เรื่องเหม็นคาวฉาวโฉ่เหล่านี้หมิงถานได้ไหว้วานให้ไป๋จิ้งหยวนสืบมาให้ก่อนหน้านี้ ต่างก็เกี่ยวกับพวกลิ่งกั๋วกงสองสามีภรรยาทั้งสิ้น เดิมทีนางตั้งใจว่าจะนำมาใช้จัดการกับจวนลิ่งกั๋วกงหลังจากถอนหมั้นได้อย่างราบรื่นแล้ว
ทว่าบัดนี้ถอนหมั้นไม่สำเร็จราบรื่น ข่าวฉาวโฉ่ก็แพร่สะพัดไปทั่ว นางจึงใส่สีตีไข่เพิ่มเติม ประการแรกถือเป็นการเอาคืนที่ถูกเล่นงานถูกหักหลังถูกร่างแหไปด้วย ประการที่สองก็ถือว่าเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าทุกคนในจวนลิ่งกั๋วกงของเขามีพฤติกรรมเลวช้าต่ำทราม ประการที่สามยังทำให้นางได้โอกาสปกป้องชื่อเสียงอันดีงามของตนเองอีกด้วย
“ช่างเถิด ให้เจ้าขัดเกลาสำนวนเรื่องสกปรกโสมมพวกนี้ก็นับว่าเป็นการทำให้เจ้าลำบากใจจริงๆ” ไป๋หมินหมิ่นครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “เอาให้นักเล่าเรื่องเลยก็แล้วกัน เจ้าเขียนชื่นชมเยินยออาถานอีกสักหน่อยก็พอ”
โจวจิ้งหว่านระบายลมหายใจเฮือก จากนั้นก็พยักหน้าตอบรับ
เดิมทีหมิงถานก็ดีเลิศแสนประเสริฐในใจนางอยู่แล้ว เรื่องนี้นางย่อมทำได้แน่นอน
“จริงสิ ยายหนูอาถานยังกำชับอีกว่าเรื่องอื่นเขียนแค่นิดๆ หน่อยๆ ก็พอ แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือต้องชมว่านางงดงาม” ไป๋หมินหมิ่นหยุดชะงักไป ก่อนจะบ่นอุบอิบด้วยความระอาใจ “หน้าไม่อายจริงๆ”
โจวจิ้งหว่านได้ยินดังนั้นก็อดเม้มปากยิ้มบางๆ ออกมามิได้
ในสายตานาง หมิงถานรูปโฉมงดงามสะสวยอยู่แล้ว ชมนิดชมหน่อยก็ไม่ได้ฝืนใจอันใด นางตวัดพู่กันแต่งกลอนชื่นชมออกมาหนึ่งบทได้อย่างรวดเร็ว
ในขณะที่ไป๋หมินหมิ่นกับโจวจิ้งหว่านกำลังยุ่งอยู่กับการช่วยหมิงถานจัดการธุระ หมิงถานเองก็กำลังเดินไปโรงอาหารเจในชุดเสื้อผ้าเรียบง่าย ไร้เครื่องประดับตกแต่งใดๆ ทั้งสิ้น
โรงอาหารเจไม่แบ่งนายบ่าว ทุกคนต่างก็กินอาหารร่วมโต๊ะเดียวกัน หมิงถานใจดีมีเมตตากับสาวใช้ประจำตัวมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว จึงไม่รู้สึกว่ามีอันใดไม่เหมาะสม ทว่าซู่ซินกับลวี่เอ้อไม่กล้ากินอาหารร่วมกับคุณหนูของตน ยืนกรานจะเฝ้ารออยู่นอกโรงอาหารเจให้ได้ รอให้หมิงถานกินเสร็จแล้วพวกนางค่อยเข้าไป
หมิงถานเองก็ไม่ได้บังคับฝืนใจพวกนาง
วันนี้ออกจากจวนตั้งแต่เช้ามืด นางเลยยังไม่ทันได้กินอาหารเช้า เวลานี้จึงรู้สึกหิวอยู่บ้างจริงๆ นางได้ยินมาว่าอารามหลิงเหมี่ยวอาหารเจรสเลิศสดใหม่ ยามนางนั่งลง ในใจก็มีความคาดหวังสนอกสนใจอยู่เล็กน้อย
แต่หลังจากนางกินอาหารเจอย่างสำรวมไปได้หนึ่งคำเล็กๆ นางจะคายก็ไม่ใช่ จะกลืนก็ไม่เชิง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าข้าวเม็ดหยาบแข็งและอาหารรสจืดชืดนี้มัน ‘รสเลิศสดใหม่’ ตรงไหน!
นางอยากจะลุกออกไป กลับมีเณรน้อยเดินเข้ามาขวางนางเอาไว้ ตักเตือนด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “อมิตาภพุทธ สีกาเอ๋ย อาหารเจห้ามกินเหลือทิ้งเหลือขว้าง”
“…”
ลืมไปเลยว่ามีกฎข้อนี้อยู่ด้วย
เณรน้อยมองนางอย่างอบอุ่นอ่อนโยน เอาแต่จ้องมองอยู่อย่างนั้น มองจนนางต้องจำใจนั่งลงแล้วหยิบตะเกียบขึ้นมาช้าๆ
กระทั่งนางฝืนใจกลืนอาหารเจคำเล็กๆ ลงท้องไปหนึ่งคำ นางก็แอบเหลือบมองดูเณรน้อยรูปนั้น…
ยังมองข้าอยู่อีก!
“…”
ข้ารู้ว่าตนเองรูปโฉมสะสวยงดงาม แต่ก็ไม่เห็นต้องมองถึงขั้นนี้ก็ได้!
ด้วยความจนปัญญา นางจึงจำต้องกินอาหารเจต่อไป แต่เพราะรสชาติแตกต่างจากอาหารปกติที่กินราวฟ้ากับเหว นางจึงรีบๆ กลืนลงท้องไปโดยที่ไม่ได้เคี้ยวให้ละเอียดสักเท่าไร
แต่นางเป็นคนกินน้อย กินจนแน่นท้องแล้วก็ยังเหลือข้าวอีกครึ่งถ้วยเล็ก นางจึงเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางน่าสงสารเวทนา “เณร ข้ากินอาหารเจนี่ไม่ลงแล้วจริงๆ”
เณรน้อยเห็นว่าอาหารเหลืออยู่ไม่มาก ทั้งนางเองก็กินอย่างลำบากยากเย็นจริงๆ จึงพนมมือตอบว่า “อมิตาภพุทธ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สีกาก็ไปสำนึกตนที่ห้องพระเล็กเป็นเวลาสักหนึ่งก้านธูป* เถิด”
หมิงถาน “…”
นี่ยังต้องคุกเข่าทำโทษด้วยหรือ