“เช่นนั้นก็แปลกจริงๆ นั่นล่ะ” ไป๋หมินหมิ่นขมวดคิ้วครุ่นคิด พูดพึมพำออกมาหนึ่งประโยค
“เอาล่ะ เลิกพูดเรื่องนี้กันก่อนเถิด” หมิงถานนึกถึงเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าขึ้นมา “ตอนนี้ทางฝั่งเหลียงจื่อเซวียนเป็นอย่างไรบ้าง”
“เขาจะเป็นอย่างไรได้ เจ้าสั่งให้ซู่ซินไปที่นั่น ข้ายังจะยืนทึ่มทื่อไม่ร้องรับได้หรือ แน่นอนต้องเออออว่าเขาตกน้ำ ข้าผ่านมาเจอเลยให้บ่าวรับใช้ลงไปช่วยเขาน่ะสิ เจ้าวางใจเถิด ข้าได้ให้คนพาเขาไปส่งกลับจวนลิ่งกั๋วกงแล้ว”
ได้ยินไป๋หมินหมิ่นกล่าวเช่นนี้ หัวใจที่ลอยค้างเติ่งของหมิงถานก็เบาลงได้ในที่สุด ในเมื่อพูดบอกต่อหน้าธารกำนัลว่าเหลียงจื่อเซวียนตกน้ำ ไม่ว่าหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรต่อ ก็ต้องเป็นเหลียงจื่อเซวียนตกน้ำเท่านั้น
เพราะในฉากหน้านั้นความสัมพันธ์ทางการแต่งงานของทั้งสองตระกูลยังคงเหนียวแน่นยิ่ง หากเกิดเรื่องขึ้นกับฮูหยินซื่อจื่อที่ยังมิได้แต่งเข้าจวนอย่างหมิงถาน ก็ถือว่ามิใช่เรื่องน่าชมน่ายินดีสำหรับจวนลิ่งกั๋วกงเช่นกัน หากไม่อยากแตกหักกับจวนจิ้งอันโหวและพบจุดจบอันเลวร้าย พวกเขาก็มีแต่ต้องยอมรับเรื่องนี้อย่างเงียบๆ เท่านั้น
จะว่าไปแล้วหมิงถานก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำตรงจุดใดสักแห่ง ตอนนั้นมีเสียงโวยวายร้องให้ช่วยจับขโมยจึงได้มีคนพุ่งพรวดไล่ตามกันมา แต่หากเทียบกับการถูกกระแทก นางรู้สึกว่าตนเองเหมือนถูกคนผลักมากกว่าถึงได้ประสบกับชะตากรรมเช่นนี้
พอคิดถึงตรงนี้หมิงถานก็เอ่ยขึ้นว่า “หมินหมิ่น เจ้ากลับไปแล้วช่วยหาคนไปสืบหาตัวสองคนนั้นที่ชนข้าในวันนี้ให้หน่อย”
“เจ้าสงสัยว่าที่ตกน้ำไม่ได้เป็นอุบัติเหตุ?”
“ก็เพราะไม่รู้นี่ล่ะ ข้าถึงได้อยากจะสืบให้กระจ่าง”
ไป๋หมินหมิ่นพยักหน้า ตอบรับอย่างเร็วไว ครั้นเห็นว่าดวงหน้าน้อยๆ ของหมิงถานยังคงไร้สีเลือด นางจึงคลุมผ้าห่มให้หมิงถาน พร้อมหันไปรับน้ำแกงขับไล่ความเย็นมาจากมือของบ่าวรับใช้ “เจ้าอย่าเพิ่งกังวลเรื่องพวกนี้เลย มา ดื่มน้ำขิงก่อนเถิด”
น้ำแกงรสชาติเผ็ดฉุนเกินไป หมิงถานไม่อยากดื่ม
ไป๋หมินหมิ่นเองก็มีนิสัยหัวแข็งเช่นกัน ป้อนน้ำแกงขิงยัดใส่ปากหมิงถานอย่างไม่ยอมแพ้ ทั้งยังพร่ำบ่นว่า “ดื่มเสียๆ ไม่คิดถึงตัวเจ้าเองก็ยังต้องคิดถึงข้าบ้าง ถ้าหากเจ้าไม่ดื่มน้ำแกงขิงนี้ วันหลังเกิดจับไข้ได้ป่วยล้มหมอนนอนเสื่อขึ้นมา นั่นถือเป็นความผิดของข้าเต็มประตูเชียวนะ ท่านพ่อข้านิสัยอย่างไรเจ้าเองก็รู้ดี เจ้าทนเห็นข้าถูกลงโทษให้คุกเข่าในศาลบรรพชนได้หรือ ถ้าหากต้องคุกเข่าจนเจ็บป่วยขึ้นมาเกรงว่าข้าคงทำได้แค่…”
หมิงถานถูกบ่นจนเริ่มปวดศีรษะ จึงรับถ้วยกระเบื้องเคลือบมาเสียให้รู้แล้วรู้รอด จากนั้นก็หลับตากลืนน้ำแกงลงไปให้หมดในรวดเดียว
ไป๋หมินหมิ่นมีสีหน้าพออกพอใจ ต่อมาพอเห็นว่าธูปนับเวลาไหม้ไปกว่าครึ่งแล้ว นางก็ลุกขึ้นปัดมือเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็พักผ่อนให้เต็มที่ ตอนนี้ดึกมากแล้ว ข้าขอตัวกลับจวนก่อน ซู่ซิน ลวี่เอ้อ ดูแลคุณหนูของพวกเจ้าให้ดีๆ”
ซู่ซินกับลวี่เอ้อขานรับโดยพร้อมเพรียงกัน จากนั้นก็ส่งไป๋หมินหมิ่นออกไปจากเรือนจ้าวสุ่ยอย่างเคารพนบนอบ
หลังจากผ่านเรื่องหนักหนาสาหัสในครานี้มา ร่างกายของหมิงถานก็ทนรับไม่ค่อยไหว จำเป็นต้องพักผ่อนอย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน นางไม่ได้บำรุงผิวพรรณก่อนเข้านอนอย่างยุ่งยากพิถีพิถันเหมือนเช่นทุกที เพียงแค่ทาน้ำหวานดอกไม้บนใบหน้าเล็กน้อย แช่มือทั้งสองข้างในน้ำนมแพะสดใหม่ครู่หนึ่งเท่านั้น
กลางดึกฝนตกโปรยปรายบางเบา เมฆหนามืดครึ้มบดบังดวงจันทร์กลมเกลี้ยง หมิงถานห่มผ้าห่มนอนหลับสนิทไปแล้ว ทั่วทั้งจวนจิ้งอันโหวเองก็ตกอยู่ท่ามกลางความเงียบสงัดและแสงโคมไฟสลัวในคืนที่สายพิรุณพร่างพรม
ณ คุกศาลต้าหลี่* คุกใต้ดินที่อยู่ไล่ลงตามขั้นบันไดไปทั้งลึกกว้างและมืดสลัว ในทุกๆ สิบก้าวจะจุดตะเกียงน้ำมันไว้หนึ่งดวง กระนั้นก็ยังไม่อาจกลบความอึมครึมน่าสะพรึงกลัวลงได้
ตุลาการศาลต้าหลี่เดินนำอยู่ด้านหน้า เขาโค้งกายทำความเคารพแล้วเอ่ยนำว่า “ท่านอ๋อง คุณชายรองสกุลซู เชิญทางนี้ขอรับ”
ซูจิ่งหรานเป็นผู้สูงศักดิ์ที่มีชีวิตสูงส่งมาตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาในคุกแห่งนี้ ความกดดันและกลิ่นเหม็นเน่าจากรอบด้านทำให้เขารู้สึกอึดอัดไม่สบายตัวยิ่ง