ลวี่เอ้อจึงได้สติรู้ตัว นางตบปากตนเองด้วยความหงุดหงิดโมโห แล้วเอ่ยสำทับขึ้นอีกประโยค “ทะ…ทั้งบ่าวก็คิดว่าชุดผ้าหยาบสีครามยิ่งขับเน้นรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นของคุณหนูให้โดดเด่นขึ้นกว่าเดิมด้วยนะเจ้าคะ เหมือนอย่างคำกล่าวที่ว่า ‘พิสุทธิ์ดุจบุษบงโผล่พ้นผิวน้ำ งามล้ำเป็นธรรมชาติไร้สิ่งเติมแต่ง’ นี่บรรยายถึงตัวคุณหนูชัดๆ เลยมิใช่หรือเจ้าคะ”
อืม
พิสุทธิ์ดุจบุษบงโผล่พ้นผิวน้ำ งามล้ำเป็นธรรมชาติไร้สิ่งเติมแต่ง
นี่ถือเป็นคำเยินยอที่ถูกใจหมิงถานทีเดียว
ช่างเถิด ที่ผ่านมาแต่งตัวงดงามวิจิตรบรรจงมาตลอด หากเปลี่ยนมาแต่งตัวเรียบง่ายบ้างเป็นครั้งคราว ข้าจะได้ยิ่งดูงามบริสุทธิ์เฉิดฉัน พอคิดถึงตรงนี้สภาพจิตใจของนางซึ่งเดิมทีไม่ค่อยสบอารมณ์ก็พลันแจ่มใสเริงร่าขึ้นมา
แต่เพิ่งจะแจ่มใสร่าเริงได้เพียงชั่วครู่ ลวี่เอ้อก็พูดปลอบใจนางขึ้นมาอย่างไม่เหมาะกาลเทศะ “บ่าวคิดว่าอารามแห่งนี้นับว่าเงียบสงบดีทีเดียว คุณหนูอยู่ที่นี่ให้สบายใจสักระยะเถิด แล้วก็ไม่ต้องเศร้าโศกไปหรอกเจ้าค่ะ ละ…เหลียงซื่อจื่อผู้นั้นดูท่าทางเหมือนคนดี แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนใจร้ายใจดำเช่นนี้ เขาตาบอดไปแล้วจริงๆ ถึงได้ปล่อยให้คู่หมั้นดีๆ อย่างคุณหนูหลุดมือไป คุณหนูสบายใจได้เจ้าค่ะ พอกลับไปเมืองหลวงแล้ว ท่านโหวกับฮูหยินจะต้องเลือกท่านเขยผู้เพียบพร้อมให้คุณหนูใหม่แน่นอน!”
หมิงถาน “…”
นางมิได้เศร้าโศกเสียหน่อย เหลียงจื่อเซวียนมีค่าให้นางเสียใจที่ไหนกัน เพียงแต่เรื่องโสมมเรื่องชั่วช้าที่ฮูหยินลิ่งกั๋วกงก่อกลับทำให้คนบริสุทธิ์อย่างนางต้องแบกรับผลกระทบไปด้วยไม่มากก็น้อย ในใจนางยังรู้สึกไม่ชอบใจอยู่มาก
ในเมื่อนางไม่พอใจ เช่นนั้นไม่ว่าใครก็อย่าได้อยู่อย่างมีความสุขเลย
ถึงแม้การเดินทางมาไหว้พระขอพรครั้งนี้จะเตรียมการอย่างเร่งรีบฉุกละหุก แต่ก่อนนางจะจากมา นางก็ไม่ลืมเตรียมละครสนุกๆ ฉากหนึ่งไว้ให้จวนลิ่งกั๋วกง
ณ จวนชางกั๋วกง ภายในเรือนของไป๋หมินหมิ่น โจวจิ้งหว่านกำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ จับพู่กันจรดลงเขียนตัวอักษร
สกุลโจวเป็นตระกูลบัณฑิตที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วแคว้นต้าเสี่ยน ในช่วงตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ทั้งตระกูลสายหลักสายรองไม่รู้ว่าได้ให้กำเนิดกวีผู้ยิ่งใหญ่และอัครเสนาบดีเลื่องชื่อมามากมายเท่าไรแล้ว บิดาของโจวจิ้งหว่านเองก็เคยสอบได้ตำแหน่งปั่งเหยี่ยนมาก่อน บัดนี้ดำรงตำแหน่งเป็นราชบัณฑิตสำนักฮั่นหลิน อนาคตสดใสยาวไกลไร้ที่สิ้นสุด
เพราะได้รับการอบรมสั่งสอนจากครอบครัว โจวจิ้งหว่านเองก็ถือเป็นอัจฉริยะหญิงที่ได้รับการยอมรับในหมู่คุณหนูตระกูลขุนนางที่ยังมิได้ออกเรือนเช่นกัน มือข้างหนึ่งของนางกำลังเขียนอักษรเสี่ยวข่ายจันฮวา* อย่างเป็นระเบียบบรรจง แต่เมื่อพิศอ่านรายละเอียดให้ดีๆ แล้ว…
“ประโยคนี้สุภาพเกินไป จิ้งหว่าน เจ้าเขียนให้ตรงไปตรงมากว่านี้หน่อย ตอนข้าไปฟังเรื่องเล่าที่โรงน้ำชา พวกนักเล่าเรื่องยังไม่เห็นจะกระมิดกระเมี้ยนถึงเพียงนี้เลย” ไป๋หมินหมิ่นยืนพูดชี้แนะอยู่ข้างๆ
โจวจิ้งหว่านหยุดพู่กัน พินิจอ่านดูอยู่พักหนึ่ง นางคิดกับตนเองว่าเรื่องฉาวโฉ่คาวโลกีย์ปานนี้ แค่บอกเล่าอย่างคลุมเครือเช่นนี้ก็ดูไม่งามมากแล้ว นางลำบากใจเล็กน้อย เอ่ยถามเสียงแผ่วเบาว่า “เช่นนั้นควรจะตรงไปตรงมาอย่างไรเล่า”
ไป๋หมินหมิ่นตอบ “ง่ายจะตายไป เจ้าก็เขียนไปตรงๆ ว่าลิ่งกั๋วกงกับอี๋เหนียงเล็กที่นายท่านบ้านรองเพิ่งรับเข้ามาใหม่ลักลอบเป็นชู้กันก็พอแล้ว! จะได้ผูกเรื่องของเหลียงจื่อเซวียนเข้าด้วยกัน นี่เรียกว่าคานบนไม่ตรง คานล่างย่อมเบี้ยว* คบชู้สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น!”
โจวจิ้งหว่าน “…”
ก่อนที่หมิงถานจะออกจากเมืองหลวงไปไหว้พระขอพร นางได้สั่งให้คนนำจดหมายฉบับหนึ่งมาส่งให้ที่จวนชางกั๋วกงเป็นพิเศษ ในจดหมายได้บอกให้ไป๋หมินหมิ่นกับโจวจิ้งหว่านช่วยเกลาสำนวนเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง จากนั้นก็หานักเล่าเรื่องมาเล่าเรื่องโสมมเหล่านี้ของจวนลิ่งกั๋วกงให้ผู้คนได้รับรู้กันโดยทั่ว