ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ท่าน… จงถอยไปเสีย! บทที่ 5-6
บทที่ 5
เซียวฉางหนิงแม้จะมีฐานะยิ่งใหญ่ไม่เท่าเมื่อก่อน แต่อย่างไรเสียก็เป็นองค์หญิงใหญ่ของแผ่นดิน กินอาหารอร่อยชั้นเลิศนอนบนเตียงงามชั้นดี คาดไม่ถึงว่าคืนแรกที่แต่งเป็นภรรยาของขันทีชั่วกลับได้นอนบนตั่งพักเท้าทั้งคืนราวกับสาวใช้ พูดออกไปเกรงว่าคงจะเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่พบเจอเหตุการณ์เช่นนี้กระมัง
จนกระทั่งตอนเซียวฉางหนิงตื่นมาปวดเอวปวดหลังก็รู้สึกราวกับฝันถึงเรื่องไร้สาระครั้งหนึ่ง
“องค์หญิงใหญ่ไม่เป็นไรใช่หรือไม่เพคะ” นางกำนัลหลายคนได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว จึงผลักเปิดประตูเดินเข้ามาอย่างระวังตัว
นางกำนัลที่เซียวฉางหนิงพามาจากตำหนักสี่ปี้มีทั้งหมดสามคนคือซย่าลวี่ ชิวหง ตงซุ่ย ในจำนวนนี้ชิวหงเป็นสาวใช้ติดตามการแต่งงานที่เหลียงไทเฮามอบให้ การพูดจาเคารพนบนอบอย่างยิ่ง แต่สนิทสนมไม่พอ ส่วนซย่าลวี่กับตงซุ่ยเป็นสาวใช้คนสนิทที่เติบโตมากับเซียวฉางหนิงตั้งแต่เด็ก ความกังวลถูกวาดไว้ในดวงตา
เห็นเซียวฉางหนิงนั่งอยู่บนตั่งพักเท้าด้วยท่าทางเป็นทุกข์ตงซุ่ยก็ขอบตาแดง แล้วจึงดึงตัวนางมามองสำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า “องค์หญิงใหญ่ไม่สบายตรงที่ใดเพคะ เขาทำอะไรท่านหรือไม่”
เซียวฉางหนิงหมุนคอที่ปวดเมื่อยก่อนจะส่ายหน้า “ถือว่ามีชีวิตเพิ่มอีกหนึ่งวัน…ซี้ด ซย่าลวี่มานวดไหล่ให้ข้าที ตั่งพักเท้าแข็งเกินไป นอนแล้วเมื่อยยิ่งนัก”
“ตั่งพักเท้าหรือเพคะ” ซย่าลวี่ที่กำลังนวดไหล่ให้เซียวฉางหนิงสุดท้ายก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ นางพูดเสียงสะอื้น “เขาให้องค์หญิงใหญ่บรรทมบนตั่งพักเท้าหรือ…ทรงเป็นถึงองค์หญิงใหญ่นะเพคะ!”
เซียวฉางหนิงพูดว่า “ในห้องนี้มีเตียงใหญ่เพียงหลังเดียว ข้าไม่นอนตั่งพักเท้า จะให้นอนกับขันทีจริงหรือ”
ราวกับเซียวฉางหนิงนึกอะไรขึ้นมาได้ นางกลอกตา กุมมือของซย่าลวี่แล้วถามว่า “จริงสิ พวกเจ้าพักอยู่ห้องด้านข้างฟากตะวันตกใช่หรือไม่ มีทั้งหมดกี่ห้อง”
ซย่าลวี่พูด “สองห้องเพคะ หม่อมฉันกับตงซุ่ยอยู่หนึ่งห้อง พี่ชิวหงนอนคนเดียวหนึ่งห้อง”
“พอดีเลย” เซียวฉางหนิงรวบมวยผมของตัวเอง ลุกขึ้นมาเปลี่ยนกระโปรงบุซับในสีแดงสดตัวใหม่ พูดสั่งการว่า “พวกเจ้าสามคนนอนเบียดกันสักนิด นอนห้องเดียวก็พอ แล้วเอาอีกห้องหนึ่งที่ว่างมาให้ข้าพัก”
“องค์หญิงใหญ่ นี่เกรงว่าคงไม่เหมาะกระมังเพคะ” ชิวหงเป็นคนข้างกายเหลียงไทเฮา ความคิดย่อมไม่ธรรมดา นางขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ทั้งสองเป็นคู่แต่งงานใหม่ หากแยกห้องกันนอน เกรงว่าผู้บัญชาการเสิ่นคงจะไม่พอใจ จะกล่าวโทษองค์หญิงใหญ่ได้นะเพคะ”
เซียวฉางหนิงกวาดตามองนางกำนัลหน้าหยกผู้นี้ปราดหนึ่งอย่างเงียบๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าช่างฉลาดจริง คิดการณ์ไกลอย่างยิ่ง เพิ่งเข้าประตูสำนักบูรพาก็รู้จักพึ่งพาคนอื่นแล้ว”
ชิวหงรู้ว่าตนเองทำเกินขอบเขตแล้ว จึงรีบก้มหน้าอย่างรู้ความผิด
“เสิ่นเสวียนอันตรายเกินไป เขาฆ่าคนมามากมายเช่นนั้น ยึดอำนาจโอรสสวรรค์สั่งการขุนนางราชสำนัก ข้าอยู่ข้างกายเขามักกังวลว่าจะทำอะไรผิดจนนำภัยมาถึงชีวิต สู้ไม่พบหน้าดีกว่า” เซียวฉางหนิงพูดพลางลุกขึ้น มองตนเองที่แต่งตัวเรียบร้อยงดงามในคันฉ่อง ถอนใจยาวเฮือกหนึ่งแล้วพูดว่า “เปิดประตู ยกอาหารมา”
แม้จะตายก็ต้องเป็นผีที่อิ่มท้อง
อาหารที่สำนักบูรพายกมาให้เรียบง่ายนัก ไม่อุดมสมบูรณ์เหมือนในตำหนักสี่ปี้ ทว่าเรื่องรสชาติกลับเหนือกว่า เวลานี้เรือนภายในหน่วยสงบเงียบ เซียวฉางหนิงกินพออิ่มเจ็ดแปดส่วน นางเห็นรางๆ ว่ามีคนมาใกล้นอกประตูจึงช้อนตามองไป ก็เห็นขันทีอายุน้อยคนหนึ่งสวมชุดสีน้ำตาลดิ้นเงิน
ขันทีรุ่นเยาว์เคาะประตู ประกบหมัดพูดว่า “ฮูหยินผู้บัญชาการ หลินฮวนขอพบขอรับ”
หลินฮวน…
เซียวฉางหนิงเคยได้ยินชื่อของเขามาบ้าง หัวหน้าหน่วยเต่าดำที่อายุน้อยที่สุดในสำนักบูรพา จอมดาบอายุน้อยที่มีชื่อเสียงตั้งแต่วัยเยาว์
แต่นางคาดไม่ถึงว่าหัวหน้าหน่วยเต่าดำที่เลื่องชื่อจะเป็นหนุ่มน้อยหน้ากลมอายุเพียงสิบเจ็ดสิบแปดปีคนหนึ่ง ทั้งยังมีรูปโฉมอ่อนเยาว์ผิวขาวสะอาด ดวงตากลมโตเปล่งประกายสุกใส เวลานี้หลินฮวนยืนอยู่หน้าประตู แบกดาบโค้งเล่มหนึ่งไว้บนบ่าตลอดเวลา ปอยผมข้างหูสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้า ดูแล้วเหมือนหนุ่มน้อยข้างบ้านที่มีความเป็นมิตรคนหนึ่ง ไม่เหมือนฉายาจอมดาบสำนักบูรพากินเนื้อดื่มเลือดสดที่ลือกันเลยสักนิด
เซียวฉางหนิงส่งโจ๊กเข้าปากอีกคำด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วเอ่ยถามว่า “มีเรื่องอันใด”
หลินฮวนเม้มปากยิ้ม เผยให้เห็นลักยิ้มเล็กๆ ข้างมุมปาก พูดว่า “ใต้เท้าผู้บัญชาการให้ข้าน้อยมาถามฮูหยินว่าอาหารถูกปากหรือไม่ขอรับ”
พอพูดถึงเสิ่นเสวียนเซียวฉางหนิงก็ทั้งกลัวทั้งเกลียด นางกลัวชื่อเสียงบารมีของเขา และเกลียดที่เขาควบคุมราชสำนัก ทำเรื่องเหลวไหลในโลกนี้ทุกอย่าง
เซียวฉางหนิงหมดความอยากอาหารไปในทันที ตัดสินใจใช้ผ้าเปียกเช็ดนิ้วมือ พูดอย่างกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม “อาศัยวาสนาของผู้บัญชาการเสิ่น แม้จะมีอาหารรสเลิศ แต่ไม่กินก็ไม่รู้รส”
หลินฮวนไม่เข้าใจความหมายแฝงในคำพูดนี้ยังคงนิ่งงัน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเกาศีรษะแล้วพูดว่า “ข้าน้อยไม่เคยเรียนหนังสือ ฟังไม่ค่อยเข้าใจ ฮูหยินหมายความว่าอาหารอร่อยหรือขอรับ”
นางได้พูดเสียดสีระบายออกมาประโยคหนึ่ง ไฟคุกรุ่นในใจก็มอดดับไป นางเหล่มองขันทีอายุน้อยตรงประตูปราดหนึ่ง “ผู้บัญชาการของพวกเจ้าเล่า”
หลินฮวนพูดว่า “ใต้เท้าผู้บัญชาการกำลังปรึกษางานที่โถงประชุม จึงได้มอบหมายให้ข้าน้อยมานำฮูหยินไปเดินสำรวจในสำนักบูรพา ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมขอรับ”