ทดลองอ่าน ผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก เล่ม 3 บทที่ 53-54 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก เล่ม 3 บทที่ 53-54 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 54

 

หลังฉยงเหรินวางสายจากจางชิงชิงก็โทรไปหาปีศาจแพนด้าทันที

สยงเหมียวบอกว่าพวกเธอก็สังเกตถึงเรื่องนี้แล้วเช่นกัน

จางชิงชิงเปิดร้านออนไลน์ ผู้ต้องสงสัยอย่างชายหน้าบากซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่คนนั้นล้วนตกลงซื้อขายกับจางชิงชิงผ่านร้านออนไลน์ตลอด หลังจากที่กองตรวจการพิเศษได้รับแจ้งจากฉยงเหรินคราวก่อน ก็ติดต่อหลังบ้านของแพลตฟอร์มให้จับตามองข้อมูลการซื้อขายของร้านจางชิงชิง รวมถึงการพูดคุยของคนคนนั้นกับจางชิงชิง และพวกเขาก็ได้รับแจ้งเตือนจากหลังบ้านว่าตอนนี้กำลังค้นหาข้อมูลของลูกค้าคนนั้นอย่างเต็มความสามารถ

ตำรวจเชื่อมือได้จริงๆ ตั้งแต่มีตำรวจมาประจำการในกองตรวจการพิเศษ การทำงานของหน่วยงานที่อืดอาดยืดยาดไร้ระเบียบก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

จางเฮ่ารอจนฉยงเหรินวางสาย หัวคิ้วก็ขมวดเป็นปม “ตอนนี้เราควรทำยังไง เจอผีจำเป็นต้องทำพิธีหรือเปล่า”

ฉยงเหรินส่ายหน้า “เขาไม่ได้เจอผี ถึงจะรู้ต้นสายปลายเหตุแล้ว แต่รายละเอียดเป็นยังไงตอนนี้ยังบอกไม่ได้”

จางเฮ่าหัวคิ้วยับยู่ หักข้อนิ้วตัวเองอย่างลืมตัว ฉยงเหรินเห็นข้อนิ้วเขาโดนหักจนเสียหมดแล้ว

มีคนที่เป็นแบบนี้จริงๆ ขอแค่เริ่มมีความเครียดก็จะฉีกจมูกเล็บ หักข้อนิ้ว กัดนิ้ว ดูจากสภาพมือของจางเฮ่า ก็รู้สึกว่าเขาคงจะเครียดมาเป็นเวลานานแล้ว

ฉยงเหรินสัมผัสได้ว่าจางเฮ่าไม่ได้ไม่แคร์เฉินรุ่ยเจ๋อ ในฐานะที่ฉยงเหรินเป็นสุนัขโสด ก็รู้ตัวเองดีว่าไม่มีสิทธิ์พูดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักมาก น้ำเสียงจึงเกรงใจขึ้นมาเล็กน้อย “ผมจะหาวิธีช่วยแน่นอนครับ คุณไปถ่ายทำก่อนเถอะ”

จางเฮ่าว้าวุ่นใจ กระทั่งพยักหน้าก็ยังดูฝืน

“อาจารย์ฉยงงง…”

เมิ่งชิงเสวียนเรียกเสียงดังสะเทือนฟ้า หัวใจฉยงเหรินกระตุกอย่างแรง เร่งสาวเท้าวิ่งปรี่ไปทันที

จางเฮ่าเพิ่งตั้งสติได้ว่าอาจเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น เหงื่อเย็นเฉียบผุดซึมกลางหลังและหน้าอกในชั่วพริบตา รีบวิ่งตามหลังฉยงเหรินไป

“อาจารย์ฉยง คุณเฉินเป็นลมไปแล้วครับ” เมิ่งชิงเสวียนกล่าวเสียงร้อนรน “ไปโรงพยาบาลดีไหมครับ”

ทว่าหวังป๋อตวนกลับส่ายหน้า “ฉันว่าเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างมากกว่า”

จางเฮ่าเข้าไปโอบไหล่เฉินรุ่ยเจ๋อ มองฉยงเหรินด้วยความกระวนกระวาย หวังอยากได้ข้อมูลที่เชื่อถือได้จากเขา

“เป็นวิญญาณหลุดจากร่างจริงๆ” ในสายตาฉยงเหริน วิญญาณของเฉินรุ่ยเจ๋อคล้ายจะถูกโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นล่ามตัวไปด้วยความเร็วสูง ถึงวิ่งก็คงไม่มีทางตามทัน

ฉยงเหรินเอ่ยอย่างร้อนใจ “พวกเธอมีวิธีสืบหาร่องรอยวิญญาณหรือเปล่า”

หวังป๋อตวนรีบตอบ “ผมทำได้ครับ!”

เหตุการณ์ยิ่งเร่งด่วน ฉยงเหรินกลับยิ่งใจเย็น เขาเอ่ยกำชับ “ชิงเสวียน คุ้มครองเฉินรุ่ยเจ๋อไว้ ป๋อตวน ไปตามวิญญาณรุ่ยเจ๋อกับผม”

ฉยงเหรินมอบภารกิจการสงบสถานการณ์อันยิ่งใหญ่ให้กับเมิ่งชิงเสวียน แล้วตนกับหวังป๋อตวนก็รีบพุ่งออกไป

ทีมงานที่อยู่ในกองเหลอหลา เกิดอะไรขึ้น พวกเขากำลังถ่าย ‘พัดดอกท้อ’ กันอยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมรู้สึกเหมือนกำลังดู ‘Supernatural’* เวอร์ชั่นจีนอยู่อย่างงั้นแหละ…

หวังป๋อตวนขึ้นไปนั่งตรงที่นั่งคนขับ หนีบหลัวผาน** ไว้ที่ช่องแอร์ เข็มเล็กๆ บนหลัวผานชี้ไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มันน่าจะเป็นของที่เขาเอาไว้ใช้ไล่ตามร่องรอยของวิญญาณ

กำลังจะออกรถ จางเฮ่าก็เปิดประตูกระโดดเข้ามา

“ฉันไปด้วย” แรงกายของจางเฮ่าไหนเลยจะสู้กับฉยงเหรินและหวังป๋อตวนได้ เขาพูดเสียงติดหอบ “ฉันไม่สบายใจ”

ฉยงเหรินเมินเขาแล้วมาเปิดประตูโดยตรง ก่อนจะดันเขาลงไป “ผู้กำกับจาง คุณอยู่คุ้มครองเขาให้ดีก็พอ เรียกชื่อเขาบ่อยๆ มันเป็นการเรียกวิญญาณน่ะครับเข้าใจไหม ผมจะไปช่วยเขากลับมาเอง”

 

รถขับเคลื่อนตามทิศทางของหลัวผานมาได้ระยะหนึ่ง ถนนก็ยิ่งเปลี่ยวขึ้นเรื่อยๆ เดิมสถานที่ถ่ายทำก็อยู่แถบชานเมืองอยู่แล้ว นี่ยิ่งออกไปห่างเมืองมากกว่าเดิมอีก

ฉยงเหรินขึ้นรถมาก็แจ้งกองตรวจการพิเศษทันที แต่เขาจะฝากความหวังไว้ที่กองตรวจการพิเศษทั้งหมดไม่ได้ ถึงตอนนี้กองตรวจการพิเศษจะน่าเชื่อถือกว่าเมื่อก่อนแล้ว แต่ก็ไม่เหมือนกรมตำรวจที่มีอยู่ในทุกเขตที่อยู่อาศัย ความไวในการออกปฏิบัติการมีจำกัดมาก

จากสำนักงานกองตรวจการพิเศษถึงชานเมืองเขตตะวันออก ต่อให้ขึ้นทางด่วนก็ยังต้องใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่ง

จนพวกเขาขับมาถึงถนนเส้นเล็กๆ ที่เปลี่ยวมาก เข็มบนจานหลัวผานก็หมุนวนหลายรอบ ไม่ชี้ไปทางใดทางหนึ่งอย่างแน่นอนอีก หวังป๋อตวนกล่าว “น่าจะอยู่ใกล้ๆ นี้แหละ”

“อืม” ฉยงเหรินพยักหน้าเบาๆ เขาเห็นปลายถนนคล้ายจะมีประตูอยู่บานหนึ่ง “จอดรถไว้ข้างทางนี่แหละ เราจะเดินไปกัน”

ทั้งคู่ลงจากรถ เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก็นึกไม่ถึงเลยว่าที่นี่จะเป็นคฤหาสน์หลังเดี่ยว ผ่านประตูเหล็กไปก็คือเนินเขาเล็กๆ และคฤหาสน์ที่หลังไม่ใหญ่มากก็ตั้งอยู่บนเนินนั้น

ฉยงเหรินได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเฉินรุ่ยเจ๋อรางๆ

เขาตื่นตัวทันที “อยู่ที่นี่จริงๆ!”

รั้วล้อมรอบคฤหาสน์สูงมาก ทั้งยังติดลวดหนามกันขโมยไว้ด้านบนด้วย ไม่มีที่ให้ปีนได้เลย

ขณะฉยงเหรินกำลังปวดหัวว่าจะเข้าไปได้ยังไง มือก็เผลอแตะประตูโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วประตูก็เปิดออก

หวังป๋อตวนทำหน้าตกใจระคนยินดี พูดพร้อมรอยยิ้ม “ที่แท้ประตูก็ไม่ได้ล็อกแฮะ”

ฉยงเหรินผลักประตูเปิด แล้วถือโอกาสลูบกลอนประตูดู มันร้อนเล็กน้อย และถูกตัดอย่างเรียบร้อย

มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อยจนแทบไม่สังเกตเห็น พูดกับหวังป๋อตวน “เข้าไปกันเถอะ”

พวกเขาเดินไปตามทาง จากหน้าประตูล้วนถูกต้นไม้ปกคลุมตลอดไปจนถึงด้านหน้าเนินเขา ฉยงเหรินมองเข้าไปในคฤหาสน์บนยอดเนิน พยักหน้าพลางเอ่ย “ไม่มีกล้อง บุกเข้าไปเลย”

หวังป๋อตวนเลื่อมใสสุดๆ “ขนาดกล้องก็ยังคำนวณได้เลยเหรอครับ”

ฉยงเหริน “สกิลของไอดอลน่ะ”

การมองหากล้องเป็นสกิลสำคัญอย่างหนึ่งของคนเป็นไอดอล ถ้าหากล้องบนเวทีตอนแสดงไม่เจอ การรับชมของผู้ชมที่อยู่ตรงหน้าจอก็จะแย่ลงไปด้วย

ในฐานะที่ฉยงเหรินอยู่ในชั้นเพดานของวงการไอดอล สกิลการมองหากล้องเองก็ย่อมอยู่ในจุดสูงสุดด้วยเช่นกัน

หวังป๋อตวนวิ่งตามมาจนถึงเชิงเขา แล้วพูดขึ้น “ฮวงจุ้ยที่นี่เหมาะกับสร้างเป็นศาลเจ้ามากกว่า ไม่เหมาะให้คนอยู่”

ฉยงเหรินไม่เข้าใจศาสตร์ฮวงจุ้ย จึงมองอะไรไม่ออกสักอย่าง

เขาวิ่งเร็วมาก และเท้าก็เบามากเช่นกัน เหมือนกวางแสนคล่องแคล่วว่องไวตัวหนึ่ง เขาวิ่งนำหน้าไปถึงหน้าประตูคฤหาสน์ มาถึงตรงนี้เสียงร้องขอความช่วยเหลือของเฉินรุ่ยเจ๋อไม่ได้ชัดเจนขึ้น แต่กลายเป็นว่าไม่ได้ยินเลย

นี่ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีสักนิด

เพียงดันเข้าไปประตูก็เปิดออก อย่างกับว่าเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้ไม่ตระหนักรู้เรื่องการป้องกันเลยแม้แต่น้อย เขาสามารถเปิดประตูได้ตามใจชอบหมดทุกบาน

ฉยงเหรินคลำกลอนประตูที่ร้อนเล็กน้อย มุมปากก็ยกขึ้นบางๆ

ทั้งอาคารเงียบสงัด ไม่มีวี่แววของคนอยู่เลย

ฉยงเหรินนึกถึงสภาพแวดล้อมในความฝันที่เฉินรุ่ยเจ๋อเล่า รู้สึกว่าห้องในความฝันน่าจะอยู่ชั้นบน เขาจึงล้มเลิกแผนค้นหาชั้นแรก แล้วตรงไปหาทางขึ้นบันไดที่จะนำไปสู่ชั้นสองทันที

หลังจากเจอบันไดฉยงเหรินก็ยิ่งมั่นใจว่าที่นี่คือสถานที่ในความฝันของเฉินรุ่ยเจ๋อ เพราะบันไดของที่นี่ทำการติดตั้งลิฟต์บันไดด้วย เขาเคยเห็นในหนังมาก่อน ลิฟต์แบบนี้เอาไว้ใช้สำหรับเคลื่อนย้ายวีลแชร์ขึ้นลงชั้นบนชั้นล่าง

ฝีเท้าเขาเบาหวิวไร้สุ้มเสียงใดๆ ราวกับแมวตัวหนึ่ง เขาย่องฝีเท้าขึ้นบันไดไป หวังป๋อตวนก็ตามเข้ามาด้วย ฉยงเหรินหันไปชูนิ้วให้อีกฝ่ายอย่าส่งเสียง

มาถึงชั้นสองเขาได้ยินเสียงคนฟังดูอุดอู้รางๆ ดังออกมาจากห้องทางปีกขวา ฉยงเหรินมุ่งหน้าไปทางนั้นทันที

เมื่อเขาแยกเสียงออกแล้วว่ามาจากห้องไหนจึงผลักประตูเบาๆ และเป็นดังคาด ประตูห้องนี่ก็สามารถเปิดออกได้สบายๆ

ม่านควันสีม่วงคลุ้งเต็มห้อง คนคนหนึ่งนั่งอยู่บนวีลแชร์ หันหลังให้ประตู มองออกไปนอกหน้าต่าง มันคือภาพที่เฉินรุ่ยเจ๋อเคยเล่าให้ฟัง

ควันธูปหนาตีเข้าแสกหน้า

ภายในห้องมีตั๋วพระเล็กๆ ตั้งอยู่ และมีป้ายเทพเจ้าเซ่นไหว้อยู่บนนั้น กระถางธูปด้านหน้าป้ายเทพเจ้ามีธูปปักอยู่แน่นขนัด และถูกเผาไปจนถึงครึ่งแล้ว

คนในชุดสีดำกำลังทำการบูชาป้ายเทพเจ้าองค์นั้น

ฉยงเหรินพูดขึ้นในทันใด “อย่าขยับ คุณถูกเราล้อมไว้หมดแล้ว!”

คนคนนั้นได้ยินจึงผินหน้ามา วินาทีที่มองเห็นหน้าอีกฝ่ายฉยงเหรินก็ขนลุกชันไปทั้งกาย

ใบหน้าของคนในชุดดำเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น ราวกับถูกใครเฉือนหน้าเป็นริ้วๆ ไปแล้วครึ่งหน้า

ฉยงเหรินเคยเห็นใบหน้านี้จากในรูปเหมือนและรูปถ่ายมาก่อน ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นตัวจริง

บุคคลในหมายจับที่ถูกนักพรตเต๋า กองตรวจการพิเศษ และศาลหลักเมืองตามหามาเป็นเวลานาน ไม่นึกว่าจะอาศัยอยู่ในแถบชานเมืองของหลงเฉิงอย่างลอยชายแบบนี้…

อีกฝ่ายเห็นฉยงเหรินแล้วก็อึ้งกิมกี่เช่นกัน ดูท่าทางเหมือนไม่รู้จักฉยงเหรินมาก่อน เขาขมวดคิ้วกล่าว “ที่นี่คือสถานที่ส่วนบุคคล คุณเป็นใคร”

ชายหน้าบากหมุนตัว เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านหน้าป้ายเทพเจ้า ฉยงเหรินเหลือบเห็นผ้าสีเหลืองอ่อนๆ ผืนหนึ่ง บนนั้นคล้ายจะเขียนตัวอักษรตัวหนึ่งไว้ด้วย

อย่าบอกนะว่าเป็นคำว่า ‘แทน’ นั่น!

ฉยงเหรินบุกเข้าไปโดยไม่มัวรีรอ ชายชุดดำหวังจะขวาง แต่เขาเคลื่อนไหวได้ไม่เร็วเท่าฉยงเหริน ช้าไปเพียงพริบตาเดียวฉยงเหรินก็ช่วงชิงผ้าผืนนั้นมาไว้ในมือได้

ผ้ามีสัมผัสลื่นเรียบ บนนั้นเขียนตัวอักษร ‘แทน’ ที่เหมือนกับบนหลังของเฉินรุ่ยเจ๋อทุกกระเบียดนิ้ว หวังป๋อตวนเคยเล่าระหว่างเดินทางมาที่นี่ วิธีทำลายศาสตร์อักขระนั้นเพียงแค่จุดไฟเผาผ้าแพรผืนนั้นก็เสร็จสิ้น ฉยงเหรินจึงโยนผ้าแพรลงไปบนธูปทันที ไม่นานปลายธูปก็เผาไหม้ผ้าแพรไม่เหลือชิ้นดี

แค่คิดว่าผ้าผืนนี้ตัดมาจากเสื้อผ้าของคนตาย ฉยงเหรินก็ทนไม่ไหวอยากจะล้างมือสักยี่สิบรอบ

หวังป๋อตวนรีบพุ่งเข้าห้องตามฉยงเหรินไป

ชายหน้าบากหัวเราะอย่างมีเลศนัยหนึ่งที ลงไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ซึ่งสลักลายดอกไม้ไว้โดยปราศจากท่าทีร้อนรน พิงพนักเก้าอี้ ยกขาขึ้นไขว่ห้าง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “โห มีผู้ช่วยด้วย”

หวังป๋อตวนรู้สึกว่าคนคนนี้ดูมีมาดสุดๆ อย่างบอกไม่ถูก

ต่อให้นั่งอยู่ก็มองออกว่าหุ่นของอีกฝ่ายสูงใหญ่แค่ไหน ชุดผ้าไหมสีดำบนร่างกายประณีตงดงาม ผมก็หวีอย่างพิถีพิถันเช่นกัน

แม้จะมีรอยบากเกลื่อนกลาดอยู่บนใบหน้าขนาดนั้นก็ไม่ทำให้อีกฝ่ายดูหน้าตาน่าเกลียดเลย เมื่อมองหลายๆ ทีกลับทำให้คิดว่ามีเสน่ห์แบบแปลกๆ ด้วยซ้ำ

คงเพราะสัมผัสได้ถึงสายตาของเขา ชายหน้าบากจึงส่งยิ้มให้เขาหนึ่งที หวังป๋อตวนตกใจรีบเบือนหน้าหนี ไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายอีก

“เฉินรุ่ยเจ๋อล่ะ” หวังป๋อตวนถามเสียงแผ่ว

ฉยงเหรินหันวีลแชร์ที่อยู่ริมหน้าต่างกลับมา ทันทีที่คนบนวีลแชร์เห็นเขาน้ำตาก็พานหลั่งไหล ทว่ากลับไม่สามารถเปล่งเสียงพูดได้ ทำได้แค่ส่งเสียงอู้อี้ในลำคอ

ฉยงเหริน “รุ่ยเจ๋อหรือเปล่า”

คนบนวีลแชร์ส่งเสียงอือๆ อาๆ ออกมา แววตาตื่นเต้นดีใจมาก

หวังป๋อตวนเบิกตาโต การจับตัวตายตัวแทนสำหรับคนอย่างพวกเขาไม่ใช่เรื่องที่แปลกใหม่อะไร แต่การย้ายวิญญาณหนึ่งไปยังอีกร่างหนึ่งโดยศาสตร์อักขระนี้เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเหลือเกิน

ชายหน้าบากปรบมือหัวเราะลั่น

“ฉลาดดีนี่ แต่สายไปแล้วล่ะ เฉินรุ่ยเจ๋อไม่ตอบสนองอะไรเลยตลอดหนึ่งเดือน ฉันยังคิดอยู่เลยว่าคนคนนี้มันสมองช้าจริงๆ ยังดีที่ก่อนตายเขาทำเรื่องอะไรสนุกๆ อย่างเรียกพวกเธอสองคนมาหาฉันถึงที่นี่ด้วย ไม่ทราบว่าวีรบุรุษน้อยทั้งสองท่านเป็นศิษย์จากสำนักไหน ฝึกตนอยู่ที่อารามไหน”

ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ ฉยงเหรินก็รังเกียจตัวร้ายที่ทำร้ายคนอื่นแล้วยังมีหน้าเอามาพูดโอ้อวดความเลวของตัวเองสุดๆ

เขามองหาของที่ค่อนข้างเหมาะมือในห้องนี้ ก่อนเข็นวีลแชร์ไปให้หวังป๋อตวน “วิ่งหนีไปให้ไกลๆ นะ”

ส่วนตัวเขาก็ข้ามไปอยู่ตรงหน้าป้ายเทพเจ้า กำก้านธูปแล้วเหวี่ยงซัดหน้าชายหน้าบาก

หวังป๋อตวนเข็นวีลแชร์วิ่งไปจนถึงมุมผนัง เมื่อหันมามองแวบหนึ่งก็เป็นต้องเหม่อ ในใจมีแต่คำว่าชิบแล้วๆๆ อาจารย์ฉยงจะกลายเป็นฆาตกรแล้ว

ชายหน้าบากสีหน้าเปลี่ยนทันที เขายกเท้าขึ้นถีบโต๊ะ เอนล้มไปข้างหลังตามเก้าอี้ ถึงจะรอดพ้นจากกองธูปที่ซัดสาดเข้ามาได้อย่างหวุดหวิด แต่กลับถูกฉยงเหรินทุ่มกระถางธูปใส่หัวต่อทันที

ขี้เถ้าและปลายธูปร้อนๆ ที่ลุกไหม้ลวกหัวลวกหน้าชายหน้าบาก เขากรีดร้องเสียงแหลมออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ทรงผมที่เรียบร้อยเป็นระเบียบและเสื้อผ้าไหมสีดำสะอาดสะอ้านของเขาล้วนถูกทำลายจนหมดสภาพโดยปลายธูปและขี้เถ้าความร้อนสูง

บทตัวร้ายที่เมื่อครู่นี้ยังดูมีมาดท่าทาง ตอนนี้กลายเป็นตัวตลกที่ทั้งตัวคลุกไปด้วยฝุ่นผงขี้เถ้า หน้าถูกความร้อนลวกจนเป็นแผลพุพองและแดงไปทั้งแถบ

ชายหน้าบากพยายามทำใจให้สงบเยือกเย็น คิดจะหัวเราะเสียงเย็นสักสองที แต่เขาได้หัวเราะออกไปแค่ทีหนึ่ง หนังหน้าของเขาก็เจ็บปวดแสบร้อน แถมเผลอสูดฝุ่นเถ้าเข้าไปเต็มรัก สำลักจนวิญญาณแทบหลุดไปอีกโลก

ฉยงเหรินยิ้มเยาะ “ผมล่ะเกลียดไอ้เลวที่ชอบตอแหลอย่างพวกคุณจริงๆ”

ชายหน้าบากไอจนปอดจะฉีก เขาท่องคาถาเสียงขาดๆ หายๆ ออกมา แล้วเขาก็หยุดไอได้ สายตาที่มองฉยงเหรินด้วยความสนุกในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นความแค้น

ฉยงเหรินเห็นเขาทำหน้าแบบนั้นก็รู้สึกยังไม่สาแก่ใจพอ เมื่อเห็นป้ายเทพเจ้าที่ตั้งสักการบูชาอยู่ในห้องเขียนว่า ‘ถวายแด่กัวจู่เจินจวิน พระจิตศักดิ์สิทธิ์แห่งมังกรฟ้าทั้งสี่สิบแปดชี่’ แล้วก็นึกถึงที่ปีศาจแพนด้าเคยบอกกับตนว่าชายหน้าบากคนนี้มีแซ่เดิมว่ากัว

เหยียนโม่ก็เคยบอกด้วยว่าหาแซ่กัวที่มีบาปหนาบนบัญชีเป็นตายไม่เจอ ไม่แน่อาจเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่ได้อยู่บนบัญชีเป็นตายตั้งแต่แรก…

ฉยงเหรินสมองแล่นทันที เขาโยนกระถางธูปในมือตัวเองออกไปอย่างแรง กระถางธูปลอยไปโดนป้ายเทพเจ้าแล้วก็เด้งออก ป้ายเทพเจ้าที่ทำจากไม้ถูกกระแทกหักครึ่งท่อน

ชายหน้าบากงอตัวกุมท้อง พูดอย่างกราดเกรี้ยว “นี่แกกล้าทำลายป้ายเทพเจ้างั้นเหรอ”

ฉยงเหรินปัดฝุ่นขี้เถ้าบนมือ “พังก็พังไปแล้วนี่ หรือต้องเลือกวันด้วยเหรอ”*

 

* Supernatural เป็นทีวีซีรี่ส์แนวดาร์กแฟนตาซีของอเมริกา ฉายครั้งแรกเมื่อปี 2005

** หลัวผาน หลอผาน หรือหล่อแก เป็นเครื่องมือสำคัญของวิชาฮวงจุ้ยซึ่งใช้ในการตรวจจับพลังงานที่มองไม่เห็น มีลักษณะเป็นจานกลมแบน

* พังก็พังไปแล้วนี่ หรือต้องเลือกวันด้วยเหรอ เป็นประโยคดังจากซีรี่ส์ฮ่องกงเรื่อง ‘ศึกบุปผาวังมังกร’

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 1-2

บทที่ 1 อาจเป็นเพราะสภาพอากาศขมุกขมัวหนาวเย็นยาวนานถึงครึ่งปี ทำให้เครื่องหอมเป็นที่โปรดปรานของชาวต้าเว่ย ได้เติมเครื่อง...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ม่านฝันคืนวสันต์รัญจวน บทที่ 1-2

บทที่ 1 แม่น้ำฉินไหว นกขมิ้นและดอกไม้ในเดือนสองทำให้ฤดูใบไม้ผลิแลดูงดงาม แม่น้ำฉินไหวในเมืองจินหลิงเป็นสถานที่ซึ่งมีทิวท...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 5-7

บทที่ 5 หลังจากเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่เรือนหลังเก่าและบรรยากาศวันปีใหม่เพิ่งผ่านพ้นไป เหล่าเจ้านายสกุลซูก็เตรียมเดินทางกลับ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 3-4

บทที่ 3 คนที่เพิ่งเดินเข้ามาผู้นี้คือซูลั่วอวิ๋น บุตรสาวคนโตที่ถูกขับไล่ไสส่งกลับบ้านเดิมนั่นเอง นิ้วชี้ของซูหงเหมิงยื่น...

community.jamsai.com