บทที่ 5 โรงจำนำใต้ดิน
พริบตาเดียวก็ถึงรัชศกเจี้ยนหยวนปีที่สิบสองแห่งแคว้นฉิน รัชศกไท่หยวนปีที่หนึ่งแห่งราชวงศ์จิ้น
ปลายปียังคงมีหิมะปลิวว่อน
ในหนึ่งปีหลังจากหวังเหมิ่งสิ้นใจฝูเจียนได้ปฏิบัติตามความปรารถนาก่อนตายของเขา เอาใจใส่ความทุกข์ร้อนของราษฎร ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมชาวฮั่นและสำนักหรู ราษฎรแคว้นฉินอยู่เย็นเป็นสุข
ปีนี้ฝูเจียนอ้างเหตุว่าจางเทียนซี ‘แม้นสืบบัลลังก์ในฐานะเมืองขึ้น ทว่าคุณธรรมขุนนางไม่บริสุทธิ์’ ยกพลแสนสามหมื่นบุกโจมตีแคว้นเหลียง ทัพฉินข้ามแม่น้ำหวงเหอไปทางตะวันตก บุกยึดเมืองฉานซัว ไล่ต้อนจางเทียนซีไปถึงกูจาง จางเทียนซียอมจำนน แคว้นเหลียงถึงกาลอวสาน
แคว้นเยียน โฉวฉือ และแคว้นเหลียงถูกทำลายลงแล้ว ทางเหนือเหลือเพียงแคว้นไต้ของสกุลทั่วป๋า
หรือหมายความว่าในปีนี้ฝูเจียนจะยกทัพไปตีวังหลวงเมืองเซิ่งเล่อในอวิ๋นจง ซึ่งเป็นไปตามคาด เขากลับมาพร้อมกับชัยชนะครั้งใหญ่
นับแต่บัดนี้แคว้นฉินรวบรวมทางเหนือเป็นหนึ่ง ชนเผ่าตะวันออก ดินแดนตะวันตกหลายสิบแคว้น และชนเผ่าตะวันตกเฉียงใต้ล้วนส่งทูตมาถวายบรรณาการ
สถานที่ที่เขายังไม่เคยสอดมือแตะต้องในใต้หล้านี้เหลือเพียงราชวงศ์จิ้นที่ปกครองบริเวณเจียงหนานแล้ว
ความแข็งแกร่งของแคว้นฉิน ความอ่อนแอของราชวงศ์จิ้นเป็นที่ประจักษ์ชัด
อีกเพียงก้าวเดียวก็จะถึงวันที่ใต้หล้ารวมเป็นหนึ่ง
ในวันครบรอบวันตายของหวังเหมิ่ง ฝูเจียนได้ไปเยี่ยมหลุมศพด้วยตนเอง ดื่มสุราลงไปสองสามจอก ในอกยิ่งปั่นป่วนยากจะสงบได้
“วันเดือนเรืองโรจน์ โชติช่วงนานทิวา…จิ่งเลวี่ย ท่านจะได้เห็นวันนั้นจากบนฟ้า” เขานึกถึงบทเพลงโบราณที่มู่หรงชงบรรเลงในงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของเขาขึ้นได้ ในใจเปี่ยมล้นด้วยความมุ่งมาดของพระเจ้าเหยาและพระเจ้าซุ่น เขามองม่านดำทางด้านหน้าพลางกล่าวเชื่องช้า “หากชะตากรรมปล่อยข้าไปไม่ได้ ข้าก็จะพลิกมือเป็นเมฆ* ทะลุฟ้าทะลวงดิน! ต้องมีสักวันที่คีรีขาวนทีดำทอดยาวหมื่นหลี่นี้จะสยบอยู่ใต้เท้าข้า ข้าต้องการให้คำพูดและการกระทำของข้าถูกเขียนไว้ใต้พู่กันของอาลักษณ์ทุกยุคทุกสมัย ข้าต้องการให้พระราชโองการจากข้าเป็นที่ถือปฏิบัติไปทุกซอกทุกมุมในใต้หล้า ขึ้นไปบุกสวรรค์ ลงไปกวนบาดาล ทำปณิธานกว้างไกลให้สำเร็จ เริ่มต้นความยืนยงนับหมื่นปี ข้าจะต้องทำได้แน่นอน!”
ท่าทางเขาเหมือนกับในสมัยหนุ่ม แม้ว่าผู้ที่ยืนอยู่ข้างกายจะมิใช่หวังเหมิ่งแล้วก็ตามที
ฝูหรงและฝูฮุยยืนอยู่ข้างหนึ่ง จิ่งสิงยืนอยู่อีกข้าง ล้วนพากันค้อมตัวลง
ฝูเจียนพลันเอ่ยถาม “คนสกุลมู่หรงบัดนี้กำลังทำอะไร”
ฝูหรงตอบ “มู่หรงเหว่ยกับมู่หรงผิงใช้ชีวิตอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตน เจ้าเมืองนครหลวงมู่หรงฉุยยุ่งอยู่กับกองทัพดังเช่นที่แล้วมา เสนาธิการแดนเหนือมู่หรงหงได้ข่าวว่าหาอาจารย์ชาวฮั่นมาสอนเดินหมาก ส่วนเจ้าเมืองผิงหยางมู่หรงชง…คล้ายว่าจะกำลังซ่อมแซมจวนเจ้าเมือง”
ฝูเจียนหัวเราะ “เขาช่างเลอค่าเสียจริง”
คนทั้งหลายไม่รู้ว่าฝูเจียนหมายความเยี่ยงไร จึงล้วนไม่ส่งเสียงใดๆ ในชั่วขณะ
เป็นครู่ใหญ่ฝูเจียนถึงได้กล่าวช้าๆ “ก้าวต่อไป…เซียงหยาง ให้มู่หรงฉุยกับเหยาฉางนำทัพบุกทางใต้ พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร”
จิ่งสิงสบตากับฝูเจียนก่อนตอบ “ฝ่าบาท เรื่องปราบจิ้นเกรงว่าจะยังเร็วไปพ่ะย่ะค่ะ”
“ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้พวกเจ้าก็จะบอกว่าเร็วไป” ฝูเจียนพูดเพียงประโยคนี้เสร็จก็โบกมือ “ออกไปกันให้หมด เราจะพูดกับจิ่งเลวี่ยตามลำพังสักหน่อย”
จิ่งสิงยังอยากพูดอะไร กลับถูกฝูฮุยดึงแขนเสื้อไว้
รอมาถึงด้านนอกจิ่งสิงก็ถามว่า “องค์ชายทรงมีคำชี้แนะใดต่อเรื่องเมื่อครู่”
ฝูฮุยกล่าว “พูดโน้มน้าวเสด็จพ่อเพียงอย่างเดียวเกรงว่าคงไม่ได้ผล ให้เขาลองดูเถอะ”
จิ่งสิงจึงว่า “การรบลองได้ด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฝูฮุยตอบ “เซียงหยางมีผู้ลี้ภัยอยู่มาก ซ้ำยังรักษาเมืองไม่เข้มงวด หากยึดได้กำลังทหารก็จะเพิ่มขึ้นด้วย”
จิ่งสิงมุ่นคิ้วเล็กน้อย “ใช้ผู้ลี้ภัยชาวฮั่นมาเสริมกองทัพฉินเกรงว่าจะไม่เหมาะสม”
“เหมาะไม่เหมาะพี่ใหญ่ข้ากระจ่างแจ้งดีที่สุดแล้ว” ฝูฮุยพูดด้วยสีหน้าดูแคลน “ตอนนั้นเขาไปตั้งมั่นรักษาเมืองเยี่ยเฉิงก็มิใช่ใช้ผู้ลี้ภัยจำนวนมากเช่นกันหรือไร เมืองเยี่ยเฉิงนี้มิใช่รักษาไว้ได้เป็นอย่างดีเช่นเดิมหรือ หากต้องการตีเซียงหยาง เสด็จพ่อคงจะทรงเรียกพี่ใหญ่กลับมากระมัง ข้าไม่ได้พบเขามาหลายปีแล้ว…”
จิ่งสิงยืนอยู่ท่ามกลางสายลมพลางถอนหายใจน้อยๆ