เขามองเจียงซวี่แวบหนึ่ง ดูท่าชีวิตที่คมดาบต้องอาบย้อมโลหิตยามยกทัพออกรบคงจะเลวร้ายกว่านี้เป็นร้อยเท่าแน่ เพราะในสภาพบรรยากาศเช่นนี้เจียงซวี่ก็ยังสามารถเดินเอามือไพล่หลังด้วยสีหน้าสงบนิ่งได้ ซูจิ่งหรานถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็รีบเอามือปิดจมูกแล้วเดินตามไป
ในห้องไต่สวน เครื่องมือทรมานที่แขวนอยู่บนผนังสาดประกายวาววับเย็นเยียบ คนที่รอถูกสอบสวนได้ถูกผู้คุมจับตัวมัดไว้บนแท่นทรมานเรียบร้อยแล้ว ดูท่าทางคงจะยังไม่ได้เริ่มทรมาน เพราะถึงแม้คนผู้นี้จะอยู่ในสภาพสกปรกมอมแมม แต่เมื่อดูให้ดีๆ แล้วกลับไม่มีบาดแผลแม้แต่เศษเสี้ยว
ตุลาการศาลต้าหลี่เลื่อนเก้าอี้พนักกลมเข้ามาให้เจียงซวี่ แล้วเชิญเขานั่งอย่างนอบน้อม
เจียงซวี่เองก็มิได้ยกที่นั่งให้ตุลาการศาลต้าหลี่แต่อย่างใด เขาเลิกชายชุดแล้วนั่งลงไปทันที ปลายนิ้วเคาะพนักวางแขนเบาๆ จ้องมองไปที่แท่นทรมานโดยไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ ทั้งสิ้น
“ทะ…ท่านอ๋อง” เมื่อคนที่อยู่บนแท่นทรมานเห็นผู้มาเยือนชัดเจน ความรู้สึกหวาดผวาก็เอ่อท้นในหัวใจทันที “เหตุใด…เหตุใดท่านอ๋องถึงจับข้ามาที่นี่ขอรับ ข้าถูกใส่ความขอรับ!”
“ใส่ความ?” เจียงซวี่จ้องเขาแน่วนิ่ง “เจ้ารออีกสักพัก ประเดี๋ยวเฉิงเอินโหวก็ต้องเข้าคุกมาเหมือนกัน ถึงตอนนั้นเจ้าค่อยไปร้องขอความยุติธรรมกับเขาก็แล้วกัน”
เฉิงเอินโหว?!
เลือดของคนที่อยู่บนแท่นทรมานจับตัวแข็งในชั่วพริบตา
จริงๆ แล้วตั้งแต่ตอนที่เขาถูกจับกุมระหว่างทางกลับจวนอย่างไม่มีสาเหตุ ซ้ำยังไม่มีผู้ใดอธิบายให้เขาฟังว่าเหตุใดถึงถูกจับ เขาก็มีลางสังหรณ์รางๆ อยู่แล้ว แต่เขาไม่อยากและไม่กล้าคิดไปในทางนั้น เพราะว่าหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับเฉิงเอินโหวจริงๆ ล่ะก็ นั่นคงจะเป็นหายนะสำหรับเขาแน่นอน
“ถึงแม้ข้าจะมีการไปมาหาสู่กับเฉิงเอินโหว ตะ…แต่…”
“จางจี๋ ข้าติ้งเป่ยอ๋องเห็นว่าเจ้าเป็นคนฉลาด ตอนนี้เจ้าถึงยังอยู่ครบทุกประการ เจ้าแน่ใจหรือว่าจะเล่นลิ้นกับข้า”
เจียงซวี่ลุกขึ้น เดินเข้าไปใกล้ๆ ด้วยฝีเท้าเชื่องช้า เอียงศีรษะจ้องมองเขา
คงเป็นเพราะอยู่ในคุกใต้ดิน กระไอดุดันจางๆ จากการยกทัพเข่นฆ่าสังหารบนร่างของเจียงซวี่จึงแผ่กำจายออกมา แฝงด้วยความน่าเกรงขามอันหนักอึ้งยิ่ง สุ้มเสียงไม่ดัง แต่กลับชวนให้คนหนาวสะท้านได้อย่างไม่มีสาเหตุ
จางจี๋อ้าปากค้างเล็กน้อย ถูกกดดันจนเสียงหายไปชั่วขณะ
เขารู้ว่านี่คือจุดเริ่มต้นของการชำระสะสางบัญชี และรู้จุดประสงค์ที่เจียงซวี่มาที่นี่ด้วยเช่นกัน ความนิ่งเงียบประหนึ่งไร้สิ้นชีวิตแผ่ขยายออกไปตามกลิ่นเหม็นหืนในคุกใต้ดิน
ครู่ใหญ่ผ่านไป จางจี๋ขยับปากอย่างลังเลใจ แต่สุดท้ายก็ยังอยากเรียกร้องต่อรองให้ตนเองอย่างไม่ยอมถอดใจ “จริงอยู่ที่ข้ามีของที่เป็นประโยชน์ต่อท่านอ๋องอยู่ในมือ ถ้าหากท่านอ๋องรับปากเงื่อนไขข้าหนึ่งข้อ ข้าก็จะ…อ๊าก!” เขายังพูดไม่ทันจบก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
ซูจิ่งหรานนิ่งอึ้งไปทันใด จากนั้นถึงค่อยพบว่าเครื่องมือทรมานนักโทษบนผนังที่มีตะขอได้เกี่ยวแทงเข้าไปในช่องท้องของจางจี๋โดยหลีกเลี่ยงจุดสำคัญตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ โลหิตสดๆ ไหลทะลักออกมา ชุดสีขาวของจางจี๋อาบย้อมด้วยสีแดงฉานอย่างรวดเร็ว โลหิตเหนียวข้นหยดแหมะลงบนพื้นสกปรก
“เจ้ามีสิทธิ์อันใดมาเจรจาเงื่อนไขกับข้าติ้งเป่ยอ๋อง” เจียงซวี่โน้มกาย กระซิบเอ่ยถามที่ข้างหูของจางจี๋อย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก
มือที่จับด้ามอาวุธของเขายังไม่คลายออก ตะขอเกี่ยวติดอยู่กับเนื้อ ทั้งยังแทงเข้าไปข้างในทีละชุ่นๆ* ก่อนจะถูกหมุนวนกลับไปกลับมา
จางจี๋เจ็บปวดจนหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นบนหน้าผาก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่ไม่เคยต้องทนลำบากมาก่อน ไม่ถึงครึ่งเค่อก็ตาเหลือกหมดสติไปแล้ว
เจียงซวี่ยืนนิ่ง ปล่อยให้ผู้คุมใช้น้ำเย็นสาดใส่จางจี๋ให้ตื่นขึ้นมา
ข้างๆ ผนังที่มีเครื่องมือทรมานแขวนอยู่ก็มีเตาไฟที่ถูกจุดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เหล็กนาบเผาไฟจนกลายเป็นสีแดง จางจี๋เพิ่งจะฟื้นได้สติขึ้นมาก็เห็นผู้คุมยกเหล็กนาบเดินรุกคืบเข้ามาทางเขา ไม่รอให้เขาได้ตะโกนร้องโวยวาย เหล็กนาบนั้นก็ประทับลงบนจุดที่บาดเจ็บเมื่อครู่นี้
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดโหยหวนปานใจจะขาดดังขึ้นอีกระลอกหนึ่ง
เครื่องมือทรมานในคุกมีมากมายนับร้อยชนิด แต่จางจี๋เพิ่งจะโดนไปเพียงสองอย่างก็ปัสสาวะราดกางเกงเสียแล้ว กลิ่นเหม็นแผ่กำจายไปรอบด้าน เขานึกเสียใจภายหลังที่ตอนแรกไม่ยอมสารภาพแต่โดยดี จึงตะโกนร้องเสียงแหบแห้งว่า “ท่านอ๋อง! ท่านอ๋องข้ายอมพูดแล้ว! เฉิงเอินโหวยึดครองที่ดินผู้อื่นเพื่อลักลอบเปิดเหมืองเกลือ! หลักฐานอยู่แถวชานเมือง อยู่ในจวนลับที่ข้าสร้างไว้ที่เนินจิ่วหลี่! ฝังไว้ใต้ต้นซิ่ง* ที่ลานหลังจวน!”
เชิงอรรถ
* ศาลต้าหลี่ หรือศาลยุติธรรม เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบตรวจสำนวนและพิพากษาคดีที่มีความซับซ้อนหรือคดีร้ายแรง
* ชุ่น เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบความยาวประมาณ 1 นิ้ว
* ซิ่ง หรือแอปปริคอต เป็นพืชตระกูลเดียวกับต้นเหมย (ต้นบ๊วย) ดอกสีขาว อาจมีสีชมพูหรือสีแดงแซม เกสรสีเหลือง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 มี.ค. 66 เวลา 12.00 น.