บทที่ 4
ไป๋หมินหมิ่นรู้สึกมือเท้าเย็นเฉียบขึ้นมาในชั่วพริบตา นางเข้าใจหมิงถานดีที่สุด หากปล่อยให้หมิงถานถูกเหลียงจื่อเซวียนช่วยไว้ต่อหน้าธารกำนัล มิสู้ปล่อยให้ญาติของนางจมน้ำตายอยู่ในแม่น้ำเสี่ยนเจียงยังจะดีเสียกว่า!
นางจ้องมองผิวน้ำเขม็ง บังคับให้ตนเองใจเย็นลง จากนั้นก็สั่งการองครักษ์และสาวใช้ที่เพิ่งตามมาว่า “พวกเจ้าไปขวางคนที่มุงดูเอาไว้ อย่าให้ผู้ใดเข้ามาใกล้เด็ดขาด! เจ้าสองคนลงไปแยกตัวเหลียงซื่อจื่อออกมา แล้วเจ้าทั้งสองว่ายน้ำเป็นหรือไม่ พวกเจ้าก็ลงไปด้วย เอาตัวอาถานขึ้นมา! ด้านนี้เกรงว่าคงจะประวิงเวลาได้ไม่นานเท่าไร ลวี่เอ้อ เจ้ารีบกลับไปเดี๋ยวนี้ ไปพาองครักษ์มาขวางคนเอาไว้เยอะๆ!”
“เจ้าค่ะ!”
เนื่องจากยังไม่เข้าช่วงวสันตฤดู น้ำในแม่น้ำจึงเย็นเฉียบเสียดกระดูก กอปรกับสายลมเย็นยะเยือกเหนือผิวน้ำที่ลอยปะทะเข้ามา เหลียงจื่อเซวียนลงน้ำไปได้เพียงประเดี๋ยวเดียวก็พบว่าการช่วยคนจากน้ำไม่ได้ง่ายดายเหมือนอย่างที่เขาจินตนาการไว้ อย่าว่าแต่ช่วยขึ้นมาเลย แม้แต่หมิงถานอยู่ตรงที่ใดเขาก็มองไม่เห็นด้วยซ้ำ
ไม่เพียงแค่เหลียงจื่อเซวียนที่มองไม่เห็น องครักษ์กับสาวใช้ที่ไป๋หมินหมิ่นสั่งลงน้ำก็เป็นเช่นเดียวกัน หลังงมน้ำอยู่ครู่ใหญ่ก็ไม่เห็นเงาร่างของหมิงถานเลยสักนิดเดียว
ท่าน้ำบริเวณนี้น้ำไม่ถือว่าลึกมาก ตามหลักแล้วไม่มีทางทำให้คนจมน้ำตายอย่างไม่เห็นร่องรอยภายในช่วงเวลาสั้นๆ ได้ แต่พวกเขาก็มั่นใจยิ่งว่ามองไม่เห็นเงาเสื้อผ้าของหมิงถานแม้แต่เศษเสี้ยวเดียวจริงๆ
ใช้เวลาไปราวครึ่งชั่วยาม ผู้คนที่มุงล้อมดูก็ถูกกันเอาไว้นอกท่าน้ำ รู้เพียงแค่ว่ามีคนตกน้ำ แต่สาเหตุใดนั้นไม่แน่ชัด
มีพวกบุรุษที่ไม่ทำการทำงานบางคนเห็นว่ามีการเกณฑ์คนมาขวางทางมากมายใหญ่โตเช่นนี้ คาดเดากันว่าคงจะเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ จึงตั้งท่าโวยวายจะลงน้ำให้ได้ ไม่แน่หากมีวาสนาอาจจะได้คู่ครองแสนประเสริฐด้วยก็เป็นได้
ครั้นเห็นว่าใกล้จะขวางเอาไว้ไม่อยู่ ในใจของไป๋หมินหมิ่นก็ทั้งกระวนกระวายทั้งสิ้นหวัง นางเอาแต่โกรธแค้นที่ตนเองเสนอความคิดให้มาเดินเที่ยวที่ถนนริมน้ำหนานอวี้ ถ้าเกิดเรื่องกับหมิงถานเข้า ต่อให้นางไป๋หมินหมิ่นตายหมื่นครั้งก็ลบล้างความผิดไม่หมด!
ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนี้จู่ๆ ก็มีเงาร่างสีเขียวโบกผ้าเช็ดหน้าให้ไป๋หมินหมิ่นอยู่นอกฝูงชนที่องครักษ์กำลังขวางกั้นไว้ “คุณหนูญาติผู้พี่ ไฉนท่านยังอยู่ที่นี่อีกเล่าเจ้าคะ ให้บ่าวตามหาแทบแย่เลย วันนี้คุณหนูของบ่าวลงมือต้มบัวลอยด้วยตนเอง กำลังรอให้ท่านแวะไปชิมที่จวนอยู่นะเจ้าคะ!”
สตรีชุดสีเขียวจงใจเพิ่มเสียงให้ดังก้อง
เสียงนี้ฟังดูใสแจ๋วนุ่มละมุน ทั้งยังคุ้นหูอยู่ไม่น้อย
ไป๋หมินหมิ่นหันหน้ากลับไป พลันผงะอึ้งไปชั่วขณะ
นั่นคือ…ซู่ซิน สาวใช้ข้างกายหมิงถานที่มีความสามารถมากที่สุดมิใช่หรือ
นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน แล้วเมื่อครู่นี้นางว่าอย่างไรนะ คะ…คุณหนูของนาง?
ซู่ซินเดินเข้ามา คารวะให้ไป๋หมินหมิ่นอย่างสงบนิ่งไม่ร้อนรน ต่อมาก็พูดเรื่องที่คุณหนูของตนเชิญนางไปชิมบัวลอยที่จวนอีกรอบหนึ่ง
ครั้นเห็นเหลียงจื่อเซวียนที่ตัวแข็งจนขยับไม่ได้กำลังให้องครักษ์พยุงขึ้นฝั่งจากทางด้านหลังไป๋หมินหมิ่น ซู่ซินก็ยังเอ่ยถามด้วยความตระหนกตกใจนิดๆ “นี่เหลียงซื่อจื่อตกน้ำหรือเจ้าคะ”
ไป๋หมินหมิ่นสับสนงุนงงกับสถานการณ์ในตอนนี้อยู่บ้าง ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยตอบเช่นไรดี
จนกระทั่งนางเหลือบเห็นลวี่เอ้อที่วิ่งตามไล่หลังมา ซ้ำยังหอบหายใจแฮกๆ โบกมือให้นางไม่หยุด ทำปากบอกนางว่า ‘ไม่เป็นไรแล้ว’ ถึงได้พลันเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ราวกับทะลวงเส้นลมปราณให้โล่งได้อย่างไรอย่างนั้น
ไป๋หมินหมิ่นรีบเร่งเอ่ยรับคำ “ใช่ๆ เหลียงซื่อจื่อตกน้ำ ขะ…ข้าผ่านมาเห็นเข้าพอดี เลยให้องครักษ์ลงไปช่วยเขาขึ้นมา”
“เฮ้อ ที่แท้ก็เป็นบุรุษ”
“บุรุษอกสามศอกตกน้ำยังต้องให้คนช่วย น่าขายหน้าจริงๆ!”
“ต้องล้อมแน่นหนาถึงเพียงนี้ด้วยหรือไร”
“แยกย้ายๆ นึกว่าเป็นคุณหนูตระกูลขุนนางเสียอีก!”
คนที่มุงดูโบกมืออย่างเบื่อหน่าย แยกย้ายกระจัดกระจายไปอย่างรวดเร็ว
“…” เหลียงจื่อเซวียนหนาวเหน็บจนร่างกายสั่นเทิ้ม ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยวาจาได้ ทว่าในดวงตากลับเต็มไปด้วยความฉงนงุนงงไม่เข้าใจ