บทที่ 9
เมื่อล่วงเข้ายามราตรี อากาศก็หนาวเย็นขึ้นเล็กน้อย นอกเมืองหลวงมืดสนิทไปทั้งแถบ ทว่าในเมืองหลวงกลับสว่างไสวด้วยแสงโคมไฟ เป็นช่วงเวลาที่กำลังครึกครื้นสว่างเจิดจ้า ถนนชางอวี้ซึ่งถูกจวนติ้งเป่ยอ๋องครอบครองไปตลอดทั้งเส้นคงจะเป็นบริเวณที่เงียบสงบอย่างหาได้ยากยิ่งในเมืองหลวง
เจียงซวี่กับซูจิ่งหรานกำลังนั่งเดินหมากกันใต้แสงเทียนอยู่ในห้องหนังสือ ทันใดนั้นเปลวเทียนก็พลันไหววูบ เงามืดสายหนึ่งวูบตามลมเข้ามาในห้อง ก้มหน้าเอ่ยรายงานภารกิจว่า “ท่านอ๋อง แม่นางสกุลเหลียงกับลูกกลับถึงเมืองหลวงแล้ว ได้หาที่พักให้เรียบร้อยแล้วขอรับ”
เจียงซวี่ขานตอบว่า “อืม” หนึ่งเสียง จากนั้นก็ยกมือขึ้นเล็กน้อย
เงามืดสายนั้นเข้าใจความหมาย จึงถอยกลับออกไปอย่างเงียบเชียบ
ซูจิ่งหรานลงหมากขาวล้อมหมากสีดำสามตัวเอาไว้ ต่อมาก็ยกแขนเสื้อพลางหยิบหมาก พร้อมกับเอ่ยพูดเองเออเองคนเดียวว่า “ข้าเอาแต่ครุ่นคิดมาตลอดว่าเหตุใดคืนนั้นท่านต้องลงมือด้วย หากปล่อยให้เหลียงซื่อจื่อช่วยคุณหนูสกุลหมิงไว้ การแต่งงานนี้ก็จะตอกตะปูแน่นหนา เปลี่ยนแปลงอันใดไม่ได้ ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเลวร้ายเสียหน่อย แต่ตอนนี้…ในที่สุดข้าก็คิดออกแล้ว”
นับตั้งแต่แคว้นต้าเสี่ยนก่อตั้งราชวงศ์มาเป็นเวลาหลายร้อยปีตระกูลต่างๆ ก็เกี่ยวดองนับญาติกันแนบแน่น พลังอำนาจก็ยิ่งเพิ่มทวี ฝ่าบาทจึงมีประสงค์อยากจะลดทอนอำนาจของพวกเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ช่วงก่อนหน้านี้ฝ่าบาทเชือดเฉิงเอินโหวที่ประมาทเลินเล่อทั้งยังไม่รู้จักสำรวมเนื้อสำรวมตัว ถึงกับกล้าลักลอบเปิดเหมืองเกลือให้ดูเป็นตัวอย่างก่อน ดูท่าอีกไม่นานจวนลิ่งกั๋วกงกับจวนจิ้งอันโหวก็คงยากจะรอดพ้นเคราะห์ภัยได้เช่นกัน
ถ้าหากสองตระกูลนี้เกี่ยวดองทางการแต่งงานกัน ขจัดไปพร้อมๆ กันก็จะประหยัดแรงได้เล็กน้อย ฝ่าบาทเองก็มีความคิดนี้เช่นเดียวกัน แต่ว่า “ดูเหมือนท่านจะไม่อยากให้สกุลหมิงกับสกุลเหลียงเกี่ยวดองกัน เพราะเหตุใดหรือ”
“เจ้าบอกว่าคิดออกแล้วไม่ใช่รึ” เจียงซวี่วางหมากลงหนึ่งตัว ช้อนดวงตาขึ้นมามองอย่างช้าๆ
“ข้าแค่คิดออกว่าวันนั้นที่ท่านลงมือช่วยคน เป็นเพราะไม่อยากให้สกุลหมิงกับสกุลเหลียงเกี่ยวดองกันก็เท่านั้นเอง”
“แค่นี้ยังต้องคิดอีก” เจียงซวี่หลุบตาลง แค่นเสียงใส่เบาๆ เกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่าคุณชายรองสกุลซูอย่างเขาคิดได้เพียงแค่นี้ ไม่รู้ว่าจะทำให้พวกแม่นางสาวๆ ที่รอดูเขาขี่อาชาเดินขบวนแห่เมื่อคราวสอบขุนนางช่วงฤดูใบไม้ผลิติดแล้วต้องผิดหวังหรือไม่
ซูจิ่งหรานกระแอมกระไอ รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่นิดๆ
ถึงอย่างไรซูจิ่งหรานก็ยังมิได้เข้าราชสำนัก มีหลายเรื่องที่ยังมองไม่กระจ่าง เจียงซวี่เองก็ไม่ได้สร้างความลำบากใจให้ซูจิ่งหรานอีก เขาหลุบตามองดูกระดานหมาก จากนั้นเปล่งวาจาว่า “คำโบราณกล่าวว่ารีบร้อนเกินไปกลับไม่สำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้น การลดทอนอำนาจของตระกูลใหญ่ต่างๆ ก็ไม่ใช่ความต้องการของข้าติ้งเป่ยอ๋องอยู่แล้ว”
ภายในห้องเงียบสนิทยิ่ง มีเพียงเสียงผะแผ่วยามเปลวเทียนขยับไหวเท่านั้น
ซูจิ่งหรานตรึกตรองถ้อยคำของเจียงซวี่ พอจะเข้าใจความหมายอยู่บ้างเล็กน้อย
ประโยคหน้าเข้าใจง่าย หากกำจัดสองตระกูลในคราวเดียวจะเป็นการใจร้อนเกินไป หลายปีมานี้ไทเฮาเอาแต่สวดมนต์กินอาหารเจ ยังนับว่าเก็บตัวสงบเสงี่ยม ทว่าอำนาจสายไทเฮานั้นหยั่งรากลึกดั่งต้นไม้ใหญ่ นับตั้งแต่ฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ก็เป็นภัยคุกคามที่ไม่อาจมองข้ามได้ หากกระทำการใหญ่โตครึกโครมเกินไป ก็จะสบโอกาสให้พวกเขาถูกผู้อื่นซื้อใจไปได้อย่างไม่อาจเลี่ยง ในทางตรงกันข้าม การยุให้แตกแยกกลับเป็นแผนที่รอบคอบปลอดภัยมากกว่า
ทว่าวาจาครึ่งหลัง ซูจิ่งหรานกลับนิ่งงันไป
ความสัมพันธ์ระหว่างเจียงซวี่กับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เขาขบคิดไม่แตกมาโดยตลอด