซื่อ “ในใจลูกรู้ขอบเขตนี้ดี ท่านแม่อย่าได้วิตกนักเลย” เขากล่าวต่อ “วันนี้ท่านแม่รุดกลับมาจากบนเขา ระหว่างทางคงเหน็ดเหนื่อยแล้ว ลูกพาสะใภ้มาคารวะท่าน เสร็จแล้วท่านแม่จะได้พักผ่อนเร็วหน่อย” จบคำเขาก็ลุกขึ้นมายืนหน้าเบาะรองเข่าซึ่งวางเตรียมไว้หน้าตั่งของจูซื่อ

เสี่ยวเฉียวตั้งสติรีบเดินมาหน้าเบาะอีกใบ คุกเข่าลงพร้อมชายหนุ่มที่อยู่ข้างกาย โขกศีรษะคำนับจูซื่อที่อยู่บนตั่ง

จูซื่อหน้าขรึม หลุบตาลงหันหน้าไปทางบุตรชาย ไม่ชายตาแลเสี่ยวเฉียวอีกแม้เพียงนิด

เมื่อโขกศีรษะคำนับตามเว่ยเซ่าเสร็จ ตามธรรมเนียมแล้วเสี่ยวเฉียวยังไม่อาจลุกขึ้นได้ สองมือของนางประคองงานปักที่เตรียมมาชิ้นนั้นชูขึ้นเหนือศีรษะเพื่อรอให้คนมารับไป

นางก้มหน้าชูสองมืออยู่เนิ่นนานก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จวบจนยามที่สองแขนเริ่มล้าจนชักจะชูต่อไปไม่ไหว ทว่านางก็ยังกัดฟันยืนหยัดอยู่อย่างนั้น จากนั้นก็มีมือข้างหนึ่งยื่นมาจากด้านข้าง หยิบงานปักชิ้นนั้นไปวางตรงหน้าตั่งของจูซื่อ

“ท่านแม่ หากไม่มีเรื่องอื่นแล้ว พวกเราสองคนก็ขอตัวก่อน” เสียงของเว่ยเซ่าดังขึ้น

เสี่ยวเฉียวจึงลดแขนลง ค่อยๆ ยืนขึ้นจากเบาะ

“ให้นางไปแล้วกัน ส่วนเจ้าก็อยู่ต่อ แม่ยังมีเรื่องจะพูดด้วย” จูซื่อเอ่ยเสียงเย็น

เสี่ยวเฉียวค้อมกายคำนับคนบนตั่ง แล้วหมุนกายเดินออกไปเงียบๆ

“อวี้เอ๋อร์ เจ้าก็ออกไปก่อน ป้าจะคุยกับพี่ชายเจ้าสองสามประโยค”

จูซื่อมองไปทางเจิ้งฉู่อวี้ซึ่งเมื่อครู่ยืนอยู่ด้านข้างมาตลอด นางเอ่ยพร้อมใบหน้าซึ่งเผยรอยยิ้มอันเมตตาอ่อนโยนดังเดิม

เจิ้งฉู่อวี้ชำเลืองมองเว่ยเซ่าก่อนขานรับเสียงนุ่มนวล ค้อมกายคำนับคนทั้งสองแล้วถอยออกไปอีกคน

“จ้งหลิน! พรุ่งนี้ลูกคงไม่พานางไปเซ่นไหว้ที่ศาลบรรพชนจริงๆ หรอกนะ”

จูซื่อเอ่ยถามทันทีเมื่อในห้องเหลือเพียงพวกตนสองแม่ลูก

ใบหน้าของเว่ยเซ่าไม่แสดงความรู้สึก ปากตอบเพียงสั้นๆ “จะเป็นไปได้อย่างไร!”

จูซื่อดูโล่งใจ แค่นเสียงดังฮึก่อนกล่าว “เช่นนี้ก็ดี แม่ยังนึกว่าเจ้าถูกรูปโฉมของหญิงสกุลเฉียวล่อลวงจนลืมความแค้นในอดีตของพ่อกับพี่ชายไปแล้วเสียอีก เมื่อครู่แม่เพียงอยากให้นางขายหน้าอีกสักหน่อย เจ้ากลับทำดียิ่ง อุตส่าห์รับของนั่นแทนแม่ ผู้ใดต้องการกันเล่า! แค่เห็นก็ขัดลูกนัยน์ตาแล้ว!”

เว่ยเซ่ามุ่นคิ้วนิดๆ “เท่านั้นก็พอแล้ว ประเดี๋ยวลูกยังมีงานต่อ ย่อมไม่อาจเสียเวลากับเรื่องของนางไปเรื่อยๆ หากท่านแม่ไม่ชอบใจจะโยนทิ้งหรือตัดทิ้งก็สุดแล้วแต่ท่านแม่เถิด”

เห็นบุตรชายดูเหมือนไม่ค่อยพอใจแล้ว จูซื่อจึงเลิกรา เอ่ยเปลี่ยนเรื่องอื่น “เจ้าไปคราวนี้ตั้งครึ่งปี อวี้เอ๋อร์คิดถึงเจ้ายิ่งนัก คืนนี้…”

“คืนนี้ลูกจะค้างคืนที่ห้องของหญิงสกุลเฉียว” เว่ยเซ่าเอ่ยตัดบทจูซื่อ “ท่านแม่ ลูกขอพูดกับท่านเป็นครั้งสุดท้าย ลูกไม่ได้คิดอะไรกับน้องสาวแม้แต่น้อย ท่านแม่รีบหาตระกูลที่เหมาะสมแต่งน้องสาวออกไปโดยเร็วจะดีกว่า วัยสาวจะได้ไม่ล่วงเลยไปอย่างไร้ค่า วันหน้ามาสำนึกเสียใจก็สายเกินไปแล้ว!”

จูซื่อมองบุตรชายอย่างขุ่นเคือง ครู่ใหญ่จึงเอ่ยด้วยความโมโห “ประเสริฐแท้! แม่สู้ทนลำบากเลี้ยงเจ้ามาจนเติบใหญ่ เจ้ากลับทดแทนแม่เยี่ยงนี้น่ะหรือ ใช่ว่าแม่บีบบังคับเจ้าให้ทำเรื่องอื่นเสียเมื่อไร เพียงให้เจ้ารับอวี้เอ๋อร์เข้าห้องเท่านั้น สายเลือดของพ่อเจ้า บัดนี้มีเจ้าสืบเชื้อสายอยู่เพียงคนเดียว ปีนี้เจ้าก็อายุยี่สิบสอง ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว จนป่านนี้ก็ยังไม่มีทายาท ในที่สุดเจ้าก็แต่งภรรยาได้เสียที แต่กลับแต่งหญิงสกุลเฉียวมาเสียได้ แม่ไม่อาจขัดท่านย่าของเจ้า นางเป็นคนออกหน้าจัดการให้ แม่ก็ได้แต่ยอมรับ ทว่าบุตรสาวจากครอบครัวเยี่ยงนั้นจะมาแตกกิ่งก้านสาขาให้สกุลเว่ยของพวกเราได้อย่างไร ช้าเร็วก็ต้องหย่าทิ้ง ที่แท้อวี้เอ๋อร์ไม่ถูกใจเจ้าที่ใดกันแน่ เจ้าถึงได้ยั่วโมโหแม่เช่นนี้!”

ดูเหมือนจูซื่อจะพลันนึกอะไรขึ้นได้ ดวงตาเบิกโตในทันที

“หรือว่า…จวบจนบัดนี้เจ้าก็ยังอาวรณ์ไม่ลืมหญิงสกุลซูในอดีตนั่น ชักช้าไม่แต่งภรรยายังไม่พอ กระทั่งให้เจ้ารับอนุสักคนก็ยังบ่ายเบี่ยงซ้ำแล้วซ้ำเล่า!”

เงาทะมึนสายหนึ่งวาบผ่านก้นบึ้งของดวงตาเว่ยเซ่า ทว่าสีหน้าของเขากลับทวีความเฉยชายิ่งขึ้น เพียงเอ่ยตอบเรียบๆ ว่า “ท่านแม่ ท่านคิดมากไปแล้ว! ลูกอยู่ข้างนอกตลอดปี วันทั้งวันก็ยุ่งอยู่กับงานในกองทัพ ไหนเลยจะมีเวลาว่างไปคิดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เหล่านี้ได้ ส่วนเรื่องของฉู่อวี้ ต่อไปอย่าได้เอ่ยถึงอีก ลูกยังมีงานอื่นต้องขอตัวก่อน ท่านแม่พักผ่อนเร็วหน่อยจะเหมาะกว่า”

เว่ยเซ่าค้อมกายเล็กน้อยให้จูซื่อแล้วหมุนตัวจากไป

จูซื่อถลึงตามองเงาหลังที่จากไปของบุตรชาย ใบหน้าฉายโทสะ สายตาพลันเหลือบไปเห็นงานปักที่เสี่ยวเฉียวนำมาคารวะซึ่งยังวางอยู่บนตั่ง นางฉวยขึ้นมาในคราวเดียว ขบกรามแน่นพลางคว้ากรรไกรมาตัดฉับจนเป็นสองท่อน สุดท้ายก็ขว้างทิ้งลงพื้นไปพร้อมกับกรรไกร

ชุนเหนียงรอคอยเสี่ยวเฉียวอยู่นอกลานของเรือนบูรพา พอเห็นนายของตนออกมาแล้วก็รีบตรงไปรับทันที เดินเป็นเพื่อนนางเงียบๆ ระยะหนึ่ง จวบจนกลับถึงห้องนอนในเรือนประจิมจึงสั่งให้ข้ารับใช้ถอยออกไป จากนั้นค่อยสอบถามถึงเหตุการณ์เมื่อครู่

เสี่ยวเฉียวตั้งสติได้แล้ว นางไม่จำเป็นต้องปิดบังอันใดกับชุนเหนียงจึงเล่าเหตุการณ์ที่ตนพบกับจูซื่อเมื่อครู่อย่างคร่าวๆ รอบหนึ่ง

ชุนเหนียงนิ่งงันไปพักใหญ่กว่าจะเอ่ยตอบ “นายหญิง ฮูหยินชิงชังนายหญิงถึงเพียงนี้ คิดจะได้รับความโปรดปรานจากนาง เกรงว่าคงสิ้นหนทางแล้ว ยามนี้ก็ได้แต่รอดูท่าทีของสวีฮูหยิน หากสวีฮูหยินก็เป็นเช่นเดียวกัน นายหญิงก็คง…”

นางลังเลเล็กน้อยก่อนขยับมาถึงข้างหูของเสี่ยวเฉียว

“นายหญิงเคยคิดหรือไม่ มิสู้โอนอ่อนปรนนิบัติเว่ยโหวเพื่อรับความคุ้มครองจากเขา ก่อนหน้านี้ที่เมืองซิ่นตู บ่าวรู้สึกว่าแม้เว่ยโหวจะเย็นชาต่อนายหญิงเพราะความแค้นเก่าของสองสกุล แต่ดูแล้วก็มิใช่ผู้ที่จะทารุณผู้อื่นเพื่อความสำราญ และมิใช่พวกชั่วช้าสามานย์แต่อย่างใด วันนี้บ่าวฟังปิ่งหนี่ว์ผู้นั้นเล่าว่าตลอดปีหาช่วงเวลาที่เว่ยโหวจะรั้งอยู่ที่นี่ได้ยากนัก ฮูหยินชิงชังท่านปานนี้ หากสวีฮูหยินก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ถึงตอนนั้นพอเว่ยโหวจากไป ทิ้งนายหญิงอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ท่านจะผ่านวันเวลาไปอย่างไรเล่าเจ้าคะ”

เสี่ยวเฉียวมองดูชุนเหนียง รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างที่อีกฝ่ายเสนอความคิดนี้ให้ตน

ชุนเหนียงลูบเรือนผมยาวของนางอย่างรักถนอม ทอดถอนใจกล่าวว่า “ตอนยังอยู่ที่ซิ่นตู บ่าวก็ตั้งใจอยากโน้มน้าวนายหญิงแล้ว บ่าวรู้ว่านี่ไม่เป็นธรรมต่อนายหญิงเลย ทว่าชุนเหนียงผู้นี้เป็นเพียงคนโง่งม เปรียบกันแล้วนายหญิงยังปราดเปรื่องกว่าชุนเหนียงเป็นร้อยเท่า หากบ่าวพูดอันใดไม่ถูกต้อง นายหญิงก็ลงโทษบ่าวได้เลย”

เสี่ยวเฉียวสั่นศีรษะ “ข้ารู้ว่าท่านหวังดีต่อข้า ตอนนี้พวกเราเพิ่งจะมาถึง ยังไม่ต้องรีบร้อนหรอก รอพบสวีฮูหยินก่อนค่อยว่ากันเถิด”

นางกล่าวพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ

 

อันที่จริงวันนี้เสี่ยวเฉียวเหนื่อยล้ายิ่งนัก ทว่าภาพตอนได้พบจูซื่อเมื่อช่วงเย็นทำให้คืนนี้นางไม่อาจหลับตาลงได้เสียที

นางคิดถึงต้าเฉียวเหลือเกิน คิดถึงยิ่งกว่าช่วงเวลาใดที่ผ่านมา

สาวน้อยนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงตามลำพัง นึกถึงเรื่องราวในชาติก่อน ต้าเฉียวคงถูกเว่ยเซ่าสั่งคนส่งตัวกลับอวี๋หยางในวันรุ่งขึ้นหลังพิธีแต่งงานเช่นเดียวกับตน เพียงแต่…ระหว่างทางไม่พบเจอเรื่องราวอันใด สุดท้ายต้าเฉียวจึงเดินทางมาที่นี่อย่างโดดเดี่ยว ยามที่นางเผชิญหน้ากับจูซื่อเพียงลำพัง พบเจอเหตุการณ์เช่นที่ตนประสบมา ที่แท้ตอนนั้นนางผ่านมันมาได้อย่างไร วันคืนนับไม่ถ้วนต่อจากนี้ต้าเฉียวตัวคนเดียวสู้ทนผ่านพ้นไปได้อย่างไรกัน จวบจนวาระสุดท้ายเมื่อสามีในนามขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้ว เขาก็ไม่ได้แต่งตั้งนางขึ้นเป็นฮองเฮา ทั้งต้องมองดูเขาโปรดปรานสตรีอีกนางหนึ่ง นางต้องอยู่ในห้วงอารมณ์ที่สิ้นหวังและทุกข์ระทมเพียงใดถึงได้ยุติชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย

แม้รู้ว่าต้าเฉียวในชาตินี้จะไม่ประสบชะตากรรมอันน่าสังเวชใจเช่นนั้นอีก ทว่าเสี่ยวเฉียวยังคงอึดอัดใจยิ่ง เคราะห์ดีที่ในไม่กี่เดือนสุดท้ายของปีที่แล้วนางได้ตัดสินใจเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องนั้น

ตอนนี้นางคิดถึงต้าเฉียวยิ่งนัก อยากรู้เหลือเกินว่าอีกฝ่ายไปอยู่ที่ใด ต้าเฉียวกับปี่จื้อคนรักของพี่สาว…ใช้ชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง

นอกประตูพลันแว่วเสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งซึ่งฟังดูคุ้นหูอยู่บ้าง

คล้ายกับ…เป็นเว่ยเซ่า?

ตอนนี้ดึกมากแล้ว เขาไม่ได้ส่งคนมาหยิบข้าวของส่วนตัวไป บางทีเขาอาจไม่ต้องใช้…

หรือว่า…เขาจะมาหยิบด้วยตนเอง

เสี่ยวเฉียวนึกฉงนอยู่บ้าง ขณะเงี่ยหูเพื่อฟังความเคลื่อนไหวเบื้องนอก ประตูคล้ายถูกคนผลัก แต่เพราะนางลงกลอนไว้จากด้านใน ประตูจึงไม่อาจผลักเปิดได้

“นายหญิง! ท่านโหวมาเจ้าค่ะ!”

เสียงชุนเหนียงดังเข้ามา

เสี่ยวเฉียวใจเต้นตึกตัก

เป็นเขาดังคาด!

“มาแล้ว!”

นางขานตอบก่อนลุกพรวดขึ้นนั่งบนเตียง ดึงเสื้อตัวหนึ่งมาคลุมร่าง แล้วรีบทบสาบเสื้อให้มิดชิดก่อนจะรัดสายคาดเอวก้าวลงพื้นไปเปิดประตู เว่ยเซ่ายืนอยู่นอกประตูจริงๆ

“ท่านโหวจะพักที่นี่เจ้าค่ะ”

ชุนเหนียงรีบเข้ามาเอ่ยกับเสี่ยวเฉียวเสียงเบา แววยินดีปรีดาเจืออยู่บนใบหน้า

เรื่องนี้ผิดคาดโดยแท้ ขณะที่เสี่ยวเฉียวยังตกตะลึงอยู่นั้น เว่ยเซ่าซึ่งมีสีหน้าอ่อนเพลียก็ยกเท้าก้าวเข้ามา เขามุ่งตรงไปยังห้องอาบน้ำพลางกล่าว “หยิบเสื้อผ้าของข้าเข้ามา”

เขาเดินไปได้สองก้าว พลันเหลือบเห็นเสื้อผ้ากับเครื่องใช้ประจำวันที่ตนทิ้งไว้ถูกเก็บออกมาวางซ้อนกันบนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ เขาชะงักฝีเท้า หันหน้ามองไปทางเสี่ยวเฉียวช้าๆ

เสี่ยวเฉียวพลันเหงื่อตก รีบเดินไปบังด้านหน้า แล้วเอ่ยชี้แจงด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ “หญิงรับใช้อาวุโสบอกว่าที่นี่ไม่มีคนพักอาศัยนานแล้ว ข้าเกรงว่าจะเกิดราเกิดมอดขึ้น ช่วงกลางวันจึงสั่งให้ไล่มอดไล่แมลงไปทุกซอกทุกมุม ตอนนั้นจึงหยิบเสื้อผ้าเครื่องใช้ของท่านไปวางพักไว้ด้านข้างชั่วคราว เมื่อครู่ก็ลืมวางกลับเข้าที่…”

เว่ยเซ่าเพ่งมองนางไม่วางตา ลมหายใจของนางสั้นกระชั้นอย่างห้ามไม่อยู่ สุ้มเสียงก็แผ่วปลายลงทุกที พอชี้แจงจบก็เห็นเขากระตุกมุมปาก เผยสีหน้าที่นางค่อนข้างคุ้นเคยนั้นออกมาอีก

“วางกลับเข้าที่สิ ต่อไปข้าจะพักอยู่ที่นี่!”

พูดจบเขาก็หันหน้าเดินมุ่งสู่ห้องอาบน้ำ

 

บนร่างเว่ยเซ่าคลุมเสื้อสีขาวตัวเดียวไม่มีซับใน สาบเสื้อแหวกเปิดนิดๆ ตัวเสื้อด้านขวาหย่อนลงมาถึงข้างเอวโดยไม่รัดสายคาด เดินออกจากห้องอาบน้ำด้วยอิริยาบถเป็นธรรมชาติพลิ้วไหว หญิงรับใช้อาวุโสหลายคนของเรือนประจิมที่เมื่อก่อนดูแลเรื่องการอาบน้ำของเขาก็จัดเก็บสถานที่ด้วยมือไม้อันคล่องแคล่วก่อนค้อมกายถอยออกไป ชุนเหนียงมองเสี่ยวเฉียวแวบหนึ่งจึงค่อยติดตามหญิงรับใช้อาวุโสออกจากห้อง แล้วปิดประตูให้อย่างเบามือ

ภายในห้องเหลือเพียงหนุ่มสาวทั้งสอง

เมื่อครู่ข้าวของของเขาล้วนถูกจัดวางคืนตำแหน่งเดิมแล้ว ในจำนวนนี้มีกล่องไม้แดงเรียบแบนขนาดยาวหนึ่งเชียะใบหนึ่งซึ่งลงสลักลับเอาไว้ เดิมทีกล่องใบนี้วางอยู่ด้านบนสุดของชั้นวางของ ยามนี้วางคืนตามเดิมแล้วเช่นกัน

เว่ยเซ่าขึ้นไปบนเตียงแล้ว ทว่าพลันฉุกคิดอะไรได้จึงพลิกกายลงจากเตียง เขาเดินตรงไปเบื้องหน้าชั้นวางของที่อยู่ติดผนัง หยิบกล่องใบนั้นลงมาแล้วหันหลังให้เสี่ยวเฉียว ท่าทางคล้ายเลื่อนดูสลักลับ ก่อนจะหันหน้ามาถาม “เจ้าเคยเปิดกล่องใบนี้หรือไม่”

เสี่ยวเฉียวรีบสั่นศีรษะ “ไม่เคย ข้าวของเครื่องใช้ทุกชิ้นในห้องนี้ที่เป็นของท่าน ข้าไม่เคยแตะต้องแม้แต่น้อย ตอนแรกพวกบ่าวเก็บของก็เพียงทำตามที่ข้าสั่ง เอาสิ่งของมาวางพักรวมกันชั่วคราวเท่านั้น ไหนเลยจะกล้าเปิดตามอำเภอใจ”

เว่ยเซ่าปิดฝากล่องวางคืนตำแหน่งเดิม แล้วค่อยหมุนตัวมากล่าวเสียงเยียบเย็น “ต่อไปสิ่งของของข้าอย่าได้แตะต้องส่งเดช”

เสี่ยวเฉียวผงกศีรษะรับ “ไม่ต้องให้ท่านพูดข้าก็รู้แล้ว วันนี้เป็นความเลินเล่อชั่ววูบของข้าจริงๆ ต่อไปจะไม่แตะต้องอีก”

เว่ยเซ่าไม่แสดงท่าทีอันใด เพียงเดินกลับมาที่ข้างเตียงแล้วเอนร่างลง

เสี่ยวเฉียวยังคงยืนอยู่หน้าเตียง เห็นเขาขึ้นไปบนเตียงแล้วหลับตาเหมือนเตรียมจะเข้านอนแล้ว ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง

พอเว่ยเซ่ากลับมาจวนสกุลเว่ย ไฉนจึงทำตัวผิดแปลกมานอนร่วมห้องกับนางเสียได้เล่า ชวนให้ประหลาดใจยิ่งนัก นางย่อมไม่คิดว่าเขาจะเกิดใจดีมีเมตตาขึ้นมา อุตส่าห์คำนึงถึงหน้าตาของนาง เรื่องมีใจอันใดให้นางหรือไม่นั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ แม้สาเหตุจะชวนให้นางสงสัยอยู่บ้าง แต่นางคาดเดาว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการพบจูซื่อมารดาของเขาเมื่อช่วงเย็นนี้แน่นอน

สิ่งเหล่านี้ค่อยๆ ครุ่นคิดในวันหน้าก็ได้ ทว่าปัญหาคือตอนนี้…

ตอนนี้…นางควรนอนที่ตรงไหน

นางคาดว่าบุรุษผู้นี้คงไม่ยินดีให้นางร่วมเตียงกับเขาหรอก

แม้กระทั่งตัวนางเอง การที่สองคนจะนอนร่วมเตียงกันนั้น ต่อให้ไม่ได้ทำอันใดทั้งสิ้น จะมากหรือน้อยก็ยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ดี…

“ยังมัวยืนทำอะไรอยู่” เว่ยเซ่าพลันเอ่ยปาก

เสี่ยวเฉียวตะลึงงัน ชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง

สองตาของเขายังคงปิดอยู่

ความหมายในวาจานี้แจ่มแจ้งอย่างยิ่งแล้ว

เสี่ยวเฉียวปีนขึ้นเตียงอย่างเบามือเบาเท้า นางค่อยๆ เอนกายลง ระวังอย่างถึงที่สุดที่จะไม่ให้ไปสัมผัสถูกตัวเขา

เขาไม่ได้พูดอะไรอีก ดวงตาหลับสนิทอยู่ตลอดราวกับเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว

ร่างกายของเสี่ยวเฉียวซึ่งเดิมทีเกร็งเล็กน้อยก็เริ่มผ่อนคลายลงช้าๆ ตอนนี้เองที่เว่ยเซ่าพลันลืมตาขึ้นแล้วพลิกกายลงจากเตียง คว้ากระบี่ยาวของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะ สาวเท้ามุ่งไปยังทิศทางของประตู

เสี่ยวเฉียวตระหนกวูบ ไม่รู้เขาคิดจะทำอะไร แขนข้างหนึ่งของนางยันหัวไหล่ขึ้นในอิริยาบถกึ่งนั่งกึ่งนอน ยังไม่ทันเรียกสติคืนมาก็เห็นเขากระชากประตูเปิด แล้วชักกระบี่ออกจากฝักพร้อมเสียงดังเช้ง เล็งปลายกระบี่ไปที่หญิงรับใช้อาวุโสซึ่งโก้งโค้งพยายามแอบฟังอยู่ข้างร่องประตูอย่างสุดกำลัง

หญิงรับใช้อาวุโสผู้นี้แซ่หวัง เหล่าสาวใช้เรียกนางว่าหวังเอ่า เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบดูแลเรื่องน้ำอาบของเรือนประจิม

ขณะที่หวังเอ่าพยายามแนบใบหูข้างหนึ่งทาบไปบนประตู กำลังทุ่มเทในการฟังเสียงอยู่นั้น พลันรู้สึกได้ว่าสถานการณ์เหมือนไม่ถูกต้อง นางเพิ่งเตรียมจะเผ่นหนี ไม่คาดว่าประตูกลับถูกเปิดออกกะทันหัน แสงวาบขึ้นเบื้องหน้าสายตาพร้อมเสียงดังเช้ง ปลายกระบี่วาววับดุจหิมะชี้มาที่ปลายจมูกของนางแล้ว พอช้อนตาขึ้นก็เห็นเงาคนผู้หนึ่งปกคลุมลงมา เว่ยเซ่าปรากฏกายจากด้านในของประตู สาบเสื้อแหวกเปิดครึ่งหนึ่ง สายตาคู่นั้นจ้องเขม็งมาที่นางพร้อมแววอึมครึมอย่างที่สุด หวังเอ่าเนื้อตัวสั่นระริก สองขาอ่อนระทวยทรุดเข่าลงดังตุบ โขกศีรษะขอความเมตตาไม่หยุดยั้ง

“นายท่านโปรดไว้ชีวิต! นายท่านโปรดไว้ชีวิตด้วยเจ้าค่ะ! บ่าวเองก็อับจนหนทาง…ฮูหยินสั่งการลงมา บ่าวมิกล้าไม่เชื่อฟัง”

เว่ยเซ่าหรี่ตา เบี่ยงกายหลบไปด้านข้าง

“เบิกตาสุนัขของเจ้าให้กว้างๆ เห็นชัดเจนแล้วหรือไม่”

หวังเอ่าไหนเลยจะกล้ามอง ทำเพียงโขกศีรษะวิงวอนไม่ยอมหยุด

“สั่งให้เจ้าดู เจ้าก็จงดู!”

หวังเอ่าตัวสั่นงันงก ในที่สุดก็ฝืนเงยหน้าขึ้น เหลือบมองเข้าไปอย่างรวดเร็วปราดหนึ่ง

ในห้องแสงไฟสลัวฉายผ่านที่ครอบเทียนซึ่งฝังประดับลวดลายจากเปลือกหอยสีมรกต กางกั้นด้วยผ้าม่านที่ทิ้งตัวลงมาหลายชั้น มองเห็นได้รำไรว่ามีเงาร่างเลือนรางสายหนึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง เรือนผมยาวของเสี่ยวเฉียวทิ้งตัวจรดเอว เงาร่างงามอรชรอยู่ในอิริยาบถอันอ่อนช้อยเย้ายวนใจ

หวังเอ่าหลับตาปี๋ไม่กล้ามองอีก

“เห็นชัดแล้วหรือไม่”

เสียงของเว่ยเซ่าดังขึ้นข้างหู

“เห็น…เห็นชัดแล้วเจ้าค่ะ…”

เว่ยเซ่าพลันตวัดกระบี่ ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนดังสะท้านฟ้าสะเทือนดินของหวังเอ่า กรอบประตูได้ถูกสะบั้นออกเป็นสองท่อนแล้ว

เดิมทีนึกว่ากระบี่ฟันมาทางตน หวังเอ่าจึงเข่าอ่อนนั่งก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น สุดท้ายพบว่าตนไม่เป็นไรถึงได้ลืมตาขึ้นช้าๆ ร่างสั่นระริกจนกลายเป็นกระชอนร่อนแป้ง

“ไสหัวไป!”

เว่ยเซ่าเก็บกระบี่ เปล่งสามคำหลุดออกจากปาก

หวังเอ่าคล้ายได้รับการอภัยโทษ ตะกายลุกขึ้นวิ่งโซซัดโซเซจากไป

เสียงดังปังเมื่อเว่ยเซ่าปิดประตูซึ่งบัดนี้ไม่อาจปิดได้สนิทก่อนเดินกลับมา

เสี่ยวเฉียวกลั้นหายใจมองดูเขา แลเห็นพยับเมฆหนาทึบเกลื่อนอยู่บนดวงหน้า เขาเดินมาถึงหน้าเตียงแล้วโยนกระบี่ลงบนโต๊ะ ก่อนจะเลิกม่านแล้วนอนลงดังเดิม

เขาหลับตาลงในไม่ช้า ชั่วครู่ให้หลังโทสะบนดวงหน้าดูเหมือนจะเลือนจางลงตามลำดับ สีหน้ากลับคืนสู่ความสงบเยือกเย็น แสงเทียนที่ส่องผ่านผ้าม่านฉาบรัศมีอันนุ่มนวลให้กับโครงหน้าด้านข้างของเขา

จู่ๆ ชายหนุ่มพลันลืมตาขึ้นอีกครั้ง แล้วประสานสายตากับเสี่ยวเฉียว

“เจ้ามองพอหรือยัง” เขาถาม สุ้มเสียงอันแสนราบเรียบนั้นเจือความเฉยเมย หว่างคิ้วฉายความอ่อนล้าซึ่งไม่อาจอำพรางได้

เสี่ยวเฉียวรีบหลับตาทันใด

ในที่สุดเปลวเทียนบนเชิงเทียนก็มอด แสงสว่างพลันหม่นลง

แสงจันทร์อาบเข้ามาทางหน้าต่าง ภายในม่านมุ้งแปรเปลี่ยนเป็นพร่ามัว

ลมหายใจของเว่ยเซ่าสม่ำเสมอ เขาหลับไปแล้ว

เสี่ยวเฉียวลืมตาขึ้นแล้วทอดสายตาผ่านเลยชายหนุ่มที่อยู่ข้างหมอน มองไปยังแสงจันทร์สีขาวริมหน้าต่างนอกม่านมุ้ง

ราตรีนี้แสงจันทร์กระจ่างตายิ่งนัก

แสงจันทร์เช่นเดียวกันนี้ก็กำลังฉายส่องบริเวณที่อยู่ไกลออกไปนับพันลี้ ณ หมู่บ้านเล็กๆ ที่เชิงเขาแห่งหนึ่งในอำเภอหลิงปี้แดนไหวหนาน

ยามนี้รัตติกาลลึกล้ำ หมู่บ้านเชิงเขาซึ่งมีผู้ยึดอาชีพล่าสัตว์ตัดฟืนอยู่อาศัยกระจัดกระจายเพียงสิบกว่าครัวเรือนแห่งนี้เงียบสงัดอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ผู้คนในหมู่บ้านหลับใหลอยู่ในห้วงฝันนานแล้ว เสียงร้องของนกเค้าแมวดังมาแต่ไกลเป็นครั้งคราว ยิ่งเพิ่มพูนความสงบเงียบให้กับราตรีในฤดูวสันต์นี้

ท้ายหมู่บ้านมีพื้นที่โล่งข้างธารน้ำสายหนึ่งซึ่งไหลรินมาตามช่องว่างของเขา บ้านใหม่ที่นี่ของต้าเฉียวกับปี่จื้อใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว

พวกเขามาถึงที่นี่เมื่อครึ่งเดือนก่อน จะว่าไปก็เป็นวาสนา เดิมทีวันนั้นคิดจะมุ่งลงใต้ต่อ บังเอิญระหว่างทางพบโจรหลายคนกำลังปล้นชิงเสบียงและเกลือที่ผู้เฒ่าหวังกับหลานชายใช้ขนสัตว์แลกมาจากตลาดนัดในตัวอำเภอ ปี่จื้อจึงซัดโจรหลายคนฟุบคว่ำกับพื้น พวกโจรถึงกับหนีกระเจิงไปคนละทิศละทาง ผู้เฒ่าหวังได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย หลานชายเพิ่งจะอายุสิบกว่าปี หลายปีก่อนบุตรชายถูกเซวียไท่ผู้ว่าการมณฑลสวีโจวบังคับไปเป็นทหาร ไม่กี่เดือนต่อมาก็เสียชีวิต บัดนี้ในบ้านไม่เหลือใครอื่น มีเพียงสองปู่หลานอาศัยพึ่งพากัน ปี่จื้อกับต้าเฉียวจึงส่งคนทั้งสองกลับบ้าน ผู้เฒ่าหวังซาบซึ้งใจยิ่ง ระหว่างสนทนาได้ยินว่าหนุ่มสาวทั้งสองเป็นคู่สามีภรรยา ที่บ้านเกิดมีภัยสงครามจนไม่อาจดำเนินชีวิตต่อไปได้ ด้วยความจนใจจึงคิดหนีไปอาศัยอยู่ทางใต้ ผู้เฒ่าหวังรู้ซึ้งถึงความทุกข์ยากของภัยสงครามดี จึงเชื้อเชิญหนุ่มสาวทั้งสองให้ลงหลักปักฐานเสียที่ข้างบ้านของตน

หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้แฝงเร้นอยู่ภายในเขาลึก โอบล้อมด้วยธรรมชาติที่งามตา ปกติมีคนนอกผ่านเข้ามาน้อยครั้ง นับเป็นสถานที่เหมาะสำหรับเร้นกายยิ่ง ต้าเฉียวหัวใจหวั่นไหว ปี่จื้อย่อมตามใจนาง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงลงหลักปักฐาน เลือกพื้นที่บริเวณนี้เริ่มปลูกกระท่อม ปี่จื้อตัดต้นไม้ ต้าเฉียวหัดฟั่นเชือกปอ สองคนร่วมแรงร่วมใจกัน ครึ่งเดือนต่อมาก็สร้างกระท่อมที่สามารถบังลมต้านฝนให้แก่ทั้งสองได้ในที่สุด

ปี่จื้อเริ่มทำงานตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางจวบจนป่านนี้ เขามุงหลังคาเสร็จแล้ว ขาดเพียงขอบหลังคาด้านสุดท้ายเท่านั้น

ต้าเฉียวนั่งบนหินก้อนหนึ่งในลานบ้านขนาดย่อมที่ล้อมด้วยรั้วไม้รวกอย่างเรียบง่าย มองดูชายหนุ่มที่ยังวุ่นทำงานอยู่บนหลังคาใต้แสงจันทร์ แม้ตนเองจะปวดเอวเมื่อยหลังอยู่บ้าง ทว่าในใจแสนแช่มชื่นเปรมปรีดิ์

บ้านของพวกเขาจวนเสร็จสมบูรณ์แล้ว แม้เป็นเพียงกระท่อมหลังหนึ่ง แต่ก็สามารถบังลมต้านฝนแก่พวกเขาได้ เท่านี้นางก็พึงพอใจแล้ว

เมื่อมีบ้าน พวกเขาก็สามารถปักหลักไม่ต้องร่อนเร่ไปทั่วอีก รอให้ชีวิตมั่นคงก่อน นางยังอยากให้ปี่จื้อสร้างเล้าไก่อีกเล้า เลี้ยงลูกเจี๊ยบสักหลายตัว และปลูกผักไว้กินกันเอง…

“ท่านเหนื่อยแล้วกระมัง ส่วนที่เหลือค่อยทำพรุ่งนี้เถิด!”

ต้าเฉียวตะโกนเรียกเขาด้วยความรักสงสาร

ปี่จื้อให้นางไปนอนก่อน บอกว่าตนใกล้จะเสร็จแล้ว

ต้าเฉียวไม่ยอม ยังคงรอเขาต่อไป

ปี่จื้อจึงยิ่งเร่งมือ จนมุงหลังคาส่วนสุดท้ายเสร็จในที่สุด เมื่อแน่ใจว่าแน่นหนาไม่รั่วซึมแน่แล้วจึงกระโดดลงจากหลังคาด้วยท่วงท่าอันแคล่วคล่องแข็งแรง

ทั้งร่างชโลมด้วยเหงื่อจากการทำงานมาทั้งวัน เขาวางมีดพร้าในมือ แล้วเดินลุยน้ำลงสู่ลำธารหน้าประตูบ้าน

ผิวน้ำท่วมมิดเอวของชายหนุ่ม ภายใต้แสงจันทร์ส่องสะท้อน แผ่นหลังเปียกชุ่มซึ่งมีมัดกล้ามกำยำนั้นทอแสงเรื่อเรือง ยิ่งขับเน้นเอวสอบและรูปร่างอันปราดเปรียวชวนมอง เงาหลังของเขาดูแข็งแกร่งประหนึ่งยอดผา เปี่ยมล้นด้วยพลังอันหนักแน่น

ปี่จื้อเก่งกาจอย่างยิ่งจริงๆ เขาทำเป็นหมดทุกอย่าง ทั้งต่อยตี เบิกทาง ตัดไม้ สร้างบ้าน หรือแม้กระทั่งทำอาหารและซักเสื้อผ้า

อาหารที่เขาทำอร่อยกว่าที่นางทำลิบลับ

เรื่องนี้ทำให้ต้าเฉียวรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง นางตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าตนจะต้องรีบฝึกทำเรื่องเหล่านี้ให้เข้าขั้นโดยเร็วที่สุด เหตุการณ์เช่นวันนี้จะได้ไม่เกิดขึ้นซ้ำสอง เขาที่ทำงานมาทั้งวันจะได้ไม่ต้องกินข้าวกึ่งสุกกึ่งดิบที่ไม่ได้สีเปลือกอีก

โชคดีที่เขายังอุตส่าห์กินอย่างตะกรุมตะกราม ซ้ำยังชมเปาะว่านางทำได้อร่อยยิ่งนัก

มองดูเงาหลังของเขาที่อยู่ในลำธารโดยมีรั้วไม้รวกกางกั้น ใบหน้าของต้าเฉียวพลันร้อนวูบวาบ

ปี่จื้อชำระร่างกายเสร็จกลับมาก็เป็นเวลากว่าครึ่งคืนหลังแล้ว ทั้งสองเข้าไปนอนพักผ่อนกันในบ้าน

จนกระทั่งบัดนี้พวกเขาก็ยังคงนอนแยกกัน ต้าเฉียวนอนที่ห้องชั้นในบนเตียงซึ่งปี่จื้อทำให้เมื่อหลายวันก่อน ตัวเขาเองก็นอนบนฟูกหญ้าที่ห้องชั้นนอก

ต้าเฉียวออกอาการนอนไม่หลับ

กลิ่นหอมสดชื่นอ่อนจางของหญ้าคาลอยละล่องอยู่ในอากาศ แสงจันทร์ราตรีนี้ดูชอบกลเสียจริง

หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพที่เขาเปลือยร่างยืนอยู่ในลำธารเมื่อครู่

นางรู้สึกว่าใบหน้าของตนยังคงร้อนผ่าว ไม่เพียงแต่ใบหน้าเท่านั้น ดูเหมือนร่างกายก็ร้อนเล็กน้อยด้วย

นางกลั้นลมหายใจ ฟังเสียงที่ห้องชั้นนอกอย่างละเอียดถี่ถ้วน

ดูเหมือนเขายังไม่หลับเช่นกัน ได้ยินเสียงสวบสาบแผ่วเบายามที่เขาพลิกกายบนฟูกหญ้า

ในที่สุดนางก็ลงจากเตียง ค่อยๆ เดินคลำทางมาถึงช่องประตูซึ่งยังไม่มีบานไม้แล้วเอ่ยเสียงเบา “ข้ารู้สึกหนาวอยู่บ้าง”

ปี่จื้อยังไม่หลับใหล

อันที่จริงเป็นเวลาหลายคืนแล้วที่เขาไม่อาจข่มตาให้หลับสนิทได้

เขาพานางจากมา นางเป็นถึงธิดาสกุลเฉียวผู้ซึ่งเดิมทีเปราะบางสูงส่งประดุจเทพธิดา แรกเริ่มเพื่อหลบหนีการตามจับของสกุลเฉียว พวกเขาจึงเร่งเดินทางตลอดโดยไม่มีที่พักเป็นหลักแหล่ง หากคืนใดโชคไม่ดี กระทั่งศาลเจ้าร้างสักแห่งก็ไม่มีให้พักพิง ได้แต่ค้างอ้างแรมกลางป่าดง ทั้งสัตว์ป่า โจรผู้ร้าย และศึกสงคราม…รอบด้านนั้นมีอันตรายมากมายเหลือเกิน เขาพานางจากมา ต่อให้ยามนี้ไม่อาจมอบชีวิตที่มั่นคงแก่นางได้ ทว่าอย่างน้อยเขาก็ต้องปกป้องความปลอดภัยของนาง วันคืนที่ผ่านมาเขาจึงทำตัวเป็นผู้ล่าที่ดุร้ายยิ่งกว่าใคร ถึงกับเคยสังหารผู้มีจิตคิดไม่ซื่อต่อต้าเฉียวที่บังเอิญพบเจอระหว่างทางโดยไม่แม้แต่กะพริบตา เขายังเป็นผู้พิทักษ์ที่ตื่นตัวอย่างที่สุดด้วย ทุกวันพอตกค่ำเขาไม่กล้าผ่อนคลายความระวังแม้สักชั่วขณะ รอบด้านมีความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็จะลืมตาขึ้นทันที จวบจนแลเห็นสตรีของเขายังขดร่างหลับใหลอยู่ข้างกาย เขาถึงจะระบายลมหายใจอย่างโล่งอก

บัดนี้ในที่สุดพวกเขาก็มีรังเล็กๆ ที่สามารถบังลมต้านฝนเป็นของตนเองเสียที

แววตาเทิดทูนยามที่ต้าเฉียวมองมาทำให้เขารู้สึกสุขใจยิ่งนัก ทว่าก็รู้สึกละอายแก่ใจด้วยเช่นกัน

สิ่งที่ประสบมาตลอดช่วงเวลาที่หนีเอาชีวิตรอดทำให้เขาตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า…ในยุคแห่งสงครามอันโกลาหลนี้ ไม่มีคุณธรรม ไม่มีหลักเหตุผล มีแต่ผู้เข้มแข็งกลืนกินผู้อ่อนแอ มีเพียงทำให้ตนเองเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เขาถึงจะสามารถปกป้องสตรีของตนได้ดียิ่งกว่าเดิม

สิ่งที่ปัจจุบันมีอยู่เหล่านี้ยังห่างไกลจากสิ่งที่เขาอยากมอบให้กับต้าเฉียวลิบลับ

นางคู่ควรจะได้ครอบครองมากกว่านี้ ได้ครอบครองทุกสิ่งที่ดียิ่งกว่า

ปี่จื้อหลับตาท่ามกลางรัตติกาลอันมืดมิด ขณะที่ความในใจเฉพาะของเขาซึ่งไม่เคยบอกต้าเฉียวมาก่อนพลิกตลบอยู่ในห้วงความคิด เขาพลันได้ยินเสียงฝีเท้าของนางสัมผัสพื้นแผ่วเบา จากนั้นเสียงพูดของนางก็ดังตามมา

เขาตะลึงงัน รีบลุกขึ้นนั่งบนฟูกหญ้า

นางบอกว่าหนาว

แม้เป็นช่วงกลางฤดูวสันต์แล้ว ทว่ายามราตรีในป่าเขา หากร่างกายอันเปราะบางของนางรู้สึกหนาวก็ถือเป็นเรื่องปกติ

ข้างมือของเขาไม่มีผ้าห่มนวมที่เข้าท่าแม้สักผืน มีเพียงเสื้อผ้าไม่กี่ชุดกับหนังกวางที่เก่าจนขนเริ่มหลุดร่วงอีกแค่ผืนเดียว

ชายหนุ่มกดข่มความละอายในใจ ลุกขึ้นจุดตะเกียงน้ำมันในความมืดก่อนกล่าว “ข้าจะหยิบเสื้อมาห่มเพิ่มให้ เจ้ากลับไปนอนก่อนเถิด”

ทว่าต้าเฉียวกลับไม่ขยับเขยื้อน ทำเพียงมองดูเขา

ปี่จื้อรู้สึกว่านางต่างจากปกติอยู่บ้าง ถึงตะเกียงน้ำมันจะสลัวมัวเพียงใด แต่เขากลับมองเห็นว่าแก้มของนางคล้ายระบายด้วยสีแดงเรื่อ ดวงตาคู่งามก็วาวระยับ

ดูเหมือนเขาจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างแล้ว หัวใจที่อยู่ในช่องอกพลันเต้นรัวเร็ว โลหิตทั่วร่างร้อนระอุในทันที

“ข้าอยากให้ท่านกอดข้าหน่อย เช่นนี้คงจะอุ่นขึ้นบ้าง…” หญิงสาวเอ่ยเสียงเบาจนจบ คงเพราะเขินอาย นางจึงโน้มกายมาเป่าดังฟู่ ดับตะเกียงน้ำมันในมือของเขา

ในห้องพลันมืดลงอีกครั้ง มืดมิดจนไม่เห็นกระทั่งนิ้วมือทั้งห้าที่ยื่นออกไป ต่างจากเสียงลมหายใจของทั้งสองที่ดังชัดเจนขึ้นทุกที

ปี่จื้อพลันละทิ้งตะเกียงน้ำมัน คว้ากุมมือนุ่มเอาไว้ จูงนางออกมานอกประตู พามายืนเคียงคู่ใต้จันทร์แจ่มซึ่งแขวนสูงอยู่เหนือยอดเขาดวงนั้น

“ข้าทำได้จริงๆ หรือ” สุ้มเสียงของเขาสั่นพร่านิดๆ

ต้าเฉียวรู้สึกได้ถึงความร้อนลวกจากฝ่ามือของเขา ได้ยินกระทั่งเสียงเต้นอันรุนแรงของหัวใจ

นางเอ่ยเสียงแผ่วด้วยความเอียงอาย “พวกผู้เฒ่าหวังก็รู้กันหมดมิใช่หรือว่าพวกเราเป็นสามีภรรยากัน”

ปี่จื้อไม่ลังเลอีก ดึงนางคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกัน โขกศีรษะคำนับไปทางจันทร์สกาว เขายืนขึ้นแล้วอุ้มนาง สาวเท้าพากลับเข้ามาในกระท่อม วางร่างอันบอบบางกลับคืนบนเตียงอย่างเบามือ

เสียงครางแผ่วที่ถูกกดข่มไว้ทั้งระบายความเจ็บปวดและคล้ายเจือด้วยความสุข เสียงซึ่งคล้ายมีคล้ายไม่มีนั้นแว่วออกมาจากกระท่อม หลอมรวมไปกับเสียงไหลรินของน้ำในลำธารนอกรั้วไม้รวก ปี่จื้อคล้ายมีเรี่ยวแรงที่ไม่มีวันใช้หมดสิ้น หยาดเหงื่ออันร้อนผ่าวร่วงหยดจากร่างกายอันหนุ่มแน่นกำยำลงมาแผดเผาเรือนร่างอรชรนิ่มนุ่มของต้าเฉียว…สุดท้ายยามที่ทุกสิ่งสงบลง หญิงสาวยังคงถูกชายหนุ่มรัดรึงแนบแน่นในอ้อมกอด รักถนอมดุจดังสิ่งล้ำค่า

นางแนบดวงหน้าบนแผงอกแกร่ง หลั่งน้ำตาโดยไร้เสียง

นี่คือหยาดน้ำตาแห่งความสุขและแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกผิด

“ข้าคิดถึงท่านแม่อยู่บ้าง ไม่รู้ว่านางเป็นอย่างไร…ข้ายังคิดถึงหมานหมานน้องสาวของข้าด้วย เมื่อเร็วๆ นี้ข้าถึงพอจะเข้าใจกระจ่างขึ้น ตอนแรกที่นางบอกข้าว่าอยากแต่งกับเว่ยโหว นางต้องหลอกข้าอยู่เป็นแน่ ไม่รู้ตอนนี้ความเป็นอยู่ของนางเป็นอย่างไรบ้าง…”

ปี่จื้อเงียบงัน โอบกระชับภรรยาในอ้อมกอดแน่นยิ่งขึ้น

เช้าวันต่อมา ฟ้ายังไม่ทันสางเว่ยเซ่าก็ลุกขึ้นออกจากห้อง เขาจะไปเมืองอู๋จงรับสวีฮูหยินผู้เป็นย่ากลับเมืองอวี๋หยางด้วยตนเอง เดินทางไปกลับต้องใช้เวลาราวสามสี่วัน

เว่ยเซ่าตื่นนอนย่อมไม่ต้องให้เสี่ยวเฉียวปรนนิบัติอันใด ทว่านางก็ยังลุกขึ้นตามหลังเขาในไม่ช้า

เสี่ยวเฉียวไม่อาจเป็นเช่นตอนอยู่เมืองซิ่นตูที่นางเป็นใหญ่แต่ผู้เดียว สามารถนอนหลับถึงสายแล้วค่อยลุกจากเตียงเช่นนั้นได้อีก

‘ตกค่ำปรนนิบัติเข้านอน เช้ามาคารวะเยี่ยมเยียน’ คนเป็นบุตรชายสามารถงดเว้นธรรมเนียมนี้เพราะมีงานสารพัดรัดตัว ทว่าคนเป็นสะใภ้กลับไม่มีข้ออ้างอันใดให้สามารถหลบเลี่ยงได้ ต่อให้รู้แก่ใจดีว่าแม่สามีชิงชังรังเกียจตนเพียงใดก็ไม่อาจทำแค่พอเป็นพิธี

สาวน้อยหวีผมแต่งตัวเตรียมไปที่เรือนบูรพา ตอนออกจากห้องนางเหลือบมองกล่องที่เว่ยเซ่าสอบถามตนเมื่อคืนตามจิตใต้สำนึก และพบว่ากล่องใบนั้นหายไปแล้ว

ยามเหม่า เสี่ยวเฉียวมาถึงหน้าห้องใหญ่ของเรือนบูรพาตรงเวลาพอดี ขณะที่นางยืนอยู่บนระเบียงทางเดินรอคอยจูซื่อเรียกพบนั้น แท้จริงในกลุ่มข้ารับใช้ทั่วทั้งจวนสกุลเว่ยกำลังคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้กันอยู่

ว่ากันว่าพวกบ่าวโจษกันเป็นตุเป็นตะเรื่องที่ฮูหยินสั่งให้คนไปแอบฟังนายท่านกับนายหญิง แต่สุดท้ายกลับถูกนายท่านจับได้ นายท่านจึงระเบิดโทสะชักกระบี่ฟันกรอบประตูหักสะบั้นในทันที

ปกติจูซื่อเองก็มีความสัมพันธ์กับคนในจวนไม่สู้ดีนัก พอก่อเรื่องพิลึกคนเยี่ยงนี้จึงเป็นธรรมดาที่พวกบ่าวจะกล่าวถึงลับหลังกันอย่างครึกโครม

เสี่ยวเฉียวกับพวกบ่าวเรือนบูรพาที่ทำงานรับใช้อยู่ด้านนอกจ้องมองกันไปมาอยู่พักใหญ่ ก่อนที่หัวหน้าหญิงรับใช้อาวุโสแซ่เจียงที่เมื่อวานเห็นรับใช้อยู่ข้างกายจูซื่อค่อยเดินหน้าถมึงทึงออกมาแจ้งว่าเข้าไปได้แล้ว

เสี่ยวเฉียวเข้ามาในห้องเดิมที่เมื่อวานเคยมาเยือน จูซื่อยังคงนั่งสง่าบนตั่งในอิริยาบถเดียวกับเมื่อวานนี้ เพียงแต่ด้านข้างไม่พบเห็นเจิ้งซูผู้นั้นแล้ว

จูซื่อมีสีหน้าไม่ชวนมอง เสี่ยวเฉียวเข้ามาคารวะกล่าวทักทายแล้วนางก็เบือนหน้าเล็กน้อยโดยไม่พูดสักคำ

เจียงเอ่าเอ่ยเสียงเย็นชา “ในฐานะสะใภ้สกุลเว่ย กฎเกณฑ์บางข้อยังคงต้องรู้ไว้ เมื่อวานฮูหยินไม่ทันได้สอนสั่ง ยามนี้จึงให้บ่าวสอนสั่งแทน นายหญิงฟังให้ดีนะเจ้าคะ”

เสี่ยวเฉียวกล่าวเสียงอ่อนน้อม “เชิญชี้แนะ ข้ามิกล้าไม่ปฏิบัติตาม”

“ในฐานะสะใภ้สกุลเว่ย ต้องยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติของสตรี เคร่งครัดในจรรยาหญิง กตัญญูต่อพ่อแม่สามี ปรองดองกับคนในวงศ์ตระกูล ถึงพร้อมด้วยคุณธรรมตามหลักจารีต นอบน้อมไม่ฝ่าฝืน ไม่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตน ไม่ก้าวก่ายงานของสามี ท่านจำได้หรือไม่เจ้าคะ”

เสี่ยวเฉียวขานรับก่อนเอ่ยทวนหนึ่งรอบ

“ดีมากเจ้าค่ะ ฮูหยินตื่นเช้ายังไม่ได้กินอาหาร นายหญิงจะลงครัวทำน้ำแกงข้นสักชามให้ฮูหยินกับมือได้หรือไม่”

เสี่ยวเฉียวช้อนตาขึ้นนิดๆ มองไปทางจูซื่อ ดวงตาของอีกฝ่ายกึ่งหลับกึ่งลืม

ไม่ได้กินอาหารเช้าต้องการให้นางไปทำให้ที่ใดกันเล่า จงใจไล่นางไปทำงานแล้วค่อยกลั่นแกล้งเสียมากกว่า เสี่ยวเฉียวกล้าพูดเลยว่าหากนางลงครัวไปทำมาจริง รอจนยกเข้ามาแล้วจูซื่อก็ต้องติสารพัดสั่งให้นางไปทำมาใหม่ วนเวียนเช่นนี้ไม่รู้จบยังนับว่าเบา หากกินแล้วบอกว่าท้องเสีย ถึงขั้นอาเจียนถ่ายท้องทั้งบนล่าง หรืออาหารเป็นพิษจนนอนซมลุกไม่ขึ้น ถึงตอนนั้นนางคงถึงคราวดวงตกแล้วจริงๆ แน่

เจียงเอ่าเห็นเสี่ยวเฉียวไม่ขยับ ใบหน้าจึงเผยยิ้มเหยียด “เป็นอะไรเจ้าคะ นายหญิงไม่ยินดีหรือ”

เสี่ยวเฉียวมีข้ออ้างบอกปัดแล้ว เป็นข้ออ้างที่พร้อมใช้งานเสียด้วย เอามาอ้างเสียก็สิ้นเรื่อง นางกล่าว “มิกล้า ลงครัวเคี่ยวน้ำแกงข้นให้ท่านแม่เป็นหน้าที่อันพึงกระทำ ข้าไหนเลยจะปฏิเสธ เพียงแต่ข้ามีเรื่องติดขัดเล็กน้อยอยู่จริงๆ งานฉลองอายุครบหกสิบปีของท่านย่าจวนจะถึงแล้ว ตั้งแต่วันที่รู้ ข้าก็ตั้งจิตอธิษฐานขอพรต่อหน้าองค์พระว่าจะคัดลอกคัมภีร์อู๋เลี่ยงโซ่ว หนึ่งฉบับเพื่ออวยพรวันเกิดท่านย่า คัมภีร์มีความยาวอย่างยิ่ง วันเกิดท่านย่าก็กระชั้นเข้ามาทุกที แม้จะพยายามคัดลอกทุกวันแล้ว ความคืบหน้าก็ยังคงมีจำกัด ข้าเร่งงานจากเช้าจรดค่ำ ไม่กล้าเกียจคร้านแม้สักครู่เดียว หากถึงวันเกิดของท่านย่าแล้วข้าไม่อาจทำตามที่ตั้งจิตอธิษฐานต่อหน้าองค์พระได้ทันตามกำหนด เกรงว่าจะขัดต่อความตั้งใจเดิมจนเป็นเหตุให้พรไม่สัมฤทธิผล”

“นอกจากนี้ยังมีอีกประการหนึ่ง” เสี่ยวเฉียวเว้นวรรคก่อนกล่าวต่อ “เพื่อแสดงออกซึ่งความจริงใจ ตอนนั้นข้าจึงตั้งจิตอธิษฐานอีกว่าหากยังคัดลอกคัมภีร์ไม่เสร็จสิ้น ข้าจะกินเจและไม่จับต้องของคาว หากตอนนี้เข้าออกสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยของคาวเช่นโรงครัวแล้ว ข้าเกรงว่าจะไม่เป็นมงคล ขอท่านแม่ได้โปรดอภัย รอให้ข้าเร่งมือคัดลอกคัมภีร์จนจบแล้วจะมาอยู่รับใช้ข้างกายท่านแม่เจ้าค่ะ”

เสี่ยวเฉียวพูดจบก็ก้มหน้าลง

นางแน่ใจว่าเมื่อยกสวีฮูหยินซึ่งเป็นดั่งพระองค์ใหญ่นี้ออกมา จูซื่อก็จะสิ้นหนทางบีบบังคับนางต่อไป

เมืองหลวงลั่วหยางในยามนี้พุทธศาสนาเฟื่องฟู ตามข่าวที่ชุนเหนียงสืบมาได้ สวีฮูหยินเองก็นับถือพุทธ เรื่องที่นางคัดลอกคัมภีร์เป็นของขวัญวันเกิดเพื่อขอพรแด่ฮูหยินผู้เฒ่าเช่นนี้ ยังจะมีสิ่งใดสำคัญยิ่งไปกว่านี้ได้อีก

จริงดังคาด สีหน้าของจูซื่อยิ่งไม่ชวนมองเข้าไปใหญ่

ในห้องพลันเงียบกริบ ครู่หนึ่งเสี่ยวเฉียวถึงได้ยินเจียงเอ่าผู้นั้นฝืนใจกล่าวในที่สุด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านก็ไปเถิดเจ้าค่ะ”

เสี่ยวเฉียวโขกศีรษะให้จูซื่ออีกครั้งก่อนลุกขึ้นกล่าวลา

 

เมื่อกลับถึงห้องของตน เสี่ยวเฉียวก็เปลี่ยนมาสวมชุดลำลองที่หลวมสบาย ฟุบร่างบนตั่ง นึกถึงสีหน้าของมารดาเว่ยเซ่าเมื่อครู่นี้ นางก็ทั้งอยากหัวเราะ ทั้งต้องกลัดกลุ้มเล็กน้อย

สิ่งที่นางกลัดกลุ้มมิใช่เรื่องคัมภีร์แต่อย่างใด

ในชาติภพที่นางจากมา นับได้ว่านางเติบโตอยู่ในครอบครัวของปราชญ์ บิดามารดาล้วนเป็นศาสตราจารย์อยู่ในมหาวิทยาลัย นางจึงได้ซึมซับผ่านหูผ่านตา เริ่มหัดคัดพู่กันตั้งแต่ยังเล็ก มุ่งมั่นฝึกฝนอยู่สิบกว่าปีจนลอกเลียนอักษรเสี่ยวข่าย แบบจ้าวเมิ่งฝู่ ได้สวยงามอย่างไร้ที่ติ ทว่าเนื่องจากสุขภาพอ่อนแอขี้โรคมาแต่กำเนิด สุดท้ายตอนที่นางอายุได้ยี่สิบเศษก็ไม่อาจยื้อชีวิตเอาไว้ได้ ไม่รู้เพราะเหตุใดพอฟื้นตื่นขึ้นก็กลายมาเป็นเสี่ยวเฉียวในตอนนี้เสียแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่เมืองตง นางคัดอักษรบนผ้าไหมเป็นการฆ่าเวลา เคยทยอยคัดลอกคัมภีร์อู๋เลี่ยงโซ่วซึ่งตอนนี้ได้รับความนับถือเลื่อมใสจากผู้ศรัทธาเป็นอย่างสูงไว้หนึ่งฉบับ ในยุคนี้หนังสือถือเป็นสิ่งล้ำค่าหายาก ตอนออกเรือนนางจึงเก็บติดมือมาด้วย หากใช้อวยพรวันเกิดสวีฮูหยิน อีกสองสามวันนำไปเข้ากรอบสักหน่อยก็ใช้ได้แล้ว

เรื่องที่นางกลัดกลุ้มคือการที่จูซื่อราวีนางเช้านี้ต่างหาก แม้นางอ้างวันเกิดของสวีฮูหยินต้านรับไว้ได้ ทว่าข้ออ้างนี้ก็ใช้การได้อีกไม่กี่วันเท่านั้น รอจนวันเกิดของสวีฮูหยินผ่านพ้นไปแล้ว ถึงตอนนั้นหากมารดาของเว่ยเซ่ายังจ้องเล่นงานนางต่อ นางควรจะรับมืออย่างไรดีเล่า

พอนึกว่าวันเวลาต่อแต่นี้จะต้องมีชีวิตเพื่อสู้รบตบมือกับมารดาของเว่ยเซ่าเยี่ยงนี้ไปตลอด เสี่ยวเฉียวก็พลันรู้สึกว่าชีวิตไร้รสชาติ เบื้องหน้าสายตาเห็นแต่ความมืดมน

 

 

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

sangdow Marcom: